ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
140)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
=============================================
...ณ เนินอันปกคลุมไปด้วยป่าไม้รกชัฏจนไม่อาจจะมองเห็น ไกรและกองทัพแห่งภูติพรายของเขาอยู่บนหลังม้านิ่งพร้อมกับอาวุธที่ครบมือ ในขณะที่ไกรที่เวลานี้อยู่บนหลงของสีหมอกที่ติดเกราะสีดำเต็มยศตัดกับสีขาวหม่นของขนของมัน และถืออาวุธยาวที่เวลานี้ยังคงหุ้มส่วนปลายอาวุธไว้ด้วยถุงผ้าไหมสีเข้ม ขยับศาสตรายาวในมือเล็กน้อยอย่างพยายามทำให้ชิน ก่อนที่เขาจะหันสายตาคมไปมองทุกคนที่ยังคงนั่งบนหลังม้านิ่งสนิทราวกับรูปปั้นโดยที่สายตาทุกคู่ต่างเฝ้ามองไปยังที่เดียวกัน นั่นคือขบวนคาราวานเกวียนเสบียงยาวเหยียดของทัพพม่าที่ถูกส่งตรงมาจากรัตนสิงค์ ซึ่งแน่นอนว่ากระบวนเสบียงอันมีค่านี้ก็มีกองกำลังคุ้มกันเช่นกัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะดูค่อนข้างบางเบาเมื่อเทียบกับความสำคัญของกองเสบียงนี้ แต่จำนวนของทหารกล้าแห่งพระเจ้าอลองพญาที่มากับขบวนเสบียงนี่ก็ยังมีมากกว่ากองกำลังเคลื่อนที่เร็วที่ติดตามไกรมาด้วยในคราวนี้อยู่ดี
" ท่านไกร... "
" ขอข้าพูดเพื่อพวกเจ้าทุกคนเข้าใจตรงกันก่อนนะ " ไกรพูดเบาๆพร้อมกับค่อยๆใช้มือแกะถุงผ้าไหมที่หุ้มปลายอาวุธของเขาช้าๆ ซึ่งทุกคนต่างก็เงียบสนิทราวกับต้องมนต์เพื่อรอให้ไกรพูดต่อเรียบๆว่า
" ...พวกเราในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพสดที่สุด พวกเราผ่านศึกมาแล้วอย่างหนักเมื่อเช้ามืดวันนี้...และคราวนี้เราไม่มีปืนใหญ่จากเรือเวนไตยที่จะคอยสนับสนุนเรา...พวกเรามีกันเพียงแค่นี้เท่านั้น...หากมีพวกเจ้าคนใดคิดว่าตัวเองไม่พร้อม จงบอกออกมาได้เลย ข้าจะยกเลิกภารกิจอันเสี่ยงตายบ้าๆนี่ และไม่มีผู้ใดจะโทษพวกเจ้า ข้ารับประกันเรื่องนี้ได้ "
" ... "
ประโยคที่ไกรพูด ไกรพูดอย่างเคร่งขรึมและจริงจังที่สุด ซึ่งทุกคนต่างก็ทราบความจริงข้อนี้ดี แต่ทุกคนก็ยังคงเงียบสนิท ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงของดาบที่ถูกชักออกมาจากฝักเท่านั้น...ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้น ไกรก็ซ่อนยิ้มพร้อมกับระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
...ทัพของเขาอยู่ในสภาพที่พร้อมรบที่สุด...
" ดี! งั้นเตรียมตัว! " ไกรยกอาวุธยาวของตนที่มีลักษณะคล้ายกับทวนยาวที่มีโลหะคล้ายจันทร์เสี้ยวประดับปลายทวน ซึ่งผู้สร้างศาสตราชิ้นนี้อย่างท่านยูกิโอะและอนาสตาเซียบอกว่ามันเป็นอาวุธจีนที่เรียกว่า จี่ แต่เขาดูยังไงมันก็คือ ง้าวกรีดนภา ชัดๆขึ้นสูง เป็นสัญญาณที่ทำให้ทุกคนด้านหลังต่างเพ่งสมาธิไปถึงจุดสูงสุด...
...ไกรเลิกคิ้วอย่างพยายามนึกถึงคำพูดที่จะใช้เพื่อเปิดการจู่โจมเท่ๆ ก่อนที่เขาจะกระตุกยิ้มวูบเมื่อนึกได้ถึงสุดยอดคำปลุกใจจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เขาเคยดูเมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก และตวาดออกมาดังสะท้านสะเทือนลั่น!
" เราจะไม่ยอมทิ้งอะไรไว้ให้กับพวกมัน แต่จงเอาจากพวกมัน...มาทั้งหมด! ...ทัพแห่งภูติพราย...โจมตี!! "
เฮ!!!!
ไม่กี่ชั่วยามถัดมา...ณ สถานที่เดิม แต่เพิ่มเติมคือซากของเกวียนที่พังจนไม่อาจจะใช้ได้ และซากของร่างอันไร้วิญญาณของทหารกล้าแห่งทัพพระเจ้าอลองพญาหลายสิบนาย ในขณะที่อีกหลายร้อยนายแตกพ่ายไม่เป็นกระบวนจนไม่อาจจะรวบรวมกำลังพลได้ติดอีกตอไป
" เฮ้อ...เวลานี้ข้าชักจะเริ่มเอนเอียงไปในทางเดียวกับคำพูดของไอ้นายกองแห่งกองอาทมาทที่แตกพ่ายนั่นแล้วนะ ...นี่มันบ้าชัดๆ " มังระราชบุตร...เจ้าชายหนุ่มชาตินักรบผู้เวลานี้อยู่ภายใต้เกราะรบโลหะสีเงินวาวที่ก้มลงสำรวจร่างอันไร้วิญญาณของทหารและม้าศึกที่นอนระเกะระกะอยู่ถึงกับต้องตรัสครางออกมาเรียบๆ ในขณะที่เมื่อได้ยิน ชายวัยกลางคนผู้เป็นขุนศึกคู่พระทัยของพระองค์อย่างอะแซหวุ่นกี้ที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะหนังระดับสูงและถอดหมวกศึกออกมาพัดไล่เหงื่อจากการห้อม้ามาถึงที่เกิดเหตุอย่างที่แห่งนี้อย่างเต็มฝีเท้าถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
" ข้าพุทธเจ้าก็เคยบอกไว้เหมือนกันว่าพวกมันจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นแน่...แต่ครานี้ต้องขอบอกว่าข้าพุทธเจ้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะลงมือซ้ำอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ "
" เจ้าไม่คิดว่าเป็นเพราะมันมีจำนวนกองกำลังหลายกองหรือมีจำนวนมากกว่าที่เราคาด จึงนัดแนะกันปล้นได้เช่นนั้นหรือ? " เจ้าชายหนุ่มลุกขึ้นและผินพักตร์มาตรัสถามเบาๆ ซึ่งเมื่อได้ยินคำถาม อะแวหวุ่นกี้ก็หัวเราะออกมาเบาๆอีกครั้ง
" ฮ่ะๆ ถ้าหากไอ้กองทัพภูติผีปิศาจนี่มีกำลังมากถึงเพียงนั้น การจู่โจมแรกของมันคงจะเป็นการปล้นค่ายใดค่ายหนึ่งของพวกเราไปแล้ว ไม่ใช่มาตีกองอาทมาทเล็กๆกับกระบวนกองเสบียงให้เสียเวลาเป็นแน่พุทธเจ้าข้า "
" ถ้าเป็นเช่นเจ้าว่าจริง การจู่โจม ๒ คราในวันเดียว และยังสำเร็จทั้ง ๒ คราเช่นนี้ ทำให้พวกมันไม่อาจจะดูแคลนได้เลยแม้แต่่น้อย...หึ! ไม่อยากจะพูดเลย แต่นี่มันฝีมือของภูติผีปิศาจชัดๆ จริงๆ " เจ้าชายมังระตรัสพลางลูบหัตถ์ตัวเองไปมา ซึ่งขุนพลคู่พระทัยของพระองค์เหลือบสายตาซุกซนและหมายจะลองดีมามองช้าๆ ก่อนจะขยับปากทูลออกมาด้วยเสียงเบาบางจนได้ยินกันเพียง ๒ คนเท่านั้นว่า
" ทรงกลัวหรือพุทธเจ้าข้า? "
วูบ!!
จิตสังหารอันแหลมคมราวกับเข็มนับพันนับหมื่นเล่มพุ่งวูบเข้าใส่ขุนศึกผู้หมายลองดี ดวงเนตรของเจ้าชายหนุ่มลุกวาวเจิดจ้าราวกับแสงไต้พร้อมกับที่พระองค์จะกัดทนต์กระซิบตรัสเรียบๆว่า
" อย่าได้ใจเกินไปนัก อะแซหวุ่นกี้...อย่าได้ลืมเลือนว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร! "
" อ๊าาา เป็นจิตคุกคามที่เสียดแทงได้ดีเสียจริงนะพุทธเจ้าข้้า " อะแซหวุ่นกี้พูดพลางกลั้วหัวเราะก่อนจะกลับตัวและขยับเดินหนีจิตคุกคามอันน่าขนลุกนั่น จนทำให้เจ้าชายมังระกัดทนต์กรอด เพราะรู้นิสัยเสียของไอ้ขุนศึกคู่พระทัยของพระองค์คนนี้ดี ถ้าขืนยิ่งมีโทสะยิ่งเข้าทางมันเสียเปล่าๆ พระองค์จึงได้แต่ข่มพระสตินัดบ ๑ ถึง ๑๐๐ ในพระทัยจนทำให้พระทัยเย็นลงได้ ก่อนที่ในที่สุดพระองค์จะปัสสาสะเฮือก
" อย่าคิดทดสอบความอดทนข้านัก อะแซหวุ่นกี้...คนเก่งๆอย่างเจ้าแม้มีไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าข้าจะหามาทดแทนได้ยากนักหรอกนะ "
" ฮ่าๆๆๆ พระองค์ดำรัสผิดแล้ว...คนอย่างข้าน่ะ โลกนี้ไม่มีผู้ใดเหมือนอีกแล้ว " เสียงอันกวนโทสะของอะแซหวุ่นกี้ที่ลอยมาตามลมทำให้พระขนงค์ของเจ้าชายหนุ่มกระตุกวูบอีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะสรวลในศอเบาๆอย่างถอนฉิวและตรัสออกมาช้าๆอีกครั้งว่า
" เฮอะ! ไล่ไม่จนจริงๆ ...เอาเถอะ เวลานี้พวกเราคงต้องกลับทัพหลวงกันก่อน อะแซหวุ่นกี้ "
" พุทธเจ้าข้า? "
" เมือถึงทัพหลวง เจ้าจงเร่งนำตราลัญจกรณ์แห่งข้าไปสั่งเตรียมกองทหารม้าภายใต้สังกัดของข้าให้พรั่งพร้อมและบริบูรณ์ที่สุด...วันรุ่งพรุ่งนี้ ทัพอันเกรียงไกรของเราจะออกล่า ภูติผี กัน! "
" ฮ่าๆๆๆ รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้า! "
...........................................
...หลังจากการตีค่ายกองอาทมาทของทัพหน้าแห่งพระเจ้าอลองพญาเสร็จสิ้นไป ไกรและกองทัพแห่งภูติพรายของเขาก็ไม่ได้หยุดพักแต่อย่างใด แต่กลับรวบรวมกำลังพลที่ไม่ได้รับบาดเจ็บและมีกำลังเหลือพร้อมมูลขึ้นมาใหม่และใช้ม้าอ้อมเพชรบุรีผ่านด่านสัตว์อันกันดารทว่าปลอดภัยที่สิงห์นำทางให้ ไปจนกระทั่งถึงเส้นทางที่ทัพพระเจ้าอลองพญาใช้เพื่อขนส่งเสบียงมายังทัพหลวง...และอย่างที่ไกรบอกไว้ว่าเขาต้องการตีเหล็กขณะที่ยังร้อนอยู่ จึงทำให้ เหล็ก ซึ่งในที่นี้หมายถึงกองทัพแห่งภูติพรายของเขาไม่ได้ถูกความเหนื่อยล้าครอบงำและอยู่ในภาวะฮึกเหิมเต็มที่ ทำให้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กำลังเสริมเป็น ปืนใหญ่อัตตาจร จากเรือเวนไตย ก็ไม่ทำให้การปล้นขบวนเสบียงที่มีการระวังเวรยามที่ค่อนข้างหล่ะหลวมเพราะความประมาทของทัพพม่าเป็นเรื่องลำบากลำบนอะไรนัก...
...หรือจะพูดให้ถูก...การปล้นเสบียงในวันนี้ พวกเขาได้เสบียงที่ทหารพม่าลำเลียงจากรัตนสิงค์และส่งมาอย่างยากลำบากมาทั้งหมด โดยที่มีคนบาดเจ็บจาก การต่อต้าน ที่มีเพียงประปรายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับที่พวกเขาได้ทั้งข้าวทั้งเหล้าเป็นพะเรอเกวียนชนิดใช้อาบต่างน้ำได้ ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ...โคตรคุ้มค่าเลยขอรับ ท่านไกร...
...กลางดึกของค่ำคืนแห่งความสำเร็จ...
ผลงานจากการละลายกองทัพอาทมาทและการปล้นเสบียงซึ่งเกิดขึ้นภายในวันเดียวกันและโดยกองทัพเดียวกันซึ่งไม่เคยมีทัพอโยธยาทำได้มาก่อน แม้ไม่มีใครพูดอะไร แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่านับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะพูดได้อย่างไม่เต็มฝีปากนัก เพราะพวกเขาไม่ได้มาในฐานะของกองทัพอโยธยาอย่างเป็นทางการ แต่พวกเขาก็ยังถือว่าตนเป็นขุนทหารแห่งอโยธยา ขวัญกำลังใจที่เพิ่มพูนขึ้นทุกขณะทำให้ไกรรู้สึกใจชื้นขึ้น เพราะเขาจะได้เลิกกังวลเรื่องทหารหนีทัพเสียที...และเพือ่เพิ่มขวัญกำลังใจทหารให้ถึงขีดสุด ท่านสินจึงถือวิสาสะโดยไม่ได้ขออนุญาตไกร อนุญาตให้ทหารทุกคนพักกันอย่างเต็มที่ จากเหล้ายาปลาปิ้งและเสบียงที่พวกเขาปล้นมาได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อห้ามปรามใดๆทั้งสิ้น ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกว่ามีเหตุผลที่เลี้ยงทหารด้วยเหล้ายาปลาปิ้งซึ่งเหมือนเป็นการมอมเมาพวกเขา แต่ไกรก็ไม่ได้คิดจะห้ามปรามใดๆเพราะเขาถึอว่าค่านิยมของยุคสมัยของเขาและยุคสมัยนี้ผิดกัน... ซึ่งเหตุการณ์ต่อจากนั้นก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้แบบเป๊ะๆ...หลังจากคำสั่งอนุญาตออกจากปากท่านสินไปได้เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ...ทุกคนต่างก็มีสภาพเมาปลิ้นจนแทบไม่มีสติสตังค์เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
" ก็กะแล้วว่าต้องเป็นยังงี้...แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นตามที่คิดแบบเป๊ะๆ ทำไมซื้อหวยไม่ถูกงี้มั่งว้าาา! " ไกรกุมขมับพร้อมกับครางออกมาเบาๆ เพราะเขาเป็นไม่กี่คนที่เหล้ายังไม่เข้าปาก เพราะต้องหลบไปคิดเรื่องแผนการในวันต่อๆไปและพยายามฟื้นฟูสภาพจิตใจอยู่เงียบๆ ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็คิดว่าเขาไม่ได้ใช้เวลามากมายนัก จึงนึกไม่ถึงว่าทุกคน...ขอย้ำว่าทุกคน...ไม่นึกเลยว่าทุกคนจะอยู่ในสภาพนี้...
" เฮ้ยๆ ถ้าไม่รู้มาก่อนนี่ตูคงคิดว่าไอ้เหล้าที่ปล้นมาเป็นเหล้าที่วางยาไว้แหงๆ " ไกรโคลงหัวพลางผลักสิงห์ที่หน้าแดงก่ำและดูแล้วไร้สติมากกว่ามีสติที่เซแท่ดๆเข้ามาหาเขาให้ล้มคว่ำไปอีกทาง ก่อนจะเดินไปผ่านท่านสินที่เวลานี้กอดไหเหล้าและหลับกรนคร่อกๆอยู่โดยไม่คิดจะปลุก หรืออีกนัยหนึ่งคือแทบไม่อยากจะมองเลยด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าภาพลักษณ์ของท่านสินที่เขาวาดภาพไว้จะถูกสภาพเมาปลิ้นแบบนี้มาแทนที่ ก่อนที่เขาจะเดินไปหาอุษาที่กำลังดื่มเหล้าราวกับน้ำพร้อมกับอ้าปากหมายจะเตือนเบาๆ
" นี่ อุษา--- "
" อารายยยจ๊าาา กรายยย " เสียงอ้อแอ้ๆที่ตอบกลับมาพร้อมกับสายตาที่หวานเยิ้มทำให้ไกรหันขวับอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะทราบทันทีว่ายัยนี่เมาแล้วแน่ๆ แต่เขาก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงหวานๆเรียกชื่อเขาหลุดออกมาจากปากคนอย่างอุษา
' ทีแรกก็คิดว่าจะเตือนว่าไมควรดื่มให้หนักไป แต่งานนี้สงสัยจะไม่ทันแล้วแน่ๆ '
ความคิดแรกของเขาเมื่อเห็นหญิงสาวกู่ไม่กลับไปแล้วแบบนี้ ไกรก็กะจะปล่อยไปเลยเพราะเปล่าประโยชน์ที่จะเตือนแล้ว แต่เมื่อคิดอีกมุมนึง ในฐานะลูกผู้ชายคนนึงที่มีสติพร้อมมูล(ซึ่งอาจจะเหลือสติอยู่เพียงคนเดียวในที่นี้) ไกรคงไม่อาจจะใจยักษ์ปล่อยให้อุษาเมาอยู่ตรงนี้ได้ เขาจึงเดินเข้าไปและพยายามแย่งไหเหล้าออกมาจากมือของหญิงสาว แต่ทั้งๆที่เมาปลิ้นขน่าดนี้ ยัยนี่ยังมีแรงยื้อไหเหล้าไว้สุดแรงเกิดพร้อมกับร้องจ้าลั่น
" ม่ายยย อย่าเอาไปน้าาา "
" เฮ่ย พอแค่นี้เหอะ อุษา เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็แฮ้งค์ตายหรอก! " ไกรดุพร้อมกับออกแรงดึง แต่หญิงสาวกลับออกแรงกระชากกลับจนดูเหมือนเล่นชักเย่อพร้อมกับเถียงกลับมาดังลั่น
" ม่ายยยย "
" เฮ้ย อย่าดื้อสิฟะ! "
" ไม่น้าาา! ถ้าขาดเหล้าไหนี้ ชีวิตข้าจะไม่เหลืออะไรเลยนะ! "
" โห เมาแป๊ปเดียวเอานิสัยลุงขี้เมามาใช้แล้วเหรอฟะเนี่ย พอแล้วเฟ้ย เดี๋ยวพอสร่างแล้วเธอได้อายตัวเองในตอนนี้แน่ๆเลย " ไกรพยายามอธิบายพร้อมกับออกแรงดึงอีก แถมขนาดเมาขนาดนี้เขายังสู้แรงเธอไม่ได้จนต้องหอบแฮ่กและยอมแพ้ ก่อนจะหันซ้ายหันขวาเพื่อหาตัวช่วย ก่อนที่สายตาจะหันไปเห็นศกุนตลาที่นั่งนิ่งอยู่บนคาคบไม้สูงและเงยหน้ามองท้องฟ้าและหมู่ดาวในยามค่ำคืนอยู่ เขาจึงรีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที
" โอ้ ศกุนตลา "
" ... "
" เอ่อ ศกุนตลาขอรับ "
" หืม? " เสียงอันมั่นคงหนักแน่นของหญิงสาวทำให้ไกรใจชื้นขึ้น เขารีบพูดอย่างเห็นความหวังต่อว่า
" เฮ้อ โล่งอก แปลว่าไม่เมา ...คิดไม่ผิดจริงๆที่ข้าหวังในตัวเธอ ถึงกินเหล้าไปก็ไม่เป็นไรเลยสินะ? "
" ข้าน่ะไม่เป็นไรหรอก "
" งั้น--- "
" เพียงแค่ดูฟ้านี่สิ ไกร... "
" หา? "
" ดูสิ...มันช่างโศกเศร้าเหลือเกิน... "
" ห หา? " ไกรเอียงคอทวนคำเล็กน้อยเพราะคิดว่าเขาหูเพี้ยนไป แต่ศกุนตลาก็พูดต่อโดยไม่สนใจไกรว่า
" ดวงดาวที่แม้เปล่งประกายระยิบระยับ แต่ก็ยังถูกความมืดยามค่ำคืนรายล้อมอยู่...ช่างดูเปลี่ยวเหงา ทว่างดงามยิ่งนัก "
" อ เอ่อ...ท่านศกุตลาขอรับ "
" ง แงงงงงง! " ก่อนที่ไกรจะได้ทันพูดอะไรต่อ มือสังหารสาวผู้มีมาดเคร่งขรึมจริงจังเป็นกะนิจกะสินธุ์ชนิดไม่เคยหลุดอาการหรือเสียกริยามาก่อนเลยกลับปล่อยโฮออกมา หลังจากนั้นเธอก็ยกเหล้าขึ้นกระดกอั่กๆพร้อมกับร้องไห้เป็นเผาเต่าโดยไม่สนใจไกรที่อ้าปากค้างเบิกตามองอยู่เบื้องล่างเลยแม้แต่น้อย
" อ อะไรฟะ! ยัยนี่เป็นประเภทเมาแล้วขี้แยเหรอฟะเนี่ย? เฮ้ย! จ ใจเย็นศกุนตลา ภาพลักษณ์เธอชักไม่เหลือแล้วนะเฟ้ย! "
" ท่านไกร "
" ชะเฮ้ย! " ไกรสะดุ้งโหยง เพราะเสียงหวานๆนั่นไม่ใช่ของใครอื่น แต่เป็นของหญิงสาวคนสำคัญอย่างอเทตยา มือฉมังธนูสาวชาวมอญ ตัวปัญหาที่หลังจากเผชิญหน้ากับสองสาวแล้ว อเทตยากลายเป็นคนที่ไกรไม่อยากจะเจอมากที่สุด เพราะขนาดไม่เมาๆยัยนี่ยังเกือบ ยัดเยียดความเป็นเมีย ให้กับเขามาแล้ว แล้วยิ่งมาเจอสุราที่มีฤทธิ์ขนาดที่ทำให้อีสาวมาดน้ำแข็งอย่างศกุนตลาเมาเยี่ยงแมวได้ เขาไม่อยากจะคิดว่ายัยนี่จะมาไม้ไหนเลย
" ทำท่าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? " อเทตยากระพริบตาปริบๆ ใช้ดวงตากลมโตมองมาที่ไกรที่ย่อตัวตั้งการ์ดสูงด้วยท่าทางที่ประหลาดที่สุด ในขณะที่ไกรเอียงคอมองดูกริยาท่าทางที่ดูแล้วไม่ต่างจากเดิมของมือฉมังธนูสาวเล็กน้อย ก่อนจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เมา หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้เมาจนกระทั่งคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาจึงเลิกตั้งการ์ดพร้อมกับฝืนยิ้มช้าๆ
" ขนาดยัยศกุนตลายังเมาปลิ้นได้ขนาดนั้น ข้าแปลกใจนะเนี่ยที่เหล้าบ้านี่ทำอะไรเธอไม่ได้ " ไกรพูดอย่างประหลาดใจในขณะที่อเทตยาเบิกตากว้างอีกครั้งก่อนจะจะหัวเราะเบาๆและยกไหเหล้าที่ขนาดย่อมกว่าที่คนอื่นๆถืออยู่และเทสุรารสแรงลงจอกเล็กๆในอีกมือนึงพร้อมกับยื่นมาให้ไกร
" ถึงไม่อยากจะนึกถึงอดีต แต่ข้าก็เคยเป็นอุปนิกขิตแห่งหงสาวดีนะเจ้าคะ การฝึกคอให้ทนกับสุราเพื่อล้วงข้อมูลเป้าหมายน่ะเป็นงานของข้า แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่ได้คิดจะใช้เหล้าเพื่อล้างหัวอย่างคนพวกนี้ เลยเพียงแค่จิบเล็กน้อยเท่านั้น...อีกอย่าง...ท่านไกรก็ไม่ได้ชอบสตรีที่ขี้เหล้านี่ ใช่ไหมล่ะเจ้าคะ? "
" ก ก็จริง " ไกรรับจอกสุรามาพร้อมกับงึมงำขอบคุณเบาๆ ก่อนที่เขาจะยกสุราตัวปัญหาขึ้นดมเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าเหยเกทันทีเพราะถ้าเขาไม่ได้กลิ่นข้าวหมักที่มีเพียงเล็กน้อยอยู่ล่ะก็ เขาคงคิดว่าเขากำลังดมเอทิลแอลกอฮอล์แบบเพียวๆอยู่ชัดๆ
" แค่ดมก็จะเมาอยู่แล้วเนี่ย "
" คิกๆ นั่นสินะเจ้าคะ "
" เรื่องอื่นไว้ทีหลังก่อนเถอะ ช่วยข้าพายัยพวกนี้ไปที่พักที่เป็นอาณาเขตของผู้หญิงหน่อยได้ไหม ข้าไม่ได้คิดว่าจะมีใครทำอะไรพวกเธอหรอกนะ แต่มันก็รู้สึกไม่งามอยู่ดี " ไกรชี้ไปที่ยัยศกุนตลาที่กำลังนั่งกอดไหเหล้าร้องไห้เป็นเผาเต่าอยู่บนคาคบไม้ด้านบน กับยัยอุษาที่เริ่มหัวเราะอย่างหลอนๆ ซึ่งพูดตรงๆเขาไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับยัยพวกนี้ยังไงเลยด้วยซ้ำ
ด้วยจำนนต่อเหตุผลที่ค่อนข้างเป็นสุภาพบุรุษ อเทตยาจึงโคลงหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินมาใต้คาคบไม้ที่ศกุนตลานั่งอยู่ ก่อนจะผิวปากส่งเสียงดังๆว่า
" กู๊ก...กุ๊กๆๆๆ "
" ถึงจะชื่อศกุนตลา แต่ยัยนั่นไม่ใช่นกจริงๆนะเฟ้ย! " ไกรเผลอตบมุกดังลั่นอย่างลืมตัว แต่เขาก็ต้องอ้าปากค้างเพราะยัยศกุนตลาดันค่อยๆปีนลงมาจากต้นไม้มาหายัยคนเรียกอย่างว่าง่ายราวกับนกตัวน้อยๆซะอย่างนั้น
" ส่วนอุษายิ่งง่ายใหญ่ " อเทตยาค่อยๆย่องไปด้านหลังของหญิงสาวที่ทำตัวเป็นขี้เหล้าและขาดสติไปชั่วขณะ ก่อนจะลงมืออย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ! แขนที่เรียวบางทว่าเต็มไปด้วยพละกำลังของหญิงสาวรวบเข้าที่คอของอุษาพร้อมกับออกแรงรัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอจนทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ยัยอุษาที่ไม่มีสติอยู่แล้วก็ขาดสติไปจริงๆ สุดปัญญาที่ไกรจะห้ามปรามทันเลยแม้แต่น้อย
" เฮ้ยๆ อเทตยา แบบนี้ไม่รุนแรงเกินไปหน่อยเหรอ? " ไกรโวยออกมาเบาๆอย่างอดรู้สึกสงสารอุษาที่ตาเหลือกหน้าเขียวไปก่อนจะหมดสติไม่ได้ แต่อเทตยาหันสายตามามองก่อนจะยิ้มแล้วถามกลับเบาๆว่า
" ท่านมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือเจ้าคะ? "
" เอ่อ ไม่มี " ไกรยอมรับอย่างปลอดอคติจนหญิงสาวชาวมอญหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะออกแรงแบกอุษาขึ้น แต่เหมือนอุษาจะตัวหนักกว่าที่คาด ไกรจึงเข้ามาช่วยประคองร่างของอุษาแทน โดยที่เขามองไม่เห็นรอยยิ้มเปื้อนปนใบหน้าของหญิงสาวที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น
ไกรออกแรงแบกหญิงสาวไปที่อาณาเขตอันเป็นอาณาเขตส่วนตัวของพวกผู้หญิง ก่อนจะกล่อมทั้งสองสาวให้เข้านอน ซึ่งถ้าพูดตรงๆเขาแค่กล่อมยัยศกุนตลาที่ว่าง่ายเข้านอนเท่านั้น เพราะยัยอุษา ถูกกล่อม ไปก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากส่งยัยพวกนั้นเข้านอนแล้ว ไกรก็ออกไปด้านนอกอาณาเขตของค่ายพัก ซึ่งในส่วนนอกสุด เขาได้พบกับชีวา เสือดาวสมิงที่มีขนาดตัวไม่ต่างอะไรกับเสือโคร่งตัวเขื่องๆ ที่นอนแอบอยู่บนคาคบไม้สูง ซึ่งถ้าหากชีวาไม่ครางฮึ่มออกมาเพื่อส่งสัญญาณเตือนล่ะก็เขาคงเดินชนยัยนี่ไปแล้วแน่ๆ
' ขนาดคิดว่าเรามีสัมผัสดีขึ้นแล้วแท้ยังไม่รู้สึกตัวเลย...ดูถูกไม่ได้จริงๆแฮะ ยัยพวกนี้ ' ไกรคิดในใจพร้อมกับส่งเสียงตอบกลับไปเบาๆ
" ชีวา... "
" ฮึ่มมม แฮ่ "
" ช่วยตอบกลับในร่างที่ข้าสามารถเข้าใจได้หน่อยได้ไหม? "
วูบบบ!
" เจ้าคะ? " หญิงสาวรูปงามผิวขาวราวกับไข่ปอกผู้มีดวงตาสีเหลืองอ่อนไร้แววและอักขระอุณาโลมบนหน้าผากกระโดดลงมาจากคาคบไม้ที่เสือดาวสมิงตัวนั้นนอนอยู่พร้อมกับยิ้มโชว์เขี้ยวและตอบกลับมา ซึ่งไกรก็ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างขึงขังว่า
" เห็นสภาพเจ้านายของเธอแล้วใช่ไหม? "
" คิกๆ เจ้าค่ะ ไม่ได้เห็นมาตั้งนานแล้วนะเนี่ย "
" ประเด็นก็คือในเวลานี้การป้องกันของเราอยู่ในระดับหล่ะหลวมที่สุด ถึงแม้ว่าข้าจะไม่คิดว่าเราจะถูกจู่โจมในคืนนี้ แต่ข้าถือคติกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะงั้น คืนนี้คงต้องฝากพวกเธอ ๓ คนแล้วล่ะ "
" เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ท่านไกร " เสือสมิงสาวก้มหน้ารับคำ ซึ่งไกรก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะอดคิดไม่ได้ว่ายัยเสือสมิงพวกนี้รู้สึกว่าจะคุยรู้เรื่องมากกว่าไอ้หัวหน้าของมันด้วยซ้ำ
" เท่านั้นแหละ ขอบใจมากนะ "
" จะว่าไปท่านก็ไม่ต้องห่วงถึงเพียงนั้นก็ได้นะเจ้าคะ ไม่ใช่ทุกคนเสียหน่อยที่เมาไม่ได้สติ " ชีวาพูดเบาๆ เรียกความสนใจจากไกรจนเขาเลิกคิ้วใส่น้อยๆ ซึ่งชีวาก็ยิ้มพลางขยายความเบาๆว่า
" ก็ท่านเกียน อดีตเจ้ากรมอาสามอญ ที่เวลานี้เป็นผู้กุมพังงาเรือเวนไตยผู้นั้นอย่างไรล่ะเจ้าคะ ท่านเกียนไม่แตะต้องสุราทั้งหมดที่ปล้นมาได้เลยแม้แต่น้อย "
ไกรร้อง โห! เบาๆ แต่ก่อนที่เขาจะอ้าปากคิดจะชมเจ้านั่น ยัยชีวาก็พูดต่อว่า
" ท่านเกียนเขาบอกว่าถ้าขืนกินเหล้าเข้าไปมันจะล้าง ของ ที่เขาอุตส่าห์ดูดมาตั้งนาน แถมของที่เขาดูดนี่เมากว่าเหล้าตั้งเยอะ เหล้าพรรค์นี้ใสอย่างกับน้ำเปล่าเลย "
" พ พอแค่นี้เถอะ ชีวา...ให้ข้าคิดว่าทัพนี่มีคนดีๆที่มีสติสมบูรณ์ๆเหลืออยู่บ้างเถอะนะ " ไกรขอร้องพลางเดินหนี เพราะเขาได้มอบหมายคำสั่งให้กับเสือสมิงสาวู้นี้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเวลานี้เขาก็เริ่มง่วงจากผลของการตรากตรำทั้งร่างกายและจิตใจมาพอสมควรแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นหญิงสาวที่ติดตามมาด้วยอย่างอเทตยายืนนิ่ิงอยู่ เขาจึงเลิกคิ้วอย่างสงสัย
" อเทตยา? "
" อ้อ ท่านไกร ท่านล่วงหน้าไปก่อนเลยเจ้าค่ะ ขอเวลาข้าซักประเดี๋ยว ข้ามีธุระที่จำต้องทำเล็กน้อยน่ะเจ้าค่ะ " อเทตยาหันมาตอบกลับเบาๆพลางยิ้มพราย ซึ่งทำให้ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะละลาบละล้วง ธุระส่วนตัว ของหญิงสาว เขาจึงพยักหน้าเบาๆพร้อมกับกำชับเธออีกเล็กน้อยว่า
" งั้นก็ระวังตัว อย่าพยายามออกนอกเขตค่ายพักล่ะ ข้าเป็นห่วง "
คำว่า ข้าเป็นห่วง ที่เขาพูดออกไปอาจไม่มีความหมายลึกซึ้งอะไรถ้าเขาอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน แต่สำหรับหญิงสาวที่อยู่ในโลกยุคกว่า ๒๐๐ ปีก่อนแล้ว คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวหน้าแดงวูบ ก่อนจะรีบหลบตาและพยักหน้ารับคำก่อนจะรีบเดินหนีไปทันที
หลังจากหญิงสาวเดินลับมุมไม้ไป ชีวาก็เหลือบดวงตาสีเหลืองอ่อนไร้แววมามองไกรก่อนจะอดพูดออกมาไม่ได้ว่า
" ท่านนี่ไม่เคยจดจำอะไรเลยนะเจ้าคะ ท่านไกร "
" หา? " จังหวะนี้ไกรง่วงเกินกว่าจะเข้าใจความหมายของเสือสมิงสาวจนทำให้เขาเอียงคอถามกลับอย่างงงๆ จนชีวาได้แต่ถอนหายใจเฮือก
" เฮ้อ "
" อ้าว ถามดีๆดันทำหน้าหน่ายโลกใส่ซะงั้น ไรฟะ รอบๆตัวตูนี่มีแต่คนแปลกๆวุ้ย "
" เฮ้ออออ "
........................................
กลางดึกคืนนั้นเอง...ณ บริเวณซึ่งใกล้กับอาณาเขตที่พวกของพวกเรือเวนไตย อเทตยา...มือฉมังธนูสาวชาวมอญผู้ลึกลับเดินทอดน่องผ่านความมืดช้าๆราวกับเดินเล่นอยู่ในสวน...ราวกับความมืดไม่ได้สร้างความกลัวให้แก่เธอเลย...หญิงสาวเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงลานกว้างที่ท่ามกลางแสงสว่างเพียงรำไรของหมู่ดาวเท่านั้น...
เพียงไม่ถึงกึ่งอึดใจต่อมา ร่างเงาของชายฉกรรจ์หลายคนก็โผล่ออกมาจากมุมมืดรอบด้านราวกับเงาผี ร่างตะคุ่มที่ไม่ต่างจากผีป่าทุกร่างค่อยๆย่างสามขุมเข้าใส่หญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางอย่างช้าๆ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังคงยืนนิ่ง...นิ่ง ราวกับว่าความกลัวไม่มีผลอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย
ห่างเพียงไม่ถึง ๒ วาระหว่างหญิงสาวกับเงาตะคุ่มเหล่านั้น อยู่ๆ เงาตะคุ่มเหล่านั้นก็ต่างพร้อมใจกันคุกเข่าและก้มหัวลงเพื่อทำความเคารพหญิงสาวร่างบางผู้นี้ทันที ในขณะที่อเทตยากอดอกพร้อมกับทีี่ริมฝีปากอวบอิ่มจะกระตุกเป็นรอยยิ้มวูบ
" อ้อ...แปลว่ายังจำข้าได้สินะ...ข้าดีใจนะเนี่ย "
" ท่านหญิงตองชะเว "
คำเรียก นาม ที่ร่างอันน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มเงาตะคุ่มเหล่านั้นทำให้หญิงสาวคิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างถอนฉิว ก่อนจะพูดเรียบๆว่า
" ข้าทิ้งนามของข้าแล้ว เช่นที่เจ้าทิ้งนามของเจ้า สมิงทอสุ...อ้อ ข้าต้องเรียกเจ้าว่า เกียน ผู้คุมพังงาแห่งเรือเวนไตยสินะ "
เงาตะคุ่มของผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเกียน ชายหนุ่มอดีตขุนนางเจ้ากรมอาสามอญผู้เวลานี้อยู่ในฐานะคนกุมพังงาเรือเวนไตย ชายผู้คุมเรือฝ่าสายน้ำอันคดเคี้ยวราวกับงูขณะที่สติไม่ครบบาทดีเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความสุขุมเจอด้วยแววเคารพยำเกรงหญิงสาวตรงหน้าพวกเขาอย่างที่สุด...ชายหนุ่มก้มหน้าลงพร้อมกับพูดเบาๆอีกครั้ง
" ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่มีวันลืมเลือนท่าน บุตรีผู้เก่งกาจแห่งนายเหนือหัวของพวกเราชาวมอญทั้งหมดทั้งสิ้น...ท่านคือหัวหน้าของพวกเรา ท่านหญิงตอง--- "
วูบ!
จิตสังหารอันเย็นเยียบจนน่าขนลุกที่พุ่งวูบขึ้นอย่างกะทันหันออกมาจากกายของสตรีผู้งดงามและท่าทางบอบบางตรงหน้าทำให้ทุกคนสั่นวูบ พร้อมกับที่เกียนรีบกัดลิ้นหยุดปากตัวเองไว้ ก่อนจะเปลี่ยนนามเรียกหญิงสาวตรงหน้าอย่างรวดเร็วว่า
" ท...ท่านอเทตยา "
" คิกๆ ดีมาก "
" หลังจากที่กลุ่มบรรลัยกัลป์ทรยศหักหลังท่าน พวกเราต่างเข้าใจว่าท่านคงเสียท่าถูกสังหารไปเสียแล้ว พวกเราเกือบจะรวมตัวกันจัดการล้างแค้นให้แก่ท่านอยู่แล้ว...แต่แล้วพวกเราก็เห็นท่านเข้ากับหน่วยคเณศร์เสียงา...เข้ากับท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี ทานไกร...พวกเราต่างโล่งใจอย่างที่สุดจริงๆ " เกียนพูดอธิบายเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยเต็มที่พร้อมกับที่ทุกๆร่างเงาตะคุ่มที่ล้อมรอบนั้นต่างขยับตัวทำเสียงฮึ่มฮั่มอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น จนกระทั่งหญิงสาวยกมือขึ้นเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบและไม่ให้เกิดเสียงดังไปมากกว่านี้ ก่อนที่เธอจะพูดช้าๆว่า
" ช่างเถอะ พวกเจ้า เวลานี้ข้าก็ไม่ได้แค้นเคืองอะไรพวกมันแล้ว...อีกอย่าง ถ้าว่ากันตามตรงข้าต้องขอบใจพวกมันที่ทรยศข้าด้วยซ้ำไป "
" ห หา? "
" ข้าไม่ได้มาที่นี่ มาหาพวกเจ้าในฐานะของ ท่านหญิงตองชะเว แต่เป็นฐานะของหญิงสาวธรรมดาๆนามว่า อเทตยา...อยากจะร้องขอให้พวกเจ้า พวกเราชาวมอญทั้งหมดเก็บความลับเรื่องตัวตนของข้าไว้...อย่าได้แพร่งพรายบอกใครเป็นอันขาด...ถือว่าข้าขอร้องเถอะนะ "
คำพูดของหญิงสาวทำให้ทุกคนชะงักกึก ก่อนจะหันไปมองหน้ากันเพราะนึกว่าตัวเองหูฝาดไป เพราะท่านหญิงตองชะเวที่พวกเขาเคยรู้คือผู้ที่ถือดีในสายเลือดมอญอันสูงส่งของเธอเป็นที่สุด และปรารถนาอย่างเต็มที่ที่จะฟื้นฟูหงสาวดี ราชธานีแห่งชาวมอญกลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมอีกครั้ง...ซึ่งท่านหญิงตองชะเวในคราวนั้นต่างจากสตรีที่เรียกตัวเองว่าอเทตยาผู้นี้ราวกับเป็นคนละคนกัน จนกระทั่งร่างเงาของชายวัยค่อนคนผู้หนึ่งพูดขัดขึ้นมาเบาๆว่า
" แต่ว่า ท่านหญิง--- "
" หรือจะให้ข้า สังหาร พวกท่านที่อยู่ที่นี่ทุกคนเพื่อปิดความลับของข้ากัน? " อเทตยาพูดพลางยิ้มพรายอย่างน่ารักอีกครั้ง แต่คราวนี้มาพร้อมกับจิตสังหารที่ดูเหมือนจะเพิ่มระดับขึ้นจนจิตสังหารเมื่อครั้งแรกเทียบกันไม่ติด เป็นสัญญาณว่าคำพูดของเธอไม่ใช่แค่คำขู่
...เธอตั้งใจจะทำจริงๆ และสามารถทำอย่างที่พูดได้อย่างแน่นอน!...
" พวกเราชาวมอญทั้งหมดที่นี่รับคำสั่งขอท่านขอรับ ท่านอเทตยา! "
" ขอบคุณทุกท่านมากนะ ข้าขอเพียงเท่านี้แหละ จงทำตามอย่างเคร่งครัดจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง " หญิงสาวพูดพลางหันหลังกลับและเตรียมจะเดินจากไป แต่เมื่อเดินไปได้ ๒ ก้าว เธอก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอียงหน้าอันงดงามแม้ภายใต้แสงดาวอันรำไรกลับมามองที่ชายหนุ่มนามว่าเกียนพร้อมกับพูดเบาๆกับเขาว่า
" เกียน...สมิงทอสุ ปรกติแล้วพวกเราชาวมอญเมื่อมาอยู่ที่อโยธยาต่างก็เปลี่ยนนามให้กลายเป็นนามของไทยกันหมด...แล้วเจ้าใช้นามอย่างไทยว่าอะไรนะ? "
" ด้วยความเคารพ ท่านอเทตยา...นามของข้าแปลงมาจากนามมอญเก่าอย่างสมิงทอสุ...นามอย่างไทยของข้าชื่อว่า ทองสุก ขอรับ! "
........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ