เสน่หาทาสซาตาน NC18+ (โหดนิดๆ หยิกกัดน้อยๆ)

-

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 21.58 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  32.64K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564 11.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ความใกล้ชิด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

12

ความใกล้ชิด 

 

            เช้านี้ธีรพัฒน์มาทำงานด้วยความอ่อนล้า เมื่อคืนหลังกลับมาจากห้องของเลขาสาวเขาก็เอาแต่คิดฟุ้งซ่านจนนอนไม่หลับ ไหนจะความรู้สึกไม่สบายใจตอนเห็นน้ำตาของเธอ ไหนจะเรื่องของว่าที่คู่หมั้นซึ่งเขาเองก็ยังหาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่เจอ

            มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเบอร์โทรศัพท์ของคนที่จะมาเป็นคู่หมั้นในอนาคตออกมาดู เขาได้เบอร์ของเธอจากมารดาเมื่อเช้าตอนทานอาหาร เขาควรจะคุยกับเธออย่างไรดีนะพิชามล

            เสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้ามาทำให้คนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ต้องหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวร่วมห้องทำงานเดียวกับเขาจึงนึกอยากจะแกล้งขึ้นมา

            “เก็บกระเป๋าแล้วเดินมานี่หน่อย”

            คนอยากแกล้งบอกเสียงเรียบนิ่ง ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ก่อนจะหันไปหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาดู

            เมื่อได้ยินคำสั่งของคนเป็นเจ้านาย คนตัวเล็กยืนคิดเพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจเดินมาหาเขาที่โต๊ะด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ เพราะระยะนี้เธอรู้สึกไม่ไว้ใจผู้ชายตรงหน้าอีกแล้ว เขาช่างแกล้งและมือไวเอาเปรียบเธอมาตลอด

            “นวดหลังให้ทีสิ... เมื่อย” น้ำเสียงเข้มบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เอกสารในมือนิ่ง

            “หือ... อะไรนะคะ” หญิงสาวแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนจะขยับเท้าถอยหลังเพื่อตั้งหลัก เผื่อเขาลุกพรวดพราดขึ้นมาเธอจะได้หนีทัน

            “ฉันรู้ว่าเธอได้ยินชัดเจน มาเร็วๆ เข้า เธอจะขัดคำสั่งฉันหรือไงแพรวา” ธีรพัฒน์เงยหน้าขึ้นมามองคนตัวเล็กที่ทำท่าครุ่นคิดอยู่นานจนเขาทนไม่ไหว

            คนตัวเล็กคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่นาน ก่อนจะบอกคนเป็นเจ้านายเสียงเบา

            “เอ่อ ปะ เปล่าค่ะ แต่แพรนวดไม่เป็น”

            “ไม่เป็นก็หัดสิ มานี่ ฉันจะสอนให้” คนอยากแกล้งทำเสียงหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังหาทางหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้เขา

            ในเมื่อจนปัญญาที่จะหาทางออกให้กับตัวเองได้ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องเดินเข้าไปหาเขาตามคำสั่ง

            สองเท้าน้อยๆ ก้าวมาหยุดยืนด้านหลังของชายหนุ่มที่นั่งตัวตรงเพื่อให้เธอนวดได้สะดวกขึ้น สองมือบอบบางยกขึ้นจับที่บ่าของชายหนุ่มแล้วขยับกดนิ้วมือลงไปหนักบ้างเบาบ้างสลับกันตามทฤษฎีที่เคยได้ยินมา แม้เธอจะบอกว่านวดไม่เป็นแต่การขยับมือสม่ำเสมอของเธอก็ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มได้เหมือนกัน คนตัวใหญ่นั่งหลับตาพริ้มรู้สึกผ่อนคลายสบายตัว  อาการตึงเครียดแปรเปลี่ยนเป็นความสุขเล็กๆ ที่ก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว

            มือหนาเอื้อมไปจับมือบางของคนตัวเล็กที่กำลังขยับบีบกดที่ท้ายทอยของเขาเป็นการบ่งบอกให้เธอหยุดนวด หญิงสาวพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มทันทีที่เขาจับมือเธอ

            “ปล่อยค่ะคุณธีร์” แพรวาแหวใส่อย่างนึกเคือง เธอไม่น่าหลวมตัวเข้ามาใกล้เขาเลยจริงๆ

            “ไหนบอกว่านวดไม่เป็นไง... ทำฉันเกือบหลับ”

            ธีรพัฒน์พูดอย่างไม่จริงจังนัก ภายในใจนึกไปถึงว่าหญิงสาวคงจะเคยนวดให้กับผู้ชายของเธอจนชำนาญเสียมากกว่า แค่คิดก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดพานให้อารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆ

            “แพรก็นวดตามที่เคยได้ยินได้ฟังมาเท่านั้นแหละค่ะ” คนตัวเล็กกระแทกเสียงบอก พยายามดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุมของคนตัวใหญ่แต่ก็ไม่เป็นผล

            “ไม่เคยนวดให้ใครจริงน่ะเหรอ” คนไม่อยากเชื่อหรี่ตามองอย่างจับผิด

            “แล้วแต่คุณจะคิดเถอะค่ะ ยังไงแพรก็ไม่เคยดีในสายตาของคุณอยู่แล้วนี่คะ”

            น้ำเสียงกระแทกกระทั้นเอ่ยประชดประชันออกไป หวังให้ชายหนุ่มโกรธจะได้สลัดมือเธอออกจากการเกาะกุมเสียที แต่เธอคิดผิด

            เมื่อคนตัวใหญ่กระตุกเพียงเบาๆ ร่างเล็กบอบบางก็ลอยหวือเขามาอยู่บนตักแกร่งของเขาอย่างตั้งใจทันที ลำแขนแข็งแรงโอบรัดเอวของคนตัวเล็กไว้แน่น ก่อนจะก้มลงกดจมูกโด่งคมสันไปที่พวงแก้มนวลด้วยความมันเขี้ยวขณะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างชื่นใจ แล้วปล่อยแขนเธอให้เป็นอิสระโดยที่เธอไม่ทันได้ขัดขืน เขาช่างเป็นนักฉวยโอกาสที่รวดเร็วว่องไวจริงๆ

            คนตัวเล็กดีดตัวลุกขึ้นทันทีที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ มือสวยยกขึ้นจับแก้มนวลข้างที่ถูกขโมยหอมอย่างไม่ทันตั้งตัว สายตาจับจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความแค้นเคือง

            “ขอบใจ... กลับไปทำงานของเธอได้แล้ว” คนเอาแต่ใจบอกเสียงเรียบทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารบนโต๊ะต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            การกระทำของเขาดูจะกวนประสาทคนตัวเล็กไม่น้อย แต่เธอก็ไม่อยากตอแยกับเขาอีกเพราะเกรงจะถูกคนมือไวเอาเปรียบไปมากกว่านี้ สองเท้าบอบบางจึงหันหลังเดินกลับมายังโต๊ะของตัวเองด้วยความขัดใจที่ไม่สามารถทำอะไรคนมือไวอย่างเขาได้

            หญิงสาวเดินกลับมาถึงโต๊ะก็ต้องถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นถุงกระดาษที่เธอคิดว่าเขาลืมไว้ในห้องนอนของเธอเมื่อคืน วันนี้เธอจึงถือมาให้เขาเผื่อว่าในนั้นจะเป็นของสำคัญที่เขากำลังตามหาอยู่ก็ได้

            คนตัวเล็กตัดสินใจอยู่นานกว่าจะทำใจลุกขึ้นหยิบถุงกระดาษแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะของเจ้านาย มือบางวางถุงกระดาษลงตรงหน้าของชายหนุ่มที่กำลังสนใจกับเอกสารในมืออย่างใช้สมาธิ

            “คุณลืมไว้ในห้องค่ะ” แพรวาบอกพร้อมทั้งกำลังจะหมุนตัวเดินกลับแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงของคนเป็นเจ้านายดังขึ้น

            “ฉันไม่ได้ลืม แต่ฉันให้เธอต่างหากล่ะ” คนที่ถูกหาว่าลืมของเงยหน้าขึ้นจากเอกสารบอกเสียงเรียบ

            “คะ ให้แพร?” คนตัวเล็กหันมาชี้มือใส่ตัวเองอย่างงงๆ เป็นเชิงถาม

            “ใช่ ฉันให้เธอ มารับไปสิ”

            “มันคืออะไรคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้พลางถามคนตรงหน้าอย่างนึกสงสัย

            “แกะดูสิ”

            คนตัวเล็กหยิบถุงกระดาษขึ้นมาเปิดดูแล้วหยิบของข้างในออกมา เป็นกล่องสี่เหลี่ยมหุ้มกำมะหยี่ดูหรูหรา เมื่อเปิดดูข้างในจึงพบว่าเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนสวย แม้จะดูเรียบๆ แต่ก็สะดุดตาไม่น้อยด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ ที่รายล้อมตัวเรือน ‘เขาจะซื้อให้เธอทำไมกัน’ คิ้วสวยขมวดมุ่นเป็นปมทันทีที่เกิดคำถามขึ้นในใจ มือบางจึงวางนาฬิกาลงบนโต๊ะตรงหน้าของชายหนุ่มดังเดิม

            “แพรรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

            “ทำไม!” เสียงเข้มเอ่ยถามเมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากหญิงสาว

            “มันแพงเกินไป และไม่เหมาะกับแพรค่ะ”

            แม้เธอจะถูกใจนาฬิกาเรือนนี้มากก็ตาม แต่ในเมื่อเธอไม่รู้จุดประสงค์ที่เขาซื้อให้ ยังไงเธอก็รับไว้ไม่ได้เด็ดขาด

            “รับไปเถอะ ยังไงนาฬิกาเรือนเก่าของเธอก็พังยับเยินไปหมดแล้ว”

            “หือ ทำไมคุณทราบว่านาฬิกาของแพรพังคะ” แสดงว่านาฬิกาเรือนเก่าที่เธอตามหาก็อยู่กับเขาน่ะสิ แพรวาคิดอย่างดีใจหากวันนี้เธอจะได้ของสำคัญกลับคืนมาเสียที

            “ฉันเก็บได้แถวๆ โต๊ะของเธอวันที่เกิดเรื่องน่ะ เห็นว่ามันพังแล้วก็เลยซื้อเรือนใหม่มาชดใช้ให้ เพราะยังไงฉันก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ด้วย” ธีรพัฒน์อธิบายเสียงเรียบและเขาก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ

            “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” คนตัวเล็กเสียงแข็งอย่างไม่พอใจ ที่แท้เขาก็ซื้อให้เธอเพื่อเป็นการไถ่โทษเรื่องวันนั้นนี่เอง

            “แต่ฉันอยากจะให้” น้ำเสียงขุ่นเข้มบ่งบอกว่าเขาเริ่มไม่พอใจที่เธอขัดคำสั่ง

            “แพรขอนาฬิกาเรือนเก่าคืนด้วยค่ะ”

            “เธอจะเอาไปทำไม ฉันบอกว่ามันพังยับเยินไปแล้ว”

            “แพรจะเอาไปทำอะไร มันก็เรื่องของแพร ไม่เกี่ยวกับคุณ”

            “ทำไม! มันสำคัญกับเธอมากนักหรือไง ไอ้นาฬิกาพังๆ แบบนั้นน่ะ” ชายหนุ่มกระชากเสียงขม เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักข้างตัว แล้วหยิบนาฬิกาที่หน้าปัดแตกยับขึ้นมาวางบนโต๊ะให้เธอดู

            “ใช่ค่ะ... สำคัญกับแพรมาก”

            คนตัวเล็กยื่นมือเข้าไปหมายจะหยิบนาฬิกาเรือนเก่าของเธอที่วางอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม แต่มือบางกลับถูกคนตัวใหญ่คว้าหมับแล้วบีบอย่างแรงจนเธอต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

            “ฮึ! ไอ้ผู้ชายคนไหนมันซื้อให้เธอล่ะ เธอถึงอยากจะเก็บซากมันไว้นักหนา” ชายหนุ่มกระซิบลอดไรฟันด้วยความโกรธ

            ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะโต้ตอบอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงประตูที่เปิดออก พร้อมกับร่างหนาของทินกรเดินเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนเป็นความเคยชิน ธีรพัฒน์สะบัดมือออกจากหญิงสาวแล้วหันไปมองผู้มาเยือนด้วยสายตาเอาเรื่อง

            “เห้ย ฉันเคาะประตูแล้วนะ ทำไมแกมองฉันแบบนั้นล่ะ” ทินกรร้องทัก เมื่อเห็นเจ้าของห้องมองเขาตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์

            “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แล้วแกมาทำไม” เจ้าของห้องถามแขกไม่ได้รับเชิญเสียงขม

            “ฉันก็มาหาที่รักของฉันน่ะสิ ถามได้ เนอะคุณแพร”

            ทินกรเดินเข้ามาใกล้หันไปยิ้มหวานให้หญิงสาวที่ยืนลูบแขนตัวเองอยู่ข้างๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นกล่องที่มีนาฬิกาเรือนสวยอยู่ในนั้นบนโต๊ะของธีรพัฒน์ และถัดไปเป็นนาฬิกาที่พังยับเยินซึ่งเขาจำได้ดีว่าเป็นของหญิงสาวตรงหน้า เพราะเขากับคุณหญิงเพ็ญพักตร์เป็นคนไปเลือกให้หญิงสาวเองกับมือ เพื่อมอบให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสองปีก่อน

            “อ้าว นี่มันนาฬิกาที่คุณป้าให้คุณแพรนี่ครับ ทำไมมันถึงพังยับแบบนี้ล่ะ”

            ทินกรตรงเข้าคว้านาฬิกาที่มีสภาพไม่ต่างจากขยะขึ้นมาดูให้แน่ใจว่าเป็นของหญิงสาวจริงๆ

            “แกรู้ได้ไง” เจ้าของห้องหรี่ตามองแขกไม่ได้รับเชิญอย่างไม่ไว้ใจ

            “ก็ฉันเป็นคนไปเลือกกับคุณป้าเพื่อให้เป็นของขวัญวันเกิดกับคุณแพรน่ะสิ”

            คำพูดของทินกรทำให้ชายหนุ่มที่คิดร้ายกับหญิงสาวนิ่งอึ้งไป ที่แท้นาฬิกาที่เขาคิดว่าคนสำคัญซื้อให้หญิงสาวเป็นแม่ของเขาเองอย่างนั้นเหรอ ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นมาภายในจิตใจแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป

            “เอ่อ... คือ วันนั้นที่แพรล้มแล้วแขนกระแทกกับโต๊ะน่ะค่ะ นาฬิกาคงกระทบไปด้วย” หญิงสาวบอกทินกรด้วยใบหน้าเศร้าหมองอย่างนึกเสียดาย

            “ฉันก็เลยซื้อเรือนใหม่มาชดใช้ให้ แต่เธอไม่ยอมรับ” ธีรพัฒน์เอ่ยขัดขึ้นมาทันทีที่หญิงสาวพูดจบ

            “ทำไมละครับ ผมว่าก็ดูสวยดีเหมาะกับคุณแพรนะครับ” ทินกรบอกหญิงสาวพร้อมกับหยิบนาฬิกาเรือนใหม่ขึ้นมาดู

            “แพรว่ามันแพงเกินไปค่ะคุณกร”

            “ไม่แพงหรอกครับ แค่นี้นายธีร์ขนหน้าแข้งไม่ร่วงสักเส้นด้วยซ้ำ”

            “แต่...”

            “นะ... รับไว้เถอะครับ ไม่ใส่ก็เก็บไว้ อย่างน้อยนายธีร์ก็ได้ชดใช้อะไรให้คุณบ้าง แม้จะเป็นแค่เศษเงินของมันก็ตาม”

            ประโยคหลังของทินกร ทำให้คนซื้อขึงตาใส่อย่างไม่พอใจกับคำพูดประชดประชันของเพื่อนรัก แม้จะเป็นการช่วยพูดให้หญิงสาวรับของจากเขาก็เถอะ

            “ขอบคุณค่ะ”

            แพรวาหันไปบอกธีรพัฒน์เสียงเบาแต่ไม่ยอมสบตา ก่อนจะรับกล่องนาฬิกาเรือนใหม่จากมือของทินกรพร้อมทั้งหยิบนาฬิกาเรือนเก่าขึ้นมาเก็บไว้ด้วย แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเองโดยมีทินกรเดินตามไปไม่ห่าง

            “ทีกับคนอื่นนะ เชื่อฟังจัง...”

            ธีรพัฒน์กัดฟันเปรยออกมาเบาๆ เสมองไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปบอกเพื่อนชายคนสนิทที่เป็นทั้งเพื่อนและญาติของเขา

            “เออ กร เสาร์นี้ว่างหรือเปล่า ไปงานด้วยกันหน่อยสิ”

“งานอะไรวะ”

“งานเปิดตัวบริษัทท่องเที่ยวของเพื่อนฉันที่มาจากอเมริกาน่ะ ฉันจะทำสัญญาให้เขาเอาทัวร์มาลงที่โรงแรมของเรา”

“อืม ไปสิ และคุณแพรไปด้วยหรือเปล่าครับ” ทินกรรับปากเพื่อน ก่อนจะหันมาถามหญิงสาวตรงหน้า

“ต้องไป!” คนตอบคำถามกลับเป็นเจ้านายเอาแต่ใจของเธอ

“งั้นดีเลย เดี๋ยวผมไปรับที่คอนโดนะครับ” ทินกรบอกหญิงสาวยิ้มๆ เขาอยากจะลองหยั่งเชิงคนปากแข็งดูสักหน่อย เชื่อสิว่ามันต้องไม่ยอม

“เลขาฉัน ฉันจัดการเองได้ แกไม่ต้องยุ่งหรอก” ธีรพัฒน์ตวัดเสียงเขียวอย่างไม่ค่อยพอใจ

‘นั่นปะไร! ไอ้สมภารปากแข็งกินไก่วัดจริงๆ ด้วย’ ทินกรเหน็บแนมเพื่อนรักอยู่ในใจอย่างรู้ทัน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณกร แพรก็ไม่แน่ใจว่าจะไปหรือเปล่า แพรไม่ชอบงานแบบนี้สักเท่าไรน่ะค่ะ”

หญิงสาวปฏิเสธออกไปโดยไม่เกรงกลัวคำสั่งของเจ้านาย ทำให้คนที่เหมือนถูกขัดใจหันมามองตาเขียว นี่เธอจะกล้าขัดคำสั่งเขาหรือไง

“งั้นเดี๋ยวผมโทรหาละกัน เผื่อว่าคุณแพรเปลี่ยนใจ ผมจะได้เข้าไปรับ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”

“วันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีจะออกไปข้างนอกด้วยเลยแวะมาบอก เผื่อคุณแพรจะคิดถึง”

หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มขบขันกับคำหยอดหยอกล้อของชายหนุ่มเพื่อนสนิท 

ทินกรปรายตามองเจ้าของห้องเห็นธีรพัฒน์ส่งสายตาอาฆาตมาให้ เขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินออกไป

 

วันเสาร์ซึ่งปกติเป็นวันหยุดของการทำงานอยู่แล้ว แพรวาลืมเรื่องงานเลี้ยงของบริษัททัวร์ไปเสียสนิท และเธอไม่ได้สนใจจะไปร่วมงานอยู่แล้วตั้งแต่แรกแม้จะเป็นคำสั่งของเจ้านายก็ตาม เพราะแค่ธีรพัฒน์กับทินกรก็สามารถเป็นตัวแทนของโรงแรมได้เป็นอย่างดี ไหนจะคุณเมธินีเลขาคนเก่งของธีรพัฒน์ตอนอยู่ที่อเมริกาอีกคน เธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องไป เมื่อเช้าทินกรโทรมาถามเธอและเธอก็ปฏิเสธเขาไปแล้วด้วย ดังนั้นวันนี้หญิงสาวจึงเลือกที่จะทำกิจกรรมประจำวันหยุดของเธอเหมือนปกติ ทั้งกวาดถูซักล้างทำความสะอาดห้องพัก รวมถึงดูแลสวนดอกไม้เล็กๆ ของเธอจนลืมเวลา

            เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กดังแว่วออกมาจากห้องนอน ทำให้คนที่กำลังง่วนกับการจัดสวนดอกไม้ริมระเบียง ต้องเดินเข้าไปในห้อง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อหน้าจอระบุว่าเป็นใครทำให้เธอตัดสินใจอยู่นานกว่าจะกดรับ

            ‘สวัสดีค่ะ’ เสียงหวานกรอกลงไปอย่างไม่เต็มใจนักเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร

            ‘มีชุดหรือยัง’ ปลายสายถามกลับเสียงห้วน

            ‘ชุดอะไรคะ’

            ‘ก็ชุดไปงานคืนนี้ไง หรือว่าเธอลืม’ คนปลายสายเฉลยด้วยเสียงไม่ค่อยพอใจ

            ‘แพรไม่ไปค่ะ’

            ‘ไม่ได้! เธอต้องไป... กับฉัน’

            ‘แต่...’ เสียงหวานที่กำลังจะคัดค้านถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างรวดเร็วเมื่อคนปลายสายออกคำสั่งกับเธออีกครั้ง

            ‘ฉันจะพาเธอไปเลือกชุดแล้วไปที่งานพร้อมกันเลย ตอนนี้ฉันรออยู่ข้างล่างแล้ว อีกสิบนาทีถ้าเธอไม่ลงมา ฉันจะขึ้นไปหาเธอบนห้อง แล้วเราอาจจะไม่ได้ไปร่วมงานนี้ด้วยกันก็ได้ เพราะเธอทำให้ฉันเปลี่ยนใจทำอย่างอื่นแทน’ ธีรพัฒน์ขู่หญิงสาวเสียงเข้ม บ่งบอกว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆ จากนั้นเขาก็ชิงวางสายไปโดยไม่รอฟังคำตอบจากเธอ

            หลังจากได้ยินคำสั่งของคนเอาแต่ใจ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่มีทางปฏิเสธเขาได้ สองเท้าบอบบางเดินไปคว้ากระเป๋าและหยิบของใช้ที่จำเป็นใส่ลงไป จากนั้นก็รีบลงมาหาชายหนุ่มที่รออยู่ข้างล่างด้วยความไม่พอใจ

            มือบางเปิดประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งข้างๆ คนขับจอมบงการที่นั่งหน้าตึงรออยู่ก่อนแล้ว

            “ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ฉันไม่ได้พาเธอไปฆ่านะ” คนตัวใหญ่หันมาต่อว่าหญิงสาวที่เข้ามานั่งในรถด้วยใบหน้าบึ้งตึง

            “ก็ดีได้เท่านี้แหละค่ะ ถ้าไม่พอใจแพรไม่ไปก็ได้นะคะ” หญิงสาวกระแทกกระทั้น ‘ฮึ ทีตัวเองทำหน้าบูดบึ้งอย่างกับยักษ์เธอยังไม่ว่าอะไรเลย’ แพรวาบ่นชายหนุ่มในใจอย่างนึกหมั่นไส้

“ก็ลองไม่ไปดูสิ เธอเจอดีแน่แพรวา” คนเอาแต่ใจไม่วายส่งเสียงขู่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ ของคนตัวเล็ก แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ

 

ธีรพัฒน์พาหญิงสาวมาร้านเสื้อผ้าที่คุณหญิงเพ็ญพักตร์แม่ของเขาแนะนำให้มา ซึ่งเป็นร้านประจำของท่าน และแน่นอนว่าแพรวาที่เคยเป็นเลขาของท่านจะต้องรู้จักอย่างแน่นอน

“สวัสดีค่ะคุณธีร์พัฒน์ แหม่ ตัวจริงหล่อกว่าในรูปตั้งเยอะค่ะ” ธีรพัฒน์ทำเพียงยิ้มบางๆ กับคำทักทายเท่านั้น

ชายหนุ่มไม่นึกแปลกใจว่าทำไมใครๆ ถึงเคยเห็นรูปเขา เพราะทุกๆ สื่อสำนักพิมพ์ตีข่าวของเขาตั้งแต่มาถึงเมืองไทยจนกระทั่งเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของ T- Group แทนมารดา

“สวัสดีครับ ช่วยเลือกชุดและแต่งตัวให้ผู้หญิงคนนี้ที อีกสองชั่วโมงผมจะมารับ” ธีรพัฒน์เบี่ยงตัวเพื่อให้เจ้าของร้านมองเห็นหญิงสาวที่เดินตามหลังมา

“สวัสดีค่ะ คุณตวงพร” แพรวายกมือไหว้เจ้าของร้านที่เธอมากับคุณหญิงเพ็ญพักตร์บ่อยๆ จนคุ้นเคย

“อ้าว น้องแพรนั่นเอง นึกว่าสาวที่ไหน และนี่วันนี้จะไปงานกันใช่ไหมคะ คุณหญิงท่านโทรมาบอกล่วงหน้าไว้แล้วละค่ะ” เจ้าของร้านฉอเลาะเดินเข้าไปจับมือบางของหญิงสาวตัวเล็กอย่างสนิทสนม

“ใช่ครับ ยังไงฝากด้วยนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยฝากอีกครั้ง

“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณธีร์ คนกันเองทั้งนั้น ร้านเราต้อนรับคุณหญิงท่านกับน้องแพรเป็นประจำอยู่แล้ว”

“ครับ งั้นอีกสองชั่วโมงผมจะมารับ” ธีรพัฒน์บอกเจ้าของร้าน ก่อนจะเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กแล้วก้มลงกระซิบเสียงขู่

“อย่าคิดหนีเด็ดขาด ไม่งั้นเธอเจอดีแน่” ว่าจบชายหนุ่มก็เดินออกไปจากร้านทันที เพื่อกลับไปจัดการตัวเองก่อนจะมารับหญิงสาวตามเวลาที่นัดไว้

 

เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ธีรพัฒน์กลับมายังร้านเสื้อผ้าที่พาหญิงสาวมาส่งไว้ก่อนที่เขาจะไปจัดการตัวเองแล้วมารับเธอเพื่อไปงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ด้วยกัน

“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ” ธีรพัฒน์ถามขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน ภายในใจนึกหงุดหงิดที่เขาต้องมารอหญิงสาว

“เสร็จแล้วค่ะ น้องแพรกำลังเลือกรองเท้าอยู่ เดี๋ยวก็ออกมาค่ะ” เจ้าของร้านละล่ำละลักบอกชายหนุ่มอย่างเอาใจ

“นั่นไง ออกมาแล้วค่ะ” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดอะไร เจ้าของร้านก็ชี้มือให้เขาหันไปมองคนตัวเล็กที่กำลังเดินออกมาพอดี

ทันทีที่เห็นแพรวาเดินออกมา ธีรพัฒน์ถึงกับอึ้งในความสวยของหญิงสาวที่ปกติเขาก็ว่าเธอเป็นคนสวยอยู่แล้ว แต่วันนี้เธอกลับดูสวยหวานอย่างไม่มีที่ติจริงๆ ชุดที่เธอสวมใส่ช่างเหมาะเจาะราวกับว่าเป็นชุดที่ออกแบบมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ ชุดราตรีเกาะอกสีชมพูอ่อนนวลตาประดับประดาด้วยมุขและกากเพชรสะท้อนแสงไฟระยิบระยับดูหรูหราน่ามอง แนวอกที่นูนอวบอิ่มเย้ายวนมีดอกกุหลาบเล็กๆ ติดอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้โป๊มากนัก ลำตัวรัดเข้ารูปจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ชายกระโปรงถูกจัดเล่นระดับให้พลิ้วไหวเวลาที่หญิงสาวก้าวเดิน ผมที่เคยปล่อยยาวสลวยปิดแผ่นหลังถูกเกล้าไว้บนศีรษะเปิดต้นคอขาวงามระหง วันนี้เธอช่างสวยจับใจเขาจริงๆ

“ถูกใจไหมคะคุณธีร์” เจ้าของร้านถามเสียงใสด้วยความมั่นใจ เพราะดูจากอาการตกตะลึงของชายหนุ่มแล้วเธอเชื่อว่าเขาต้องถูกใจอย่างแน่นอน

“สวย... สวยมากครับ” ธีรพัฒน์พูดเหมือนละเมอออกมามากกว่า

อาการที่ธีรพัฒน์ยืนมองตาไม่กะพริบทำให้แพรวายิ่งรู้สึกประหม่ากับสายตาของเขาที่ดูหวานซึ้งหยาดเยิ้มจนน่าขนลุก

ร่างเล็กในชุดสวยงามเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะเธอรู้สึกหวาดกลัวกับแววตาของเขา

“พอใจคุณหรือยัง”

เสียงของหญิงสาวตรงหน้าทำให้คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มหลงใหลตื่นจากภวังค์อย่างแสนเสียดาย

“เราไปกันได้แล้ว”

ธีรพัฒน์หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเธอ แต่เลือกที่จะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพราะเขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทนเห็นคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่คว้าตัวเธอเข้ามากอดจูบอย่างใจคิดได้

 

ธีรพัฒน์เดินนำหญิงสาวมาที่รถก่อนจะเปิดประตูฝั่งข้างๆ คนขับเพื่อให้เธอเข้าไปนั่ง ส่วนเขาอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งแล้วก้าวเข้าไปประจำที่ของตัวเอง เขาพยายามไม่หันไปมองร่างบางของคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ มากนัก ชายหนุ่มกัดฟันข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยากคว้าตัวหญิงสาวเข้ามากอดอย่างสุดกลั้น หอบหายใจติดขัดเพราะหัวใจในอกแกร่งเต้นแรงจนเขารู้สึกเหนื่อย

แพรวานั่งตัวเกร็งสองมือประสานกันแน่นไว้บนตัก อาการนิ่งงันของคนเป็นเจ้านายทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่น เพราะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ พอใจหรือไม่พอใจ ‘หรือว่าเธอทำอะไรไม่ถูกใจเขาอีกนะ’ แพรวาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“กลุ้มใจขนาดนั้นเลยเหรอที่ต้องไปกับฉัน” เสียงเข้มถามหญิงสาวอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะคิดว่าคนตัวเล็กไม่พอใจที่ต้องไปกับเขา

“เปล่าค่ะ” แพรวาตอบคนเป็นเจ้านายเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

“แล้วถอนหายใจทำไม”

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”

“นี่เธอจะกวนประสาทฉันหรือไงแพรวา!” คนตัวใหญ่หันมาตะคอกเสียงเขียว

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้โต้ตอบอะไร เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

ธีรพัฒน์ล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กในเสื้อสูทออกมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนสาวคนสนิทจึงกดรับด้วยอารมณ์ฝืดฝืนเบื่อหน่าย

‘ครับ’ เสียงเข้มกรอกลงไปอย่างไม่เต็มใจนัก

‘ธีร์คะ มารับเมนี่หน่อยสิคะ’ ปลายสายออดอ้อนเสียงหวาน

‘ผมออกมาจะถึงงานอยู่แล้ว คงไปรับไม่ทันหรอก คุณขับรถมาเองเถอะ’ ธีรพัฒน์บอกคนปลายสายเสียงเรียบ เหลือบตามองคนข้างๆ ที่นั่งหน้างอหงิกเหมือนคนถูกขัดใจ

อีกคนออดอ้อนอยากให้เขาไปรับ ส่วนอีกคนเขาบังคับฝืนใจไปรับเธอมา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกพอใจกับอย่างหลังมากกว่านะ ธีรพัฒน์คิดอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

‘แต่ธีร์เป็นคนชวนเมนี่นะคะ’

‘ผมก็บอกตามที่เจสันเขาฝากมาเท่านั้นแหละ แต่ผมไม่ได้บอกว่าจะไปรับคุณ’ คนหงุดหงิดเริ่มทำเสียงขุ่น นึกรำคาญหญิงสาวปลายสายที่พักนี้หมั่นโทรมากวนใจเขาบ่อยๆ

‘แต่ธีร์คะ...’

ยังไม่ทันที่คนปลายสายจะเอ่ยปากออดอ้อน ชายหนุ่มขี้โมโหก็ชิงตัดบทขัดขึ้นมาเสียก่อน

‘ไว้เจอกันที่งานเลยแล้วกัน ผมขับรถอยู่’ ว่าจบมือหนาก็กดวางสายไปทันทีโดยไม่สนใจอีกฝ่าย

ธีรพัฒน์เหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งเหมือนจะหันหลังให้เขาด้วยซ้ำ สายตามองวิวทิวทัศน์ด้านนอกรถเหมือนมีสิ่งที่น่าสนใจนักหนา คนตัวใหญ่นึกหงุดหงิดที่หญิงสาวไม่สนใจจึงหาเรื่องกวนประสาทเธอ

“งานนี้สื่อมวลชนเยอะ ทำตัวดีๆ หน่อยล่ะ อย่าให้เสียชื่อไปถึงคุณแม่ท่าน”

เสียงของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวที่นั่งเบียดชิดริมกระจก หันขวับมามองเขาด้วยสายตาแค้นเคือง

“แพรรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ และตลอดเวลาที่ทำงานกับคุณท่านมา แพรก็ไม่เคยทำตัวให้ท่านต้องเสื่อมเสีย”

            “ฉันก็แค่บอกไว้ก่อน กลัวเธอจะไปหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายจนเสียงาน”

            “คุณธีร์!”

            หญิงสาวกระชากเสียงเรียกชื่อเขาอย่างนึกโกรธเคือง สองมือกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อเธอยังรู้สึกเจ็บน้อยกว่าคำพูดของผู้ชายปากร้ายตรงหน้า

            “ทำไม! จะตบฉันอีกหรือไง แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ แม้จะเป็นในรถฉันก็ไม่ปล่อยเธอไว้แน่”

            คนกวนประสาทหันมาขู่เสียงเข้มหัวเราะในลำคอเบาๆ ยิ่งได้ยินเสียงฮึดฮัดไม่พอใจของคนตัวเล็ก เขายิ่งรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

            เมื่อกวนประสาทหญิงสาวจนพอใจแล้ว ธีรพัฒน์ก็หันมาสนใจกับหน้าที่ของตัวเองโดยตลอดทางเขาปรายตามองคนข้างๆ เป็นระยะ เพราะในใจก็นึกหวั่นกลัวเธอจะร้องไห้จนใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มไว้อย่างสวยงามจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาไม่เช่นนั้นเขาคงเสียดายแย่ และที่สำคัญเขาไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอ

           

            ไม่นานรถสปอร์ตคันหรูของธีรพัฒน์ก็พาหญิงสาวมาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงเปิดตัวบริษัททัวร์ซึ่งเป็นโรงแรมหรูหราอีกแห่งหนึ่งในเครือ T-Group ของเขาเอง

            ธีรพัฒน์ก้าวขาลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูให้คนตัวเล็กที่นั่งมาด้วย แต่ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปถึงประตูรถก็ถูกเปิดออกมาจากคนข้างใน พร้อมกับขาเรียวสวยของหญิงสาวที่ก้าวออกมา

            “ทำไมไม่รอให้ฉันมาเปิดให้” คนถูกขัดใจต่อว่าคนตัวเล็กเสียงขม

            “ไม่จำเป็น”

            หญิงสาวตอบเพียงสั้นๆ พร้อมกับทำท่าจะก้าวเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ยังไม่ทันจะทำอย่างใจคิด สองเท้าน้อยๆ ต้องหยุดชะงักด้วยคำสั่งของคนเอาแต่ใจ

            “ตลอดเวลาที่อยู่ในงานเธอต้องอยู่ห่างฉันไม่เกินหนึ่งช่วงแขน” เสียงเข้มเอ่ยจริงจังบ่งบอกว่าเป็นคำสั่ง

            “เพื่ออะไร? แพรไม่ใช่สมบัติของคุณนะคะ” คนตัวเล็กหันมาค้อนถามเสียงแข็งอย่างไม่เข้าใจ

            “ฉันสั่งก็ทำตามแล้วกันน่า ไม่ต้องอยากรู้ว่าเพื่ออะไร” จะให้เขาบอกได้อย่างไรว่าที่ไม่ให้เธอห่างกาย เพราะวันนี้เธอสวยจนเขานึกหวั่นใจไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้เธอนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น

            ธีรพัฒน์เข้ามายืนใกล้หญิงสาวพร้อมกับงอแขนข้างที่ชิดลำตัวของเธอขึ้นมาอย่างรอคอยอะไรบางอย่าง แพรวาเอียงคอมองการกระทำของชายหนุ่มอย่างงงๆ เขาต้องการอะไรจากเธออีก และไม่นานก็ได้คำตอบที่ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ

            “จับแขนฉันสิ” คนตัวใหญ่บอกเสียงเบา แต่กลับหนักแน่นเหมือนมันเป็นคำสั่งมากกว่า

            “แพรเดินเองได้ค่ะ” หญิงสาวตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะยังงงๆ กับการกระทำของชายหนุ่ม

            เขาคิดยังไงจะให้เธอจับแขนเขาเดินเข้าไปในงาน มีหวังตกเป็นเป้าสายตาแน่ๆ เธอไม่อยากเด่นดังหรือเป็นที่ซุบซิบของใคร

            “หรือจะให้ฉันอุ้มเธอเข้าไป” เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้น ทำให้คนตัวเล็กที่กำลังยืนครุ่นคิดเอาตัวรอดอยู่ต้องรีบยกมือจับหมับที่แขนแข็งแกร่งของเขาทันที เพราะเธอเชื่อว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆ หากเธอไม่ตามใจเขา

            “พอใจหรือยังคะ” แพรวาหันมาค้อนใส่ชายหนุ่ม เธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของคนตัวใหญ่ที่ดูเหมือนเขาจะพอใจกับการขู่บังคับเธอได้

            “ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ฉันให้เกียรติเธอควงแขนขนาดนี้เลยนะ” ธีรพัฒน์หันมาบอกหญิงสาวข้างกายขณะก้าวเดิน

            “แพรไม่ได้ขอร้องคุณนี่คะ”

            “อย่าลืมที่ฉันสั่งไว้ก็แล้วกัน” คนตัวใหญ่หยุดเดินหันมาจ้องมองคนตัวเล็กอย่างจริงจัง

            “อะไรคะ”

            คนที่ไม่ได้สนใจคำสั่งเอียงคอทำหน้างงอย่างน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของคนมอง ความอดทนที่พยายามเก็บกลั้นไว้มลายหายไปสิ้น ไวเท่าความคิดคนตัวใหญ่ก้มลงหอมแก้มนวลตรงหน้าอย่างนึกมันเขี้ยว คนถูกขโมยหอมอย่างไม่ทันตั้งตัวตกใจพยายามดึงมือออกจากแขนของชายหนุ่มแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเขาหนีบมือเธอไว้แน่น

            “คุณธีร์!”

            “ฉันจะบอกเธออีกครั้ง ห้ามอยู่ห่างจากฉันเกินหนึ่งช่วงแขน ถ้าขัดคำสั่งหรือลืมคำสั่ง ฉันจะเตือนเธอด้วยวิธีแบบเมื่อกี้อีก ไม่ว่าเธอจะยืนอยู่ตรงไหน กับใคร ฉันก็สามารถเตือนความจำให้เธอได้ ไม่เชื่อก็ลองดู” กล่าวจบคนตัวใหญ่ก็ก้าวเดินออกไปข้างหน้าโดยมีหญิงสาวเดินหน้าบึ้งตึงเคียงข้างไปด้วย

 

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

^_^

สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่

           

mebmarket ...และ... ookbee

หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง

E-mail : oilza24@hotmail.com

โทร : 094-4942566

ไลน์ : oilza_writer

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา