ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
123)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
...เข้าตรู่วันต่อมา...
โครม!
เสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังขึ้นเป็นระยะๆลอดเข้ามาในห้องนอนของไกร ทำให้ไกรที่เวลานี้ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนาขมวดคิ้ววูบพร้อมกับดึงผ้าห่มที่มีลักษณะคล้ายผ้านวมขึ้นมาคลุมหัวไว้อย่างไม่ประสงค์ที่จะตื่นมาในเวลานี้ ก่อนที่สมองที่ยังคงมึนๆอยู่จะประมวลผลอย่างช้าๆ
' เอ...เท่าที่เราจำได้ วันนี้ไม่ใช่วันที่เป็นวันนัดสอนดาบให้กับพวกลูกท่านหลานเธอทั้งหลายนี่หว่า แล้วไหงที่ลายหน้าจวนเราถึงได้มีเสียงแบบนี้ไดล่ะ...หือ? หริอยัยศกุนตลาสอนพิเศษหาลำไพ่ล่ะเนี่ย...อืมๆ เป็นไปได้ๆ เงินเดิอนครูปกติก็ไม่ค่อยพอยาไส้อยู่แล้วนี่เนอะ อืมๆ ' หลังๆไกรชักเริ่มเอาเรื่องในโลกยุคปัจจุบันมาปนกับยุคอดีตที่เขาอยู่ในเวลานี้ เพราะสมองกำลังเบลอจึงมีความนึกคิดสับกันไปสับกันมาหมด ก่อนที่สมองจะตัดสินใจเอาอย่างมั่วๆว่าช่างหัวมันแล้วคิดจะนอนต่อโดยไม่สนใจอะไร ...ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรนัก เพราะกว่าไกรจะออกจากเขตพระราชฐานก็ปาเข้าไปเกือบๆจะเข้ายาม ๓ (เที่ยงคืน) แล้ว แถมพอกลับมาถึงจวน ไอ้เรื่องต่างๆที่ประดังประเดอยู่ในหัวก็ทำให้จิตใจของเขาไร้ซึ่งความสงบจนไม่อาจจะข่มตาหลับลงได้...จนทำให้กว่าเขาจะได้นอนจริงๆก็ปาเข้าไปเกือบจะสิ้นสุดยาม ๓ (เกือบตี ๓) ทีเดียว
โครม!
เสียงอึกทึกเริ่มดังในลักษณะที่เข้าใกล้ห้องนอนของไกรมากขึ้นไปทุกทีจนไกรที่ยังคงมุดตัวอยู่ในผ้าห่มเริ่มขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดปนสงสัย ก่อนที่สมองที่เริ่มงอแงของเขาจะตัดสินใจอีกครั้งให้เขาหลับต่อโดยไม่ต้องสนใจอะไร...จนกระทั่ง...
" ท...ท่านสิงห์! ว เวลานี้นายท่านไกรยังคงหลับอยู่ ห้ามท่านเข้าไปรบกวนนะเจ้าคะ " เสียงของคนรับใช้สาวที่ไกรจำได้ว่าเป็นนางทาสคนแรกๆที่เขาไปซื้อมาโดยหมายจะช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นร้องห้ามออกมาเสียงดังลั่นที่หน้าประตูห้องนอนของไกร ราวกับจะห้ามใครซักคนไม่ให้เข้ามารบกวนผู้เป็นนายของเธอ ในขณะที่อีกเสียงที่เขาคุ้นหูว่าน่าจะเป็นเสียงของสิงห์ดังขึ้นอย่างร้อนรนว่า
" น...หนวกหูน่า! ข้าเป็นสหายมัน ให้ข้าเข้าไปหามันประเดี๋ยวนี้เลยนะ! "
" ทำเช่นนั้นได้ซะที่ไหนล่ะเจ้าคะ! ถึงท่านจะเป็นสหายของท่านไกรแต่ท่านไกรเองก็เป็นนายของข้าเช่นกัน ถ้าหากท่านไกรเกิดโมโหขึ้นมาคนที่จะถูกลงโทษทัณฑืก็คือพวกข้านะเจ้าคะ! " นางรับใช้สาวคนนั้นเถียงออกมาเบาๆอย่างลำบากใจ เพราะถึงแม้ว่าไกรจะใจดีกว่าขุนนางระดับเจ้าพระยาทั่วไปแต่นั่นก็ทำให้พวกเธอเกรงใจไกรมากขึ้นไปอีกและกลัวที่จะถูกคนใจดีอย่างไกรลงโทษทัณฑ์อย่างที่สุด แต่สิงห์ส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอย่างขัดในทันที
" ปัดโธ่เอ้ย! ไอ้ไกรมันไม่ลงโทษอะไรพวกเจ้าหรอกน่า มันใจดีจะตายโหง ข้าก็เหมือนกัน มันไม่โกรธข้าเรื่องที่ข้าจะบุกเข้าไปซ่อนในห้องมันหรอกน่า! "
" อย่าพูดจาเอาแต่ได้เช่นนั้นสิเจ้าคะ! คนที่ย่ำแย่คือทางนี้นะเจ้าคะ "
" นี่ยัยหนู เจ้าอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่ไล่ตามข้ามา แต่ว่าถ้าหากข้าไม่หนีเข้าไปในนี้ คนที่ย่ำแย่น่ะคือข้าต่างหากเล่า! " สิงห์ส่งเสียงจิ๊กจั๊กดังลั่นอย่างขัดใจสุดขีด ชนิดที่ถ้าคนที่มายืนขวางเป็นผู้ชายคงโดนมันชกคว่ำอย่างสิ้นเรื่องสิ้นราวโดยไม่เสียเวลามาต่อล้อต่อเถียงเช่นนี้แล้ว ิดแต่ว่าคนที่มายืนขวางดันเป็นผู้หญิง และสิงห์ก็ไม่ใช่ผู้ชายประเภทชอบลงไม้ลงมือกับผู้หญิง จึงได้แต่ฮึดฮัดขัดใจอย่างทำอะไรไม่ได้เช่นนี้
" ไม่ได้ก็คือไม่ได้เจ้าค่ะ! " สาวรับใช้บนเรือนของไกรยื่นคำขาดอย่างไม่ยอมผ่อนปรนเลยแม้แต่น้อย จนสิงห์ได้แต่ร้องสบถออกมาอย่างขัดใจสุดขีดว่า
" โธ่โว้ย! "
ก่อนที่ไกรจะได้ยินเสียงกระทืบเท้าจนเรือนไหวออกห่างไป แปลว่าสิงห์ยอมถอยไปแล้ว ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเหล่าสาวรับใช้ที่ยืนขวางอยู่ด้านนอก...ในขณะที่ไกรที่ยังคงมุดผ้าห่มอยู่ราวกับแมวขี้เกียจครางออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่โหมดนอนหลับต่อเพราะเห็นว่าสถานการณ์ปรกติแล้ว...แต่เขาแค่เคลิ้มๆได้เพียงไม่ถึง ๕ นาทีเท่านั้น ก็ปรากฏเสียง ตุ้บ! เบาๆที่บริเวณหน้าต่างทิศที่เปิดให้ลมเข้า นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะนึกว่าของตก ก่อนจะหรี่ตาขึ้นมองช้าๆ
" เฮ้ย! อ ไอ้สิงห์! " ไกรร้องออกมาลั่นอย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่ เพราะไอ้สิ่งที่ตกลงมากระทบพื้นห้องไม่ใชของ หรือถ้าเป็นของก็คงะเป็นของที่มีรูปร่างเหมือนกับไอ้สิงห์ที่อยู่ในสภาพคลุกฝุ่นไม่ต่างอะไรจากขอทานทุกประการเลยทีเดียว
" ช...ชู่ว! " สิงห์รีบทำมือทำไม้เป็นสัญญาณให้ไกรเงียบไว้ แถมดูจากหน้าตาของเขาก็ดูตื่นกลัวอย่างน่าประหลาดใจ เพราะปรกติแล้วสิงห์ไม่ใช่คนที่กลัวอะไรง่ายๆ แต่เป็นคนอื่นๆเสียอีกที่เป็นฝ่ายกลัวสิงห์ ทำให้ไกรที่เห็นสภาพผิดปรกติแบบสุดๆเวลานี้ถึงกับตื่นเต็มตาทีเดียว
" นายท่านไกร? " เสียงของสาวรับใช้ที่ดังขึ้นด้านหน้าห้องของไกรทำให้ทั้งไกรและสิงห์สะดุ้งโหยง น่าจะเป็นเพราะไกรอุทานออกมาดังเกินไปทำให้คนรับใช้บนเรือนเข้าใจว่าเขาตื่นแล้ว...ในขณะที่สิงห์ทำในสิ่งที่ไกรนึกไม่ถึงอีกครั้ง เพราะเขายกมือขึ้นไหว้เพื่อขอร้องไกรจนไกรแทบจะอ้าปากค้างทันที
" นายท่านไกร? ตื่นแล้วเหรอเจ้าคะ? "
" อ...อืม ข้าตื่นแล้วๆ " ไกรรีบถามกลับไปเพื่อไม่ให้เป็นที่พิรุธ จนสาวรับใช้ทั้งหลายไม่ติดใจอะไร พวกเธอจึงร้องถามเข้ามาเบาๆอีกครั้งว่า
" นายท่าน จะให้เตรียมกาแฟกับชุดแพรเข้าไปให้เลยไหมเจ้าคะ? "
" อย่าพึ่ง! เอ่อ...หมายถึงขอเวลาข้าทำธุระส่วนตัวก่อนครู่นึง ถ้าข้าพร้อมเมื่อไหร่จะเรียกเอง...ขอบคุณนะ "
คำขอบคุณที่ไม่ต้องมีก็ได้ของผู้เป็นเจ้าของเรือนทำให้สาวรับใช้ทั้งหลายหันไปมองหน้ากัน แต่พวกเธอก็เริ่มจะคุ้นเคยกับคำพูดแปลกๆของไกรแล้วจึงไม่ได้สนใจอะไรและแยกย้ายกันไปทำความสะอาดบนเรือนต่อ ...ในขณะที่เมื่อทั้งไกรและสิงห์ได้ยินเสียงออกห่างไปแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกันทันที
" ทำไมตูต้องมาทำอะไรแปลกๆในบ้านตัวเองด้วยฟะเนี่ย? " ไกรบ่นเบาๆก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปเอาผ้าสะอาดชุบน้ำขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อให้ตื่นเต็มที่ ในขณะที่สิงห์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที
" เฮ้อ...นึกว่าตายเสียแล้ว "
" ทำหน้าอย่าวกับเจ๊กตื่นไฟ ตกลงแกหนีอะไรมาฟะ? " ไกรถามออกมาอย่างสงสัยปนหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายเข้ามารบกวนเวลานอนอันมีค่าของเขา ในขณะที่สิงห์ที่หน้าตาตื่นราวกับเจ๊กตื่นไฟจริงๆหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวงชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนจะเรียกกริชสีเงินวาวที่ยังคงอยู่ในฝักงาช้างแกะสลักออกมาและยื่นให้ไกรซึ่งไกรก็รับไว้อย่างงงๆ
" นี่มันศาสตราประจำกายของเจ้าไม่ใช่รึไง? แล้วเอามาให้ข้าทำไมกัน "
" คืออย่างนี้นะไกร กริชเล่มนี้อยู่กับเจ้านานแล้ว และข้าไม่ได้มาที่นี่ เจ้าพบกับข้าครั้งสุดท้ายเมื่อวานก่อน...แค่นี้นะ "
" เอ๋? " ไกรยังคงงงเป็นไก่ตาแตก แต่สิงห์ไม่อยู่ฟังอะไรอีกต่อไป เพราะหลังจากมอบกริชให้ไกรและนัดแนะเสร็จ เขาก็กระโดดผลุงออกทางหน้าต่างไปเลย ปล่อยให้ไกรนั่งกระพริบตาปริบๆอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นเดิม
" อ...อะไรของมันฟะเนี่ย? " ชายหนุ่มได้แต่ครางออกมาเบาๆพร้อมกับเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเริ่มถอดเสื้อนอนอันบางเบาออกจนเหลือแต่กางเกงแพรตัวเดียวเพื่อจะเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ แต่ยังไม่ทันได้หยิบเสื้อใหม่ขึ้นมา เรื่องก็เกิดอีกทันที
โครม!
" ม...ไม่ได้นะเจ้าคะ! ท่านขึ้นมาบนเรือนนี้ไม่ได้! " เสียงของเหล่าสายรับใช้ที่ดังขึ้นอีกครั้งจนไกรหันขวับกลับไปมองที่ต้นเสียงด้านหน้าห้อง ก่อนจะสงสัยว่าทำไมวันนี้ที่เรือนของเขามันครึกครื้นเสียจริง ก่อนที่จะมีเสียงของหญิงสาวคนนึงตอบกลับมาด้วยเสียงดังลั่นกว่าว่า
" หลบไป! น่าหนวกหูจริงๆ ยัยพวกนี้! "
' หือ? เสียงนี้มันคุ้นๆแฮะ แต่ดันนึกไม่ออก ใครฟะ? ' ไกรเอียงคอพร้อมกับคิดในใจ ก่อนจะเดินไปที่หน้าประตู แต่เสียงที่ด้านนอกก็ดังขึ้นอีกครั้ง
" ไม่ได้นะ! เจ้าเป็นสตรีที่ไหนก็ไม่รู้ คนญี่ปุ่นอย่างเจ้าอาจจะไม่รู้ธรรมเนียมเรา แต่สตรีไม่ควรจะเข้าห้องบุรุษโดยไม่มีเหตุอันควรนะเจ้าคะ!! "
" ข้ามีเหตุอันควรโว้ย! ก็ไอ้สิงห์มันบอกว่ามันฝากกริชที่ข้าตีไว้กับไกร ข้าก็จะมาเอานี่อย่างไรล่ะ! "
" พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลยเจ้าค่ะ! แล้วถ้าเป็นท่านสิงห์ล่ะก็พึ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี่เองนะ "
" หนวกหูๆๆๆๆ นี่ถ้าโคลบี้กับออลลี่ไม่ตามมาด้วยข้าฆ่าพวกเจ้าจริงๆแน่ หลบไป! "
' โคลบี้? ออลลี่? ...โคลัมบัสกับออเรลลาน่าเหรอ? ' ไกรเริ่มรู้อะไรบางอย่างลางๆ ก่อนที่สมองจะเริ่มนึกย้อนกลับไปที่ต้นเสียงนั้น แต่อยู่ๆ จิตสังหารที่พุ่งกระฉูดพรวดออกมาราวกับทำนบแตกที่ด้านหน้าประตูก็ถึงกับทำให้ไกรสะดุ้งโหยง ร่างกายที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีสามารถจำได้ทันทีถึงจิตสังหารนี้
...จิตสังหารที่เขาสัมผัสได้ในวันเดียวกับที่เขาและท่านผู้เฒ่าไปขอศาสตราจากสตรีนางนึง...สตรีที่น่ากลัวที่สุดในโลกนางนึง...
" ย...ยูกิโอะซัง?! "
แอ๊ดดด!
คราวนี้บานประตูด้านหน้าห้องนอนถูกเปิดออกอย่างง่ายๆ พร้อมกับที่ยูกิโอะ...นักตีศาสตราสาวในชุดกิโมโนญี่ปุ่นสีเข้มที่แสนสุภาพ แต่ดันใช้เท้าถีบยันประตูเข้ามาจนไม่เหลือมาดกุลสตรีชาวญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่รอบๆเป็นร่างอันไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะของเหล่าสาวรับใช้บนเรือนของไกรที่พยายามเข้ามาขวางหญิงสาวและถูกเธอใช้จิตสังหารขู่จนล้มไป จนกระทั่งไกรที่เวลานี้ยังคงอยู่ในกางเกงแพรยาวตัวเดียวรีบวิ่งออกไปดูอาการทันที
" โอ้ ไม่ต้องห่วงหรอกไกร พี่ยุ้กกี้เขาแค่ขู่จนตกใจเป็นลมเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก " เสียงของเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นอีกด้านทำให้ไกรหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นคู่แฝดนักประดิษฐ์สติเฟื่องแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตอย่างโคลัมบัสและออเรลลาน่าที่เวลานี้ก้มลงดูอาการของเหล่าสาวรับใช้ที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น ในขณะที่เมื่อได้ยินไกรก็เอียงคอทวนคำอย่างงงๆทันที
" พี่ยุ้กกี้เหรอ? "
" ก...ไกร! อย่าสนใขสองคนนั่นแล้วมาสนใจข้านี่! กริชของไอ้สิงห์อยู่ไหน! " ยูกิโอะรีบเข้ามาขวางไกรกับคู่แฝดทั้งสองไว้พร้อมกับตวาดออกมาอย่างร้อนรนแถมยังหน้าขึ้นสีเลือดฝาดหน่อยๆอีก แต่จิตคุกคามอันไม่น่าไว้วางใจที่ยังคงแผ่ซ่านออกมาจกตัวเธอทำให้ไกรไม่กล้าเสี่ยงถามต่อ ก่อนจะยื่นกริชที่สิงห์ฝากไว้สดๆร้อนๆไปให้อย่างว่าง่าย ซึ่งยูกิโอะก็กระชากไปทันที
" เอ่อ...เอากริชไปทำไมเหรอขอรับ? " ไกรถามขึ้นเบาๆอย่างเกรงใจ ในขณะที่ยูกิโอะที่ชักกริชออกมาจากฝักงาช้างเหลือบสายตาปะหลับปะเหลือกมาหาพร้อมกับตอบห้วนๆว่า
" ตรวจสอบศาสตราที่ข้าสร้างขึ้นมาให้ว่าไอ้เจ้าของทั้งหลายรักษาดีรึเปล่า...ไม่ใช่แค่ไอ้สิงห์หรอก แต่แม้แต่เจ้าก็ไม่เว้น เตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะ ถ้าหากข้าเห็นรอยสนิมบนดาบสดายุแม้แต่นิดเดียวเจ้าโดนดีแน่! "
' อย่างกับอาจารย์เรียกตรวจสมุดโดยไม่บอกล่วงหน้าเลยวุ้ย นี่เป็นครูไหวใจร้ายที่อยู่หมวดคณิตรึไงกันฟะ! ' ไกรได้แต่บ่นออกมาในใจ เพราะไม่กล้าปริปากบ่นออกเสียงออกมา ก่อนที่เขาจะหันไปหาโคลัมบัสและออเรลลาน่าและถามเบาๆว่า
" แล้วพวกนายมาทำอะไรที่นี่ล่ะเนี่ย ข้านึกว่าพวกนยไม่ชอบออกจากหมู่บ้านเสียอีก "
" ไม่ใช่ไม่ชอบออก แต่ออกไม่ได้ต่างหาก " เป็นยูกิโอะที่ตอบกลับมาแทนทั้งๆที่เธอกำลังตรวจดูกริชอย่างละเอียดอยู่ ก่อนที่คู่แฝดที่ทำหน้าเจือนๆจะขยายความช้าๆว่า
" พี่ยุ้กกี้เขาเป็นห่วงพวกข้าน่ะ เพราะข้างนอกมันอันตรายมาก มีทั้งมังกร มีทั้งหมาสามหัว มีทั้งยักษ์ตาเดียวที่คอยจับเด็กกินด้วย "
" พวกแกอายุ ๓ ขวบรึไงกัน! " ไกรโวยลั่นออกมาอย่างลืมตัว แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวกริชลงอาคมด้ามงาช้างของสิงห์ที่เวลานี้อยู่ในมือผู้ที่สร้างมันขึ้นมาก็พุ่งวูบมาพาดคอไกรพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งพรวดทันที
" อ...เอ่อ ท่านยูกิโอะขอรับ? " ไกรอ้าปากพะงาบๆพร้อมกับเหงื่อตก ในขณะที่ดวงตาที่เป็นประกายอันดำมืดราวกับอสูรตนนึงของยูกิโอะจะเหลือบมามองไกรอย่างช้าๆ พร้อมกับตอบกลับมาเบาๆว่า
" ทำไม...กริชที่ถูกตีขึ้นจากโลหะระดับสูงถึงได้มีกลิ่นเสี้ยนไม้ไผ่กับกลิ่นไก่ย่างด้วยล่ะ ท่านไกร! " น้ำเสียงที่ราวกับเป็นแม่ที่เห็นลูกรักอย่างกริชเล่มนี้ถูกรังแก แถมระดับความเข้มข้นของจิตสังหารที่อยู่ในระดับเอาจริงแน่ๆทำให้ไกรรีบส่ายหน้าหวือๆทันทีก่อนที่คอหอยของเขาจะกระเด็นออกมาเต้นระบำนอกลำคอซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากแน่ๆ
" ล...แล้วข้าจะไปรู้ไหมล่ะขอรับ ทำไมไม่ไปถามไอ้สิงห์ที่เป็นเจ้าของกริชล่ะ! "
" ก็สิงห์มันบอกว่าเจ้าเอากริชของมันมาไว้กับตัวตั้งนานแล้วนี่ เจ้าเอากริชมันมาทำอะไรกันแน่! ถ้าตอบไม่ดีข้าเล่นงานเจ้าแน่ ไกร! "
" อ...ไอ้สิงห์! แบบนี้มันหาคนตายแทนเลยนี่หว่า อ...ไอ้เลว!! "
...หลังจากนั้นกว่าไกรจะเคลียร์กับช่างตีศาสตราสาวผู้ผีเข้าผีออกอยู่ตลอดเวลานี้ได้ก็ปาเข้าไปช่วงสายๆแล้ว ไหนจะต้องเรียกให้พวกที่ทำงานอยู่ด้านล่างมาช่วยกันปฐมพยาบาลแก้ไขให้ยัยพวกสาวรับใช้หน้าห้องฟื้นคืนสติอีก ซึ่งไกรค่อนข้างจะแปลกใจที่ยูกิโอะเลือกที่จะทำแค่ให้พวกเธอสลบ เพราะถ้าเอาจริงๆจากนิสัยเลยเธอควรจะฆ่าไม่เลี้ยงชนิดเก็บศพแทบไม่หวาดไม่ไหว หรืออย่างน้อยๆก็ต้องเลือดตกยางออกมากกว่านี้แท้ๆ แต่ไกรก็ถือว่าแค่นี้ก็โชคดีขั้นปาฏิหาริย์แล้ว จึงไม่ได้ถามอะไร แต่หันไปถามโคลัมบัสและออเรลลาน่าแทนระหว่างที่ยูกิโอะขอตัวไปล่าหัวสิงห์ต่อหลังจากรู้ความจริงโดยปล่อยให้คู่แฝดอยู่กับไกรตามลำพัง ...เพราะถึงแม้ว่าเขาสองคนจะไม่เคยถูกประกาศจับอย่างมือสังหารคนอื่นๆแต่ไกก็นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะเจอพวกเขาที่นี่เช่นนี้...
" เอ้อ เกือบลืมไปเลย พวกข้ามาเพราะไอ้เรื่องปืนที่เจ้าลองออกแนวคิดให้ข้าทำน่ะ ไกร...ข้าว่ามันทำไม่ได้หรอก " โคลัมบัสที่เวลานี้มีขนมเคียงชาที่ไกรให้คนบนเรือนมารับรองอัดอยู่เต็มปากพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ๆ แต่ก็พอจะจับกระแสเสียงได้ ทำให้ไกรเลิกคิ้วอย่างสยใจทันที
" ไม่ไหวจริงๆเหรอ แม้แต่ระดับพวกนายเนี่ยนะ? "
" ไม่ต้องมายอเลย จริงๆข้าต้องด่าเจ้าด้วยซ้ำ ค่าที่ออกความคิดบ้าๆจนข้าทำปืนแตกไปตั้งหลายกระบอก หวุดหวิดถูกสะเก็ดพุ่งเข้าหน้าจนไปเฝ้าเง็กเซียนแล้วด้วยซ้ำ ไอ้วิทยาการที่จะหั่นกระบอกปืนให้เป็น ๒ ท่อนแล้วสามารถประกอบกลับและยิงได้เช่นเดิมน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก "
' แปลว่าต่อให้เป็นคนที่มีแแนวคิดฝันเฟื่องที่สุดอย่างสองคนนี้ก็คงจะดัดแปลงประดิษฐ์ปืนที่หักลำกล้องใส่กระสุนง่ายๆอย่างปืนลูกซองในโลกปัจจุบันไม่ได้สินะ...ไม่สิ ต้องพูดว่าด้วยวิทยาการณ์ที่จำกัดเลยทำไม่ได้ต่างหาก นอกจากจะหล่อขึ้นรูปโดยตรง...แต่เราก็ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้โดยตรงแถมถ้าขืนบอกไปแล้วเกิดพวกนี้ทำปืนระเบิดใส่หน้าขึ้นมามีหวังซวยหมู่แน่...เอาเถอะ ออกจะน่าเสียดายแต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ' ไกรคิดในใจอย่างอดเสียดายไม่ได้ เพราะถ้าหากสามารถทำได้ เขาจะได้ปืนที่สะดวกสุดๆโดยไม่ต้องเสียเวลากรอกดินดำและกระสุนในการยิงแต่ละนัดทันที...ก่อนที่ไกรจะหันไปหาทั้งสองคนพร้อมกับเลิกคิ้วถามเบาๆอีกครั้ง
" แล้วอีกอย่างที่ข้าออกแนวคิดให้พวกเจ้าสร้างขึ้นมาล่ะ? "
คำถามด้วยน้ำเสียงบางเบาของไกรทำให้ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกจนไกรเลิกคิ้ววูบทันที
" แปลว่าวืดอีกสินะ? "
" เปล่า ที่ข้าถอนหายใจกันก็เพราะว่าข้าอิจฉาต่างหากล่ะ อิจฉาสมองของเจ้าจริงๆ เพราะถ้าเป็นพวกข้าต่อให้ชาตินี้ก็คงจะไม่มีทางคิดของนอกคอกผ่าเหล่าพรรค์นี้ออกมาได้อย่างแน่นอน "
" ไอ้คำว่าผ่าเหล่ากับนอกคอกนี่ดูไม่เหมือนคำชมเลยนะ แต่ว่าถ้าพูดงี้ก็หมายความว่า... "
" อืม " โคลัมบัสพยักหน้าพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในย่ามและหยิบวัตถุรูปร่างทรงกระบอกเล็กๆ และเป็นสิ่งที่ไกรถึงกับต้องตาโตออกมา
" กระสุนปืนที่บรรจุทั้งดินดำและหัวกระสุน และใช้ปลอกหุ้มกระดาษบางเสร็จสมบูรณ์แล้ว "
...เป็นอีกครั้งที่ไกรออกแบบแนวคิดอันล้ำยุคเกี่ยวกับปืนและเครื่องกระสุนให้กับคู่แฝดโคลบี้และออลลี่ ซึ่งตอนแรกเขาก็ว่าจะไม่แนะนำอะไรให้เสี่ยงเกิด time paradox อีก แต่หลังจากที่เขาได้ทดลองยิงปืนสับนกครั้งแรก นั่นทำให้เขาต้องขอแหกกฎที่เขาตั้งขึ้นนี้ทันที
' ปืนบ้าอะไรฟะ จะยิงแต่ละนัดต้องกรอกดินปืนกับยัดหัวกระสุน เสียเวลาชะมัด แถมถ้าหากกะดินปืนผิดนิดเดียวก็มีโอกาสระเยิดใส่หน้า แต่ถ้าใส่น้อยเกินไปก็ไม่แรงอีก ยุ่งยากสิ้นดีเลย! พวกแกยังจะมีหน้ามาบอกว่าตัวเองเป็นอาวุธแห่งอนาคตได้อีกงั้นเหรอ! ' ไกรเคยถึงกับบ่นใส่ปืนสับนกที่อยู่ในมือราวกับคนบ้า และยอมรับนับถือในตัวของศกุนตลาที่เป็นผู้ใช้ปืนทั้งปืนคาบศิลาและปืนสับนกเป็นหลักเลยทีเดียว
" แน่ใจนะว่าพวกนายไม่ได้กะขนาดปริมาณดินดำผิดน่ะ " ไกรที่เวลานี้ย้ายมายืนอยู่ที่บริเวณหน้าลานกว้างของเรือนอดถามสองนักประดิษฐ์ขึ้นอย่างหวาดๆไม่ได้ ซึ่งคู่แฝดตอบกลับมาด้วยการแยกเขี้ยววับเพราะเหมือนเป็นการดูถูกพวกเขาไม่มีผิด
" เออๆ ก็แค่ถามเฉยๆ " ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ ก่อนจะรับปืนสับนกและกระสุนที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีตมาจากมือของออเรลลาน่า ก่อนจะยัดมันใส่เข้าทางปากกระบอกปืน ซึ่งถึงแม้ว่าจะต้องใช้แรงยัดอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อยัดเข้าไปจนสุดแล้วปืนจะอยู่ในสภาพพร้อมยิงทันที ซึ่งไม่ต้องบอกเลยว่าง่ายกว่าการบรรจุแบบปรกติอย่างมาก...แต่ปัญหาก็คือ การยิง...
" คือ ขอถามเพื่อให้แน่ใจอีกอย่างนะ พวกนายทดลองกันกี่รอบกันก่อนจะเอามาให้ข้าเนี่ย แบบคือ แน่นะว่ามันจะไม่ระเบิดใส่หน้าข้าน่ะ " ไกรถามพลางสวมกล้องเก็บเสียงแบบที่พอดีกับปืนขนาดเล็กนี้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งประดืษฐ์ของคู่แฝดทั้งสองเข้ากับปากกระบอกปืน...ถึงจะเป็นระดับเจ้าพระยาแต่การยิงปืนเล่นโดยไม่มีเหตุอันควรก็เสี่ยงโดนโบยได้ง่ายๆเหมือนกัน และไกรก็ค่อนข้างจะเกรงใจชาวบ้านชาวช่องอยู่พอสมควร เขาจึงเลือกที่จะใช้การลดเสียงเพื่อทดสอบแทน...ในขณะที่คำถามของเขาก็ทำให้เด็กหนุ่มชาวตะวันตกทั้งสองแยกเขี้ยวใส่อีกครั้ง
" ก็แค่ถามดู " ไกรครางออกมาเบาๆอีกครั้งพร้อมกับยกปืนขึ้นเล็งกับต้นไม้ใหญ่ที่ไม่มีใครอยู่ในวิถีกระสุนแน่ ก่อนเขาจะประกาศออกมาดังๆว่า
" ทดลองปืน! ไม่ต้องตกใจนะ ทดลองปืน! "
หลังจากที่เขาพูดจบ นิ้วที่อยู่ในโกร่งไกอยู่แล้วขยับเพื่อลั่นไกปืนทันที
แชะ ปุ้ง!
ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันทำงานได้ดีจนน่าทึง ชนิดที่ไกรต้องหันกลับไปมองคู่แฝดที่ยิ้มแฉ่งอยู่อย่างชื่นชมสุดๆเลย...
...ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ...เขาได้กระสุนปืนที่ล้ำสมัยที่สุดมาครอบครองแล้ว!...
" ไกร! ระหว่างโดนซ้อมสิงห์สารภาพมาแล้วว่ามันใช้กริชเฉือนไก่ย่างมากินแกล้มเหล้าพร้อมกับเจ้า ทำไมเจ้าไม่ห้ามมัน! "
" ว...เหวอ! ซวยแล้วตู! "
...............................................
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...ณ ค่ายหลวงของทัพพม่า...ห่างจากเมืองปราณบุรีที่ถูกตีแตกไปแล้วเล็กน้อย...
" อย่างที่ข้าพุทธเจ้ากล่าวไปแล้วพุทธเจ้าข้า...การเข้าจู่โจมเพชรบุรีจากซ้ายขวาด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเราไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะกระทำ มันจะทำให้พระองค์เสื่อมเสียเกียรติยศอย่างยิ่ง " ในที่สุด หลังจากที่การประชุมราชการศึกดำเนินกันไปอย่างเคร่งเครียดกว่าหลายชั่วโมง พวกขุนศึกชั้นผู้ใหญ่ทุกๆท่านก็ลงความเห็นกันแล้ว ว่าแผนการที่ดีที่สุดในการสยบเพชรบุรี...ไม่ได้รับความเห็นชอบโดยสิ้นเชิง
เสียงคัดค้านจากเหล่า ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เป็นเอกฉันท์จนน่าใจหายเหล่านี้ทำให้ มังฆ้องนรธา แม่ทัพใหญ่ผู้เวลานี้ถูกราชโองการลงโทษทัณฑ์ไม่ให้เข้าร่วมการปรึกษาราชการศึกแต่มีสิทธิแค่นั่งดูอยู่เฉยๆ ถึงกับกุมขมับ เพราะถึงแม้ว่าไอ้แผนนี้จะเป็นแผนที่ออกมาจากปากของขุนศึกระดับเล็กๆคนนึง แต่ไอ้ขุนทหารคนนั้นก็เอาแผนการนั้นมาจากปากของเขาซึ่งเป็นผู้สั่งการเบื้องหลังอีกที ซึ่งลำพังมันคงคิดแผนการที่ละเอียดขนาดนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
" ท...ทำไมล่ะขอรับ ทุกท่าน " นายทหารชั้นผู้น้อยผู้ทำหน้าที่เป็นปากแทนมังฆ้องนรธาร้องถามออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน เพราะเขาพึ่งจะอธิบายเพียงโครงของแผนเท่านั้น ยังไม่ไดลงลึกถึงรายละเอียดที่มังฆ้องนรธาเป็นผู้บอกเขาทั้งคืนเลยแม้แต่น้อย...แค่บอกแค่โครงก็โดนสะกัดหัวทิ่มซะแล้ว ทำให้เขาสงสัยไม่ต่างจากมังฆ้องนรธาผู้เป็นเจ้าของแผนการเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหนึ่งในขุนทหารเฒ่าผู้นั่งเป็นลำดับต้นๆถัดจากพระที่นั่งของพระเจ้าอลองพญาเป็นผู้ถอนหายใจเฮือกและตอบกลับข้อสงสัยมาเบาๆว่า
" เมืองเพชรบุรีเป็นเมืองเล็กเกินกว่าที่เราจะทุ่มกำลังทั้งหมดในการจัดการได้ หากเราทำตามแผนอัน...ด้อยซึ่งสุนทรีย์ของเจ้าก็เท่ากับว่าเราขี่กุญชรเพื่อไล่กวดมุสิกตัวนึง นอกจากจะทำให้พระเกียรติของสมเด็จพระเจ้าอลองพญาในฐานพระเจ้าช้างเผือกต้องเสื่อมเสียแล้ว มันจะทำให้อารยะประเทศอื่นๆต้องหัวร่อเยาะกับการกระทำของเราด้วย มันไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีสิ้นดี... "
' เออ...มุสิก...เพชรบุรีอาจจะเป็นมุสิกตัวเล็กๆก็จริง แต่เป็นมุสิกที่ทำเอาคชสารอย่างพวกเราล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นกระบวนมาตั้งเกือบสองอาทิตย์แล้วนะ! อย่างไหนมันน่าขายหน้ากว่ากันแน่วะเนี่ย!...ทั้งยังกล้าพูดเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีหน้าตาเฉย ถ้าหากทำให้คนของเรารอดชีวิตเพิ่มอีกซักคนนึง ไอ้เกียรติที่ว่านั่นน่ะโยนให้หมาแดกไปเถอะโว้ยยย! ' มังฆ้องนรธาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคิดในใจอย่างเดือดดาล เพราะถ้าหากเป็นเขาคนเดิมที่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ล่ะก็ ไอ้ท่านขุนศึกเฒ่าได้ระเห็ดกลับไปเลี้ยงหลานอยู่ที่รัตนสิงค์ (เมืองหลวงของพม่าในปัจจุบัน) แล้ว ไม่มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนี้แน่ๆ
" จริงของท่านขอรับท่านผู้อาวุโส ฮ่าๆๆๆ ท่านพูดได้ถูกต้องอย่างไร้ที่ติจริงๆ "
...และที่น่าโมโหที่สุดก็คือไอ้คนที่ทำให้เขาต้องหมดอำนาจลงเป็นการชั่วคราวอย่างไอ้พระเดชพระคุณท่านอะแซหวุ่นกี้ตัวดี เวลานี้กลับไปนั่งชูคอยิ้มหวานเห็นดีเห็นงามกับไอ้ท่านผู้อาวุโสคนนั้นอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย แถมยังนั่งหัวเราะร่วนกับไอ้คนที่ขัดแผนการที่จะช่วยให้การเดินทัพประหยัดเวลาลงไปอีกหลายสิบวันซะอย่างนั้น จนมังฆ้องนรธาแทบจะเดินไปถีบให้ตกตั่งไม้ที่นั่งอยู่เสียให้มันรู้แล้วรู้รอดเลย ดีแต่ว่าห้ามใจตัวเองไว้ทัน จึงไม่เกิดเรื่องอะไรบานปลายขึ้น...แต่หลังจากนั้นเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาทำถูกต้องรึเปล่าที่ไม่ถีบมันเสียตรงนั้น เพราะอีกหลายชั่วโมงต่อมาเสียไปให้กับการตกลงกันว่าให้ดำเนินการตามแผนเดิม...ตีเพชรบุรีในทิศทางเดิมอย่างที่เคยตีและพ่ายแพ้มาตลอดให้ได้ด้วยกองทหารในปริมาณที่จำกัด เพื่อสงวนกำลังทหารที่เริ่มเสียไปมากแล้วให้ยังคงอยู่มากพอจะเข้าล้อมอโยธยาได้...
...และนี่คือบทสรุปของการประชุมราชการศึกทั้งวัน...
" ถ้าขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไปและไม่ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อพิชิตเพชรบุรี ไอ้กำลังที่สงวนอยู่นี่มันอาจจะไม่พอไปถึงสุพรรณบุรีด้วยซ้ำ โธ่โว้ย! " ในที่สุดมังฆ้องนรธาก็ได้บ่นดังๆอย่างที่เขาอัดอั้นมานาน หลังจากที่เหล้าเข้าปากไปได้เกือบครึ่งไหและกำลังกรึ่มๆได้ที่...ในขณะที่สหายที่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเขาในกระโจมศึกส่วนตัวแห่งนี้กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะครางออกมาเบาๆว่า
" เจ้าคิดมากเกินไปแล้วล่ะ มังฆ้องนรธา " สหายที่สนิทที่สุดจนเขาสามารถคุยได้ทุกเรื่องจิบเหล้าจากไหเล็กน้อยพร้อมกับครางออกมาเบาๆโดยหวังให้แม่ทัพใหญ่ตรงหน้าเบาเสียงและอารมณ์โมโหลง แต่เหมือนจะได้ผลตรงกันข้าม เพราะไอ้คนที่ปลอบเขามันดันเป็นคนเดียวกับคนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ห่วยแตกเช่นนี้อย่างท่านพระเดชพระคุณอะแซหวุ่นกี้นั่นเอง
" เจ้า! เจ้า! ไอ้คนอยางเจ้าน่ะเงียบไปเลย! "
" แหม ก็แค่ไม่อยากให้เครียดน่ะ " อะแซหวุ่นกี้โคลงหัวพร้อมกับจิบเหล้าชั้นดาดๆจากไหต่อโดยยอมเงียบอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้โทสะของมังฆ้องนรธาลดลงเลย ก่อนที่ในที่สุดแม่ทัพผู้ต้องโทษทัณฑ์จะหันมาหาสหายสนิทที่สนิทมาตั้งแต่ยังล้มลกคลุกคลานกันอยู่ก่อนจะเอ่ยปากถามเรียบๆ
" วันนี้เจ้าทำริยำอะไรของเจ้ากัน "
" หืม? ข้าทำอะไร? "
" อย่ามาแกล้งตาใสไขสือ ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์...เจ้าก็รู้ดีว่าเจ้าพวกโง่นั่นปฏิเสธแผนการของข้าด้วยเหตุผลที่ทุเรศที่สุด แต่เจ้ากลับไปเห็นดีเห็นงามกับมันซะอย่างนั้น...ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าโง่ถึงขนาดดูแผนการของข้าไม่ออก...นั่นเป็นแผนที่ดีที่สุดที่เราจะพิชิตเพชรบุรีภายใต้การนำของออกญาเพชรบุรีผู้นั้นได้แท้ๆ "
" อืม...มันเข้าท่าจริงๆนั่นแหละ แต่...ก็แหม ของน่าสนุกเช่นนั้นเรื่องอะไรจะให้พวกมันได้เล่นแทนที่จะเป็นพวกเราล่ะ " อะแซะหวุ่นกี้ตอบกลับมาอย่างง่ายๆ...ง่ายจนมังฆ้องนรธาแทบอยากจะทุ่มไหเหล้าใส่หัวของไอ้คนกวนโมโหตรงหน้าเหลือเกิน
" นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะโว้ย! อะแซหวุ่นกี้ เจ้าคิดว่าชีวิตของทหารเราทุกนายเป็นเรื่องสนุกรึอย่างไร?! "
" เปล่า...นี่ไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เป็น การละเล่น ต่างหากล่ะ "
" ก...แก! " คราวนี้มังฆ้องนรธาสิ้นสุดความอดทนที่เคยมีให้แก่สหายสนิทลงและกระชากคออะแซหวุ่นกี้ขึ้นมาอย่างหมายจะเอาเรื่องเต็มที่ แต่ดวงตาที่กลับกลายเป็นหนาวเยือกของอะแซหวุ่นกี้ก็ทำให้นักรบเจนสงครามอย่างมังฆ้องนรธาถึงกับสะดุ้งเฮือกและมือเย็นตีนเย็นวูบทันที...สัญชาตญาณที่เคี่ยวกรำมาตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอกขนาดนี้สั่งให้เขาเลิกตอแยอะแซหวุ่นกี้เสีย...
...ไม่เช่นนั้น เขาได้เจ็บตัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยเจอแน่...
" เจ้า...เจ้าหมายความว่าอย่างไร?! การละเล่น? "
" ก็ใช่สิท่านแม่ทัพ...การละเล่น...ทุกสิ่งทุกอย่างที่รายล้อมพวกเราอยู่...ทุกสงคราม ทุกการต่อสู้...สำหรับข้ามันคือการละเล่น และนี่เป็นการละเล่นที่น่าสนุกที่สุดอีกด้วย...และอย่าได้หวังว่าจะมีใครมาแย่งการละเล่นนี้ไปจากข้าได้...ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม!... "
" เจ้า! "
" หรือถ้าพูดง่ายๆ...อย่ามาแย่งของเล่นของข้าไปเชียวนะโว้ย! "
...มังฆ้องนรธาได้แต่กัดฟันกรอด เพราะเขารู้จักอะแซหวุ่นกี้ดี ถ้าลองอะแซหวุ่นกี้ทำหน้าเช่นนี้ล่ะก็ เขาห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์แน่ๆ...และตราบเท่าที่อะแซหวุ่นกี้ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าอลองพญาของพวกเขา มังฆ้องนรธาก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามเช่นกัน...แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอดสงสัยอยู่อย่างนึงไม่ได้...เขาสงสัย...จนกระทั่งต้องถามขึ้นมาเรียบๆ
" อะแซหวุ่นกี้ "
" หืม? ว่าอย่างไรหรือ ท่านแม่ทัพ " อะแซหวุ่นกี้กลับคืนสู่หน้ากากหน้ามึนเช่นเดิมหันมาเลิกคิ้วถามเบาๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งมังฆ้องนรธาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มองผ่านหน้ากากอันแนบเนียนนี้ออก...เขาสบตาอะแซหวุ่นกี้นิ่งก่อนจะถามออกมาเรียบๆ
" ...ข้า...ยังเป็นสหายของเจ้าอยู่รึเปล่า...อะแซหวุ่นกี้ "
" แน่นอน...ท่านแม่ทัพ ไม่สิ แน่นอนสิ ตุง(นามจริงของมังฆ้องนรธา) "
" ? "
" เพราะเจ้าเป็นคนเดียวที่เหลือรอดชีวิตอยู่ ที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าเช่นนี้อย่างไรล่ะ " อะแซหวุ่นกี้หันมาฉีกยิ้มกว้างให้กับเขาด้วยรอยยิ้มที่ราวกับเด็กที่บริสุทธิ์ที่สุด...เด็กที่เจอของเล่นที่ถูกอกถูกใจที่สุด
" ไอ้โรคจิตเอ้ย! "
" อ้อ...ส่วนเรื่องของเพชรบุรีน่ะไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเลย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าวันนี้พ่ออยู่หัวทำพักตร์อย่างไร...ถึงพระองค์จะทำองค์ราวกับพระปฏิมาที่เป็นทองไม่รู้ร้อน แต่พระองค์ก็กำลังดำริอยู่อย่างครุ่นคิดที่สุด...ผู้ที่ขับไล่มอญออกไปพ้นแผ่นดินพม่าได้ไม่ใช่คนโง่แน่นอน อาจจะเป็นคนที่ใจใหญ่ที่สุดแต่ไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน "
" แต่เวลาที่เน่นนานเกินไปจะทำให้ขวัญกำลังใจของทหารเราแย่ลง...คนเดียว...พระองค์เดียวที่สามารถเปลี่ยนพระทัยพ่ออยู่หัวได้ เจ้าชายมังระเวลานี้อยู่ที่ไหนกันเนี่ย? " มังฆ้องนรธาพยายามหาหนทางร่นระยะเวลาให้เร็วขึ้น อย่างน้อยก็ซักวันเดียวก็ยังดี แต่อะแซหวุ่นกี้กับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
" ฮ่าๆๆๆ เจ้าคิดว่าเวลานี้พระองค์จะฟังเจ้าชายมังระจริงๆเหรอ? ...เจ้าก็น่าจะรู้ดีพอๆกับข้าว่าเวลานี้พระองค์ฟังเพียงคนๆ ฟังเพียงสตรีนางเดียวเท่านั้น "
คราวนี้เสียงหัวเราะอันกวนประสาทของอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้ทำให้มังฆ้องนรธาหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย...แต่กลับทำให้เขาได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆเช่นกัน...หัวเราะอย่างขมขื่นที่สุด...
...เพราะเวลานี้คนเดียวที่พระเจ้าอลองพญาทรงฟังก็คือสตรีนางนึงจริงๆ...สตรีที่ลึกลับที่สุดและไม่อาจจะบันทึกไว้ในทุกๆปูมเส้นทางเดินทางในการศึกนี้หรือบันทึกใดๆได้เลย...
" เจ้าจะลองไปพูดกับนางให้นางโน้มน้าวพระทัยพ่ออยู่หัวไหมล่ะ " อะแซหวุ่นกี้ถามด้วยหางเสียงสูงอย่างลองเชิง แต่มังฆ้องนรธาหันกลับมาแยกเขี้ยววับ
" เจ้าระลึกถึงสิ่งที่พวกทหารพากันพูดปากต่อปากอย่างหวาดกลัวได้หรือไม่? "
" เฮ้ยๆ แม้แต่เจ้าเองก็เชื่อเรื่องคำลืออันไร้แก่สารด้วยอย่างนั้นไปได้ด้วยเหรอเนี่ย? "
" ข้าจะไม่เชื่อเลย ถ้าหากมันไม่ใช่เรื่องจริง...แต่ว่านอกจากพ่ออยู่หัวแล้ว ผู้ที่ได้สนทนากับนางล้วนต้องถูกทำนายและตกตายตามคำทำนายอย่างน่าสยดสยองจริงๆทั้งหมดทั้งสิ้น "
" ฮ่าๆๆ ใช่...แม้แต่ข้ายังกลัวนางเลย...สตรีผู้ต้องคำสาปและมีดวงเนตรที่เห็นอนาคตอย่างปรุโปร่งที่สุด "
" เทวี...ผู้พยากรณ์! "
.........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ