ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.55K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
138)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ==============================================
" ไกร... " เสียงหวานใสที่เจอด้วยกระแสของความเป็นห่วงที่เอ่ยขึ้นจากด้านหลังของไกรทำให้ไกรที่ตกอยู่ในภาวะภวังค์ลึกจนไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเขาจะลูบแผงคอของสีหมอกให้นิ่งเล็กน้อยเพราะมันมีปฏิกริยาระวังภัยแทนไกรอยู่ให้สงบลงเพราะเขารู้จักเสียงและหญิงสาวเจ้าของเสียงเป็นอย่างดี
" อุษา...เหรอ? "
" คิดว่าเป็นผีสางนางไม้ที่ไหนล่ะ? " เสียงห้วนสั้นแบบรวบรัดตัดใจความอย่างกวนโมโหทำให้ไกรถอนหายใจเฮือกเล็กน้อย ก่อนจะฝืนยิ้มและเหลือบสายตาไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนหลังม้าที่ตีคู่อยู่ข้างๆเขาช้าๆ
" เจ้านี่น้า...รู้ทั้งรู้ว่าข้าชอบผู้หญิงเสียงหวานแท้ๆ "
คำพูดอย่างไม่คิดอะไรและไม่เคยคิดอะไรเลยของไกรกลับทำให้อุษาหน้าร้อนวูบ ก่อนจะกัดฟันพร้อมกับตวาดกลับไปดังๆทันที
" เห็นรึเปล่าล่ะ! ปืนใหญ่ของพวกมันสิ้นฤทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วปืนใหญ่น้อยของเราอีกส่วนก็ตกใส่พวกพลปืนแล้ว "
" อ เอ่อ? แล้ว "
" ถ้ายังไม่ตื่นก็รีบตื่นให้เต็มตาเสียทีเถอะ! เข้าแผนลำดับต่อไปได้แล้วเจาค่ะ! " อุษาพูดอย่างขัดใจเต็มที่ แต่เธอก็ยงถือลำดับสายบญชาการที่ไกรอยู่สูงกว่าเธอ จึงไม่ออกคำสั่งแทนและเลือกที่จะรอคำสั่งจากปากของไกรก่อน...
" อ เอ้อ! ลืมเลยๆ อเทตยา ยิงพลุสัญญาณให้ดำเนินแผนขั้นสองได้เลย! " ไกรรีบหันไปบอกหญิงสาวอีกคนอย่างอเทตยาที่นั่งบนหลังม้าอีกข้างหนึ่งทันทีหลังจากที่นึกขึ้นได้ ซึ่งอเทตยาที่ถือธนูวัชระกางรอท่าอยู่แล้วหัวเราะคิกคักพร้อมกับก้มหัวรับคำทันที
" รับทราบเจ้าค่ะ "
ในขณะที่เมือได้ยิน อุษาก็สะบัดหน้าพร้อมกับเดาะลิ้นดัง ชิ! อย่างรำคาญทันที
' ถ้าคนรับคำสั่งเป็นยัยคนนี้ คงจะต้องให้ไอ้ไกรเป็นผู้ออกคำสั่งผู้เดียวเท่านั้นแหละ ถึงจะตอบรับได้ความเต็มใจถึงขนาดนี้...ยัยจิตป่วยเอ้ย! '
...เพราะทั้งไกรและอเทตยาไม่ได้ยินสิ่งที่คิดอยู่ในใจของอุษา อเทตยาจึงปฏิบัติตามคำสั่งด้วยการหยิบธนูที่ติดปลายไว้ด้วยพลุไฟขึ้นพร้อมกับยิงพรึ่บไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนทันที เพียงพริบตาเดียวพลุที่ติดอยู่กับลูกธนูก็ทำงานจนระเบิดและย้อมท้องฟ้ายามค่ำคืนให้กลายเป็นท้องฟ้าสีส้มวาบอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่แสงสว่างวาบน้นเริ่มจางลง กระบวนทพม้าที่นำโดยท่านสินและหลวงพรหมเสนาก็เปลี่ยนรูปแบบขบวนทัพจากที่ใช้รูปลิ่มเพื่อตีทลวง สยายวูบกลายเป็นทัพรูปปีกกาที่เป็นกระบวนทัพที่เน้นล้อกรอบและสังหารทันที
" ปรกติแล้วพลุสัญญาณของพวกเราก็ถูกสร้างให้ใช้ยิงได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว เจ้าจะลำบากให้อเทตยาผูธนูเพื่อยิงทำไมกันนะ? " อุษาบ่นเบาๆอย่างอดฉงนสงสัยไม่ได้ แต่ไกรก็หันมายิ้มพร้อมกับตอบกลับว่า
" พลุของเจ้ามันเอาไว้ระบุตำแหน่ง เลยส่องแสงตั้งแต่ยิงเลย แล้วสถานการณ์แบบนี้เจ้าต้องการจะระบุตำแหน่งของพวกเราให้พวกพม่าันมาเยี่ยมรึไงกัน? "
" อ อึ่ก! " อุษาจำนนต่อเหตุผลที่เธอเองก็ลืมคิดไป เธอถอนหายใจเฮือกและเสมองสถานการณ์เบื้องล่าง ก่อนที่ชั่วครู่นึงเธอจะต้องพูดเบๆอย่างสนใจอีกครั้ง
" หืม...แปรทัพไวกว่าคราวที่ซ้อมกันครั้งล่าสุดอีกแฮะ " อุษาครางออกมาเบาๆอย่างอดทึ่งไม่ได้ เพราะแผนการนี้ค่อนข้างจะฉุกละหุกอย่างมาก และพอได้ฟังแผนครั้งแรก ทั้งเธอ ทั้งศกุนตลา รวมกระทั่งหลวงยกกระบัตรสินต่างก็ชี้หน้าใส่เจ้าของแผนการอย่างไกรพร้อมกับร้องออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่า ' ไอ้บ้า! ' แทบจะในทันทีเลยด้วยซ้ำ เพราะไอ้แผนที่ต้องการความเที่ยงตรงและประสานกันชนิดพลาดไม่ได้แม้แต่องคุลีเดียวเช่นนี้มันไม่มีทางฝึกกันได้เพียงวันสองวันแน่ๆ และถ้าขืนใช้แผนเช่นนี้ทั้งๆที่ยังไม่พร้อมมีหวังถูกปืนของพวกเดียวกันเองจนแหลกก่อนจะได้ทันแตะพวกพม่าด้วยซ้ำไป แต่ไกรในฐานะหัวหน้าของพวกเขาทุกคนก็ยืนกรานที่จะใช้แผนการนี้ด้วยเหตุผลที่ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก
' ...ข้ารู้ว่ามันเสี่ยง แต่ข้าเชื่อมั่น...ข้าเชื่อมั่นในความสามารถและใจของพวกเจ้าทุกคอย่างไรล่ะ '
...ความเชืื่อใจน่ะไม่ได้ทำให้แผนการบ้าๆนี่สำเร็จได้หรอก...
ความจริงข้อนี้อุษาและเหล่าือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตคนอื่นๆ (อาจจะยกเว้นสิงห์ที่ไม่ค่อยคิดอะไรอยู่แล้ว) รู้ดี แต่เธอกลับรู้สึกว่าไกรคงไม่ได้มีแค่ความเชื่อใจแน่...และเธอก็เดาถูก เพราะเขาไม่ใช่แค่เชื่อใจ แต่เขากำลังซื้อใจไปด้วยต่างหาก...การพูดอย่างแสดงความคาดหวังของไกรช่วยผลักดันให้ทหารทุกคนแสดงความสามัคคีและความสามารถออกมาได้ถึงขีดสุด...ในขณะที่ไกรประกาศคำสั่งที่น่ากลัวอยางใช้ให้สิงห์เพียงคนเดียวเป็นตัวล่อเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งถึงเหมือนจะเป็นการดูเหมือนใช้ให้ไปตายชัดๆ แต่สำหรับพวกเธอที่รู้จักสิงห์ดีอยู่แล้วต่างไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่นัก เพราะขนาดทัพที่ใหญ่กว่านี้หรือแม้กระทั่งฝูงความป่าเป็นร้อยๆตัวสิงห์ผู้นี้ยังเคยฝ่ามาแล้ว แค่นี้ไม่ระคายผิวไอ้คนที่เป็นดั่งปิศาจเดินได้นี่เป็นแน่...
...ส่วนคำสั่งที่น่ากลัวสำหรับพวกเธอของจริงคือการที่ไกรสั่งปลดศกุนตลาออกจากการเป็นหัวหน้าพลแม่นปืนและให้ย้ายไปอยู่กับเรือเวนไตยในฐานะคนชี้เป้าปืนใหญ่น้อยแทน ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดมือเท้าสำคัญไปเลย...แต่ผลของการเปลี่ยนแปลงรั้งนี้กลับทำให้สถานการณ์ศึกเป็นไปได้ด้วยดีจนน่าเหลือเชื่อ เพราะทำให้ปืนใหญ่น้อยที่ปรกติได้แต่กำหนดปริมณฑลการยิงแบบกว้างๆแถมยังคลาดเคลื่อนบ่อยมาก เวลานี้กลับสาารถยิงได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง ด้วยความร่วมมือกันของผู้มองเห็นทุกอย่างราวกับอ่านลายมือตัวเองอยางศกุนตลา กับมือฉมังปืนใหญ่อย่างพระเชียงเงิน จนปืนใหญ่น้อยบนเรือเวนไตยไม่มีประบอกไหนเลยที่ยิงถูกพวกเดียวกัน...ไม่มีเลยแม้แต่ลูกเดียว...
...ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเธอซึ่งเป็นมือสัหารแหงหมู่บ้านยุคันตวาตถูกสอนให้รู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้ ซึ่งทำให้พวกเธอเก่งกล้าโดดเด่นไปในด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดขั้ว...แต่ไกรกลับต่างออกไป...เขาไม่ใช่แค่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้...แต่ยังรู้ว่าตัวเอง รวมึงคนอื่นๆสมควรจะทำอะไร และควรจะทำเช่นไรจึงจะสามารถเปล่งความสามารถออกมาได้อยางสูงที่สุด...
" ลูกแก้ว ออกมาหาข้าซิ " ระหว่างที่อุษากำลังครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆคนเดียวอยู่นั้น ไกรที่อยู่ๆขมวดคิ้ววูบก็เอ่ยเรียกกุมารีผู้แหกกฎที่เวลานี้อยู่ใต้อาณัติของเขา ซึ่งเมื่อสิ้นเสียง เด็กหญิงผมสั้นผิวสีแทนซึ่งมีนามว่าลูกแก้วก็ปรากฏขึ้นโดยนั่งอยู่บนแผงคอนุ่มๆของสหมอกและใช้ดวงตากลมแป๋วมองมาที่พ่อของเธอพร้อมกับเอียงคอพูดเบาๆว่า
" เจ้าคะ? ท่านพ่อ "
" ลูกแก้ว ไปบอกไอ้สิงห์ว่าให้ันช้าลงหน่อย รู้สึกว่ามันจะบ้าเลือดจนล้ำหน้าเกินไปแล้ว ประเดี๋ยวไปชนกับกระบวนม้าของเราและถูกลูกหลงเข้า...แล้วก็ไปบอกให้ท่านสินสั่งห้ามใช้ปืนไฟ เดี๋ยวยิงไปโดนถังดินดำของพวกพม่าเข้าจะเละกันหมด " ไกรสั่งอย่างเป็นการเป็นงานโดยที่สายตายังคงไม่ละจากกล้องส่องทางไกลในมือ แต่แทนที่ลูกแก้วจะรัคำสั่งอย่างว่าง่ายอย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ คราวนี้ลูกแก้วกลับทำแก้มป่องพร้อมกับร้องอย่างไม่ใคร่จะพอใจนักทันที
" โธ่ ท่านพ่อล่ะก็ "
" เอ๋? ไหงทำเสียงนอยด์---เอ่อ ดูไม่ค่อยพอใจงั้นล่ะ? "
" ความผิดท่านพ่อนั่นแหละ ตั้งแต่คราวก่อนที่ท่านใช้แล้วข้าไปตามพวกที่ออกลาดตระเวนกลับมาเร็วเข้าหน่อย ตั้งแต่นั้นมาท่านพ่อก็ใช้ข้าไปมาๆส่งข่าวราวกับนกพิราบสื่อสารก็ไม่ปาน ...โธ่ ท่านพ่อนะท่านพ่อ ข้ากับยัยลูกขวัญไม่ได้เกิดมาเพื่อเรื่องแค่นี้เสียหน่อย จะส่งให้ข้าพุ่งไปหักคอนายทัพของพวกมันตรงๆตั้งแต่แรกก็ยังได้ด้วยซ้ำไป! "
ก่อนที่ยัยลูกแก้วจะพูดอะไรน่ากลัวๆออกมามากกว่านี้ ไกรก็รีบเอามือข้างที่ว่างอยู่ลูบหัวเด็กหญิงอย่างอ่อนโยนพร้อมกับสบตาและพูดยิ้มๆว่า
" ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากับลูกขวัญเคยทำอะไรมามั่งและไม่คิดจะคาดคั้นถามด้วย...แต่เมื่อเวลานี้เจ้ากลายมาเป็นเสมือนลูกสาวของข้า ข้าก็ไ่อยากให้ลูกๆของข้าอย่างพวกเจ้าทำเรื่องผิดไปมากกว่าที่ทำอีก เพื่อตัวพวกเจ้าเอง...เอาเถอะ ซักวันเจ้าจะเข้าใจเอง แต่เวลานี้ไปทำตามที่ข้าบอกเถอะนะ " ไกรอธิบายอย่างใจเย็นและเมตตาจนเด็กน้อยตรงหน้านิ่งอึ้งไป ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงและหายตัวไปเพื่อทำตามคำสั่งของ พ่อ ของเธอทันที
" คิกๆ ก็ช่างคิดได้สมกับเป็นเจ้าล่ะนะ " อุษาอดเอ่ยแซวออกมาเบาๆไม่ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์ตลอดเช่นนี้ ซึงอเทตยาที่มองอยู่เช่นกันก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ ซึ่งไกรก็เกาหัวแกรกๆอย่างกระดากใจตัวเองนิดหน่อยพร้อมกับครางออกมาว่า
" เออๆ อย่าแซวน่า "
" แต่ว่า...เจ้าเปลี่ยนไปนะ ไกร "
" เปลี่ยนไป?...เดี๋ยวสิ เจ้าเห็นข้าเปลี่ยนไปยังไงกัน? "
" ...อืม...จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ประมาณรู้สึกว่าเจ้าเวลานี้เลวชาติขึ้นเป็นกองเลยล่ะ "
" พูดอย่างนี้กวนกันชัดๆไม่ใช่รึไงฟะ! อย่าพึ่งเล่นตอนนี้น่า ตอนนี้เข้าสู่ช่วงสำคัญแล้วนะ " ไกรส่ายหัวอย่างหงุดหงิดพร้อมกับหันสายตาไปจับจ้องผ่านกล้องส่องทางไกลของตนต่อ
อุษาเองก็ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะไม่พูดอะไรต่อ นอกจากแอบเหลือบมองไกรที่เวลานี้หันหน้ากลับไปมองสมรภูมิเบื้องล่างต่อจนเธอเห็นใบหน้าคมของชายหนุ่มได้เพียงแถบเดียวเท่านั้น...ก่อนที่จารสตรีผู้เก่กาจผู้นี้จะลอบผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
" ที่แย่คือ...ข้าไม่ได้พูดโดยเจตนาพูดเล่นนี่แหละ ไกร "
...เขาอาจจะยังไม่รู้ตัว...แต่ไกรในเวลานี้พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นบุคคลที่เก่งกาจในหลายๆทาง...เก่งกาจ จนน่ากลัว...และความน่ากลัวนี้ก็กำลังเริ่มส่งผลกระทบแก่ทุกๆคนแล้ว!...
...........................................
...เพียงไม่ถึงชั่วยามต่อมา...เมื่อฟ้าสาง และทุกๆอย่างสงบลงอย่างราบคาบ...เหลือไว้เพียงแค่เศษซากของค่ายพักที่เมื่อไม่นานมานี้ยังเต็มไปด้วยร่องรอยของชีวิตของเหล่าทหารกล้าทัพอาทมาทที่เจนศึกอยู่แท้ๆ แต่บัดนี้สถานที่แห่งนี้กลับเหลือเพียงซากของร่างอันไร้ชีวิต ของชายฉกรรจ์สัญชาติพม่ากว่าสองร้อยนายที่ถูกการโจมตีที่ไม่คาดฝันพรากเอาชีวิตพวกเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยที่เหลือทหารรอดตายไปได้เพียงประมาณ ๕๐ เศษเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่มีพลุสัญญาณลูกที่ ๓ ที่ไกรสั่งให้อเทตยารีบยิงเพื่อสั่งให้พวกทหารม้าภายใต้การนำของทานสินและหลวงพรหมเสนาหยุดเสียก่อน เหล่ากองทหารม้าเคลื่อนที่เร็วที่คะนองศึกไม่ต่างจากปลาได้น้ำมีหวังตามไปเก็บจนเรียบวุธแน่ๆ
" แล้วทำไมท่านไกรถึงได้สั่งให้พวกเราหยุดซะล่ะ ...นี่ถ้าตามไปก็คงจะสังหารได้หมดแล้วแท้ๆ เพราะขวัญพวกมันไม่เหลือเลยด้วยซ้ำ " นั่นคิอความสงสัยของทหารม้าหลายๆคนที่อดฉงนฉงายในคำสั่งอันแปลกประหลาดของแม่ทัพของพวกเขาไม่ได้ พอดีกับที่อุษาซึ่งเป็นสายบัญชาการที่อยู่กับไกรตลอดจะขี่ม้าลงมาสมทบ พวกเขาจึงกรูกันเข้าไปถาม ซึ่งอุษาก็เกาหัวแกรกๆพร้อมกับหันไปมองหลวงยกกระบัตรสินที่เวลานี้พึ่งถอดหมวกศึกและสะบัดผมไปมาเพื่อไล่เหงื่ออกพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
" คำถามนี้ท่านก็น่าจะไขข้อสงสัยได้ไม่ใช่รึอย่างไร ท่านหลวงยกกระบัตร "
" ข้าไม่ว่างขอรับ ทานช่วยสงเคราะห์พวกนี้เสียหน่อยก็แล้วกัน " สินตอบกลับมาห้วนๆก่อนจะชักม้าวนเพื่อตรวจดูผู้ที่บาดเจ็บต่อทันทีโดยทิ้งให้อุษาโคลงหัวดิกๆ กอนจะหันมาตอบกลับเหล่าทหารด้วยน้ำเสียงดังชดเจนจนได้ยินกันไปทั่วว่า
" การจู่โจมคราวนี้มันไม่เหมือนคราวแรกที่ไกรสั่งจู่โจมเพื่อช่วยพวกชาวบ้าน คราวนั้นเรายังมาเป็นการลับ ยังไม่มีใครรู้จักพวกเรา เลยปล่อยให้พวกมันกลับไปเล่าลือไม่ได้แม้แต่คนเดียว แต่ด้วยความช่วยเหลือของพวกเรือเวนไตยทั้งหลายที่เล่นไว้เสียไม่มีชิ้นดี ทำให้ตัวตนของพวกเราไม่เป็นความลับอีกต่อไป ทั้งข้า ไกรและ่านสินเลยเห็นพ้องต้องกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า ไหนๆความก็จะแตกแล้ว ก็เอาให้มันสนั่น(ตามที่ไกรว่า)ไปเสียเลยเป็นไร " อุษาพยายามอธิบายโดยเอาแต่เนื้อๆและไม่ได้เจตนาจะแขวะใคร แต่พระเชียงเงินที่ขึ้นมาสมทบพอดีและได้ยินเขาก็ถึงกับทรุดไปกองกับพื้นอีกรอบในฐานะ แพะรับบาป ของกรณีเรือเวนไตย ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่พวกทหารก็ยังเอียงหัวถามอย่างไม่หายข้องใจอยู่ดี
" แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่พวกเราต้องไว้ชีวิตให้พวกมันหนีรอดกลับไปล่ะ? "
" เจ้าจะสร้างข่าวลือได้อย่างไรล่ะ ถ้าไม่เหลือใครรอดไปลือเลยซักคนเดียว " หญิงสาวย้อนถามกลับเรียบๆ ซึ่งคำถามของเธอก็ทำให้ทุกคนถึงบางอ้อทันที ก่อนที่อุษาจะชักม้าวิ่งเหยาะๆเข้าไปใจกลางค่ายซึงเวลานี้กลายเป็นหลุมเป็นบ่อจนแทบจะขี่ม้าเข้าไปไม่ได้ ก่อนเธอจะลงจากหลังม้าเพื่อตรวจดูสิ่งของที่เหลือจากการต่อสู้ที่พวกเธอพอจะใช้ประโยชน์ได้ แต่เมื่อเห็นสภาพเท่าที่ยังเหลืออยู่ เธอก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับส่ายหน้าทันทีี
" เฮ้อ ปืนใหญ่ติดล้อเกวียน ๑๐ กว่ากระบอกถูกกระสุนลูกแตกของเรือเวนไตยกระหน่ำยิงจนแตกร้าวใช้การไม่ได้ทุกกระบอก ดินดำกับเสบียงก็ถูกระเบิดหายไปเสียสิ้น...เจริญล่ะ...พวกทหารพม่าที่รอดกลับไปได้ก็รอดกลับไปได้เพียง ๕๐ เศษ ทั้งๆที่ข้ากับไกรกะว่าจะให้รอดไปสัก ๑๐๐ เศษเพื่อให้พวกมันกลับไปกระจายข่าวลือให้ไวๆแท้ๆ...นี่ขนาดไกรรีบสั่งให้ยัยอเทตยายิงพลุสัญญาณก่อนกำหนดที่วางไว้แล้วแท้ๆ...ฮึ่ม...เจ้าพวกนี้นี่มันลงมือกันได้มือหนักจนน่าด่าจริงๆเลย! "
คำพูดกึ่งๆตำหนิกึ่งๆเสียดายของอุษาทำให้คนที่เดินผ่านมาได้ยินถึงกับอ้าปากพะงาบๆราวกับปลาขาดอากาศหายใจกันเป็นทิวแถว เพราะนาทีนั้นพวกเขาคิดแต่ว่าต้องจัดการศตรูที่อยู่ตรงหน้าให้ได้เยอะที่สุดโดยไม่สนเรื่องปลีกยอยอะไรพรรค์นั้นด้วยซ้ำ ก่อนที่ศกุนตลาที่ขึ้นจากเรือเวนไตยมาได้ยินเช่นกันจะเดินเข้ามาสมทบพร้อมกับเอ่ยแก้ตัวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
" เรื่องปืนใหญ่ที่ร้าวนี่ข้าไม่ขอโทษหรอกนะ และก็ไม่คิดจะแก้ตวอะไรด้วย เพราะถ้าพระเชียงเงินไม่สังยิงซ้ำด้วยปืนใหญ่น้อยในระลอกที่ ๒ และ ๓ พวกมันก็อาจจะกู้ปืนใหญ่นี่ขึ้นมาใช้ได้...ถ้าเป็นเช่นนั้นทัพม้าพวกนี้มีหวังป่นเป็นผุยผงแน่ๆ...สิ่งที่เรือเวนไตยทำวันนี้ทำตามคำสั่งของไกรได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง ข้ารับประกันข้อนี้ได้ "
" แหม ต้องมีข้อแก้ตัวทุกคราสินะ "
" ข้ามิได้แก้ตัว "
" พอๆ เถียงกับคนหัวแข็งอย่างเจ้าไปก็ปวดหัวเปล่าๆ "
ศกุนตลาหันซ้ายหันขวาเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นผู้ที่ควรจะเห็นอยู่ตรงนี้เธอจึงหันไปถามอุษาเบาๆอย่างสงสัยว่า
" นี่ อุษา แล้วอเทตยากัไกรล่ะ ไม่ได้ลงมาพร้อมกับเจ้าหรือ? "
" อ้อ " อุษาครางออกมาเบาๆพร้อมกับทำหน้าเหนื่อยหน่ายสุดๆ ก่อนที่เธอจะพูดต่อช้าๆว่า " ...ยังไม่ได้ตามลงมา "
" หา? แล้วนี่เจ้าปล่อยให้ไกรอยู่กับอเทตยาตามลำพังอย่างนั้นหรือ?! ...เจ้าบ้ารึเปล่า ถ้าหากไกรมันหน้ามืดเกิดทำอะไรไม่ดีไม่งามกับอเทตยาขึ้นมาจะว่าอย่างไร! "
" ถ้าจะกลัวเรื่องนั้น ข้าว่าเจ้ากลัวผิดคนแล้วล่ะ "
" หา? "
" แล้วอีกอย่าง...ข้าว่าต่อให้คิดจะทำจริงๆ...สภาพของไอ้ไกรตอนนี้ แม้แต่ยัยนั่นก็คงจะทำใจยักษ์เล่นงานไม่ลงแน่ๆเลยล่ะ "
" หาาาาา? "
................................................
...อ...โอ้กกกกก!...
" ค ค่อยๆเถอะ...ว ไหวรึเปล่าเจ้าคะ? ท่านไกร " เสียงของหญิงสาวทีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมือฉมังธนูสาวชาวมอญนามว่าอเทตยา ที่เวลานี้กำลังก้มลงเอามือลูบหลังไกรที่โก่งคออ้วกอยู่ตรงแนวพุ่มไม้บนยอดผาตัดแห่งนี้ ซึ่งเมื่อหลังจากที่สถานการณ์ศึกที่อยู่ด้านล่างสงบราบคาบลงซึ่งเป็นเวลาพอดีกับช่วงฟ้าสาง ชายหนุ่มผู้พยายามสั่งการในฐานะนายทัพแห่งกองทัพภูติพรายมาโดยตลอดก็ทำหน้าผะอืดผะอมพร้อมกับสีหน้าที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆ ก่อนจะรีบบอกให้ทั้งอุษาและอเทตยาล่วงหน้าลงมาก่อน ซึ่งพอเห็นจากท่าทีอุษาก็เดาได้ทันทีว่าไกรไล่เธอเพราะไม่อยากจะคายของท่อยู่ในกระเพาะออกมาต่อหน้าเธอให้เสียภาพลักษณ์ แต่ก็เห็นแก่หน้าไกรที่วันนี้ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เลยยอมลงมาก่อน แต่อเทตยากลับดื้อไม่ยอมทำตมที่สั่งเพราะเป็นห่วงและต้องการจะคอยดูแลไกร
ซึ่งหลังจากที่ไกรโก่งคออ้วกไปได้ ๒ รอบ เขาก็เงยหน้าี่เวลานี้ซีดเผือดราวกับกระดาษขึ้นพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ
" อ อืม...ร รู้งี้น่าจะกินอะไรรองท้องมาก่อนซะก็ดี...อ้วกออกมาแล้วมีแต่น้ำย่อยนี่ทรมานสุดๆไปเลย "
" ท ท่านไกร ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ แผนการของท่านนั้นเรียกได้ว่ารัดกุมและพิศดารสมบูรณ์แบบแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนยืนดูมันให้ทำร้ายจิตใจท่านเลยก็ได้...ปล่อยให้การบัญชาการเป็นหน้าที่ของหลวงยกกระบัตรสินหรืออุษาเสียเถอะเจ้าค่ะ...ข ข้า ข้าไม่อยากให้ทานต้องทรมานเช่นนี้อีกต่อไป " อเทตยาจับมือไกรพร้อมกับแนะด้วยความเป็นกังวลและเธอก็หมายความตามอย่างที่พูดจริงๆ แต่ไกรกลับตอบรับคำแนะนำเช่นนี้ด้วยการฝืนยิ้มอย่างซีดเซียวและส่ายหน้าช้าๆ
" ไม่มีแผนการใดในโลกนี้ที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า สมบูรณ์แบบ หรอก อเทตยา...คราวนี้ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้นที่แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่น...ในวันที่แผนการเกิดผิดพลาด ข้าก็อยากให้แน่ใจว่าข้าอยู่ตรงนั้น เพื่อแก้สถานการณ์ที่ว่า "
" แต่ว่าที่ท่านทำอยู่่นี่มันเกินกำลังของท่านนะเจ้าคะ! " อเทตยาเริ่มน้ำเสียงกร้าวขึ้นเมื่อเห็นว่าไกรไม่ได้ฟังเธอเลย แต่ไกรกลับแก้ด้วยการหัวเราะพร้อมกับใช้มือลูบหัวเธออย่างไม่ได้เจตนา เพราะหมู่นี้เขาลูบหัวลูกแก้วลูกขวัญจนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเซียวๆอีกครั้งว่า
" ฮ่ะๆ พูดอย่างกับยัยลูกขวัญไม่มีผิด ถ้างั้นข้าจะตอบเหมือนกับที่ตอบยัยนั่นไปนะ...อย่าห่วงเลย อเทตยา...ข้าน่ะรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี "
' ถ้ารู้อย่างที่ปากพูดก็ดีจริงๆสิเจ้าคะ ' คราวนี้อเทตยาได้แต่เถียงกลับไปในใจ เพราะเธอรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์ที่เธอจะพูดอะไรออกมาแล้ว ไกรน่ะหัวแข็งและดื้อรั้นกว่าที่ทุกคนคิดอย่างมาก เธอจึงทำได้แค่มองชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับพูดเบาๆว่า
" ข้าจะไปหยิบผ้าสะอาดมาให้นะเจ้าคะ "
หญิงสาวมองไกรอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินถอยออกมาเพื่อหยิบผ้าจากกระเป๋าสัมภาระบนหลังม้าของเธอ...แต่อยู่ๆ อาการหนาวเยือกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้มือฉมังธนูสาวที่มีประสาทสัมผัสที่ถูกขัดเกลาอย่างแหลมคมที่สุดหันขวับพร้อมกับตั้งท่าระวังภัยอยางรวดเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ ดวงตาเบิกกว้างในขณะที่ปากจิ้มลิ้มตวาดออกมาเรียบๆว่า
" ผู้ใด! "
ฮึ่มมมม! กรรร!
เสียงครางต่ำๆที่ห้าวใหญ่ราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ที่มาพร้อมกับจิตสังหารที่บ้าคลั่งที่แผ่ออกมาอย่างไม่น่าไว้วางใจจากแนวชายป่าด้านหลังทำให้หญิงสาวเบิกตากว้างขึ้นไปอีกและตัดสินใจว่าสถานการณ์เข้าขั้นไม่อาจทำเล่นต่อไปได้แล้ว พริบตาเดียวธนูวัชระสีดำสนิทที่ถูกพับซ่อนไว้ก็ถูกกางขึ้นอย่างเต็มสัดส่วนพร้อมกับที่ลูกธนูสีดำจะถูกขึ้นสายน้าวจนตึงเปรี๊ยะด้วยความรวดเร็วชนิดมองแทบไม่ทัน ก่อนที่หญิงสาวจะตวาดถามขึ้นอีกครั้ง
" ข้าจะไม่ถามซ้ำ! น่ั่นผู้ใด!! "
โฮกกก!
ยังไม่ทันที่เสียงขู่ของอเทตยาจะสิ้นเสียงกังวานด้วยซ้ำ จิตสังหารที่เดิมแค่แผ่ออกมาอย่างแผ่วๆก็พุ่งพรวดขึ้นราวกับทำนบแตก พร้อมกับที่ร่างเงาของสัตว์สยองขวัญที่ควรจะมีตัวตนอยู่แต่ในฝันร้ายจะพุ่งวูบอยางรวดเร็วจนมองเห็นราวกับแถบแสงสีแดงก่ำดังโลหิตพุ่งวูบไปมาเท่านั้น จิตสังหารที่บ้าคลั่งเมื่อรวมกับรูปลักษณ์ของปิศาจร้ายนี้อาจจะทำให้คนธรรมดาๆขวัญหนีดีฝ่อจนตกใจตายไปอยางง่ายๆเลยด้วยซ้ำแท้ๆ ...แต่อเทตยากลับเป็นข้อยกเว้น เพราะทันทีที่จิตสังหารนั้นเพียงมีท่าทีว่าจะปะทุขึ้น อเทตยาก็สะบัดมือและปลดปล่อยลูกธนูออกจากแหล่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอีีกต่อไปทันที!
พรึ่บ!
" จ๊ากกกก! " พริบตาที่ลูกธนูสีดำสนิทของเธอพุ่งเข้าปักใส่ร่างสีแดงดั่งโลหิตนั้น อสุรกายตนนั้นก็ล้มคว่ำพร้อมกับร้องออกมาเสียงหลงอย่างเจ็บปวดระคนตกใจ และเสียงร้องนั้นก็ทำให้อเทตยาที่เวลานี้น้าวสายธนูดอกที่ ๒ พร้อมแล้วชะงักกึก ก่อนจะร้องถามอย่างงงๆว่า
" สิงห์...เหรอ? "
คำหยั่งเสียงถมอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักของเธอส่งผลชะงัด เพราะอสูรตนนั้นสะดุ้งเฮือก ใบหน้าอันอัปลักษณ์ที่หากว่าสังเกตดีๆคือหน้ากากที่ถูกร้างขึ้นอย่างปราณีตและแนบเนียนหันซ้ายหันขวาอย่างลนลาน ก่อนที่มันจะดิ้นรนอีกเฮือกด้วยการกระแอมไออย่างเป็นการเป็นงานและพูดขึ้นห้าวๆว่า
" อะแฮ่ม...จำผิดคนแล้วล่ะแม่นาง...ข้าคือ อ่า เออๆ ข้าคือเจ้าป่าเจ้าห้วยอย่างไรล่ะ! "
" จ เจ้าป่าเจ้าห้วย? "
" ถูกต้องแล้วแม่นาง ข้าพเจ้าคือเจ้าป่าเจาห้วยอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น รีบเอาเหล้ามาเซ่--- "
พรึ่บ!
ลูกธนูดอกที่ ๒ ที่พุ่งวูบเฉียดถากหน้ากากอสูรของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังบาดหูและเกิดรอยบนหน้ากากเป็นทางยาวทำให้ ท่านเจ้าป่าเจ้าห้วย ถึงกับตัวแข็งทื่อ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะค่อยๆหันกลับมาพร้อมกับบิดตัวไปมาอย่างเอียงอายจนดูน่ารักน่าชังที่สุด
" ว ว้า...ถูกจับได้ซะแล้วสิ "
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
" จ๊ากกกก! แค่ล้อเล่นเฉยๆอย่าโกรธเป็นจริงเป็นจังสิเฟ้ย! ถึงจะบอกว่าคกระพันชาตรีแต่ธนูแบบพิเศษของเจ้ามันเจ็บนรกแตกเลยนะเฟ้ย! พอแล้วๆๆๆ! " สิงห์รีบวิ่งหัวซุกหัวซุนหลบลูกธนูพร้อมกับร้องลั่น ก่อนจะรีบถอดหน้ากากเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นหน้าเขาชัดๆ ซึ่งเมื่อเห็นชัดๆบวกกับขี้เกียจหยิบลูกธนูชุดใหม่ออกมาแล้ว อเทตยาก็แสร้งทำเป็นเอียงคอและร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรู้ว่าเสแสร้งสุดๆว่า
" อ๊ะ! สิงห์จริงๆหรอกหรือนี่? ...โธ่ อย่าแกล้งกันเช่นนี้สิ ข้าตกอกตกใจหมด "
" ย ยัยมอญนี่! "
" เกิดอะไรขึ้นเหรออเทตยา? อ้าว สิงห์เหรอ? " ไกรที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเลยเดินออกมาดู ซึ่งสิงห์ที่เห็นว่าปลอดภัยแล้วก็ออกมาจากที่กำบังและโบกมือให้ไกรทันที
" โอ้ ไกร! "
แต่พอไกรเห็นสิงห์ที่เวลานี้ร่างแทบทั้งร่างถูกย้อมไปด้วยเลือดที่เริ่มแห้งเกรอะกรังของเหล่าทหารพมาที่โชคร้าย แถมหน้าจากที่ถอดหน้ากากออกก็เปื้อนเลือดที่ไม่ใช่เลือดของเขาเองจนแดงเถือกไปทั้งหน้า ชายหนุ่มก็ถึงกับหน้าซีดเผือดพร้อมกับทำมือทำไม้ขอเวลานอกพร้อมกับพูดอู้อี้ๆเบาๆทันที
" ข ขอตัวซักครู่...โอ๊กกก! "
" อ เอ่อ? " สิงห์หันไมองอเทตยาเหมือนกับจะถาม ซึ่งหญิงสาวชาวอญก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับครางออกมาเบาๆว่า
" หลังจากจบศึกก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ ขอร้องล่ะนะสิงห์ แค่นี้ทานไกรก็รู้สึกแย่พอแล้ว อย่าแกล้งเขาเลยนะ "
" เฮ่ยๆ เห็นข้าเป็นคนขี้แกล้งมากนักรึอย่างไรฟะ? "
" จะให้ตอบตรงๆเหรอ? " อเทตยาถามกลับด้วยแววตาปลาตายจนสิงห์แยกเขี้ยววับ
" ไม่ต้องเฟ้ย! " สิงห์พูดพร้อมกับถือวิสาสะหยิบหรือพูดให้ถูกคือแย่งผ้าสะอาดในมือของอเทตยาที่เตรียมไว้ให้ไกรขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเต็มหน้าของตัวเองโดยไม่ขออะไรเลยด้วยซ้ำจนอเทตยาถึงกับอ้าปากค้าง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อเพราะรู้ดีว่าว่าไปไอ้คหน้าหนาตรงหน้าก็ไม่เคยสะดุ้งสะเทือนอยู่แล้วอยู่ดี ก่อนที่สิงห์จะถอดเกราะหนาๆสีดำสนิทที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงคล้ำของตัวเองออกางกองกับพื้น ก่อนจะเดินไปหาไกรที่กำลังโซซัดโซเซออกมาอีกรอบพร้อมกับแกล้งถามเบาๆว่า
" ว่าอย่างไร? สบายดีไหมวะไกร "
" อ อือ...ต ตูสบายดี " ไกรยังอุตส่าห์ตอบกลับมาได้ชนิดที่แม้แต่สิงห์ยังถึงกับต้องกระพริบตาปริบๆ
' สบายดีกับผีน่ะสิฟะ! /เจ้าคะ ' ทั้งสิงห์และอเทตยาคิดในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เพราะถ้าสภาพแบบนี้เรียกว่าสบายดี ไอ้คนที่ไม่สบายก็คงต้องฝังกันอย่างเดียวแล้วล่ะ
สิงห์ที่เวลานี้เนื้อตัวสะอาดสะอ้านขึ้นจนไกรพอทนไหวแล้วโคลงหัวดิกๆพร้อมกับหัวเราะยิงฟันเป็นเชิงใหกำลังใจว่า
" ฮ่าๆๆๆ โถๆ พ่อเสนาธิการพิศดาร สภาพดูไม่จืดเลยนะเอ็ง ถ้ามีคนมาเห็นมีหวังได้อายกันทั้งบางแน่ๆ "
" ก...แกนี่มัน! ...แล้วสภาพของแกตอนนี้ดูดีตายล่ะ...เอาเถาวัลย์แปลกๆนั่นพันคอคิดว่าเท่นักรึไงฟะ! " ไกรขมวดคิ้วพร้อมกับย้อนกลับไปบ้าง แต่สิงห์กับเลิกคิ้วพร้อมกับทวนคำอย่างงงๆ
" หา? เถาวัลย์ " สิงห์เหมือนกับพึ่งจะรู้ตัวว่าที่คอของเขาถูกพันรัดไว้ด้วยอะไรบางอย่าง ผู้ใช้สัตว์สมิงหนุ่มขมวดคิ้วพลางหยิบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเถาวัลย์อวบๆนั้นออกจากคอแล้วมองชัดๆ ก่อนจะเลิกคิ้วอีกครั้งแล้วร้องอ๋อทันที
" โฮ้ย ไม่ใช่เถาวัลย์หรอกว่ะไกร แต่เป็นลำไส้เล็กน่ะ...เอ ของใครฟะเนี่ย? "
" ล ลำไส้เล็กเหรอ?! "
" เออ แล้วไม่รู้หรอกนะว่าของใคร เพราะตอนตูอยู่ในสภาพ ร่างทรง สติมันก็เลือนๆอยู่แล้ว จำไม่ได้หรอกว่ากระซวกไส้ไปกี่คน...ก๊าก ฮ่าๆๆๆ ตูนี่ดูไม่ได้อย่างที่เอ็งว่าเลยว่ะ " สิงห์หัวเราะเบาๆอย่างขำในความป้ำๆเป๋อๆของตัวเอง ผิดกับไกรที่ทีแรกสีหน้าเริ่มดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่คราวนี้กลับลงไปซีดเป็นกระดาษอีกรอบพร้อมกับครางออกมาเบาๆว่า
" โอ้...งานนี้ชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย...อ โอ๊กกกก! "
" ส สิงห์! ก็ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า--- "
" เฮ้ยๆๆๆ ข้าไม่ได้แกล้งนะเฟ้ย! เฮ้ยๆๆๆ ประเดี๋ยวๆๆๆ ลดธนูลงก่อน จ๊ากกกก! "
..........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ