ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

124)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

 

     ...ไม่ไกลจากกระโจมศึกอันเป็นที่พักที่มั้งฆ้องนรธานั่งดื่มเหล้าปรับทุกข์อยู่กับสหายอย่างอะแซหวุ่นกี้นัก...กระโจมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าและใหญ่โตแทบจะเทียบเท่ากับกระโจมอันเป็นที่พำนักของพระเจ้าอลองพญาเอง...

 

     ...พระเจ้าอลองพญาที่เวลานี้เปลี่ยนเครื่องทรงจากชุดเกราะสีทองอร่ามเต็มยศ กลายเป็นเครื่องทรงสบายๆอย่างเสื้อแพรสีเข้มโดยแทบไม่ได้ประดับเครื่องทรงกษัตริย์ใดๆ เว้นไว้แต่เพียงพระแสงดาบฝักทองคู่พระทัยที่ทรงห้อยมาด้วย พระองค์ทรงดำเนินมาเรื่อยๆโดยไม่รีบร้อนจนกระทั่งถึงด้านหน้าทางเข้าซึ่งถูกปกป้องไว้อย่างแน่นหนาที่สุดโดยล้อมไว้ด้วยกองทหารเกราะเหล็กที่ถูกฝึกมาอย่างดีหลายสิบกองพร้อมอาวุธทั้งอาวุธสั้นและอาวุธยาวครบมือ...ด้วยคำสั่งเด็ดขาดเพียงข้อเดียว...

 

     ...ผู้ใดเข้ามาโดยไม่มีเหตุอันควร...สังหารไม่ละเว้น!...

 

        แต่ถึงอย่างนั้น กฎก็ถูกละเว้นได้เสมอ...สำหรับผู้ที่ออกกฎขึ้นมาเอง...อย่างตัวพระเจ้าอลองพญาเอง

 

      " หลบไป "  พ่ออยู่หัวที่เวลานี้ยังคงใช้หัตถ์ไพล่อยู่เบื้องพระปฤษฏางค์(หลัง) ดำรัสเรียบๆกับเหล่าทหารเกราะเหล็กที่ถือหอกยาวขวางทับกันแทนประตู ในขณะที่เมื่อได้ยิน เหล่าทหารเกราะเหล็กเหล่านั้นก็เรียบอาวุธพร้อมกันจนเกิดเสียงอันดังอย่างพร้อมเพรียง แสดงให้เห็นถึงสภาพที่ถูกฝึกมาอย่างดีที่สุดจนกระทั่งแม้จะมีเรื่องที่หนักพระทัยอยู่ พระองค์ก็ยังทรงสามารถแย้มพระสรวลออกมาได้เล็กน้อยอย่างชื่นชม

 

      " คารวะพ่ออยู่หัว "

 

      " อืม "  พระเจ้าอลองพญารับคำเบาๆก่อนจะดำเนินเข้าไปอย่างหนักแน่นที่สุดด้วยพระทัยที่หนักอึ้งที่สุด ก่อนจะเข้าสู่ร่มของกระโจมและดำเนินผ่านเหล่าหญิงรับใช้หน้าตางดงามหลายสิบนางที่หมอบกราบคารวะอยู่...โดยไม่สนใจพวกนางเลยซักนิด...เป้าหมายของพระองค์ในเวลานี้อยู่กับสตรีนางเดียวเท่านั้น...

 

      " เทพีผู้พยากรณ์ "  

 

      " ข้าผู้ต่ำต้อยน้อมคารวะ...ขอสมเด็จพระเจ้าอลองพญาทรงพระเจริญ "  เสียงอันเรียบลื่นราวกับเสียงดนตรี พร้อมกับท่าทีหมอบกราบอันไร้ที่ติของสตรีผู้ที่เวลานี้คำนับพับเพียบอยู่กลางกระโจมศึกอันโอ่อ่าและเต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกและทรัพย์สมบัติอันมีค่ามากมายนี้ไม่ได้ทำให้อารมณ์ที่กรุ่นๆอยู่ของพระองค์ลดลงเลย...พระเจ้าอลองพญากวาดสายพระเนตรไปทั่วทั้งกระโจมก่อนจะออกโอษฐ์เรียบๆ

 

      " พวกเจ้า ออกไปก่อน...ข้าจะสนทนากับนางตามลำพัง "

 

      " เพคะ "  เหล่านางรับใช้ทั้งหลายรับคำเบาๆพร้อมกับถอยห่างออกไปอย่างพร้อมเพรียง...พร้อมเพรียงจนเกินกว่าจะเป็นนางกำนัลธรรมดาๆ...แต่พวกนางถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี...ดีไม่ดีอาจจะดีมากกว่าเหล่าทหารเกราะเหล็กด้านนอกด้วยซ้ำ

 

      " พระองค์...จะมาสังหารหม่อมฉันอย่างนั้นหรือเพคะ? "  หญิงสาวที่ยังหมอบกราบอยู่ทูลขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะเช่นเดิมจนไม่อาจจะเดาใจอะไรหญิงสาวได้ ในขณะที่พระเจ้าอลองพญาเปลี่ยนหัตถ์ทั้งสองมาเป็นกอดพระอุระพร้อมกับตรัสตอบกลับไปเรียบๆ

 

      " ยังก่อน...อย่างน้อยก็จนกว่าจะพิสูจน์ได้อย่างแน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าทำนายออกมาล้วนแล้วแต่ผิดพลาด "

 

      " แปลว่าหม่อมฉันยังคงพูดถูกอยู่...อย่างที่เป็นมาตลอดสินะเพคะ "

 

      " เจ้าสมควรจะภาวนาว่าเจ้าจะถูกไปเรื่อยๆ ผู้พยากรณ์ "

 

      " ข้ามิได้เป็นผู้กำหนด แต่ความจริง...ต่อให้พูดด้วยปากของผู้ใดก็ยังเป็นความจริงที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี "

 

      " ...ข้าไม่เคยเชื่อ...ว่าชะตากรรมของข้าจะถูกกำหนดด้วยดวงดาว หรือโชควาสนา หรือโหรราศาสตร์ใดๆ เพราะถ้าหากเป็นอย่างนั้นก็จะเท่ากับว่าข้าไม่มีสิทธิกำหนดชะตาของตัวเอง...ด้วยเหตุผลนี้อย่างไรล่ะ ข้าถึงไม่เคยเชื่อเจ้าเลย "

 

      " ท่านใช้สองหัตถ์และหนึ่งพระทัยอันอาจหาญของท่านสร้างชะตาอันยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้ใดของท่านเอง...ความจริงในข้อนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน " 

 

      " หึ! จนแล้วจนรอดข้าก็ไม่อาจจะจับเจ้าได้ไล่เจ้าทันเสียทีสินะ...เงยหน้าขึ้นเสียเถอะ...ข้าไม่ชอบที่จะสนทนากับผู้ที่ข้าไม่อาจสบสายตาได้ "  สมเด็จพระเจ้าอลองพญาตรัสอย่างยอมรามือ ก่อนจะโบกหัตถ์เพื่อให้สตรีที่ยังคงหมอบกราบอยู่เงยหน้าขึ้น...แต่ถึงจะตรัสไปแบบนั้น พระองค์ก็ยังไม่อาจจะใช้สายพระเนตรอันคมกริบดังเหยี่ยวสบตาของหญิงสาวได้อยู่ดี...

 

     ...หากไม่นับแถบผ้าสีดำสนิทที่ผูกปิดระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวจนไม่อาจจะบอกได้ว่าหญิงสาวมีสีหรือรูปร่างของดวงตาแบบใดแล้ว ทุกส่วนของใบหน้าที่เหลือล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับของสาวงามทั้งสิ้น นับตั้งแต่ริมฝีปากอิ่มสีกุหลาบ จมูกโด่งเป็นสันและคิ้วที่ได้รูปและรับกับผมเรียบตรงที่ไว้ยาวมาถึงบั้นท้ายและรูปร่างที่ไร้ที่ติอย่างพิมพฺนิยมที่สุด ถึงแม้ว่าจะอยู่ในชุดที่ค่อนข้างโคร่งใหญ่ก็ตามที...แต่เวลานี้พระเจ้าอลองพญาไม่ได้มีเวลาว่างเพื่อชื่นชมความงามของสตรีตรงหน้า...พระองค์ประทับนั่งลงบนตั่งไม้พร้อมกับรินน้ำจันฑ์ที่วางอยู่ลงแก้วและยกขึ้นเสวยช้าๆ

 

      " ข้าล่ะฉงนสงสัยมานานแล้ว...เจ้าไม่ได้ตาบอด แล้วเจ้าจะลำบากผูกผ้าปิดตา ทำตนราวกับพระนางคานธารีที่มีสามีตาบอดไปทำไมกัน? "  พระเจ้าอลองพญาตรัสถามเชิงชวนคุยมากกว่าจะแสวงหาข้อเท็จจริงใดๆ...แต่หญิงสาวที่ถูกเอ่ยนามว่า เทวีผู้พยากรณ์ หัวเราะตอบกลับมาพร้อมกับอธิบายเบาๆว่า

 

      " เพราะดวงตาของข้านั้นเห็นเกินกว่าที่คนอื่นเห็นไปแล้ว ทำให้ดวงตาเนื้อที่กำเนิดมาพร้อมข้านี้กลายเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นจนน่าหงุดหงิดเลยทีเดียวล่ะ...ที่ข้าผูกปิดดวงตาไว้ก็เพื่อให้สิ่งเกินความจำเป็นนั้นไม่มารบกวนข้าอย่างไรล่ะเพคะ "

 

      " อืม...เช่นนั้นเองหรือ "  พระองค์ตรัสเบาๆอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก...พระองค์ยกจอกน้ำจันฑ์ขึ้นเสวยอีกครั้ง ก่อนจะตรัสเบาๆอย่างเป็นการเป็นงานขึ้นว่า...  " เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าไม่ได้มาเพื่อพูดคุยเล่น...ไม่เคยมาเพื่อพูดคุยเล่นๆ "

 

      " เพคะ...เช่นนั้นพระองค์มีสิ่งใดให้ผู้ต่ำต้อยรับใช้ โปรดดำรัสมาได้เลย "

 

      " วันนี้ในการประชุมราชการศึก มีขุนทหารผู้น้อยนายหนึ่งเสนอแผนที่น่ารื่นหู เพียงพอจะสามารถตอบโต้กับการรบนอกแบบแผนของออกญาเพชรบุรีได้อย่างชะงัด และสามารถยึดเพชรบุรีได้อย่างแน่นอน... "

 

      " แต่พระองค์ก็ทรงปฏิเสธแผนการนั้น? "

 

      " ข้าไม่ได้บอกปัดไปโดยตรง แต่ก็ได้แต่วางอุเบกขาไป จนแผนการนั้นถูกคัดค้านโดยพวกคร่ำครึไปเอง "

 

      " พระองค์ทรงกระทำได้ถูกต้องแล้วเพคะ "

 

      " ความอดทนของข้ามีขีดจำกัดนะ ผู้พยากรณ์...และข้าขอเตือนว่าข้าคงจะทนส่งกองทัพไปตายราวละลายไปกับสายน้ำได้อีกไม่นานนักหรอก... "

 

      " พระองค์ต้องตั้งมั่นในขันติและอุเบกขามากกว่านี้เพคะ "

 

      " ถ้าเจ้ายังจะเอาแต่พูดให้ข้าอดทนโดยไม่บอกอะไรข้าอีกล่ะก็...ข้าจะมีราชโองการส่งทหารออกไปในประเดี๋ยวนี้เลย! "  จอมกษัตริย์ชาตินักรบตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนน่ากลัว บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ถูกสะกดกลั้นอยู่และกำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อ ทำให้หญิงสาวผู้พยากรณ์ช้อนดวงหน้างามขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับทูลเบาๆตอบกลับมาว่า

 

      " ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า...ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด เพียงแต่พระองค์เคยได้ยินเรื่องเล่าอันโบร่ำโบราณเรื่องนึงบ้างไหม? "

 

        คำทูลของหญิงสาวตรงหน้าทำให้พระองค์ถึงกับต้องขมวดขนงค์ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพูดไม่ถูกพระทัย...แต่เพราะพระองค์ไม่อาจจะจับกระแสของความหวาดกลัวที่สมควรจะมีได้เลยแม้แต่น้อย...ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด อยู่ในสถานะใดก็ตาม เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขาล้วนแล้วแต่ต้องมีความหวาดกลัวอยู่อย่างน้อยก็สองส่วน...แต่ความหวาดกลัวนั้นไม่ได้มีอยู่ในท่าทางหรือน้ำเสียงของสตรีประหลาดนางนี้เลย

 

     ...คนที่ไร้ความกลัว ก็คือคนที่ไร้ความหวังใดๆ...

 

      " เจ้าเล่ามาเถอะ "

 

      " ...มีนายพรานผู้เชี่ยวชาญการเสาะแสวงหาน้ำดื่มอย่างไร้ผู้เปรียบคนหนึ่ง ได้นั่งสนทนากับภิกษุเฒ่าที่ธุดงค์อยู่ในป่าใหญ่...หลังจากสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ พระภิกษุเฒ่านั้นก็เอ่ยเตือนนายพรานตรงหน้าว่า ...หนทางภายภาคหน้ายาวไกล สมควรถนอมน้ำดื่มไว้ อย่าได้ทระนงตนเกินประมาณ...คำเตือนอันมีค่านั้นกลับทำให้นายพรานรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น ทำให้หลังจากกล่าวอำลานายพรานผู้นั้นก็ดื่มน้ำในกระบอกที่เหลืออยู่ทั้งหมดโดยเชื่อมั่นว่าจะหาน้ำได้ในหนทางภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน... "

 

      " ให้ข้าคาดเดาบทจบของเรื่องนะ...นายพรานผู้นั้นไม่อาจจะแสวงหาน้ำได้แม้แต่หยดเดียว...ใช่หรือไม่? "  พระเจ้าอลองพญาตรัสออกมาเบาๆอย่างรู้ทัน ซึ่งหญิงสาวก็หัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

      " พระองค์ทรงปราดเปรื่องยิ่ง ถูกต้องแล้วเพคะ "

 

      " ความประมาท เป็นหนทางแห่งความตายสินะ? "  จอมกษัตริย์ลูบพระหนุอย่างครุ่นคิด แต่หญิงสาวกลับขัดขึ้นเบาๆอีกครั้ง

 

      " มีอีกข้อที่นิทานปรัมปราเรื่องนี้ได้สอนไว้ "

 

      " หืม? "

 

      " ทุกคำพูดที่เอ่ยเตือนล้วนแล้วแต่มีค่า...ผู้ไม่เชื่อถือล้วนต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงลิ่ว...หากพระองค์ฝ่าฝืนสิ่งที่เป็นชะตาฟ้า พระองค์พร้อมจะจ่ายราคาในการล่วงเกินหรือไม่เล่าเพคะ? "  หญิงสาวผู้ถูกขนานนามว่า เทวีผู้พยากรณ์ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบร้อยอันแสดงถึงความเคารพนบน้อมแต่ทว่าคำพูดและกระแสแววตาที่แทบจะทะลุผ่านแถบผ้าสีดำที่อำพรางไว้กลับเป็นไปในทางตักเตือนประสมลองดีจนพระเจ้าอลองพญาถึงกับนิ่งเงียบอย่างไปไม่เป็น...ก่อนที่ในที่สุดพระองค์จะเอ่ยโอษฐ์ถามด้วยเนตรอันวาววับ

 

      " เจ้าต้องการจะบังคับให้ข้ารอไปอีก ๒ อาทิตย์จริงๆหรือ? เทวีผู้พยากรณ์ "  เขาดำรัสอย่างกดดันพร้อมกับปล่อยกระแสเตือนบางอย่างออกมา ชนิดที่ถ้าหากหญิงสาวตรงหน้าตอบไม่ตรงคำถามหรือไม่เป็นที่พอพระทัยขึ้นมา งานนี้มีหวังไม่จบลงแค่ถูกว่ากล่าวแน่ๆ

 

      " เพคะ...ในการสงคราม ความอดทนก็เป็นสิ่งจำเป็น...และก็อย่างที่พระองค์ได้ดำรัสไว้...ผลไม้ที่รอจนสุกงอม ล้วนแล้วแต่อร่อยลิ้นกว่าผลไม้ที่เด็ดระหว่างยังห่ามอยู่มิใช่หรือเพคะ "  หญิงสาวไม่ใช่แค่รู้ว่าสถานการณ์ไหนควรเล่นสถานการณ์ไหนควรจริงจัง แต่ยังรู้ว่าจะพูดแบบไหนเพื่อผ่อนอารมณ์ของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าชีวิตของเธอให้เย็นลงและพอพระทัยได้อีก...วาจาที่ช่างลดเลี้ยวและประจบประแจง แต่ทว่าไม่พบร่องรอยแห่งความไม่จริงใจเลยแม้แต่น้อย ทำให้พ่ออยู่หัวที่ประทับอยู่ตรงหน้าถึงกับแย้มสรวลเหยียดออกมา ก่อนที่ในที่สุดเขาจะสรวลร่าดังลั่นและยาวนานจนเหล่าทหารและนางกำนัลทั้งหลายที่อยู่ภายนอกถึงกับต้องหันกลับมามองอย่างตกใจ แต่พระเจ้าอลองพญากลับไม่สนพระทัย แต่กระแทกจอกสุราลงพร้อมกับดำรัสอย่างตัดสินพระทัยได้อย่างเด็ดขาด

 

      " ฮ่าๆๆ ต่อให้ข้า และมังฆ้องนรธาไม่ออกหน้าเอง แต่เวลาสองอาทิตย์ที่เจ้ากำหนดก็ไม่ใช่เวลาที่น้อยนิด ...เจ้า...คิดเห็นว่าออกญาเพชรบุรีนั่นจะอยู่รอดได้ถึงสองอาทิตย์จริงหรือ? "  

 

      " ออกญาเพชรบุรีมิได้มีเพียงชื่อ แต่เป็นผู้มีความคิดเฉียบแหลม ทั้งความสามารถก็กล้าแข็งต่างจากนายทัพอโยธยาคนอื่นๆ ...อีกชัยภูมิอันได้เปรียบเกินกว่าที่คาดไว้...หากมิใช่พระปรีชาของพระองค์ให้เป็นผู้นำทัพเอง ต่อให้เป็นเดือนปีก็ไม่แน่วาจะตีแตกหรือไม่เลยด้วยซ้ำ "

 

      " เหอะ! อย่ามายกยอข้าเสียให้เสียเวลาเลย...ตอบคำถามของข้ามาดีกว่า ผู้พยากรณ์ ไอ้ออกญาเพชรบุรีผู้นั้น...ไอ้เรืองผู้นั้น...มันมีค่าพอจะทำให้ข้าสนุกได้หรือไม่? "  จอมกษัตริย์ผู้มีเลือดนักรบอันแข็งแกร่งอยู่เต็มกายแยกทนต์แย้มพระสรวลออกมาด้วยดวงเนตรที่ลุกไหม้ด้วยความหวังอันแรงกล้า...ความปรารถนาที่จะพานพบคู่ต่อสู้ที่คู่ควรที่สุด...คู่ต่อสู้ที่ทำให้พระองค์สนุกสนานที่สุด...และหญิงสาวประหลาดตรงหน้าก็ไม่ได้ทำให้พระองค์ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

 

      " นี่เป็นความปรารถนาที่แท้จริงที่ท่านเกณฑ์พยุหะไพร่พลบุกอโยธยามาเรือนแสนมิใช่หรือ...เกียรติยศใต้หล้า และความสราญส่วนพระองค์...โปรดอย่าห่วงเลย...ออกญาเพชรบุรีผู้นี้จะทำให้พระองค์สนุกกว่าครั้งไหนๆแน่ "

 

      " ดี! วาจาเจ้าต้องใจข้ายิ่งนัก! ตกลง ข้าจะอดทนรอคอยไปอีก ๒ อาทิตย์! หลังสิ้นสุดสองอาทิตย์ ข้าจะขึ้นม้าและไปดูหน้าไอ้ออกญาเพชรบุรีผู้นี้...เหยียบกำแพงเมืองเพชรบุรุด้วยตัวข้าเอง! "

 

      " พระองค์มากด้วยปรีชา...ผู้ต่ำต้อยล่วงเกินต้องขอพระราชทานอภัยโทษอย่างยิ่งแล้ว "  เทวีผู้พยากรณ์ก้มลงหมอบกราบอย่างงดงามและไร้ซึ่งที่ติใดๆ จนพระเจ้าอลองพญาสรวลออกมาอีกครั้ง

 

      " ฮ่าๆ จนแล้วจนรอดข้าก็ไล่เจ้าไม่จนจริงๆสินะ...ผู้พยากรณ์ หึ! ข้าหมดธุระแล้ว "  

 

      " ผู้ต่ำต้อยขอน้อมคารวะส่งเพคะ "  หญิงสาวประหลาดก้มลงคำนับอีกครั้งอย่างงดงามแต่ก็เช่นเคย เพราะนี่เป็นอีกครั้งเขาจับกระแสของความเย้ยหยันได้จากน้ำเสียงและกริยาท่าทางได้อย่างเบาบางอีกจนได้

 

      " หึ! "  พระองค์ปัสสาสะออกมาพลางหันหลังและเตรียมจะดำเนินกลับ แต่พระองค์ดำเนินได้ถึงหน้าทางเข้ากระโจมด้านใน พระองค์ก็ชะงักพระบาทก่อนจะผินพระพักตร์กลับมาอีกครั้ง

 

      " ผู้พยากรณ์... "

 

      " เพคะ? "

 

      " ข้าจะตายเมื่อไหร่? "

 

        คำถามที่น่าขนลุกที่สุดถูกตรัสด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุด ไม่ใช่คำถามที่ถามขึ้นเป็นเชิงล้อเล่น แต่ถามเพราะปรารถนาคำตอบจริงๆ แต่หญิงสาวกลับตอบรับคำถามอันน่าขนลุกนี้ด้วยการยิ้มบางๆ

 

      " พระองค์มีพลังชีวิตที่กล้าแข็งกว่าผู้ใดในดินแดนสุวรรณภูมิ ดุจแสงไต้อันโชติช่วงที่ไม่มีวันมอดดับแม้อยู่ท่ามกลางฝนฟ้าที่กระหน่ำซัด... "

 

      " แปลว่าข้าจะไม่ตายสินะ "

 

      " เป็นตายล้วนไม่ใช่ข้าเป็นผู้กำหนด ยิ่งกับผู้ชะตากล้าแข็งเช่นพระองค์ ยิ่งไม่มีผู้ใดกำหนดได้...พระองค์เป็นผู้กำหนดเป็นตายด้วยตัวพระองค์เอง "

 

      " หึ! ลิ้นตวัดถึงใบหูแล้ว เจ้าน่ะ "  พระองค์ดำรัสออกมาเบาๆอีกครั้ง ก่อนจะดำเนินออกไปโดยไม่สนจะติดใจเอาความใดๆอีก ในขณะที่หญิงสาวผู้หมอบกราบอยู่ลอบยิ้มเล็กน้อย...เป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้าและขมขื่นที่สุด...

 

      " ...ผู้ที่ใกล้ถึงแก่ความตาย ล้วนแล้วแต่มีวิญญาณที่แข็งแกร่ง ดั่งแสงเทียนที่โชติช่วงก่อนดับมอด...ในหมู่ผู้ใกล้จะถึงแก่อายุขัย ไม่มีผู้ใดมีแสงไฟที่โชติช่วงเช่นพระองค์เลย...สมเด็จพระเจ้าอลองพญา! "

 

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

     ...๒ อาทิตย์ต่อมา... ณ เรือนประจำตำแหน่งของไกร...

 

      " ไม่ได้นะ ไกร! เจ้าจะเกร็งทุกครั้งที่ถูกฟาดฟันไม่ได้ หากเจ้าเกร็งคนที่ลำบากก็คือม้า...แม้สีหมอกฉลาดแต่ก็ไม่ได้มีเวลามาดูเแลเจ้าตลอดหรอกนะ "  อนาสตาเซียที่เวลานี้อยู่ในชุดรัดกุมบนหลังม้าพร้อมกับที่มือกำลังกวัดแกว่งอาวุธยาวพูดเบาๆเป็นเชิงชี้แนะ ในขณะที่ไกรที่เวลานี้อยู่ในชุดเกราะเต็มยศบนหลังของม้าแก่คู่ใจนามว่าสีหมอกและถืออาวุธยาวสำหรับซ้อมเชนกันถึงกับหอบหายใจออกมาทางปาก พร้อมกับเถียงมาพลางหอบเป็นหมาหอบแดดว่า

 

      " ทุกกระบวนท่าที่เจ้าลงมือล้วนแล้วแต่หนักแน่น หากไม่เกร็งพลังตั้งรับมีหวังโดนผ่าเป็นสองซีกน่ะสิ! "

 

      " ผู้ที่รับภาระจากการเกร็งพลังต้านรับไม่ใช่เจ้าโดยตรง แต่พลังที่เกิดจากการหักล้างกันจะไปตกอยู่ที่กีบเท้าของม้า หากไม่ใช่ม้าระดับเซ็กเธาว์ที่แบกลิโป้หรือกวนอูได้ สู้เช่นนี้เพียงไม่ถึงชั่วธูปไหม้หมดดอกม้ามีหวังพิการเดินไม่ได้ตลอดไปแน่ "

 

      " ถ...ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำไงล่ะ? "

 

      " โอนอ่อนราวกิ่งไผ่ต้องลมสิ...เจ้าก็มีไม่ใช่เหรอไอ้วิชาดาบที่โอนอ่อนสลายพลังคู่ต่อสู้น่ะ ไม่สิ ต้องบอกว่ากระบวนดาบสายปลิ้นปล้อนตลบแตลงน่ะเป็นของถนัดของเจ้าเลยด้วยซ้ำไปนี่ "

 

      " พ...พูดงี้ข้าก็เสียราคาหมดสิฟะ! ว...เหวอ! "  ไกรร้องออกมาอย่างตกใจ เพราะหญิงสาวแม้สั่งสอนแต่ก็ไม่ได้ออมมือ เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้นอนาสตาเซียก็งัดอาวุธยาวที่มีลักษณะคล้ายทวนของไกรจนหลุดมือในที่สุด

 

      " บ...บ้าเอ้ย! แพ้อีกแล้ว! "  ไกรครางออกมาอย่างเจ็บใจพร้อมกับลงจากหลังของม้า ในขณะที่อนาสตาเซียยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลงจากหลังม้าบ้างพร้อมกับเอ่ยชมเบาๆว่า

 

      " ไม่หรอก กว่าข้าจะบังคับม้าพลางร่ายรำอาวุธไปพลางได้ขนาดเจ้าก็เล่นไปเกือบเดือน...๒ อาทิตย์เจ้าได้ถึงเพียงนี้ก็ไม่เรียกว่าปรกติเลยด้วยซ้ำไป แต่ก็นะ เพราะได้ม้ารู้ใจเร็วถึงขนาดนี้ ได้แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว "

 

        อนาสตาเซียไม่ได้เสแสร้งเอ่ยชม แต่ชมจากใจจริง แต่ก็อย่างที่เธอบอก เพราะไกรได้ม้าดีที่สิงห์ยื่นมือช่วยไว้ตั้งหลายอย่าง จึงทำให้สามารถข้ามขั้นตอนการบังคับและการฝึกให้ม้าไว้เนื้อเชื่อใจไปได้เลย ในขณะที่คนอื่นๆกว่าจะได้พบม้าที่เข้ากับตัวเองดีไม่ดีอาจจะหาทั้งชีวิตเลยด้วยซ้ำไป

 

      " โชคดี...อย่างนั้นเหรอ? "  อนาสตาเซียที่ยืนกอดอกจ้องมองไกรนิ่งครางออกมาเบาๆ อย่างประหลาดใจ...

 

 

     ...๒ อาทิตย์ที่ผ่านมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่าง...นอกจากที่ไกรจะตั้งหน้าตั้งตาฝึกขี่ม้าพร้อมกับใช้อาวุธอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะต้องการจะเอาชนะอนาสตาเซียแล้ว ดูเหมือนคู่แฝดชาวตะวันตกอย่างโคลัมบัสและออเรลลาน่าจะติดใจการเที่ยวเล่นในกรุงจนกระทั่งงอแงไม่ยอมกลับไปหมู่บ้านอีก สุดที่ท่านผู้เฒ่าจะทัดทานใดๆ แถมยังรู้สึกว่าเป็นผลดีด้วยที่จะให้เด็กหนุ่มสองคนมาเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่จะให้อยู่กับเรือนของท่านผู้เฒ่าก็ไม่สะดวก เพราะท่านเองก็ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวเลยไม่มีเวลามาดูแล ภาระจึงถูกส่งมาให้กับไกรที่มีอาณาเขตบ้านค่อนข้างใหญ่โตแทน...

 

     ...แต่ที่ลำบากใจไกรไม่ได้เกิดจากนักประดิษฐ์หนุ่มทั้งสองคน แต่เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ราวกับผู้ปกครองของเด็กสองคนนี้อย่าง ยูกิโอะ ต่างหาก...เพราะหลังจากที่โคลบี้และออลลี่งอแงไม่ยอมกลับ ไอ้คนที่งอแงไม่ยอมกลับด้วยหนักกว่าก็คือยูกิโอะเอง แถมเธอยังอยู่ในระดับที่ท่านผู้เฒ่าไม่อาจจะว่ากล่าวอะไรได้ถนัดอีกต่างหาก...สิ่งเดียวที่ท่านผู้เฒ่าสามารถทำได้...ก็คือปัดสวะให้พ้นบ้านนั่นเอง...

 

     ...กรรมจึงถูกส่งมาที่ไอ้คนที่พูดไม่ได้ยิ่งกว่าอย่างไกร แถมดาบคาตานะลายคลื่นสีดำสนิทอย่างที่อยู่ในมือของยูกิโอะและถูกชักขึ้นมาพาดคอของไกรก็ไม่ยอมให้ไกรปฏิเสธได้แม้เพียงครึ่งคำ...ทางออกที่ดีที่สุดที่ไกรทำได้จึงได้แต่สร้างกระท่อมขนาดใหญ่ขึ้นมาใหม่ให้กับทั้งสามคนโดยให้ยูกิโอะหนึ่งหลังและคู่แฝดหนึ่งหลังโดยตั้งอยู่ห่างไกลจากคนอื่นๆแทนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับคนอื่นๆ เพราะยูกิโอะกับโคลบี้และออลลี่แทบจะขนอุปกรณ์แปลกๆที่เคยเก็บไว้ในกระท่อมของทั้งสองที่หมู่บ้านยุคันตวาตมาไว้ที่นี่หมดแถมยังใช้ชีวิตไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะโคลบี้และออลลี่ไม่รู้ว่าความเกรงใจคืออะไรเพราะนิสัยไฮเปอร์ผิดมนุษย์ของทั้งคู่ ทั้งยังไม่ค่อยได้พบปะกับคนภายนอกทำให้พวกเขาไม่ได้รู้จักกบมารยาทในการเข้าสังคม...ในขณะที่ยูกิโอะรับมือได้ยากกว่า เพราะเธอรู้จักไอ้ธรรมเนียมหรือมารยาททุกอย่างเป็นอย่างดี...แต่เธอเลือกที่จะไม่สนใจมันเท่านั้น...

 

      " นี่มันคนรึแมวหน้ามึนกันแน่ฟะ!! "  สุดท้ายไกรจึงได้แต่ตะโกนบอกฟ้าอย่างไม่อาจทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย

 

        ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา เสียงของระเบิดปุงปังและเสียงของค้อนตีศาสตราที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอก็กลายเป็นเสียงที่ดังก้องจนเริ่มเป็นที่คุ้นชินของคนในละแวกนี้ไปเรียบร้อย โดยที่ไกรไม่อาจจะทำอะไรได้เลย...แต่อย่างนั้นก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง...คืออย่างน้อยที่นี่ก็ครึกครื้นขึ้นไปโดยปริยายนั่นเอง

 

        ในขณะที่คนอื่นๆก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น นอกจากสิงห์ที่ถูกอัดจนนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปพักใหญ่ๆในข้อหาดูแลศาสตราสุดรักสุดหวงของยูกิโอะได้ไม่ดีเท่าที่ควรแล้ว ศกุนตลาก็ดูจะตื่นเต้นดีใจกับสิ่งประดิษฐ์ชนิดใหม่อย่าง กระสุนปืนเอนกประสงค์ ของคู่แฝดโคลบี้ออลลี่เป็นอย่างมาก เพราะสิ่งประดิษฐ์นี้ทำให้เธอไม่ต้องลำบากพกปืนหลายสิบกระบอกซ่อนอยู่ในตัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นว่าเธอพกกระสุนไว้รอบๆกายจนนับได้เกือบร้อยนัดจนไกรและคู่แฝดต้องเตือนด้วยความหวังดี เพราะงานนี้หากเกิดเรื่องผิดพลาด ปริมาณดินปืนที่เธอพกไว้ก็เพียงพอจะทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์ระเบิดได้อย่างง่ายๆเลยด้วยซ้ำ...แต่ศกุนตลาเหมือนจะเห่อของเล่นใหม่อย่างเต็มที่จึงไม่ฟังคำเตือนใดๆเลย...แต่ถ้านอกเหนือจากนั้น ทั้งกล้องเก็บเสียงและกระสุนก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เธอกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกไปแล้ว...

 

        ส่วนอเทตยานั้นถึงแม้ว่าจะยุ่งกับงานราชการที่เธอรับไปแทนเวรของอนาสตาเซียที่เอาเวลามาฝึกม้าให้กับไกร ทำให้เธอไม่ค่อยได้มีเวลาว่างมาพบไกรมากเท่าเดิม แต่ไกรก็ยังสามารถสังเกตเห็นรอยยิมที่ยังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวอยู่ นั่นทำให้ไกรเบาใจลง และก็ได้แต่พูดเตือนให้เธออย่าหักโหมมากเกินไปนักเท่านั้น ซึ่งก็น่าแปลกที่ศกุนตลาที่ปรกติแล้วใครจะเป็นยังไงก็ทำหน้าประมาณว่า ช่างหัวมัน! แท้ๆ กลับกลายเป็นคนขันอาสาดูแลอเทตยาเอง แถมอเทตยาที่ปรกติถึงจะสุภาพแต่ก็ไม่ค่อยจะเห็นหัวใครเท่าไหร่ก็กลับตอบรับโดยดีซะด้วย จนไกรอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งสองคนที่ไม่ควรจะเข้ากันได้เลยแม้แต่น้อยกลับสามารถสนิทกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ได้ยังไงกัน...

 

      " เอาเถอะ ก็โตๆกันทั้งคู่แล้ว คงไม่พากันไปเข้าพงเข้ารกหรอกมั้ง "  ไกรคิดในใจพลางโคลงหัว และมองในแง่ดีว่าอย่างน้อยหญิงสาวก็มีเพื่อนมีฝูงคนอื่นๆกับเขาแล้วซึ่งนับเป็นเรื่องดีจริงๆ

 

 

      " ท่านไกร "  เสียงของชายหนุ่มคนนึงปลุกไกรให้ตื่นจากภวังค์ความคิดขึ้นมา พร้อมกับหันหน้าไปมองที่ต้นเสียงที่อยู่ด้านนอกรั้วที่เป็นที่กำหนดอาณาเขตของจวนของเขาที่อยู่ไกลออกไป...แต่เมื่อเขาได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ในชุดเกราะสีเข้มเต็มยศที่ชักเชิดอยู่บนหลังม้าตัวพ่วงพีที่ยืนรออยู่ด้านนอกนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างยินดีทันที

 

      " ไม่จริงน่า? ท่านสิน! "

 

        ผู้ที่อยู่ในชุดเกราะหนังสีเข้มนั้นไม่ใช่ผู้ใด แต่คือหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ว่าที่พระยาตากผู้เป็นสหายอีกคนของไกรนั่นเอง

 

        สินลงม้าและส่งให้เด็กรับใช้ของจวนของไกรไปผูกไว้ ก่อนจะถอดหมวกศึกและเดินเข้ามาหาไกรซึ่งไกรเองก็เดินไปเพื่อพบกันครึ่งทางและต่างจับไหล่ทักทายกันอย่างยินดีที่ได้พบกันอย่างที่สุด

 

      " ท่านสิน มาจากตากก็ไม่ส่งข่าวมาบ้าง ข้าจะได้เตรียมต้อนรับไว้ "

 

      " ลำบากท่านเปล่าๆท่านไกร ได้ยินว่าเวลานี้ท่านยุ่งอยู่นี่นา...ทั้งชาวบ้านชาวช่องเขาก็ลือกันตั้งแต่ข้าเข้าเขตกำแพงมาแล้ว ว่าเรือนของท่านเวลานี้กลายเป็นแหล่งซ่องสุมตีดาบและทดลองระเบิดไปเสียแล้ว...ที่ข้าเข้ามาเห็นนี่ก็ไม่นับว่าเกินเลยที่เขาว่ากันเลยนี่ "  หลวงยกกระบัตรสินเปรยออกมาเบาๆพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงเหล็กกระทบค้อนอย่างเป็นจังหวะที่แว่วตามสายลมมา ซึ่งไกรก็เสหัวเราะเบาๆอย่างไม่อาจจะเถียงอะไรได้ทันที

 

      " ก็ยังเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างอยู่ดีนั่นแหละ ท่านสิน "

 

      " เอ๋? ยิ่งพูดยิ่งฟังดูน่าฉงนแฮะ "  สินเอียงคออย่างงงๆ แต่ไกรหัวเราะเบาๆพร้อมกับตบไหล่สินก่อนจะสั่งให้คนของเขายกชาและขนมมารับรองแขก เพราะไกรรู้ดีว่าท่านสินไม่ใช่คนที่ชมชอบการดื่มสุรานักหากไม่จำเป็นจริงๆ ในขณะที่สินก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรและมานั่งด้วยแต่โดยดี

 

      " ฝึกม้าอยู่สินะขอรับ? "  สินที่มองไปรอบๆเอ่ยขึ้นอย่างคนที่เป็นงานทางด้านนี้แล้ว ซึ่งไกรก็ยิ้มพลางพยักหน้ารับ ก่อนจะชี้ไปที่ม้าแก่สีขาวหม่นที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้อีกด้านนึงพร้อมกับแนะนำด้วยเสียงกึ่งๆภาคภูมิใจหน่อยๆว่า

 

      " นั้นม้าของข้า สีหมอก น่ะ "

 

        สินที่กำลังจะยกชาขึ้นดื่มเหลือบตามองไปที่ม้าที่ไกรพึ่งชี้ไปอย่างกึ่งอวดกึ่งแนะนำ ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วดกหนาขึ้นเล็กน้อยอย่างฉงนทันที

 

      " ม้าแก่นี่ขอรับ? "

 

        ชิ้ง!

 

        พรึ่บ!

 

        จิตคุกคามที่พุ่งวูบจากม้าแก่สีขาวหม่นที่พุ่งวูบเข้าใส่สินทำให้สินที่ยังคงอยู่ในชุดเกราะหนังถึงกับสะดุ้งเฮือก ร่างกายของนักดาบที่ถูกฝึกฝนมาจนแหลมคมที่สุดสั่งให้เขาลุกขึ้นพรวดพร้อมกับเกือบจะชักดาบออกมาอยู่รอมร่อ เพียงแต่ไกรไวกว่าและยื่นมือจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้เพื่อห้ามพร้อมกับกริฐิบตอบกลับมาเบาๆว่า

 

      " เขาไม่ชอบคำว่า แก่ เท่าไหร่น่ะ ถึงจะแก่จริงๆก็เหอะ "

 

      " ฮี้!! "

 

      " เขา เนี่ยนะ? "  สินครางออกมาเบาๆ ประหลาดใจกับสรรพนามที่ไกรใช้เรียกม้ามากกว่าความรู้ภาษาของม้าเองเสียอีก

 

      " ไกรก็เป็นของไกรอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแช่ไรแล้ว ท่านไม่น่าประหลาดใจอะไรอีกนะ สิน "  อนาสตาเซียพูดพลางเดินเข้ามาและถือวิสาสะแย่งจอกชาจากมือของไกรไปดื่มเพื่อดับกระหาย ซึ่งไกรก็เริ่มชินจนไม่ได้ว่าอะไรแล้ว ในขณะที่สินมองกริยาของอีกฝ่ายที่ค่อนข้างจะเกินคำว่า เจ้านายและลูกน้อง ไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ค้อมหัวหัวหญิงสาวเป็นเชิงทักทาย ในขณะที่หญิงสาวก็ทักทายตอบกลับมายิ้มๆเช่นกัน

 

      " อนาสตาเซีย "  

 

      " สิน "

 

        สินก็เหมือนผู้ชายที่มีลูกมีเมียแล้วทั่วๆไปและมีคุณธรรมบางอย่างที่ยึดถือ ทำให้เขาไม่ต้องการจะสนิทสนมกับสตรีที่ตัวเปล่าไม่มีเจ้าของนัก ยิ่งกับอนาสตาเซียที่เป็นสตรีชาวตะวันตกยิ่งแล้วใหญ่ ทำให้แม้ร่วมงานกันในหน่วยคเณศร์เสียงาแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนิทกันมากมายนัก ซึ่งอนาสตาเซียเองก็เข้าใจในข้อนี้ดี เธอจึงวางจอกลงและยิ้มพลางส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อไกรจะรินชาให้ใหม่ ก่อนจะพูดเบาๆว่า

 

      " พวกเจ้าสองคนไม่ได้พบกันมานาน คงจะมีเรื่องให้สนทนากันมาก ข้าไม่อยู่รบกวนดีกว่า...ไกร ข้าจะดูแลสีหมอกให้ไปพลางๆ มัน...ไม่สิ เขาเห็นข้ามากว่า ๒ อาทิตย์แล้ว คุ้นชินกับข้าดีพอประมาณแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก "

 

      " อ...อืม ฝากด้วยนะ "  ไกรยิ้มพลางครางออกมาเบาๆ ในขณะที่อนาสตาเซียวางอาวุธสำหรับซ้อมลงก่อนจะเดินไปดูม้าสีหมอก ซึ่งสีหมอกเองก็เหมือนจะคุ้นเคยกับอนาสตาเซียดีแล้วจริงๆเพราะมันไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไร เพียงแค่ส่งสายตาวิบวับมาหาสินที่ดูถูกมันเท่านั้น

 

      " ม้าแก่จนขนเริ่มหงอกแต่กลับไร้ซึ่งแววตาที่ฝ้าฟาง ทั้งยังมีท่วงท่าและรัศมีองอาจเกินกว่าม้าหนุ่มเสียอีก ประหลาดที่สุด "  สินครางออกมาเบาๆอย่างประหลาดใจ ในขณะที่ไกรหัวเราะออกมาเบาๆอย่างเริ่มชินกับท่าทีแแปลกใจของคนอื่นๆที่มองสีหมอกแล้ว ก่อนจะอธิบายห้วนๆว่า

 

      " ด้วยความช่วยเหลือของสหายน่ะ " 

 

      " จากกันเพียงไม่กี่เดิอน ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม...ไม่ใช่แค่ม้า แต่แม้แต่อนาสตาเซียเองก็ยังแปรเปลี่ยนไป "

 

      " เอ๋? เรื่องม้าเรื่องบ้านนี่ยังพอเข้าใจ แต่นาสตี้มาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่เห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนไปเลยซักนิดนี่ "  ไกรที่หยิบขนมขึ้นมากินเลิกคิ้วพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างแปลกใจ ในขณะที่สินหันหน้ามามองพร้อมกับตอบกลับมาเบาๆ

 

      " ที่จริงข้าก็ออกจะประหลาดใจนะว่าท่านไม่ทันสังเกต แต่ว่าอนาสตาเซียวันนี้ต่างจากเดิมอย่างมาก...ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป แต่เป็นกลิ่นอายที่แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก...เมื่อคราวก่อนนางก็เป็นยอดฝีมือในเชิงดาบอยู่แล้ว แต่ตอนนี้นางกลับ...พูดอย่างไรดีละ...นางดู สูงส่ง ขึ้นจนจากเดิมเทียบไม่ติดเลย "

 

      " สูงส่ง เนี่ยนะ? "

 

      " ขอรับ เมื่อก่อนนางอาจจะดูเหมือนเป็นนักดาบที่สูงส่งก็จริง แต่ว่า...ตอนนี้นางไม่เหมือนนักดาบแล้ว "

 

      " ? "

 

        สินวางจอกชาลงก่อนจะหันกลับไปมองอนาสตาเซียที่เดินจูงม้าไกลออกไป...แม้เขาจะมีชั้นเชิงในกระบวนดาบด้อยกว่าไกร แต่ก็มีดวงตาที่ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน...และดวงตาที่เขาใช้วิเคราะห์หญิงสาวชาวตะวันตกผู้ลึกลับตรงหน้าไมน่าจะผิดเพี้ยนแน่

 

      " ...นางดูไม่เหมือนนักดาบผู้สูงส่งอีกต่อไปแล้ว...แต่ดูเหมือนร่างของนางทั้งร่าง...กลายเป็นดาบอันสูงส่งตลอดทั้งร่างไปแล้ว "

 

     ...น่าแปลก...ต่อให้เป็นปรมาจารย์ดาบเองก็ไม่น่าจะสามารถทะลุขีดจำกัดตัวเองภายในเดือนสองเดือนได้เช่นนี้ พูดอย่างปราศจากความอคติ ...นาง...ในเวลานี้อาจจะเหนือกว่าทั้งข้าและท่านไกรไปแล้วก็ได้...

 

      " เฮ้อ...ท่านพูดจาจนชาจืดหมดแล้วนะท่านสิน เลิกพูดเรื่องหนักหัวแล้วมาพูดเรื่องเบาๆกันดีกว่าน่า "  ไกรครางออกมาเบาๆ ปลุกสินให้ตื่นจากภวังค์ความคิดขึ้นมา ก่อนที่เขาจะยิ้มพลางเปลี่ยนเรื่องพูดตามที่ไกรต้องการ...เปลี่ยนไปพูดเรื่องที่หนักหัวน้อยลง...

 

     ...เรื่องของราชการสงคราม...

 

      " น...นี่มันหนักหัวน้อยลงตรงไหนเนี่ย?! "  ไกรถึงกับครางและกุมขมับ ในขณะที่สินยกจอกชาขึ้นดื่มก่อนจะเลิกคิ้วและถามกลับมาเบาๆว่า

 

      " ราชการศึกล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันกับบ้านเมือง ทั้งท่านและข้าก็เป็นขุนทหาร ศึกติดพันประชิดพระนครเช่นนี้พูดเรื่องอื่นสิถึงเรียกว่าน่าแปลก "

 

      " เวรกรรม! เอาแต่แบกเรื่องหนักๆไว้บนหัวแข็งๆอย่างงี้ไง ตอนปลายรัชกาลถึงได้--- "

 

      " หา? ตอนปลายรัชกาล? "  สินทวนคำเพราะจับกระแสหางเสียงได้ไม่ถนัดนัก ในขณะที่ไกรรีบเอามืออุดปากตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะรีบพูดแก้อย่างร้อนรนทันที

 

      " ไม่มีอะไรๆ เออ! ถ้าอยากจะพูดเรื่องการสงครามก็พูดเรื่องการสงครามสิฟะ! "

 

      " ร้อนรนเห็นๆเลยนี่ แต่เอาเถอะ พูดเรื่องสงครามก็สงคราม ข้าเองก็อยากจะรีบสร้างผลงานเช่นกัน "  สินกล่าวอย่างไม่ติดใจเอาความอะไร ก่อนจะครางออกมาเบาๆอีกครั้ง

 

      " ไอ้ท่านเรืองเวลานี้ทำศึกติดพันสามารถยันทัพพระเจ้าอลองพญาได้ตั้งหลายมื้อหลายเพลา ทำความชอบล้ำหน้าข้าไปหลายขุมแล้ว ข้าจะให้ไอ้บ้านั่นนำหน้าไปมากกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว...พอๆกับที่ข้าก็จะไม่ยอมน้อยหน้าท่านเช่นกันนั่นแหละ ท่านไกร "

 

      " โอ้ สุดยอดเลยๆ ถึงจะกลับกลายเป็นสหายแต่ก็เป็นสหายที่ไม่ยอมตกเป็นรองกันและกันสินะ...แหม คุณธรรมน้ำมิตรของพวกเจ้าทั้งสามคนนี่ยากเกินกว่าที่สตรีอย่างข้าจะเข้าใจจริงๆ "

 

      " อืม มันอาจจะยากเกินสตรีเข้าใจจริงๆนั่นแหละ...เอ๋? สตรี ...เฮ้ยยย!! "  ทั้งสินและไกรร้องออกมาเสียงดังลั่นอย่างตกใจ เพราะอยู่ๆสตรีแปลกหน้าคนนึงก็โผล่เข้ามาพูดคุยด้วยในวงสนทนาราวกับภูติพรายแถมยังเข้ามาพูดคุยหน้าตาเฉยราวกับเป็นสหายกันก็ไม่ปาน ทำให้สินรีบตั้งท่าเตรียมชักดาบอย่างระวังตัว แต่ไกรกลับเป็นผู้ยกมือห้ามไว้พลางกุมขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นทันที

 

      " ให้ตายสิ! การระวังป้องกันบ้านหละหลวมจริงๆ แล้วนี่เราสนิทกันจนกระทั่งเจ้านึกจะเข้าก็เข้านึกจะออกก็ออกบ้านข้าได้แล้วงั้นเหรอเนี่ย ดารา! "

 

        หญิงสาวผู้เข้ามาแทรกกลางวงสนทนาราวกับผีสางคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นดาราแห่งบรรลัยกัลป์ จารสตรีสาวผู้อยู่ในรูปลักษณ์แรกที่ใช้เพื่อมาติดต่อกับไกรที่เวลานี้ไกรเริ่มคุ้นเคยแล้ว ในขณะที่ดารายิ้มยั่วพลางถือวิสาสะนั่งลงอีกฟากหนึ่งและหยิบจอกชาที่ยังคว่ำอยู่ขึ้นมาและรินชาขึ้นมา แต่พอเห็นชาสีเข้มเธอกลับทำสีหน้าเหม็นเบื่อ ก่อนจะกระแทกจอกชาลงจนเสียงดังสนั่นและร้องลั่น

 

      " เด็กๆ ต้อนรับแขกเหรื่อกลับใช้เพียงชาให้ฝืดคอ พวกเจ้าคิดจะให้ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯของเราขายขี้หน้ารึอย่างไร! ไปเอาเหล้าชั้นดีพร้อมกับแกล้มมา! "

 

      " นี่ไม่ใช่เรือนของเธอนะ! อย่าวางอำนาจบาตรใหญ่ที่บ้านข้าสิ! "

 

      " ม...มาแล้วเจ้าค่ะ สุราชั้นดีพร้อมกับแกล้มมาแล้วเจ้าค่ะนายหญิง "

 

      " ยัยนี่ไม่ใช่นายหญิงของเจ้านะเฟ้ย! อย่าเข้าใจอะไรผิดๆเซ่! "  ไกรหันไปตะโกนบอกสาวรับใช้ที่ช่วยกันถือเหล้าชั้นดีและกับแกล้มระดับเหลาออกมา เพราะการเทียวไปเทียวมาทั้งยังพูดจาชวนเข้าใจผิดหลายๆอย่างจนพวกคนบนเรือนเริ่มเข้าใจว่ายัยนี่เป็นคนสำคัญของไกรไปแล้ว

 

      " ตกลงเป็นภรรยาของท่านไกรสินะขอรับ ข้าชื่อสิน เคยเป็นคนในหน่วยคเณศร์เสียงาภายใต้การนำของท่านไกร เวลานี้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ว่าที่พระยาตากขอรับ "

 

      " ไม่ใช่ภรรยาเฟ้ย! แล้วอย่าแนะนำตัวมั่วๆกับยัยนี่สิ! ยัยนี่เป็นมิตรหรือศัตรูรึเปล่าข้ายังไม่รู้เลย! "  ไกรหันไปดุสินที่หันไปแนะนำตัวกับดาราอย่างเข้าใจผิดไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่หญิงสาวคนสำคัญหยิบสุราไปรินขึ้นยกดื่มพร้อมกับกระแอมไอและเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานขึ้น

 

      " เอาล่ะ อย่าเล่นสิ ไกร...ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องตลกชวนหัวนะ "

 

      ' ตูก็ไม่ได้อยากเล่นเฟ้ย!! '  ไกรคิดในใจอย่างหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาเพราะกลัวจะเสียภาพลักษณ์ และได้แต่ยอมนั่งฟังอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนเหมือนกัน

 

      " ...เอ้า ตกลงมีอะไรว่ามา? "  ชายหนุ่มพูดเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงให้สินที่ยังคงงงเป็นไก่ตาแตกให้นั่งลงและฟังอีกฝ่ายเช่นกัน ในขณะที่ดาราเทเหล้าจากไหลงใส่จอกพร้อมกับและยกขึ้นดื่มอีกครั้ง...ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับเริ่มต้นพูดช้าๆ

 

      " เมื่อสองทิวาก่อน พระเจ้าอลองพญาหมดสิ้นความอดทนลงและกล้ำกลืนศักดิ์ศรีของตน ยอมออกโอษฐ์อภัยโทษแก่แม่ทัพมังฆ้องนรธาแล้ว ทั้งยังเป็นผู้นำทัพออกมาเพื่อตีเพชรบุรีด้วยตัวพระองค์เอง...โดยใช้กองทัพทั้งหมดในการรบเพื่อจัดการให้สิ้นซากในคราเดียว "

 

      " อะไรนะ! "  ทั้งไกรและสินลุกขึ้นพร้อมกับร้องออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มือเย็นตีนเย็นราวกับวิญญาณแทบจะออกจากร่างทันที...แต่ทว่า ข่าวอันน่าตระหนกไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ เพราะหญิงสาวขยับปากอีกครั้ง...พร้อมกับข่าวที่น่าตระหนกยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก

 

      " ...และเมื่อไม่ถึง ๑ ชั่วยามก่อน เพชรบุรีภายใต้การป้องกันรักษาของออกญาเพชรบุรีเรือง ผู้เป็นแม่ทัพถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์...ก็แตกแล้ว "

 

      " เหลวไหลที่สุด! นี่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?! "  สินดวงตาลุกวาว ตวาดออกมาอย่างหมดความอดทน เพราะการข่าวที่สำคัญที่สุดที่แม้แต่นายทหารในการราชการศึกอย่างเขาและไกรยังไม่รู้ มันไม่มีทางจะออกมาจากปากของสตรีตัวน้อยๆนางนึงได้ ทำให้สินสรุปได้อย่างทันทีว่านางแกล้งพูดหยอกเล่น ...แต่กลับเป็นไกรที่คว้าไหล่เพื่อหยุดสินไว้ ก่อนจะสะกดกลั้นอารมณ์และพูดเชิงถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุด

 

      " ความแน่นอนของข่าวนี้ล่ะ? "

 

      " เต็มสิบส่วน "  เมื่อเห็นแววตาของไกรในเวลานี้ หญิงสาวก็รู้ดีว่าไม่ใช่เวลาจะมาเล่นลิ้นตีฝีปาก เธอจึงตอบกลับมาอย่างรวบรัดไมปิดบัง แต่ถึงอย่างนั้นไกรก็ยังขมวดคิ้ววูบอยู่ดี

 

      " เจ้าบอกว่าเพชรบุรีพึ่งแตกในเวลาไม่ถึง ๓ ชั่วโมง---หมายถึง ๑ ชั่วยาม...หากเพชรบุรีแตกจริงสถานการณ์ย่อมต้องสับสนวุ่นวาย แล้วเจ้าสามารถรู้ข่าวที่ล่าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? "

 

      " ข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน...แล้วอีกอย่างตลอดเวลาที่ข้านำข่าวมาบอกเจ้า มีข่าวใดผิดแผกจากความจริงไปบ้างล่ะ! "  หญิงสาวเริ่มขึ้นเสียงบ้างเพราะเหมือนกำลังโดนดูถูก แต่ไกรโบกมือเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยก่อนจะถามในเรื่องที่เขาคิดว่าตอนนี้น่าจะกลัวที่จะได้ฟังคำตอบที่สุด...

 

      " แล้วออกญาเพชรบุรี ท่านเรืองล่ะ...เกิดเหตุ...เภทภัยอันใดกับท่านเรืองกัน... "

 

      " ท...ท่านเรืองน่ะ--- "

 

        ดารายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดตอบคำถามออกมา ที่ด้านหน้าของพวกเขาทั้งหมดก็ปรากฏเสียง ซู่ว! เบาๆอย่างไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุจนทุกคนถึงกับชะงักและหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องลุกขึ้นมาเพราะนอกจากเสียงประหลาดนั่นแล้วก็ปรากฏควันสีขาวที่ฟุ้งขึ้นอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ทำให้ทั้งสามคนต่างต้องถอยอย่างระวังตัวทันที

 

      " ท่าไม่ดีแล้ว ท่านไกร ถอยออกมาก่อน "  สินชักดาบพร้อมกับออกหน้า ในขณะที่ไกรกลับไม่ได้กลัวอะไรมากมายนัก เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไม่ปรกติแต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความคุกคามใดๆเลยแม้แต่น้อย

 

     ...แต่แล้วเจ้าของควันอันเบาบางนั้นก็ปรากฏเมื่อหมอกควันจางลง เหลือไว้เพียงร่างเล็กๆของเด็กน้อยสองคน...หรือเด็กน้อยสองตนจะถูกต้องกว่า เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์...แต่เป็นกุมารี...เป็นสองกุมารีที่ทั้งไกรและสินรู้จักเป็นอย่างดี

 

      " รักยม? ไม่สิ กุมารีนี่? "  ดาราที่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกุมารีทั้งสองเป็นครั้งแรกครางออกมาเบาๆอย่างฉงนฉงายใจ ในขณะที่ทั้งสินและไกรขยับเข้ามาใกล้ทันที

 

      " ลูกแก้ว ลูกขวัญ! ก...เกิดอะไรขึ้นกัน พวกเจ้าควรจะอยู่เพื่อปกป้องพ่อของเจ้าอย่างท่านเรืองสิ! "

 

        แต่ดูเหมือนลูกแก้วและลูกขวัญจะไม่ได้ฟังคำพูดของไกรเลย พวกเธอต่างคุกเข่าและก้มหน้านิ่ง ทั้งไกรยังสังเกตเห็นว่าร่างของพวกเธอไม่ได้เสถียรเท่าเมื่อก่อน ที่เมื่อก่อนรูปร่างหนักแน่นถึงขนาดจับต้องได้ แต่เวลานี้กลับสั่นสะท้านราวกับจะหายไปได้ทุกเวลา จนกระทั้งเขาต้องขมวดคิ้วอย่างผิดสังเกตทันที

 

      " ลูกแก้ว ลูกขวัญ? "

 

        ก่อนที่ไกรจะพูดอะไรต่อ ทั้งลูกแก้วและลูกขวัญยื่นบางสิ่งมาให้ตรงหน้าไกร...เป็นขวดแก้วบรรจุน้ำมันบางอย่างที่สีเข้มจนไม่อาจเห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายในได้ ซึ่งไกรก็ขมวดคิ้วทันทีอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่ทั้งสินและดาราที่พอจะรู้จักสิ่งที่อยู่ในมือของทั้งสองตนอยู่บ้างถึงกับต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพร้อมกับถอยหลังไปอย่างหวาดกลัวทันที

 

      " พวกเจ้า? "  ไกรหันกลับไปมองอย่างงงๆ แต่ทั้งลูกแก้วและลูกขวัญกลับยัดขวดแก้วบรรจุน้ำมันและสิ่งของบางอย่างภายในใส่มือทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะพูดอย่างราบเรียบที่สุด

 

      " สิ่งที่อยู่ในมือของท่าน คือร่างอันแท้จริงของพวกเรา...เมื่อร่างอยู่ในมือท่าน ท่านก็คือนายของพวกเรา เป็นพ่อของพวกเราทั้งคู่แล้ว "

 

      " อะไรนะ?! "  ไกรร้องออกมาอย่างตกใจสุดขีด แต่เขาก็รู้ถึงความสำคัญของสิ่งที่อยู่ในมือดีจนไม่กล้าจะทิ้งหรือวางลง ในขณะที่ทั้งลูกแก้วและลูกขวัญที่ยังคงคุกเข่าก้มหน้าลงอธิบายอย่างช้าๆ

 

      " นี่...เป็นคำสั่งสุดท้ายของท่านพ่อ ก่อนที่ท่านพ่อที่ถูกรุมล้อมด้วยกองทัพนับหมื่นของเหล่าพวกพม่ากลุ้มรุมจับ สุดปัญญาที่พวกข้าจะช่วยเหลือได้...คำสั่งเสียสุดท้าย...ที่มอบพวกเราให้กับท่าน โดยหวังให้ท่านเป็นผู้เลี้ยงดูพวกเราแทท่านพ่อสืบไป... "

 

      " ท...ท่านเรือง? ไม่จริงน่า! "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างตกตะลึงกับข่าวอันไม่คาดฝันนี้ แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้ทันว่าอะไรต่อ เด็กทั้งสองคนตรงหน้าไกรก็ร้องไห้ออกมาดังลั่นจนไกรถึงกับสะดุ้งเฮือก

 

      " ฮ...ฮือ! คำสั่งเสียของท่านพ่อเรือง พวกเราได้ทำตามจนเสร็จสิ้นแล้ว...ฮ ฮึก! ที่เหลือเป็นเพียงคำขอร้อง...คำขอร้องชั่วชีวิตของข้าสองตนเท่านั้น... "

 

      " ล...ลูกแก้ว ลูกขวัญ "

 

      " ช่วย...ช่วยท่านพ่อเรืองด้วยเถอะนะ ท่านพ่อไกร! "

 

 

 

 

 

...............................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา