เสน่หาทาสซาตาน NC18+ (โหดนิดๆ หยิกกัดน้อยๆ)

-

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 21.58 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  32.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564 11.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) คู่หมั้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
11
คู่หมั้น
 
              ธีรพัฒน์พารถสปอร์ตคันหรูประจำกายเข้ามาจอดยังหน้าตึกใหญ่ของคฤหาสน์หลังงามที่เขาอยู่มาตั้งแต่เล็กจนโตอย่างคุ้นเคย สองขาแข็งแกร่งก้าวลงจากรถ พร้อมยื่นกุญแจให้ลุงสมปองที่มารอรับเพื่อนำรถไปเก็บเหมือนเช่นทุกวัน
              “สวัสดีครับคุณแม่ วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือครับ” ธีรพัฒน์เอ่ยถามมารดาเมื่อเห็นว่านางนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก
              “โอ๊ย... ออกทุกวันก็ไม่ไหวลูก ตั้งแต่สละตำแหน่งให้ธีร์ แม่ยังไม่ได้หยุดพักเลยถูกเชิญให้ไปโน่นไปนี่ไม่ได้หยุด วันนี้อยากอยู่คุยกับลูกชายสุดที่รักบ้าง”
              คุณหญิงเพ็ญพักตร์ยิ้มกว้างบอกลูกชายอย่างอารมณ์ดี เพราะวันนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะบอกสิ่งที่ต้องการให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้รู้
              “หือ... คุณแม่พูดเหมือนเราไม่ได้คุยกันอย่างนั้นแหละ ผมก็กลับมาทานข้าวเย็นที่บ้านทุกวันนะครับ”
              ธีรพัฒน์ตอบมารดาอย่างสงสัยขณะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
              วันนี้เขารู้สึกว่าแม่ของเขาดูแปลกๆ ไม่เหมือนทุกวัน เพราะปกติในเวลาแบบนี้คุณแม่จะไปนั่งเล่นเดินเล่นในสวนหลังบ้านมากกว่าจะมานั่งรอเขาแบบนี้
              “ก็วันนี้แม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับลูก”
              “มีอะไรหรือครับคุณแม่” ธีรพัฒน์หันมามองมารดาอย่างตั้งใจ พร้อมกับวางแก้วน้ำที่เขาดื่มไปกว่าครึ่งลงบนโต๊ะ
              “ธีร์จำคุณน้ากมลวรรณเพื่อนแม่ได้ไหมลูก” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ถามลูกชายด้วยรอยยิ้ม
              ธีรพัฒน์ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะนึกได้แล้วตอบมารดาออกไป
              “เอ... ใช่คนที่มาบ้านเราบ่อยๆ หรือเปล่าครับ ที่เขาพาลูกสาวมาด้วย”
              “ใช่จ้ะ หนูมลไงธีร์ จำน้องได้หรือเปล่า เมื่อก่อนน้องมาวิ่งเล่นกับธีร์ที่นี่ประจำนะ”
              “อ่อครับ พอคุ้นๆ ครับคุณแม่ ตอนนั้นยังเด็กมากผมจำไม่ค่อยได้แล้วหละครับ” 
              ธีรพัฒน์บอกมารดาเหมือนไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสนใจ ก็แค่เพื่อนเล่นสมัยเด็ก
              “ตอนนี้น้องโตเป็นสาวแล้วนะ ทั้งสวยทั้งน่ารักทำงานเก่ง รุ่นเดียวกับหนูแพรเลขาของลูกนั่นแหละ... เขาเป็นเพื่อนรักกัน”
              คุณหญิงเพ็ญพักตร์ลองหยั่งเชิงบุตรชาย แต่ก็ไร้วี่แววว่าคนตรงหน้าจะสนใจ หรือว่าธีร์จะหลงเสน่ห์ยัยเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคนนั้นจนเกิดคิดจะจริงจังขึ้นมา นางไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่ๆ ผู้หญิงที่ไร้เหตุผลขาดสติและมีจิตใจโหดร้ายแบบนั้นนางไม่ยอมรับมาเป็นสะใภ้เด็ดขาด
              “ครับ แล้วยังไงครับคุณแม่”
              แม้จะได้ยินมารดาพูดถึงหญิงสาวที่เป็นเพื่อนเล่นของเขาตอนเด็กๆ แต่จิตใจของเขากลับคิดไปถึงหญิงสาวอีกคนที่แม่เขาเอ่ยขึ้นมาด้วย ผู้หญิงที่ทำให้หัวใจดวงแกร่งเต้นผิดจังหวะทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เธอ
              “แม่จะให้ธีร์หมั้นกับหนูมล” คุณหญิงเพ็ญพักตร์พูดอย่างหนักแน่น
              “ห๊า! อะไรนะครับคุณแม่” ธีรพัฒน์ตกใจสุดขีดแทบไม่เชื่อว่ามารดาของเขาจะมีความคิดแบบนี้
              “แม่จะให้ธีร์หมั้นหมายกับหนูมลลูกสาวของคุณน้ากมลวรรณจ้ะ” คนเป็นมารดาบอกกับบุตรชายอย่างชัดเจนอีกครั้ง
              “ไม่ครับคุณแม่ คุณแม่ก็รู้ว่าผมไม่อยากแต่งงาน”
              เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะเขาอยากมีชีวิตที่เป็นอิสระไม่ต้องผูกมัดกับใครทั้งนั้น แม้แต่เมธินีที่เคยมีอะไรกับเขา เขาก็ไม่เคยคิดจะแต่งงานด้วยซึ่งข้อนี้เจ้าหล่อนก็รู้ดีแล้วยอมรับมาโดยตลอด
              “แต่แม่สู่ขอจับจองกับฝ่ายนั้นเขาไว้ตั้งนานแล้วนะ ยังไงเราก็ต้องเป็นทองแผ่นเดียวกันกับเขา”
              “อย่าบังคับผมเลยครับคุณแม่ ยังไงผมก็ไม่หมั้นไม่แต่งอะไรทั้งนั้นแหละครับ”
              ธีรพัฒน์บอกมารดาเสียงแข็ง เขาพอจะจำเด็กน้อยผมเปียที่เขาหยอกล้อวิ่งเล่นสมัยเด็กๆ ได้ เธอดูน่ารักสดใส ผิวขาวอมชมพูนวลเนียน แพขนตาดกดำงอนงาม เขาเคยยอมรับว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่ารัก แต่ยังไงเขาก็ให้เธอเป็นได้แค่น้องสาวจริงๆ ไม่เคยคิดเป็นอื่น
              “ธีร์ไม่เห็นใจแม่บ้างหรือไงนะ แม่ก็อยากจะมีหลานไว้สืบสกุลของเราบ้าง ธีร์อย่าลืมนะลูก ว่าธีร์เป็นลูกชายคนเดียวของแม่” คนเป็นแม่พยายามหว่านล้อม
              คำพูดของมารดาทำให้คนที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวนิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
              ธีรพัฒน์ถอนหายใจออกมาด้วยความคิดที่หนักอึ้ง จริงอยู่ที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวการจะมีทายาทสืบสกุลก็ต้องเกิดมาจากเขาเท่านั้น แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่คิดจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น
              เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าหวานของหญิงสาวที่รบกวนจิตใจของเขามาตลอดสองเดือนก็ฉายชัดขึ้นมาในห้วงความคิด เขายังจำกลิ่นกายที่หอมกรุ่นของเธอได้ดี มันยังติดแน่นอยู่ภายในใจและทุกลมหายใจของเขาจนยากจะลบเลือน ถ้าเธอไม่ใช่ผู้หญิงของเพื่อนเขา หรือผู้หญิงของผู้ชายหลายๆ คนอย่างที่เขาคิด บางทีเขาอาจจะพิจารณาเธอก็ได้
              “ว่าไงธีร์”
              เมื่อเห็นลูกชายเงียบไปและมีท่าทีอ่อนลง คนเป็นแม่จึงเอ่ยถามอีกครั้งเผื่อจะได้คำตอบที่นางพอใจ
              “ทางโน้นเขาทราบหรือยังครับ เอ่อ... ผมหมายถึงน้องมลน่ะครับ”
              ธีรพัฒน์พยายามหาทางออกให้กับตัวเองอย่างใจเย็น อย่างน้อยถ้าฝ่ายนั้นไม่ยินยอมแต่งงานกับเขา หรือมีคนรักอยู่แล้วก็ยิ่งดี อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น
              “คุณวรรณจะบอกกับน้องคืนนี้แหละจ้ะ”
              “ผมขอคุยกับน้องมลก่อนได้ไหมครับ หากเป็นไปได้ผมอยากจะลองคบหาดูใจกับน้องสักระยะก่อนที่จะมีงานหมั้น”
              ธีรพัฒน์บอกมารดาเสียงเรียบ แม้ภายในใจจะร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างได้ในพริบตา
              “เอาอย่างนั้นก็ได้ลูก เพราะธีร์กับน้องไม่ได้เจอกันตั้งนาน ลองคบลองคุยทำความรู้จักกันอีกสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
              คุณหญิงเพ็ญพักตร์เห็นด้วย เพราะไม่อยากจะหักหาญน้ำใจของบุตรชายมากนัก แค่ธีรพัฒน์ยอมคบหาดูใจกับผู้หญิงที่นางเลือกให้ก็นับว่าทำเพื่อนางมากแล้ว ที่เหลือก็คงขึ้นอยู่กับบุญวาสนาว่าทั้งสองคนได้ทำร่วมกันมาหรือเปล่า
              “งั้นผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับคุณแม่”
              “ได้จ้ะ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวเถอะลูก แล้วลงมาทานข้าวเย็นกันนะ”
              “ครับ”
              ธีรพัฒน์รับคำมารดาแล้วลุกขึ้นก้าวเท้าไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปห้องนอนของตัวเองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
  
              เมื่อเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มเดินตรงไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าห้องน้ำทันที เพื่อให้ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มอยู่ตอนนี้ได้ทุเลาลงบ้าง เผื่อจะคิดหาทางออกที่ดีให้กับตัวเองได้
              การที่เขาบอกมารดาขอคบหาดูใจกับพิชามลก่อน ก็เพื่อเป็นการยืดระยะเวลาของการหมั้นหมายออกไป เขาจะได้มีเวลาคิดหาวิธีที่จะไม่ต้องแต่งงานได้ แต่ก็ยังไม่มีวิธีไหนที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ยังไงเขาต้องลองคุยกับเธอดูก่อนว่าเธอเห็นด้วยกับการคลุมถุงชนครั้งนี้หรือไม่ หากคิดในทางที่ดีเธออาจจะคิดกับเขาแค่พี่ชายก็ได้ หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นเธออาจจะมีคนรักอยู่แล้ว เขาจะได้มีหนทางที่จะช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น
              หลังจากอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ธีรพัฒน์เดินไปล้มตัวลงบนเตียงกว้างอย่างอ่อนล้า จู่ๆ เขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งที่เขาเคยยัดมันลงไปอย่างไม่ไยดีเมื่อเดือนก่อนขึ้นมา
              กล่องสี่เหลี่ยมที่บรรจุนาฬิกาเรือนสวยซึ่งเขาซื้อให้หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะความหึงหวงของเพื่อนสาวคนสนิทของเขา แต่ด้วยความโมโหที่เธอทำเป็นไม่สนใจไยดีกับเขา ชายหนุ่มจึงเก็บมันไว้โดยยังไม่ได้มอบให้กับเธอ ที่สำคัญตอนนี้เขามีบางอย่างอยากจะถามเธอด้วย
              มือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมากดเลื่อนหาเบอร์โทรของหญิงสาวที่เขาบังคับเอามาจากเธอวันนั้น เมื่อพบแล้วก็กดต่อสายเพื่อโทรออกทันที รอฟังสัญญาณเพียงครู่กว่าหญิงสาวจะรับแต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามันนานเกินไปสำหรับเขา
              ‘สวัสดีค่ะ’ แพรวายืนมองโทรศัพท์ของตัวเองที่แผดเสียงร้องอยู่นานกว่าจะตัดสินใจกดรับ
              ‘ทำไมรับช้าจัง มัวทำอะไรอยู่ห๊า! ’ คนขี้โมโหตะคอกเสียงใส่อย่างหงุดหงิด
              ‘แพรอยู่ที่ระเบียงค่ะ เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์’
              ‘กินข้าวหรือยัง’
              แพรวาแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าเจ้านายของเธอโทรมาหาเพื่อถามว่าเธอกินข้าวหรือยัง เขาเพี้ยนหรือเปล่า
              ‘เอ่อ... แพรไม่ค่อยทานข้าวเย็นค่ะ ดื่มนมแค่นั้น’
              ‘ต้องกิน! ฉันจะซื้อเข้าไปให้’ ว่าจบคนออกคำสั่งก็วางสายไปเลย
ปล่อยให้หญิงสาวยืนตัวแข็งอ้าปากค้าง เพราะคำพูดที่เตรียมจะคัดค้านคนเอาแต่ใจถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีที่อีกฝ่ายกดตัดสาย 
 
            เมื่อวางสายจากคนตัวเล็ก ธีรพัฒน์ก้าวขาลงจากเตียงแล้วตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดที่ดูสบายๆ ออกมาเปลี่ยนทันทีด้วยความรวดเร็ว และไม่ลืมที่จะหยิบกล่องนาฬิกาเรือนสวยใส่ถุงแล้วหิ้วออกมาจากห้องด้วย
            “อ้าว ธีร์จะออกไปไหนเหรอลูก”
            คุณหญิงเพ็ญพักตร์ทักบุตรชายเมื่อเห็นเขาเดินลงมาจากชั้นบนด้วยเสื้อผ้าที่พร้อมจะออกไปข้างนอก
            “ผมลืมไปว่านัดกับเพื่อนที่มาจากอเมริกาไว้น่ะครับ”
            ธีรพัฒน์โกหกคำโต เพื่อตัดปัญหาคำถามมากมายของมารดา
            “จะมืดแล้วขับรถระวังๆ นะลูก แล้วก็อย่ากลับบ้านดึกนักล่ะ” คนเป็นแม่ไม่วายเป็นห่วงลูกชายสุดที่รัก
            “ครับคุณแม่ ผมไปละครับ” 
            ชายหนุ่มรับคำมารดา ก่อนจะเดินไปขึ้นรถคันหรูของตัวเองแล้วขับออกไปยังจุดหมายที่เขาต้องการทันที
 
              ณ ศูนย์การค้าชั้นนำย่านธุรกิจใจกลางเมืองหลวง เป็นศูนย์รวมของสินค้าแบรนด์เนมระดับเกรดเอทุกชิ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพและราคาสูงอย่างทองคำและเพชรก็รวมอยู่ในศูนย์การค้าแห่งนี้ด้วย รวมถึงร้าน กมลวรรณไดมอนด์ เพลส ซึ่งมีเจ้าของร้านที่แสนน่ารักและมากความสามารถในการออกแบบลวดลายอัญมณีได้อย่างวิจิตรสวยงามไม่เหมือนใครก็อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย
              โทรศัพท์เครื่องจิ๋วแผดเสียงร้องหาเจ้าของที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจกับการออกแบบลวดลายสร้อยคอทองคำขาวฝังเพชรด้วยความตั้งใจ มือบางวางดินสอลงก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู คิ้วทั้งสองขมวดมุ่นเมื่อเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยบนหน้าจอ แต่ก็ตัดสินใจกดรับ
              ‘สวัสดีค่ะ พิชามลค่ะ’ เสียงหวานแนะนำตัวเองก่อน เผื่อว่าปลายสายจะโทรผิด
              ‘ผมรู้แล้วครับว่าคุณชื่อพิชามล ไม่งั้นผมคงไม่โทรมาหรอก’ ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวน
              ‘คุณเป็นใคร แล้วเอาเบอร์ฉันมาจากไหน’ เสียงหวานแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีที่ปลายสายเริ่มกวนประสาทเธอ
              ‘อ้าว ก็คุณให้นามบัตรผมมาเอง จำกันไม่ได้แล้วหรือครับ ยัยหมวยปากจัด’
              แค่ได้ยินสรรพนามที่ปลายสายใช้เรียกเธอ หญิงสาวก็รู้ทันทีว่าใคร
              ‘อ๊าย!... อะ อะ ไอ้’
              ‘หยุด! ถ้าคุณยังคิดจะด่าผมอีกล่ะก็ ผมไม่ปรานีคุณแน่’ ทินกรทำเสียงขู่
              ‘และนายกล้าดียังไงมาว่าฉันปากจัดห๊ะ! ’
              ‘ก็ได้ยินคุณแว๊ดๆ อยู่นี่ไงเล่า จะไม่ให้เรียกปากจัดได้ไง’
              ‘และนายโทรมาทำไม มีธุระอะไรไม่ทราบ’ หญิงสาวชวนเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
              ‘ค่าเสียหายของผมไง ตอนนี้ผมเอารถไปเข้าอู่มาเรียบร้อยแล้ว ก็เลยจะมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับคุณ’
              ‘ก็วันนั้นฉันบอกแล้วไง ว่าต่างคนต่างซ่อม คุณก็เคลียร์ของคุณเองสิ’ พิชามลกระแทกเสียงกลับไป
              ‘อ้าวคุณ รู้งี้วันนั้นผมจูบคุณกลางถนนก็ดีหรอก ถ้ารู้ว่าคุณจะกลับคำแบบนี้น่ะ’
              ‘ก็ได้ๆ  บอกมาสิว่าเท่าไร เอาเลขบัญชีมาฉันจะโอนเงินให้’ หญิงสาวบอกปัดเพื่อตัดความรำคาญ
              ‘อะไรกันคุณ จะเอาเงินฟาดหัวกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ’
              ‘เอ๊ะ! นี่นายจะเอายังไงกับฉันอีกหะ! ค่าซ่อมรถฉันก็จะจ่ายให้แล้วนี่ไง’
              ‘ก็แค่ทานข้าวกับผมสักมื้อสองมื้อเป็นไง ถือเป็นค่าทำขวัญ ส่วนเงินน่ะไม่ต้องโอนหรอก เดี๋ยวเราก็เจอกัน’
              ทินกรเสนออย่างเป็นต่อ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากจะเจอยัยหมวยปากจัดคนนี้นักหนา
              ‘ได้! แต่ต้องเป็นวันอื่นนะ วันนี้ฉันไม่ได้เอารถมา’ หญิงสาวยังคงมีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นอย่างขัดใจ
              ‘งั้นผมจะไปรับคุณก็แล้วกัน’
              ‘เอ๊ะ! ฉันบอกว่าวันอื่นไง’ คนถูกบังคับทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
              ‘ผมไม่สน เพราะตอนนี้ผมอยู่หน้าร้านของคุณแล้ว’
              ‘ห๊า! นะ นาย รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน’ 
              หญิงสาวรีบกระวีกระวาดลุกจากโต๊ะแล้วเดินออกไปหน้าร้านทันที เพื่อพิสูจน์ว่าคนปลายสายโกหกเธอหรือเปล่า แต่ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่เธอกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าร้านพอดี จะไม่ให้รู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่ไหนก็ในนามบัตรของเธอบอกเขาหมดแล้ว
              พนักงานขายมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในร้านด้วยแววตาปลาบปลื้มหลงใหลกับความหล่อเหลาขาวสูงของเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม
              ทินกรกดวางสายทันทีที่เห็นหญิงสาวที่เขาโทรหาเดินออกมาจากห้องทำงาน
              “สวัสดีครับ เราจะไปกันได้หรือยัง”
              “นายมาทำไม” พิชามลกัดฟันข่มเสียงต่ำ รีบเดินเข้าไปหาแขกไม่ได้รับเชิญทันที
              “อ้าว ผมก็มารับคุณไง เรามีนัดทานข้าวกันไม่ใช่หรือครับ” ทินกรพยายามพูดเสียงดัง เพื่อให้พนักงานในร้านได้ยิน
              “นี่! นายจะเสียงดังทำไมเนี่ย” หญิงสาวขึงตาใส่ชายหนุ่มตรงหน้า
              “จะดังกว่านี้ถ้าคุณไม่ไปกับผมดีๆ” ชายหนุ่มได้ทีกระซิบเสียงขู่
              “ก็ได้ ขอฉันเข้าไปเก็บของก่อน”
              เมื่อไม่มีทางปฏิเสธได้หญิงสาวจึงจำเป็นต้องไปกินข้าวกับผู้ชายที่เธอบอกว่าเขาไม่เป็นสุภาพบุรุษ แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม
 
              ธีรพัฒน์เลือกซื้อกับข้าวที่เขาชอบเพียงสองสามอย่าง ขนม และผลไม้อีกสองสามชนิดที่คิดว่าผู้หญิงคงชอบกิน รวมทั้งนมสารพัดยี่ห้อ และเบียร์อีกสามขวดสำหรับเขา
              ชายหนุ่มหิ้วของพะรุงพะรังเต็มสองมือชนิดที่ว่าเขาไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครมาก่อนในชีวิตที่ผ่านมา คนตัวใหญ่พยายามยกมือที่หนักอึ้งด้วยข้าวของขึ้นมาเคาะประตูห้องพักของหญิงสาวที่เขาบอกว่าเกลียดเธอนักหนาอย่างใจเย็น
              รอเพียงไม่นานคนตัวเล็กที่ตั้งท่ารออยู่ก่อนแล้วก็รีบมาเปิดประตูเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร
              “คุณมาทำไม” แพรวากระชากเสียงถามทันทีที่เห็นหน้าแขกไม่ได้รับเชิญ
              “หลีกไป! ก็ฉันบอกแล้วไงว่าจะซื้อข้าวมาให้เธอกิน” 
              ธีรพัฒน์บอกคนตัวเล็กที่ยังยืนขวางทางเข้าประตู ก่อนจะปรายตามองการแต่งตัวของหญิงสาวที่ดูน่ารักน่าหยิกเสียจริง ไม่โป๊ ไม่หวือหวา แค่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้น ก็ทำให้เธอดูเหมือนเด็กกะโปโลแสนซนไร้จริตมารยาคนหนึ่งเท่านั้น
              “แพรบอกแล้วว่าไม่ทาน แล้วคุณจะซื้อมาทำไมอีก”
              คนตัวเล็กบอกขณะหลบเลี่ยงเพื่อให้ชายหนุ่มที่หิ้วของพะรุงพะรังเต็มสองมือเข้ามาในห้อง
              “ฉันต้องการให้เธอกินข้าว... กับฉัน!”
              คนตัวใหญ่หันมาบอกด้วยน้ำเสียงบังคับ ก่อนจะเดินตรงไปยังหลังห้องที่เขาคิดว่าต้องเป็นห้องครัว
              “แล้วคุณซื้อมาทำไมเยอะแยะคะ”
              แพรวาขมวดคิ้วมุ่นมองข้าวของที่ชายหนุ่มซื้อมาอย่างไม่ค่อยไว้ใจว่าเขาจะแค่มากินข้าวกับเธอเท่านั้น เมื่อเธอเหลือบไปเห็นขวดเบียร์สีเขียวเข้มสามขวดที่เขากำลังจับใส่ตู้เย็นอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะหันมาออกคำสั่ง
              “จัดของใส่จานเสร็จแล้วก็ไปเรียกฉันด้วย”
              สั่งหญิงสาวเสร็จ คนตัวใหญ่ก็หยิบถุงกระดาษที่มีของสำคัญอยู่ในนั้นแล้วเดินไปทางประตูห้องนอนของเธอ
              “นี่คุณ!...” 
              คนตัวเล็กยังไม่ทันจะอ้าปากทักท้วงอะไร คนเอาแต่ใจก็หันมาชี้นิ้วขึงตาใส่ให้เธอหยุดพูด ก่อนที่เขาจะเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปอย่างกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง
              หญิงสาวได้แต่ยืนกำมือแน่นด้วยความแค้นเคือง ทำไมเขาไม่มีความเกรงใจเธอบ้างนะ ‘นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป เอะอะก็สั่งก็ว่า นี่เขาจะเอายังไงกับเธอกันแน่’
              แพรวาต่อว่าคนเผด็จการวางอำนาจผิดที่อย่างนึกโมโห แล้วหันไปจัดแจงกับข้าวของที่เขาซื้อมาใส่จานให้เรียบร้อยตามคำสั่งของคนเอาแต่ใจที่หายเข้าไปในห้องนอนของเธออย่างไม่มีทีท่าว่าจะออกมาง่ายๆ หากเธอไม่เดินไปเรียก ‘นี่เธอเป็นเลขาหรือข้าทาสรับใช้ของเขากันแน่เนี่ย’ คนตัวเล็กบ่นในใจก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องที่ชายหนุ่มหายเข้าไป
              “ทานข้าวค่ะคุณธีร์”
              รอเพียงไม่นานคนข้างในก็เปิดประตูออกมาด้วยเสื้อกล้ามกับกางเกงตัวเดิมของเขา
              “และเสื้อคุณล่ะคะ” เจ้าของห้องหันมาแหวใส่อย่างเอาเรื่อง
              “ร้อน!” ธีรพัฒน์บอกเพียงสั้นๆ แล้วก้าวเท้าไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ในห้องครัวทันที
              “แล้วของเธอล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นจานข้าวมีแค่ของเขาเพียงคนเดียว
              “แพรไม่ทานค่ะ”
              แพรวาบอกเสียงเรียบเตรียมจะก้าวเท้าออกไปจากตรงนี้แต่กลับโดนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มฉุดรั้งไว้
              “จะนั่งลงและกินข้าวกับฉันดีๆ หรือจะต้องให้ฉันป้อน แต่บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ป้อนเธออย่างเดียวแน่”
              ธีรพัฒน์ขู่เสียงเข้ม ใช้สายตาโลมเลียคนตัวเล็กอย่างหื่นกระหาย
              “คนบ้า! คนลามก! เอาแต่ใจ! เผด็จการ!...”
              คนตัวเล็กก่นด่าเสียงเบาก่อนจะหันไปหยิบจานชามของตัวเองแล้วมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม
              “ถ้าเธอด่าฉันอีกคำเดียว ไม่ต้องกินแน่ข้าวน่ะ ฉันจะให้เธอกินอย่างอื่นยันเช้าเลย”
              เสียงเข้มขู่จริงจัง ส่งผลให้คนตัวเล็กได้แต่ทำปากขมุบขมิบแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวตามคำสั่งของคนเอาแต่ใจ
              ธีรพัฒน์นั่งมองหญิงสาวที่กำลังตักข้าวใส่ปากคำแล้วคำเล่าอย่างเพลิดเพลิน ไม่รู้ทำไมเขาถึงมีความสุขนักเวลาเห็นเธอกินข้าวที่เขาซื้อมาให้ 
              “แล้วคุณไม่ทานล่ะค่ะ”
              คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินเงยหน้าขึ้นมาถามชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับเธอ เมื่อเห็นว่าเขากินข้าวไปเพียงแค่สองสามคำและหลังจากนั้นก็ได้แต่นั่งมองเธอ
              “ไม่ละ ฉันอิ่มแล้ว ไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นให้หน่อยสิ” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ สายตาคมจ้องมองคนตัวเล็กที่ทำหน้าเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นเรื่องแปลกประหลาด
              “เชิญคุณกลับไปดื่มที่บ้านเถอะค่ะ ที่นี่คงไม่เหมาะ” 
              “แต่ฉันจะกิน เดี๋ยวตามไปที่ระเบียงด้วยก็แล้วกัน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
              สั่งหญิงสาวเสร็จสรรพก็ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินไปที่ระเบียงโดยไม่สนใจคนที่กำลังทำท่าจะคัดค้าน แต่ในเมื่อเขามีเรื่องจะคุยกับเธอ ยังไงเธอก็ต้องตามใจเขาไปก่อน เมื่อเขาคุยธุระเสร็จจะได้รีบกลับไปสักที
              แพรวาลุกขึ้นจากโต๊ะเก็บจานชามเพื่อรอล้างทำความสะอาด จากนั้นก็เดินไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นพร้อมกับแก้วน้ำ แล้วนำไปให้คนเอาแต่ใจที่ระเบียงห้อง
 
              ธีรพัฒน์นั่งชื่นชมสวนดอกไม้เล็กๆ ที่เจ้าของห้องจัดไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงามเหมาะจะเป็นมุมพักผ่อน ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
              “นั่งก่อนสิ ฉันมีเรื่องอยากจะถามเธอ”
              ชายหนุ่มเอ่ยทักเมื่อเห็นหญิงสาวนำเบียร์มาวางให้แล้วทำท่าเหมือนกำลังจะเดินจากไป
              คนตัวเล็กเมื่อได้ยินคำสั่งแม้จะขัดใจอยู่บ้างแต่ก็ต้องยอมนั่งลง เผื่อว่าเขาหมดเรื่องที่จะถามเธอแล้วจะได้กลับไปเสียที
              “พิชามลเป็นเพื่อนสนิทของเธอใช่หรือเปล่า” เสียงเข้มถามขึ้น ขณะที่มือหนากำลังรินเบียร์ใส่แก้วอย่างใจเย็น
              “ค่ะ”
              แพรวาบอกเสียงเบา เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเพื่อนสาวเคยพูดถึงธีรพัฒน์ให้ฟังว่าเขาเคยเป็นเพื่อนเล่นกับเพื่อนของเธอตอนเด็กๆ 
              “สนิทกันมากไหม” คนตัวใหญ่ถามย้ำเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะได้ข้อมูลที่ไม่ผิดเพี้ยน 
              “ก็สนิทค่ะ” 
              “แค่ไหน”
              “คุณจะรู้ไปทำไมคะ”
              คราวนี้คนตัวเล็กทำท่าฮึดฮัดไม่เข้าใจว่าคนถามต้องการอะไรจากเธอกันแน่
              “ฉันถามก็ตอบมาเหอะน่า... อย่าเรื่องมาก”
              คนรอคำตอบทำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นดื่มระหว่างรอฟังคำตอบจากเธอ
              “พิชามลเป็นคนเดียวที่มีกุญแจสำรองห้องนี้ คุณคิดว่าเราสนิทกันแค่ไหนล่ะคะ”
              น้ำเสียงกระแทกกระทั้นบอกชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก 
              “อืม ก็นับว่าสนิทกันมาก แสดงว่าเธอก็ต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับน้องมลสิ” ธีรพัฒน์เปรยออกมาเบาๆ เหลือบตามองหญิงสาวที่ยังมีอาการงงๆ กับคำพูดของเขาอยู่
              คำว่าน้องมลที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มทำให้คนตัวเล็กรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่เคยรู้มาบ้างว่าชายหนุ่มตรงหน้ากับเพื่อนของเธอเป็นเพื่อนเล่นกันตอนเด็กๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจดวงน้อยต้องสั่นไหวแปลกๆ กับคำพูดของเขาด้วย
              “คุณต้องการจะถามอะไรกันแน่คะ” แพรวาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงุนงง
              ชายหนุ่มยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะหันไปเอ่ยคำถามสำคัญที่เขาอยากรู้มากที่สุด
              “น้องมลมีแฟนหรือยัง” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
              “หือ... อะไรนะคะ” หญิงสาวแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองกับคำถามของคนตรงหน้า
              “ฉันถามว่าน้องมลเขามีคนรัก เอ่อ... แฟน  อืม... เพื่อนชายอะไรทำนองนี้บ้างหรือเปล่า” 
              “เท่าที่ทราบตอนนี้ยังไม่มีค่ะ”
              แม้จะมีความสงสัยอยู่บ้างว่าเขาจะรู้ไปทำไม แต่เธอก็เลือกที่จะตอบตามความเป็นจริง
              “ห๊า! เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะแพรวา” คนฟังได้ยินชัดเจนแต่เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
              คำตอบของหญิงสาวทำให้คนที่กำลังกังวลกลับยิ่งเครียดมากกว่าเดิม ตัวเลือกของทางออกที่เขาเคยหวังไว้ดับสูญไปหนึ่งข้อ อีกทางก็เหลือแค่ขอให้พิชามลคิดกับเขาเหมือนดั่งพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น เขาจะได้สบายใจและหาทางแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
              “แพรก็ทราบเท่านี้แหละค่ะ ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญคุณกลับไปได้แล้วค่ะ”
              เจ้าของบ้านออกปากไล่แขกเสียงเรียบ เขาบ้าหรือเปล่าจู่ๆ ก็มาถามว่าเพื่อนของเธอมีแฟนหรือยัง พอได้คำตอบก็มาทำหน้าไม่พอใจใส่เธออีก
              คนตัวเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้กำลังจะเดินออกไปจากตรงนี้เพื่อส่งแขก แต่สองเท้าบอบบางต้องหยุดชะงักเมื่อแขนข้างหนึ่งถูกกระชากอย่างแรงจนเซถลาไปปะทะอกแกร่งของเขา
              “โอ๊ย! ปล่อยนะ นี่คุณคิดจะทำอะไร” คนตัวเล็กหันมาแหวใส่ชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ
              “เอะอะก็จะไล่ ทำไมห๊ะ! นัดผู้ชายคนไหนไว้ล่ะ” คนอารมณ์ร้อนตะคอกใส่ รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นที่หญิงสาวตรงหน้าพยายามจะไล่ให้เขากลับ
              “ไม่เกี่ยวกับคุณ! ปล่อยแพรนะคะคุณธีร์”
              สองแขนบอบบางพยายามดิ้นรนให้หลุดจากมือหนาที่บีบรัดมากขึ้นจนคนตัวเล็กต้องนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บ
              “ไม่ปล่อย!” มือหนาของคนตัวใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นโอบกอดร่างเล็กเพื่อยืนยันคำพูด 
              ธีรพัฒน์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปใกล้หญิงสาวที่กำลังตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนึกมันเขี้ยว จมูกโด่งคมสันกดลงที่พวงแก้มสวยทันทีที่คนตัวเล็กพยายามหันหน้าหนีจากสัมผัสของเขา
              “อย่าค่ะคุณธีร์” คนในอ้อมกอดแข็งแกร่งเอ่ยเสียงเบา พยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับชายหนุ่มอีก
              “ไม่ทันแล้วแพรวา เธอทำให้ฉันอดใจไม่ไหวจริงๆ” ธีรพัฒน์กระซิบเสียงพร่า ก่อนที่ปากหนาจะเข้าครอบครองเรียวปากบางอวบอิ่มเพื่อปิดเสียงคัดค้านของคนในอ้อมกอดอย่างหิวกระหาย โหยหา และเรียกร้องการตอบสนองจากร่างบางในอกแกร่ง กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ จากปากหนาทำให้รสจุมพิตวาบหวามยิ่งขึ้น เรียวลิ้นแข็งแกร่งเกี่ยวกระหวัดตอดรัดลิ้นเล็กๆ อย่างชำนาญ คนตัวเล็กในวงแขนแกร่งสั่นน้อยๆ กับความรู้สึกแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยพานพบมาก่อน แข้งขาไร้เรี่ยวแรงจะหยัดยืนสองมือบางเอื้อมไปโอบรอบคอของชายหนุ่มไว้เพื่อเป็นที่ยึดเกาะ การตอบสนองที่เงอะงะของคนในอ้อมกอดทำให้เจ้าของอกแกร่งครางฮือออกมาด้วยความพอใจ เขายอมรับว่าหลงใหลความหอมหวานจากเรียวปากบางอวบอิ่มนุ่มนิ่มของเธอจริงๆ
              ธีรพัฒน์จูบหญิงสาวเนิ่นนานจนพอใจจึงถอนริมฝีปากออกด้วยความเสียดาย พร้อมกับดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแนบอกแกร่งไว้แน่นก่อนจะเอ่ยปาก
              “ดูเหมือนร่างกายของเธอจะไม่ปฏิเสธฉันอย่างปากว่านะ”
              คนเอาแต่ใจหัวเราะในลำคอกระซิบบอกอย่างผู้มีชัยก่อนจะผละออกจากหญิงสาวแล้วเดินหายเข้าไปในห้องของเธอเพื่อหยิบเสื้อที่เขาถอดไว้มาใส่ให้เรียบร้อย 
              เท้าหนาหยุดชะงักเมื่อเห็นคนตัวเล็กยังยืนอยู่ที่เดิมมีน้ำใสๆ ไหลรินอาบสองแก้มนวล ทำให้หัวใจดวงแกร่งกระตุกวูบทันทีที่เห็นน้ำตาของเธอ
              “อย่าร้องไห้อีกแพรวา เพราะน้ำตาของเธอทำให้ฉัน... ไม่ชอบ”
              เขาเกือบจะพูดออกไปว่าน้ำตาของเธอทำให้เขาไม่สบายใจและรู้สึกผิดทุกครั้ง แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บไว้ 
              บอกเสร็จคนตัวใหญ่ก็ก้าวเท้าออกจากห้องทันที ทิ้งให้คนตัวเล็กยืนเคว้งด้วยความรู้สึกสับสน ผิดหวังในตัวเองที่หลงเคลิบเคลิ้มไปกับเขาอีกจนได้ ทำไมหัวใจของเธอไม่แข็งแกร่งกว่านี้นะ
 
            ร้านอาหารหรูบรรยากาศดีริมแม่น้ำเจ้าพระยา สองหนุ่มสาวที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันและมีปากมีเสียงถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลาขณะนั่งรับประทานอาหาร แต่ก็นับว่าเป็นการสร้างสีสันและเสียงหัวเราะเบาๆ ให้กับคนรอบข้างได้ไม่น้อย สำหรับความน่ารักของคนทั้งคู่
            “นี่คุณ ไหนละค่าซ่อมรถที่ฉันต้องจ่ายน่ะ เร็วๆ เข้าฉันจะได้รีบกลับ” พิชามลบอกกับชายหนุ่มตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขารวบช้อนและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
            “เดี๋ยวสิครับคุณ ใจคอจะไม่ให้ผมหายใจเลยหรือไง”
            “คุณก็นั่งหายใจอยู่นี่ไง ไม่งั้นคงนอนชักดิ้นชักงอไปแล้วหละ” คนตัวเล็กว่าพลางทำตาปะหลับปะเหลือกใส่ชายหนุ่มอย่างนึกหมั่นไส้
            “แหม่ ปากอย่างนี้มันน่ากัดให้เลือดกบจริงๆ”
            ทินกรพูดพลางยกมือหนาขึ้นลูบไล้ริมฝีปากของตัวเอง พร้อมทั้งส่งสายตาคมจับจ้องไปที่เรียวปากอวบอิ่มจิ้มลิ้มของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ลดละ
            “จะบ้าเหรอ เป็นหมาหรือไงนายน่ะ” คนตัวเล็กแหวใส่รีบยกมือบางขึ้นปิดปากตัวเองแน่น ก่อนจะนึกต่อว่าชายหนุ่มในใจ ‘เขาบ้าหรือเปล่าจู่ๆ จะมากัดปากเธอ’
            “เมื่อกี้ผมหมายถึงขอนั่งพักก่อนได้ไหม เพิ่งทานข้าวเสร็จจะรีบไปไหน”
            “มืดค่ำแล้วฉันจะรีบกลับบ้าน” คนรีบกลับทำเสียงฮึดฮัดขัดใจ
            “ค่าซ่อมรถน่ะ คุณไม่ต้องจ่ายให้ผมหรอก แค่มาทานข้าวกับผมทุกครั้งที่ต้องการก็พอ” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ชิงเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
            “ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ ก็ในเมื่อฉันยอมจ่ายให้คุณแล้วไง”
            “ก็ผมไม่ต้องการให้คุณจ่ายค่าซ่อมรถเป็นเงิน แต่ต้องการให้จ่ายเป็นเวลาว่างของคุณไงครับ”
            “นี่คุณ! มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ ฉันไม่ว่างนักหรอกนะ”
            “ถึงเวลาที่ผมต้องการคุณก็ว่างเองนั่นแหละน่า...”
            ชายหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จ้องมองหญิงสาวที่นั่งหน้างอหงิกด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ยังดูน่ารักน่าหยิกสำหรับเขาอยู่ดี
            ระหว่างที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น มีเด็กชายตัวน้อยหิ้วตะกร้าที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบหลากหลายสีมายืนตรงหน้าชายหนุ่มที่กำลังนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี
            “พี่ๆ ไม่ซื้อดอกไม้ให้แฟนหน่อยเหรอครับ” เสียงน้อยๆ บอกชายหนุ่มอย่างออดอ้อน
            “หือ... เอาสิ เลือกสวยๆ ให้ดอกนึงละกัน” ทินกรมองดอกไม้ในตะกร้าแล้วปรายตามองหญิงสาวฝั่งตรงข้ามที่นั่งหน้างอทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ จมูกนั้นเชิดรั้นอย่างนึกมันเขี้ยวจนน่าหยิก
            “แฟนพี่ส๊วย สวย” เด็กน้อยกระซิบบอกชายหนุ่มก่อนจะยื่นดอกกุหลาบสีสวยในมือให้เขา
            “ขอบใจ ไม่ต้องทอนนะ” มือแกร่งรับดอกไม้มาถือไว้พร้อมยื่นธนบัตรสีแดงไปให้
            หลังจากเด็กขายดอกไม้เดินจากไปแล้ว ทินกรหันมามองหญิงสาวที่ยังทำหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับด้วยความขบขัน พร้อมยื่นดอกกุหลาบสีสวยในมือให้เธอ
            “อะไร! ฉันไม่ได้ไปหายัยแพรนะ ฉันจะกลับบ้าน” หญิงสาวหันมาแหวใส่เพราะคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะฝากดอกไม้ไปให้แพรวาเพื่อนของเธอ เหมือนคราวก่อนที่เขาให้เธอถือช่อดอกไม้ไปให้แพรวา
            “ผมให้คุณ ไม่ได้ให้คุณแพรสักหน่อย... รับไว้สิ”
            “ฉันไม่ใช่แฟนคุณนะ”
            “ผมก็ไม่ได้ให้คุณในฐานะแฟนนี่ครับ แค่อยากจะให้เฉยๆ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ ส่งสายตาวิบวับมองหญิงสาวอย่างสื่อความหมายลึกซึ้งจนปิดไม่มิด
            “ก็ได้... ใช่ว่าฉันอยากจะได้หรอกนะ แต่ไหนๆ คุณก็ซื้อมาแล้วฉันจะรับไว้ก็แล้วกัน”
            น้ำเสียงที่แข็งกระด้างแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลงเล็กน้อย มือบางเอื้อมไปรับดอกไม้จากชายหนุ่มมาถือไว้ในมือก่อนจะก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเขินอายเอาไว้
            “งั้นเรากลับกันเลยนะครับ”
            ทินกรบอกหญิงสาวเมื่อเห็นเธอพยักหน้าให้น้อยๆ เขาจึงหันไปเรียกพนักงานมาเช็กบิลค่าอาหาร
            เมื่อเรียบร้อยแล้วทั้งสองจึงเดินออกมาจากร้าน ชายหนุ่มเตรียมจะเปิดประตูรถให้หญิงสาวเข้าไปนั่ง แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าอยู่เบื้องหลัง เพราะคนที่เขาคิดว่าเดินตามมานั้นหนีขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารอยู่หน้าร้านไปแล้ว
            ชายหนุ่มเหลือบเห็นคนตัวเล็กในรถแท็กซี่โบกมือแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาอย่างยียวนก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไกลออกไป
            “ฮึย! ฝากไว้ก่อนเถอะยัยหมวยแสบ เธอหนีฉันไม่รอดหรอก”
            ทินกรกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะยิ้มออกมาเต็มวงหน้าเมื่อนึกถึงคนตัวเล็กที่พยายามซ่อนความเขินอายตอนที่ได้รับดอกไม้จากเขา แม้เธอจะพยายามหลบแต่เขาก็ยังเห็นรอยยิ้มขัดเขินของเธอได้ชัดเจนอยู่ดี
 
            พิชามลเดินเข้ามาในบ้านอย่างเงียบๆ เธอคิดว่าป่านนี้คุณนายกมลวรรณแม่ของเธอคงขึ้นห้องไปแล้ว เพราะปกติท่านจะขึ้นห้องไปสวดมนต์ทันทีหลังจากทานอาหารเย็น แต่ก็ต้องแปลกใจที่วันนี้ผู้เป็นมารดายังนั่งดูทีวีอยู่ภายในห้องรับแขกเหมือนกับว่ากำลังรอใครบางคน
            “สวัสดีค่ะคุณแม่ ยังไม่ขึ้นห้องอีกหรือคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปสวมกอดมารดาอย่างเอาใจ
            “อ้าวมาแล้วเหรอลูกสาวของแม่ วันนี้ทำไมกลับค่ำจังล่ะลูก” คุณนายกมลวรรณถามบุตรสาวด้วยความห่วงใย
            “มลไปทานข้าวกับเพื่อนมาค่ะ เลยกลับค่ำไปหน่อย แล้วพี่วิทล่ะคะคุณแม่”
            พิชามลผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นของมารดาหันซ้ายแลขวาหาพี่ชายสุดที่รักของเธอ
            “พี่เขาเข้าเวร กว่าจะกลับก็คงพรุ่งนี้เช้า”
            “อ่อค่ะ มลก็คิดว่าคุณแม่มารอพี่วิทซะอีก”
            “หืม แม่รอเรานั่นแหละ” คุณนายกมลวรรณลูบศีรษะของลูกสาวอย่างเอ็นดู
            “อ้าว คุณแม่มีอะไรจะคุยกับมลหรือคะ น่าจะโทรบอกก่อนมลจะได้รีบกลับมาเร็วๆ”
            พิชามลตอบมารดาเสียงหวาน นึกแปลกใจที่วันนี้แม่ของเธอดูแปลกๆ
            “ก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไรหรอกลูก ตอนแรกแม่ก็ยังไม่แน่ใจ แต่คิดไปคิดมาบอกลูกให้รู้เลยคงดีกว่า”
            น้ำเสียงราบเรียบอบอุ่นของคนเป็นแม่บอกลูกสาวสุดที่รักอย่างใจเย็น
              “คุณแม่มีอะไรจะบอกมลหรือคะ” พิชามลขยับออกมาเพื่อรอฟังสิ่งที่มารดาจะบอก
              “แม่จะให้ลูกหมั้นหมายกับคุณธีร์พัฒน์ลูกชายของคุณป้าเพ็ญจ้ะ”
              “อะไรนะคะคุณแม่! คุณแม่จะให้มลหมั้นกับพี่ธีร์!”
              คนเป็นลูกตกใจอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าแม่ของเธอจะมีความคิดแบบนี้ นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ไม่ใช่สมัยก่อนที่คู่ครองครอบครัวจะมาจากการคลุมถุงชนของพวกผู้ใหญ่
              เธอยังจำพี่ชายที่น่ารักของเธออีกคนได้ดี ตอนเด็กๆ เธอมักจะวิ่งเล่นกับเขาบ่อยๆ เพราะพี่ชายของเธอไปอยู่กับบิดาที่เมืองนอกตั้งแต่เธอยังเล็กๆ ด้วยพ่อแม่ของเธอแยกทางกัน เธอจึงมีธีรพัฒน์คอยดูแลเหมือนเป็นพี่ชายอีกคนในตอนนั้นและจนถึงตอนนี้ความรู้สึกของเธอที่มีต่อธีรพัฒน์ก็ยังเหมือนเดิม 
              “ใช่จ้ะลูก คุณป้าเพ็ญเขามาเจรจาขอหนูกับแม่ไว้นานแล้ว ตั้งแต่พี่เขายังอยู่เมืองนอกว่าเราจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน”
              คุณนายกมลวรรณอธิบายกับลูกสาวสุดที่รักเสียงนุ่ม
              “แต่มลไม่ได้รักพี่ธีร์แบบนั้นนะคะคุณแม่ มลคิดกับเขาเหมือนพี่ชาย เหมือนอย่างพี่วิทน่ะค่ะ ไม่เคยคิดเป็นอื่น”
              “ตอนนี้มลยังไม่มีใครใช่ไหมลูก”
              คำถามของมารดาทำให้บุตรสาวเพียงคนเดียวนิ่งอึ้ง หัวใจดวงน้อยพลันคิดถึงผู้ชายที่เธอไม่ชอบหน้าแต่กลับทำให้เธอคิดถึงเขาได้ตลอดเวลา นายผู้ชายเฮงซวยไม่เป็นสุภาพบุรุษคนนั้น
              “ว่ายังไงลูก ทำไมเงียบไป”
              “อะ เอ่อ ไม่มีค่ะ ไม่มี มลยังไม่มีใคร” พิชามลอึกอักตอบมารดาอย่างไม่เต็มเสียงนัก
              “งั้นก็ยิ่งดี เพราะพี่เขาจะขอคบหาดูใจกับหนูสักระยะก่อนที่จะมีงานหมั้นเกิดขึ้น หนูจะว่ายังไง”
              “หือ พี่เขาบอกแบบนั้นหรือคะ” หญิงสาวชักไม่แน่ใจว่าคนที่เธอไม่ได้คิดอะไรด้วยนั้นเขาจะคิดเหมือนเธอหรือเปล่า แล้วทำไมเขาถึงไม่ปฏิเสธแทนการยอมคบกับเธอ ทั้งๆ ที่เขาก็มีผู้หญิงใจร้ายคนนั้นที่ตามหึงหวงเขาจนเพื่อนของเธอได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วทั้งคน ‘แค่เลขายังโดนขนาดนั้น และเธอล่ะจะเป็นยังไง หากผู้หญิงคนนั้นรู้เข้าว่าเธอเป็นคู่หมั้นของพี่ธีร์’ พิชามลคิดอย่างนึกหวาดหวั่น
              “ใช่ พี่เขาบอกแบบนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาจะโทรไปคุยด้วย แม่ให้เบอร์ของหนูกับพี่เขาไปแล้ว”
              “อ่อ เอ่อ ค่ะๆ” พิชามลตอบรับมารดาอย่างมึนงง เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มเพล์บอยเจ้าสำราญจะยอมสละโสดแต่งงานง่ายๆ แถมคนที่แต่งด้วยยังเป็นคนที่ผู้ใหญ่หามาให้อีก ไม่น่าเชื่อว่าคนเอาแต่ใจแบบนั้นจะยอมทำตามคำบัญชาของใครได้ แสดงว่าเขาต้องมีแผนอะไรแน่ๆ ยังไงเธอต้องลองคุยกับเขาดูก่อน
              “งั้นมลขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะคุณแม่” หญิงสาวบอกมารดาเสียงเบา
              เมื่อได้คำตอบจากมารดาเป็นการพยักหน้าน้อยๆ อย่างเอ็นดู สองเท้าบอบบางจึงรีบก้าวขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธออยากคุยกับพี่ชายสุดที่รักของเธอมากกว่าใคร เผื่อว่าจะได้คำแนะนำดีๆ บ้าง อย่างน้อยพี่วิทก็ต้องเข้าข้างเธอแน่ๆ หากผู้ชายที่จะมาเป็นน้องเขยของเขาเป็นคนที่เขาไม่เห็นด้วย เธอเชื่อว่าพี่วิทของเธอจะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน
 
.................................................
 



ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา