ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

126)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

 

       " ไม่ได้เด็ดขาด! "  เสียง หรือพูดให้ถูกคือพระสุรเสียงของอิสตรีผู้อยู่ในฐานะของพี่สาวของพระมหากษัตริย์...สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดีที่ตวาดออกมาด้วยพระสุรเสียงอันดันก้องไปทั่วถึงขนาดทำให้นางกำนัลที่นั่งสัปหงกอยู่ด้านนอกพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์แห่งนี้ยังต้องสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจชนิดขวัญหนีดีฝ่อ ในขณะที่สิ้นพระสุรเสียงตวาดนั้น ท่านผู้เฒ่ายังถึงกับต้องเอ่ยปรามออกมาเบาๆทันที

 

       " ได้โปรด...ลดพระสุรเสียงลงสักนิดเถอะนะ สมเด็จเจ้าฟ้า "

 

       " พูดอะไรของท่าน ท่านออกญา! นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถพูดด้วยน้ำเสียงปรกติแล้วนะ! "

 

       " แหม โปรดรอคอยเพื่อฟังข้าซักนิดก็ได้...ไอ้ไกรมันก็มีเหตุผลของมันนะ "

 

       " ท่านสิต้องฟังเรา! ท่านให้ท้ายเด็กนั่นเกินไปแล้ว! "  สมเด็จพระพี่นางเถียงกลับมาอย่างขวางๆพร้อมกับใช้ดวงเนตรคมปลาบปรายมาพิศเป็นเชิงตำหนิ ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเฮือกพลางหลบตาและไม่ได้เถียงอะไร เปิดช่องให้พระเจ้าอุทุมพรที่ประทับยืนใช้ดวงเนตรจ้องมองแผนที่อยู่ตรัสถามขึ้นเบาๆว่า

 

       " เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง...ที่เราอยากรู้ก็คือ ข่าวนี้ จริงแท้แน่นอนสินะ ท่านออกญา? "

 

       " เอาหัวข้าพุทธเจ้าเป็นประกันได้เลยพุทธเจ้าข้า...และข้าเชื่อว่าอยางช้าสุด ม้าเร็วก็น่าจะมาถึงและแจ้งข่าวไม่เกินสายๆวันรุ่งพรุ่งนี้แน่ "

 

       " เหตุการณ์เวลานี้หนักหนาได้ถึงเพียงไหนกัน? "

 

         คำถามปลายเปิดเชิงขอคำอธิบายทำให้ท่านผู้เฒ่าโคลงหัวเล็กน้อยพร้อมกับเงียบไปเพราะต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงคำพูด ก่อนที่ในที่สุดเขาจะค่อยๆพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า

 

       " ตามข่าวที่ได้มา ออกญาเพชรบุรีเรืองสั่งให้ทหารเผาเสบียงที่ขนไปไม่ทัน รวมถึงสั่งให้ระเบิดดินดำที่เอาไปไม่ได้ทั้งหมดแล้วด้วย ทำให้ถึงจะยึดเพชรบุรีได้ แต่ก็ได้ไปแต่เมืองเปล่าๆ ทำให้ทัพพม่าอยู่ในสภาพหญ้าไม่พอปากม้า ข้าวไม่พอปากไพร่ไปอีกสักพัก...อย่างน้อยๆทัพของพระเจ้าอลองพญาก็ต้องยั้งทัพอยู่ที่เพชรบุรีไปก่อน จนกว่าเสบียงและไพร่พลที่เรียกเสริมจะมาสมทบ...หากโชคเราดีพอก็อาจจะได้เวลาเพิ่มประมาณ ๑ อาทิตย์ ทำให้ราชบุรีที่เป็นหน้าด่านเมืองถัดไปพอจะมีเวลาเตรียมตัว...ในขณะที่ขวัญกำลังใจจะเป็นสิ่งแรกที่ทหารสูญเสียไป แต่เรื่องนั้นอาจจะยังพอสร้างใหม่ได้ถ้าหากได้นายทัพระดับพอๆกับออกญาเพชรบุรีคอยกระตุ้น...เอ่อ ขออภัยนะพุทธเจ้าข้า แต่พอจะบอกได้ไหมว่าผู้ใดคือแม่ทัพผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ที่ราชบุรีกันหรือ? "  ท่านผู้เฒ่าหันไปถามผู้มีอำนาจสูงสุดในอโยธยาทั้งสามพระองค์อย่างสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร และสมเด็จพระพี่นางพินทวดีเบาๆ...แต่คำถามของเขากลับทำให้พระเจ้าอุทุมพรและสมเด็จพระพี่นางผินพักตร์ไปสบเนตรกัน ก่อนจะพร้อมพระทัยกันปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่

 

       " ออกญารัตนาธิเบศร์ "

 

         ราชทินนามที่ออกมาจากโอษฐ์ของสมเด็จพระเจ้าอุทมพรทำให้ท่านู้เฒ่าถึงกับหันกลับไปมองหน้าก่อนจะอดครางออกมาเบาๆไม่ได้

 

       " ไม่มีคนที่ดีกว่านี้แล้วรึอย่างไรกันพุทธเจ้าข้า? "

 

       " ปรกติแล้วงานนี้จะเป็นการขันอาสาล่ะนะ แล้วออกญามีชื่อผู้นี้ก็เป็นผู้เดียวที่ขันอาสาจะไปคุมราชบุรีเอง โดยให้เหตุผลว่าต้องการจะแก้หน้าที่ทำที่เมืองนารัง(จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) ไว้เสียยับเยิน...ขุนนางคนอื่นๆก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน เราจึงต้องมีราชโองการแต่งตั้งอย่างเลยตามเลยน่ะ "  พระเจ้าอุทุมพรตรัสอธิบายเบาๆ แต่ท่านผู้เฒ่าก็ยังไม่พ้นกุมขมับอยู่ดี

 

       " ถ้าหากอยากจะถ่วงทัพพม่าต่อ ข้าพุทธเจ้าขอบังอาจแนะนำให้เปลี่ยนนายทัพเถอะพุทธเจ้าข้า "

 

       " ไม่ได้หรอก "

 

       " ? "  ท่านผู้เฒ่าเงยหน้าจากโต๊ะแผนที่นูนต่ำตรงหน้าขึ้นมาเบิกตากว้างใส่คำปฏิเสธของพระเจ้าอุทุมพรอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง จนพระพี่นางพินทวดีต้องอธิบายเสริมขึ้นเบาๆว่า

 

       " ถึงจะมีฝีมือในการสงครามเข้าขั้นเด็กอมมือ แต่ออกญามีชื่อผู้นี้ก็เป็นคนใหญ่คนโตในหมู่ขุนนางสายพลเรือนด้วยเป็นว่าที่เจ้าพระยายมราชแห่งกรมเวียง ผู้ที่หนุนหลังมันก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยๆ...ขืนเราเปลี่ยนมือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์เวลานี้จะเกิดคำถามขึ้นวาเพราะเหตุใด...และในกรณีที่ร้ายที่สุดคือความคลางแคลงใจจนกระทบกระเทือนต่อความจงรักภักดี...และราชสำนักในเวลานี้ต้องการความมั่นคงที่สุด...ผู้ไม่จงรักภักดีผู้เดียวอาจจะเกิดปัญหาใหญ่ได้ "

 

       ' แล้วศึกที่ราชบุรีนี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่รึอย่างไรกันล่ะขอรับ! '  ท่านผู้เฒ่าโคลงหัวพร้อมกับคิดเถียงในใจเพราะไม่อยากพูดออกมา...ถ้าลงว่าทั้งสามพระองค์ตัดสินพระทัยแล้วก็คงจะไม่มีประโยชน์ที่จะคัดง้างอะไรต่อ จึงได้แต่มองไปยังทางเลือกที่เหลือที่อาจไม่ดีเท่าเดิมทันที

 

       " ถ้าเช่นนั้นขวัญกำลังใจทหารที่แตกพ่ายมาก็ยากที่จะฟื้นฟู และไม่อาจนับเป็นกำลังพลได้ ทางที่ดีควรจะมีราชโองการสั่งให้พวกที่แตกพ่ายมาจากเพชรบุรีถอยมาพักฟื้นที่เมืองที่ถัดจากนั้นมาดีกว่าพุทธเจ้าข้า "

 

       " ท่านหมายถึงกาญจนบุรีหรือ? "

 

         ท่านผู้เฒ่าหันกลับไปจ้องมองแผนที่อีกครั้ง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะส่ายหน้าช้าๆ

 

       " อย่าดีกว่าพุทธเจ้าข้า ถึงกาญจนบุรีจะเป็นเมืองใหญ่แต่ไม่ได้มีชัยภูมืที่เหมาะแก่การตั้งรับ เผลอๆอาจถูกล้อมเมือง แบบนั้นทหารมีหวังละลายหมดแน่ เราคงจะต้องทิ้งกาญจนบุรีและย้ายมาตั้งรับจุดสุดท้ายที่สุพรรณบุรีอันเป็นเมืองหน้าด่านสุดท้ายแทน "

 

       " แล้ว...ราชบุรีล่ะ? "

 

       " ขอพระราชทานอภัยโทษนะพุทธเจ้าข้า แต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เต็มที่ราชบุรีก็ต้านทานได้แค่ไม่เกิน ๒ อาทิตย์หรอกพุทธเจ้าข้า ข้าพุทธเจ้าขอแนะนำว่าชาวบ้านร้านตลาดหรือหมู่ทหารส่วนที่ไม่จำเป็นในราชบุุรีให้ถอนกำลังมายั้งไว้ที่สุพรรณบุรีและให้สุพรรณบุรีแต่งค่ายคูประตูหอรบและเก็บสะสมเสบียงให้พร้อมสรรพเสียเถอะ "  ท่านผู้เฒ่ามองสถานการณ์อย่างผู้ผ่านโลกมามากพร้อมกับอธิบายอย่างรวบรัดและไม่สนสีหน้าของทุกพระองค์เลยซักนิด เพราะเขากำลังบอกในสถานการณ์ที่ข้ามขั้นในระดับเสียเมืองไปถึงสองเมืองติดๆกันเลยทีเดียว

 

         ในที่สุด หลังจากที่ทรงประทับนิ่งเงียบราวกับพระปฏิมากร สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ที่ยังทรงสวมหน้ากากสีขาวบริสุทธ์อยู่ก็ปัสสาสะออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตรัสออกมาอย่างเชื่องช้าและเยือกเย็นที่สุด

 

       " แล้วเรื่องของไกรล่ะ? "

 

         ในที่สุดพระองค์ก็เข้าสู่ประเด็นหลักที่ท่านผู้เฒ่าถึงกับต้องแหกกฏมณเฑียรบาลเพื่อมาเข้าเฝ้าพวกพระองค์ในยามวิกาลนี้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหันกลับมาสบเนตรอันเหนื่อยอ่อนแต่ทว่ายังคงวาววับและเต็มไปด้วยดำริอันหลักแหลมที่สุดภายใต้หน้ากากสีขาวบริสุทธ์เล็กน้อย ก่อนจะรู้ทันทีว่าเขาไม่อาจจะปิดบังอำพรางใดๆได้ จึงได้แต่ทูลตามความจริงไปช้าๆ

 

       " ข้าได้ทัดทานไกรแล้ว แต่ว่า...มันตกลงใจอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไปช่วยกู้ออกญาเพชรบุรีเรืองกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน "

 

       " มันไม่ใช่ญาติโยมหรือคู่ผัวตัวเมียกันเสียหน่อย เป็นห่วงยังพอเข้าใจแต่จะหักหาญทัพเพื่อเข้าไปช่วยนี่มันประหลาดสิ้นดี! "  เมื่อกลับมาเรื่องนี้ สมเด็จพระพี่นางพินทวดีขึ้นพระสุรเสียงอีกครั้งเพราะพระองค์ไม่เข้าพระทัยจริงๆว่าไกรจะดึงดันขนาดนี้กับคนที่รู้จักกันเพียงไม่ถึงเดือนดีเพื่ออะไร จนท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือก

 

       " ถ้าพิศมองในแง่ของความสำคัญของนายทัพล่ะก็ ออกญาเพชรบุรีเป็นแม่ทัพผู้มีความสามารถ การเสียเขาไปก็ล้วนเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะเขาสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่การศึกได้ดีกว่านี้อีกมาก ดีกว่าจะปล่อยให้ตายไปเสียง่ายๆเช่นนี้ "

 

       " ท่านพูดแต่ด้านดีอย่างสวยหรูจนลืมเลือนสิ่งที่ท่านเคยพร่ำสอนเราทั้งสามไปแล้ว "  พระเจ้าเอกทัศน์ตรัสติงออกมาเบาๆอีกครั้ง จนทำให้ทุกคนต้องคิดตามก่อนจะพร้อมกันปัสสาสะและถอนหายใจเฮือก

 

       " จงมองทุกอย่างในกรณีที่เลวร้ายที่สุด... "

 

       " ถูกต้องแล้ว ท่านออกญา...เรื่องที่ไกรดึงดันจะไปช่วยออกญาเพชรบุรีนี่...ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด จะเป็นเช่นไร? "  แม้จะยังเหน็ดเหนื่อยและซมเพราะพิษไข้โรคาพยาธิที่ยังไม่หายดี แต่พระเจ้าเอกทัศน์ก็ยังคงเป็นพระเจ้าเอกทัศน์...ถ้าเป็นเรื่องของความแหลมคมของดวงเนตรพระองค์เป็นผู้ที่มองเรื่องราวได้ทะลุถึงเบื้องหลังอย่างแหลมคมที่สุดจนท่านผู้เฒ่าเกือบจะแสดงพิรุธออกทางสีหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเพดานบินสูงพอจะทำสีหน้ากลบเกลื่อนพร้อมกับตอบกลับมาตามความจริงว่า

 

       " ถึงจะสร้างกองกำลังที่ดีที่สุดเพื่อหมายจะทะลวงทัพ แต่กรณีที่เลวร้ายที่สุดที่จะเป็นไปได้ก็คือไกรจะไม่สามารถฝ่าทหารนับหมื่นนับแสนในค่ายทัพพม่าเข้าไปช่วยออกญาเพชรบุรีได้ และถูกสังหารในสนามรบ หรือที่เลวร้ายที่สุดของที่สุดคือมันจะถูกจับเป็นเชลยไปด้วยอีกคน "

 

       " นั่นแหละเหตุผลที่ทำให้ข้าห้ามไว้อย่างไรล่ะ! ไกรพิสูจน์ให้เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเขาเป็นคนสำคัญที่มีผลชี้เป็นตายในสมรภูมิในฐานะนายทัพคนนึง เรายอมเสียเขาไปไม่ได้! "  สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีตรัสออกมาเสียงแข็งทันทีเมื่อท่านผู้เฒ่าพูดจบ ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรก็พยักพระพักตร์อย่างเห็นด้วย ส่วนพระเจ้าเอกทัศน์แม้ยังคงนิ่งอยู่แต่ท่านผู้เฒ่าก็ตาแหลมพอจะรู้สึกได้ว่าพระองค์ก็เริ่มเอนเอียงไปในทางที่ไม่อนุญาตให้ไกรไปเหมือนกัน ทำให้ท่านผู้เฒ่ารู้สึกว่าเขาคงสร้างแรงสนับสนุนไม่ได้แน่ๆ จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับตัดสินใจใช้ไม้แข็งซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายทันที

 

       " ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ...แต่พระองค์ไม่อาจจะบังคับไกรได้ "

 

       " ว่าอย่างไรนะ! "  สมเด็จพระพี่นางหันขวับกลับมาและใช้ดวงเนตรที่คมกริบสาดใส่ชายหนุ่มผู้ที่อยู่ในฐานะของท่านผู้เฒ่าผู้เคยมีอดีตร่วมกันเป็นเชิงตำหนิทันทีเพราะอีกฝ่ายกำลังพูดในเชิงกระด้างกระเดื่องซึ่งแทบจะเข้าสู่ระดับของไม่จงรักภักดีเลยด้วยซ้ำ...แต่กลับเป็นพระเจ้าเอกทัศน์ที่เบิกเนตรกว้างราวกับสะกิดพระทัยอะไรบางอย่าง ก่อนที่พระองค์จะปัสสาสะเฮือกอย่างยาวนานอีกครั้ง

 

       " น้ำพระพิพัฒน์สัตยา "

 

       " พ่ออยู่หัว? "

 

       " พระองค์เข้าพระทัยถูกแล้วพุทธเจ้าข้า...ไกรมิได้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา สาบานตนต่อพระองค์ ทำให้สถานะของไกรเวลานี้ไม่ต่างจากทหารรับจ้าง มีผลผูกพันเพียงแค่พระองค์จ่ายเบี้ยหวัดค่าจ้างมันและมันก็ทำงานพอสมตามค่าจ้าง...ความผูกพันสัญญาล้วนสิ้นสุดลงเมื่อไหรก็ได้! "  ท่านผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงด้วยกระแสของความกดดันเหมือนกับจะบอกอย่างกลายๆว่า ...นี่ไม่ใช่การขออนุญาต แต่เป็นการบอกกล่าวต่างหาก...คำห้ามปรามหรือราชโองการเด็ดขาดของพระเจ้าอยู่หัวล้วนไม่ใช่สิ่ง่ที่ไกรจะต้องฟังแต่อย่างใด... คำพูดที่เต็มไปด้วยความกดดันที่เตรียมจะแตกหักทำให้พระเจ้าอุทุมพรขยับอย่างอึดอัดในขณะที่พระพี่นางพินทวดีที่ทนกระแสกดดันได้ดีกว่าขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับตรัสบริภาษด้วยสายพระเนตรที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อทันที

 

       " ท่านให้ท้าย! เห็นดีเห็นงามกับเด็กนั่น! "

 

       " ข้าพุทธเจ้ามิได้เห็นดีเห็นงาม ต้องบอกว่าห้ามปรามแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่ไกรดึงดันด้วยเจตนาที่แน่วแน่ และถึงจะเห็นมันเหมือนลูกชายแท้ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆที่จะอยู่ในโอวาสของข้าพุทธเจ้า มันเป็นไท การกระทำทุกอย่างล้วนแล้วแต่ขึ้นกับการตัดสินใจของมันเอง "

 

       " ท่านออกญา! ท่านกำลังลองดีกับเรา กล้ากระด้างกระเดื่องกับเราเช่นนั้นหรือ?! "

 

       " ข้าพุทธเจ้าเพียงแค่ทูลตามความจริง...อาจไม่รื่นพระกรรณพระองค์แต่นี่ก็คือความจริง "

 

       " ท...ท่าน! "

 

       " พอเถอะ สมเด็จพระพี่นาง...ทานออกญาพูดถูกแล้ว "  ก่อนที่เหตุการณ์ที่ตึงเครียดนี้จะบานปลายจนเกินควบคุม สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในที่แห่งนี้ หรืออาจจะพูดได้อย่างเต็มปากว่ามีอำนาจที่สุดในราชอาณาจักรตรัสปรามพระเชษฐภคนีของพระองค์อย่างช้าๆ ทำให้ถึงจะยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น พระพี่นางก็ผินพักตร์กลับมามองก่อนจะยอมสงบลงอย่างไม่ค่อยยินยอมพร้อมพระทัยเท่าไหร่นัก เปิดโอกาสให้พระเจ้าเอกทัศน์เอ่ยโอษฐ์ออกมาด้วยน้ำพระสุรเสียงเหนื่อยอ่อนท่ว่ายังคงมั่นคงอีกคร่้ัง

 

       " แล้วตัวท่านล่ะ ทานออกญา? "

 

       " พุทธเจ้าข้า? "  ท่านผู้เฒ่าเลิกคิ้วอย่างตามไม่ทัน แต่พระเจ้าเอกทัศน์ก็เฉลยเบาๆว่า

 

       " ตัวท่านเองเคยถือน้ำพระพิฒน์สัตยาก็จริง แต่ถือด้วยสาบานจะจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ หาใช่พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศผู้เป็นพระราชบิดาเรา หรือพระเจ้าอุทุมพร หรือตัวเรา...ท่านไม่มีผลผูกพันว่าต้องจงรักภักดีกับเราเช่นกัน...ข้าจึงอดสงสัยไม่ได้...ว่าท่านจะรับใช้พวกเราไปอีกนานเพียงใดกัน? "  

 

         คำถามของพระเจ้าเอกทัศน์ทำให้ทุกพระองค์ที่เหลือถึงกับสะอึก เพราะหากมองตามความเป็นจริงแล้วท่านออกญาตรงหน้าผูกพันกับราชสำนักน้อยเสียยิ่งกว่าไกรเสียอีก ทำให้หากอีกฝ่ายคิดจะถอนกำลังกลับไป ลำพังพวกเขาทั้งสามพระองค์ล้วนไม่อาจจะรั้งไว้ได้อย่างแน่นอน...แต่ระหว่างที่ทุกพระองค์รอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น ท่านผู้เฒ่ากลับเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ

 

       " ฮ่ะๆ เรื่องนั้นโปรดอย่าได้เป็นกังวลใดๆเลยพุทธเจ้าข้า "

 

       " ? "

 

       " จริงอยู่ว่าถึงจะมิได้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระองค์ แต่ข้าพุทธเจ้าก็ยังติดค้างสัญญาใจอยู่ "

 

       " สัญญาใจ? "  พระเจ้าอุทุมพรเลิกขนงเอียงศอเล็กน้อยพร้อมกับทวนคำอย่างงงๆ ในขณะที่พระพี่นางพินทวดีเหมือนจะดำริอะไรบางอย่างได้ จนกระทั่งพระองค์ร้อง อ๊ะ! ออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบก้มพักตร์เพื่อซ่อนเลือดฝาดที่ระบายขึ้นมาเต็มดวงพักตร์ที่ร้อนวูบวาบอย่างกะทันหันทันที

 

       " พุทธเจ้าข้า...สัญญาใจที่ข้าพุทธเจ้าได้ให้สัตย์สัญญาไว้กับสตรีนางหนึ่งใต้ต้นโพธิ์ใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์...สตรีผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้าพุทธเจ้าคนนี้ ว่าจะพิทักษ์พระองค์และราชบัลลังก์อโยธยาของพระองค์ไว้จนกว่าชีพของข้าพุทธเจ้านี้จะหาไม่...พระองค์โปรดอย่ากังวล นี่คือคำสาบานชั่วชีวิตของข้าพุทธเจ้า พระเจ้าข้า "

 

         คำสาบานอันหนักแน่นของอดีตออกญาผู้เป็นอาจารย์ของทั้งสามพระองค์ทำให้พ่ออยู่หัวทั้งสองนิ่งอึ้งไปอย่างอับจนถ้อนคำ ในขณะที่สตรีเพียงผู้เดียวในที่แห่งนี้ทวนคำพูดของชายหนุ่มพร้อมกับลอบแย้มพระสรวลด้วยพักตร์แดงเรื่อโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็นแม้แต่น้อย

 

       " สตรี...ที่สำคัญที่สุดในชีวิตเช่นนั้นหรือ?...คิกๆ "

 

       " จะบอกว่าท่านผูกพันด้วยสัญญาใจว่าจะอยู่เพื่อปกป้องเราไปตลอดเช่นนั้นหรือ? "

 

       " ถือเป็นคำสัตย์พุทธเจ้าข้า"

 

       " เอาเถอะ ถ้าท่านยืนยันเช่นนั้น...ข้าขอถามตรงๆเพื่อไม่ให้เสียเวลาเลยก็แล้วกันนะ "  พระเจ้าเอกทัศน์ไม่ทันสังเกตเห็นท่าทีของเชษฐภคนีของพระองค์ หรือไม่ก็เห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นและเข้าเรื่องต่อเพื่อถามในสิ่งที่พระองค์ต้องการจะรู้ทันที

 

       " ...ถ้าหากไกรยืนยันจะไปให้ได้ ท่านจะมีแผนการที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในการบุกชิงตัวออกญาเพชรบุรี และทำให้เด็กนั่นยังรอดกลับมาได้แบบเป็นชิ้นเดียวอย่างไร? "

 

         คำถามปลายเปิดทำให้ท่านผู้เฒ่านิ่งเงียบไปอีกครั้งเพราะต้องใช้เวลาในการประมวลผลและคืดหาทางออกที่ดีที่สุด ...นานชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะทูลบอกพ่ออยู่หัวเรียบๆวา

 

       " ทางหนึ่งคือการไปพร้อมกับมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตภายใต้การดูแลของข้า พวกเด็กๆของข้าไว้ใจได้ในเรื่องการเอาตัวรอดแม้ว่าสถานการณ์จะคับขันเพียงใด...แต่เพราะติดเรื่องจำนวนที่มีน้อยและสถานการณ์ที่ยังคงไม่ปรกติระหว่างพวกเรากับกลุ่มมือสังหารลึกลับที่หมายก่อคามวุ่นวายให้ราชสำนักอีกทำให้แบ่งไปได้ไม่มากนัก ยิ่งเมื่อเทียบกับทัพที่ไกรจะบุกทะลวงนั้นยิงเทียบไม่ได้ใหญ่ ทำให้อีกทางนึงพระองค์คงต้องจัดสรรกำลังไปให้เขาบ้าง อย่างน้อยๆก็ต้องประมาณ ๑ กองร้อยโดยยกเลิกการขึ้นตรงต่อผู้ใดเว้นแต่มันเพียงคนเดียว "

 

       " ประเดี๋ยวสิ! จุดประสงค์ของไกรคือการบุกชิงคนไม่ใช่หรือ? แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจำเป็นต้องมีกองทหารขนาดอย่างน้อยๆเป็นกองร้อยเชียว? มันจะไม่ทำให้เอิกเกริกไปหน่อยหรือ? "  พระเจ้าอุทุมพรดำรัสถามเบาๆ เพราะถ้าหากจะเอาตามจุดประสงค์ของไกร การนำคนไปเยอะๆจะกลายเป็นที่สังเกตได้เสียเปล่าๆ แต่ท่านผู้เฒ่ากลับแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับตอบกลับมาช้าๆว่า

 

       " ใช่แล้ว...กองทหารนั้นข้าพุทะเจ้ามิได้ให้ไว้เป็นมือเท้าของไกร...แต่จะให้ไว้เพื่อสร้างแรงกดดันที่มากพอจะส่งผลกระทบต่อทัพพระเจ้าอลองพญาต่างหากล่ะ "

 

       " อะไรนะ? "

 

       " เฮ้อ มันอาจจะยังไม่รู้แต่สันดานของไอ้ไกรไม่ใช่คนที่จะสามารถทำอะไรอย่างเงียบๆได้หรอก สิ่งที่ถูกมอบหมายให้ล้วนแล้วแต่ถูกมันขยายให้เอิกเกริกจนแผนการเดิมไม่อาจจะเทียบติด...นี่ก็เช่นกัน..ถึงจะบอกว่าจุดประสงค์คือชิงตัวเชลยแต่ไม่ต้องเดาเลยว่ามันจะต้องทำให้เกินเลยกว่านั้นอย่างแน่นอน กองทัพน้อยๆซักกองนึงจะทำให้ไกรเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้นและหากโชคเราดีพอ ไกรอาจจะกลายเป็นผู้ที่ถ่วงทัพพม่าได้อย่างชะงัดจนเหลือเชื่อเลยทีเดียวล่ะ "

 

       " ท่าน...คิดจะใช้ประโยชน์จากเด็กนั่น? "  พระเจ้าอุทุมพรครางออกมาเบาๆอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าถึงขนาดนี้ชายหนุ่มยังเจ้าเล่ห์พอจะหาประโยชน์จากเด็กหนุ่มที่เขาเป็นห่วงเหมือนลูกชายแท้ๆได้อีก ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ยักไหล่พร้อมกับแก้ตัวเบาๆว่า

 

       " ข้าเพียงแค่พยายามสร้างสมดุลในสถานการณ์ที่เริ่มไม่สมดุลในการสงครามเท่านั้น และต่อให้ข้าไม่ทำไกรมันก็คงจะเผลอทำไปอยู่ดี ข้าแค่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเท่านั้น "

 

       " จ...เจ้าเล่ห์สุดๆเลย "  พระเจ้าอุทุมพรถึงกับครางออกมาเบาๆและมองท่านผู้เฒ่าด้วยสายตาที่ไม่ต่างอะไรกับที่ใช้มองปิศาจร้าย ก่อนที่สมเด็จพระพี่นางพินทวดีที่ประทับนั่งเงียบอยู่นานจะเลิกขนงค์ราวกับเอะใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่พระองค์จะดำรัสถามขึ้นเบาๆว่า

 

       " นี่ ท่านออกญา แล้วไอ้คนต้นเรื่องนี้อย่างไกร เวลานีไปไหนเสียแล้วล่ะ? "

 

       " อ๋อ... "  ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะฝืนยิ้มแค่นๆ จนกระทั่งพระพี่นางดำรัสถามสำทับอีกครั้ง เขาจึงหลบตาพลางตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า

 

       " ไกรน่ะ...เอ่อ ...กำลังไปทำเรื่องเสี่ยงหัวหลุดจากบ่าเป็นการทิ้งทวนอยู่น่ะพุทธเจ้าข้า "

 

       " เอ่? "

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

      ...สวนองุ่น...พระราชอุทยานหลวงภายในเขตพระราชฐานชั้นใน...

 

      ...ไกรที่เวลานีอยู่ในชุดสีดำสนิทที่รัดกุมและสามารถอำพรางกายได้ เหลือบมองแถวของเหล่าจ่าโขลนประมาณ ๑๐ นางที่เดินแถวตรวจไปตามถนนปูอิฐแดงที่ทอดยาวไปอย่างพร้อมเพรียง ในขณะที่ตัวของชายหนุ่มเวลานี้แอบซุ่มซ่อนอยู่ในเงาไม้ใหญ่และอาศัยความมืดอำพรางกายจนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นได้อยางแน่นอน...

 

       ' ...ถ้าพวกนางกำนัลพบเห็นสมเด็จเจ้าฟ้าครั้งสุดท้ายคือพระองค์ดำเนินเข้าไปในสวนองุ่น...ที่ๆองค์หญิงจะไปได้ก็ตงจะมีเพียงทีเดียวสินะ? '  ไกรที่ยังไม่กล้ากระดุกกระดิกตัวคิดในใจอย่างช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพลางยกผ้าขึ้นมาปิดบังหน้าตาตัวเองอีกครั้ง จนทำให้เขาในเวลานี้ดูเหมือนกับโจรู้ร้ายไม่มีผิด

 

       ' เฮ้อ...สภาพแบบนี้อย่าว่าแต่ลอบไปพบท่านหญิง---เจ้าหญิงเลย...แค่มีใครจับเราได้ก็มีหวังม่องแบบไม่ต้องสืบแล้วแน่ๆ '

 

      ...ในความโชคร้าย โชคของไกรก็ยังดีอยู่บ้าง ตรงที่ก่อนที่จะเข้ามาในเขตราชฐานชั้นใน ไกรให้อนาสตาเซียเลียบๆเคียงๆถามนางกำนัลที่อยู่ในเขตราชฐานชั้นในดูแล้ว และได้ความว่าเวลานี้สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรชอบที่จะแปรพระราชฐานไปพักผ่อนอยู่ภายในภายในเขตพระราชอุทยานสวนองุ่น ทั้งยังไปเพียงลำพังโดยไม่ยอมให้เหล่านางสนองพระโอษฐ์ติดตามไปด้วย ซึ่งมองในหลายๆแง่ นี่เป็นโอกาสอันงดงามของไกรจริงๆ...

 

      ...เนื่องจากสิ่งที่เขาจะทำต่อไปนี้คือการลักลอบเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเพียงลำพังแบบสองต่อสองเพื่อ ขออนุญาต ออกไปทำภารกิจครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องผิดราชมณเฑียรบาลชนิดที่เคยเกือบจะทำให้เขาหัวขาดมาแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อาจจะเข้ามาในฐานะของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีอย่างเป็นทางการได้เว้นแต่ต้องลอบเข้ามาเท่านั้น...ไกรจึงได้แต่มอบพระธำมรงค์พระราชทานไว้ให้แก่ท่านผู้เฒ่าเพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายสามารถเข้าเขตพระราชฐานชั้นในสุดในยามวิกาลได้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าชี้ช่องทางลับอันเป็นโพรงเล็กๆข้างกำแพงด้านทิศใต้ให้ไกรลอบเข้ามาแทน...

 

       " แบบนี้ถ้าหากถูกจับได้ก็คงไม่ต้องแก้ตัวกันล่ะ ทั้งชื่อเสียงที่สั่งสมมามีหวังป่นปี้หมดแหงๆ "  ไกรครางออกมาเบาๆก่อนที่เขาจะค่อยๆลุกจากที่พรางกายออกมาและขยับแข้งขยับขาเล็กน้อย...การพรางกายนับเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขาอย่างมาก เพราะไกรเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่เป็นจุดเด่นและไม่ค่อยจะชอบปิดบังจิตอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเท่าไหร่นัก ทำให้การลอบเข้ามาอะไรโดยไม่ให้ใครจำได้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย...แต่ถึงอย่างนั้น ไกรก็ผ่านจุดที่ยากที่สุดมาแล้ว...

 

       " เฮ้อ...ต้องบอกว่าคุณท้าวศรีสัจจากับยัยพวกนาสตี้นี่เก่งจริงๆ...เพียงแค่ระยะสั้นๆสามารถฝึกยัยพวกจ่าโขลนให้มีระเบียบได้ถึงขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ได้ทางลับของท่านผู้เฒ่าบวกกับคำแนะนำเรื่องช่องโหว่ของยัยนาสตี้มีหวังถูกจับได้ตั้งแต่ไก่โห่แล้วแน่ๆ "  เขายังอดครางออกมาเบาๆอีกครั้งพร้อมกับเดินตัดแสงจากคบเพลิงที่ถูกจุดส่องสว่างไว้ตามรายทางในเขตราชอุทยานเข้าไปอย่างช้าๆ...

 

      ...ถึงแม้ว่าไกรจะเคยไปที่นันเพียงแค่ ๒ ครั้ง (โดยที่ครั้งแรกเล่นเอาซะเกือบขึ้นสวรรค์ไปเลย) แต่ไกรก็ยังคงเหมือนผู้ชายทั่วไปคือสามารถจำเส้นทางได้อยางแม่นยำ...ถึงจะเกือบๆหลงไปหลายรอบ แต่ในที่สุดเขาก็มาถึงสถานที่ที่เขาหมายตาไว้...

 

      ...สวนขวัญดอกรัก...อุทยานลับภายในราชอุทยานสวนองุ่น...

 

       " ว่าแล้วเชียว...อยู่ที่นี่จริงๆด้วย "

 

         เสียงที่ไม่เบาจนเกินไปนักของไกรทำให้หญิงสาวเพียงผู้เดียวที่นั่ง...ไม่สิ ต้องพูดว่าประทับทอดพระอารมณ์อยู่อย่างเหม่อลอยถึงกับสะดุ้งพระวรกายน้อยๆ ก่อนจะหันมาทางต้นเสียงและยินขึ้นอย่างระแวงทันที ทำให้ไกรนึกขึ้นได้ว่าเขายังคงสวมผ้าปิดบังหน้าตาอยู่ เขาจึงถอดผ้าคลุมออกพร้อมกับยิ้มพลางพูดช้าๆ

 

       " โปรดอย่าตกพระทัย เป็นข้าพุทธเจ้าเอง "

 

       " ท่านไกร? "  ผู้ที่อยู่บนเก๋งไม้สถาปัตยกรรมไทยประสมจีนในสวนขวัญแห่งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นองค์หญิงองค์สำคัญอย่างสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร ซึ่งเมื่อเห็นหน้าไกรชัดๆ จากท่าทีหวาดระแวงองค์หญิงก็เปลี่ยนสีพระพักตร์กลายเป็นแดงเรื่ออย่างยินดีที่สุดจนไกรอดวิตกแทนไม่ได้ทันที

 

       ' เอ...ปรกติแล้วคนที่เป็นเจ้าฟ้าฝ่ายสตรีควรจะดีใจเมื่อเห็นบุรุษปรากฏตัวขึ้นในที่ลับหูลับตาคนเช่นนี้เหรอฟะ '  ไกรคิดในใจอย่างเป็นห่วง แต่ก็ยังฝืนยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหาพร้อมกับคุกเข่าและค้อมหัวลงให้เพื่อแสดงความเคารพอย่างช้าๆ...ถึงแม้ว่าการแสดงความเคารพของไกรจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับยศของสมเด็จเจ้าฟ้าผู้ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสี แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหญิงสิริจันทรก็ยังคงทำปราง(แก้ม)ป่องอย่างไม่พอพระทัยอยู่ดี

 

       " น้อมคารวะท่านหญิง "

 

       " หยุดเลยนะ ท่านไกร...เราบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าอยู่กันตามลำพังไม่ต้องทำเช่นนี้น่ะ "

 

       " ฮะๆ ข้าว่าแบบนี้ก็ดูมีเสน่ห์ดีออก แต่เอาเถอะ เมื่อท่านหญิงไม่ชอบก็... "  ไกรลุกขึ้นและพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรแย้มพระสรวลหวาน ก่อนที่พระองค์จะเลิกขนงค์อย่างระลึกขึ้นได้ ก่อนจะรีบเปลี่ยนพักตร์ด้วยการปั้นพักตร์จิ้มลิ้มจากยินดีกลายเป็นไม่พอพระทัย พร้อมกับชีหน้าไกรทันที

 

       " นี่แน่ะ ท่านไกร มันน่าจริงๆนะ...หากข้าคาดเดาไม่ผิด ถ้าไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจท่านก็คงหลีกลี้ไม่ยอมมาพบหน้าเราเลยสินะ "  เจ้าหญิงตรัสมาได้อย่างถูกต้องราวกับตาเห็นจนไกรออกอาการราวกับถูกปืนยิง ก่อนที่ไกรจะพยายามใจดีสู้เสือพูดเบี่ยงเบนประเด็น

 

       " ท...ท่านหญิง เชิญท่านกลับขึ้นบนศาลาก่อนเถอะ "

 

         ถึงจะยังคงใช้เนตรจับผิดมองมาที่ไกร แต่เจ้าหญิงก็ยังสามารถแย้มสรวลอยางยินดีได้...พระองค์ขยับผ้าคลุมอังสะบางที่ใช้กันความหนาวเย็นของบรรยากาศโดยรอบก่อนจะดำเนินนำไปในขะที่ไกรก็เดินตามไปแต่โดยดี แต่พอมาถึงเก็งหรือศาลาที่ถูกปลูกไว้ท่ามกลางสวนขวัญดอกรักแห่งนี้ ดวงตาระวังภัยอันคมกริบของไกรก็เหลือบไปเห็นคราบโลหิตสีแดงหม่นๆที่เปื้อนอยู่กับพื้นบันไดตรงทางเข้า นั่นทำให้ไกรรีบพุ่งขึ้นมาด้านหน้าพร้อมกับจับอังสะบางขององค์หญิงเพื่อหยุดพระองค์ไว้ทันที

 

       " เอ๋? ท่านไกร? "

 

       " โปรดรอก่อนพุทธเจ้าข้า "  ชายหนุ่มห้ามพลางก้มลงสำรวจรอยเลือดที่สังเกตเห็นได้จากแสงไต้ที่สุดอยู่โดยรอบ ก่อนจะขมวดคิ้ววูบทันที

 

       ' เลือดเก่า...ไม่ใช่เ่ก่าธรรมดาแต่นี่มันระดับเก่าโคตรๆเลย อาจจะเป็นเดือนเลยด้วยซ้ำมั้งเนี่ย...แต่ว่า...นิสัยทานหญิงเป็นคนรักความสะอาด กองเลือดขนาดนี้ไม่มีทางที่ท่านจะไม่เห็นแน่...แปลกๆแฮะ '  

 

       " เอ๋ ท่านไกร ท่านจำไม่ได้หรือเจ้าคะ? "  แต่อยู่ๆเจ้าหญิงที่สังเกตเห็นคราบโลหิตเหมือนกันก็เลิกขนงค์และเอียงศอถามเบาๆจนไกรหันไปขมวดคิ้วมองพร้อมกับทวนคำเบาๆ

 

       " จำได้? เหตุใดข้าต้องจำเลือดนี่ได้ด้วยล่ะขอรับ? "

 

       " ก็นี่เป็นกองโลหิตของท่านเองอย่างไรล่ะเจ้าคะ "

 

       " หา? "  ไกรอุทานพร้อมกับทำตาโต แต่แล้วเขาก็นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรก ...ณ ที่ตรงนี้ไกรได้ใช้ร่างตัวเองปกป้ององค์หญิงสิริจันทรจากลูกธนูของอเทตยาจนเขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนึกได้ดังนั้นไกรก็หันกลับไปสบเนตรของเจ้าหญิงอยางไม่เข้าใจอีกครั้ง

 

       " ถ้าเช่นนั้น ท่านจะเก็บคราบโลหิตนี้ไว้ทำไมล่ะขอรับ?! "  ...เวรกรรมจริงๆ เขาลืมไปจริงๆด้วย แถมมาคราวก่อนก็มัวแต่ทำอย่างอื่นจนไม่ทันสังเกตเห็นเสียอีก...

 

         คำถามของไกรทำให้องค์หญิงดวงพักตร์แดงวูบจนไกรสะดุ้ง อาจจะเป็นเพราะรอบๆตัวของไกรมีแต่ผู้หญิงนิสัยแปลกๆ ทำให้เขากลัวไปเองว่าเจ้าหญิงอาจจะรวมกลายเป็นหนึ่งในพวกแปลกๆเหล่านั้น...แต่ก่อนที่ไกรจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เจ้าหญิงที่ประทับอยู่ข้างๆก็ตอบกลับมาเบาๆว่า

 

       " เพื่อที่จะยืนยัน...ว่าข้าไม่ได้ฝันไปอย่างไรล่ะเจ้าคะ ท่านไกร...ทุกเรื่องราวในค่ำคืนนั้น ทุกๆคำพูดของท่าน ทุกๆการกระทำของท่าน ที่ท่านแลกชีวิตเพื่อปกป้องข้าจากมือฉมังธนูที่หมายจะสังหารข้า...ถึงทุกๆคนจะบอกข้าว่าเรื่องราวในคืนนั้นเป็นเรื่องหลับฝันไป แต่ว่าข้าไม่เชื่อหรอก...มันชัดเจนเกินกว่าที่จะเป็นความฝันจากพิษไข้อย่างแน่นอน...ข้าไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด "  ประโยคหลังสมเด็จเจ้าฟ้าสาวตรัสเสียงบางเบาปานรำพึง พร้อมกับก้มลงและใช้หัตถ์บางนุ่มลูบที่รอยคราบเลือดเล็กๆนั่นราวกับโหยหาและเชื่อมั่นว่าเธอไม่ได้เพ้อไปเองเพราะพิษไข้แน่ ในขณะที่ไกรนิ่งอึ้งไป...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะลอบถอนหายใจเฮือกก่อนจะประคององค์หญิงให้ลุกขึ้นช้าๆ

 

       " เชิญขึ้นศาลาก่อนเถอะ ทานหญิง...แล้วข้าจะบอกอะไรให้ฟัง "

 

       " เอ๋? "  เจ้าหญิงสิริจันทรเลิกขนงค์บางๆอย่างฉงนใจ แต่พระองค์ก็ยอมเสด็จขึ้นบนศาลาตามที่ไกรขอและนั่งลงข้างๆชายหนุ่ม ซึ่งไกรก็ยิ้มพลางถือวิสาสะจับหัตถ์อันนุ่มนวลของสมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นมากุมไว้ช้าๆ ซึ่งเจ้าหญิงสิริจันทรก็เบิกเนตรกว้างเล็กน้อยอย่างตกพระทัย แต่พระองค์ก็ยินยอมปล่อยให้หัตถ์ของเธออยู่ในมือของไกรแต่โดยดี...ไกรกุมมือของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ตรงหน้านิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะตัดสินใจพูดขึ้นอย่างช้าๆ

 

       " ท่านหญิง...ขอให้ข้าบังอาจพูดอะไรซักอย่างเถอะนะขอรับ "

 

       " เอ่? "  

 

       " ท่านหญิง...ขอข้าถามท่านซักนิดเถอะนะ...ท่านกังวลเรื่องนี้มาตลอดเลยงั้นเหรอ? "  ไกรพูดออกมาเบาๆ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าแม้จะพยายามปิดบังแต่องค์หญิงของเขาก็ดูอมทุกข์ไปเพราะมัวแต่คิดคำนึงถึงอะไรบางอย่างในใจตลอด...ทั้งเขาก็ได้ความจากพวกนางกำนัลว่าหลังจากเรื่องความวุ่นวายของเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมน เจ้าหญิงก็มักจะเสด็จมาที่นี่ตามลำพังตลอดๆ  ซึ่งเมื่อเขาพูดออกมาตรงๆ สตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าก็พักตร์เจือนลงอย่างเห็นได้ชัดทันที ทำให้แม้พระองค์ไม่ตอบอะไร ไกรก็พอจะเดาได้แล้วว่าเขาพูดได้ถูกต้อง ชายหนุ่มจึงยิ้มพลางพูดต่อช้าๆว่า

 

       " ท่านหญิง...โปรดฟังข้าซักนิดเถอะนะขอรับ...แต่ที่ท่านกำลังทำอยู่นี่มันทำร้ายตัวท่านเองอยู่นะ "

 

       " ต...แต่...แต่เราต้องการจะรู้...ว่าทำไมทุกคนถึงได้ปิดบังเรา "

 

       " แต่ท่านหญิงก็ทราบดีว่ารู้ไปท่านหญิงก็ไม่ได้อะไรอยู่ดีมิใช่หรือ? ...ท่านทำราวกับถือทุกอย่างไว้ในมือซึ่งรังแต่จะทำให้ท่านลำบากเสียเปล่าๆ... "  ไกรพูดอย่างตรงประเด็นจนหญิงสาวนิ่งเงียบไปอย่างอับจนถ้อยคำ ซึ่งไกรก็ยิ้มอีกครั้งพลางยกหัตถ์ของเจ้าหญิงขึ้นมาอีกครั้งและวางไว้บนฝ่ามืออันกว้างหนาของเขาช้าๆ

 

       " ...ทางแก้ก็คือ...วางมันลง...เรื่องราวที่ท่านยึดและถือไว้นี้รังแต่จะทำให้ท่านเป็นทุกข์...แค่วางมันลงเท่านั้นและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น...ไม่จำเป็นต้องขัดขวาง ไม่จำเป็นต้องรับรู้...แค่ปล่อยให้ผ่านมาและผ่านไปและดำรงอยู่กับปัจจุบันอันเป็นสุขเท่านั้น...เวลานี้ท่านมีคนที่ท่านรัก...มีคนที่รักท่านอยู่รอบกาย...มีทุกอย่างที่ผู้ที่มีความสุขพึงมี...ในความคิดของข้า...แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือขอรับ "

 

         คำพูดปลอบโยนของไกรทำให้เจ้าหญิงนิ่งไป แต่พระองค์ก็ฉลาดและทันคนพอจะรู้ถึงจุดประสงค์ของไกร พระองค์จึงฝืนสรวลออกมาเบาๆพร้อมกับพูดกับชายหนุ่มตรงหน้าช้าๆ

 

       " แปลว่าเราสมควรจะไม่รู้อะไรเลยสินะเจ้าคะ ท่านไกร "

 

       " ฮ่ะๆ ...ก็อย่างที่คำพูดติดปากที่สถานที่ที่ข้าจากมาชอบกล่าวไว้...ผู้ที่รู้เรื่องราวน้อยที่สุดคือผู้ที่มีความสุขที่สุด...และขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ แต่ว่า...ข้าอยากให้ท่านเป็นสตรีผู้มีความสุขที่สุดนะ ท่านหญิง "

 

         คำพูดของไกรรวมถึงความอบอุ่นที่ได้จากฝ่ามือกว้างหน้าของไกรที่ยังกุมหัตถ์พระองค์อยู่ทำให้พระองค์พักตร์ร้อนวูบวาบอีกครั้ง แต่คำพูดของไกรก็ทำให้พระองค์มีความสุขขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ...มันทำให้พระองค์ที่เคยจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างเป็นทุกข์กลับมายิ้มได้อีกครั้ง...

 

      ...เขาเป็นชายผู้ที่คอยปลดเปลื้องทุกข์ และทำให้พระองค์แย้มพระสรวลได้เสมอจริงๆ...

 

       " ขอบคุณนะเจ้าคะ ท่านไกร "  เจ้าหญิงก้มพักตร์ลงและตะกุกตะกักตรัสออกมาเบาๆ ซึ่งไกรก็ก้มหัวให้เล็กน้อย

 

       " ด้วยความยินดีอย่างยิ่งขอรับ "

 

       " ถ้าเช่นนั้นก็กลับมาพูดเรื่องที่เรา สมควรจะรู้ ดีกว่านะเจ้าคะ เพราะเราไม่คิดว่าท่านจะแค่มาเพียงเพื่อช่วยให้เราสรวลออกมาได้เช่นนี้ใช่หรือไม่ล่ะเจ้าคะ? "  แล้วอยู่ๆเจ้าหญิงคนสวยก็วกกลับมาในเรื่องเดิมอีกครั้งจนไกรสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที แต่สตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าไม่ยอมให้เขาหนี เพราะพระองค์เปลี่ยนมาเป็นกุมมือไกรแทนและจ้องมองด้วยเนตรกลมโตใสแป๋วจนไกรไม่อาจจะหนีได้อย่างแน่นอน เขาจึงเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้น คือสารภาพไปตามตรงโดยการเล่าเรื่องราวตางๆให้โดยที่เขาไม่ปิดบังอะไร เว้นแต่เรื่องของดาราและตัวตนของเธอที่อยู่ใกล้ตัวจนแม้แต่องค์หญิงก็ทรงคาดไม่ถึงแน่...ซึ่งเพราะเป็นเรื่องยาว ทำให้กว่าไกรจะเล่าจบก็ใช้เวลาไปพอสมควรทีเดียว ซึ่งเจ้าหญิงก็ทรงเป็นผู้ฟังที่ดีคือรับฟังนิ่งโดยไม่ขัดอะไรด้วยดวงพักตร์ที่ไม่อาจจะอ่านออกจนกระทั่งไกรเล่าจบ พระองค์ก็ค่อยๆแย้มสรวลออกมาช้าๆ ท่ามกลางใจที่ตุ้บๆต่อมๆของไกร

 

       " ท่านไปเถอะเจ้าค่ะ ท่านไกร "

 

       " เอ๋? "

 

       " ท่านฟังไม่ผิดหรอก ท่านไกร ท่านไปช่วยท่านเรืองผู้เป็นสหายของท่านเถอะ "

 

         ดำรัสของเจ้าหญิงสิริจันทรทำให้ไกรกระพริบตาปริบๆก่อนจะเอียงคอเพื่อเงี่ยหูฟังอีกครั้งเพราะคิดว่าเขาหูฝาดแน่ๆ จนสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าสรวลออกมาเบาๆ

 

       " ท่านคิดว่าเราจะห้ามท่านไม่ให้ไปเช่นนั้นหรือ ท่านไกร...ถ้าเช่นนั้นเราขอถามท่านกลับหน่อยเถอะ ว่าถ้าเราห้ามท่านจริงๆทานจะยังคงดื้อดึงจะไปช่วยท่านเรืองต่อหรือไม่กันล่ะเจ้าคะ? "

 

       " ร...เรื่องนั้น "

 

       " อย่าห่วงไปเลยเจ้าค่ะ เรามิได้หมิ่นน้ำใจท่านถึงเพียงนั้นหรอก ไม่สิ ในทางกลับกันถ้าหากท่านไม่ยอมไปช่วยท่านเรือง นั่นจะทำให้เราผิดหวังในตัวท่านมากเลยล่ะ "

 

       " ... "  ไกรถูกกระแทกโดนใจดำจนพูดไม่ออก ในขณะที่เจ้าหญิงสิริจันทรสรวลออกมาเบาๆก่อนจะดำรัสต่อว่า

 

       " ท่านมีภาษิตของท่าน เราก็มีภาษิตของเราเช่นกันนะเจ้าคะทานไกร...ภาษิตที่เรายึดมั่นไว้เป็นคติประจำใจอย่างที่สุด... "  องค์หญิงขยับพักตร์เข้ามาใกล้หน้าของไกรจนไกรเห็นดวงพัตร์แดงเรื่อและดวงเนตรกลมโตอันน่าพิศมัยของพระองค์ได้อย่างชัดเจน

 

       " ...รักแท้นั้นหาได้ยากยิ่ง แต่มิตรแท้นั้นหาได้ยากยิ่งกว่า "

 

       " ท่านหญิง...ข...ข้า "

 

       " เพราะฉะนั้น ช่วยท่านเรือง ผู้เป็นมิตรแท้ของท่านกลับมาให้ได้นะเจ้าคะ ข้าขออำนวยอวยพรให้ท่านโชคดี "  เจ้าหญิงสิริจันทรตรัสพลางลุกขึ้นและดำเนินออกไปจากเก๋งไม้ จนไกรเลิกคิ้ววูบทันที

 

       " แล้วนั่นท่านจะไปไหนหรือ? ท่านหญิง "

 

       " เวลานี้มันเป็นเวลายามวิกาลแล้ว เราออกมานานพอสมควรแล้ว เราจะกลับพระตำหนัก "

 

         ดำรัสห้วนๆของเจ้าหญิงทำให้ไกรกระพริบตาปริบๆ แต่เจ้าหญิงสิริจันทรไม่รอฟังไกรซักคำ พระองค์สาวบาทดำเนินฉับๆไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไกรต้องรีบลุกขึ้นจากเก๋งไม้และเดินตามไปทันที

 

       " ท่านหญิง โปรดรอก่อน "

 

       " ท่านเสร็จกิจธุระที่มาแจ้งข่าวกับเราแล้วและเราก็เข้าใจแล้ว ท่านไปจัดการเรื่องราวของท่านเถอะ ท่านไกร...เราเดินกลับเองได้ ถ้าขืนมีใครมาเห็นว่าท่านอยู่กับเรามันจะไม่งาม "  เจ้าหญิงตรัสเรียบๆโดยไม่หันกลับมาทั้งยังรีบสาวบาทเร็วขึ้นไปอีกจนไกรต้องรีบสาวเท้าตามไปพร้อมกับคิดในใจว่า

 

       ' กลัวว่าคนอื่นเห็นจะดูไม่งาม...ก็จริงอยู่ แตว่าพึ่งมาคิดได้เนี่ยนะ? '

 

       " ท่านหญิง โปรดรอก่อนเถอะ ทางข้างหน้ามันมืด ให้ข้าไปส่งเถอะ "

 

       " หนวกหูๆๆๆ หนทางในสวนองุ่นเราเดินมาตั้งแต่ยังเป็นกุมารี เราไม่มีวัน---อ๊ะ! "  ยังตรัสออกมาไม่ทันจบดี บาทสมเด็จเจ้าฟ้าผู้สูงศักดิ์ก็สะดุดเข้ากับรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้น จนทำให้พระองค์เซถลาอย่างไม่อาจจะทรงพระวรกายได้

 

         แต่ก่อนที่พระวรกายบางปานจะหักได้จะร่วงลงไปกระทบกับพื้น ไกรก็พุ่งเข้าไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ พุ่งเข้าใช้แขนและช่วงอกกว้างหนาประคองพระวรกายขององค์หญิงไว้ได้อย่างทันท่วงที อ้อมแขนอันแข็งแกร่งและอบอุ่นของไกรทำให้เจ้าหญิงพักตร์แดงก่ำจนไม่อาจจะตรัสอะไรออกมาได้ทันที

 

       " ไม่เป็นอะไรนะขอรับ? ท่านหญิง "

 

       " ป...ปล่อย...เรา...ปล่อยเราประเดี๋ยวนี้นะ ก...กล้าดีอย่างไร! "  สมเด็จเจ้าฟ้าสาวตรัสตะกุกตะกักออกมาด้วยความทั้งโกรธทั้งอาย แต่ดูเหมือนดำรัสเด็ดขาดของพระองค์จะได้ผลน้อยเต็มที เพราะไกรหัวเราะเบาๆก่อนจะกระทำการ กล้าดี ยิ่งกว่าด้วยการใช้แขนอีกข้างช้อนองค์หญิงและอุ้มขึ้นด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงทันที ด้วยกำลังที่สุดที่เจ้าหญิงองค์น้อยจะทัดทานได้ จนเจ้าหญิงสิริจันทรร้องออกมาเบาๆอย่างตกพระทัยทันที

 

       " ท...ท่าน! "

 

       " สะดุดไม่ใช่เบาๆเลย คราวนี้ข้อพระบาทคงจะซ้นจนดำเนินไม่ได้แน่ๆ ให้ข้าไปส่งเถอะนะ ท่านหญิง "

 

       " บ...บังอาจ จาบจ้วง! ก...กล้าดีอย่างไร! "  

 

       " นี่...ท่านหญิง...ข้าดีใจนะขอรับ ที่ทานหญิงเข้าใจข้า...แต่ถ้าเป็นไปได้ ถ้าจะอ้อนให้มากกว่านี้อีกซักหนอยข้าจะดีใจมากกว่านี้แบบสุดๆเลยล่ะ "  ไกรพูดออกมาตรงๆจนเจ้าหญิงสิริจันทรที่หากสังเกตดีๆพระองค์มีดวงเนตรแดงเรื่อๆราวกับกำลังจะกันแสงออกมาถึงกับชะงักกึก ก่อนจะใช้หัตถ์เล็กบางทุบลงกลางอกกว้างของไกรพร้อมกับดำรัสเฉไฉว่า

 

       " ร...เราไม่รู้ว่าท่านพูดถึงเรื่องอะไร ล แล้วก็ปล่อยเราได้แล้ว ถ้าหากมีใครมาเห็นเขาจะคิดว่าอย่างไร! "

 

       " ก็คิดว่าข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์คนนี้ กำลังคอยรับใช้ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ งดงาม มีสเน่ห์ ฉลาดล้ำ แต่ชอบทำปากแข็งและชอบคิดเล็กคิดน้อยอย่างน่ารักที่สุดอยู่อย่างไรล่ะขอรับ "  ไกรพูดออกมาตรงๆพร้อมกับยื่นหน้าลงมาใกล้จนสมเด็จเจ้าฟ้าชะงักกึก ก่อนจะรีบหลบสายตารู้ทันนั้นลงก้มพักตร์งุด ซึ่งไกรก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อเบาๆว่า

 

       " ...ท่านหญิง ถึงข้าจะบอกว่าข้าต้องไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปแล้วไปลับเสียหน่อย ข้าขอสัญญานะขอรับ ว่าถ้าข้าเสร็จธุระช่วยท่านเรืองเมื่อไหร่ ข้าจะรีบกลับมา รับใช้ ท่านหญิงต่อทันที "  ไกรพูดด้วยหางเสียงเจ้าเล่ห์จนเจ้าหญิงหน้าร้อนวูบวาบจนต้องร้องออกมาเบาๆทันที

 

       " ร...เราเข้าใจแล้วๆ คราวนี้ก็ปล่อยเราลงได้แล้ว "

 

       " ฮ่ะๆ เมินซะเถอะ อ้อยเข้าปากช้างแล้วอย่าหวังว่าช้างตัวนี้จะคายคืนเลย "

 

       " ท...ท่าน! "

 

       " ฮ่ะๆ ล้อเล่นขอรับๆ ...พูดตรงๆคือเมื่อครู่ท่านสะดุดไม่ใช่เบาๆเลย คงดำเนินตอนนี้ไม่ไหวหรอก เลิกดิ้อแล้วโปรดให้ข้ารับใช้แต่โดยดีเถอะขอรับ "

 

         คำพูดชนิด เอาแต่ได้สุดๆ ของไกรทำให้องค์หญิงอ้าโอษฐ์น้อยๆอย่างตกตะลึง แต่อาการปวดหนึบที่ข้อพระบาทด้านที่สะดุดล้มก็ทำให้พระองค์ไม่อยากจะฝืนสังขารและลองดีอะไร และอีกพระทัยหนึ่ง พระองค์ก็ต้องยอมรับว่าพระองค์เองก็อยากจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปอีก...อย่างน้อยก็ไปอีกซักระยะเวลานึงก็ยังดี...ทำให้พระองค์ช้อนเนตรที่ยังคงคลอหน่วงไปด้วยน้ำพระเนตรเล็กน้อยขึ้นสบตากับไกร ก่อนที่เธอจะเลิกทุบหน้าอกของเขา แต่เปลี่ยนเป็นใช้เศียรหนุนอิงบ่ากว้างของไกรอย่างช้าๆ...

 

      ...ปล่อยให้ไกร รับใช้ พระองค์อย่างเต็มที่...ด้วยใจที่เป็นสุขราวกับถูกเติมเต็มของทั้งคู่...

 

         หนึ่งชายหนุ่มผู้มีฐานะเป็นเจ้าพระยาผู้อยู่อย่างผิดที่ผิดทาง กับอีกหนึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าฝ่ายสตรีผู้มีอำนาจในพระราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ในสภาพที่ราวกับอัศวินผู้กล้าคนนึงที่อุ้มเจ้าหญิงในเทพนิยายองค์หนึ่งไว้ และเดินผ่านเส้นทางที่ปักไว้ด้วยคบไต้ที่เรียงรายโดยที่ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรให้แก่กัน จนกระทั่งมาถึงตรงส่วนทางเข้าของสวนองุ่นแห่งนี้ซึ่งติดกับเส้นทางปูอิฐแดงที่เชื่อมไปยังพระพี่นั่งและพระตำหนักต่างๆแล้ว ไกรจึงทำท่าจะวางองค์หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนลง แต่องค์หญิงกลับใช้กรที่บอบบางปานจะหักได้คล้องคอของไกรและฝืนไว้พร้อมกับสะบัดเศียรจนมวยเกศาแทบหลุดจนไกรต้องเลิกคิ้วใส่อย่างงงๆทันที

 

       " ท...ท่านหญิง? "

 

       " นี่ ท่านไกร...ไหนๆท่านก็เอาเปรียบรับใช้เรามาถึงเพียงนี้แล้ว...ก็ช่วย...รับใช้ต่อไปอีกซักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ "

 

       " อ...เอ๋? "

 

       " ช่วย...อุ้มสิริจันทรคนนี้ไปส่งถึงพระตำหนักของเราด้วยเถอะเจ้าค่ะ "

 

       " ห...หา! "

 

 

 

 

 .................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา