ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.55K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

139)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
==============================================
 
 
 
      ...หลังจากที่ปล่อยให้ไกรคายของเก่าชนิดหมดใส้หมดพุงจนเป็นที่พอใจแล้ว สิงห์ก็โคลงหัวพร้อมกับเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มที่นั่งแบ่บหมดสภาพอยู่พร้อมกับถือวิสาสะจับข้อมือไกรขึ้นมาและคลำดูชีพจร ซึ่งไกรเองก็เบิกตากว้างใส่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอื่นใดและยอมให้สิงห์ ตรวจร่างกาย เขาแต่โดยดี ...ซึ่งเมื่อจับดูซักพัก สิงห์ก็ปล่อยพร้อมกับถอนหายใจเฮือกและลุกขึ้นยืน ซึ่งอเทตยาที่จับตามองอยู่อย่างไม่วางตาอยู่แล้วก็ได้โอกาสและถามขึ้นอย่างจริงจังว่า
 
       " เป็นอย่างไรบ้าง? สิงห์ "
 
       " แค่นี้มันยังไม่ตายง่ายๆดอกน่า "
 
       " สิงห์! "
 
         เสียงที่เข้มขึ้นพร้อมกับจิตคุกคามที่ไม่น่าไว้วางใจที่แผ่ออกมาจากหญิงสาวชาวมอญทำให้สิงห์ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง พร้อมกับพูดโดยเจตนาทั้งพูดกับไกรทั้งตอบคำถามอเทตยาไปพร้อมๆกันว่า
 
       " ถึงจะไร้ซึ่งบาดแผลภายนอก แต่ครานี้เจ้าเรียกได้ว่าหนักหนาสาหัสมากทีเดียวนะ ไกร "
 
       " ห หา? "
 
       " ข้าเข้าใจเรื่องพลังใจของเจ้าที่ต้องเผชิญกับเรื่องที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้จนทำให้จิตใจอ่อนแอลงนะไกร แต่ที่หนักหนาสาหัสสำหรับเจ้าเวลานี้ไม่ใช่จิตใจ แต่เป็นร่างกายต่างหาก "
 
       " ร ร่างกาย? "  ไกรทวนคำอย่างไม่เข้าใจจนสหายหนุ่มตรงหน้าแยกเขี้ยววับ
 
       " เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเหล็กไหลมาจากไหนกัน? แต่เดิมเจ้าก็ไม่ใช่สายไสยเวทย์เช่นข้าหรือออกญาเพชรบุรีอยู่แล้ว นี่เล่นเรียกใช้ยัยลูกแก้วลูกขวัญที่เป็นกุมารีผู้แหกกฎเสียไม่นับเลย เจ้าคิดว่าพวกนางกินพลังเพียงเล็กน้อยรึอย่างไร? ...โชคดีแค่ไหนแล้วที่เจ้าแค่อ้วกแตกอ้วกแตนเพียงแค่นี้ ...เพราะถ้าเป็นคนปรกติป่านนี้คงรากออกมาเป็นเลือดไปแล้ว! "  สิงห์บ่นยาวเหยียดจนไกรรวมไปถึงลูกแก้วลูกขวัญที่อยู่ใต้อาณัติของเขาถึงกับหน้าเสียกันทั้งหมด แถมที่สิงห์บ่นออกมาก็เป็นความจริงล้วนๆจนเขาไม่อาจจะเถียงอะไรออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
 
       " สิงห์ ...ข้าว่า--- "
 
       " ที่ข้าพูดคือเรื่องจริง ไม่ได้พูดเล่นชวนหัว เจ้าจะให้ท้ายมันก็ให้มันพอเหมาะพอควรเสียบ้างเถอะ "  คราวนี้สิงห์หันไปดุอเทตยาที่พยายามจะพูดแก้ต่างให้กับไกรด้วยน้ำเสียงจริงจังจนหญิงสาวชักสีหน้าวูบ แต่เธอก็จำนนตอเหตุผลจนต้องเงียบไปอีกคน
 
         ไกรนั่งราวกับสำนึกผิดไปอีกเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเขาจะสูดหายใจลึกและลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วน ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดฝาดจนแทบจะไม่รู้เลยว่าพึ่งอ้วกแตกจนหมดแรงมาเพียงไม่นาน ก่อนที่เขาจะพูดช้าๆว่า
 
       " มีวิธีรักษา...ทำให้ข้าแข็งแรงขึ้นโดยเร็วที่สุดไหม? "
 
       " ไม่มีเส้นทางลัดสำหรับการฟื้นฟู...ข้าไม่อยากจะเรียกว่า วิญญาณ ...เลยเอาเป็นเรียกว่า พลังกาย ที่เสียไปจากการเรียกใช้ เจตภูติ หรอกนะ ไกร...ทางเดียวคือการพักผ่อนให้มากๆ แล้วเลิกคิดถึงเรื่องการศึกเสีย "
 
       " เจ้าก็รู้ว่าข้าทำไม่ได้ "
 
       " ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เลิกคิดไปถาวร แค่เลิกคิดเสียบ้างเป็นครั้งคราว เจ้าเล่นคิดมันเสียตลอดทั้งเวลากินเวลานอน ไม่มีเว้นว่างเลย...จิตกับกายล้วนสัมพันธ์กัน ยิ่งจิตเจ้าพวักพะวงมากเท่าไหร่ร่างกายของเจ้าก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น ที่ข้าพูดเนี่ยเจ้าพอจะทำได้ไหม? "
 
       " เอ่อ "
 
       " แล้วอีกอย่าง...เจ้าต้องพึงสังวรณ์ว่าเจ้าถูกฝึกมาในสาย ดาบ ไม่ใช่ เวทย์ อย่าพยายามใช้ เจตภูติ โดยไม่จำเป็นอีก ให้ใช้เฉพาะคราวที่จวนตัวพอ "
 
       " ถ้ายัยนั่นเชื่อฟังขนาดนั้นก็ดีน่ะสิ "  ไกรพึมพำด้วยน้ำเสียงบางเบาจนไม่มีใครได้ยิน ในขณะที่สิงห์ที่ปั้นหน้าขึงขังสำทับอีกครั้งว่า
 
       " ที่ข้าพูดมาก็เพื่อไม่ให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลืองไปเกินกว่านี้ เจ้าเข้าใจไหม? "
 
         ไกรถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ
 
       " เข้าใจแล้วล่ะ สิงห์ ต่อไปข้าจะนึกถึงร่างกายตัวเองและระวังมากกว่านี้ "
 
         สิงห์เหลือบมองสหายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะลอบถอนหายใจเฮือก เพราะเขารู้จักนิสัยของไกรดีว่าถ้าลงได้ทำอะไรโดยมีชีวิตของคนอื่นเป็นเดิมพันแล้ว ไกรลงแรงจนลืมตายอยู่แล้วแม้ว่าจะเข้าเนื้อขนาดไหนก็ตามที เขาจึงไม่ได้หวังอะไรกับการตกปากรับคำของไกรมากมายนัก ในขณะที่อเทตยาที่แม้จะไม่ใช่สาย ไสยเวทย์ เช่นกันแต่ก็พอจะรู้ในเรื่องพื้นฐานเช่นนี้อยู่บ้างแล้วอดขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจอยู่คนเดียวไม่ได้
 
       ' แต่จะว่าไปก็แปลก...ถึงจะบอกว่าท่านไกรใช้ กุมารี อย่างไม่ประมาณตนก็เถอะ แต่ลูกแก้ว-ลูกขวัญก็เป็นกุมารีผู้แหกกฎที่กินกำลังน้อยมากๆจนแม้แต่เราก็ยังอยากได้เลย แล้วท่านไกรก็ไม่ได้ใช้ ร่าง ของยัยกุมารีพวกนี้เลยด้วยซ้ำ...แล้วท่านเอาพลังของตัวเองไปทำอะไรหมดกัน? '  หญิงสาวคิดในใจอย่างสงสัยอยู่คนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จึงเปิดโอกาสให้ไกรหันไปถามสิงห์อีกครั้งว่า
 
       " พวกทหาร...ป เป็นไงมั่ง? "  ไกรถามอย่างกลัวในคำตอบที่เขาจะได้ยิน แต่สิงห์ฝืนยิ้มพร้อมกับตอบกลับมาเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจมากขึ้นว่า
 
       " ประสบผลอย่างงดงาม แม้จะมีบาดเจ็บถึงขนาดต้องพักบ้าง แต่ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บจนเกินเยียวยาเลยแม้แต่ผู้เดียว "
 
       " งั้นเหรอ?...โชคดีแท้ๆ "
 
       ' ไม่...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโชคหรอก '  แม้แต่คนอย่างสิงห์ยังรู้ดีถึงความจริงข้อนี้ ...แผนการของไกรในวันนี้หมดจดและสมบูรณ์จนไม่เหลือช่องให้ข้อผิดพลาดแทรกเข้ามาได้ต่างหาก
 
      ...แต่คนที่คิดแผนอย่างไกร อย่างไรก็ยังเป็น คน ...คนไม่มีทางที่จะไร้ซึ่งข้อผิดพลาด...ไม่ว่าจะมีแผนการในหัวที่รอบคอบราวกับตาข่ายฟ้าที่ไร้ตะเข็บเพียงใดก็ตาม...
 
       " ไกร "
 
       " อืม...ข้ารู้น่า เอาล่ะ สั่งทุกคนแยกกันล่าถอยกลับจุดรวมพลตามที่เคยฝึกซ้อม รอคำสั่งต่อไป เราจะออกปล้นกันอีกซักรอบ "
 
       " อีกรอบเหรอ? "
 
       " เหล็กยังร้อนต้องรีบตีสิ "
 
       " เฮ้อ ขนาดเตือนไว้แล้วแท้ๆ...ก็ยังใช้ร่างกายอย่างไม่บันยะบันบังอยู่ดี เจ้าต้องอายุสั้นแน่ๆเลยว่ะ ไอ้บ้าเอ้ย! "
 
         ในขณะที่ทุกคนพร้อมใจกันเงียบอย่างครุ่นคิดในเรื่องที่แตกต่างกันไป ไกรที่ลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนก็ยิ้มพลางเดินไปที่ริมขอบผา ก่อนจะผายมือไปทางทิศใต้ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายกล้าขึ้น พร้อมกับที่เขาจะพูดขึ้นอย่างแช่มช้าและชัดเจนที่สุดว่า
 
       " หมากตานี้ของข้ายังเดินไม่จบหรอกนะ...แต่ช่างเถอะ แค่นี้ข้าก็เอาเปรียบมากเกินพออยู่แล้ว ...งั้นต่อไปเป็นตาของพระองค์ เชิญขยับหมากได้เลย...พระเจ้าอลองพญา "
 
 
 
 
..................................................
 
 
 
 
 
      ...กระโจมศึกของแม่ทัพใหญ่แห่งทัพหน้า กองทัพพระเจ้าอลองพญา...
 
       " ข้าเชื่อว่าที่ข้าฟังไปทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นข้าที่หูฝาดไป เพราะฉะนั้น ข้าขอถามอีกที...เมื่อครู่ เจ้าว่าอย่างไรนะ?! "  น้ำเสียงของมังฆ้องนรธา แม่ทัพหน้าผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุดในทัพหน้าและในกระโจมศึกขนาดใหญ่แห่งนี้ค่อยๆพูดขึ้นอย่างแช่มช้าและเก็บอารมณ์ที่สุด จนกระทั่งเขาพูดได้อย่างช้ายิ่ง และขนาดพูดช้าเพียงใดก็ยังสามารถจับกระแสแห่งความโกรธที่ไม่อาจจะปิดบังได้มิดเลยแม้แต่น้อย...คำพูดที่ออกจากปากของจอมทัพวัยครึ่งคนบ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าหากคำตอบของคำถามนี้รู้สึกระคายหูเขาเพียงเล็กน้อย ผู้ตอบมีสิทธิ์โดนอาญาทัพขั้นสูงสุดได้ง่ายๆแน่
 
       " ข้าก็ยังขอยืนยันคำตอบเดิมขอรับ ท่านแม่ทัพ...พวกเรา...กองทัพอาทมาทของพวกเรา ถูกจู่โจมด้วย ภูติผีปิศาจ จนแตกพ่ายอย่างยับเยินขอรับ! "  ผู้ที่ตอบกลับมาและยืนอยู่ตรงกลางกระโจมนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นนายกองวัยฉกรรจ์แห่งกองอาทมาทที่ถูกกองทัพภูตืพรายของไกรตีจนแตกพ่ายเมื่อคืนนี้ ชายคนเดียวกับที่สั่งให้พลธนูยิงสิงห์ที่บุกเข้าไปเป็นคนแรกนั่นเอง...ถึงแม้ว่าอยู่สภาพสะบักสะบอมเต็มที่ แต่เขาก็ยังรอดมาได้...ไม่ใช่เพราะเขามีฝีมือหรือดวงแข็ง แต่เป็นเพราะไกรกำชับกับสิงห์และคนอื่นๆว่าต้องปล่อยให้นายกองผู้มีอำนาจและคำพูดที่มีน้ำหนักรอดกลับไปรายงานเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของรายงานต่างหาก...และหลังจากคำรายงานอัน โคตรน่าเชื่อถือ หลุดออกจากปากของนายกองผู้นี้ เส้นแห่งความอดทนของแม่ทัพมังฆ้องนรธาที่บางลงเรื่อยๆอยู่แล้วก็ถึงกับขาดผึงทันที จนเขาตวาดออกมาดังลั่น
 
       " ภูติผีปิศาจ?! ริยำเอ้ย! มึงเป็นเด็กน้อยไม่ประสาที่ถูกหลอกล่อเอาอย่างง่ายดายรึอย่างไร! ภูติผีมีจริงที่ไหน! และต่อให้มีจริง ภูติผีปิศาจบ้าอะไรมันจะละลายกองทัพของเราได้ในคืนเดียวกัน!! มึง!! "  มังฆ้องนรธาแทบจะกระโจนจากโต๊ะของตนไปขย้ำคอไอ้นายกองโง่เง่านี่แล้วกระชากคอหอยออกมาให้สมกับแรงโมโห จนกระทั่งผู้เป็นสหายอย่างอะแซหวุ่นกี้ที่ยืนดูท่าทีอยู่แล้วต้องรีบปราดเข้ามาจับไหล่ไว้เพื่อไม่ให้สหายเสียกริยาแม่ทัพไปมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นด้วยนิดๆกับการกระทำของมังฆ้องนรธา ที่ควรจะเอาไอ้บ้าตรงหน้านี่ลงหลุมไปให้ซะพ้นๆก็ตามที
 
         เหตุชุลมุนเล็กๆน้อยๆที่อะแซหวุ่นกี้พยายามห้ามปรามมังฆ้องนรธาที่ดูเหมือนจะขาดสติไปชั่วขณะ เปิดโอกาสให้บุคคลอีกคนที่ยืนอยู่ภายในกระโจมศึกแห่งนี้ และมีอำนาจในกองทัพไม่แพ้แม่ทัพมังฆ้องนรธา อยางราชบุตรมังระที่ตลอดเวลานิ่งฟังมาโดยตลอดได้มีโอกาสพูดบ้าง...เจ้าชายหนุ่มผู้อยู่ในระดับเดียวกับแม่ทัพมังฆ้องผ่อนลมหายใจวูบพร้อมกับพูดออกมาอย่างแช่มช้า 
 
       " เฮ้อ...ถ้าเป็นพวกทหารเลวพูดยังพอเข้าใจนะ ท่านนายกอง แต่นี่เป็นท่านที่พูดออกมา...ท่านไม่ใช่ไพร่ที่ถูกเกณฑ์มา แต่เป็นขุนนาง เป็นทหาร...ท่านถูกฝึกมาอย่างพร้อมมูลเพื่อให้รับในสถานการณ์ที่บีบคั้นที่สุด คำพูดที่ว่า กองทัพถูกภูติผีปิศาจเล่นงาน นี่ ไม่สมควรหลุดออกมาจากปากคนอย่าท่าน...พูดตรงๆข้าค่อนข้างผิดหวังนะ "  เจ้าชายหนุ่มพูดอย่างเนิบนาบแช่มช้า แต่กลับแผงกระแสกดดันไม่แพ้แม่ทัพมังฆ้องผู้เกรี้ยวกราดเลยแม้แต่น้อย จนนายกองตัวต้นเหตุ่ถึงกับต้องก้มหน้ามองหัวแม้เท้าตัวเองอย่างเดียว ตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าควรจะกลัวใครมากกว่ากันดี
 
       " ต แต่...แต่ข้าพุทธเจ้าเห็นจริงๆนะพุทธเจ้าข้า...ไม่ใช่แค่ข้า พวกเราที่เหลือรอดหนีตายกลับมาต่างก็คิดเหมือนกันทั้งหมด! "
 
       " กองทัพอาทมาทของท่านไม่ได้มีแค่ทหารเลว หรือทหารม้าเคลื่อนที่เร็ว แต่ท่านทีพลปืนยาวอาสา มีแม้กระทั่งปืนใหญ่ติดล้อเกวียนถึงกว่า ๑๐ กระบอก...เอาล่ะ ถ้ามันเป็นภูติผีปิศาจจริงๆ แปลว่าท่านได้ใช้ปืนใหญ่ยิงพวกมันแล้ว และพวกมันก็ไม่เป็นอะไรเลยเช่นนั้นหรือ? "  เจ้าชายมังระโคลงเศียรพร้อมกับตรัสถามต่ออย่างพระทัยเย็น แต่คำถามนี้กลับทำให้นายกองส่ายหน้าหวือๆ
 
       " พ พวกเราไม่ได้ทันยิงปืนใหญ่เลยพุทธเจ้าข้า...ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และเมื่อเราพยายามจะตั้งปืนใหญ่ตอบโต้ กลับมีลูกปืนใหญ่ระดมยิงใส่ปืนใหญ่ของเราราวกับจับวาง จนเราไม่มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย "
 
         ทันทีที่นายกองผู้นี้พูดจบ แม่ทัพมังฆ้องนรธาที่กำลังเริ่มจะสงบลงแล้วแท้ๆก็สติขาดผึงอีกรอบ แม่ทัพใหญ่ผู้จริงจังตลอดเวลาสะบัดหลุดจากอะแซหวุ่นกี้พร้อมกับตวาดลั่นกระโจมอีกครั้ง
 
       " นั่นปะไร! จับได้คาหนังคาเขา! ภูติผีระยำอะไรกันมีปืนใหญ่มาช่วย! มึงกับพวกทหารต่างก็ตาขาวกลัวแม้กระทั่งเรื่องหลอกเด็ก! นี่คงถูกพวกทหารจากราชบุรีเข้าตีจนไม่ทันตั้งตัวจนกระเจิงกลับมาสินะ พวกมึงเตรียมรับโทษอาญาทัพได้เลย! "
 
       " ท่านไม่ได้เห็นอย่างที่ข้าเห็น! ท่านแม่ทัพ!! พวกมันไม่ตาย! ไม่มีวันตาย! ข้าเห็นกับตา ข้าสั่งทหารยิงมันด้วยลูกธนูจนปักเป็นเม่น แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย! ธนูไม่ระคายผิวมันเลยแม้แต่น้อย! พวกมันมีเสือกินคนที่มีหนังทองแดงกระดูกเหล็ก! พวกมันมีม้าปิศาจและกองทัพปิศาจ! พวกมันไม่ใช่มนุษย์! "  คราวนี้นายกองแห่งกองทหารที่แตกพ่ายตลาดกลับไปด้วยเสียงดังลั่นไม่แพ้กันจนทุกคนถึงกับหันไปมองเพราะไม่นึกว่าเขาจะกล้า ในขณะที่มังฆ้องนรธาที่ถูกตวาดสวนกลับมาถึงกับอ้าปากค้าง เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆจนน่ากลัวว่าจะระเบิดให้ได้เลยทีเดียว
 
       " ม มึง!! "
 
       " เฮ้อ...อะแซหวุ่นกี้ "
 
       " ขอร้าบๆ "
 
         เจ้าชายมังระหันไปเรียกชื่อนายทหารคนสนิทอย่างเหนื่อยหน่าย ซึ่งอะแซหวุ่นกี้ก็ยานคางรับคำก่อนจะเข้าไปล๊อคตัวท่านแม่ทัพใหญ่อีกรอบ และเมื่อเห็นว่าหัวของแม่ทัพวัยกลางคนเริ่มเย็นลงแล้ว เจ้าชายมังระก็กระพริบเนตรเล็กน้อยพร้อมกับตรัสอธิบายอย่างแช่มช้าอีกรอบว่า
 
       " ท่านแม่ทัพ ท่านก็น่าจะมีอุปนิกขิตส่วนตัว ซึ่งก็ควรจะบอกตรงกับของข้า ว่าเมืองราชบุรีเวลานี้กำลังเตรียมการเสริมค่ายคูประตูหอรับ และเก็บเกี่ยวข้าวหญ้าเข้าเมืองอย่างเต็มที่...พวกมันไม่ได้มีแผนจะจู่โจมพวกเรา แต่มีแผนจะป้องกันเมือง... "
 
         คำอธิบายอย่างพระทัยเย็นของเจ้าชายหนุ่มมีเหตุผลมากพอจะทำให้อารมณ์อันเดือดพล่านของแม่ทัพมังฆ้องนรธาเย็นลงด้วยความจำนนต่อเหตุผลได้ อย่างน้อยก็เย็นลงจนพอจะทำให้เขากลับมาพูดจาโดยใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์โมโหได้ เขาปัดมือของอะแซหวุ่นกี้ที่ยังจับเขาอยู่ทิ้งก่อนจะค่อยๆพูดออกมาเบาๆว่า
 
       " พระองค์จะบอกว่าไอ้...เอ่อ...ไอ้ภูติผีปิศาจที่ไอ้เวรนี่ว่า ไม่ใช่ทหารจากอโยธยาอย่างนั้นเหรอ? "
 
       " อืม อาจจะฟังแล้วด่วนสรุปไปบ้าง แต่ไม่ใช่พวกทหารราชบุรี หรือทหารอโยธยาแน่ ข้าก็คิดเช่นที่ท่านมังระราชบุตรว่านะ "  อะแซหวุ่นกี้ยิ้มเผล่พร้อมกับพยักหน้าสำทับ ซึ่งมังฆ้องนรธาเหลือบไปมองเล็กน้อยอย่างขวางๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและพูดต่อช้าๆว่า
 
       " ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่ดีว่าพวกมันคือภูติผีปิสาจ "
 
       " ข้าก็ไม่ได้บอกว่าข้าเชื่อ...เพียงแต่...ไม่ว่ามันจะเป็นผู้ใด มันมีพลังมากพอจะสะเทือนแผนการเดินทัพของเราได้เป็นแน่...และจากระดับเท่าที่ข้าฟังจากนายกองนี่ ข้าว่ามันสามารถสะเทือนได้แม้แต่ทัพหลักของพ่ออยู่หัวเลยด้วยซ้ำไป...อย่าว่าแต่กองอาทมาทเพียง ๓๐๐ นายเลย "  เจ้าชายหนุ่มลูบหัตถ์พร้อมกับดำรัสอยางครุ่นคิดที่สุด และเป็นดำรัสที่สร้างความหนักอึ้งให้กับกระโจมศึกแห่งนี้ เพราะมันเท่ากับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับขุมกำลังใหม่ที่ไม่ได้มาจากอโยธยา หรือราชอาณาจักรใดๆ...
 
      ...ขุมกำลังปริศนาอันไร้ที่มาที่ไป...ขุมอำนาจที่ ๓ ที่โผล่มาในจังหวะที่คาบลูกคาบดอกเป็นที่สุด...
 
       " พวกท่านจะลงโทษกระผมอย่างไรก็ได้นะขอรับ...แต่กระผมไม่ขอกลับไปสนามรบ ไม่ขอกลับไปเผชิญหน้ากับพวกมันอีกต่อไปแล้ว ไม่เหลือความกล้าพออีกแล้ว...ต่อให้ท่านสั่งประหารข้า รวมถึงทุกคนที่รอดตายมาทั้งหมดก็ตาม "
 
         ในที่สุด นายกองผู้นั้นก็พูดทะลุปล้องความเงียบอันน่าอึดอัดนั้นขึ้นมา พร้อมกับคุกเข่าลงและพูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาด...การเผชิญหน้ากับฝันร้ายทั้งๆที่ยังลืมตาตื่นอยู่เป็นอะไรที่เขาไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไปแล้ว...ซึ่งการตัดสินใจพูดขึ้นอย่างเด็ดขาดนี้ก็ทำให้เพลิงโทสะที่เริ่มสงบลงแล้วของท่านแม่ทัพปะทุขึ้นอีกรอบ...แม่ทัพมังฆ้องนรธาตาลุกวาวพร้อมกับกัดฟันพูดในขณะที่เส้นเลือดที่ขมับยังเต้นตุบๆอยู่ที่ขมับช้าๆว่า
 
       " โฮ่...กล้าพูดดีนี่หว่า ไอ้เวร! "
 
       " ท่านมังฆ้องนรธา!/ตุง! "  ทั้งเจ้าชายมังระและอะแซหวุ่นกี้เรียกแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหน้าผู้นี้พร้อมกันทันที เพราะตามอาญาทัพที่บัญญัติไว้อย่างชัดเจน นายกองและทหารที่ทอดทิ้งทัพและล่าถอยหลบหนีกลับมาถึงค่ายมีโทษสถานเดียวคือตัดหัวเสียบประจาน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่แม่ทัพนายกองที่เหลือทั้งปวง อีกทั้งหากปล่อยไป พวกกองอาทมาทที่แตกพ่ายเหล่านี้ก็อาจจะป่าวประกาศเกี่ยวกับ กองทัพภูติผีปิศาจ อะไรนั่นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ไม่มากก็น้อยก็ย่อมส่งผลต่อขวัญกำลังใจของเหล่าทหารทั้งกองทัพอย่างแน่นอน
 
      ...แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากประหารนายกองและทหารที่กลับมาทั้ง ๕๐ กว่านายนี่ ย่อมทำให้เกิดคำถามในหมู่ทหารว่าเกิดอะไรขึ้น...และแน่นอนว่าในฐานะแม่ทัพ เขาไม่อาจจะตอบคำถามได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้ขวัญกำลังใจทหารบินไปอีก จึงทำให้สถานการณ์เกี่ยวกับชีวิตของพวกทหารที่แตกพ่ายกลับมานี่อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นที่สุด และเรื่องนี้ก็ไม่สมควรจะถูกตัดสินด้วยอารมณ์โทสะทั้งสิ้น
 
         แต่ในที่สุด มังฆ้องนรธาก็ผ่อนลมหายใจช้าๆ พรอ้มกับเหลือบมองทั้งเช้าชายมังระและอะแซหวุ่นกี้อย่างไม่ใคร่จะพอใจนักพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
 
       " อะไร? คิดว่าข้าพุทธเจ้าเป็นใครกัน...เจ้า...นายกองแห่งกองทัพที่แตกพ่าย ในนามแห่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหน้า ข้าขอสั่งปลดเจ้าออกจากกองทัพ และให้เจ้ารวมถึงทหารที่รอดกลับมาทั้งหมดกลับไปที่รัตนสิงค์ เข้ากองเกียกกาย คอยส่งเสบียงมาให้ทัพต่อไป...พอใจกับคำสั่งข้าหรือไม่?! "  มังฆ้องนรธากระแทกเสียงในท้ายประโยคเล็กน้อยราวกับประชดประชัน แต่นายกองผู้รอดตายกลับรีบก้มลงคุกเข่าเอาหัวกระแทกพื้นทันที เพราะคำสั่งนั้นเท่ากับว่าทำให้เขาและทหารที่รอดตายกลับมาได้รอดตายอีกเป็นครั้งที่ ๒ แล้วอย่างปาฏิหาริย์ที่สุด
 
       " ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เมตตาๆๆๆๆ "
 
       " เออๆๆ ออกไปให้พ้นหน้าข้าไป! "  แม่ทัพมังฆ้องโบกมือไล่อย่างไม่อยากเห็นหน้าให้ขุ่นเคืองอารมณ์อีก แต่ก่อนที่นายกองผ้นั้นจะรีบ ไสหัว ออกไป เช้าชายมังระก็ตวาดออกมากร้าวๆว่า
 
       " ประเดี๋ยว! "
 
       " ข ขอรับ อ เอ้ย! พระพุทธเจ้าข้า! "  นายกองผู้นั้นเข่าอ่อนลงไปคุกเข่าอีกรอบพร้อมกับหน้าซีดเผือดเพราะนึกว่าเช้าชายจะเปลี่ยนพระทัย แต่เช้าชายหนุ่มยาตรามาจนถึงด้านหน้าพร้อมกับตรัสเรียบๆว่า
 
       " คงไม่ต้องให้ข้าบอกใช่ไหม...ว่าต่อให้ต้องตาย พวกเจ้าก็ห้ามปริปากแม้แต่คำเดียวว่าพวกเจ้าไปเจอกับอะไรมา...ไม่ว่าพวกเจ้าจะเจอกับอะไรมาก็ตาม...พวกเจ้าแค่ถูกส่งกลับไปนครรัตนสิงค์และประจำกองเกียกกาย...ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ไม่มีอะไรน้อยไปกว่า...เข้าใจใช่ไหม? "
 
       " ข เข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าข้า...รับรองว่ามันจะไม่ออกจากปากพวกข้าแน่นอน! "
 
       " ดี! นี่ถือเป็นเป็นคำรับรองแล้วนะ เพราะถ้าหากเรื่องนี้หลุดรอดออกไป...นั่นเท่ากับชีวิตของพวกเจ้าทั้งหมดก็จะจบลงเช่นกัน...ชัดแจ้งนะ!! "
 
         ดำรัสที่ตรัสออกมาพร้อมกับกระแสจิตคุกคามอันแข็งกร้าวที่เจตนาข่มขู่ ทำให้นายกองผู้นั้นกลืนน้ำลายเอื้อกอีกครั้ง พร้อมกับพยักหน้ารับคำรัวๆราวกับนกหัวขวานเคาะต้นไม้ไม่มีผิด ก่อนจะรีบกุลีกุจอพุ่งออกจากกระโจมศึกอันน่าหวาดกลัวนี้ไปทันที
 
      ...หลังจากที่นายกองผู้โชคร้ายนั้นพุ่งออกไป ทั้งกระโจมศึกก็เงียบไปอย่างน่าอึดอัดอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ก่อนที่ในที่สุด อะแซหวุ่นกี้ก็หัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับพูดช้าๆว่า
 
       " พระองค์ไม่น่าจะแกล้งมันเลย ก็รู้อยู่ว่าถึงแม้ว่าพวกมันไม่พูด ไอ้กองทัพบ้าบออะไรนี่ก็คงจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่การโจมตีแค่ครั้งเดียว พวกมันต้องลงมืออีกเป็นแน่ "
 
       " เฮ้อ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นแหละ และอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละปัญหาเลย "  เจ้าชายมังระปัสสาสะเฮือก ก่อนจะหันไปดำรัสกับท่านแม่ทัพเบาๆว่า
 
       " แล้วท่านจะเอาอย่างไรต่อ? ท่านแม่ทัพ "
 
       " ทูลตามตรงเวลานี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี เพราะข้าพุทธเจ้าไม่แน่แก่ใจด้วยซ้ำว่าเรากำลังจะต้องสู้กับอะไร เวลานี้ก็คงต้องยึดตามแผนการเดิมของพ่ออยู่หัว และเดินทัพตามกำหนดการไปก่อน แล้วค่อยแก้เวลาที่เผชิญหน้ากับไอ้ กองทัพปิสาจ พวกนั้นก็แล้วกัน "  มังฆ้องนรธาพูดอย่างอับจนปัญญา เพราะเขารู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยเหลือเกินจนไม่อาจจะหาทางแก้ปัญหาถูก แถมเขาและกองทัพยังอยู่ในจุดที่สว่าง ต่างจากกองทัพปริศนาที่อยู่ในที่มืด...มันเลี่ยงไม่ได้เลยที่เขาจะกลายเป็นเป้าโจมตีแน่นอน
 
         คำพูดอย่างเกือบจะอับจนหนทางของแม่ทัพวัยกลางคนผู้นี้ทำให้เจ้าชายหนุ่มและอะแซหวุ่นกี้หันไปสบตากันเล็กน้อยราวกับสื่อสารกันในใจ ก่อนที่ในที่สุด อะแซหวุ่นกี้จะหัวเราะยิงฟันก่อนจะทรุดลงและกอดคอมังฆ้องนรธาอย่างถือสนิท ก่อนจะพูดเบาๆว่า
 
       " ตุง...เจ้าจะว่าอะไรไหม? "
 
       " หืม? "
 
       " เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าหากข้าจะขอให้เจ้า ปล่อยเรื่องนี้ให้ข้าและเจ้าชายมังระเป็นคนจัดการเอง! "
 
 
 
 
 
 
........................................................ 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา