The Vampire Powers.
เขียนโดย katzee
วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 14.24 น.
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 17.51 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ชี้เเจ้ง เนื่องจากหายเข้ากลีบเมฆ
ขอโทษที่หายไปนานนะจ้ะ ช่วงนี้ติดภารกิจภาระงานที่ต้องรีบสะสาง เเต่ก็มาอัพเเล้วนะฮับ
ทุกคนสามารถเมนท์เป็นกำลังใจหรือกดไลค์เเละให้คะเเนนได้นะครับ ตามศรัทธา
เจอกันบทต่อไปนะฮับ เชิญอ่านกันได้เลย..................
.............ลูเซียสขอร้องเอ็ด มาช่วยกับสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าลูเซียสไม่เป็นอันตรายต่อตัวเขาเอง เพราะเขาได้ดูจากสิ่งที่องค์กรนี้ทำ เขาถูกปล่อยตัวและศึกษางานที่คนเหล่าได้มีหน้าที่แตกต่าง ผู้คนในนี้อาจจะดูกลัวเขาเพราะเขาคือแวมไพร์ที่ยังคงความเป็นมนุษย์และมีรังสีพลังที่แผ่ออมาจากตัวเขา ทำให้ดูเหมือนผู้ทรงอำนาจ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเพิ่งรับรู้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่มันเป็นสิ่งที่ตะขิดตะขวงใจเขามานานการที่จะให้พวเขาออกมาตามล่าหาลูกๆในไส้ นั้นเหมือนเป็นภารกิจสิ้นคิดไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงแล้วตายไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาตัดสินใจได้ทีเดียวเชียวนะ เพราะฉะนั้นเขาขออยู่ในที่ที่ควรจะเป็น และดูเหมือนเองก็ยังเป็นน้องใหม่สำหรับคนที่นี่ ต้องใช่เวลาที่จะฝึกหัด
“นายมั่นใจได้ยังไงกัน” ลูเซียสถามด้วยความสงสัย
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรอกเหรอ ห้ามมีความคิดเห็นอะไรทั้งสิ้น”
เอ็ดเงยหน้ามองตามผู้อาวุโสที่เดินไปเดินมา ชุดสีขาวสว่างที่เขากำลังสวมใส่อยู่นี้มันขับให้เขาดูน่าตลก
“นายต้องอย่าให้พวกเขาเห็นนายว่ายังมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ว่าใดๆทั้งสิ้น” ลูเซียสสั่งพร้อมกับมีของจำเป็นวางอยู่บนโต๊ะ แต่ที่แน่ๆเขาขอกลับไปทำเรื่องบางอย่างในใจเขาให้มันจบไป
“ผมจะไม่ออกความเห็นอะไรทั้งนั้น ถือว่าเราควรไม่มายุ่งเรื่องส่วนตัว”
ลูเซียสนิ่งเงียบไปนาน เขาคงกำลังใช้ความคิดว่าเด็กหนุ่มแวมไพร์คนนี้มีความน่าเชื่อถือมากมายแค่ไหน แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอันใหญ่หลวงอะไร เพราะเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มีความคิดที่คับแคบเหมือนที่เห็นแวมไพร์เกิดใหม่มามากมาย
แต่เขามีความสงสัยใคร่รู้และเลือกทำในสิ่งที่มันถูกต้องซึ่งมันดูเหมือนเห็นแก่ตัวอยู่เนืองนิตย์แต่ใครจะรู้ เขาพบเจอผู้คนมามากมายไม่เคยมีใครที่ทำให้สามารถเชื่อในตัวมากขนาดนี้
“ก่อนอื่น นายต้องไปอยู่กับคนของฉัน คลินท์จะคอยจัดการให้เอง ” เอ็ดถอนหายใจเพราะนับตั้งแต่เกิดเรื่องมีหลายสิ่งหลายอย่างมันโหมกระหน่ำเข้ามาไม่ยั้งและดูเหมือนมันจะมากขึ้นไปตามลำดับ แต่ชั่วขณะหนึ่งดันมีใบหน้าของหญิงสาวคนที่ทำให้เขาโหยหาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ถึงแม้จะเคยอยู่แต่ในค่าย แต่พวกเขาก็ได้รับการฝึกออกไปด้านนอกบ้างก็แต่งตัวปลอมเป็นอีกคนเพื่อศึกษาพฤติกรรมคน การฝึกตลอดชีวิตวัยเด็กมันสอนเขาได้มากมายแต่ดูเหมือนมันจะขาดอะไรบางอย่างไปซึ่งไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่ามันคืออะไรจริงๆ
“ผมขอไปจัดการเรื่องของตัวเองก่อนได้ไหม”
“ถ้านายทำมันนอกเหนือจากนี้ คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เอ็ดรู้ดีว่าลูเซียสหมายถึงอะไร คงไม่มีใครคนไหนที่จะมาเชื่อใจให้กับคนแปลกหน้าที่เป็นฝ่ายตรงข้ามในแบบศัตรูหรอก เขาอยากจะไปหาเธอคนนั้นมาก
แค่ให้เธอรู้ว่าเขาคิดอย่างไร มันอาจจะเจ็บปวดน้อยลงดีกว่าไม่ได้ไป ทันทีที่เขาพบความทรงจำของเธอก็จะหายไป อย่างน้อยให้เธอได้รู้มันก็คงจะดี เอ็ดเหลือบมองอาวุธบนโต๊ะ สายตามีประกายแววครุ่นคิดสะท้อนออกมา เขาว่าเขากำลังค้นพบสิ่งที่ต้องการแล้วล่ะ
ในที่สุดเอ็ดก็ถูกปล่อยเป็นอิสระแต่ถึงกระนั้นเขาก็ต้องมาคอยตามติดคนที่เป็นเหมือนคนสนิทของลูเซียส ตอนนี้พวกเขาอยู่บนถนนสายหลักที่กำลังออกตัวเมืองเพื่อที่จะได้เชื่อว่าเขาหายไปแล้วจริงๆ ชายหนุ่มใช้แขนขวาเท้าไว้บนกระจกรถด้านข้าง เพื่อมองดูสิ่งที่แล่นผ่านสายตาเขาไปด้วยความเร็ว
คลินท์เป็นคนขับรถให้อย่างเงียบๆ สภาพของเขาก็ดูไม่จืดมีลวดลายของรอยสักอยู่เต็มไปหมด ทำให้เอ็ดคิดว่าเขาดูเหมือนนักฆ่าปืนโหดมากกว่าจะมาเป็นลูกน้องให้กับแวมไพร์ สักพักหนึ่งเขาจึงหลับตาลง ขับไล่ลืมเรื่องต่างๆเอาออกไปให้พ้นความคิด เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบเขาพบว่าตัวเองสะดุ้งหลุดออกจาความคิดเมื่อคลินท์หักเลี้ยวเข้าถนนเล็กข้างทาง เข้าสู่เวลาลางคืน…..
เขาได้ยินเสียงคำรามแปลกๆลอยผ่านเข้ามาในหู รู้สึกเหมือนมีบางอย่างคอยจับตามองพวกเขาอยู่
“เราอยู่ที่ไหน…”
“เดี๋ยวก็รู้เองแหละ” คลินท์ตอบทั้งๆที่สายตาไม่ละไปจากทางข้างหน้าที่มืดมิด พลางเหลือบเห็นคนนั่งข้างๆพยายามยืดตัวขึ้นให้นั่งสะดวก
จู่ๆความรู้สึกจากภัยคุกคามทำให้เอ็ดนั่งไม่ติด สัญชาติญาณเริ่มทำงาน ดวงตาสีสวยแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง คลินท์กระแทกเหยียบเบรกระทันหันส่งผลให้รถเสียหลัก หมุนเป็นวงกลมอย่างควบคุมไม่ได้
กระแทกเข้าที่ต้นไม้ข้างทาง เมื่อสามารถตั้งสติได้ครบถ้วนสายตาสะดุดกับบางอย่าง ข้างหน้ามีกลุ่มคนเดินเข้ามาจนสามารถเห็นหน้าตาได้ชัดเจนจากไฟหน้ารถ
ดวงตาของกลุ่มคนเหล่านั้นสะท้อนแวววาวแสงไฟเหมือนสายตาสัตว์กลางคืน พร้อมเลื่อนมาจดจ้องที่เขาแต่เพียงผู้เดียว
“นี่มัน…..มนุษย์หมาป่า”
“ใช่ ทำตัวดีๆเข้าไว้ล่ะ” คลินท์หันมาตอบด้วยสีหน้าเย็นชาพลางเปิดประตูลงไปยืนเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น
ตลอดเวลาพวกเขาถูกบังคับให้รู้จักกับพวกนี้ในทางที่ค่อนข้างแย่ เจอเมื่อไหร่คือฆ่า แต่คลินท์ต้องการไปพูดคุยกับพวกนั้นนี่น่ะ ฆ่าเขาเลยจะดีกว่า
เขาค่อยลงจากรถจากเบาะนั่งอีกฝั่งเพราะมันติดต้นไม้อยู่แล้วเดินตามหลังคลินท์ไป ทันทีทันใดพวกนั้นมีอาการโมโหอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาถอยห่างออกไปหลายก้าวหลังจากที่เอ็ดมายืนขนาบข้างกับคลินท์
“เราแค่ต้องการผ่านทางเท่านั้น เราไม่ได้จะมาทำอะไรพวกท่าน”
เอ็ดมองเห็นสายตาพวกเขาแต่ละคนด้วยความรู้สึกประหม่าชอบกล พวกเขาไม่ยอมละสายตาไปจากเขาเลย ให้ตายสิ
“เราจะรู้ได้ยังไง…. พาไอ้ตัวเย็นนี่ออกไปซะ” มีผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าจ่าฝูงเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ถ้าดูจากจำนวนของพวกคุณ เราเสียเปรียบเห็นๆ” เอ็ดรวบรวมคำพูดออกมาได้ในที่สุด
“มันทดแทนกับจำนวนที่เราสูญเสียไปเพราะพวกแกไม่ได้หรอก”
เอ็ดเอะใจ เขาชักอยากจะรู้ซะแล้วว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงเกลียดพวกเขาเข้าไส้ซึ่งไม่ต่างกันเท่าไหร่กับสิ่งที่เขาถูกห้ามให้หลีกเลี่ยง
“เฮ้…” ก่อนที่เอ็ดจะพูดเขาถูกคลินท์ดันแผ่นอกออกไปเพื่อเป็นการบอกนัยๆว่าเขาจะพูดเอง
“บอกเราได้ไหม เพื่อความปรองดองต่อกัน”
คนที่เป็นหัวหน้าจ่าฝูงที่มีทรงผมกระเซอะกระเซิง ก้าวเท้าขึ้นมาข้างหน้าพร้อมสูดลมหายใจเข้าไปเพื่อดมกลิ่น
“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ”
“เนื้อสักก้อนไหมล่ะ” คลินท์ตอบด้วยใบหน้าแสยะยิ้มอ่อนก่อนที่ทั้งสองจะโผเข้าหากันแบบเพื่อนที่ไม่เคยเจอกันมานานเพราะเอ็ดลอบถอนหายใจว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
“นี่มันอะไรกัน” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลังของกลุ่มคนข้างหน้าที่แหวกกลุ่มให้เธอเดินเข้ามา
“นี่เพื่อนฉันเอง คลินท์” ชายคนนั้นแนะนำให้เธอหลังจากถอนกอดเรียบร้อย
“และเพิ่งรับน้องไปหมาดๆ” คลินท์กล่าวเสริมพร้อมรอยยิ้มแพรวพราวมาทางเขา
ผู้หญิงคนนั้นทำให้ทุกคนดูหวาดกลัวและเคารพน้อบน้อมไปตามๆกัน เธอเหลือบมองเขาเพียงชั่วขณะก่อนจะเพ่งพินิจมองหัวจรดเท้าก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนของคลินท์ว่า
“ระวังเพื่อนของเธอไว้ให้ดีแล้วกัน ที่นี่ไม่ชอบสิ่งที่เป็นภัยคุกคาม”
“โอเค ” คลินท์รับปาก
“ฉันไทเลอร์ รองหัวหน้าจ่าฝูง ส่วนนั่น มีอา เธอเป็นหัวหน้าจ่าฝูงและบางทีเธอไม่ชอบข้องแหวะใคร โดยเฉพาะศัตรูอย่างนาย เธอแทบอยากจะขย้ำหัวนายไปเลยล่ะ” ไทเลอร์สาธยายเอ็ดรับคำพลางแนะนำตัวให้พวกเขารู้จัก
“สงสัยพวกเราคงต้องรบกวนแล้วล่ะ”แค่ตำขอของคลินท์ก็สามารถทำให้ทุกคนยอมอ่อนข้อและดูเหมือนว่าเขาต้องปรับตัวเองใหม่ซะแล้ว…………………………………….
ถิ่นของแวร์วูฟ
หลังจากเมื่อคืนวานเอ็ดได้พบปะกลุ่มคนที่มีเชื้อสายเป็นมนุษย์หมาป่า และได้ทำความรู้จักกันเล็กน้อยแต่มันค่อนข้างเซอร์ไพรส์มากๆและรู้สึกกดดันสุดๆ เพราะเขาเป็นแวมไพร์ตนเดียวที่อยู่ในถิ่นของคนเหล่านี้ ถ้านึกภาพไม่ออกละก็ ลองคิดว่าถ้าคุณเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางผู้คนที่เป็นเพศที่สามหรืออื่นๆ นั่นก็พอทำให้คุณเดาออกอยู่แน่ๆ
หนุ่มแวมไพร์ยันตัวลุกขึ้นจากเตียงเมื่อไม่เห็นเพื่อนร่วมห้อง ห้องขนาดกลางธรรมดาที่มีกลิ่นอายของต้นไม้ชนิดหนึ่งอบอวลไปทั่ว ที่นี่ไม่ได้แตกต่างไปจากบ้านคนทั่วไปเท่าไหร่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นจากสิ่งธรรมชาติเช่นไม้หรือ ดิน หิน เป็นต้น ให้อารมณ์เหมือนเขาอยู่ที่ค่ายก่อนจะออกมาอยู่โลกภายนอก…
เอ็ดออกมาจากบ้านหลังนั้น พร้อมกับเดินตามหาคลินท์ที่ไม่รู้ป่านนี้ไปอยู่ไหน เขาแปลกใจเล็กน้อยเมื่อไม่คิดว่าสถานที่ที่เขาพักอยู่เมื่อคืนนั้นอยู่ท่ามกลางในป่าในเขา แถมเขาไม่ยักกะเห็นคนที่สักนิดเลย เขาหันไปมองทางบ้านอีกฝั่งตรงข้ามที่กระแทกปิดหน้าต่างเมื่อเห็นว่าเขารู้ตัวและเขารู้ดีว่าไม่ควรที่จะสุงสิงกับใคร เพราะแค่นี้เขาก็แทบเสียวสันหลังตัวเองจะแย่อยู่แล้ว
เขาได้ยินเสียงผู้คนที่พูดคุยกันอย่างออกรส พร้อมกับกลิ่นอาหารที่ลอยมาตามลม เมื่อเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและพบกับไทเลอร์รองหัวหน้าจ่าฝูงที่พบเมื่อคืนกำลังนั่งคุยอยู่กับคลินท์
“ไอ้ตัวดูดเลือดมาโน่นแล้ว” มีหนึ่งในนั้นตะโกนบอกเพื่อนๆระหว่างที่เขากำลังเดินตรงมาอย่างประหม่า
แทบจะทุกคนที่ยืนล้อมวงท่ามกลางกองไฟในตอนเช้าเพื่อหาความอบอุ่น อากาศจึงค่อนข้างเย็นต่อให้มันเย็นยังไงเขาก็คงไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว และเขาไม่ยักจะรู้ว่าพวกแวร์วูฟหนาวเป็นด้วย ททุกสายตาจดจ้องมายังเขา
“เอ่อ หวัดดี”
ทุกคนละสายตาไปจากเขาพร้อมกันไปสนใจสิ่งที่ตัวเองกำลังคุยค้างไว้อยู่ แต่เมื่อเขาเดินไปหาคนที่เขารู้จักอยู่คนเดียวเท่านั้น ทุกคนแทบจะแหวกทางให้แก่เขา แต่ส่วนมากก็ด้วยความรังเกียจซะมากกว่า
คลินท์ทำทีเป็นเหมือนไม่สนใจเขามากเท่าไหร่นักแต่เมื่อเห็นเขาที่ยังยืนจ้องมองนิ่งไม่เปลี่ยนท่าทางจึงเปิดปากพูกออกมาในที่สุด
“ไม่หาอะไรกินหน่อยหรอกเหรอ”
“งั้นฉันจะไปเดินสำรวจละกัน” เอ็ดพูดด้วยความเบื่อหน่ายและเดินมุ่งหน้าเข้าป่า
“ล้อเล่นน่า ทุกคน นี่เอ็ดดี้ เขาเป็นมิตรต่อเราอย่างแน่นอน หายห่วง” ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเดินไปก็ถูกไทเลอร์พูดขัดขึ้นมาก่อนพร้อมกับแนะนำตัวเขาให้ทุกคนที่เหลือฟัง
“เราจะแน่ใจได้ยังไง บางทีหมอนี่อาจจะลุกขึ้นมากัดเราตอนไหนก็ได้” มีบางคนพูดขึ้นมาแต่เอ็ดไม่ต้องการที่จะสนใจ
“ที่แน่ๆผมจะกัดคุณเป็นคนแรก” เอ็ดตั้งใจเสียดสีให้แก่คนนั้นซึ่งก็ปิดปากนิ่งไปเมื่อเห็นท่าไม่ดีและคนอื่นๆก็ไม่ได้พูดเสริมทัพอีกแล้ว
“งั้น บอกฉันด้วยนะว่าเราจะไปเมื่อไหร่” คลินท์พยักหน้าให้เด็กหนุ่มแวมไพร์ ไม่กี่วินาทีเอ็ดก็หายตัวไปแล้ว
พื้นที่ของอาณาเขตของชาวแวร์วูฟขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่แตกต่างจากในค่ายที่เขาเคยอยู่มาเลยด้วยซ้ำและเขาแทบจะรู้สึกกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอาจเป็นเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับแวมไพร์ตัวดูดเลือดอย่างเขาหรอก
ก็เหมือนกับการที่เราไปเหยียบเขตแดนคนอื่นโดยไม่ขออนุญาติพร้อมกับจะรู้สึกร้อนๆหนาวๆเสียวสันหลังตลอดเวลา เขาคิดในใจพลางมองไปรอบๆเพิ่งสังเกตได้ว่าเขาเดินออกมาไกลมาก
ว่าไปแล้วเขาเองก็ถูกเชิญมาอย่างถูกต้อง ไม่จำเป็นจะต้องกลัวอะไรเลยด้วยซ้ำ ว่าแล้วหนุ่มแวมไพร์ที่มีประกายตาสีน้ำตาลสีเดียวกับสีผมค่อยๆหลับตาลงและยื่นแขนออกมาขนาบข้าง
ความรู้สึกข้างในกำลังปั่นป่วนเหมือนประจุระเบิดพร้อมสั่งการเมื่อไหร่ก็ได้ ใบไม้แห้งกรอบตกอยู่ทั่วบริเวณค่อยๆลอยขึ้นหมุนเป็นวง อย่างช้าๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนหมุนเร็วมากขึ้นซึ่งดูเหมือนเขาเป็นจุดศูนย์กลางทอร์นาโด้ขนาดกลาง
ใบหน้าของเขาแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อเขาสามารถควบคุมพลังตัวเองได้แล้วก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นอีกก่อนจะกระตุกมือ…เพียงชั่วขณะประกายไฟก็เกิดลุกพรึ่บขึ้นกลางอากาศส่งผลให้ใบไม้ถูกเผาไหม้จนไม่เหลือเค้าเดิม ก่อนจะลอยตกลงมาเมื่อเถ้าธุลีสีดำ โดยมีเอ็ดที่แหงนมองมันด้วยสีหน้าพอใจ
มันคงจะมีแค่อยู่สิ่งเดียวที่เป็นเพื่อนยามเหงาได้ ขณะที่ชายหนุ่มฉุกใจคิดเขาก็นึกถึงใบหน้าเพื่อนรักขึ้นมา ใบหน้าเขาแหงนขึ้นมองสิ่งที่ทำมันไปเมื่อครู่ด้วยความสับสน มันอาจจะเป็นเพราะมีบางสิ่งที่มันไม่ได้ต้องการให้มีพวกเขาหรือยังไงกัน ความทรงจำเล็กน้อยๆที่เขาได้มีมันในเพียงระยะสั้น ตั้งแต่เริ่งย่างเท้าออกมาจากบ้านหรืออาจจะเป็นที่คุมขังไว้สำหรับพวกเขา
มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ววิ่งผ่านหางตา เขาหลุดออกจากภวังค์พลางสอดสายตามองหาใบไม้ที่สั่นแทบจะทำให้เขาเป็นประสาทได้โดยสมบูรณ์แบบ เพียงชั่วขณะกรงเล็บก็พุ่งฉิวเข้ามาหาเขาและเห็นเจ้าของกรงเล็บนั่นอย่างชัดเจน เขาเอี้ยวตัวหลบและปัดมันออกไป
พอตั้งหลักได้เขาก็ไม่พบสิ่งนั้น เขาหมุนตัวเป็นพัลวัน พวกนี้ต้องการเล่นงานอะไรจากเขาอีกกันแน่ เมื่อความโมโหเข้าครอบงำดวงตาเขาเป็นสีขุ่นก่อนจะเกิดลมหมุนอยู่รอบตัวซึ่งมันดูหนักแน่นซะยิ่งกว่าที่เขาทำเมื่อครู่
“ฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นซ่อนแอบหรอกนะ”
สิ้นประโยคก็มีบางอย่างพุ่งเข้ามาหาคนละทางและมาพร้อมกับอาวุธที่เขาต้องระวังไว้ให้ดี เพราะถ้าพลาดขึ้นมาคงได้เป็นประสาทหลอนของจริงแน่...................
Thx u guys to reading.
See u for the next chapter........
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ