ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.62K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
121)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ===============================================
...ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้...ณ เขตพระราชฐานชั้นนอก...ที่ตั้งของส่วนที่มีลักษณะคล้ายศูนย์ราชการในยุคปัจจุบัน...
...จิ๊บๆ จิ๊บๆ...
...เสียงร้องของนกในวงศ์นกกระจิบ-นกกระจาบสีน้ำตาลเข้มตัวเล็กๆ ที่บินลอดหน้าต่างเข้ามาในห้องที่มีลักษณะคล้ายกับโรงอาหารขนาดใหญ่เปิดโล่งที่ตั้งอยู่ ณส่วนท้ายๆของศูนย์ราชการแห่งนี้ ...มันเอียงหัวมองซ้ายมองขวาเล็กน้อยก่อนที่ในที่สุดจะบินหวือมาลงตรงหน้าโต๊ะรับประทานอาหารเตี้ยๆ ต่อหน้าชายผู้มีฉากหลังเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้านมือสังหารที่ลึกลับที่สุด
" ท่านเจ้าพระยาราชมนตรี? " เพราะว่าท่านผู้เฒ่าไม่ได้อยู่ที่นี่ตามลำพัง แต่กำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่กับขุนนางคนอื่นๆ ทำให้ทุกคนหันมามองอย่างประหลาดใจ ในขณะที่ทานผู้เฒ่าฝืนยิ้มโดยไม่อาจจะเถียงอะไรออกมาได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงต้องมองมาที่นกตัวเล็กๆที่ยืนร้องจิ้บๆอยู่ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจทันที
' คนเดียวที่สามารถบังคับให้นกตัวเล็กๆเช่นนี้มาส่งสารได้ก็มีแค่ยัยศกุนตลาเท่านั้น...แต่แปลกแฮะ ปรกติยัยนี่ไม่ค่อยติดต่ออะไรมาถ้าไม่ใช่การณ์สำคัญจริงๆนี่...แต่ถ้าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ควรจะใช้เหยี่ยวมาแล้วสิ ' ท่านผู้เฒ่าที่อยู่ในชุดหมาดเล็กระดับสูงสุด เอียงคอเล็กน้อยอย่างระแวง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะล้างมือกับอ่างน้ำสะอาดด้านข้างก่อนจะสะบัดให้แห้งและค่อยๆแกะเศษกระดาษเล็กๆที่ผูกติดกับขานกตัวนี้ออกมาคลี่ออก โดยปล่อยให้นกตัวนี้กระโดดขึ้นมาบนจานข้าวที่เขาแทบไม่ได้แตะต้องเลยอย่างไม่ว่าอะไร เพราะถือว่าเป็นรางวัลและท่านผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้อยากกินอะไรของที่นี่มากมายนักอยู่แล้ว...
...สำหรับเขาที่ติดนิสัยเสียที่ได้กินแต่ของอร่อยๆชั้นหนึ่งจากฝีมือของแม่ครัวประหมู่บ้านที่เคยเป็นถึงอดึตต้นห้องระดับคุณท้าว หรือแม้แต่กับข้าวกับปลาฝีมือของทั้งศกุนตลาและอเทตยามาก่อน กับข้าวที่นี่มันช่างจืดชืดจนแทบกระเดือกไม่ลงทีเดียว...แต่ที่เขาเลือกที่จะมากินข้าวระหว่างพักที่นี่ประจำเพราะเขาต้องการจะสร้างความคุ้นเคยและสร้างเส้นสายระหว่างผู้มีอำนาจให้เพิ่มขึ้น และค่อยสังเกตจับตามองว่าจะมีผู้ใดที่น่าจะเข้าข่ายเป็นผู้ต้องสงสัยหรือพูดง่ายๆก็คือเป็นคนของบรรลัยกัลป์อีกหรือไม่ เพราะบทเรียนที่ผ่านๆมาทำให้ท่านผู้เฒ่าแน่แก่ใจแล้วว่าบรรลัยกัลป์ได้ชอนใชและหยั่งรากอยู่ในระดับที่ลึกจนเขานึกไม่ถึงจริงๆ...และระหว่างที่คนกำลังกินข้าวนี่แหละที่จะเปิดเผยสิ่งที่ปิดบังออกมาง่ายที่สุด
" เอ...ว่าไปยัยนี่ก็ไม่ค่อยติดต่อมาสักเท่าไหร่อยู่แล้วจริงๆ ...แต่ใช้แค่นกตัวเล็กๆมาเช่นนี้ก็คงเป็นแค่รายงานธรรมดาๆล่ะกระมัง " ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆพร้อมกับคลี่ม้วนเศษกระดาษออก แต่พอเห็นตัวอักษรที่เล็กราวกับตัวเหาอัดแน่นอยู่ในเศษกระดาษเล็กๆนี้ เขาก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกทันที
" ยัยนี่...ถึงจะบอกว่าภักดีกับหมู่บ้านและเราอย่างที่สุด แต่ก็ยังไม่เห็นอกเห็นใจคนเฒ่าคนแก่เช่นเดิมจริงๆ " เขาครางพลางเดินลุกไปหาขอยืมเลนส์แว่นขยายจากขุนนางแก่ๆแถวๆนั้นมาเพื่อขยายข้อความในม้วนกระดาษ จนในที่สุดเขาก็ได้เลนส์ขยายที่ใหญ่พอจะอ่านข้อความรู้เรื่อง
...ออกญาศรีสุริยพ่าห์แห่งกรมม้าต้นต้องการให้ข้าไปช่วยดูม้าให้ไกร ข้าไม่มีเหตุให้ปฏิเสธ เลยไปพร้อมกับท่านอนาสตาเซียและอเทตยา...เวลานี้เวรจ่าโขลนจึงตกอยู่ในดูแลของคุณท้าวศรีสัจจาและคุณท้าวทั้ง ๔ เมื่อเสร็จแล้วจะกลับนะเจ้าคะ...
ศ.
...ท่านผู้เฒ่ากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและครางเบาๆอีกครั้ง
" แปลว่าศกุนตลากับจางวางกรมพระอัศวราชรู้จักกันมาก่อนแล้ว อืม...จะว่าไปที่นั่นก็เป็นที่ๆเต็มไปด้วยม้าและกลิ่นหญ้าก็เป็นที่ๆยัยนั่นน่าจะชอบมากกว่าทุกๆที่ในอโยธยาจริงๆนั่นแหละ ...ไอ้ท่านออกญาศรีสุริยพ่าห์ก็ตาแหลมใช้ได้ทีเดียว คนที่สามารถดูลักษณะม้าได้ดียิ่งกว่าสิงห์ก็มีแต่ศกุนตลาเท่านั้นจริงๆ...แต่ว่า ยัยคนอื่นๆมันจะกระเตงตามไปด้วยทำไมกันล่ะเนี่ย? " ท่านผู้เฒ่าโคลงหัวพร้อมกับยกจอกชาขึ้นดื่ม เมื่อดื่มหมดเขาก็ย่องออกมาจากโรงอาหารกลางแห่งนี้อย่างเงียบๆโดยแทบจะไม่มีใครสังเกตถึงการหายไปอย่างผลุบๆโผล่ๆของเขาเลยแม้แต่น้อย...อาจจะเป็นอย่างที่สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีว่า เขาปิดบังตัวตนและทำตัวไม่เป็นที่สะดุดตาตลอดจนเป็นนิสัย ราวกับกุมภีร์ที่ลอยนิ่งเป็นขอนไม้ไม่มีผิด ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ ก็ถือว่าเขาต่างจากไกรที่มีกลิ่นอายอหังการ์ประจำตัวแผ่ออกมาอยู่ตลอดๆราวฟ้ากับเหวทีเดียว
" จะว่าไป เราเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันแฮะว่าไกรจะขี่ม้ากับเขาได้ หรือถ้าได้ก็หวังว่าไม่ใช่ม้าแกลบหรือล่อตัวเล็กๆหรอกนะ ไม่อย่างนั้นมีหวังได้อายทั้งบางแน่ " ถึงเขาจะเป็นผู้บังคับขู่เข็ญให้ไกรขี่ม้าให้ได้ แต่เอาเข้าจริงท่านผู้เฒ่าเองก็อดเป็นห่วงไกรไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าไกรไม่ได้มาจากโลกในยุคสมัยของเขา แต่เป็นยุคสมัยที่อยู่หลังจากนี้ไปอีกเป็นร้อยๆปี ถึงแม้จะบอกว่าเป็นชนชาติเดียวกันแต่วัฒนธรรมและอารยธรรมที่ถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยกาลเวลาหลายร้อยปีก็ทำให้ไกรค่อนข้างจะลำบากใจกับอะไรหลายๆอย่าง...ต้องบอกว่าแค่ที่พยายามไกรทำตัวให้กลมกลืนเป็นปรกติอยู่ในเวลานี้ได้เขาก็ถือว่าต้องชมแล้ว
' ...ช่วยไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามก็ไม่อยากจะบังคับราวกับข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้านักหรอก ทั้งไอ้ไกรเองก็ชอบตกกระไดพลอยโจนกระโดดเข้าสู่สถานการณ์แปลกๆจนเป็นสันดานอยู่แล้วเสียด้วย...คราวนี้ก็อาจจะสร้างเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงอีกก็ได้ ' ท่านผู้เฒ่าคิดในใจพลางโคลงหัว แถมยังรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ...ถึงจะบอกว่าเหมือนความรู้สึกของพ่อที่เป็นห่วงลูกชาย แต่ก็ไม่ได้ห่วงว่าลูกชายจะเป็นอันตราย แต่กลับเป็นห่วงว่าไอ้ลูกชายตัวดีคนนี้จะไปสร้างเรื่องอะไรพิเรนทร์จนได้เรื่องอีกเสียมากกว่า
' เฮ้อ...มันก็โตเป็นวัวเป็นควายแล้ว แค่ปล่อยห่างหูห่างตาไม่กี่มื้อกี่ยามคงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก...กระมัง? ' ท่านผู้เฒ่าพยายามคิดในแง่ดี แต่เขากลับเร่งฝีเท้าให้แต่ละก้าวยาวและเร็วขึ้นอย่างเป็นกังวลชนิดตรงกันข้ามกับที่พยายามมองโลกในแง่ดีชนิดหน้ามือกับหลังเท้า จนกระทั่งมาถึงส่วนกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกที่เขาผูกม้าไว้...แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันขึ้นม้า นกกระจิบตัวเล็กๆอีกตัวก็พุ่งจิกหัวลงมาและใช้เล็บยาวๆเกาะขยุ้มเข้าที่ไหล่ของท่านผู้เฒ่าอย่างกะทันหันจนเขาถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกทันที
" คราวหลังคงต้องตั้งกฏเกี่ยวกับการใช้วิหคสื่อสารเสียแล้ว ทำเอาใจหล่นไปที่ตาตุ่มเลยผับผ่า! "
แต่เมื่อท่านผู้เฒ่าเหลือบมามองนกกระจิบอันเป็นวิหคสื่อสารที่มาเกาะอยู่ที่ไหล่ เขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจชนิดใจตกลงไปที่ตาตุ่มจริงๆ เพราะนกกระจิบตัวเล็กๆตัวนี้ถูกย้อมด้วยของเหลวสีแดงคล้ำที่แห้งแล้วจนเกือบครึ่งตัว ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ผ่านโลกมามากพอจะมั่นใจว่าเป็นโลหิตแน่ๆ! ...ถึงแม้ว่าที่ขาของนกตัวเล็กๆนี่จะผูกไว้ด้วยม้วนกระดาษสีขาวอันเป็นสารที่ถูกส่งมาด้วย แต่สารรูปของนกตัวนี้ก็แทบจะทำให้เขาคาดเดาเหตุการณ์ได้จากประสบการณ์ที่สูงลิ่วกว่าทุกๆคนแล้ว...และจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา ๙ จาก ๑๐ ส่วน ท่านผู้เฒ่าเชื่อว่าต้องเป็นไปในทางร้ายแน่!
โดยไม่คิดจะพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ท่านผู้เฒ่ากระโดดขึ้นม้าตัวพ่วงพีของเขาพร้อมกับลงแส้เพื่อกระตุ้นให้มันวิ่งให้เต็มฝีเท้า และเลือกเส้นทางโดยทะยานผ่านย่านร้านตลาดอันเป็นเส้นทางที่ลัดเวลาโดยไม่สนเสียงตะโกนสาปแช่งของเหล่าแม่ค้าที่เจริญพรไล่หลังมาแม้แต่น้อย...เพราะเวลานี้เขาจัดลำดับความสำคัญให้เหล่ามือสังหารที่เป็นดั่งลูกๆของเขาเป็นอันดับหนึงจนไม่สนเรื่องอื่นอีกต่อไปแล้ว
' บ้าเอ้ย! ตั้งแต่ที่ตั้งให้เป็นมือสังหารและให้ตะลุยไปตลอดร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน่้ำ ตัวศกุนตลาไม่เคยหลั่งเลือดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ปริมาณโลหิตที่เปื้อนวิหคสื่อสารนี่ต้องเข้าขั้นบาดเจ็บสาหัสแล้ว...คนที่ทำให้ยัยนั่นบาดเจ็บได้ถึงขนาดนั้นได้...ใครกัน?!...กลุ่มบรรลัยกัลป์อย่างนั้นหรือ? หรือว่าไอ้พวกหัวรุนแรงที่แยกตัวไป?...โธ่โว้ย! ประมาทไปจริงๆ!! ' ท่านผู้เฒ่ากัดฟันกรอดก่อนจะลงแส้เพื่อเฆี่ยนบั้นท้ายม้าให้เร่งความเร็วขึ้นไปอีก ทั้งๆที่ปรกติเขาแทบจะไม่ทำร้ายม้าที่เขาใช้ขี่เลยด้วยซ้ำ...และทั้งๆที่เขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าม้ากำลังวิ่งเต็มฝีเท้าแล้ว แต่ในความรู้สึกของท่านผู้เฒ่า เขารู้สึกว่ามันช่างเชื่องช้าราวกับนานเป็นชั่วกัปชั่วกัลป์เลยก็ไม่ปาน!
...เพียงชั่วพริบตาที่รู้สึกเหมือนกับยาวนานชั่วกัปกัลป์...ในที่สุดท่านผู้เฒ่าก็มาถึงส่วนหน้าทางเข้าของสถานเพาะเลี้ยงและฝึกม้าของกรมพระอัศวราช ซึ่งเพราะเป็นเขตราชการทหารระดับสูงทำให้เหล่าทหารที่ยืนยามหลายสิบนายพยายามเข้ามาห้ามไม่ให้ท่านผู้เฒ่าผลีผลามเข้าไป แต่เวลานี้ท่านผู้เฒ่าไม่อยู่ในสภาวะที่จะสนกฏหรือหลักเกณฑ์ใดๆ เขาเลือกที่จะชักดาบอาถรรพ์ระดับสูงสุดในครอบครองอย่าง ฟ้าฟื้น ออกมาถือไว้พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารของทั้งดาบและเขาออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่เมื่อก่อนแค่ชักออกมาจากฝักเพียงครึ่งเดียวก็เคยทำเอาคนที่ปองร้ายขวัญหนีดีฝ่อแล้วแท้ๆ...เมื่อเขาชักออกมาตลอดทั้งเล่มอย่างนี้ ทั้งดาบและชายหนุ่มก็สร้างจิตสังหารในระดับที่ไม่มีใครคิดจะเข้ามาขวางทางแน่นอน
แต่พอท่านผู้เฒ่ามาถึงส่วนที่เขารู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องแน่ๆ เขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างงงงวยและอับจนถ้อยคำจนไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ทันที
...เพราะสภาพที่เขาเห็นอยู่เต็มสองตาในเวลานี้ แม้จะไม่เรียกว่าเป็นสถานการณ์ขั้นวิกฤตอย่างที่เขาวิตก แต่ก็ไม่อาจจะพูดว่าเป็นสถานการณ์ปรกติได้เช่นกัน...ไม่สิ...ไม่ปรกติโดยสิ้นเชิงเลยต่างหากล่ะ...
...หากไม่นับม้าแก่สีขาวหม่นที่เวลานี้กำลังวิ่งไปวิ่งมารอบๆปริมณฑลแห่งนี้อย่างคึกจัดราวกับม้าหนุ่มๆด้วยความเร็วราวกับสายลมพัดแล้ว เขาก็มองเห็นลูกสาวบุญธรรมอย่างอนาสตาเซียที่กำลังนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นราวกับถูกทำให้ตกใจอย่างรุนแรงจนขวัญบินไป ในขณะที่ตักของเธอก็ถูกหนุนด้วยหัวของอเทตยาที่เวลานี้นอนนิ่งสิ้นสติไปราวกับคนที่วิญญาณออกจากร่างก็ไม่ปาน ในขณะที่มือสังหารที่เขาวางใจอีกคนอย่างศกุนตลากำลังทรุดลงคุกเข่าและหน้าซีดเผือดเพราะหน้ามืดจากการเสียเลือดมาก ทั้งๆที่ตามเนื้อตามตัวของเธอก็ไม่ได้มีบาดแผลอะไรให้เสียเลือดไปอย่างมากมายเลยแท้ๆ ส่วนเจ้าของสถานที่อย่างออกญาศรีสุริยพ่าห์และพระยาศรีวรข่านแขกก็กำลังนั่งสุมหัวปรึกษาอะไรกันอยู่อีกมุมนึงอย่างเคร่งเครียดที่สุด...และก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะได้ทันพูดอะไร เขาก็มองเห็นชายหนุ่มคนสำคัญสองคนอย่างไกรและสิงห์เดินออกมาจากกระท่อมง่อนแง่นๆ ในสภาพขาลากและหน้าตาราวกับถูกดูดเอาพลังกายและพลังใจทั้งหมดออกไปใส่ไว้ในตัวของม้าแก่สีขาวหม่นตัวนั้นหมดแล้ว ...และเมื่อเห็นท่านผู้เฒ่า ไกรก็เหลือบหันมามองแว้บนึงด้วยสายตาที่มืดมนจนน่าขนลุกโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ก่อนที่เขาจะเดินขาลากเข้าไปหาออกญาศรีสุริยพ่าห์กับพระยาศรีวรข่านช้าๆ
" ท่านจางวาง... "
" ท...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ "
" คือว่า... "
" เอ่อ...ท่านเจ้าพระยา ค...คือ กระผมก็ไม่อยากจะพูดในเรื่องที่เป็นความสุขส่วนตัวของท่านนักและข้าพอจะรู้มาบ้างที่ท่านกำเนิดและเติบโตมากับพวกฝรังมังค่า ทำให้ไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมอะไรของเรานัก แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับดวงบ้านดวงเมือง และ เอ่อ...ความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างท่านกับท่านน้องสิงห์ก็เรียกได้ว่าเกินกว่าเป็นอุทลุมและเข้าขั้นเป็นเสนียดจัญไรระดับกาลีบ้านกาลีเมือง...ปรกติแล้วเขาจะไม่ประหารให้เลือดตกใส่พสุธาด้วยซ้ำเพราะถือว่าเป็นเสนียดแผ่นดินแต่จะจับลอยแพให้ไปตายกลางมหาสมุทรแทน ก่อนจะนิมนต์พระและพราห์มมาสวดปัดเป่าเสนียดจัญไรออกจากบ้านเมือง " ท่านจางวางเฒ่าหลบเลี่ยงสายตาพร้อมกับอธิบายราวกับเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างดีสิ้นแล้ว แต่ก็ว่าอะไรไม่ได้เพราะภาพที่เห็นเต็มตามันแทบจะไม่สามารถเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้เลย ทำให้ไกรรีบรวบรวมกำลังพูดแก้ความเข้าใจผิดออกมาทันที
" ท่านออกญาฯ คือ ฟังกระผมก่อนนะขอรับ--- "
" ใช่ขอรับท่านพี่ศรีสุริยพ่าห์ เรื่องนี้ไกรไม่ผิดหรอก เพราะข้าเป็นคนบังคับฝืนใจมันเอง " สิงห์รีบเสริมออกมาเบาๆ แต่ไอ้ประโยคที่พ่นออกมาทำให้ไกรต้องหันไปด่าดังลั่น
" นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย อย่าราดน้ำมันเข้ากองไฟสิฟะ! "
" ข้าเข้าใจๆ ท่านน้องสิงห์ ท่านไกรเองก็หน้าหวานและผิวพรรณขาวกว่าเกินกว่าจะเป็นนักรบทั่วไปจริงๆ มันอาจจะทำให้ชายหนุ่มอารมณ์เปลี่ยวเกิดความคิดชั่ววูบอะไรขึ้นได้ แต่ว่านะขอรับ อย่างไรเสียท่านไกรก็เป็นบุรุษ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เอาเป็นว่าข้ามีหอโคมแดงดีๆที่สามารถพาท่านน้องไปเที่ยวได้ แน่นอนว่าข้าออกให้เอง " ท่านจางวางเฒ่าคิดเองเออเองเสร็จสรรพพร้อมกับตบไหล่สิงห์และพูดอย่างจริงจังสุดๆ แต่ไอ้ประโยคชักชวนด้านหลังทำเอาสิงห์ถึงกับตาเป็นประกายทันที
" จริงเหรอขอรับ ท่านพี่ศรีสุริยพ่าห์! " สิงห์ร้องขึ้นพร้อมกับทำสายตาเป็นประกายวิบวับอย่างอยากรู้อยากเห็นแถมยังไม่แก้ความเข้าใจผิดเสียอีกจนไกรถึงกับร้องลั่นอีกครั้ง
" เฮ้ย! เดี๋ยวสิฟะ! แกช่วยพูดให้สถานการณ์มันดีขึ้นก่อนได้ไหม?! " ...จริงอยู่ว่าในยุคสมัยของโลกปัจจุบันที่ไกรจากมา ไกรอาจจะเป็นผู้ชายที่หน้าตาเข้มพอสมควร แต่เมื่อมาเทียบกับผู้ชายในยุคนี้แล้วมันทำให้เขาถึงกับหน้าอ่อนลงไปเลย ยิ่งเมื่อไปเทียบกับไอ้สิงห์นี่ไม่ต่างอะไรกับเอาบัณฑิตผิวบางไปเทียบกับโจรป่าเลยด้วยซ้ำไป
...แต่ก่อนที่ไกรจะได้ทันแก้ตัวอะไร คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดอย่างอเทตยาที่เมื่อครู่ยังสลบแบบวิญญาณออกจากร่างไปเลยแท้ๆ แต่เวลานี้เธอกลับค่อยๆเดินโงนเงนทั้งยังหน้าซีดเผือดมาที่ไกรที่นั่งอยู่ช้าๆ...จนไกรเดาทางไม่ถูกเลยว่าหญิงสาวจะมาไม้ไหนกันแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรหญิงสาวก็พิสูจน์ให้ไกรเห็นอยู่เนืองๆแล้ว ว่าถ้าเป็นเรื่องของไกร หญิงสาวจะมีปฏิกริยาที่มากเกินเหตุมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเสียด้วย...งานนี้อาจจะอาละวาดไปเลยก็ได้...
...แต่อยู่ๆหญิงสาวชาวมอญก็คุกเข่าและก้มลงตรงหน้าไกรและจับมือเขาขึ้นมากุมไว้แน่น ก่อนที่อเทตยาจะน้ำตาไหลพรากพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดที่สุดแล้วว่า
" ท...ท่านไกรเจ้าคะ "
" อ...อะไรเหรอ อเทตยา ...เอ้อ ไม่สิ คือว่านะอเทตยา เรื่องที่เจ้าเห็นน่ะ--- "
" ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านไกร ข้าเข้าใจดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ " ก่อนที่ไกรจะได้ทันแก้ตัวอะไร มือฉมังธนูสาวก็พูดขัดขึ้นช้าๆ จนไกรเอียงหัววูบอย่างเริ่มตามไมทัน แต่ก็ปล่อยให้เธอพูดต่อไปอย่างช้าๆ
" ...ถ้าหาก...ถ้าหากนี่เป็นสิ่งที่ท่านไกรเลือก ถ้าท่านไกรเลือกสิงห์ ข้าก็พร้อมจะถอยให้ 0 จ จากนี้สืบไป ข...ขอให้ท่านไกรมีความสุขนะเจ้าคะ!!---ง แงงงงง " ดูเหมือนหญิงสาวจะใช้พลังใจทั้งหมดไปกับการพูดประโยคสั้นๆประโยคนี้ เพราะเมื่อพูดจบหญิงสาวก็ร้องไห้จ้าราวกับเด็กๆพร้อมกับวิ่งหนีไปโดยที่ไกรเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหันกลับมาเลยแม้แต่น้อย
" ธ...โธเว้ย! ไอ้ทางนี้ยังเคลียร์ไม่จบเลยแท้ๆ " ไกรได้แต่ทรุดลงไปครางออกมาเบาๆอย่างสิ้นหวัง เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าทุกๆคนกำลังหมดศรัทธาในตัวเขาทั้งยังโดนแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวไม่มีผิด
" ดีจริงๆเลยน้า ขนาดอุปสรรคสำคัญยังพ่ายแพ้อย่างหมดรูป พลังรักของเจ้าสองคนนี่ช่างบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่จริงๆ " ศกุนตลาที่เวลานี้ยังคงต้องเอ้าผ้าอุดจมูกเพื่อซับเลือดกำเดาที่ยังคงไหลอยู่เนืองๆเดินเข้ามาตบไหล่พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าตายสนิทจนไกรหันไปโวยลั่น
" บริสุทธิ์กะผีน่ะสิ! ถ้าเธอไม่ช่วยก็เงียบไปเลย! ฮ...เฮ้ย! สีหมอก อย่าพึ่งเข้ามา!! " ประโยคหลังไกรรีบร้องห้ามม้าแก่สีขาวหม่นตัวใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างร่าเริงจนเกินเหตุและยังกะแรงที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ไม่ดีพอ การพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วระดับนั้นจึงทำให้ทุกคนถึงกับแตกหนีไปคนละทิศละทาง ในขณะที่ไกรที่ไม่ถูกโรคกับม้าที่สุดถึงกับร้องเสียงหลง
" ว...เหวอ! อ๊ะ ท่านผู้เฒ่า! ช...ช่วยด้วยยยยย!! "
" นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นฟะเนี่ยยยย?! "
...........................................
...หลังจากนั้นกว่าที่ไกรจะแก้ความเข้าใจผิดให้กับแต่ละคนได้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม ถึงแม้ว่าจะทำให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างถูกต้องแล้วแต่ทั้งท่านออกญาศรีสุริยพ่าห์และพระยาศรีวรข่านก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดอยู่หน่อยๆ แต่ทั้งสองก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นเมื่อสิงห์เข้ามาอธิบายเกี่ยวกับพิธีกรรมที่เขาทำ และยิ่งมีหลักฐานแบบเป็นตัวเป็นตนอย่างม้าแก่นามว่าสีหมอกที่เวลานี้ยังคงวิ่งตะบึงเต็มฝีเท้าโดยแทบไม่ได้หยุดพักเลยเพื่อไล่กำลังที่ล้นออกจากร่างกายอีก ทำให้ทั้งคู่ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง...แต่จากสายตาของไกรแล้วดูเหมือนว่าทั้งคู่จะสนอกสนใจแต่พิธีกรรมที่สิงห์ทำให้กับม้าชนิดเป็นบ้าเป็นหลัง จนสำหรับทั้งสองคนเรื่องที่ว่าไกรจะชอบผู้ชายหรือชอบเสาบ้านจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันแล้ว...
ส่วนอเทตยาเมื่อเข้าใจเรื่องถูกที่ถูกทางแล้ว เธอก็เอาแต่นั่งก้มหน้ากุมมือไกรอยู่นิ่งโดยไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งไกรเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะแค่หญิงสาวเข้าใจและกลับมาเชื่อมั่นในตัวเขาอีกครั้งแค่นี้ก็ถือว่าเป็นกุศลแล้ว
ส่วนไอ้...ไม่สิ ยัยคนที่เขาไม่อยากจะเคลียร์คัทตัดฉับเลยแม้แต่น้อยก็ไม่พ้นศกุนตลาที่สภาพของเธอทำเอาความน่าเกรงขามและความน่าเกรงอกเกรงใจที่ไกรเคยมีต่อตัวเธอมาตลอดถึงกับพังครืนลงในชั่วพริบตา และที่ไม่อยากจะแก้ความเข้าใจผิดก็เพราะยัยนี่เองก็เป็นผู้ใช้สัตว์สมิงเช่นเดียวกับสิงห์ แถมสิงห์เองก็ยังเคยบอกว่ายัยนี่เป็นผู้ฝช้สัตว์สมิงที่อยู่ในระดับที่สูงกว่ามันเสียอีก เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องคาถาเสกหญ้าให้ม้าเชื่องหรือพิธีกรรมการคืนกำลังให้กับม้ามีหรือที่เธอจะไม่รู้ เพียงแต่เธอกลับไม่ยอมแก้ความเข้าใจผิดให้กับไกรตั้งแต่แรกก็เพื่อสนองตัณหาของตัวเองชัด แถมไกรเองก็ทำอะไรอีกฝ่ายได้ไม่ถนัดเพราะยังไม่ได้สนิทกันแบบเดียวกับที่สนิทกับไอ้สิงห์ จึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นใจอยู่เช่นนี้นั่นเอง
ในขณะที่อนาสตาเซียกลับกลายเป็นคนที่รับมือได้ง่ายกว่าทุกคน เพราะเธอเพียงแค่พยักหน้าเบาๆเมื่อไกรอธิบายอย่างเข้าใจโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เมื่อไกรอธิบายจบเธอก็เพียงแค่ยิ้มบางๆออกมาและกลับไปยืนอยู่ที่ด้านหลังของท่านผู้เฒ่า ที่ๆเธอเคยบอกว่าเป็นสถานที่ๆทำให้เธอจิตใจสงบที่สุดอย่างที่เคยเป็นเช่นเดิม แต่ถึงอย่างนั้นไกรก็ยังขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจกับปฏิกริยาตอบกลับมาของหญิงสาวเท่าไหร่นักอยู่ดี
...เมื่อจัดการเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรจะยุ่งเลยแม้แต่น้อยจบลง ท่านผู้เฒ่าก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับเหลือบมองไปที่ม้าแก่สีขาวหม่นที่เวลานี้เริ่มสงบและลดความคึกลงแล้วและกำลังเดินเข้ามาคลอเคลียกับไกร ก่อนที่ในที่สุดเขาจะเริ่มต้นพูดขึ้นอย่างช้าๆ
" ไกร...ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม? "
" เอ๋ ก็ข้าพึ่งอธิบายไปเสร็จนะขอรับ " ไกรเอียงคอตอบมาอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอานิ้วนวดขมับพร้อมกับแก้เบาๆว่า
" ไม่ ข้าหมายถึงม้าตัวนี้น่ะ ไกร...ทำไมเจ้าถึงเลือกม้าแก่หงำเหงือกตัวนี้กัน? "
วูบ!
จิตคุกคามที่อยู่ในระดับที่พอจะสร้างแรงกดดันให้กับทุกๆคนได้จากตัวของ ม้าแก่หงำเหงือก ที่ส่งมาถึงท่านผู้เฒ่าทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับสะดุ้งเฮือก เกือบจะชักดาบฟ้าฟื้นที่เก็บสู่ฝักแล้วออกมาอยู่รอมร่อ แต่ไกรรีบพุ่งเข้าไปลูบแผงคอม้าพร้อมกับปรามมันอย่างช้าๆทำให้มันลดระดับจิตคุกคามลง แต่ก็ยังหันสายตาไม่พอใจปะหลับปะเหลือกมาที่ท่านผู้เฒ่าอยู่เช่นเดิม
" เฮ้อ ท่านดูถูกเขา ทำให้เขาโกรธ ท่านผู้เฒ่า "
" เขา...เนี่ยนะ? " ท่านผู้เฒ่าอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะงงในเรื่องไหนดีระหว่างเรื่องที่ไกรเรียกม้าว่า เขา หรือที่ไอ้ม้าตัวนี้มันสามารถเข้าใจคำว่า แก่หงำเหงือก และรู้ว่าเป็นคำพูดเชิงดูถูกได้กันแน่
" ม้าตัวนี้ค่อนข้างฉลาดขอรับท่านผู้เฒ่า อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์และประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทำให้มันสามารถเข้าใจคำง่ายๆและสามารถคาดเดาคำพูดได้จากน้ำเสียงของเรา " สิงห์ที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังไกรพูดอธิบายพลางยิ้มเล็กน้อยจนท่านผู้เฒ่าต้องเกาหัวแกรกๆ
" คือ ถึงจะบอกว่าข้าเป็นคนบังคับให้เจ้าหาม้าให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ข้าเองก็ไม่ได้คาดว่าเจ้าจะหาม้าที่เจ้าถูกใจได้เร็วขนาดนี้ แล้ว...ไอ้ม้าตัวนี้มันเป็นสมบัติของใครกันล่ะเนี่ย? "
" ไม่มีขอรับ " คราวนี้เป็นฝ่ายออกญาศรีสุริยพ่าห์ที่เป็นผู้ตอบคำถามของท่านผู้เฒ่าพร้อมกับที่ยังคงหันดวงตาที่ฉายแววชื่นชมอย่างปิดไม่มิดมองมาที่ม้าแก่ตัวนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เขาจะอธิบายต่อว่า
" ...ม้าตัวนี้เคยเป็นของท่านเจ้าพระยาผู้รั้งหัวเมืองชั้นโทท่านหนึ่ง ที่ซื้อไว้เพราะเห็นว่าลักษณะดีตรงตามที่ระบุไว้ แต่เพราะการผสมสายพันธุ์ที่ดีเกินไปทำให้มันแข็งแรงและเกเรเกินกว่าที่จะสวมบังเหียนได้...เจ้านี่...สีหมอกนี่เคยสะบัดคนตกจากหลังม้าพิการไป ๔ คน และหนึ่งในนั้นก็คือลูกชายของท่านเจ้าพระยาคนนั้นเอง... " จางวางเฒ่าเหลือบไปสบตากับพระยาชาวแขกเปอร์เซียเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดตอว่า " ...เมื่อคราวนั้นเขาเกือบจะสังหารม้าทิ้งอยู่แล้ว แต่พระยาศรีวรข่านผ่านไปพบเข้าพอดีเลยขอซื้อมาด้วยอัฐที่พอจะซื้อม้าได้ฝูงนึงโดยหวังว่าจะสามารถกำราบมันได้...แต่ว่า... "
" ไม่มีผู้ใดปราบมันลง...ไม่ว่าจะเป็นหมอม้าหรือเจ้าพระยาแห่งฝ่ายกลาโหมที่ว่าเก่งกาจท่านใดก็ตาม...หลังจากมาที่นี่มันก็ยังเกือบจะทำไอ้คนที่มาลองดีพิการไปอีกหลายสิบคน ทั้งยังไล่กัดม้าทรงที่มาฝึกที่นี่อีกตั้งหลายม้าจนพวกเราเกือบจะซวยกันหมดทั้งกรมไปหลายครั้ง แต่พวกเราก็รักม้าเกินกว่าที่จะฆ่ามันได้ เราเลยทำได้แค่ใช้คาถาผูกกำกับมันไว้กับกระท่อมนั่นจนกว่ามันจะสิ้นอายุขัยเองน่ะขอรับ " พระยาศรีวรข่านก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงละอายใจ ซึ่งเมื่อรู้ความจริงทั้งสิงห์และศกุนตลาที่อยู่ในสายผู้ใช้สัตว์สมิงก็หันมามองด้วยสายตาตำหนิทันที เพราะถึงจะบอกว่าการุณที่ไม่ฆ่าให้ตาย แต่การขังไว้ให้เน่าตายนี่ก็ไม่ได้ทารุณน้อยกว่ากันเลยแม้แต่น้อย
" อ้อ ไอ้คาถาที่กำกับไว้กับคอกนี่ของพวกท่านนั่นเอง " สิงห์ครางออกมาเบาๆในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ในขณะที่เมื่อได้ยินท่านผู้เฒ่าก็หันกลับมามองไกรพร้อมกับถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจทันที
" แม้แต่ผู้ที่บังคับม้าเป็นยังเอาไม่อยู่ แล้วเจ้าเอาความคิดมาจากไหนว่าเจ้าจะเอามันอยู่...ข้ารู้ว่าเวลานี้มันลงให้กับเจ้าแล้ว แต่ ณ เวลานั้นล่ะ...มันอาจจะฆ่าเจ้าได้เลยนะ " ท่านผู้เฒ่าไม่ได้พูดเพราะตำหนิ แต่เขากำลังพูดเพราะเป็นห่วงอีกฝ่ายจากใจจริง ซึ่งไกรก็เข้าใจดีเพราะเขาก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิดที่ทำอะไรลงไปโดยพลการอีกแล้ว
" ข้าขอโทษขอรับ "
" เฮ้อ เจ้าก็รู้ว่าข้าใจอ่อนกับคำขอโทษของเจ้าเสมอ ไกร ข้าแค่พูดเตือนไว้ เอาเถอะ ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้ที่ชอบพูดย้อนความผิดในอดีตที่ผ่านมาแล้วของใครนัก เอาเป็นว่าเรื่องที่เจ้าได้มาตอนนี้ดีกว่า... " ท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองที่ไกรและม้าแก่นามว่าสีหมอกสลับกันไปมาอย่างครุ่นคิด ก่อนที่ในที่สุดเขาจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
" จากประสบการณ์แรกของเจ้า เจ้าเกิอบตกม้าในการลองครั้งแรก หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่เคยลองเป็นผู้บังคับม้าอีกเลย...จนมาถึงเวลานี้...เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถขึ้นบังคับม้าตัวนี้ได้ไหม? "
เมื่อได้ยินคำถาม ไกรก็หันไปสบตากับสิงห์วูบและหันไปจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโตสีเข้มที่เวลานี้ไร้ซึ่งอาการฝ้าฟางใดๆทั้งสิ้นของม้านามว่าสีหมอก...ดวงตากลมโตที่จ้องมองกลับมานั้นช่างชัดเจนยิ่ง...ชัดเจนจนกระทั่งไกรหันกลับมาหาท่านผู้เฒ่าพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงที่เชื่อมั่นที่สุด
" แน่นอนขอรับ "
โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรต่อ ไกรก็ลุกขึ้นพร้อมกับค่อยๆปลดมือที่กุมอยู่ของอเทตยาออกช้าๆ และยิ้มเพื่อปลอบขวัญอีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะจูงม้าออกไปที่สนามกว้าง ซึ่งน่าประหลาดตรงที่ไอ้ม้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความเกเรขนาดที่ว่าไล่กัดกระทั่งม้าทรงของพระมหากษัตริย์กลับเดินตามไกรไปอย่างว่าง่ายจนท่านจางวางเฒ่าถึงกับอ้าปากค้างและหันมาหาสิงห์ทันที
" จะว่าอะไรไหมท่านน้องสิงห์ ที่ข้าจะเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์ น่ะ "
แต่ทุกคนก็ต้องเงียบชนิดสงบปากสงบคำลงอย่างกะทันหันเมื่อท่านผู้เฒ่าหันกลับมามองด้วยสายตาปรามอย่างจริงจังสุดๆ ก่อนที่ท่านจะหันกลับไปมองไกรพร้อมกับกอดอกเพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นว่าเขากำลังกำหมัดแน่นอยู่
' ให้ตาย...นึกถึงวันที่เราส่งอนาสตาเซียออกไปทำภารกิจครั้งแรกไม่มีผิดเลยแฮะ '
ในการทดสอบครั้งแรกไกรติดอุปสรรคเล็กน้อยตั้งแต่เริ่มตรงที่เขาไม่สามารถขึ้นม้าที่สูงกว่าม้าทั่วไปอย่างสีหมอกได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตายนัก รึอย่างน้อยก็ยังไม่เกิดปัญหาเพราะยังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ได้สิงห์มาช่วยส่งให้ไกรขึ้นรั้งบังเหียนได้สำเร็จ ซึ่งก็น่าแปลกที่สีหมอกยังคงรออย่างใจเย็นแถมยังเหมือนกับจะย่อตัวหน่อยๆเพื่อให้ไกรขึ้นม้าได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกต่างหาก จนออกญาเฒ่าเจ้ากรมม้าต้นถึงกับต้องหยิกแก้มตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปเลยทีเดียว
" ท่านผู้เฒ่า "
" อืม อย่างน้อยมันก็ไม่ได้กลัวที่จะขึ้นม้าแล้ว " ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆพร้อมกับขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนบอกไกรที่นั่งอยู่บนหลังม้าดังๆว่า
" เอาล่ะ ไกร ลองสั่งมันเดิน จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆดูซิ "
" วิ่งเหยาะๆ? แต่ว่า "
" เอาเถอะน่า "
" วิ่งเหยาะๆอย่างนั้นหรือ? " อเทตยาที่ได้ยินเช่นกันทวนคำออกมาเบาๆ ...เธอเป็นอีกคนนึงที่ขี่ม้าได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะฝึกขี่ม้ามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทำให้เธอทราบได้เลยว่าการเดินกับการวิ่งเหยาะๆมันอยู่ในระดับที่ต่างกันไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว และไม่ใช่ของที่จะสามารถฝึกกันได้ตั้งแต่ในวันแรกที่ได้ขึ้นม้าเช่นนี้แน่ ยิ่งกับคนที่พึ่งทะลุเพดานตัวเองด้วยการขึ้นขี่ม้าได้สดๆร้อนๆอย่างไกรยิ่งแล้วใหญ่เลย...แต่ท่านผู้เฒาเหลือบสายตามามองพร้อมกับเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เงียบไว้พร้อมกับเบนสายตากลับมาที่ไกรและม้านามสีหมอกต่อ
เพราะว่าไกรไม่รู้วิธีฝึกขี่ม้ามาก่อน ทำให้เมื่อได้รับคำสั่งมาเขาก็ทำตามอย่างว่าง่ายด้วยการลองให้สีหมอกเดินวนไปรอบนึง ก่อนจะเริ่มโขยกตัวเพื่อเร่งให้ม้าเร่งฝีเท้าขึ้นโดยเลียนแบบอย่างที่เขาเคยเห็นในโทรทัศน์กับในอินเตอร์เน็ต ซึ่งถ้าหากพูดกันตามความเป็นจริงการเลียนแบบโดยไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก...แต่ดูเหมือนม้าแก่ตัวนี้จะรู้ถึงสภาพที่ ไม่เป็นงานเลย ของไกรเป็นอย่างดี เพราะมันยอมขยับไปในทิศทางและท่วงท่าลีลาตามที่ไกรหวังไว้ทุกประการ จนการวิ่งเหยาะๆของไกรและสีหมอกดูเผินๆราวกับว่าเป็นการเข้าคู่ระหว่างคนขี่และม้าที่รู้จักกันมาเป็นอย่างดีแล้วก็ไม่ปาน!
" บ้าน่า...แหกกฎเกินไปแล้ว! " แม้แต่พระยาศรีวรข่านชาวเปอร์เซียผู้มีสายตาไว้สำหรับมองม้าและผู้ขี่ม้ามาทั้งชีวิตยังถึงกับต้องครางออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ในขณะที่ท่านผู้เฒ่ายิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปหาออกญาแห่งกรมม้าต้นที่เขาเชื่อว่าเชี่ยวชาญในด้านนี้ที่สุดพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ
" เห็นอะไรบ้าง? ท่านออกญา "
" ข้า...ไม่มั่นใจนักขอรับท่านเจ้าพระยา ที่ข้าบอกได้ก็คือการวิ่งของสีหมอกไม่ใช่การวิ่งปรกติ แต่ว่า... "
" อืม...ยังไม่ชัดหากม้าและไกรยังวิ่งอย่างธรรมดาๆเช่นนี้สินะ " ท่านผู้เฒ่าครางออกมาอย่างไม่แปลกใจเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะกวักมือเรียกศกุนตลาเข้ามาใกล้ๆพร้อมกับกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เบาแต่ก็ดังพอจะให้ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้จับกระแสได้ว่า
" ศกุนตลา เจ้าพกปืนมาด้วยรึเปล่า? "
หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะตอบกลับมาเบาๆว่า
" ปริมณฑลแห่งนี้ห้ามนำอาวุธใดๆเข้า มีการค้นตัวก่อนจะปล่อยข้าเข้ามานะเจ้าคะ " ซึ่งจางวางเฒ่าผู้เป็นเจ้าของสถานที่ก็พยักหน้าสำทับมาอย่างขึงขังเพราะเขาเองก็ยืนอยู่ด้วยตอนศกุนตลาและคนอื่นๆฝากปืนสับนกและศาสตราอื่นๆไว้ที่ส่วนทางเข้า แต่ท่านผู้เฒ่าหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับย้ำอีกครั้ง
" ใช่ๆ แล้วตกลงเจ้าพกปืนมาด้วยไหม? "
" แอบซ่อนเล็ดลอดเข้ามาได้แค่ ๓ กระบอกเจ้าค่ะ " ศกุนตลาผงกหัวพร้อมกับเรียกปืนสับนกขนาดเล็กและขนาดกลางออกมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทันว่าเธอหยิบมันออกมาจากตรงไหนจนกระทั่งออกญาศรีสุริยพ่าห์ถึงกับต้องอ้าปากค้าง ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่แปลกใจอะไรนักพร้อมกับพูดต่อว่า
" เตรียมยิงลงพื้นตามที่ข้าสั่งนะ "
" เจ้าค่ะ " ศกุนตาก็ยังคงเป็นศกุนตลา เพราะเธอรับคำโดยไม่ถามอะไรเลยทั้งสิ้น ผิดกับจางวางเฒ่าที่รีบร้องห้ามดังลั่นทันที
" อย่านะ! "
" เอาน่า แค่เสียงปืนไม่ทำให้ใครตายหรอก "
" พ...พูดเอาแต่ได้เกินไปแล้วขอรับท่านเจ้าพระยาราชมนตรี! อีกอย่าง ถึงสีหมอกจะไม่เคยได้รับการฝึก ล่อแพน แต่หัวจิตหัวใจของม้าตัวนั้นเข้มแข็งมาก ถ้าหากท่านจะทดสอบมันข้าก็ขอตอบแทนได้เลยว่ามันไม่กลัวเสียงปืนหรอกขอรับ! "
" อืม...ข้ารู้ๆ เป็นม้าที่ดีจริงๆ แต่ว่า ข้าไม่ได้ทดสอบม้าแก่ตัวนั้นหรอก "
" เอ๋? " จางวางออกญาศรีสุริยพ่าห์ทวนคำอย่างงงๆ แต่อนาสตาเซียที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังท่านผู้เฒ่าร้อง อ๋อ! ออกมาเบาๆอย่างเข้าใจทุกอย่างจนทุกคนต้องหันมามองเพื่อขอคำตอบทันที
" คนที่ถูกทดสอบไม่ได้มีแค่ม้าแก่นามว่าสีหมอกเสียหน่อยนี่ " อนาสตาเซียที่ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของจ่าโขลนสาวชาวตะวันตกเปรยออกมาเบาๆโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมายทันที ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหันไปหาศกุนตลาพร้อมกับพยักหน้าบางๆ
" เตรียมพร้อม "
กริ๊ก!
" เจ้าค่ะ " ศกุนตลารับคำพร้อมกับเสียงขึ้นนกโดยปราศจากข้อสงสัยในคำสั่งของผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเช่นเดิม ผิดกับทุกคนที่ร้องห้ามออกมาดังลั่นทันที
" อย่านะ! "
แต่นาทีนี้ดูเหมือนท่านผู้เฒ่าจะไม่สนกฎเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น เพราะเขาเบนสายตากลับไปจ้องเขม็งที่ไกรและม้าสีหมอกที่กำลังขยับเบนตัวเพราะกำลังจะเลี้ยว ก่อนจะคำรามลั่นทันที
" ยิง! "
ปังงงง!
พริบตาเดียวกับที่เสียงปืนกัมปนาทก้อง ไกรก็ตอบสนองตามสัญชาตญาณด้วยการพลิกตัววูบและเกร็งไปชั่วพริบตาหลังจากนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังอยู่บนหลังม้า ซึ่งนับเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งเพราะอาจจะทำให้ตกจากหลังม้าได้ง่ายๆ ซึ่งการตกจากหลังม้าด้วยความสูงและความเร็วระดับนี้มีโอกาสสูงที่จะพิการได้เลยทีเดียว จนทั้งอเทจยา อนาสตาเซีย และท่านจางวางและผู้คัดเลือกม้าชาวแขกแห่งกรมม้าต้นถึงกับร้องเสียงหลงอย่างตกใจทันที
แต่พริบตาเดียวที่ไกรตัวเอียงวูบ ม้าแก่นามว่าสีหมอกก็สะบัดตัววูบไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็วเพื่อเฉลี่ยแรงเหวี่ยงและสร้างความสมดุลให้แก่ผู้ที่อยูบนหลังของทันที โดยที่มันเองก็ไม่ได้เปลี่ยนเส้นทางที่กำลังจะเลี้ยวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นศิลปะการบังคับม้าที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและการไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างคนกับม้าที่ต้องสร้างขึ้นกว่าแรมปี ซึ่งทุกคนรู้อยู่แก่ใจเลยว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
" ไม่ใช่...เมื่อครู่ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯไม่ได้เป็นผู้บังคับม้า เขาละทิ้งบังเหียนชั่วเสี้ยววินาที แต่ตอนนั้น...สีหมอก มันสะบัดตามความคิดของตัวเอง " จางวางเฒ่าที่ทันได้เห็นเสี้ยววินาทีนั้นพอดีมองออกได้ทันทีอย่างคนที่ฝึกม้ามาชั่วชีวิต ในขณะที่พระยาศรีวรข่านส่ายหน้าอย่างไม่ยอมเชื่อ
" นี่มัน...ไม่ใช่ศิลปะการขี่ม้าแล้ว "
ถูกต้องอย่างที่ท่านพระยาชาวแขกว่า นี่มันไม่ใช่ศิลปะการบังคับม้า...ไม่ใช่โดยสิ้นเชิง เพราะไกรไม่ได้บังคับม้าและสีหมอกก็ไม่ได้ถูกบังคับใดๆทั้งสิ้น...พวกเขาวิ่งไปด้วยกัน วิ่งโดยที่ไกรอยู่ในฐานะของเนวิเกเตอร์นำทาง ในขณะที่สีหมอกเป็นผู้ควบคุมจังหวะของตัวเอง ทั้งยังคอยปกป้องผู้ที่ขี่ที่ยังคงอ่อนหัดอยู่อย่างไกรอย่างอัตโนมัติ แต่ถึงกระนั้นมันกลับที่จะยอมอยู่ใต้บัญชาของไกรโดยที่ไม่เกี่ยงงอนหรือพยศลองดีเลยแม้แต่น้อย...ด้วยประสบการณ์ที่สูงลิ่วของมันทำให้สามารถชดเชยความอ่อนประสบการณ์บนหลังม้าได้อย่างเหลือเฟือ...อย่างที่บอก...นี่ไม่ใช่การบังคับม้า เพราะเขาทั้งคู่เชื่อใจกัน และวิ่งไปด้วยกันต่างหากล่ะ!
" ไม่ถึงชั่วยามด้วยซ้ำ...แต่เขาทั้งคู่มีระดับของสายสัมพันธ์เกือบจะเทียบเท่าข้ากับยัยพวกมายา ชีวา ราตรีอยู่แล้วนะ ทั้งๆที่ไม่มีคาถาผูกกำกับที่หนาแน่นอย่างยัยพวกนั้นด้วยซ้ำแท้ๆ...โธ่โว้ย มันตาถึงจนน่าอิจฉาจริงๆด้วยแฮะ ไอ้ไกร " สิงห์พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งๆยินดีกึ่งๆริษยาตามที่พูดไว้จริงๆ เพราะกว่าที่เขาที่เป็นผู้ใช้สัตว์สมิงระดับสูงแท้ๆจะผูกพันกับสามสาวเสือสมิงได้ในระดับเดียวกับที่ไกรกับม้าสีหมอกในตอนนี้ได้ก็เล่นเอาเปลืองคาถาไปหลายบทแถมยังเกือบตายเพราะยัยสามสาวนี่มานับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว
" โชคดี...อย่างนั้นหรือ? " อนาสตาเซียครางออกมาเบาๆราวกับรำพึงกับตัวเอง แต่ก็ไม่พ้นหูของท่านผู้เฒ่า เพราะท่านผู้เฒ่าฝืนยิ้มพร้อมกับครางออกมาเบาๆไม่แพ้กัน
" ...อาจจะ แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ "
" เอ๋? "
...ถ้านี่ไม่ใช่ โชคดี ล่ะ...ถ้านี่เป็นดั่งลิขิตที่ถูกลิขิตขึ้นมาจากสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้...ตั้งแต่การย้อนกลับมาสู่โลกที่ถูกเรียกว่า อดีต ของไกร...การช่วยชีวิตสิงห์...การก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหมู่ขุนนางและราชสำนักบ้านพลูหลวง...การได้รับศาสตราอย่างดาบคู่สดายุ-สัมพาที...จนมาถึงการได้รับม้าคู่ใจที่อยู่ในระดับเอกอุ...ถ้านี่ถูกกำหนดมาไว้แล้วล่ะ...
" เจ้าก็คิดเช่นกันใช่ไหมล่ะ ฟ้าฟื้น "
วิ้ง!
" เขาอาจจะเป็นก็ได้...อาจจะมีคุณสมบัติเพียงพอก็ได้... " ท่านผู้เฒ่าปล่อยมือข้างนึงห้อยลงมากุมดาบฟ้าฟื้นที่ยังคงถูกเก็บอยู่ในฝักไว้แน่นจนเส้นเอ็นปูดขึ้น ในขณะที่ดาบอาถรรพ์ลือนามก็สั่นเบาๆตอบกลับมาเช่นกัน
...คุณสมบัติที่เพียงพอจะเป็นผู้สืบทอด...ผู้ใช้ดาบฟ้าฟื้นที่แท้จริง!...
......................................
...หลังจากนั้นม้านามว่าสีหมอกก็ตกอยู่ในการครอบครองของไกรไปโดยปริยายโดยที่ไกรแทบจะไม่ต้องถามเรื่องราคาค่างวดเลยด้วยซ้ำ เพราะท่านออกญาศรีสุริยพ่าห์เป็นผู้เสนอมาก่อนเลยว่าเขายินดีจะยกม้าตัวนี้ให้ไกรแบบเปล่าๆ โดยไม่คิดอัฐใดๆทั้งสิ้นโดยให้เหตุผลว่าเขายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นม้าแก่ปลดระวางตัวนี้สามารถวิ่งได้อีกครั้งและมีเจ้าของที่ถูกที่ควรเสียทีแถมยังจะมีบริการหลังการขายด้วยการเปลี่ยนเกือกม้าที่สึกให้ใหม่หมดเสียด้วยอีก แต่ท่านผู้เฒ่าไม่นิยมของที่ได้มาเปล่าๆจึงความว่าพวกเขาจะสามารถตอบแทนอะไรได้ ซึ่งก็เข้าทางอีกฝ่ายพอดี เพราะจางวางเฒ่าถึงกับแทบจะกราบกรานขอร้องให้พวกเขาอนุญาตให้สิงห์แวะมาที่นี่เพื่อสอนกลเม็ดและอรรถคาถาต่างๆเกี่ยวกับการบังคับม้าให้ ชนิดที่แทบจะขอให้สิงห์ครอบครูให้เลยด้วยซ้ำ ทำเอาท่านผู้เฒ่าถึงกับกุมขมับ แต่ไกรก็เห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรและสิงห์เองก็ออกจะชอบๆที่นี่อยู่ด้วยเลยอนุญาตให้แต่โดยดี ทำให้ข้อตกลงสามารถบรรลุได้อย่างสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และเพียงตอนดึกๆเท่านั้น คอกที่ใช้เพื่อเป็นที่อยู่ของสีหมอกที่จวนของไกรก็ถูกสร้างเสร็จสมความตั้งใจ...
" ข้าขอบอกอีกครั้งนะ ไกร... " ท่านผู้เฒ่าพูดเบาๆระหว่างมองสิงห์จูงสีหมอกเข้าคอก ซึ่งดูเหมือนมันจะยังไม่ค่อยอยากเข้าเท่าไหร่ เพราะอยากจะวิ่งตะบึงไปต่อมากกว่าแต่ก็ยอมเข้ามาแต่โดยดี " ...ถึงจะบอกว่าข้าเป็นคนบังคับให้เจ้าหาม้าเอง แต่ข้าก็ไม่นึกเลยจริงๆว่าเจ้าจะหาได้ไวถึงขนาดนี้ "
" อย่าว่าแต่ท่านเลยขอรับ...แม้แต่ข้าเองก็... " ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะหยุดไปพร้อมกับยืนนิ่ง เพราะตลอดชีวิตเขาไม่เคยขี่ม้ามาก่อนเลย และการขี่ม้าก็ไม่เหมือนการออกกำลังกายแบบอื่นเพราะมันใช้กำลังกายอย่างมหาศาลจนทำให้เขาถึงกับหน้ามืดและขาสั่นไปวูบหนึ่ง แต่ก็ยังฝืนยืนอยู่ได้อย่างรักษาท่าที แต่ท่านผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆอย่างเข้าใจ พร้อมกับตบไหล่เบาๆ
" ก็ไม่อยากจะเร่งอะไรหรอกนะ แต่เวลานี้เจ้ายังทำได้แค่เดินกับวิ่งเหยาะๆ ...แต่ยังเหลือการควบตะบึงเต็มฝีเท้ากับการประสานการวิ่งกับการใช้อาวุธบนหลังม้าซึ่งเป็นศิลปะการบังคับม้าชั้นสูงอีก ซึ่งข้าบอกเลยว่าแม้แต่ข้าก็ไม่สามารถสอนเจ้าได้ "
ไกรหันไปมองท่านผู้เฒ่าตรงๆอย่างสงสัย ก่อนจะถามขึ้นเบาๆว่า
" แม้แต่ท่าน...อย่างนั้นเหรอ? "
" เจ้าควรจะได้ฝึกกับผู้ที่เป็นเอกอุบนหลังม้า...ผู้ที่เมื่ออยู่บนหลังม้า ไม่มีผู้ใดเอาชนะนางได้...แม้ว่าจะเป็นม้าแกลบก็ตามที "
" นาง? อย่างนั้นหรือขอรับ? "
" อืม นาง...เพราะข้ากำลังพูดถึงลูกสาวบุญธรรมของข้า ถึงนางจะเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งแตก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางก็คือเทพีแห่งการรบบนหลังม้าของหมู่บ้านเราเช่นกัน...อนาสตาเซียอย่างไรล่ะ! "
.....................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ