ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
125)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
...เพชรบุรี...
" อ...อือ " ออกญาเพชรบุรีเรืองค่อยๆกลับฟื้นคืนสติมาอย่างช้าๆ...ความรู้สึกแรกที่เข้าสู่สมองคืออาการชาดิกทั่วร่างกาย ก่อนที่ความรู้สึกต่อมาคืออาการระบมและปวดหัวจนแทบระเบิด แต่พอเขาจะยกมือขึ้นากุมหัวเพื่อบรรเทาอาการปวด ที่ข้อมือของเขาก็เกิดเสียงดังประหลาดๆขึ้นบางอย่างทันที
แกร๊ก!
เพราะเรืองไม่ใช่ลูกคุณหนูใสซื่อหรือเด็กหนุ่มที่พึ่งเคยเห็นโลก...เพียงแค่ได้ยินเสียงและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นและหนักอึ้งที่ข้อมือ เขาก็พอจะอนุมานสิ่งที่สวมอยู่ที่ข้อมือของเขาได้ทันที
...ตรวนกุญแจมือ...
' โอม... '
" ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ท่านออกญาเพชรบุรี แต่ถ้าเจ้าคิดจะโอมอ่านคาถาเพื่อสะเดาะกุญแจล่ะก็ ข้าว่าล้มเลิกความตั้งใจเสียเถอะ...เพราะพวกเรารู้กิตติศัพท์ของเจ้าดีอยู่แล้ว ทั้งตรวนมือตนวนขาล้วนแล้วแต่ลงอาคมกำกับไว้หมดแล้วล่ะ " เสียงที่เหมือนกับรู้ทันการกระทำของเขาล่วงหน้าและเอ่ยดักคออย่างอารมณ์ดีทำให้เรืองชะงักกึก ก่อนจะลืมตาที่หนังตาเริ่มเบาลงแล้วขึ้นไปมองที่ต้นเสียงช้าๆ
" เจ้า "
" ที่จริงเราเคยเจอกันแล้วครานึง เจ้าจำข้าได้ไหม? ท่านออกญา "
" อะแซหวุ่นกี้ " เรืองไม่ต้องคาดเดาเลยและไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายบอกด้วยซ้ำ เพราะต่อให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเขาก็ไม่มีวันลืมชายตรงหน้านี้แน่...ชายชาวพม่าที่อยู่ในวัยล่วงเลยวัยกลางคนมาแล้ว แต่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและความกระตือรือร้นไม่ต่างจากวัยหนุ่ม ดวงตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยพลังที่สุดหยั่งและแววซ่อนเร้นจนอ่านไม่ออก คิ้วดกหนาและริมฝีปากที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา...
...รอยยิ้ม...ที่เต็มไปด้วยกระแสแห่งความกดดัน...จนผู้ถูกจ้องมองรู้สึกไม่สบายใจ...ราวกับรอยยิ้มของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์หรือไม่ก็อสรพิษผู้ปลิ้นปล้อนและเต็มไปด้วยกลอุบายไม่มีผิด...
...ชาย...ผู้เกือบจะเอาชีวิตเขาได้ในการพบกันในครั้งแรก แต่ไมทำ...ผู้สั่งยิงปืนใหญ่ก่อนเวลาจนกองทัพของเขารอดตายทั้งหมด...
" แหม ยังจำได้จริงๆด้วย ข้าปลื้มใจนะเนี่ย " อะแซหวุ่นกี้ที่อยู่ในชุดผ้าแพรเบาสบายธรรมดาๆโดยไม่ได้ใส่ชุดเกราะอย่างนายทัพพม่าทั่วไป และนั่งอยู่ชิดลูกกรงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นที่คุมขังอย่างหยาบๆของเรืองยิ้มยิงฟันอีกครั้ง...รอยยิ้มและดวงตาที่อ่านไม่ออกทำให้เรืองที่เวลานี้ถูกใส่เครื่องจองจำทั้ง ๕ อย่างครบครันยังต้องขยับถอยห่างเล็กน้อยอย่างหวาดระแวง ก่อนจะพูดเรียบๆว่า
" นับตั้งแต่คราแรกที่เราพบกัน ข้าไม่เห็นเจ้าในการศึกตลอดเกือบ ๑ ขวบเดือนเลย...ข้านึกว่าพระเจ้าอลองพญาส่งเจ้ากลับไปเป็นพลาธิการคอยส่งเสบียงแล้วเสียอีก "
คำพูดของออกญาผู้ถูกคร่ากุมในฐานะเชลยทำให้ขุนทหารเชื้อสายพม่าเลิกคิ้วดกหนาเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออก่มาเบาๆทันที
" ฮ่าๆๆ ก็เกือบๆไปเหมือนกันล่ะ ดีที่เจ้าชายมังระทูลขอพระราชทานอภัยโทษไว้เสียเยอะ แต่ก็ยังโดนสั่งห้ามไม่ให้ร่วมสงครามเมืองเพชรบุรีเลย...น่าเสียดายจริงๆของสนุกๆเช่นนี้มาห้ามกันได้ ...แหม รู้อย่างนี้น่าจะสั่งยิงให้มันตรงๆ...ไม่สิ รู้อย่างนี้น่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วไม่ไปตั้งปืนใหญ่ดักรอแล้วปล่อยทัพเจ้าชายมังเวงตามเวรตามกรรมเลยเสียก็ดี ฮ่าๆๆๆ "
' เฮ่ยๆ นี่ควรจะเป็นคำพูดของขุนนางผู้ภักดีอย่างนั้นเหรอ? ' ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เวลาแต่เรืองก็ยังอดคิดอย่างสงสัยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะไล่ความคิดนี้ออกไปจากหัวพร้อมกับถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตก และถามขึ้นอย่างเชื่องช้าและราบเรียบที่สุดว่า
" ข้าจะถูกประหารเมื่อไหร่? " อาจเป็นคำถามที่ฟังดูน่าขนลุก แต่สำหรับเรืองแล้ว เขา แก่ชรา และเจนสงครามมากพอจะเห็นอนาคตของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครบอกเลย...กลับเป็นอะแซหวุ่นกี้เสียเองที่เบิกตากว้างใส่พร้อมกับมีท่าทีตกใจทันที
" อ้าว ทำไมพูดจาอัปมงคลต่อตัวเองเช่นนั้นล่ะ ออกญาเพชรบุรี "
" ไม่ต้องมาทำน้ำเย็นปลาตายเลย ข้ารู้สถานะของข้าดี...ข้าคือนายทัพผู้ถ่วงให้พวกเจ้าเดินทัพล่าช้าไปถึงเกือบ ๑ เดือน ข้ารู้โทษทัณฑ์ของข้าดี และไม่เสียใจหรอก " ออกญาเพชรบุรีพูดอย่างตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด และใจเด็ดจนไม่คิดจะร้องขอชีวิตใดๆ เพราะเรื่องที่เขาควรจะทำ เขาได้ทำไปหมดแล้ว เพียงแต่อะแซหวุ่นกี้กลับหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดขึ้นเป็นเชิงเปรยว่า
" น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ เพราะพระราชอาญาทำให้ข้าไม่อาจจะเล่นศึกกับเจ้าได้ จนพ่ออยู่หัวได้สนุกอยู่เพียงพระองค์เดียว น่าเสียดายจริงๆ...แต่เอาเถอะ ทำให้พ่ออยู่หัวทรงสำราญได้ถึงขนาดนั้น พระองค์คงจะเสียดายคนดีมีฝีมือและไม่ประหารเจ้าทิ้งง่ายๆหรอก...ตอนนี้คิดเสียว่ามาพักค้างอ้างแรมกับพวกเราก่อนล่ะกันนะ "
" เจ้า...ว่าอะไรนะ? "
" กุมาร...ไม่สิ กุมารีผู้แหกกฎที่แกร่งกล้าสามารถที่สุดของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ ท่านออกญา? "
คำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของอะแซหวุ่นกี้ทำให้เรืองเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง จนเขาเริ่มงงในกระบวนความคิดของของอีกฝ่ายเสียแล้ว...แต่พออะแซหวุ่นกี้ถามย้ำมาอีกครั้ง เรืองก็เลือกที่จะตอบในส่วนที่เขาตอบได้
" ข้าส่งลูกแก้วลูกขวัญ...กุมารีทั้งสองของข้าไปให้ผู้ที่คู่ควรที่จะเป็น พ่อ คนต่อไปของพวกนางแล้ว "
" นี่เจ้ายอมยกอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าให้คนอื่นง่ายๆเชียวหรือนี่? "
" พวกนางไม่ใช่อาวุธ! " เรืองขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นภายในเพราะอีกฝ่ายพูดเหมือนกับดูถูกทั้งเขาและลูกแก้วลูกขวัญ จนอะแซหวุ่นกี้ยกมือยอมแพ้อย่างผิดวิสัยพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
" เอาเถอะๆ แต่ก็นะ...ข้าขอถามตรงๆซักอย่างสิ ท่านออกญาเพชรบุรี "
' อะไรของไอ้นี่วะเนี่ย? คาดเดาความคิดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ' เรืองคิดพลางขยับถอยห่างไปอีกเล็กน้อยเพราะเขารู้สึกเหมือนเขากำลังคุยกับคนบ้าไม่มีผิด ก่อนที่ด้วยฐานะในเวลานี้ เขาจึงได้แต่ยอมตามน้ำไปด้วยการพยักหน้าเบาๆ จนอะแซหวุ่นกี้ยิ้มกว้างอีกครั้ง
" หนทางอันยาวไกล จากนี้ไปถึงอโยธยา...ยังมีคนที่แข็งแกร่งจนน่าสนุกเช่นเจ้าอีกหรือไม่? " อะแซหวุ่นกี้พูดด้วยแววตาที่ราวกับเด็กตัวน้อยๆที่ทำท่าอยากได้ของเล่นอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีผิด จนเรืองได้แต่กระพริบตาปริบๆ
" เอ่อ... "
" ว่าอย่างไร ตกลงมีไหมๆๆๆ "
ทีแรกเรืองก็ไม่คิดจะตอบอะไรเพราะเขาไม่อยากจะยุ่งกับคนบ้า แต่แล้วคำถามของอีกฝ่ายก็ทำให้เขานึกย้อนไปถึงคนสองคน...ชายหนุ่มสองคนที่อาจจะเป็นเพียงสองคนที่เขาสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็น สหายรัก ได้ทั้งๆที่ได้พบกันเพียงไม่นานแท้ๆ นั่นทำให้ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาบางๆ ซึ่งก็ไม่อาจจะเล็ดรอดสายตาของขุนศึกประหลาดๆผู้จับตาดูอยู่ไปได้...อะแซหวุ่นกี้แทบจะกระโจนเข้ามาเกาะลูกกรงไม้พร้อมกับยิ้มกว้างอย่างดีใจทันที
" มีสินะๆๆๆๆ "
" ฮ่ะๆ อืม ถ้าถามว่ามีก็มีจริงๆนั่นแหละ...นอกจากข้าแล้วอโยธยาล้วนยังไม่สิ้นคนดี...ขุนทหารผู้มีความสามารถหลายสิบหลายร้อยท่านที่แฝงตัวเร้นกายอยู่ล้วนแล้วแต่เก่งกล้าสามารถ...แต่...มีไม่กี่คนหรอกที่ข้ายอมรับว่ามีจิตใจและกระบวนพิชัยสงครามที่แข็งแกร่งกว่าข้า...คนที่จะเติมเต็มความปรารถนาอันน่าขนลุกขนพองของเจ้าได้อย่างเต็มที่...คนที่จะทำให้กองทัพของเจ้าปั่นป่วนและชะงักงันได้เสียยิ่งกว่าข้าเสียอีก "
" เอ่ยนามมา! "
" หนึ่งคือหลวงยกกระบัตรเมืองตาก...ชายผู้รอบคอบจริงจังดุจภูษาฟ้าอันไร้ตะเข็บจนไม่มีแผนการเล่ห์กลใดหลุดรอดสายตาไปได้...อีกหนึ่ง...ชายผู้อยู่เหนือความคาดการณ์ของข้าไปแล้ว...เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีแห่งหน่วยคเณศร์เสียงา! "
............................................
...เกือบ ๒ ชั่วยาม (ประมาณ ๖ ชั่วโมง) ต่อมา...อันเป็นเวลาพลบค่ำ...ณ จวนประจำตำแหน่งเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์...บ้านของท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต...
...ชายหนุ่มผมขาวโพลนผู้อยู่ในฐานะของท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านมือสังหารเวลานี้ยืนอยู่ที่ส่วนกลางเรือนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นส่วนเปิดโล่งพร้อมกับใช้มือซ้ายขยับถุงมือหนังเนื้อหยาบสีเข้มในมือขวาเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยแววของความหนักอึ้งจะเขม้นมองไปยังท้องฟ้าในยามพลบค่ำนี้ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างด้วยใจที่จดจ่อ...ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปอีกซักพัก การรอคอยของเขาก็ประสบผล...
...นกเหยี่ยวพื้นเมืองสีน้ำตาลเข้มตัวมหึมา ที่บินอย่างรวดเร็วตัดเส้นขอบฟ้าขึ้นมา...
" มาแล้ว " ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ ทำให้ทุกคนที่รออยู่ไม่ห่างออกไปนักลุกขึ้นทันที
เพียงชั่วครู่เดียวเหยี่ยวสีน้ำตาลเข้มตัวสำคัญก็ร่อนลงมาสู่แขนที่สวมถุงมือหนังของทานผู้เฒ่า ในขณะที่อนาสตาเซียเดินเข้ามาพร้อมกับปลดจดหมายออกจากกระบอกหนังที่ผูกอยู่กับขาของมันโดยแทบไม่สนอาการเหนื่อยล้าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนจากท่าทางและแววตาของเหยี่ยวใหญ่ตัวนี้เลย
" ศกุนตลา บอกให้นกไปพักได้ ขอบใจมาก " ท่านผู้เฒ่าออกคำสั่งเรียบๆ ในขณะที่ศกุนตลาที่อยู่อีกฟากหนึ่งพยักหน้าเบาๆให้กับเหยี่ยวหนึ่งครั้ง ส่วนเหยี่ยวตัวนี้ก็ค้อมหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะบินจากไปในทันที
" ว่าอย่างไรบ้าง...อนาสตาเซีย " ท่านผู้เฒ่าถอดถุงมือหนังออกพลางหันไปถามอนาสตาเซียที่ส่องกระดาษจดหมายนั้นกับแสงตะเกียง...ถึงแม้จะยังเรียบเฉยแต่เธอก็มีสีหน้าหนักอึ้งไม่แพ้กัน ก่อนที่เธอจะละสายตาจากจดหมายและหันกลับมาพยักหน้าให้กับผู้เป็นพ่อบุญธรรมช้าๆ โดยไม่กล่าวอะไรต่อ แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
" หึ...ข่าวของเจ้าถูกต้องทุกประการ ดารา...เพชรบุรีแตกแล้ว และออกญาเพชรบุรีก็ถูกจับไว้เป็นเชลยจริงๆ พร้อมกับขุนทหารอีกจำนวนนึง...สายข่าวของเรายืนยันมาแล้ว "
" เห็นไหมล่ะเจ้าคะ ข้าบอกแล้วว่าการข่าวของข้าไม่มีวันผิดพลาด " คำพูดของท่านผู้เฒ่าเป็นช่องให้หญิงสาวปริศนานามว่าดาราแหงบรรลัยกัลป์ยิ้มพร้อมพูดสำทับมา ทำให้ท่านผู้เฒ่าหันไปเหลือบสายตามองเล็กน้อยอย่างขวางๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและรับคำอย่างเสียไม่ได้
" เออ! "
ในขณะที่ทั้งไกรและสิงห์ที่ระหว่างนั้นยังคงนังเงียบอยู่ถึงกับหันไปมองหน้ากัน เพราะนี่เท่ากับยืนยันได้อย่างแน่นอนแล้วว่าการข่าวของยุคันตวาตพ่ายแพ้ต่อการข่าวของบรรลัยกัลป์โดยสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะเวลานี้สิงห์กำลังอธิบายไกรเกี่ยวกับการเลี้ยงและการบูชากุมารีชั้นสูงทั้งสองที่จับพลัดจับผลูได้มาจนไม่ว่างมาคุยด้วย...ในขณะที่คนที่ไม่ควรจะนั่งอยู่ตรงนี้เลย แต่ดันตกกระไดพลอยโจนจนต้องถูกพามาอยู่ตรงนี้ด้วยอย่างหลวงยกกระบัตรแห่งเมืองตากถึงกับอ้าปากน้อยๆอย่างตกตะลึงในการข่าวที่รวดเร็วที่สุดเช่นนี้ทันที
" พ...พวกท่าน "
" ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านสิน...พวกที่รอดตายจากเพชรบุรีเวลานี้น่าจะหนีไปรวมตัวกันที่ราชบุรีที่เป็นเมืองท่าด่านในเวลานี้แล้ว ส่วนม้าเร็วของทางการน่าจะมาถึงอโยธยาเพื่อแจ้งข่าวในอีกประมาณ ๒ ชั่วยามหรือตอนวันรุ่งพรุ่งนี้เป็นอย่างเร็ว " ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆเหมือนจะพยายามให้ชายหนุ่มเบาใจลง แต่สินยังคงกระพริบตาปริบๆอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
" ให้ตายสิ! พวกท่าน! ถ้านี่ไม่ใช่ข่าวลวง การข่าวนี้เป็นการข่าวที่เร็วยิ่งกว่าทางการเสียอีก พวกท่านเป็นใครกันแน่เนี่ย! "
" เพื่อความปลอดภัยของท่านเอง ท่านสิน ...อย่าถามเรื่องที่เราเป็นใครดีกว่า " ศกุนตลาที่เวลานี้อยู่ด้านหลังสินเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้พูดออกมาเรียบๆพร้อมกับปล่อยกระแสจิตคุกคามข่มขู่เพื่อให้อีกฝ่ายเลิกถามอะไรละลาบละล้วงไปมากกว่านี้ จนสินหันขวับไปมอง จนไกรต้องรีบผละจากสิงห์และเดินมาไกล่เกลี่ยทันที เปิดโอกาสให้ท่านผู้เฒ่าเดินเข้าไปถามสองกุมารีที่เวลานี้มาอยู่ภายใต้การดูแลของไกรแล้วอย่างลูกแก้วและลูกขวัญที่เวลานี้ได้รับการดูแลจนมีร่างที่เริ่มเสถียรขึ้นจากเดิมอย่างมากแล้วเบาๆว่า
" แล้วพ่อของเจ้า...ท่านเรือง...ข้าเคยพบกับเขามาก่อน คนอย่างท่านเรืองมีทั้งความคงกระพันชาตรีและพระเวทย์คาถาที่อยู่ในระดับเอกอุ...ลำพังเขาน่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก...แล้วเหตุใด...เขาถึงยังถูกคร่ากุมได้ล่ะ "
" ท่านพ่อเรืองไม่ยอมหนี...หลังจากพวกทหารพม่าตีประตูเมืองแตกและเข้าเมืองมาได้ ท่านและพรรคพวกอีกไม่กี่นายเป็นคนต้านทานทหารพม่าเพื่อให้พวกที่ยังเหลืออยู่ในเมืองอพยพหนีไปรอด...หากท่านไม่ทำเช่นนั้น ปริมาณผู้ที่ตายก็คงจะมากกว่านี้จนไม่อาจจะประเมืนได้เป็นแน่เจ้าค่ะ " กุมารีทั้งสองตนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาที่สุด
" โธ่ ไอ้เรืองเอ้ย " สินครางออกมาเบาๆอย่างไม่อาจจะจับกระแสเสียงออก ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดที่สุดทันที
" เกือบ ๑ เดือน...ราชบุรีสามารถสกัดการเดินทัพได้เกือบ ๑ เดือน...เกินกว่าที่ทุกคนจะคาดการณ์ได้แล้วจริงๆ "
" ถ้าอย่างนั้นข้าไปนะขอรับ " ไกรลุกขึ้นพร้อมกับหยิบดาบสดายุที่อยู่ในฝักมาผูกไว้ข้างเอว ก่อนจะพูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่ยังคงทำหน้าครุ่นคิดอยู่พยักหน้าเบาๆ
" อืม ไปดีมาดีนะ "
" ขอรับ "
" เอ่อ ว่าแต่เจ้าจะไปไหนเหรอ? " เหมือนท่านผู้เฒ่าจะนึกขึ้นได้เลยหันมาเลิกคิ้วถามอย่างงงๆ ในขณะที่ไกรที่เดินไปเกิอบถึงบันไดชายบ้านหันมาตอบกลับเบาๆว่า
" ไปช่วยเรืองที่เพชรบุรีไงล่ะขอรับ "
" อ่อ...นึกว่าเรื่องอะไร เฮ้ย! พวกเรา จับมันไว้!! " ท่านผู้เฒ่าตะโกนสั่งการลั่น ในขณะที่เมื่อได้ยิน ทั้งสิงห์และศกุนตลาก็รีบพุ่งเข้ามาตะครุบไกรที่พยายามวิ่งลงไปทันที
" ฮ เฮ้ย! ปล่อยตู! ตูจะไปช่วยท่านเรือง ตูปล่อยท่านเรืองตายไม่ได้นะเฟ้ย! " ไกรร้องลั่นในขณะที่ทุกคนถึงกับกุมขมับทันที
" นี่ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นนะไอ้บ้าไกร เรากำลังพูดถึงกองทัพนับหมื่นนับแสนของทหารพม่า เจ้าเข้าไปก็มีแต่ตายเท่านั้นแหละ "
" แต่ข้าไม่อาจจะปล่อยให้เขาตายได้ ท่านผู้เฒ่า " ไกรหันไปสบตาท่านผู้เฒ่าด้วยแววตาที่ทำให้ท่านผู้เฒ่าชะงักกึก...เพราะเขาเข้าใจความหมายของสิ่งที่ไกรต้องการจะสื่อและเขาเป็นคนเดียว (ยกเว้นอนาสตาเซียที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน) ที่รู้ว่าไกรเป็นผู้ที่มาจากโลกในช่วงเวลาที่นับจากนี้ไปหลายร้อยปี...ถ้าพูดง่ายๆคือเขารู้อนาคต...และสายตาของไกรในเวลานี้ก็แปลว่า อนาคตที่ไกรรู้จักไม่ใช่อนาคตเช่นนี้แน่ๆ
...แปลง่ายๆก็คือในอนาคตที่ไกรรู้จัก...ออกญาเพชรบรี เรืองผู้นี้ไม่ได้ถูกจับเป็นเชลยและต้องไม่ตายอย่างอนาถท่ามกลางทัพพม่าแน่นอน...
' แย่ชะมัด...ถ้าเป็นเรื่องนี้มันไม่ยอมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย...ทั้งเราเองสมัยยังเป็น ศรีปราชญ์ ก็กระทำการอย่างมุทะลุไม่ต่างจากมันเลยแม้แต่น้อย...ขืนพูดอะไรมากอาจจะถูกมันถอนหงอกเอาเสียง่ายๆอีก ' ท่านผู้เฒ่าคิดในใจอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพลางหาหนทางแก้เฉพาะหน้าไปก่อนด้วยการพูดเบาๆว่า
" เราต้องคิดอ่านให้รอบคอบกว่านี้ ไกร...ประเดี๋ยวเจ้าตามข้าเข้าเขตราชฐาน นำเรื่องถวายเพื่อขอพระราชทานคำปรึกษา "
" หา ประเดี๋ยวสิ! พวกท่านจะเข้าเขตราชฐานในเวลาราตรีไม่ได้นะขอรับ! "
" เอาน่าๆ ท่านสิน ไม่ต้องห่วงๆ พวกเรา ในที่นี้หมายถึงข้ากับไกรเข้าออกกันจนชินแล้ว ทั้งแบบได้รับอนุญาตทั้งเข้าไปโดยพลการนั่นแหละนะ " ท่านผู้เฒ่าอธิบายเบาๆ จนสินต้องหันกลับไปมองไกรเพื่อขอคำตอบอีกรอบจนไกรได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นและพยักหน้าให้กับท่านผู้เฒ่าช้าๆ...แปลว่าเขาเองก็เริ่มได้สติและเห็นดีเห็นงามด้วย ก่อนชายหนุ่มจะหันมาหาสินอีกครั้ง
" ท่านสิน เอาเป็นว่าข้าจะเข้าวังซักครู่ เจ้าไปพักที่เรือนของข้าได้เลยนะ ข้าให้คนรับใช้จัดเตรียมห้องไว้ให้แล้ว ทำตัวตามสบายเหมือนบ้านตัวเองได้เลยนะ "
" ถ้าอย่างนั้น จะให้ข้าตามไปด้วยไหมขอรับ? "
" อย่าดีกว่า ท่านในเวลานี้ไม่ได้อยู่ในหน่วยคเณศร์เสียงาแล้วและก็ไม่ได้มีธุระอะไร ระดับหลวงอย่างท่านน่ะขืนเข้าไปก็คงจะถูกโบยเสียเปล่าๆ รออยู่ที่เรือนของไกรนั่นแหละดีแล้ว " ท่านผู้เฒ่าพูดเรียบๆพลางลุกขึ้นเพราะเขาเห็นว่าเริ่มเสียเวลาไปโดยใช่เหตุแล้วพลางพยักหน้าให้คนอื่นๆล่วงหน้าไปก่อน จนสินถึงกับหน้าเจือนลง ในขณะที่ไกรเองก็ไม่กล้าจะพูดอะไร จึงได้แต่ยิ้มพลางขอโทษเบาๆและรีบเดิมตามท่านผู้เฒ่าลงไปทันที
" ท่านพูดแรงไปนะ ท่านผู้เฒ่า " ไกรที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามลงมาอดบ่นเบาๆกับท่านผู้เฒ่าไม่ได้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าพ่นลมหายใจออกทางจมูกพร้อมกับครางออกมาเรียบๆว่า
" ข้าไม่ได้ใจดีเรื่อยเปื่อยอย่างเจ้า ไกร...เอาม้ากับพระธำมรงค์มาด้วยใช่ไหม? "
" ขอรับ "
" อืม เราเสียเวลาไม่ได้แล้ว ไปกันเลย "
ท่านผู้เฒ่าพูดพลางขึ้นม้า โดยปล่อยให้ดารากลับไปคืนสู่ฐานะเดิมของเธอ ในขณะที่อนาสตาเซีย และศกุนตลาก็ขึ้นม้าล่วงหน้าไปก่อน ก่อนจะรอให้ไกรที่ยังกะย่องกะแย่งขึ้นม้าสีหมอกได้จนสำเร็จ ก่อนจะเริ่มเดินออกไปพร้อมๆกัน
" ตามประวัติศาสตร์ที่เจ้ารู้จัก...มันไม่ตายสินะ? " อยู่ๆท่านผู้เฒ่าก็เปรยถามขึ้นอย่างเรียบๆ ในขณะที่ไกรที่รู้อยู่ล่วงหน้าแล้วว่าจะเจอคำถามแบบนี้ก็พยักหน้ารับเบาๆ
" ไม่ใช่แค่ไม่ตายขอรับ แต่ไม่ควรจะถูกจับเป็นเชลยด้วยซ้ำ พูดอย่างไม่ปิดบังเขาคือหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ " ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนจะนกสงสัยว่าเหตุใดเรื่องราวมันถึงได้กลับตาลปัตรไปได้มากมายเช่นนี้ ในขณะที่เมือได้ยินท่านผู้เฒ่าก็ถอนหายใจเฮือก
" แปลว่าปล่อยให้ตายไม่ได้สินะ "
" ก็อย่างที่บอกนั่นแหละขอรับ...แล้ว ท่านพอมีวืธีไหมขอรับ? "
" อืม มันก็มีอยู่บ้างในรุ่นก่อนๆที่พวกมือสังหารถูกจับได้และขังคุกไว้รอวันตัดสิน พวกข้าก็มีการรวมพลเพื่อบุกชิงนักโทษอยู่หรอก...แต่นี่มันต่างกรรมต่างวาระกัน...เราไม่ได้พูดถึงกรมการเมืองที่เฝ้าหน้าคุกไม่กี่สิบคน แต่กำลังพูดถึงกองทัพนับหมื่นนับแสน...ต่อให้เจ้าแปลงเป็นตัวตุ่นมุดดินไปพวกมันยังรู้เลย "
" แล้ว...ถ้าเราใช้เส้นสายของดาราล่ะ? " ไกรพยายามเสนอทางออก แต่ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้าช้าๆ
" หากไม่นับว่าข้ายังไม่ไว้ใจนาง ตัวดาราเองก็คงไม่มีทางเสี่ยงให้เส้นสายของตัวเองแสดงพิรุธใดๆแน่ๆ เพราะถ้าข้าเดาไม่ผิด ถ้ารู้มากขนาดนั้นในเวลารวดเร็วขนาดนั้น เส้นสายของนางย่อมต้องเป็นบุคคลผู้มีฐานะระดับสูงในทัพพม่าหรือไม่ก็ทัพอโยธยา...หรือดีไม่ดีอาจจะทั้งสองฝ่ายเลยด้วยซ้ำ...อยู่ในระดับขนาดนั้นมันไม่กล้าเสี่ยงเปิดเผยหางตัวเองหรอก " ท่านผู้เฒ่าวิเคราะห์ได้อย่างหมดจดอย่างผู้มีประสบการณ์และสายตาที่แหลมคมจนไกรคอตกลง แต่ท่านผู้เฒ่าก็ทราบจากการสบตาเพียงเล็กน้อยว่าไกรไม่มีทางยกเลิกความตั้งใจแน่ๆ
" พูดอย่างกลางๆนะ ไกร...ออกญาเพชรบุรีคือผู้ที่ขัดตาทัพพม่าได้ถึงเกือบ ๑ เดือน เรื่องนี้อาจทำให้พระเจ้าอลองพญาทรงชื่นชมก็จริง แต่เจ้าคิดว่าพระองค์จะทำอย่างไรเมื่อจับไอ้คนพรรค์นี้ได้...พูดตรงๆข้าว่าถ้าหากพระองค์ไม่มีราชโองการสั่งให้ตัดหัวแล้วเอาเลือดมาล้างพระบาทให้สมแรงชื่นชม ข้าจะถือว่าแปลกสุดๆเลยล่ะ "
" อย่าพูดอย่างนั้นสิขอรับ! " ไกรร้องออกมาทันที เพราะเขาเองก็กลัวเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเพราะถ้าหากเป็นไปตามที่ท่านผู้เฒ่าพูด งานนี้ได้โบกมือลาประวัติศาสตร์ที่เขารู้จักอย่างถาวรได้เลย ...แต่อยู่ๆท่านผู้เฒ่าก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างกะทันหันด้วยการหันมาถามไกรเบาๆว่า
" แล้วเจ้าเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน? "
" เอ๋? "
" ถ้าให้ข้าถามตรงๆ ก็คือ เจ้าได้เฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน? "
คำถามอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุกระแทกเข้าใส่หน้าของไกรอย่างกะทันหันจนไกรถึงกับอึกอั่กไปไม่เป็น จนกระทั่งท่านผู้เฒ่าที่สายตาแหลมคมถอนหายใจเฮือก
" เฮ้อ... "
" ม...ไม่ใช่นะขอรับ เพราะข้ามัวแต่ฝึกสีหมอกตามที่ท่านสั่งนั่นแหละ เลยไม่ได้มีเวลาเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในเลย ประเดี๋ยวสิ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของท่านเรืองล่ะเนี่ย? " ไกรโวยลั่น แต่ท่านผู้เฒ่ากลับถอนหายใจเฮือก
" ไกร ข้าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอะไรไอ้เรื่องส่วนตัวของเจ้าหรอกนะ แต่ว่าต้องไม่ลืมว่าพระนางคือ บุตรีแห่งสุรีย์แสง นะ การกระทำใดที่อาจจะทำให้พระหทัยของพระองค์กระทบกระเทือนอาจทำให้ท่านอัญเชิญอะไรต่อมิอะไรออกมาวิ่งเล่นได้อีก...แบบนั้น...ฝันร้ายชัดๆ " ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆพร้อมกับหน้าซีดวูบเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่่เลวร้ายที่สุด ในขณะที่ไกรเองก็หน้าร้อนวูบวาบ ก่อนจะเถียงดังลั่น
" เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยซักนิด "
" เออๆ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดอีกเรื่อง ก็คือเรื่องของอำนาจในเขตพระราชฐานชั้นใน...เวลานี้สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรทรงมีอำนาจในหมู่ราชวงศ์มากขึ้นไปทุกทีๆแล้วนะ " ท่านผู้เฒ่าพูดเบาๆ แต่ทำให้ไกรหันมามองอย่างงงๆทันที
" เอ๋? เดี๋ยวสิ ได้ไงอ่ะ? "
" ก็อย่างว่าแหละน้าาา เป็นถึงราชองครักษ์พิเศษแต่กลับไม่ค่อยอยากจะเข้าวังเสียเลย เลยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย...พูดกันตรงๆก็เกี่ยวเนื่องจากเหตุกบฏเจ้าจอมเพ็งเจ้าจอมแมนเมื่อคราวนั้นนั่นแหละ "
" เอ๋? "
" การถอดสองพระราชโอรสของพ่ออยู่หัวที่ประสูติแด่เจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนออกจากทุกๆฐานันดรศักดิ์ ทำให้อำนาจในฐานของพระมหาอุปราชว่างลง...และทำให้ทุกๆคนในเขตราชฐานชั้นในต่างก็คาดการณ์ถึงผู้ที่สมควรจะได้ตำแหน่งอันทรงอำนาจที่สุดนี้...แล้วเจ้าคิดว่าผู้ใดจะมีศักดิ์และสิทธิ์นี้กันล่ะ? "
" ท่านหญิง---เจ้าหญิงสิริจันทร? "
" เออ...แล้วพอเข้าไปหาทีก็ดันกลายเป็นเรื่องที่พวกท่านคงไม่อยากได้ยินเสียอีก อยากรู้จริงๆว่าสมเด็จทานจะว่าอย่างไร "
" ... " ไกรนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือก และตัดสินใจถามขึ้นอย่างลังเลว่า
" แล้วข้าจะต้องทำเช่นไรดีขอรับ? "
ท่านผู้เฒ่ากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ถึงจะบอกว่าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวแต่เขาก็เห็นชายหนุ่มข้างๆไม่ต่างอะไรจากลูกชายคนนึง ไอ้เรื่องแบบนี้จะไม่ช่วยเลยก็คงไม่ได้ เลยได้แต่คิดหาวิธีช่วยอย่างเสียไม่ได้
" เฮ้อ...เอาเถอะๆ ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ ข้าจะเป็นผู้รับมือกับพ่ออยู่หัวทั้งสองรวมไปถึงสมเด็จพระพี่นางพินทวดีเอง...เรื่องนี้เจ้าสบายใจได้... "
" ขอรับ "
" ส่วนเจ้าน่ะ ไปเฝ้าและบอกสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรเรื่องนี้ด้วยตัวเองและใช้วาทศิลป์ที่เข้าถนัดจัดการปัญหาให้เรียบร้อยเสีย อย่าให้เกิดเรื่องราวบานปลายได้ล่ะ " ท่านผู้เฒ่าพูดจนไกรขมวดคิ้ววูบ แต่เขาก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับรับคำเบาๆ
" เข้าใจแล้วขอรับ...ไว้พรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในและทูลเรื่องนี้กับเจ้าหญิงเอง "
" หือ? ใครบอกว่าให้เจ้ากราบทูลพระนางวันรุ่งพรุ่งนี้กัน? เจ้าคิดว่าพวกเรามีเวลามากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? " ท่านผู้เฒ่าหันกลับมาพูดเรียบๆด้วยสีหน้าอ่านไม่ออกจนไกรได้แต่เลิกคิ้วเอียงคออย่างงงๆ
" เอ๋? "
" เจ้าเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน และลอบเข้าไปในพระตำหนักของเจ้าหญิงและเฝ้าพระองค์เสียคืนนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลา "
" อืม...เข้าใจแล้วขอรับ...จะบ้าเหรอ!! "
ให้เขาลอบขึ้นพระตำหนักของสมเด็จเจ้าฟ้าผู้เป้นราชธิดาแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ในยามวิกาลเนี่ยนะ?! ...แบบนี้ถ้าหัวยังติดอยู่กับบ่าได้อีกก็แปลกแล้วเฟ้ย!!
..............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ