ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.05K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

120)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

===============================================

 

 

 

       " อย่า! ไกร "

 

         ในเสี้ยววินาทีที่ไกรสัมผัสถึงจิตคุกคามที่ถูกส่งมาอีกรอบจากม้าแก่สีขาวหม่นตัวนั้น ไกรก็ก้มตัวลงเล็กน้อย แต่การก้มตัวลงของเขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงตวาดของสิงห์ที่มาอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหรก็ไม่อาจจะทราบได้ นั่นทำให้ไกรชะงักกึกก่อนจะหันมามองสหายผู้ใช้สัตว์สมิงหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังเขาอย่างสงสัยทันที

 

       " สิงห์? "

 

       " เออ...ตูเอง...เฮ้อ ทันเวลาพอดีอย่างฉิวเฉียดทีเดียววุ้ย "

 

       " แกหมายความว่าไง แล้ว...แกห้ามอะไรข้ากัน? "  ไกรถามอย่างไม่เข้าใจในขณะที่สิงห์เดินเข้ามาหาช้าๆ

 

       " ก็ข้าก็ห้ามเจ้าไม่ให้เจ้าปล่อยจิตคุกคามสู้กับม้าตัวนี้น่ะสิ "  สิงห์ก็ยังคงเป็นสิงห์ ถึงจะบ้าๆบอๆแต่เขาก็เป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมและมีสัญชาตญาณในการต่อสู้เต็มเปี่ยมจนน่ากลัวจริงๆ เพราะสิงห์มองออกทันทีว่าพริบตาที่ไกรย่อตัวลงแปลว่าเขาเตรียมจะปล่อยจิตคุกคามตอบโต้ตามสัญชาตญาณของนักดาบที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกคุกคามฝ่ายเดียวแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นแค่ม้าแก่ก็ตาม และได้ร้องห้ามออกมาอย่างทันท่วงที ถึงไกรจะยังไม่รู้ว่าสิงห์ร้องห้ามเขาไว้ทำไมก็ตามที

 

       " เพื่อ? "  ในยามกระชั้นชิดไกรจึงถามอย่างห้วนๆโดยไม่ได้คำนึงถึงรูปแบบประโยคที่ใช้กันในยุคสมัยนี้ แต่สิงห์ก็ดูเหมือนจะเริ่มชินกับคำพูดแปลกๆของอีกฝ่ายแล้ว เพราะเขายักไหล่พร้อมกับตอบกลับมายิ้มๆว่า

 

       " ม้าแก่ไม่เหมือนม้าหนุ่มนะไกร...ม้าหนุ่มต้องการผู้ที่เหนือกว่ามัน แต่ม้าแก่...ม้าแก่ที่ผ่านการควบตะบึงมาทั้งชีวิตของมันไม่ได้ต้องการผู้ที่เหนือกว่ามัน...แต่ต้องการผู้ที่เคารพมัน...ถ้าหากเจ้าปล่อยจิตคุกคามตอบโต้มัน มันจะไม่ไว้ใจเจ้าอีกเลย "

 

       " ล...แล้ว แกรู้ได้ไงว่าข้าต้องการให้มันไว้ใจ? "  ไกรเอียงหัวถามอีกครั้งอย่างประหลาดใจ ซึ่งสิงห์ก็หัวเราะเบาๆพร้อมกับตบไหล่ไกรอย่างถือสนิทและตอบกลับมาอีกครั้งว่า

 

       " เพราะนี่เป็นม้าตัวแรกจากม้าเกือบครึ่งร้อยตัวที่เจ้าผ่านมาในวันนี้ และเจ้าให้ความสนใจถึงเพียงนี้อย่างไรล่ะ "

 

       " เฮ้อ...ถ้ามีใครบอกว่าเจ้าโง่ที่สุดในกลุ่ม ข้าคงจะเถียงแทนเจ้าตายเลยแน่ๆ "

 

       " ฮ่าๆๆ เจ้ายังรู้จักข้าไม่ดีพอหรอก ไกร "

 

       " ให้ตาย ข้าว่าแค่นี้เราก็สนิทกันมากเกินไปแล้วล่ะว่ะ "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างยอมจำนน ในขณะที่สิงห์หัวเราะร่วนราวกับนั่นเป็นคำชม ก่อนที่เขาจะพยายามปิดบังกลิ่นอายของตัวเอง (ซึ่งปิดยังไงก็ยังไม่พ้นปิดกลิ่นอายอาถรรพ์ของตัวเองไม่มิดอยู่ดี) และเดินเข้าไปใกล้คอกของม้าแก่ตัวนี้อย่างช้าๆ ซึ่งถึงแม้ว่าม้าตัวนั้นจะมีท่าทีระแวงอยู่เล็กน้อยแต่มันก็เชิดหน้าอย่างเกือบๆจะถือดีหน่อยๆ พร้อมกับยอมให้สิงห์เข้าใกล้แต่โดยดี

 

      ...สิงห์ค่อยๆยกมือขึ้นอย่างระมัดระวังและลูบแผงขนของม้าแก่มีชื่อตัวนี้อย่างช้าๆพลางคอยส่งเสียง ชู่ๆ เพื่อไม่ให้ม้าตื่นซึ่งไกรรู้สึกว่าไม่จำเป็นเลย เพราะม้าตัวนี้ดูเหมือนหยิ่งทรนงและมั่นใจในตนเองจนไม่ตื่นกับคนแปลกหน้าทั้งสองเลย ถึงแม้ว่ามันจะยังคงปลดปล่อยจิตคุกคามบางๆมาที่สิงห์และไกรอยู่อย่างสม่ำเสมอก็ตาม...

 

       " คิดว่าไง? "  ไกรลองหยั่งหางเสียงถามเบาๆและยังคงเว้นระยะห่างระหว่างม้ากับตัวเขาอย่างยังไม่คลายระแวง ในขณะที่สิงห์เบิกตาจ้องมองไปที่ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางของม้าปลดระวางตัวนี้พร้อมกับตอบกลับมาอย่างเชื่องช้าว่า

 

       " ม้าลูกผสม...การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างม้าแคว้นแอนดาลูเซียจากสเปน กับม้าอัคคาลทากิน(ภาษาเติร์ก-คืออาชาสวรรค์หรือม้าเหงื่อโลหิตนั่นเอง) ...สังเกตง่ายๆคือได้ลักษณะสูงใหญ่  กับขนที่หยักศกเป็นลอนมาจากแอนดาลูเซีย และความเรียบลื่นและสีของขน ลักษณะกะโหลก กีบเท้า และดวงตาจากอาชาเหงื่อโลหิต...มันได้รับจุดเด่นมาจากทั้งพ่อและแม่ ไม่ต้องกังวลเรื่องความฉลาดและความภักดี ทั้งยังสามารถควบตะบึงได้เป็นร้อยโยชน์อย่างทรหด...หึม? สีหมอก อย่างนั้นหรือ? ชื่อเหมาะกับเจ้าดีนี่หว่า "

 

      " ให้ตาย! เจ้ายกเมฆเอามาตู่หลอกข้าเพราะเห็นว่าข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวใช่ไหมเนี่ย? "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างไม่เชื่อถือเต็มที่ ซึ่งสิงห์ที่ยังคงลูบแผงคอสลวยของม้าแก่ที่มีนามว่า สีหมอก นี้หัวเราะเบาๆอย่างไม่ถือสาพร้อมกับพูดต่อว่า

 

      " ตอนที่ท่านผู้เฒ่าจับได้ว่าข้าแอบเลี้ยงชีวากับราตรีไว้ในป่าของหมู่บ้าน ท่านผู้เฒ่าจับข้าขังไว้ในห้องสมุดของท่านตั้งเกือบครึ่งเดือน สำหรับเจ้าที่นั่นอาจจะเป็นสวรรค์แต่สำหรับข้าน่ะ กลิ่นกระดาษและน้ำหมึกเก่าๆนี่มันนรกชัดๆ...แต่เจ้าเดาไม่ออกหรอกว่าในห้องสมุดส่วนตัวของท่านผู้เฒ่ารวบรวมเอกสารเก่าแก่อะไรไว้บ้าง "

 

      " คงต้องกลับไปโดนซักรอบ "  ไกรพึมพำเบาๆอย่างหมายมั่นปั้นมือ ซึ่งสิงห์ก็ไม่ได้สนใจเสียงพึมพำอะไรนัก เขายังคงลูบแผงคอม้าอย่างชื่นชมพร้อมกับครางออกมาเบาๆเช่นกันว่า

 

      " สำหรับคนที่กลัวม้าจนหางจุกตูด เจ้านี่ตาถึงใช้ได้เลยว่ะไกร...ม้าตัวนี้ไม่ได้ถูกผสมขึ้นอย่างดาษดื่นและไม่ได้หาอย่างง่ายๆเลย...เฮ้อ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ "

 

       " ข...ข้าไม่ได้กลัวม้า แค่กลัวการขี่ม้าเฟ้ย! "

 

       " มันต่างกันตรงไหนฟะ? "

 

       " ...เดี๋ยวสิ เมื่อกี๊แกพูดว่าน่าเสียดาย...งั้นเหรอ? "  ไกรขมวดคิ้วพร้อมกับเอียงคอทวนคำอย่างงงๆ ซึ่งสิงห์ก็หัวเราะตอบกลับมา

 

       " เออ น่าเสียดายจริงๆว่ะ...ถ้าหากเจ้ามาเจอมันเร็วกว่านี้ซัก ๒๐ ปี...ไม่สิ แค่ซัก ๑๐ ขวบปีเท่านั้น มันจะกลายเป็นม้าคู่กายของเจ้าที่อยู่ในระดับสมบูรณ์แบบจนผู้คนทั่วหล้าต้องพากันอิจฉาตาร้อนทีเดียวล่ะ... เสียใจด้วยว่ะ ม้าตัวนี้ปลดระวางแล้ว ไกร "

 

       " หมายความว่าไง? "

 

       " หมายความว่ามันแก่เกินกว่าจะวิ่งอย่างทรหดได้แล้วอย่างไรล่ะ...อ้ะ! โอ่ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าเจ้าๆ "  สิงห์รีบครางขอโทษขอโพยม้าที่ดูเหมือนมันจะเข้าใจภาษาหรือไม่ก็น้ำเสียงสำเนียงของมนุษย์อยู่พอสมควร เพราะมันหันหน้ามาครางฮึ่มอย่างไม่พอใจทันทีที่สิงห์พูดจบจนไกรหัวเราะออกมาเบาๆอย่างผ่อนคลายลง

 

       " คงเป็นม้าของผู้มียศศักดิ์สูงบางคน...อาจจะตาย หรือไม่ก็มีปัญญาซื้อแต่ไม่มีปัญญาบังคับมัน เลยจำต้องส่งมาอยู่ที่นี่ "  ไกรพูดเรียบๆอย่างครุ่นคิดพลางเข้ามาใกล้อย่างกล้าๆกลัวๆ แต่ในที่สุดเขาก็ทำใจแข็งมายืนข้างสิงห์พร้อมกับยกมือที่บังคับไม่ให้สั่นขึ้นลูบแผงคอสลวยของม้าตัวนี้ได้ ซึ่งสิงห์ก็หัวเราะเบาๆรับคำทันที

 

       " ฮ่ะๆ น่าจะเป็นอย่างหลังว่ะ ม้าตัวนี้ถ้าหากเป็นสมัยรุ่นๆ อย่าว่าแต่เจ้าเลย...แม้แต่ข้าเองดีไม่ดีก็อาจจะบังคับม้าตัวนี้ไม่อยู่ด้วยซ้ำ...ไม่มีใครสวมบังเหียนมันได้หรอก ไม่ว่าจะเป็นขุนศึกเจนสนามคนใดก็ตาม...พลังของราชาแห่งเหล่าม้าอัดแน่นอยู่เต็มสายเลือดของมัน...มันทรงพลังเกินไป "

 

       " ไม่มีอะไรน่าเศร้าเท่ายักษ์ที่ถูกขังอยู่ในกรงอีกแล้ว... "  

 

       " เปรียบเปรยได้น่าสนใจ "

 

         ไกรยิ้มโดยไม่บอกว่าเขาเอาคำเปรียบเปรยนี้มาจากหนังเรื่องหนึ่งที่เขาเคยดู...ชายหนุ่มลูบขนที่สลวยของม้านามอุโฆษที่กาลเวลาทำให้มันเสื่อมถอยกำลังลงอย่างเชื่องช้าราวกับตกอยู่ในภวังค์ ก่อนที่ในที่สุดชายหนุ่มจะค่อยๆตัดสินใจพูดขึ้นเบาๆกับสหายที่อยู่ข้างกายว่า

 

       " มีวิธีไหม? สิงห์ "

 

       " หืม? "

 

       " มีวิธีทำให้มันกลับคืนกำลัง กลับมาวื่งได้อย่างสมัยมันรุ่นๆอีกครั้งไหม? "

 

         สิงห์หันกลับมามองหน้าไกรตรงๆพร้อมกับลอบยิ้นและหยั่งเสียงถามกลับมาว่า

 

       " แล้วชื่อเสียงหน้าตาของเจ้าล่ะ ไกร...เจ้าจะทำใจขี่ม้าแก่ออกศึกให้อริศัตรูหัวเราะเยาะได้อย่างนั้นหรือ? ...มีม้าตัวอื่นที่สง่างามกว่านี้ เยาว์วัยกว่านี้ กำลังวังชาดีกว่านี้ ที่ข้าพอจะสามารถฝึกให้รับคำสั่งเจ้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก...---โธ่ ก็บอกว่าข้าไม่ได้ว่าเจ้าอย่างไรล่ะ เออ แต่คราวนี้ว่าว่ะ 'โหสิๆ ...รับความจริงหน่อยสิ แก่แล้วก็อยู่ส่วนแก่สิฟะ! "  ประโยคหลังสิงห์หันกลับไปแยกเขี้ยวใส่สีหมอกที่สะบัดหัวอย่างฮึดฮัดขัดใจในคำที่เหมือนกับดูถูกมันของสิงห์ ในขณะที่ไกรยิ้มให้กับคำถามที่ เหมือนกับ จะเป็นห่วงศักดิ์ศรีของไกรอย่างเท่าทัน 

 

       " เจ้าเป็นห่วงข้างั้นเหรอเนี่ย? แหม ปลื้มว่ะ "

 

       " ช่วยตอบให้ตรงประเด็นด้วยขอรับ "

 

       " ฮ่ะๆ เจ้าเคยกล่อมให้ข้าเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง ข้าก็กำลังเชื่ออยูู่นี่ไงล่ะ สิงห์ "

 

       " ตอบไม่ตรงประเด็นตลอดเลยนะเอ็ง ทั้งยังปิดบังเสียจนข้าไม่รู้อะไรเลยเช่นเดิม "  สิงห์หัวเราะออกมาเบาๆอย่างเท่าทันแต่ไม่ถือสา ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆและพูดต่อ

 

       " ...มีสิ มีวิธี อาจะยากหน่อยแต่ข้ามีวิธีอยู่แล้ว...ข้าเองก็ไม่ชอบใจนักที่จะต้องมาเห็นผู้ที่เคยมีพลังอย่างล้นเหลือต้องมาอยู่เฉยๆ พ่ายแพ้ต่อกาลเวลาโดยที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เช่นนี้...เจ้าก็คิดเช่นกันสินะ สีหมอก? "  สิงห์ยิ้มพลางพยักหน้าเชิงค้อมหัวเพื่อเคารพม้าแก่ตรงหน้า ซึ่งไกรไม่ค่อยได้เห็นท่าทีนี้จากชายหนุ่มผู้นี้ แต่เขาก็ค้อมหัวตามสิงห์ลงเช่นกัน...ในขณะที่ม้าแก่ตัวนี้ก็เหมือนจะรู้ภาษากายและท่าทีของมนุษย์มากพอตัว เพราะมันมองมาที่ท่าทีของสิงห์และไกรก่อนที่ชั่วครู่หนึ่งมันจะตอบรับกลับกลับมาด้วยการค้อมหัวให้เล็กน้อยอย่างไว้เชิงเช่นกัน จนทั้งไกรและสิงห์ต้องเบิกตากว้างอย่างตะลึงไปเลย

 

       " ตกลง ไกร ข้าจะขอพูดอีกครั้ง...เจ้านี่โชคดีบวกกับตาถึงบรรลัยจนข้าอิจฉาเลยว่ะ! "  สิงห์ครางออกมาเบาๆก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอกเพื่อเตรียมอะไรบางอย่าง ทิ้งไกรไว้กับม้าปลดระวางนามว่าสีหมอกตามลำพัง...

 

         ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาของม้าแก่ที่ยังคงอยู่ในคอกอันสะอาดสะอ้านแห่งนี้ ก่อนจะยิ้มและพูดราวกับรำพึงไปพร้อมกับยกมือขึ้นลูบขนแผงคอของมันเบาๆว่า

 

       " ...สีหมอกอย่างนั้นเหรอ?...ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านคือสีหมอกที่ข้าเข้าใจจริงๆหรือไม่...แต่ว่า ท่านรับได้จริงหรือ?... "

 

         ไกรไม่แน่ใจหรอกว่าสีหมอกตัวนี้เข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า...เขาแค่พูดเพราะต้องการจะพูดเท่านั้น...จริงอยู่ว่าตอนแรกเขาอยากจะได้ม้าตัวนี้เพราะนามสีหมอก และความถูกชะตาเมื่อแรกพบ...แต่เวลานี้นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวอีกต่อไป และม้านามว่าสีหมอกกลับหันมาฟังไกรนิ่งอย่างสนใจ ซึ่งไกรก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อ

 

       " ท่านรับได้จริงๆหรือ? กับการที่ท่านต้องมาอยู่ในที่เช่นนี้ ต้องมาตายในที่เช่นนี้...ท่านคือยอดอาชาที่กำเนิดมาเพื่อเป็นนักรบผู้หนึ่ง มันไหลเวียนและอัดแน่นอยูในเลือดทุกหยดในกายท่าน เพียงแต่ท่านเกิดมาในเวลาที่ผิดไปเท่านั้น...เกิดในช่วงเวลาแห่งสันติ...แต่ว่านะ สีหมอก...สันติอันยืนยาวที่ดำเนินมากว่าร้อยปีกำลังจะจบลงแล้ว...เวทีกำลังจะเปิดม่านขึ้นอีกครั้ง... "

 

       " ... "

 

       " อาจจะช้าไปบ้าง แต่ว่าสนามรบกำลังจะเกิดขึ้นและข้ารู้ดีว่าแม้ไม่ใช่ศึกที่เกี่ยวกับข้า แต่สงครามนี้เป็นสงครามที่ข้าถูกบังคับให้เข้าร่วมและต้องชนะ...ที่นั่นเป็นที่ๆท่านจะใช้พลังทั้งหมดที่ท่านมีอย่างที่ท่านควรได้ใช้ และข้าต้องการกำลังของท่าน สีหมอก...แต่ข้าไม่ได้บังคับฝืนใจท่าน ...ท่านอยากจะตายอย่างเงียบๆและสุขสบายราวกับราชาในที่แห่งนี้ก็ได้...หรือจะออกไป...ออกจากสุสานแห่งนี้...ออกไปสู้ตายพร้อมกับข้าในสมรภูมิ ที่ๆท่านจะได้จมไปกับโคลนตม เศษเหล็กและเลือดเนื้อ...ตายด้วยกันอย่างอาชาแห่งสงคราม ที่ๆท่านจะได้พิสูจน์ว่านาม สีหมอก ของท่านคือของจริง... "

 

       " ...... "

 

         ไกรตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำหรือคิดจะทำมาก่อนต่อหน้าสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง...เขาก้มหัวและคุกเข่าลงตรงหน้าม้าสีขาวหม่นราวกับยอมศีโรราบต่อมัน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เคารพนอบน้อมที่สุด...

 

       " ...ท่านคือผู้ตัดสินใจ "

 

         ในชั่วขณะที่ทุกเสียงของทุกๆสรรพสิ่งเงียบลง ม้าแก่สีขาวหม่นก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนกับม้าที่หยิ่งทรนงตัวนี้ สีหมอกจ้องมองไกรนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ในที่สุดมันจะตัดสินใจโน้มคอที่เคยตั้งตรงอย่างไม่ยอมโค้งคำนับผู้ใดมาก่อน ค่อยๆโน้มลงมาจนกระทั่งจมูกของมันชนกับไหล่หนากว้างของไกรและทำให้ไกรรับรู้ได้ถึงลมหายใจอันอบอุ่นและสม่ำเสมอของยอดอาชาผู้ถูกกาลเวลากัดกินตรงหน้า...เขาไม่รู้จักภาษาท่าทางของม้าหรือพูดภาษาสัตว์ได้อย่างสิงห์ แต่คราวนี้เขากลับสามารถรับรู้ได้จากจิตอันเต็มเปี่ยม...

 

      ...สายใยระหว่างไกรกับม้าศึกนามว่าสีหมอก ได้เริ่มเกิดขึ้นและผูกพันกันแล้ว!...

 

 

      ...เพียงชั่วครู่ต่อมา ไกรที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ก็ตื่นจากห้วงภวังค์แห่งความคิดเพราะเสียงของสิงห์ที่ยืนอยู่ในวงนอกซึ่งพูดขึ้นอู้อี้ๆเพราะกำลังเคี้ยวหมากอยู่เต็มปากอย่างช้าๆ

 

       " นี่ข้าขัดจังหวะอะไรพวกเจ้าทั้งสอง...อ้อ หมายถึงหนึ่งคนกับหนึ่งตัวรึปล่าเนี่ย? "

 

       " เฮ้อ...กว่าจะมานะเอ็ง "  ไกรหลับตาลงพร้อมกับครางออกมาเบาๆ และลุกขึ้นในขณะที่สีหมอกเองก็เชิดคอขึ้นเช่นเดิมจนสิงห์อดหัวเราะและเอ่ยแซวออกมาเบาๆไม่ได้

 

       " จริงอยู่ข้าเป็นคนพูดเองว่าให้เคารพมัน แต่เล่นคุกเข่าให้มันนี่ก็ทำเอาข้านึกไม่ถึงจริงๆว่ะ "

 

       " แปลว่าดูอยู่ตลอดเลยสินะ? " 

 

       " เห็นบรรยากาศกำลังขลังเลยไม่อยากจะขัดทะลุปล้องขึ้นมา...แต่แหม เข้าใจพูดหว่านล้อมชักแม่น้ำทั้งห้านี่หว่า ไกร เล่นเอาเลือดลมพลุ่งพล่านจนน้ำตาแทบเล็ดเลย...ชาติก่อนเจ้าต้องเกิดเป็นชูชกที่ไปขอกัณหา-ชาลีมาจากพระเวศสันดรแน่ๆเลยว่ะ "

 

       " ข้าควรจะต้องแปลกใจเรื่องไหนดี ระหว่างเรื่องที่แกรู้จักทศชาติชาดกหรือที่แกมีมารยาทไม่ขัดจังหวะคนอื่นเขาเนี่ย? "

 

       " เออ พูดดีไปเหอะ ถ้าข้าไม่ช่วยแล้วเจ้าจะรู้สึก "  สิงห์ยังคงพูดเสียงอู้อี้ๆ เพราะเคี้ยวหมากเต็มปากจนริมฝีปากแดงเถือก ในขณะที่ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เพราะถึงแม้ว่าจากลักษณะสีฟันที่บ่งบอกอยู่แล้วว่าสิงห์เคี้ยวหมากแน่ๆ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นสิงห์เคี้ยวหมากในเวลาปรกติเลย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร และถอยออกมา ปล่อยให้สิงห์โคลงหัวพร้อมกับถือวิสาสะโดดเข้าไปในคอก ซึ่งทีแรกสีหมอกหันมามองพร้อมกับครางต่ำๆอย่างไม่พอใจทันทีเพราะมันเข้าใจว่าสถานที่ส่วนตัวมันถูกบุกรุก แต่ไกรรีบเข้ามาพร้อมกับลูบแผงคอของมันเพื่อปลอบโยน ซึ่งส่งผลได้อย่างชะงัดเพราะมันสงบลงอย่างรวดเร็วและถึงกับยอมให้สิงห์เดินสำรวจรูปร่างของมันไปรอบๆอย่างละเอียด ซึ่งสิงห์ก็หันกลับมาเลิกคิ้วและแยกเขี้ยวยิ้มอย่างกวนโมโหทันที

 

       " แหม สเน่ห์แรงแม้แต่กับม้าเลยนะเอ็ง "

 

       " เดี๋ยวตูก็ต่อยเปรี้ยงซะหรอก "  ไกรครางออกมาอย่างตอบโต้มากกว่าจะหมายความเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งสิงห์ก็หัวเราะเบาๆพร้อมกับลูบที่ส่วนบ่าของสีหมอก...สิงห์สำรวจรูปร่างของสีหมอกอย่างละเอียดด้วยสายตาที่ไม่ต่างอะไรกับพันหมอ(ประมาณสัตวแพทย์ประจำกรม) มาเอง ...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงานว่า

 

       " ใช้ได้...ต่อให้แก่หงำเหงือกขนาดนี้---เอ่อ หมายถึงต่อให้ล่วงเวลาไปบ้าง... "  สิงห์รีบแก้ให้เล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาวิบวับอย่างไม่พอใจของทั้งไกรและสีหมอก ก่อนจะพูดต่อ...   "  ...ถึงขนาดนี้แล้วแต่มันกลับยังมีกำลังเหลือเฟือ กล้ามเนื้อก็ไม่ได้หย่อนคล้อยจนไม่อาจฟื้นคืน ปัญหาคือดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางกับสัญชาตญาณที่ทื่อลงไปมากเพราะถูกความสบายกัดกิน...เอาล่ะ ไกร พร้อมไหม? "

 

       " พร้อม...ว่าแต่พร้อมอะไรฟะ? "

 

       " เอ้า! ถามอะไรโง่ๆ ก็พร้อมจะปลุกชีพของยอดอาชาประจำกายของเจ้าตัวนี้อย่างไรล่ะ "  สิงห์พูดพร้อมกับกระโดดกลับออกมาจากคอกม้า และขีดตะบันไฟเพื่อจุดเทียนที่เตรียมมาด้วยให้สว่างวาบขึ้น ก่อนที่เขาจะปักเทียนไว้กับไม้ที่ใช้สร้างคอกม้าและนับธูปออกมาทีละก้านๆ แต่เขากลับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะหันกลับมาถามไกรที่ยืนดูอยู่เงียบๆช้าๆว่า

 

       " ก่อนจะเริ่ม ขอถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนตอบคิดให้ดีด้วยล่ะ...เจ้า...ต้องการม้าตัวนี้จริงๆใช่ไหม? "  

 

         ไกรสัมผัสได้ถึงความจริงจังที่แผ่ออกมาในน้ำเสียงของสิงห์ที่หาไม่ได้ง่ายๆนัก นั่นทำให้เขาหน้าเคร่งลงเพราะคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายจริงๆ ก่อนที่ในที่สุดไกรจะพยักหน้าตอบกลับมาอย่างมั่นใจจนสิงห์ยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

       " ดี...ถ้าอย่างนั้นเริ่มล่ะนะ "  สิงห์จุดธูปขึ้นด้วยปริมาณขนาดเป็นกำมือจนไกรไม่รู้ว่มีกี่ดอกกันแน่ ก่อนจะหันมาที่ไกรอีกครั้ง   " ...ระหว่างข้าบริกรรมคาถา อย่าเอ่ยขัดใดๆให้เสียสมาธิทั้งสิ้นเชียวนะ "

 

       " ขอรับๆ "  ไกรรับคำอย่างไม่ค่อยเชื่อถือศรัทธาอะไรนัก แต่สิงห์ก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างสม่ำเสมอแล้วว่าเรื่องลี้ลับพรรค์นี้ถ้ามาจากตัวมันล่ะก็เป็นของจริงแน่นอน ทำให้ไกรถอยห่างมายืนกอดอกดูอย่างช้าๆ

 

      ...สิงห์โคลงหัวเล็กน้อยก่อนจะยกกำธูปที่ส่งควันโขมงราวกับจะไปเผาบ้านใครขึ้นมาจบเหนือหัวและพึมพำอรรถคาถาที่น่าจะเป็นอักขระขอมโบราณจากสำเนียงที่หลุดออกมาเป็นระยะๆ แต่ก็ขาดๆห้วงๆจนไกรจับกระแสไม่ถนัด...จอมขมังเวทย์หนุ่มพนมมือบริกรรมคาถายาวเหยียดจนกระทั่งธูปไหม้เกือบจะถึงก้าน ซึ่งดูเหมือนเขาจะกะเวลาไว้แล้วอย่างพอดิบพอดี เพราะทันทีที่ธูปไหม้หมดดอกเขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับแบ่งธูปที่เหลือเพียงก้านออกเป็น ๔ ส่วน โยนไปที่เสาปักคอกม้าทั้ง ๔ ทิศ ก่อนจะชักกริชสีเงินด้ามงาช้างแกะสลักอันเป็นศาสตราประจำกายเปลือยออกมาจากฝักและยกขึ้นจบเหนือหัวนิ่ง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะจับด้ามมั่นยกขึ้นสุดแขนและฟันใส่คอกม้าระดับหรูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่วทั้งกระท่อมทันที!

 

       " เสร็จแล้วเหรอ? "  ไกรที่ยืนดูอยู่อย่างเงียบๆถึงกับเลิกคิ้วและครางอย่างสนอกสนใจเต็มที่ จนกระทั่งสิงห์ต้องส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอออกมาอย่างขัดใจทันที

 

       " อุวะ บอกว่าไม่ให้ขัด ไอ้นี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง...ดีว่าเสร็จช่วงแรกไปแล้วนะเลยไม่มีปัญหาอะไร "

 

       " ช่วงแรก? ช่วงไหนวะ? "

 

       " ม้าตัวนี้อยู่ในคอกแห่งนี้นานเกินไปจนกลายเป็นติดที่และมี---เฮ้อ อธิบายไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี  เอาเป็นว่าข้าพึ่งทำพิธีไปเมื่อครู่เหมือนเป็นการตัดพันธนาการที่มองไม่เห็นที่ผูกมันให้ติดอยู่กับคอกออก และคืนกำลังให้แก่มัน "

 

       " จริงอ่ะ? จะศักดิ์สิทธิ์จริงๆเหรอวะ? "  

 

       " เฮ้ย ข้าไมโกรธเลยนะถ้าเจ้าจะด่าข้าเรื่องอื่นๆ แต่ข้าจะโกรธเพราะเจ้าสงสัยในความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาและกริชลงอาคมของข้านี่แหละ ไกร "  สิงห์หันกลับมามองอย่างเอาเรื่องเป็นจริงเป็นจังเพราะรู้สึกเหมือนโดนดูถูก แต่ไกรแยกเขี้ยววับพร้อมกับตอบกลับมาด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กันว่า

 

       " ก็ต้องสงสัยสิวะ! ยิ่งไอ้กริชเจ้านี่ยิ่งน่าสงสัยหนัก ถึงข้าไม่รู้ว่าเจ้าลงอาคมอะไรก็เถอะ แต่เจ้าเล่นใช้กริชลงอาคมแสนศักดิ์สิทธิ์ไปสารพัดยิ่งกว่ามีดทำครัวอีก ผ่าไม้ไผ่ทำข้าวหลามก็กริชนี่ หั่นไก่กินแกล้มเหล้าก็กริชนี่ แถมวันก่อนเสี้ยนตำตีนข้าก็เห็นเจ้าใช้กริชนี่บ่งเสี้ยนออกจากตีนเสียอีก ถามจริงๆเหอะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนมันจะอยู่วะเนี่ย? "  ไกรเถียงออกมาด้วยเหตุผลชนิดที่ถ้าเจ้าของผู้ตีกริชเล่มนี้อย่างยูกิโอะมาได้ยินมีหวังได้จับสิงห์ฝังทั้งเป็นแน่ จนสิงห์แทบจะเอาหัวมุดดินหนี ก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญคุณไสยหนุ่มจะอ้อมแอ้มตอบกลับมาเบาๆว่า

 

       " อ...เออ เอาน่าๆ ข้าบอกว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ศักดิ์สิทธิ์สิวะ โว๊ะ! ไอ้นี่ มันน่าช่วยไหมล่ะเนี่ย "

 

       " เฮ้อ แล้วเอาไงต่อ "  ไกรถามเบาๆอย่างไม่อยากจะขัดอะไรให้เสียฤกษ์ ซึ่งสิงห์ก็ส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างขัดใจ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อไปหยิบหญ้าสดกำเล็กๆมาและส่งให้ไกร ซึ่งไกรก็รับไว้อย่างงงๆ

 

       " ? "

 

       " เอาล่ะ ท่องตามข้านะไกร เอาให้ถูกทุกตัวอักษรล่ะ "

 

       " อ อืม "  ไกรรับคำเบาๆ ...เมื่อถึงเวลาจริงจังไกรเองก็ต้องยอมทำตามที่สิงห์บอกแต่โดยดี ซึ่งสิงห์ก็สั่งให้เขายกเศษหญ้าสดขึ้นจบเหนือหัวพร้อมกับเอ่ยอักขระคาถาที่น่าจะเป็นภาษาขอมโบราณเช่นกันอย่างช้าๆและชัดถ้อยชัดคำทุกตัวอักษร เพราะสิงห์รู้ดีว่าไกรไม่ได้เป็นผู้สันทัดในด้านนี้ และรออย่างใจเย็นจนไกรท่องตามได้ครบถ้วนทุกตัวอักษร ซึ่งกว่าที่ไกรจะท่องตามจนจบก็ใช้เวลาไปไม่น้อยทีเดียว

 

       " จ...จบแล้วเหรอ? "  ไกรหันไปถามสิงห์เบาๆ ซึ่งสิงห์ก็พยักหน้าและพยักเพยิดเป็นเชิงให้ไกรป้อนหญ้าในมือกับปากของม้า ซึ่งสีหมอกก็มองหญ้าในมือของไกรกอนจะเงยขึ้นมามองหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจ แต่ไกรก็พยักหน้าเบาๆ มันจึงก้มลงกินหญ้าในมือของไกรแต่โดยดี

 

       ' ถ้ามองในสภาพนี้ก็เหมือนเลี้ยงหมาตัวใหญ่ๆไม่ผิดเลยวุ้ย '  ไกรคิดในใจอย่างเริ่มสนุก ในขณะที่สิงห์พยักหน้ารับ

 

       " อืม หญ้าเมื่อครู่ทำให้มันภักดีกับเจ้า และลดพยศกับเจ้าลงไปอีก ข้าถึงได้ต้องให้เจ้าเป็นคนบริกรรมคาถาและป้อนหญ้ากับมือ...ถ้าพูดจริงๆจะข้ามไปก็ได้นะไอ้พิธีนี้ เพราะข้าพึ่งเห็นว่ามันเองก็ยอมลงให้กับเจ้าแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เหอะ...แต่เอาเถอะ ไหนๆก็เตรียมมาแล้ว แล้วก็ไม่ได้เสียเวลาอะไรมากมายนักก็เลยทำๆให้ไปให้สิ้นเรื่อง "

 

       " สุดยอด! บริการหลังการขายดีเยี่ยม ไม่เสียแรงที่แอบชื่นชมตั้งนาน "  ไกรเอ่ยชมเสียงสูงในขณะที่สิงห์เองก็รู้ว่าไกรตั้งใจจะหยอกเล่นจึงหันมาแยกเขี้ยววับจนเห็นเหงือกแดงแจ๋ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับครางออกมาเบาๆ

 

       " น่าจะได้ที่แล้วล่ะกระมั้ง "

 

       " หือ? ได้ที่อะไร "

 

       " อ้อ ข้าหมายถึงพิธีกรรมสุดท้ายน่ะ คือมันต้องใช้เวลาเตรียมการนิดหน่อยน่ะ "  สิงห์ตอบเบาๆ ซึ่งก็เรียกความสนใจจนไกรต้องหันไปหูผึ่งมองอย่างอยากรู้อยากเห็นทันที

 

       " พิธีกรรมอะไรอีกฟะ? "

 

       " ข้าตัดพันธนาการกับคืนสัญชาตญาณของม้าศึกให้มันแล้ว สร้างความภักดีและให้เชื่องกับเจ้าแล้ว ที่เหลือก็แค่ตรงดวงตาที่ฝ้าฟางกับกำลังวังชาที่เสื่อมถอยของมัน ซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญมาก...ถ้าหากผ่านพิธืนี้ไปข้ารับรองได้เลยว่ากำลังวังชาของม้าตัวนี้จะกลับคืนมาดังเดิม ไม่สิ ดีไม่ดีจะมีกำลังวังชามากเสียกว่าตอนมันรุ่นๆอีกด้วยซ้ำไป "

 

       " สุดยอดดดด!! "  ไกรอุทานด้วยสายตาที่เป็นประกายราวกับเด็กที่อยากรู้อยากเห็นเต็มที่ จนสิงห์ส่งเสียงจิ๊กจั๊กอย่างขัดใจ ก่อนจะคายหมากในส่วนที่เป็นกากยุ่ยๆออกมาโดยทิ้งส่วนน้ำปูนสีแดงสดไป และยื่นกากเชี่ยนหมากที่ยังแดงเถือกอยู่ในมือมาให้ไกร ซึ่งไกรก็กระพริบตาปริบๆก่อนจะหันไปจ้องหน้าสิงห์เพื่อขอคำอธิบายทันที

 

       " เอ้า เอาไปสิ "

 

       " เอามาทำไมล่ะฟะ ไม่เคี้ยวแล้วก็ทิ้งไปดิ "

 

       " ก็นี่ไง สิ่งที่ต้องเตรียมการก่อนจะทำพิธีกรรม ข้าเคี้ยวพร้อมกับบริกรรมคาถามาตั้งแต่แรกแล้ว "  สิงห์อธิบายอย่างใจเย็น ทำให้ไกรต้องเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างสนอกสนใจขึ้นไปอีก

 

       " เดี๋ยวนะ แกบอกว่าแกบริกรรมคาถามาตั้งแต่แรก แล้วไอ้ที่แกท่างคาถาตัดพันธนาการกับเสกหญ้าให้ม้าเชื่องล่ะ? "

 

       " หือ? ไม่เห็นยากเลย ก็แค่แยกกันสวดภาวนา...ไอ้ที่เคี้ยวหมากนี่ก็ภาวนาในใจ ส่วนคาถาอื่นๆก็ท่องออกเสียงออกมาก็ทำได้แล้ว ง่ายจะตาย "  สิงห์กระพริบตาปริบๆพร้อมกับอธิบายตอบกลับมาอย่างง่ายๆจนไกรถึงกับอ้าปากค้าง

 

       ' ง่ายกะผีดิ! พ...พลังสมาธิสุดยอดไม่เข้ากับหน้าตาเลยวุ้ย ไอ้บ้านี่ '  ไกรคิดในใจอย่างเลื่อมใส และก็อย่างที่เขาเคยว่าไว้...ต่อให้บ้าๆบอๆยังไง แต่ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ล่ะก็ไว้ใจผู้ชายชื่อสิงห์ได้เลย

 

       " มองหน้าอย่างนี้ ข้าเดาไม่ออกรอกนะว่ากำลังชมหรือด่าข้าอยู่ แต่เอาเถอะ หมากเริ่มจะแห้งแล้วนะ เอาไปได้แล้ว "  สิงห์ขมวดคิ้วพร้อมกับยื่นมือมาใกล้ไกรเข้าไปอี ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีท่าทีรังเกียจเล็กน้อยเพราะพึ่งคายออกมาสดๆจากปากของสิงห์ แต่ไกรก็เข้าใจดีว่าเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมลึกลับบางอย่าง เขาจึงฝืนใจรับมาไว้บนมือพร้อมกับถามเบาๆ

 

       " เอาป้อนให้สีหมอกเลยใช่ไหม? "

 

       " เอ่อ คือ...ค่อนข้างจะต้องใช้ความละเอียดอ่อนกว่านั้นเล็กน้อย "  

 

       " โห พูดคำยากๆแบบนี้ก็เป็นด้วยวุ้ย เก่งขึ้นนี่หว่า "

 

       " ประเดี๋ยวตูก็ต่อยคว่ำซะนี่ จริงจังหน่อยสิฟะ ไม่ใช่เรื่องของตูเลยแท้ๆ! "  สิงห์ดุเบาๆจนไกรยิ้มแหยๆพร้อมกับพยักหน้าอย่างเป็นการเป็นงานขึ้น

 

       " เอ้า แล้วจะให้ข้าทำยังไงกับหมากเละๆคำนี้กัน? "

 

       " เคี้ยว "

 

         ไกรกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเอียงหัวจนคอแทบหักเพราะเขาแน่ใจว่าเขาหูฝาดจนฟังผิดไปแน่ๆ เขาจึงยิ้มยิงฟันและหันกลับไปถามสหายที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง

 

       " เอ่อ ขอโทษนะขอรับ ข้าเชื่อว่าข้าหูฝาดแน่ๆ เพราะงั้นช่วยกรุณาสงเคราะห์พูดอีกทีดิ๊ "

 

       " เคี้ยว "

 

       " ฮ่าๆๆๆ ...อีกทีดิ๊! "

 

       " จะกี่ร้อยทีเจ้าก็ฟังไม่ผิดหรอกไอ้หูบอด ข้าสั่งให้เจ้ายัดใส่ปากตัวเองแล้วเคี้ยวซะ "  สิงห์ขัดคอไกรที่พยายามหนีความจริงด้วยหน้าอันตายด้าน ในขณะที่เมื่อรู้แน่ว่าฟังไม่ผิด ไกรก็ร้องลั่นทันที

 

       " จะบ้าเรอะ! สกปรกซกมกสิ้นดี!! "

 

       " เฮ้ย! อย่าให้หมากตกพื้นเชียวนะ! ประเดี๋ยวสิ เจ้าด่าว่าสกปรกอย่างนั้นเหรอ? หยาบคายสิ้นดี! "

 

       " ของสกปรกจะพูดยังไงมันก็สกปรกอยู่วันยังค่ำล่ะเฟ้ย! นี่แกแกล้งตูใช่ไหมเนี่ย?! "

 

       " รู้ว่าวันนี้เจ้าเจอมาเยอะ ก็ไม่อยากจะพูดให้เสียใจหรอกนะ แต่ว่าข้าพูดจริงจากใจเลยว่ะ "  สิงห์ครางออกมาเบาๆจนไกรแยกเขี้ยววับ 

 

       " พ...เพื่ออะไรล่ะฟะ! "

 

       " อรรถคาถาที่ข้าใช้เพื่อเรียกกำลังให้กับม้าเป็นคาถาที่อยู่ในระดับที่ยากกว่าการเสกหญ้าให้ม้าเชื่องชนิดฟ้ากับเหว ปรกติแล้วผู้ที่เป็นเจ้าของผู้ขี่ม้าจะต้องเป็นคนบริกรรมเองเคี้ยวเอง แต่ลำพังตัวเจ้ายังมีตบะในทางไสยเวทย์ไม่ถึงที่ ทั้งคาถายังออกเสียงยากนรกแตกอีก...ข้าแหกกฎให้ด้วยการเคี้ยวและบริกรรมเองจนเกือบทั้งบทแล้ว แต่ก็ยังไม่พ้นต้องให้เจ้าเป็นผู้เคี้ยวหมากและบริกรรมในส่วนสุดท้ายอยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าข้านอกครูแล้ว "  สิงห์ยังอุตส่าห์อธิบายอย่างใจเย็นทั้งที่ใจจริงอยากจะคว้าหมากมายัดปากไอ้คนเรื่องมากตรงหน้าให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปก็ตามที 

 

       " ล...แล้วมันไม่มีวิธีอื่นที่มัน--- "

 

       " ข้าก็ถามย้ำกับเจ้าไปแต่แรกแล้วว่าจะเอาจริงๆใช่ไหม เจ้ายังจำได้ไหมว่าเจ้าตอบว่าอะไร...แล้วนี่ก็เป็นพิธีสำคัญที่ทำเพื่อม้าของเจ้า...ขนาดตัวสีหมอกเองยังยอมละทิ้งความทรนงและลงให้กับเจ้าแต่เพียงผู้เดียวแล้ว เรื่องแค่นี้เจ้ากลับทำให้มันไม่ได้ น่าน้อยใจแทนเจ้าจริงๆว่ะ สีหมอกเอ้ย! "  สิงห์หันกลับไปพูดกับม้าแก่เบาๆ แถมม้าสีหมอกก็ยังดูเหมือนจะเข้าใจเสียด้วย เพราะมันเบนหัวอันใหญ่โตมามองหน้าไกรแป๋วราวกับกดดันไกรอีกทอดหนึ่งจนไกรแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว

 

       " ท...ทำไมหลังๆถึงมีแต่คนแกล้งตูฟะเนี่ย เวรกรรม...ต้องเป็นเวรกรรมแน่ๆ ไม่น่าเลยตู "  ในที่สุดไกรก็ได้แต่ครางออกมาเบาๆอย่างน่าสงสาร ก่อนที่เขาจะกลั้นใจยัดหมากสีแดงเถือกที่เริ่มแห้งหมาดๆเข้าปากและเคี้ยว...หากไม่นับเรื่องความรังเกียจแล้ว ทันทีที่หมากแตะลิ้น รสชาติที่ฝาดและเฝื่อนบวกกับความขมฉุนของยาเส้นที่ผสมอยู่ทำให้ไกรแทบจะคายทิ้ง ทั้งๆที่เป็นหมากที่ถูกเคี้ยวจนแหลกมาก่อนตั้งนานและน่าจะจืดไปแล้วแท้ๆ...แต่ถึงอย่างนั้นไกรก็ยังฝืนใจเคี้ยวและหันไปมองสิงห์ราวกับขอให้สิงห์รีบทำพิธีให้เสร็จๆไปเสียที

 

         สิงห์ถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยหน่่ายเต็มทนพลางรู่สึกว่าเขาคิดผิดหรือคิดถูกก็ไม่รู้ยอมรับปากช่วยไกร ...แต่ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจึงโคลงหัวพร้อมกับจับไหล่ให้ไกรหันหลังให้พร้อมกับประกบด้านหลังโดยที่ปากของเขาอยู่ข้างหูของไกร ก่อนที่เขาจะพูดเบาๆ

 

       " เตือนไว้ก่อนว่าไมต้องคิดห่าอะไรสัปดนเชียวนะ ข้าทำเช่นนี้เพราะเป็นเคล็ดที่จำเป็นต้องทำ คาถานี้คนภายนอกจะได้ยินระหว่างบริกรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าก็ท่องในใจตามที่ข้ากระซิบบอกล่ะกัน และเอาให้ตรงทุกคำด้วยล่ะ "

 

       " เข้าใจแล้ว "  ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นไกรก็คงหันมาด่าหรือไม่ก็ชกเปรี้ยงไปแล้ว แต่สถานการณ์ในเวลานี้ทำให้ไกรคิดแต่จะทำให้ม้าสีหมอกคืนกำลังกลับมาให้ไวที่สุด ทำให้เขารับคำแต่โดยดี ซึ่งสิงห์ก็พยักหน้าก่อนจะโน้มหัวเข้ามากระซิบส่วนสุดท้ายของคาถาระดับสูงด้วยน้ำเสียงที่เบาแสนเบาแต่ว่าก็ชัดถ้อยชัดคำจนไกรสามารถท่องตามในใจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ซึ่งก็เป็นอย่างที่สิงห์บอกว่าเป็นส่วนสุดท้ายของคาถาจริงๆ เพราะไกรท่องในใจตามเพียงไม่กี่คำเท่านั้น สิงห์ก็คราง อืม พร้อมกับพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงให้ไกรคายหมากออกมา ซึ่งหมายความว่าการบริกรรมคาถาที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและข้อห้ามทั้งหลาย รวมถึงยากเย็นจนสิงห์ถึงกับบ่นออกมาได้จบลงแล้ว

 

         หลังจากคายหมากที่เวลานี้อัดแน่นไปด้วยกฤติยามนตร์ลี้ลับออกมา ไกรก็แลบลิ้นเล็กน้อยเพื่อลดความขื่นฉุนในปากลงพร้อมกับหันไปเลิกคิ้วให้สิงห์ที่หน้าแทบจะติดเขาเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ซึ่งสิงห์ก็ตอบกลับมาเรียบๆว่า

 

       " แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งทาที่เปลือกตาทั้งสองของม้าของเจ้า...มันจะมีฤทธิ์ทำให้ดวงตาที่ฝ้าฟางนั่นกระจ่างใสอีกครั้ง "

 

         เมื่อได้ยิน ไกรก็ปฏิบัติตามอย่างไม่อิดเอื้อนใดๆ เขาใช้มืออีกข้างแบ่งหมากออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน และใช้ส่วนแรกค่อยๆชโลมไปที่เปลือกตากลมโตของม้าสีหมอก ซึ่งตัวม้าเองก็เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์เพราะมันยืนนิ่งพร้อมกับยอมให้ไกรใช้หมากทาเปลือกตาของมันแต่โดยดี

 

       " อีกส่วนที่เหลือยกขึ้นไหว้เหนือหัวพร้อมกับระลึกถึงคุณบิดามารดาและครูบาอาจารย์ แล้วค่อยป้อนกับปากม้า "

 

       " ป้อนใส่ปากเลยนะ? "

 

       " อืม "

 

         สิงห์พยักหน้าพร้อมกับถือวิสาสะใช้มือข้างเดียวกับที่ไกรถือหมากที่เหลืออยู่จับข้อมือไกรและยื่นหมากออกไปให้ม้าพร้อมๆกัน เพื่อเพิ่มความศักดิสิทธิ์ของคาถาขึ้นไปอีก จนทั้งสิงห์และไกรรู้สึกได้เลยว่าระดับของคาถาพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ทั้งคู่ถึงกับขนลุกซู่อย่างตื่นเต้น

 

 

      ...เคยมีคำโบราณที่ว่าบ่อยครั้งที่โชคร้ายมักจะเข้ามาหาในเวลาที่ใกล้เคียงกัน...

 

      ...แต่ไม่มีใครบอกไกรและสิงห์เลยว่า โชคไม่ดีระดับดวงซวยขั้นสุดยอดจะสามารถเกิดขึ้นและถาโถมเข้ามาใส่พวกเขาได้ในเวลาที่กระชั้นชิดติดกันถึงขนาดนี้...

 

       " ที่นี่แหละขอรับ ท่านศกุนตลา ท่านอนาสตาเซีย ท่านอเทตยา พวกเด็กดูแลม้าบอกว่าท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ และท่านน้องสิงห์เดินเข้ามาในกระท่อมหลังนี้แหละขอรับ "  เสียงของทานออกญาศรีสุริยพ่าห์ จางวางเฒ่าแห่งกรมพระอัศวราชดังขึ้นอย่างกะทันหันที่ด้านนอกของกระท่อม ก่อนที่ทั้งไกรและสิงห์จะพึ่งได้ยินเสียงย่ำเท้าหลายฝีเท้าเข้ามาที่ทางเข้าหน้ากระท่อมหลังนี้ เพราะเขาทั้งสองมัวแต่เพ่งสมาธิอยู่กับการบริกรรมคาถาเลยไม่ได้สนการหยั่งสัมผัสระวังภัย ทำให้เมื่อพวกเขารู้ตัว ทุกคนก็มายืนอยู่ที่ด้านหน้ากระท่อมและจ้องมองมาที่ไกรและสิงห์ที่ยืนอยู่ในท่าที่สิงห์กำลังยืนโอบไหล่ไกรจากทางด้านหลังและร่วมกันป้อนอาหารม้าอย่างชื่นมื่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชวนเข้าใจผิดอย่างที่สุด...

 

      ...และสิ่งประกอบเหตุการณ์ที่ทำให้เหตุการณ์นี้ติดโผ ๑ ใน ๓ เหตุการณ์ที่ซวยกะลุดกุดหม้อที่สุดในชีวิตของทั้งไกรและสิงห์ด้วยกันทั้งคู่ ก็คือผู้ที่ติดตามท่านออกญาศรีสุริยพ่าห์มาไม่ได้มีแค่พระยาศรีวรข่านแขกชาวเปอร์เซีย แต่ตามมาด้วยสามสาวที่ไกรและสิงห์รู้จักและรู้จักไกรและสิงห์ดีอย่างสามสาว อนาสตาเซีย ศกุนตลา และอเทตยา...สามจ่าโขลนพิเศษแห่งหน่วยคเณศร์เสียงาที่ไม่รู้ว่าเลิกงานและยกขบวนมาทำพระแสงของ้าวอะไรที่นี่ ทำให้ทุกคนได้เห็นภาพการพลอดรักระหว่างไกรและสิงห์เต็มสองตาทั้ง ๕ คนเลย

 

      ...ราวกับภาพสโลว์โมชั่น อเทตยาเป็นคนแรกที่ขยับตัว หรือถ้าจะให้พูดให้ถูกต้องคือมือฉมังธนูสาวชาวมอญทรุดลงกับพื้นและช๊อคจนเป็นลมล้มทั้งยืนไปกองกับพื้นหญ้า ในขณะที่อนาสตาเซียที่ขยับเป็นคนที่สองจะกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเดินแข็งเป็นหุ่นกระบอกที่เชือกกำลังจะขาดอยู่รอมร่อ ก้มลงจับอเทตยาและลากร่างอันแทบจะไร้วิญญาณของสหายสาวเดินโขยกเขยกหลบลับมุมกระท่อมไป ตามด้วยท่านจางวางเฒ่าและพระยาแขกที่ก้มหัวจนแทบจะติดดินราวกับต้องการขอโทษอย่างสุดซึ้งที่พรวดพราดเข้ามาไม่ถูกเวลา ก่อนจะรีบเดินตามอนาสตาเซียไปทั้งๆที่ก้มหน้าแทบติดดินอยู่เช่นนั้น...

 

      ...มีเพียงศกุนตลาคนเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนจะควบคุมสติสัมปชัญญะไว้ได้อย่างดีที่สุด เพราะในเวลาที่ทุกคนเดินหลบฉากไป เธอเพียงแค่กระพริบตาด้านที่ไม่ได้ถูกปิดบังด้วยหน้ากากยักษ์ปริบๆและรอจนกระทั่งทุกคนเดินออกไปโดยไม่แสดงท่าทีใดๆทั้งสิ้น...

 

      ...แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เลือดกำเดาสีแดงสดก็พุ่งกระฉุดออกมาจากจมูกที่โด่งสวยงดงามได้รูป ลงมาเลอะเปื้อนเต็มชุดจ่าโขลนพิเศษของเธอ พร้อมกับที่หญิงสาวที่ยังคงทำหน้านิ่งราวกับสวมหน้ากากน้ำแข็งอยู่จะค่อยๆยกมือเรียวงามขึ้นและชูเป็นสัญชลักษณ์นิ้วโป้งอย่างช้าๆ

 

       " ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะเจ้าคะ เชิญทั้งสองคน ทำ กันต่อตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจๆ เอาเป็นว่าข้าจะไม่บอกใครทั้งสิ้น ไม่เป็นไรๆ ข้าเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดีแล้วล่ะเจ้าค่ะ "

 

         มือสังหารผู้ฉมังปืนสาวทำท่าทีราวกับเข้าใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว...หญิงสาวยืนมองสิงห์ที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นในท่าที่กำลังโอบไหล่และจับมือไกรป้อนอาหารม้าอย่างกระหนุงกระหนิง(ตามความเข้าใจของเธอ) อยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบผ้าขึ้นมาซับเลือดกำเดาที่ยังพุ่งกระฉูดอยู่อย่างต่อเนื่องและค่อยๆเดินตามอีกสี่คนไปอย่างช้าๆ 

 

       " ฮี้---! "  หลังจากที่กินหมากอาคมไปได้ชั่วครู่เดียว ฤทธิ์อันแก่กล้าของหมากที่ซึมซับเอาอรรถคาถาที่ถูกบริกรรมร่วมกันจนเพิ้มความศักดิ์สิทธิ์จนถึงระดับสูงสุดก็ส่งผลจนม้าสีขาวหม่นที่มีนามอุโฆษว่า สีหมอก ก็ร้องคำรามออกมาจนดังก้องสะเทือนไปทั่วด้วยกำลังวังชาที่กลับคืนมาอย่างเต็มเปี่ยมและอยู่ในระดับล้นเหลือจนมันต้องถีบคอกม้าที่สร้างจากไม้เนื้อแข็งที่ปราณีตและแข็งแรงที่สุดถึงกับหักพังลงคาตา ก่อนที่มันจะพุ่งตะบึงทะลุกระท่อมไปเพื่อออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าเพื่อทดสอบกำลังที่กลับคืนมาและไล่พลังที่มากเกินไปจนล้นออก...แต่ถึงม้าสีหมอกจะแสดงพลังอันล้นเหลือให้เห็นถึงขนาดแทบจะพังกระท่อมทั้งหลัง แต่ทั้งไกรและสิงห์ก็ยังไม่มีใครขยับจากท่าเดิมเลยแม้แต่น้อย...ทั้งคู่ยืนอยู่ในท่าเดิมอีกเกิอบ ๓ นาที ก่อนที่ในที่สุดสิงห์จะใช้มือที่โอบไหล่ไกรอยู่ตบไหล่อีกฝ่ายอย่างหนักหน่วงพร้อมกับครางออกมาเบาๆว่า

 

       " ไม่ได้ฝัน หรือหลอนไปเองสินะ "

 

       " อ่า...จากความรู้สึกที่เจ้าตบไหล่ข้า...อืม...เราทั้งคู่ไม่ได้ฝันหรือหลอนไปเองแน่นอน "  ไกรตอบกลับมาด้วยเสียงที่เริ่มขาดเป็นห้วงๆ ในขณะที่ในหัวกำลังนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไปสดๆร้อนๆ ...ในขณะที่เมื่อได้ยิน สิงห์ก็ครางอืมออกมาเบาๆทันที

 

       " อ่า...ไม่ได้ฝัน...ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีด้วยนะไกร เจ้าได้ม้าประจำกายที่สมบูรณ์แล้ว "

 

       " ม่ายยย! แบบนี้ไม่อ๊าววว! ฆ่าข้าเถอะสิงห์! เอากริชปาดคอข้าเสีย! ก่อนที่ข้าจะแย่งกริชแกมาเพื่อใช้คว้านท้องตัวเอง!! "

 

 

 

 

 

 .................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา