ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.72K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
134)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ " ความ...หวาดกลัว...อย่างนั้นเหรอ "
" คิกๆ หืม? "
" ความหวาดกลัว...ไม่มีวันหาเหตุผลได้... "
" อ เอ่? "
ก่อนที่จะถูกสัญชาตญาณแห่งการดำรงเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครอบงำความนึกคิดของไกรไปทั้งหมด ประกายเล็กๆอย่างความหมายของคำว่า ความหวาดกลัว กลับถูกจุดขึ้นในความนึกคิดของชายหนุ่ม ก่อนที่ประกายเล็กๆนั้นจะลุกพรึ่บและลามไปทัวทั้งสมองราวกับไฟลามทุ่งจนไกรดีดร่างที่เกือบจะชาดิกอยู่รอมร่อขึ้นมา กระทั่งหญิงสาวที่ทับอยู่บนร่างกายของเขาแทบตกลงไปกระทบพื้น แต่เขากลับใช้อ้อมแขนที่กลับคืนความแข็งแรงอย่างพร้อมมูลคว้าร่างบางๆของเธอไว้ พร้อมกับจ้องมองหญิงสาวด้วยประกายตาที่แจ่มใสที่สุดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนสร้างความงุนงงให้แก่อเทตยาที่เวลานี้ยกมือเริ่มถูกความกระดากอายเข้าโจมตีบ้างจนต้องยกมือปิด ส่วนสำคัญ ที่แทบจะล้นทะลักออกมาไว้ ก่อนที่เธอจะร้องออกมาเบาๆทันที
" อ้ะ! ท ท่านไกร! ท ท่าน! "
" ความหวาดกลัว! นี่แหละสุดยอดแผนการเลย! ข้าคิดออกแล้ว! คิดออกแบบเห็นภาพชัดเจนเลย! ขอบใจเจ้ามากนะ อเทตยา เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้แท้ๆ! "
" ห หา? เจ้าคะ? "
ระหว่างที่อเทตยายังคงงุนงงอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น ไกรที่เวลานี้ดูเหมือนอยู่ในอาการลิงโลดอย่างยิ่งจนทำให้ลืมนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคสมัยเก่าเช่นนี้ก็คว้าร่างบางของหญิงสาวมากอดแน่นพร้อมกับหอมเข้าที่แก้มแดงเปล่งปลั่งของเธอเต็มรักฟอดใหญ่ด้วยท่าทีดีอกดีใจสุดขีด...กริยาเช่นนี้อาจจะไม่แปลกเลยถ้าหากคนทำเป็นผู้ที่รู้ตัวอย่างกะทันหันว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ และเข้าทำกับญาติพี่น้องในยุคสมัยปัจจุบัน...แต่ในยุคสมัยอยุธยา ที่แม้แต่การจับมือถือแขนก็เป็นเรื่องของการล่วงเกินแล้ว และการจูบปากก็ไม่เป็นที่นิยมในการแสดงความรักกันในอโยธยา...การหอมแก้มถือเป็นยิ่งกว่าการแสดงความรักใดๆทั้งสิ้น จนกริยาของไกรทำให้หญิงสาวที่เกือบจะ จัดการ กับไกรอยู่รอมร่อเวลานี้ถึงกับหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกจนน่ากลัวว่าเธอจะเป็นลมให้ได้เพราะถูกสลับตำแหน่งกันเสียแล้ว แถมยังแพ้หมดรูปจนถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกและพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
" อ อ เอ่อ...ท่านไกร...จ เจ้าคะ "
" ฮ่าๆ ดีจริงๆ เอางี้นะ ไว้พรุ่่งนี้...ไม่สิ วันนี้ คืนนี้...โอ้ย! ตอนนี้เลย! อเทตยา รีบไปปลุกศกุนตลากับอุษามา ส่วนข้าจะไปเตะก้นปลุกไอ้สิงห์ ท่านสิน กับหลวงพรหมเสนาเอง แล้วไปรวมกันที่กองไฟกองใหญ่...บอกพวกสองสาวนั่นว่าข้ามีแผนการเด็ดที่พึ่งคิดได้สดๆร้อนๆมานำเสนอ... ฮ่ะๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ " ไกรหัวเราะร่วนราวกับคนบ้าพร้อมกับกอดหญิงสาวที่ยังคงอยู่บนตักของเขาอีกครั้งแน่นอีกครั้งราวกับเป็นการขอบคุณสำหรับประกายความคิดนี้ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและเลิกมุ้งรีบแจ้นไปหาส่วนที่เป็นส่วนที่หลับที่นอนของหลวงยกกระบัตรเมืองตาก หลวงพรหมเสนา และไอ้สิงห์ทันที...ปล่อยให้หญิงสาวที่เวลานี้หัวยังกระเซิงหน่อยๆแถมยังหน้าแดงก่ำไม่หาย นั่งงุนงงอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บนที่นอนที่ยับยู่ยี่ของไกรอยู่เช่นเดิม
...หญิงสาวชาวมอญนิ่งไปอย่างพยายามเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ช้าๆ ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆให้กับสถานการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างสดๆร้อนๆนี้ทันที
" คิกๆ เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าท่านไกรไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เราเจอกันเลย...รูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีแล้วก็ได้ล่ะกระมัง "
หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางอย่างที่มันควรจะเป็นและตัดสินใจผ่อนสายเบ็ดและยอมให้ปลาตัวเบิ้มหลุดว่ายหนีไปแต่โดยดี...เพราะถึงจะไม่ถึงขั้นบรรลุวัตถุประสงค์ แต่อย่างน้อยหญิงสาวก็พอใจในสถานการณ์และผลในระดับหนึ่งเล้ว...
...ภายภาคหน้ายังมีทั้งเวลาและโอกาสอีกมาก...ด้วยความที่ต้องมารอนแรมในป่าในเขา และปราศจากตัวกวนใจที่คอยทำตัวเป็นก้างขวางคออย่างอนาสตาเซีย องค์หญิงสิริจันทร รวมไปถึงเหล่านางรับใช้บนเรือนของไกรที่คอยกันเธอแจอยู่แล้ว...เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนใดๆทั้งสิ้น...
...เพราะเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...ปลาตัวใหญ่ก็จะว่ายกลับเข้ามากินเบ็ดที่เธอวางล่อไว้แล้วอีกครั้งด้วยใจสมัครอย่างไม่อาจจะต้านทานความเย้ายวนได้แน่นอน!...
" คิกๆ วันนี้ข้าจะยอมถอยก่อนก็ได้ โดยเห็นแก่ท่านนะเจ้าคะ ท่านไกร... "
ในขณะเดียวกัน ไกรที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินจนกระทั่งเชื่อแน่ว่าพ้นจากสายตาของอเทตยาแน่แล้ว เขาก็ทรุดลงกับพื้นพลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด ในขณะที่มือหนึ่งกุมหัวใจที่เต้นรัวราวกับย่ำกลองของตัวเองไว้พลางพยายามทำ ใจ และ ส่วนสำคัญ อีกอย่างของร่างกายให้สงบลงก่อนที่เขาจะเดินไปปลุกพวกหนุ่มๆที่นอนอยู่เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพ่นลมหายใจออกทั้งทางปากและทางจมูกยาวเหยียดพร้อมกับครางออกมาอย่างแผ่วเบาทันที
" ก เกือบไปแล้วไหมล่ะ ตู! "
..............................................................
...หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ทุกๆคนที่ไกรสั่งให้ปลุกขึ้นมาซึ่งก็เป็นระดับชั้นบัญชาการกองทัพทุกคนก็งัวเงียเมาขี้ตาตื่นขึ้นมาและมารวมตัวกันที่กองไฟใหญ่ซึ่งเป็นกองไฟที่ผู้อยู่เวรยามทั้ง ๓ คนในตอนแรกช่วยกันสุมขึ้นใหม่ และได้รับเกียรติให้ร่วมฟังแผนการที่ไกรคิดขึ้นมาได้อย่างสดๆร้อนๆ ...ซึ่งเมื่อได้ฟังอย่างคร่าวๆ...นอกจากสิงห์ที่ยังคงเมาแอ๋เพราะซดเหล้าอย่างไม่บันยะบันยังจนไกรไม่รู้ว่ามันฟังเขารู้เรื่องหรือเปล่า...ทุกคนก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปอย่างพูดไม่ออกทันที...
" ผี...เนี่ยนะขอรับ? " สินที่นั่งอยู่ข้างๆไกรโดยเวลานี้ปราศจากความงัวเงียจากการพึ่งถูกปลุกขึ้นมาแล้วทวนคำเบาๆ ซึ่งไกรก็พยักหน้ารับทันที
" ก็ใช่ไง...ถ้าหากเราพูดเรื่องความกลัวในสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายได้ จะมีอะไรที่น่ากลัวมากกว่าสิ่งเหนือธรรมชาติอย่าง ภูติผี อีกล่ะ "
" เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนี้ก็ตัดเรื่องการมีตัวตนอยู่หรือถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของฝ่ายอโยธยาได้เลย เพราะอโยธยาคงไม่มีวันยอมให้ผู้คนรุ่นหลังจดจำว่ามี ผี มาช่วยรับศึกพม่าแน่ๆ " อุษาที่เชี่ยวชาญในด้านการปิดบังตัวตนกว่าใครพยักหน้าเบาๆอย่างเริ่มเข้าใจแผนการของไกรลางๆ เพราะถ้าหากอโยธยากล้าบันทึกว่ามี กองทัพผี มาช่วยป่วนกองทัพพม่า ก็แปลว่า อโยธยาโยนศักดิ์ศรีในฐานะประเทศใหญ่ทิ้งและเตรียมตัวถูกประเทศข้างเคียงหัวเราะเยาะได้เลย...แต่เธอก็ยังมองเห็นช่องว่างของแผนของไกรจยตองติงออกมาเบาๆว่า
" แต่เจ้าต้องไม่ลืมนะไกร ว่าการเปลี่ยนคนๆหนึ่งให้กลายเป็นตัวตนของภูติผีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกองทัพทั้งกองทัพยิ่งแล้วใหญ่...แล้วหน้าตาของทหารพวกเจ้าแต่ละคนถึงจะไม่ได้ดีเด่เป็นผู้เป็นคนอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้เละเทะถึงขนาดจะทำให้ทหารพม่าที่รบมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำและขวัญกำลังใจแรงกล้าเชื่อว่าเป็นผีได้ตั้งแต่แรกหรอกนะ เจ้ามีแผนการรับมือในเรื่องนี้อย่างไรกัน? " คำถามของจารสตรีสาวทำให้ท่านสิน หลวงพรหมเสนา และทหารยามที่มานั่งฟังอีก ๓ คนถึงกับต้องเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ไกรหัวเราะเบาๆพร้อมกับชี้ไปที่ศกุนตลาที่นั่งฟังอยู่เงียบๆทันที
" ก็ศกุนตลานี่ไง วิธีรับมือ "
" เอ๋? " ศกุนตลาเลิกคิ้วพร้อมกับทวนคำเบาๆอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่สินที่คิดตามอยู่ร้อง อ๋อ! ออกมาอย่างเข้าใจทันที
" หน้ากากสินะขอรับ "
" ฮ่าๆ ใช่...เท่าที่ข้าจำได้ เราผ่านหมู่บ้านใหญ่ที่กลายเป็นหมู่บ้านร้างไปหลายที่ และที่หลังๆซึ่งใกล้กับกำแพงเมืองกาญจนบุรีมี โรงฝึกนาฏศิลป์ ขนาดใหญ่หลายแห่งที่ถูกทิ้งร้างอยู่ และพวกที่ขึ้นไปสำรวจก็รายงานแล้วนี่ว่าพวกนักเรียนหรืออาจารย์ของโรงนาฏศิลป์นั้นเมื่อได้ยินคำสั่งเทครัวอพยพไปอโยธยาก็รีบออกเดินทางทันทีโดยไม่เก็บข้าวของหรืออุปกรณ์การแสดงไปเลย...ที่นั่นมีทุกอย่างที่เราต้องการ ทั้งเสื้อผ้าสำหรับปลอมแปลง สีสำหรับอำพราง รวมไปถึงหน้ากาก ทั้งหน้ากากหัวโขน ทั้งหน้ากากงิ้ว หน้ากากละครต่างๆที่พวกนี้ใช้ในการแสดงล้วนแล้วแต่ถูกทิ้งอยู่บนโรงนาฏศิลป์เหล่านั้น หากเราเอามาทาสีแต่งเติมให้ดูน่าหวาดกลัวขึ้นอีกซักหน่อย บวกกับใช้ผ้าคลุมกายให้ผิดแปลกไปจากกองทัพทั่วไปอีกนิด และออกปฏิบัติงานในเวลากลางคืนเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นยักษ์มารพอเจออะไรแบบนั้นเข้าเต็มๆก็ต้องมีขวัญหนีดีฝ่อกันบ้างล่ะ "
" เจ้านี่ความจำดีชะมัดเลยแฮะ " อุษาถึงกับอดบ่นเบาๆไม่ได้ ในขณะที่อเทตยายิ้มพรายทันที
" ก็จริงนะ...ไม่สิ มีโอกาสที่จะสำเร็จสูงเลยล่ะเจ้าค่ะ เพราะขนาดข้ารู้จักกับศกุนตลามาตั้งนานแล้ว แต่พอเจอศกุนตลาอย่างกะทันหันในที่มืดๆยังสะดุ้งตกใจแทบตายอยู่บ่อยๆเลยเจ้าค่ะ " อเทตยาที่เวลานี้แต่งกายอย่างเรียบร้อยและมีกริยาที่ไหลลื่นจนไม่มีใครจับสังเกตอะไรได้เสริมขึ้นเบาๆ จนเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนได้ ในขณะที่ศกุนตลาปรายสายตามามองอย่างเคืองๆทันที ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองที่ไกรนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ
" ข้ายอมรับว่าแผนการของเจ้าเข้าที ไกร... แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าผู้ที่บันทึกประวัติศาสตร์ได้ไม่ใช่มีแค่ฝ่ายอโยธยา แต่ฝ่ายพม่าของพระเจ้าอลองพญาก็เป็นฝ่ายที่บันทึกประวัติศาสตร์ด้วย ทั้งไม่บอกก็ควรจะรู้ว่าเป็นฝ่ายพม่าเสียอีกที่จะบันทึกเรื่องราวโดยละเอียดกว่าอโยธยา เพราะเป็นฝ่ายที่มารุกรานอโยธยา จึงต้องมี ปูมกองทัพ ที่ละเอียดที่สุด...ถึงเจ้าจะผ่านเงื่อนไขที่ทำให้อโยธยาไม่กล้าบันทึกตัวตนของ ภูติพราย ของพวกเราแล้ว แต่พม่าจะต้องบันทึกว่าอโยธยาเล่นไม่ซื่อและใช้ไสยเวทย์มนต์ดำอันต่ำช้าเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้แก่ทัพพม่าอยู่ดีแน่ๆ ...เจ้านึกถึงปัญหาข้อนี้หรือยัง? " ศกุนตลาชี้จุดอ่อนของแผนการของไกรอีกครั้งจนคนอื่นๆหน้าเคร่งลง...เกือบทุกคน...ยกเว้นไกรที่ยังคงยิ้มกว้างอย่างมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้เลยทีเดียว
" ฮิๆๆ "
" หัวเราะได้อย่างกวนโมโหเช่นนี้ก็แปลว่ามีแผนการรองรับแล้วจริงๆสินะ " ศกุนตลาหลับตาและถอนหายใจเฮือกพลางพูดดักคอ ซึ่งไกรก็พยักหน้ารับจนเรียกความสนใจให้กับทุกคนที่ยังคิดหาหนทางแก้ปัญหาไม่ตกทันที
" อย่างไรหรือขอรับ? " คราวนี้หลวงพรหมเสนาชาวจีนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ซึ่งไกรก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกวาดสายตามองและถามทุกๆคนที่ล้อมอยู่เบาๆว่า
" พวกเจ้าทั้งหมด มีใครที่มีฝีมือในการวาดภาพลวดลายแบบเก่าๆ หรือไม่ก็รู้จักคนที่มีฝีมือวาดภาพสัญลักษณ์แบบเก่าๆบ้างไหม? "
" แล้วเจ้าจะหาไอ้คนที่วาดรูปได้ไปทำไมกัน? " อุษาถามแทนทุกคนเบาๆอย่างงุนงง ซึ่งไกรก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยนาน เพราะเขาเฉลยออกมาด้วยใบหน้าฉีกยิ้มว่า
" เพราะการเคลียร์เงื่อนไขข้อนั้น ข้าจำเป็นต้องสร้าง ธงชัย ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์สำหรับกองทัพภูติพรายของเราขึ้นมาน่ะสิ "
" ธงชัย? แล้วธงชัยผืนเดียวมันจะทำให้พม่าถึงกับไม่กล้าบันทึกการมีตัวตนอยู่ของพวกเราอย่างไรล่ะขอรับ? " สินถามอย่างยังไม่หายสงสัย
" ต้องได้สิ...เพราะธงชัยที่ว่านั้นจะต้องเป็นธงที่ใช้ผ้าพื้นเหลือง และวาดตราสัญลักษณ์ของ มยุรา หรือนกยูงที่อ่อนช้อยและงดงามที่สุดอย่างไรล่ะ! "
" ตรานกยูงบนธงพื้นเหลือง? " ในขณะที่คนอื่นๆทวนคำอย่างยังไม่หายข้องใจ...ท่านสินที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และกลศึกมากกว่าใครๆ กับศกุนตลาที่พื้นเพเคยเป็นสาวชาวพม่าแท้ๆมาก่อนถึงกับขนลุกซู่พร้อมกับเบิกตากว้างใส่ไกรจนตาแทบถลน!
" น...นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่ไหมขอรับ? ท่านไกร "
" โฮ้ย จริงจังสุดๆเลยล่ะขอรับ ท่านสิน "
" อ่า...ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี...ว่าเจ้ามัน บ้า โดยสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ ไกร! " ศกุนตลาพูดต่อคำพูดของสินและไกรเรียบๆพร้อมกับต้องบังคับมือของเธอไม่ให้สั่นเทาอยางคุมไม่อยู่เลยทีเดียว จนทุกคนต้องหันกลับไปมองทั้งสองที่เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้วด้วยสายตาขอคำตอบทันที
" สิน ศกุนตลา? "
" ธงและตราสัญลักษณ์นั่น...พวกเจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่า เคยเป็น...และยังคงเป็นธงชัยประจำกายของบุคคลใด... "
" เอ๋? "
" ธง มยุราพื้นเหลือง...ธิวธวัชอันเป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระวรกาย...ของสมเด็จพระเจ้าตะละพะเนียเธอเจาะ (ชนะสิบทิศ)...บุเรงนองกะยอดินนรธา...ในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็น จะเด็ด ขุนศึกคนสำคัญใน สมเด็จพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ลิ้นดำ อย่างไรล่ะ! "
.........................................................
" คิกๆ หืม? "
" ความหวาดกลัว...ไม่มีวันหาเหตุผลได้... "
" อ เอ่? "
ก่อนที่จะถูกสัญชาตญาณแห่งการดำรงเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครอบงำความนึกคิดของไกรไปทั้งหมด ประกายเล็กๆอย่างความหมายของคำว่า ความหวาดกลัว กลับถูกจุดขึ้นในความนึกคิดของชายหนุ่ม ก่อนที่ประกายเล็กๆนั้นจะลุกพรึ่บและลามไปทัวทั้งสมองราวกับไฟลามทุ่งจนไกรดีดร่างที่เกือบจะชาดิกอยู่รอมร่อขึ้นมา กระทั่งหญิงสาวที่ทับอยู่บนร่างกายของเขาแทบตกลงไปกระทบพื้น แต่เขากลับใช้อ้อมแขนที่กลับคืนความแข็งแรงอย่างพร้อมมูลคว้าร่างบางๆของเธอไว้ พร้อมกับจ้องมองหญิงสาวด้วยประกายตาที่แจ่มใสที่สุดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนสร้างความงุนงงให้แก่อเทตยาที่เวลานี้ยกมือเริ่มถูกความกระดากอายเข้าโจมตีบ้างจนต้องยกมือปิด ส่วนสำคัญ ที่แทบจะล้นทะลักออกมาไว้ ก่อนที่เธอจะร้องออกมาเบาๆทันที
" อ้ะ! ท ท่านไกร! ท ท่าน! "
" ความหวาดกลัว! นี่แหละสุดยอดแผนการเลย! ข้าคิดออกแล้ว! คิดออกแบบเห็นภาพชัดเจนเลย! ขอบใจเจ้ามากนะ อเทตยา เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้แท้ๆ! "
" ห หา? เจ้าคะ? "
ระหว่างที่อเทตยายังคงงุนงงอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น ไกรที่เวลานี้ดูเหมือนอยู่ในอาการลิงโลดอย่างยิ่งจนทำให้ลืมนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของยุคสมัยเก่าเช่นนี้ก็คว้าร่างบางของหญิงสาวมากอดแน่นพร้อมกับหอมเข้าที่แก้มแดงเปล่งปลั่งของเธอเต็มรักฟอดใหญ่ด้วยท่าทีดีอกดีใจสุดขีด...กริยาเช่นนี้อาจจะไม่แปลกเลยถ้าหากคนทำเป็นผู้ที่รู้ตัวอย่างกะทันหันว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ และเข้าทำกับญาติพี่น้องในยุคสมัยปัจจุบัน...แต่ในยุคสมัยอยุธยา ที่แม้แต่การจับมือถือแขนก็เป็นเรื่องของการล่วงเกินแล้ว และการจูบปากก็ไม่เป็นที่นิยมในการแสดงความรักกันในอโยธยา...การหอมแก้มถือเป็นยิ่งกว่าการแสดงความรักใดๆทั้งสิ้น จนกริยาของไกรทำให้หญิงสาวที่เกือบจะ จัดการ กับไกรอยู่รอมร่อเวลานี้ถึงกับหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกจนน่ากลัวว่าเธอจะเป็นลมให้ได้เพราะถูกสลับตำแหน่งกันเสียแล้ว แถมยังแพ้หมดรูปจนถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกและพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
" อ อ เอ่อ...ท่านไกร...จ เจ้าคะ "
" ฮ่าๆ ดีจริงๆ เอางี้นะ ไว้พรุ่่งนี้...ไม่สิ วันนี้ คืนนี้...โอ้ย! ตอนนี้เลย! อเทตยา รีบไปปลุกศกุนตลากับอุษามา ส่วนข้าจะไปเตะก้นปลุกไอ้สิงห์ ท่านสิน กับหลวงพรหมเสนาเอง แล้วไปรวมกันที่กองไฟกองใหญ่...บอกพวกสองสาวนั่นว่าข้ามีแผนการเด็ดที่พึ่งคิดได้สดๆร้อนๆมานำเสนอ... ฮ่ะๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ " ไกรหัวเราะร่วนราวกับคนบ้าพร้อมกับกอดหญิงสาวที่ยังคงอยู่บนตักของเขาอีกครั้งแน่นอีกครั้งราวกับเป็นการขอบคุณสำหรับประกายความคิดนี้ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและเลิกมุ้งรีบแจ้นไปหาส่วนที่เป็นส่วนที่หลับที่นอนของหลวงยกกระบัตรเมืองตาก หลวงพรหมเสนา และไอ้สิงห์ทันที...ปล่อยให้หญิงสาวที่เวลานี้หัวยังกระเซิงหน่อยๆแถมยังหน้าแดงก่ำไม่หาย นั่งงุนงงอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บนที่นอนที่ยับยู่ยี่ของไกรอยู่เช่นเดิม
...หญิงสาวชาวมอญนิ่งไปอย่างพยายามเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ช้าๆ ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆให้กับสถานการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นอย่างสดๆร้อนๆนี้ทันที
" คิกๆ เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้รู้แล้วว่าท่านไกรไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เราเจอกันเลย...รูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีแล้วก็ได้ล่ะกระมัง "
หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางอย่างที่มันควรจะเป็นและตัดสินใจผ่อนสายเบ็ดและยอมให้ปลาตัวเบิ้มหลุดว่ายหนีไปแต่โดยดี...เพราะถึงจะไม่ถึงขั้นบรรลุวัตถุประสงค์ แต่อย่างน้อยหญิงสาวก็พอใจในสถานการณ์และผลในระดับหนึ่งเล้ว...
...ภายภาคหน้ายังมีทั้งเวลาและโอกาสอีกมาก...ด้วยความที่ต้องมารอนแรมในป่าในเขา และปราศจากตัวกวนใจที่คอยทำตัวเป็นก้างขวางคออย่างอนาสตาเซีย องค์หญิงสิริจันทร รวมไปถึงเหล่านางรับใช้บนเรือนของไกรที่คอยกันเธอแจอยู่แล้ว...เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนใดๆทั้งสิ้น...
...เพราะเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...ปลาตัวใหญ่ก็จะว่ายกลับเข้ามากินเบ็ดที่เธอวางล่อไว้แล้วอีกครั้งด้วยใจสมัครอย่างไม่อาจจะต้านทานความเย้ายวนได้แน่นอน!...
" คิกๆ วันนี้ข้าจะยอมถอยก่อนก็ได้ โดยเห็นแก่ท่านนะเจ้าคะ ท่านไกร... "
ในขณะเดียวกัน ไกรที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินจนกระทั่งเชื่อแน่ว่าพ้นจากสายตาของอเทตยาแน่แล้ว เขาก็ทรุดลงกับพื้นพลางถอนหายใจออกมายาวเหยียด ในขณะที่มือหนึ่งกุมหัวใจที่เต้นรัวราวกับย่ำกลองของตัวเองไว้พลางพยายามทำ ใจ และ ส่วนสำคัญ อีกอย่างของร่างกายให้สงบลงก่อนที่เขาจะเดินไปปลุกพวกหนุ่มๆที่นอนอยู่เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพ่นลมหายใจออกทั้งทางปากและทางจมูกยาวเหยียดพร้อมกับครางออกมาอย่างแผ่วเบาทันที
" ก เกือบไปแล้วไหมล่ะ ตู! "
..............................................................
...หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ทุกๆคนที่ไกรสั่งให้ปลุกขึ้นมาซึ่งก็เป็นระดับชั้นบัญชาการกองทัพทุกคนก็งัวเงียเมาขี้ตาตื่นขึ้นมาและมารวมตัวกันที่กองไฟใหญ่ซึ่งเป็นกองไฟที่ผู้อยู่เวรยามทั้ง ๓ คนในตอนแรกช่วยกันสุมขึ้นใหม่ และได้รับเกียรติให้ร่วมฟังแผนการที่ไกรคิดขึ้นมาได้อย่างสดๆร้อนๆ ...ซึ่งเมื่อได้ฟังอย่างคร่าวๆ...นอกจากสิงห์ที่ยังคงเมาแอ๋เพราะซดเหล้าอย่างไม่บันยะบันยังจนไกรไม่รู้ว่ามันฟังเขารู้เรื่องหรือเปล่า...ทุกคนก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปอย่างพูดไม่ออกทันที...
" ผี...เนี่ยนะขอรับ? " สินที่นั่งอยู่ข้างๆไกรโดยเวลานี้ปราศจากความงัวเงียจากการพึ่งถูกปลุกขึ้นมาแล้วทวนคำเบาๆ ซึ่งไกรก็พยักหน้ารับทันที
" ก็ใช่ไง...ถ้าหากเราพูดเรื่องความกลัวในสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายได้ จะมีอะไรที่น่ากลัวมากกว่าสิ่งเหนือธรรมชาติอย่าง ภูติผี อีกล่ะ "
" เข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนี้ก็ตัดเรื่องการมีตัวตนอยู่หรือถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของฝ่ายอโยธยาได้เลย เพราะอโยธยาคงไม่มีวันยอมให้ผู้คนรุ่นหลังจดจำว่ามี ผี มาช่วยรับศึกพม่าแน่ๆ " อุษาที่เชี่ยวชาญในด้านการปิดบังตัวตนกว่าใครพยักหน้าเบาๆอย่างเริ่มเข้าใจแผนการของไกรลางๆ เพราะถ้าหากอโยธยากล้าบันทึกว่ามี กองทัพผี มาช่วยป่วนกองทัพพม่า ก็แปลว่า อโยธยาโยนศักดิ์ศรีในฐานะประเทศใหญ่ทิ้งและเตรียมตัวถูกประเทศข้างเคียงหัวเราะเยาะได้เลย...แต่เธอก็ยังมองเห็นช่องว่างของแผนของไกรจยตองติงออกมาเบาๆว่า
" แต่เจ้าต้องไม่ลืมนะไกร ว่าการเปลี่ยนคนๆหนึ่งให้กลายเป็นตัวตนของภูติผีได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกองทัพทั้งกองทัพยิ่งแล้วใหญ่...แล้วหน้าตาของทหารพวกเจ้าแต่ละคนถึงจะไม่ได้ดีเด่เป็นผู้เป็นคนอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้เละเทะถึงขนาดจะทำให้ทหารพม่าที่รบมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำและขวัญกำลังใจแรงกล้าเชื่อว่าเป็นผีได้ตั้งแต่แรกหรอกนะ เจ้ามีแผนการรับมือในเรื่องนี้อย่างไรกัน? " คำถามของจารสตรีสาวทำให้ท่านสิน หลวงพรหมเสนา และทหารยามที่มานั่งฟังอีก ๓ คนถึงกับต้องเอามือลูบหน้าตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ไกรหัวเราะเบาๆพร้อมกับชี้ไปที่ศกุนตลาที่นั่งฟังอยู่เงียบๆทันที
" ก็ศกุนตลานี่ไง วิธีรับมือ "
" เอ๋? " ศกุนตลาเลิกคิ้วพร้อมกับทวนคำเบาๆอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่สินที่คิดตามอยู่ร้อง อ๋อ! ออกมาอย่างเข้าใจทันที
" หน้ากากสินะขอรับ "
" ฮ่าๆ ใช่...เท่าที่ข้าจำได้ เราผ่านหมู่บ้านใหญ่ที่กลายเป็นหมู่บ้านร้างไปหลายที่ และที่หลังๆซึ่งใกล้กับกำแพงเมืองกาญจนบุรีมี โรงฝึกนาฏศิลป์ ขนาดใหญ่หลายแห่งที่ถูกทิ้งร้างอยู่ และพวกที่ขึ้นไปสำรวจก็รายงานแล้วนี่ว่าพวกนักเรียนหรืออาจารย์ของโรงนาฏศิลป์นั้นเมื่อได้ยินคำสั่งเทครัวอพยพไปอโยธยาก็รีบออกเดินทางทันทีโดยไม่เก็บข้าวของหรืออุปกรณ์การแสดงไปเลย...ที่นั่นมีทุกอย่างที่เราต้องการ ทั้งเสื้อผ้าสำหรับปลอมแปลง สีสำหรับอำพราง รวมไปถึงหน้ากาก ทั้งหน้ากากหัวโขน ทั้งหน้ากากงิ้ว หน้ากากละครต่างๆที่พวกนี้ใช้ในการแสดงล้วนแล้วแต่ถูกทิ้งอยู่บนโรงนาฏศิลป์เหล่านั้น หากเราเอามาทาสีแต่งเติมให้ดูน่าหวาดกลัวขึ้นอีกซักหน่อย บวกกับใช้ผ้าคลุมกายให้ผิดแปลกไปจากกองทัพทั่วไปอีกนิด และออกปฏิบัติงานในเวลากลางคืนเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อให้เป็นยักษ์มารพอเจออะไรแบบนั้นเข้าเต็มๆก็ต้องมีขวัญหนีดีฝ่อกันบ้างล่ะ "
" เจ้านี่ความจำดีชะมัดเลยแฮะ " อุษาถึงกับอดบ่นเบาๆไม่ได้ ในขณะที่อเทตยายิ้มพรายทันที
" ก็จริงนะ...ไม่สิ มีโอกาสที่จะสำเร็จสูงเลยล่ะเจ้าค่ะ เพราะขนาดข้ารู้จักกับศกุนตลามาตั้งนานแล้ว แต่พอเจอศกุนตลาอย่างกะทันหันในที่มืดๆยังสะดุ้งตกใจแทบตายอยู่บ่อยๆเลยเจ้าค่ะ " อเทตยาที่เวลานี้แต่งกายอย่างเรียบร้อยและมีกริยาที่ไหลลื่นจนไม่มีใครจับสังเกตอะไรได้เสริมขึ้นเบาๆ จนเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนได้ ในขณะที่ศกุนตลาปรายสายตามามองอย่างเคืองๆทันที ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองที่ไกรนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ
" ข้ายอมรับว่าแผนการของเจ้าเข้าที ไกร... แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าผู้ที่บันทึกประวัติศาสตร์ได้ไม่ใช่มีแค่ฝ่ายอโยธยา แต่ฝ่ายพม่าของพระเจ้าอลองพญาก็เป็นฝ่ายที่บันทึกประวัติศาสตร์ด้วย ทั้งไม่บอกก็ควรจะรู้ว่าเป็นฝ่ายพม่าเสียอีกที่จะบันทึกเรื่องราวโดยละเอียดกว่าอโยธยา เพราะเป็นฝ่ายที่มารุกรานอโยธยา จึงต้องมี ปูมกองทัพ ที่ละเอียดที่สุด...ถึงเจ้าจะผ่านเงื่อนไขที่ทำให้อโยธยาไม่กล้าบันทึกตัวตนของ ภูติพราย ของพวกเราแล้ว แต่พม่าจะต้องบันทึกว่าอโยธยาเล่นไม่ซื่อและใช้ไสยเวทย์มนต์ดำอันต่ำช้าเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้แก่ทัพพม่าอยู่ดีแน่ๆ ...เจ้านึกถึงปัญหาข้อนี้หรือยัง? " ศกุนตลาชี้จุดอ่อนของแผนการของไกรอีกครั้งจนคนอื่นๆหน้าเคร่งลง...เกือบทุกคน...ยกเว้นไกรที่ยังคงยิ้มกว้างอย่างมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้เลยทีเดียว
" ฮิๆๆ "
" หัวเราะได้อย่างกวนโมโหเช่นนี้ก็แปลว่ามีแผนการรองรับแล้วจริงๆสินะ " ศกุนตลาหลับตาและถอนหายใจเฮือกพลางพูดดักคอ ซึ่งไกรก็พยักหน้ารับจนเรียกความสนใจให้กับทุกคนที่ยังคิดหาหนทางแก้ปัญหาไม่ตกทันที
" อย่างไรหรือขอรับ? " คราวนี้หลวงพรหมเสนาชาวจีนเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ซึ่งไกรก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกวาดสายตามองและถามทุกๆคนที่ล้อมอยู่เบาๆว่า
" พวกเจ้าทั้งหมด มีใครที่มีฝีมือในการวาดภาพลวดลายแบบเก่าๆ หรือไม่ก็รู้จักคนที่มีฝีมือวาดภาพสัญลักษณ์แบบเก่าๆบ้างไหม? "
" แล้วเจ้าจะหาไอ้คนที่วาดรูปได้ไปทำไมกัน? " อุษาถามแทนทุกคนเบาๆอย่างงุนงง ซึ่งไกรก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยนาน เพราะเขาเฉลยออกมาด้วยใบหน้าฉีกยิ้มว่า
" เพราะการเคลียร์เงื่อนไขข้อนั้น ข้าจำเป็นต้องสร้าง ธงชัย ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์สำหรับกองทัพภูติพรายของเราขึ้นมาน่ะสิ "
" ธงชัย? แล้วธงชัยผืนเดียวมันจะทำให้พม่าถึงกับไม่กล้าบันทึกการมีตัวตนอยู่ของพวกเราอย่างไรล่ะขอรับ? " สินถามอย่างยังไม่หายสงสัย
" ต้องได้สิ...เพราะธงชัยที่ว่านั้นจะต้องเป็นธงที่ใช้ผ้าพื้นเหลือง และวาดตราสัญลักษณ์ของ มยุรา หรือนกยูงที่อ่อนช้อยและงดงามที่สุดอย่างไรล่ะ! "
" ตรานกยูงบนธงพื้นเหลือง? " ในขณะที่คนอื่นๆทวนคำอย่างยังไม่หายข้องใจ...ท่านสินที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และกลศึกมากกว่าใครๆ กับศกุนตลาที่พื้นเพเคยเป็นสาวชาวพม่าแท้ๆมาก่อนถึงกับขนลุกซู่พร้อมกับเบิกตากว้างใส่ไกรจนตาแทบถลน!
" น...นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่ไหมขอรับ? ท่านไกร "
" โฮ้ย จริงจังสุดๆเลยล่ะขอรับ ท่านสิน "
" อ่า...ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี...ว่าเจ้ามัน บ้า โดยสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ ไกร! " ศกุนตลาพูดต่อคำพูดของสินและไกรเรียบๆพร้อมกับต้องบังคับมือของเธอไม่ให้สั่นเทาอยางคุมไม่อยู่เลยทีเดียว จนทุกคนต้องหันกลับไปมองทั้งสองที่เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้วด้วยสายตาขอคำตอบทันที
" สิน ศกุนตลา? "
" ธงและตราสัญลักษณ์นั่น...พวกเจ้าไม่รู้จริงๆหรือว่า เคยเป็น...และยังคงเป็นธงชัยประจำกายของบุคคลใด... "
" เอ๋? "
" ธง มยุราพื้นเหลือง...ธิวธวัชอันเป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระวรกาย...ของสมเด็จพระเจ้าตะละพะเนียเธอเจาะ (ชนะสิบทิศ)...บุเรงนองกะยอดินนรธา...ในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็น จะเด็ด ขุนศึกคนสำคัญใน สมเด็จพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ลิ้นดำ อย่างไรล่ะ! "
.........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ