วัยรุ่นหิมพานต์
7.9
เขียนโดย โชจัง
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.
20 บท
38 วิจารณ์
26.11K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) พรสามประการ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“กิ๊งก่องๆๆ” เสียงกริ่งอันคุ้นหูดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ณ โรงเรียนสุวัฒนา เป็นดั่งสัญญาณอันดี สำหรับการเริ่มต้นคาบเรียนแรกในเช้าอันสดใสเช่นวันนี้ ณ ห้อง ม.๔/๘ ห้องเรียนปกติธรรมดาทั่วไปเหมือนห้องเรียนอื่นๆ เต็มไปด้วยเสียงสนทนาอันเจี๊ยวจ๊าวจากปากนักเรียนนับสิบ ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้องตามประสาเด็กวัยรุ่น แต่ทันใดนั้นเอง เสียงเหล่านี้กลับหยุดลงแทบจะทันใด เมื่อนักเรียนคนหนึ่งได้ก้าวเท้าเข้ามาผ่านประตูหลังห้องพร้อมหัวแหลมๆ ของเขา ชายผู้ก่อเรื่องวุ่นวายสารพัดเมื่อวานนี้ กันมาถึงแล้ว“อรุณสวัสดิ์” แค่เพียงชายคนนี้เดินเข้ามาภายในห้อง สายตาของทุกๆ คนต่างก็พร้อมใจกัน จ้องไปยังตัวเขาเพียงคนเดียวอย่างพร้อมเพรียง ทว่า สายตาในคราวนี้กลับไม่เหมือนวันแรกที่ได้พบเจอแต่อย่างใด ใบหน้าของทุกคนมิได้เบิกบานด้วยรอยยิ้ม แต่กลับกัน มันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ พร้อมด้วยสีหน้าอันไม่ไว้วางใจเสียมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ถึงจะถูกมองด้วยสายตาอันแปลกประหลาดจากเพื่อนทั้งห้อง หนุ่มหัวแหลมกลับไม่รู้สึกเอะใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเดินตรงไปยังโต๊ะของตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ซึ่งข้างๆ นั้น มีเพื่อนสนิทของเขา นามว่าติ๊กนั่งอยู่นั่นเอง“อรุณสวัสดิ์” ถึงแม้จะทักทายกับเพื่อนทั้งห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กันก็ยังไม่ลืมที่จะทักทายเพื่อนคนนี้ สำหรับคนเฉยชาเช่นติ๊กแล้ว การจะทำให้เขาปริปากพูดนับว่าเป็นการยากเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป ในเมื่อติ๊กได้ประสบเหตุการณ์เมื่อวานก่อน จิตใจของเขาคงจะยอมรับตัวกันขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้“พูดซ้ำไปซ้ำมาทำไมวะ” ติ๊กถามกวนๆ ด้วยใบหน้าอันเย็นชา “มาสายอีกแล้วนะมึงน่ะ”“ก็เมื่อวานกูดูชิ๐ร้อยชิงล้านนี่หว่า” กันยิ้มตอบพร้อมหย่อนก้นลงนั่ง“ชิงร้อ๐ชิงล้านมันมีวันอาทิตย์ไม่ใช่รึไงวะ” ติ๊กถามต่อ“กูดูย้อนหลังสัส” บทสนทนาอันเป็นธรรมชาติของทั้งสองคนนี้ ถึงกับทำให้กฤษกับซันเป็นอันต้องตกตะลึงไปตามๆ กันเลยทีเดียว ในหัวของพวกเขาคงมีแต่คำถามมากมายผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ว่าเพราะเหตุใด คนสองคนที่พึ่งจะทะเลาะกันครั้งใหญ่เมื่อวาน ถึงกลับมาคืนดีกันไวเช่นนี้“...นายคิดเหมือนฉันไหม บี ๑” กฤษถามซัน ขณะที่ทั่งคู่ยังจ้องมองไปยังการสนทนาของทั้งคู่“ถึงกูจะไม่ใช่บี ๒” ซันตอบไปด้วยความอึ้ง “แต่กูก็คิดอย่างมึงแหละ”
วัยรุ่นหิมพานต์บทที่ ๔ พรสามประการ
“กิ๊งก่องๆๆๆๆ” เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก เสียงกริ่งหมดคาบกังวาลขึ้นทั่วทั้งโรงเรียนแห่งนี้อีกครั้ง ดังไปถึงหูเหล่านักเรียน ม.๔/๘ ทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะเป็นสัญญาณแห่งการหมดคาบ การที่นักเรียนเกือบทั้งห้องลุกขึ้นจากเก้าอี้และทยอยออกไปทีละน้อย นี่คงถึงเวลาแห่งการพักกลางวันแล้วแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น กลับยังมีชายคู่หนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน กันกับติ๊กนั่นเอง“เออ สหายติ๊ก กูว่าจะถามแต่เช้าแระ” กันหันไปถามติ๊กต่อ “มีไรติดตรงหน้ากูป่าววะ”“ไม่นี่” ติ๊กหันมาสำรวจใบหน้ากันเล็กน้อย “มีไรวะ”“ก็ไม่รู้ดิ ตอนกูเดินเข้ามานะ” กันอธิบายถึงสาเหตุ “ทั้งห้องแม่งพร้อมใจกันมองหน้ากูโดยมิได้นัดหมายเหมือนวิสาขบูชาเลยว่ะ”“.../ลูกถีบเหมันต์ฟาดปฐพี!!!/...” ติ๊กนิ่งเงียบพลางนึกถึงเหตุการณ์อันน่าจะเป็นสาเหตุเมื่อวาน “เอ่อ กูว่ามึงคิดไปเองมากกว่ามั้ง...” และการที่ทั้งคู่คุยกันลากยาวจนถึงบัดนี้ ยิ่งทำให้ความสงสัยของกฤษกับซันทวีคูณขึ้นไปอีก“เมื่อวานกูยังเห็นแม่งทะเลาะกันอยู่เลยนี่หว่า...” กฤษเป็นฝ่ายถาม “แล้วไหงแม่งคืนดีกันง่ายกันจังวะ”“ไอ้เรื่องดีกันน่ะไม่เท่าไรหรอก” ซันกล่าว “แต่ที่ไอ้ติ๊กมันพูดได้นี่สิแปลกจริง”“นั่นดิวะ” กฤษถามต่อ “มึงอยู่ห้องเดียวกับมันตอน ม.ต้น นี่ รู้ป่าววะว่าทำไมมันถึงเป็นเงี้ย”“ก็...” จู่ๆ ซันก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “ไม่รู้สินะ” ในขณะเดียวกัน บทสนทนาของทั้งสองก็ยังไม่จบ“เฮ้ย มึงไม่ต้องมาหลอกกู” กันยังชักติ๊กต่อ “บอกมาเถอะ กูจะได้สบายใจ”/มึงโง่จริงเหรอวะเนี่ย/ แต่ติ๊กก็ยังไขสือ “ไม่มีหรอก ถามคนอื่นยังได้”“ถึงจะไม่มีอะไรติดตรงหน้ามึงก็เถอะ แต่กูก็พอรู้เหตุผลนะ” แต่อยู่ๆ การสนทนาของทั้งสองกลับถูกแทรกขึ้นมา ด้วยประโยคเพียงประโยคเดียวของชายคนหนึ่ง และเมื่อทั้งคู่หันกลับไปมองตามต้นเสียงนี้ ก็ได้พบกับเพื่อนร่วมห้องของพวกเขาคนหนึ่ง เป็นชายผิวคล้ำรูปร่างผอมบาง สวมแว่นเหลี่ยมเล็ก มือทั้งสองข้างถือกล้องสีดำตัวใหญ่ซึ่งกำลังสะพายไว้บนคอ ยืนอยู่เบื้องหน้าทั้งคู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กับกล้องที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาเตรียมถ่ายใบหน้าของกัน“เอ้า” ชายปริศนาเตรียมกดชัทเตอร์ “ยิ้มหน่อย”“ขอโทษนะ พอดีกูเป็นประเภทไม่ชอบเข้ากล้องว่ะ” คำพูดของกัน ช่างสวนทางกับมือขวาที่ชูขึ้นมากาง ๒ นิ้วให้กับกล้องอย่างชิ้นเชิง “ว่าแต่มึงเป็นใครวะ?”/นี่เหรอไม่ชอบเข้ากล้องของมึง?/ ติ๊กคิดในใจ“ก็อต” ก็อตขานชื่อพร้อมลั่นชัทเตอร์ถ่ายรูปกัน “เยี่ยม เดี๋ยววันนี้มึงได้ลงหน้าแน่”“?” กันสงสัย “มึงจะเอารูปกูลงหน้าตำราเหรอ?”“ไม่ใช่แค่หน้าตำราหรอกนะ” หน้าตำราที่ทั้งสองกำลังพูดถึง คือหนึ่งในโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คยอดฮิตสำหรับเหล่าวัยรุ่น “ปักษาสีคราม อินทรีวันแรม หรือสกิ๊ป กูเอาลงหมดแหละ”“เพื่อไรวะ?” กันถามต่อพร้อมยื่นมือขวาออกไปลดกล้องของก็อตลง “จะให้กูเป็นเน็ทไอดอลรึไง”“เหอะ มึงอย่ากลับคำสิ” ก็อตยิ้มบอกพร้อมปิดกล้องลง “มึงเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้ให้ได้น่ะ ถ้าใช้สังคมออนไลน์เป็นตัวเผยแพร่ คนทั้งโรงเรียนก็รับรู้ที่มึงบอกได้เร็วกว่าที่คิดนา จริงมั้ย?”“ช่างเหอะ” กันเริ่มเอือมระอาแล้ว “กูมีวิธี...”“แต่อย่างว่านะคนที่เอาคว่ำหวัง เหวี่ยง เหาะได้เนี่ย” ก็อตยิ้มพลางหยิบหอยสังข์สีทองจากโจงกระเบนขึ้นมา “ป่านนี้ทั้งโรงเรียนก็น่าจะรู้หมดแล้วแหละ”/!?/ ประโยคนี้เล่นเอาทั้งกันกับติ๊กถึงกับตะลึงไปเลยทีเดียว“ปากต่อปากน่ะ มันไวก็จริง” ก็อตค่อยๆ วางหอยสังข์ลงบนโต๊ะของกัน “แต่กล้องของกูน่ะ ไวกว่านั้นอีกว่ะ”“นี่มัน...” สิ่งที่กันกับติ๊กได้เห็นนั้นคือ ละอองแสงจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน ที่กำลังรวมตัวกันเป็นจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ลอยอยู่เบื้องหน้าสังข์อย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนที่ละอองแสงแต่ละจุดจะเริ่มเปลี่ยนเฉดสีไปทีละน้อย จนกลายเป็นภาพภาพหนึ่งภายในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ มันยังทำหน้าที่เสมือนกล้องวิดีโอ ฉายภาพเหตุการณ์ระหว่างที่กันกำลังสู้กับหวังเมื่อวานนี้ด้วยความคมชัดสูง มันถูกถ่ายจากตึกชั้น ๔ ซึ่งถ้าดูจากมุมกล้องก็คือหน้าห้อง ม.๔/๘ ดังนั้น ผู้ที่บันทึกมันเอาไว้ก็คือเจ้าของกล้องตัวนี้ ก็อตนั่นเอง เล่นเอาทั้งสองถึงกับอึ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว“ตอนนี้คลิปนี้น่ะ” ก็อตยื่นมือขวามารับหอยสังข์ของเขาคืนมา “ยอดผู้ชมในยูทูบี้มีประมาณเกือบพันกว่าคน เท่ากับจำนวนของนักเรียน ม. นึง”/ชิบหายล่ะ.../ ติ๊กเริ่มกังวลอีกครั้ง /งี้ก็หมายความว่า.../“หวังเป็นคนที่มีอิทธิพลในโรงเรียนมากที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้” ก็อตอธิบายต่อ “เท่ากับว่าในตอนเนี้ย คนที่ล้มมันได้อย่างมึงกำลังเป็นที่น่าจับตามองที่สุดเลยล่ะ”“...” กันนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งเลยทีเดียว“ยังไงก็ระวังตัวหน่อยล่ะ โรงเรียนเนี้ยไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนักหรอก ไอ้คนอย่างหวังนี่มีเยอะถมเถเลยล่ะ” ก็อตบอก ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป “มีแค่นี้แหละ แล้วเดี๋ยวจะมาบอกว่ารูปมึงมียอดถูกใจกี่คนกันแน่”“เดี๋ยวก่อน” กันห้ามไว้ทัน “ที่บอกว่ากำลังเป็นที่น่าจับตามองเนี่ย ใครที่จับตามอง?”“หือ?” ก็อตสงสัย “ก็ทุกคนแหละ...”“ไม่ๆ กูว่าคนอย่างมึงน่าจะเชี่ยวเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ดีว่ะ” กันหาได้กลัวกับสิ่งที่ตามมาไม่ รอยยิ้มของเขากลับแสดงออกถึงความตื่นเต้นถึงขีดสุด “งั้นช่วยบอกหน่อยดิ ว่าตอนนี้ใครยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้กันแน่”/ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย/ ติ๊กเริ่มกังวลหนักเข้าไปอีก /อยู่ดีไม่ว่าดียังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก!!!/“ฮะๆๆๆๆ โอ๊ย ขำ ฮ่าๆๆๆๆๆ!” ก็อตถึงกับหัวเราะจนอาการหนักไปเลยทีเดียว “กูว่าแล้วว่าอย่างมึงเนี่ยต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆ ยิ่งใหญ่เหรอ มันก็ไม่ค่อยมีคนเรียกอย่างนั้นกันเท่าไรหรอกนะ แต่ถ้าคนที่แกร่งสุดน่ะ ต้องเป็น “พรสามประการ!!!””“...” สีหน้าของกันยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก “พรสามประการงั้นเหรอ”/ไอ้เชี่ยนี่ห้ามไม่อยู่แล้ว!/ ติ๊กเริ่มหวั่นเกรงถึงความคิดของกันอีกครั้ง“พรสามประการน่ะ มันคือ... อุ๊บ!” ติ๊กจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการยื่นมือขวาไปปิดปากก็อตไว้ในฉับพลัน“เอ่อก็อต” ติ๊กบอก “มึงช่วยไป...”“พรสามประการเนี่ย หมายถึงผู้รับพรทั้งสามคนในโรงเรียนนี้สินะ” แต่ถึงก็อตจะไม่บอก แต่กันก็ดูเหมือนจะเข้าใจอยู่ดี“เดี๋ยว?” ติ๊กสงสัย “ทำไมมึงรู้วะ?”“น่าสนุกนี่!!!” กันลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว พร้อมเบิกยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ด้วยความตื่นเต้นนี้เอง “พรสามประการเหรอ? ถ้าล้มสามคนนี้ได้กูก็จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้แน่นอน!!!”/หายนะ.../ ติ๊กคิดด้วยความสิ้นหวัง /บังเกิดแล้ว.../“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปหากันหน่อยล่ะ!!!” ด้วยความตื่นเต้นภายจนสั่นไปทั้งตัวนี้เอง จึงทำให้ร่างกายของกันกระปรี้กระเป่าขึ้นมาทันตาเห็น เขานำเท้าขวาขึ้นมาวางไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะใช้มันเป็นตัวเหยียบ กระโดดสูงข้ามโต๊ะของเขาออกไปไกลถึงประตูหลังห้องอย่างรวดเร็ว และด้วยความต้องการพบพรสามประการอันเหลือล้น ก็ได้สั่งการให้ตัวชายหัวแหลมคนนี้ วิ่งเตลิดหนีหายจากห้องนี้ไปดั่งสายลม เพื่อตามหานักเรียนทั้งสามผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในสุวัฒนา/ไอ้เหี้ยนี่เอาอีกแล้วไง!!!/ ติ๊กรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว“หึ เริ่มน่าสนุกแล้วสิ” ก็อตแสยะยิ้มพร้อมเปิดกล้องขึ้นมา “แล้วมาดูกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป” ก็อตรีบถือกล้องขึ้นมาแล้ววิ่งตามสองคนก่อนหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุฉะนี้ จึงเป็นเหตุให้ห้อง ม.๔/๘ เหลือเพียงกฤษกับซันเท่านั้น“พวกเราก็เอาด้วยเหอะ!!!” กฤษตะโกนแล้วลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว“เดี๋ยวๆๆๆๆ อะไรของมึงวะ?” ซันห้ามไว้ก่อนด้วยความสงสัย“เรื่องของเพื่อนน่ะ” กฤตหันกลับมากล่าวกับซันด้วยมาดสุขุมนุ่มลึกกับใบหน้าอันหล่อบาดใจ “มันก็เป็นเรื่องของเราด้วยแหละ!!!”“กฤต...” ซันเริ่มเห็นความเท่ห์ในตัวเพื่อน“ถ้ามึงยังเป็นเพื่อนมันอยู่ล่ะก็...” กฤษหันหลังกลับไปบอกต่อ “รีบลุกขึ้นมาแล้ว...”“งานครับไอ่สัส!” ซันรีบลุกขึ้นมาพร้อมใช้สมุดสีเขียวเล่มบาง ในมือตบหัวกฤษเข้าไปทีนึง “งานคู่ กูทำจะเสร็จทั้งเล่มแล้วเนี่ย!”“โทษจ้า” ขณะเดียวกัน ติ๊กก็ได้วิ่งมาถึงโรงอาหารเสียแล้ว ในเวลาพักเที่ยงเช่นนี้ นี่คงเป็นสถานที่อันคึกคักไปด้วยเหล่านักเรียนมากมายหลายร้อยคน ที่กำลังเดินเพ่นพ่านไปมาดั่งฝูงมดแน่นอน สายตาของติ๊ก คงพยายามมองสำรวจนักเรียนแต่ละคนผ่านแว่นกลมๆ นี้ พลางเดินตรงไปเรื่อยๆ เพื่อจุดประสงค์เดียว คือตามหาและหยุดเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาไม่ให้กระทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้ได้/คงจะอยู่นะ/ ติ๊กคิดพลางมองสำรวจโดยรอบ /ก็คงมีที่เดียวแหละ/“เอาแล้วไง!” สิ่งที่ติ๊กบังเอิญได้ยินผ่านสองรูหูคือเบาะแสชิ้นสำคัญใกล้ๆ กันนี้เอง เมื่อเขารีบหันคอตามไปดู จึงได้พบกับก็อต ผู้ซึ่งกำลังวิ่งตรงไปยังทางเดินฝั่งซ้าย ตัดผ่านฝูงชนมากมายพร้อมกล้องในมือด้วยความรวดเร็ว สิ่งที่ตัวเขากำลังมุ่งไปหานั้น คือตัวการสำคัญของเรื่องนี้ กันซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหารบริเวณแถวกลางด้านซ้าย อ้าปากกว้างทำทีเหมือนจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมาเหมือนดั่งครั้งแรกที่โรงอาหาร ติ๊กคงจะรอช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว/เหี้ยล่ะ!/ ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของติ๊ก จึงเป็นผลให้สองเท้าของเขารีบก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาจากไหนไม่รู้ วิ่งอย่างว่องไวไปตามทางเดินเดียวกับก็อตก่อนหน้านี้ ซึ่งขณะเดียว ช่างภาพคนนี้ก็กำลังยืนตั้งกล้องรอใกล้ๆ เยื้องไปทางขวาของกัน เตรียมเก็บภาพอันยิ่งใหญ่ของชายผู้นี้อีกครั้ง ทว่า ความตั้งใจของก็อตกลับถูกทำลายลงในพริบตา ติ๊กที่วิ่งจนมาถึงยังจุดหมาย รีบโผตัวเข้าใส่แล้วใช้มือขวาล็อกคอกันเอาไว้แน่น เพื่อหยุดเหตุการณ์ร้ายแรงในอนาคตอันใกล้ได้อย่างทันท่วงที“ไอ้เหี้ยเอ๊ยเกือบไปแล้วไง” ติ๊กกระซิบข้างหู“ไอ่...สัส” กันยังพยายามพูดต่อ “ทำเหี้ยไร...”“หุบปากไปเลย!!!” ติ๊กสั่งเสียงดัง “วันนี้ทั้งวันมึงหุบปากไปเลย!”“สัสติ๊ก” ก็อตเก็บกล้องแล้วเดินมาหาติ๊กด้วยความไม่พอใจอย่างแรง “โว๊ะ มันจะทำไรก็เรื่องของมันเหอะ”“ก็มันเกี่ยวกับกูเต็มไงล่ะวะ!” ติ๊กบอกเสียงดัง “ถ้าเมื่อวานมึงเจออย่างกูมั่งจะรู้สึก”“เมื่อวาน?” ก็อตสงสัย “เออ เมื่อวานมึงมาโรงเรียนมั้ยวะ”“อยู่ห้องเดียวกันมึงเคยมองมั้ยเนี่ย!” ติ๊กด่าด้วยสีหน้าเย็นชา ยิ่งได้อารมณ์เจ็บ “เล่นแต่กล้อง เล่นแต่ไอสังข์ไงถึงได้เป็นแบบนี้”“อ้าว ไอ้ติ๊ก” ก็อตเริ่มมีอารมณ์ “นี่มึงด่ากูว่าไอ้แว่นเหรอ”“แว่นเหี้ยไร” ติ๊กสงสัย “กูก็แว่นจะด่ามึงทำไม”“แว่นมึงกับแว่นกูมันคนละแบบ!” ก็อตเถียง “แว่นกูเนี่ยไทเทเนียมเชียวนะโว้ยยย”“จะไทเทเหรือเซาท์ไซด์อะไรก็ช่างเถอะ” ติ๊กเถียงต่อ “สุดท้ายมึงก็ซื้อของหอแว่นเหมือนกูแหละ”“เริ่มเยอะแระ” ก็อตทำทีเหมือนจะกำหมัด “ไอ้แว่นกลมๆ ของมึงเดี๋ยวกูต่อยหักแม่งตรงนี้เลย”“แว่นกลม?” ติ๊กก็เริ่มขึ้นเหมือนกัน “แว่นกลมแล้วมันผิดตรงไหน”“เออกูรู้ว่ามึงซื้อแต่ประถม ป.๓ ป.๔ ตอนแฮร์รี่ หมาเต๋อมันกำลังดัง” ก็อตอธิบาย “แต่เดี๋ยวเนี้ยนะ คนมันเริ่มใส่แว่นก็เพราะอยากได้แว่นเหลี่ยมๆ แบบคุณชายหมอแหละโว้ยยย”“คุณชายหมอก็แว่นกลมโว้ยยยย” ติ๊กยังไม่ยอมก็อต “ไอ้โง่!”“แว่นเหลี่ยมสัส!”“ไม่ๆ กลมดิวะ”“เหลี่ยม!!!” “กลมก็กลมสิวะ!!!”“เหลี่ยมว่ะ มึงไปเปิดแผ่นดูเลย!!!”“แผ่นยังไม่ออก งี้แสดงว่ามึงดูแผ่นผี?”“เออกูยอมรับ! แต่ถึงไม่เฮ็ดดีกูก็มองออกว่ามันเหลี่ยมโว้ยยย”“โว้ยยยยย ไอ้เหี้ย!!! จะเหลี่ยมจะกลมก็เรื่องคุณชายหมอมันสิวะ!!! พวกมึงแม่งก็แว่นทั้งสองตัวแหละไอ่สัส!!!” หลังจากต้องทนฟังบทสนทนาอันไร้สาระว่าด้วยเรื่องแว่นอยู่นาน ชายผู้ไม่สวมแว่นคนนี้คงมิอาจทานทดอีกต่อไป กันรีบใช้มือซ้ายผลักแขนของติ๊กอันเป็นอุปสรรคในการพูดออกไปอย่างแรง จากนั้นจึงตะโกนด่าระบายความในใจทั้งหมดกับหนุ่มแว่นสองคนนี้ ด้วยเสียงอันอัดอั้นภายในหัวจนดังลั่นทั่วโรงอาหาร เล่นเอาทั้งตัวการสองคนรวมถึงผู้คนมากมายบริเวณใกล้ๆ นี้ถึงกับหยุดชะงักไปเลยทีเดียว“เออดี กูจะได้แดกหวานเย็นซะที” เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดสงบลงแล้ว กันจึงยกมือขวาซึ่งกำลังถือแท่งหวานเย็นสีแดงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งตัวลงนั่ง แล้วเอาหวานเย็นนั้นยัดใส่ปากพร้อมดูดเลียด้วยความเอร็ดอร่อย เล่นเอาติ๊กกับก็อตงงไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว เมื่อสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการท้าทายพรสามประการ แท้จริงแล้วคือการรับประทานอาหารว่างเท่านั้น“มึงดูดิละลายหมดแล้วเนี่ย” กันดูดหวานเย็นจนหมดเหลือแต่ไม้แล้ว “หมดกัน ข้าวเที่ยงกู”“.......แล้วที่มึงอ้าปากเมื่อกี้....” ติ๊กถามหลังหายอึ้งแล้ว“ก็กำลังจะเอาเข้าปากไงวะสัส!!!” กันเริ่มโมโหขึ้นทุกที “แม่งเอ๊ย แค่จะแดกหวานเย็นเฉยๆ มึงคิดว่ากูจะทำไรเนี่ย”“ก็...” ติ๊กจะพูด แต่ก็ถูกก็อตแทรกขึ้นมา“ก็คิดว่าจะตะโกนลั่นโรงแบบวันแรกไงวะ!!!” ก็อตดูเหมือนจะอารมณ์เสียที่สุด “โว้ยยยยยยย กูก็อุตส่าห์เล่าเรื่องนั้นให้ฟังคิดว่ามึงจะไปหา สัสเอ๊ยยยย กูวิ่งมาเตรียมถ่ายเลยนะเนี่ย”“หา?” กันสงสัย “นี่มึงหมายถึงเรื่องพรสามประการเหรอ?”“ก็จะเรื่องไรอีกวะสัส!” ก็อตล้มตัวลงมานั่งข้างๆ “ไหนมึงบอกจะล้มให้ได้ไงวะ! จะล้มก็รีบๆ ล้มดิวะเดี๋ยวจบ ม.๖ ก่อนไม่ได้ล้มนะโว้ยยยย ไม่อยากยิ่งใหญ่แล้วเหรอ?”“ไม่อ่ะ ไม่มีอารมณ์” กันทำท่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้มีแต่อารมณ์อยากกินอีกซักแท่ง ขออนุญาตเดินไปซื้อแป๊บ”“มึงแม่งป๊อดว่ะ” ก็อตด่าแบบตรงๆ “ดีแต่ปาก สุดท้ายก็ไม่กล้า”“ที่ดีแต่ปากน่าจะเป็นมึงมากกว่านะ” ติ๊กเดินมาตรงหน้าก็อตแล้ว “กูรู้นะ ว่ามึงตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”“ตั้งใจ?” ก็อตสงสัย “ตั้งใจเหี้ยไร?”“มึงตั้งใจจะยั่วมันให้ไปทำตัวกร่างแล้วมีเรื่องกับพรสามประการเหมือนที่ทำกับไอ้หวังงั้นสิ” ติ๊กอธิบายด้วยใบหน้าอันเย็นชา “ที่สำคัญคือ ในเมื่อคลิปที่มันสู้กับหวังเพิ่งเผยแพร่เมื่อวาน ถ้าวันนี้มีคลิปที่มันสู้กับพรสามประการอีก คงเป็นข่าวดังน่าดูเลยสิ”“เหอะ มึงนี่อยู่เงียบๆ ก็ดีแล้วว่ะ” ก็อตนิ่งไปซักพักก่อนจะเอ่ยปากชม “เออ กูยอมรับก็ได้”“แต่แค่คลิปๆ เดียวเนี่ย” ติ๊กถามต่อ ในขณะที่กันเริ่มนิ่งเงียบ “มึงเล่นลงทุนเอาตัวมันไปเสี่ยงกับพรสามประการเลยเหรอวะ”“แล้วไงวะ!!!” ก็อตยิ้มอธิบายเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจ “กูก็แค่หาอะไรสนุกๆ มาถ่าย แล้วก็แบ่งปันความสนุกนี้ให้คนอื่นๆ มันผิดรึไง!!!”“แล้วชีวิตเพื่อนมึงอ่ะ?” ติ๊กเถียง “ถ้าเกิดมันตายขึ้นมา...”“ช่างแม่งสิวะ!!!” ประโยคนี้ทำให้กันรู้สึกตัวอีกครั้ง “กูเป็นแค่คนสังเกตการณ์เท่านั้นแหละ ถ้ามันจะตายมันก็ตายเพราะความกระจอกของมันเอง เท่านั้นแหละวะ!” “/ถึงกูจะไม่ใช่เพื่อนมัน แต่มันก็เป็นเพื่อนกู!!!/ มึงน่ะซักวันต้องเป็นเหมือนกู...” ติ๊กคิดถึงความทรงจำอันแสนดีเมื่อวานพร้อมใช้มันในการเตือนก็อต “เออ งั้นก็แค่นี้แหละ”“งั้นกูก็ไม่มีอะไรจะบอกเหมือนกันแหละ” ก็อตยิ้มบอกก่อนจะเดินไปหากัน ที่ยังคงนิ่งเงียบ “ในเมื่อไอ้คนที่กูต้องการมันเป็นซะแบบนี้ งั้นเราคงไม่มี...”“สหายก็อต...” กันเริ่มพูดแล้ว “กูขอพูดอะไรอย่างนึง”“ว่ามา” ก็อตยิ้มบอก ก่อนที่กันจะหันกลับมาหา “เพราะกู...”“อย่าเอาคำว่าเพื่อนมาล้อเล่นนะเว้ย!!!” หลังจากที่ต้องทนเป็นผู้ฟังมาเป็นเวลานาน บัดนี้จึงถึงเวลาเริ่มตอบโต้เสียที จากคนที่ได้แต่นิ่งเงียบ ก็ได้ริเริ่มเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาจากปาก ทว่า กันในคราวนี้เหมือนไม่ใช่กันคนเดิม ไม่มีทั้งรอยยิ้มและใบหน้าอันสดชื่น แต่กลับเป็นสีหน้าอันโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุดแบบไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน และประโยคเพียงประโยคเดียวของเขา ถึงจะเป็นประโยคสั้นๆ ไม่ได้ถูกตะโกนเสียงดังจนลั่นโรงอาหาร แต่มันกลับสร้างความน่ายำเกรงให้แก่ผู้ฟังจนแทบขนลุกเลยทีเดียว ถึงจะได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่นาน ทว่า หลังจากนั้นก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับก็อตเลย มิหนำซ้ำเขายังยิ้มเยาะด้วยสีหน้าเย้ยหยันผิดกับเนื้อความในประโยคซะอีก“เฮอะ”” ก็อตยิ้มบอกก่อนจะเดินจากไป “เอาเถอะ กูไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้ว”“เหอะ?” ใบหน้าของกันกลับมายิ้มแย้มตามปกติแล้ว “บอกแล้วกูแค่ไม่มี...”“ไอ้หัวแหลม!!! ไอ้เหี้ยแว่น!!!” แต่ถึงเรื่องราวระหว่างกันกับก็อตจะจบลงแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ทว่า ผู้ที่มาหากันในคราวนี้คงทำให้อารมณ์ของหนุ่มหัวแหลมหงุดหงิดขึ้นมาอีกเป็นแน่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเรน รุ่นพี่หน้าตาไม่สู้ดี ผู้กำลังยืนท้าทายต่อหน้ากันด้วยท่าทียียวนกวนประสาท พร้อมด้วยนักเรียนชายรูปร่างกำยำอีก ๕ คน ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหลังเขาดั่งองครักษ์ ด้วยสายตาที่จดจ้องมายังตัวกันเพียงผู้เดียว ทำให้ผู้คนบริเวณรอบๆ เริ่มหันมามอง รวมถึงติ๊ก ที่ค่อยๆ ถอยร่นลงไปข้างหลังเพื่อความปลอดภัยของตนอย่างรวดเร็ว“มึงดูให้เต็มตาวันนี้กูเอาใครมา!?” เรนยังคงท้าทายต่อ “พวกเนี้ย ระดับ...” คำพูดอันแสนชั่วร้ายของก็อตอาจทำให้กันโกรธก็จริง แต่กับคนที่ตามราวีไม่เลิกราอย่างเรน ยิ่งทำให้เขาโกรธหนักยิ่งขึ้นไปอีก เห็นทีคงต้องใช้กำลังในการจัดการเสียแล้ว ไม่รอช้าอะไรทั้งสิ้น หนุ่มหัวแหลมรีบลุกออกจากที่นั่ง วิ่งเข้าไปหาเหล่านักเลงพวกนี้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว ละอองแสงสีทองลอยเข้ามาปกคลุมรอบกายของเขาอย่างทันท่วงที และในเวลาไม่ถึง ๓ วินาที เมื่อเขาได้แปลงร่างเป็นร่างลิงขาว พลังอันแข็งแกร่งก็พร้อมที่จะได้สำแดงเดชแล้ว ปล่อยหมัดขวาเข้ากลางหน้าคนแรกที่ใส่แว่น เตะตัดขวาเสยคางคนตาตี่ที่พุ่งเข้ามา จากนั้นจึงก้มตัวเพื่อศอกขวาเข้ากลางท้องน้อยชายร่างท้วมใกล้ๆ แล้วค่อยฟันมือซ้ายใส่คอนักเรียนคนที่ไว้ทรงสกินเฮดทางซ้ายมือ ปิดท้ายด้วยการยกขาขวาถีบเข้าไปที่กลางอกคนสุดท้ายสุดแรง ในเวลาไม่ถึงนาที เหล่าพรรคพวกที่เรนอุตส่าห์เตรียมมาก็ได้แต่นอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้น มิทันได้แสดงฝีมือให้ประจักษ์เลยแม้นซักนิดเดียว เล่นเอาเรนได้แต่ยืนอึ้งในความสามารถของกันเลยทีเดียว แต่ถึงจะหนีตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้ กันได้มายืนรออยู่ข้างหลังเขาเสียแล้ว หนุ่มหน้ากระปอมคงทำอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องหันหลังกลับไปยิ้มสู้ความจริงอันโหดร้าย“พี่นี่สุดยอดว่ะ เจอหน้าทีไร ผมแม่งมีอารมณ์อยากมีเรื่องทุกทีเลยให้ตายสิ” กันยิ้มบอกพร้อมเอื้อมแขนขวาไปโอบเรนไว้ “แล้วตกลงเพื่อนพี่ ๕ คน นี่ใครกันน่ะครับ?”“อ๋อ... เอ่อ... ปกติจะเรียกว่า สิงห์... สิงห์... สิงห์ไรหว่า...” เรนเริ่มรนรานเต็มที ในขณะเดียวกัน ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้ถูกกล้องของก็อตที่กำลังยืนถ่ายอยู่ริมกำแพง แอบบันทึกด้วยความแนบเนียนไปเสียแล้ว“สิงห์ตึก ๕ ห้าคนตายเรียบในพริบตาเลยแฮะ” ก็อตปิดกล้องลง “สุดยอดจริงๆ”/แต่อย่างว่านะ/ ก็อตหยิบสังข์ขึ้นมาอีกครั้ง /ไอ้พวกนี้มันก็เทียบไม่ได้กับพรสามประการหรอก//ถ้ามันไม่มีอารมณ์ก็เรื่องของมันเหอะ/ ก็อตเริ่มใช้นิ้วกดหน้าจอแสงที่ปรากฏขึ้นทีละน้อย /แต่ถ้าอีกฝ่ายนึงมี วันนี้มีเรื่องเด็ดแน่//ตอนนี้.../ ก็อตมองไปกลางโรงอาหาร ก่อนจะหยุดลงตรงโต๊ะที่มีแต่ผู้ชายนั่งโต๊ะหนึ่ง /เอ็กซ์คงขึ้นห้องไปแล้ว ก็เหลือแค่...//เป็นไงเป็นกันวะ เพื่อคลิปกันปะทะพรสามประการ.../ ก็อตพนมมือทั้งสองขึ้นมาระหว่างสังข์แล้วเริ่มร่ายอะไรบางอย่าง /โสตทวาทิตยา.../ ทางด้านการต่อสู้ กันกับเรนก็ยังคงสนทนากันไม่หยุดเหมือนวันธรรมดาปกติยังไงยังงั้น“แต่อย่างว่านะ” กันยิ้มบอก “พอจะเจอกับพวกพี่ผมก็เริ่มขี้เกียจแล้วแฮะ”“เอ่อ...” เรนพยายามพูดเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งให้มากที่สุด “ทำไมเหรอ...?”“ไม่รู้ดิ” กันลงไปนั่งอีกครั้ง “ก็มีคนมาเล่าเรื่องพรสามประการให้ผมฟังน่ะสิ”/เข้าทางล่ะ!/ เรนเริ่มนึกอะไรได้ “อ๋อ พรสามประการน่ะเพื่อนพี่ทั้งนั้นแหละ”“หือ?” กันเหมือนจะเชื่อสนิทใจ “จริงดิ!? แล้วตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ?”“..........ก็.......” เล่นเอาเรนไปต่อไม่ถูกเลย “คือถ้าขนาดพี่ยังขี้เกียจ พี่ว่าอย่าเสียเวลากับพวกนั้นเลยดีกว่าน่า”“หือ?” กันเริ่มสงสัย“น้องจะฟังมาไงพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ.... คะ แต่ว่านะ....” เรนพูดไปนึกไป “แต่พรสามประการน่ะ เสร็จพี่หมดแล้วทั้งนั้น ไม่ถึงปลายเล็บตีนเลยด้วย....”“อ๋อ!” กันเริ่มนึกไรออก “งั้นแสดงว่า”“ชะ... ใช่แล้ว” เรนยังด้นต่อไปเรื่อยๆ “พี่เนี่ยแกร่งสุดในโรงเรียนนี้แล้ว....นะ....บอกให้รู้ไว้... ว่าตอนที่สู้กับน้องพี่ใช้พลังไปแค่ครึ่งของครึ่งของครึ่งของครึ่งเองนะ แต่เห็นว่าน้องไฟแรงดี...กะ....ก็เลยปล่อยให้เหลิงไปก่อน เอ่อ ทางที่ดีน้องหนีไปก่อนจะดีกว่านะ ก่อนที่พี่จะปลดปล่อยสวัส... เอ๊ย ปลดปล่อยพลังแท้จริงออกมา... พี่เตือนแล้วนะ.... ไปเถอะ เพื่อตัวน้องเอง....”/ตกลงโรงเรียนนี้มีแต่พวกกระจอกรึไงเนี่ย/ กันคงจะเชื่อเต็มเปาแล้ว “ว้า ผิดหวังหมดเลยพรสามประการเนี่ย” “บะ... บอกแล้ว....” เรนผลักกันออกไป แล้วก้าวไปทางซ้ายทีละก้าว เพื่อหลีกหนีจากกันให้ไกลที่สุด “พรสามประการมันก็แค่ขี้เล็บพี่แหละ....เอ่อ....กระจอกมาก... พี่ใช่แค่ปลายตีนแตะมันก็เดี้ยงหมดแล้ว....รู้แล้วใช่มะ...ว่าพี่แกร่งสุด น่ะ....ดีเหมือนกันแหละนะ ฮะๆๆๆ... /ตีระยะห่างออกไปประมาณนี้แหละกำลัง..../”/มึงนี่ก็โง่จริงแหละนะ/ ติ๊กหลบหลังเสาเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์“เฮ้ย!” ดูเหมือนขณะที่ก้าวออกไปนั้น เรนจะชนเข้าให้กับใครบางคนเข้า “ไอ้หน้ากระปอม!”“อ้าวเฮ้ย!!!” เมื่อพ้นออกมาจากกัน เรนจึงกลับมาวางมาดนักเลงใส่คนอื่นเหมือนเดิม “มึงกล้าด่าคนที่แกร่งที่สุดในโรงเรียนเหรอวะ!!!”“เมื่อกี้มึงบอกปลายตีนเหี้ยไรของมึง!!!” ถึงจะหนีจากกันได้รอดพ้นปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เรนต้องเผชิญต่อไปนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ด้วยพลังอำนาจของอะไรบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้ทั้งร่างของเขาถึงกับต้องกระเด็นลอยเคว้งคว้างออกไปกลางอากาศ ด้วยแรงกระทำอันมหาศาล ผ่านหัวนักเรียนมากมายนับสิบที่ได้แต่แหงนมองด้วยความตะลึงในโรงอาหารเลยที เดียว จนกระทั่งรุ่นพี่หน้ากระปอมได้ตกลงมาอยู่ข้างหลังกันตามแรงโน้มถ่วง ด้วยความประหลาดใจ ทำให้กันรีบหันกลับไปดูสภาพอันไร้สติของเรนทันที แต่สิ่งที่เขาพบนอกจากเลือดที่ไหลออกจากปากที่เพิ่งแตกไปก็คือ รอยอักขระที่เรียงตัวกันเป็นรูปวงแหวนสีเขียวเล็กๆ บริเวณปลายคางของผู้เคราะห์ร้ายอย่างเรนนั่นเอง/คาถางั้นเหรอ...???/ กันคิด“มึงเหรอ ไอ้กิตติ เหมันต์วงศ์ไรนั่นน่ะ!!!” เสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดที่ดังแหวกอากาศเข้าถึงหูกัน เป็นเหตุให้ลิงขาวรีบหันหลังกลับไปตามเสียงนี้ด้วยความสงสัยทันที ซึ่งนอกจากจะได้พบกับผู้ที่กำลังเรียกขานชื่อเขา เขายังได้พบกับผู้ที่ส่งเรนลอยออกไปกลางอากาศด้วยเช่นกัน สิ่งที่ประจักษ์อยู่ต่อหน้าสายตาของกันคือ นักเรียนชาย ม.ปลาย รูปร่างสูงล่ำ ไว้ผมดกดำชี้ขึ้นข้างบน มีจุดเด่นที่การระเบิดหูข้างซ้ายเป็นรูใหญ่สีดำ ชายผู้นี้กำลังยืนอยู่ ณ ตำแหน่งสุดท้ายของเรนเมื่อครู่ พร้อมขาขวาที่กำลังเหยียดสูงไปข้างหน้าเหมือนเพิ่งเตะใครบางคนออกไปโดยใช้แค่ปลายเท้า และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเหนือฝ่าเท้าข้างนี้ มีรอยวงแหวนอักขระสีเขียวแบบเดียวกับที่ปลายคางของเรน กำลังลอยอยู่ด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปทีละน้อยในที่สุด"..." กันแสยะยิ้มก่อนจะหันไปมองตาชายปริศนาคนนี้ "ถ้าใช่แล้วจะทำไม""ถ้างั้นก็เตรียมตัวซะ" ชายปริศนาลดขาขวาลงมายืน ก่อนจะยกขาซ้ายขึ้นมาแทนเล็กน้อย และทันใดนั้น ด้วยพลังมหาศาลจากอักขระจากอะไรบางอย่าง เขาจึงสามารถใช้ขาซ้ายนี้ในการกระโดดออกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว แต่นี่ไม่ใช่การกระโดดธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปเสียแล้ว เพราะด้วยความสูงที่เกือบแตะผนังและระยะทางเกิน ๑๐ ม. อันน่าอัศจรรย์นี้ การเหาะเหินอาจเป็นคำพูดที่เหมาะสมกว่า ในเวลาชั่วพริบตา ชายปริศนาผู้นี้ก็ได้กระโดดลงมาอยู่ข้างหลังกันแบบไม่ทันให้ตั้งตัวแล้ว ทว่า แทนที่จะรีบใช้อาศัยจังหวะนี้ในการชิงโจมตีก่อน เขากลับพนมมือสองข้างขึ้นมาประสานหน้าอก ก่อนจะร่ายบทสวดอะไรบางอย่างออกมาแทน"โอม มะสาคะ ระอิดัง อนสะกะตะคิริตัง ระอิดัง คิคังติ"/ชิบหาย.../ แต่ก่อนที่กันจะหันกลับมาทันก็สายเกินแก้เสียแล้ว ทันทีที่เขาหันหลังกลับมานั้นเอง ชายปริศนาก็ไม่รอช้าเตะซ้ายเข้าไปกลางท้องของลิงขาวเต็มแรง และในเมื่อแรงขาของชายผู้นี้สามารถพาเขากระโดดไปได้ไกลถึงเพียงนี้แล้ว การเตะของเขาก็ทรงพลังไม่แพ้กัน แค่ขาข้างเดียวกลับสามารถเตะทั้งร่างของกันให้ลอยออกไปกลางอากาศสูงเกือบ ๕ ม. กระเด็นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาของนักเรียนอีกหลายสิบที่ได้แต่จ้องมองจากบนพื้น และอีกไม่นาน แรงโน้มถ่วงโลกคงส่งให้เขาตกลงมากระแทกพื้นเบื้องล่างเป็นแน่"อะไรวะ?" ชายปริศนาดูท่าจะไม่พอใจอย่างแรง "ดีแต่ปากนี่หว่า""ลูกถีบเหมันต์ฟาดปฐพี!!!" ท่าไม้ตายของกันได้ฤกษ์สำแดงเดชอีกครั้ง ถึงจะกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ แต่ลิงขาวก็ยังมีสติพอจะสวนกลับการโจมตีนี้ได้ ขาซ้ายหุบเข้ามา ขาขวาชี้ตรงลงไปยังเป้าหมายเบื้องล่างเตรียมพร้อมจะถีบลงมา แขนสองข้างของเขาสายชูสูงขึ้นไปข้างบน พร้อมกับลายเส้นสีเขียวที่ปรากฏทั่วแขนอีกครั้งหนึ่ง สายลมอ่อนๆ ที่พัดไปมาเป็นพายุหมุนลูกเล็กบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นพายุ โหมกระหน่ำออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นแรงส่งให้เขากระโดดถีบลงมาด้วยลูกถีบขวาที่เตรียมการเอาไว้อย่างดี ขณะนี้เขากำลังพุ่งลงมาจากกลางอากาศด้วยความเร็วสูงพร้อมจะโจมตีชายปริศนาผู้เป็นเป้าหมายด้วยความรุนแรงแห่งสายลมแล้ว ทว่า ชายปริศนาผู้ตกเป็นเป้ากลับมิได้หวั่นเกรงเลยซักนิด เขาไม่หนีแต่เลือกที่จะเผชิญหน้าด้วยการยกเข่าขวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาดแทน และในช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาที ที่กันกระโดดลงมาอยู่เบื้องหน้าเขาเพียงแค่ไม่ถึง ๑ ม. พร้อมจะถีบเข้าใส่ร่างของเขาในเวลาอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ ชายปริศนาผู้นี้จึงตัดสินใจ ถีบขวาสวนเข้าใส่ลูกถีบของกันอย่างเหมาะเจาะเลยทีเดียว"ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก" ไม่ว่าจะเป็นกำลังขาล้วนๆ อันมากมายมหาศาล หรือจะเป็นแรงถีบที่ได้พลังแห่งสายลมคอยช่วยหนุนหลังอย่างรุนแรง ก็ล้วแล้วแต่เป็นลูกถีบอันทรงพลังไร้เทียมทานทั้งคู่ การปะทะกันเป็นไปอย่างดุเดือดจนแทบกินกันไม่ลง ท่ามกลางสายตาของนักเรียนมากมายทั่วพื้นที่ที่กำลังรับชม การต่อสู้ระหว่างบุรุษทั้งสอง ผู้ใช้เพียงแค่เท้าข้างเดียวในการตัดสินจึงเริ่มขึ้นแล้ว
โปรดติดตามบทถัดไป
วัยรุ่นหิมพานต์บทที่ ๔ พรสามประการ
“กิ๊งก่องๆๆๆๆ” เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก เสียงกริ่งหมดคาบกังวาลขึ้นทั่วทั้งโรงเรียนแห่งนี้อีกครั้ง ดังไปถึงหูเหล่านักเรียน ม.๔/๘ ทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะเป็นสัญญาณแห่งการหมดคาบ การที่นักเรียนเกือบทั้งห้องลุกขึ้นจากเก้าอี้และทยอยออกไปทีละน้อย นี่คงถึงเวลาแห่งการพักกลางวันแล้วแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น กลับยังมีชายคู่หนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน กันกับติ๊กนั่นเอง“เออ สหายติ๊ก กูว่าจะถามแต่เช้าแระ” กันหันไปถามติ๊กต่อ “มีไรติดตรงหน้ากูป่าววะ”“ไม่นี่” ติ๊กหันมาสำรวจใบหน้ากันเล็กน้อย “มีไรวะ”“ก็ไม่รู้ดิ ตอนกูเดินเข้ามานะ” กันอธิบายถึงสาเหตุ “ทั้งห้องแม่งพร้อมใจกันมองหน้ากูโดยมิได้นัดหมายเหมือนวิสาขบูชาเลยว่ะ”“.../ลูกถีบเหมันต์ฟาดปฐพี!!!/...” ติ๊กนิ่งเงียบพลางนึกถึงเหตุการณ์อันน่าจะเป็นสาเหตุเมื่อวาน “เอ่อ กูว่ามึงคิดไปเองมากกว่ามั้ง...” และการที่ทั้งคู่คุยกันลากยาวจนถึงบัดนี้ ยิ่งทำให้ความสงสัยของกฤษกับซันทวีคูณขึ้นไปอีก“เมื่อวานกูยังเห็นแม่งทะเลาะกันอยู่เลยนี่หว่า...” กฤษเป็นฝ่ายถาม “แล้วไหงแม่งคืนดีกันง่ายกันจังวะ”“ไอ้เรื่องดีกันน่ะไม่เท่าไรหรอก” ซันกล่าว “แต่ที่ไอ้ติ๊กมันพูดได้นี่สิแปลกจริง”“นั่นดิวะ” กฤษถามต่อ “มึงอยู่ห้องเดียวกับมันตอน ม.ต้น นี่ รู้ป่าววะว่าทำไมมันถึงเป็นเงี้ย”“ก็...” จู่ๆ ซันก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “ไม่รู้สินะ” ในขณะเดียวกัน บทสนทนาของทั้งสองก็ยังไม่จบ“เฮ้ย มึงไม่ต้องมาหลอกกู” กันยังชักติ๊กต่อ “บอกมาเถอะ กูจะได้สบายใจ”/มึงโง่จริงเหรอวะเนี่ย/ แต่ติ๊กก็ยังไขสือ “ไม่มีหรอก ถามคนอื่นยังได้”“ถึงจะไม่มีอะไรติดตรงหน้ามึงก็เถอะ แต่กูก็พอรู้เหตุผลนะ” แต่อยู่ๆ การสนทนาของทั้งสองกลับถูกแทรกขึ้นมา ด้วยประโยคเพียงประโยคเดียวของชายคนหนึ่ง และเมื่อทั้งคู่หันกลับไปมองตามต้นเสียงนี้ ก็ได้พบกับเพื่อนร่วมห้องของพวกเขาคนหนึ่ง เป็นชายผิวคล้ำรูปร่างผอมบาง สวมแว่นเหลี่ยมเล็ก มือทั้งสองข้างถือกล้องสีดำตัวใหญ่ซึ่งกำลังสะพายไว้บนคอ ยืนอยู่เบื้องหน้าทั้งคู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กับกล้องที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาเตรียมถ่ายใบหน้าของกัน“เอ้า” ชายปริศนาเตรียมกดชัทเตอร์ “ยิ้มหน่อย”“ขอโทษนะ พอดีกูเป็นประเภทไม่ชอบเข้ากล้องว่ะ” คำพูดของกัน ช่างสวนทางกับมือขวาที่ชูขึ้นมากาง ๒ นิ้วให้กับกล้องอย่างชิ้นเชิง “ว่าแต่มึงเป็นใครวะ?”/นี่เหรอไม่ชอบเข้ากล้องของมึง?/ ติ๊กคิดในใจ“ก็อต” ก็อตขานชื่อพร้อมลั่นชัทเตอร์ถ่ายรูปกัน “เยี่ยม เดี๋ยววันนี้มึงได้ลงหน้าแน่”“?” กันสงสัย “มึงจะเอารูปกูลงหน้าตำราเหรอ?”“ไม่ใช่แค่หน้าตำราหรอกนะ” หน้าตำราที่ทั้งสองกำลังพูดถึง คือหนึ่งในโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คยอดฮิตสำหรับเหล่าวัยรุ่น “ปักษาสีคราม อินทรีวันแรม หรือสกิ๊ป กูเอาลงหมดแหละ”“เพื่อไรวะ?” กันถามต่อพร้อมยื่นมือขวาออกไปลดกล้องของก็อตลง “จะให้กูเป็นเน็ทไอดอลรึไง”“เหอะ มึงอย่ากลับคำสิ” ก็อตยิ้มบอกพร้อมปิดกล้องลง “มึงเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้ให้ได้น่ะ ถ้าใช้สังคมออนไลน์เป็นตัวเผยแพร่ คนทั้งโรงเรียนก็รับรู้ที่มึงบอกได้เร็วกว่าที่คิดนา จริงมั้ย?”“ช่างเหอะ” กันเริ่มเอือมระอาแล้ว “กูมีวิธี...”“แต่อย่างว่านะคนที่เอาคว่ำหวัง เหวี่ยง เหาะได้เนี่ย” ก็อตยิ้มพลางหยิบหอยสังข์สีทองจากโจงกระเบนขึ้นมา “ป่านนี้ทั้งโรงเรียนก็น่าจะรู้หมดแล้วแหละ”/!?/ ประโยคนี้เล่นเอาทั้งกันกับติ๊กถึงกับตะลึงไปเลยทีเดียว“ปากต่อปากน่ะ มันไวก็จริง” ก็อตค่อยๆ วางหอยสังข์ลงบนโต๊ะของกัน “แต่กล้องของกูน่ะ ไวกว่านั้นอีกว่ะ”“นี่มัน...” สิ่งที่กันกับติ๊กได้เห็นนั้นคือ ละอองแสงจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน ที่กำลังรวมตัวกันเป็นจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ลอยอยู่เบื้องหน้าสังข์อย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนที่ละอองแสงแต่ละจุดจะเริ่มเปลี่ยนเฉดสีไปทีละน้อย จนกลายเป็นภาพภาพหนึ่งภายในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ มันยังทำหน้าที่เสมือนกล้องวิดีโอ ฉายภาพเหตุการณ์ระหว่างที่กันกำลังสู้กับหวังเมื่อวานนี้ด้วยความคมชัดสูง มันถูกถ่ายจากตึกชั้น ๔ ซึ่งถ้าดูจากมุมกล้องก็คือหน้าห้อง ม.๔/๘ ดังนั้น ผู้ที่บันทึกมันเอาไว้ก็คือเจ้าของกล้องตัวนี้ ก็อตนั่นเอง เล่นเอาทั้งสองถึงกับอึ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว“ตอนนี้คลิปนี้น่ะ” ก็อตยื่นมือขวามารับหอยสังข์ของเขาคืนมา “ยอดผู้ชมในยูทูบี้มีประมาณเกือบพันกว่าคน เท่ากับจำนวนของนักเรียน ม. นึง”/ชิบหายล่ะ.../ ติ๊กเริ่มกังวลอีกครั้ง /งี้ก็หมายความว่า.../“หวังเป็นคนที่มีอิทธิพลในโรงเรียนมากที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้” ก็อตอธิบายต่อ “เท่ากับว่าในตอนเนี้ย คนที่ล้มมันได้อย่างมึงกำลังเป็นที่น่าจับตามองที่สุดเลยล่ะ”“...” กันนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งเลยทีเดียว“ยังไงก็ระวังตัวหน่อยล่ะ โรงเรียนเนี้ยไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนักหรอก ไอ้คนอย่างหวังนี่มีเยอะถมเถเลยล่ะ” ก็อตบอก ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป “มีแค่นี้แหละ แล้วเดี๋ยวจะมาบอกว่ารูปมึงมียอดถูกใจกี่คนกันแน่”“เดี๋ยวก่อน” กันห้ามไว้ทัน “ที่บอกว่ากำลังเป็นที่น่าจับตามองเนี่ย ใครที่จับตามอง?”“หือ?” ก็อตสงสัย “ก็ทุกคนแหละ...”“ไม่ๆ กูว่าคนอย่างมึงน่าจะเชี่ยวเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ดีว่ะ” กันหาได้กลัวกับสิ่งที่ตามมาไม่ รอยยิ้มของเขากลับแสดงออกถึงความตื่นเต้นถึงขีดสุด “งั้นช่วยบอกหน่อยดิ ว่าตอนนี้ใครยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้กันแน่”/ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย/ ติ๊กเริ่มกังวลหนักเข้าไปอีก /อยู่ดีไม่ว่าดียังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก!!!/“ฮะๆๆๆๆ โอ๊ย ขำ ฮ่าๆๆๆๆๆ!” ก็อตถึงกับหัวเราะจนอาการหนักไปเลยทีเดียว “กูว่าแล้วว่าอย่างมึงเนี่ยต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆ ยิ่งใหญ่เหรอ มันก็ไม่ค่อยมีคนเรียกอย่างนั้นกันเท่าไรหรอกนะ แต่ถ้าคนที่แกร่งสุดน่ะ ต้องเป็น “พรสามประการ!!!””“...” สีหน้าของกันยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก “พรสามประการงั้นเหรอ”/ไอ้เชี่ยนี่ห้ามไม่อยู่แล้ว!/ ติ๊กเริ่มหวั่นเกรงถึงความคิดของกันอีกครั้ง“พรสามประการน่ะ มันคือ... อุ๊บ!” ติ๊กจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการยื่นมือขวาไปปิดปากก็อตไว้ในฉับพลัน“เอ่อก็อต” ติ๊กบอก “มึงช่วยไป...”“พรสามประการเนี่ย หมายถึงผู้รับพรทั้งสามคนในโรงเรียนนี้สินะ” แต่ถึงก็อตจะไม่บอก แต่กันก็ดูเหมือนจะเข้าใจอยู่ดี“เดี๋ยว?” ติ๊กสงสัย “ทำไมมึงรู้วะ?”“น่าสนุกนี่!!!” กันลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว พร้อมเบิกยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ด้วยความตื่นเต้นนี้เอง “พรสามประการเหรอ? ถ้าล้มสามคนนี้ได้กูก็จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้แน่นอน!!!”/หายนะ.../ ติ๊กคิดด้วยความสิ้นหวัง /บังเกิดแล้ว.../“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปหากันหน่อยล่ะ!!!” ด้วยความตื่นเต้นภายจนสั่นไปทั้งตัวนี้เอง จึงทำให้ร่างกายของกันกระปรี้กระเป่าขึ้นมาทันตาเห็น เขานำเท้าขวาขึ้นมาวางไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะใช้มันเป็นตัวเหยียบ กระโดดสูงข้ามโต๊ะของเขาออกไปไกลถึงประตูหลังห้องอย่างรวดเร็ว และด้วยความต้องการพบพรสามประการอันเหลือล้น ก็ได้สั่งการให้ตัวชายหัวแหลมคนนี้ วิ่งเตลิดหนีหายจากห้องนี้ไปดั่งสายลม เพื่อตามหานักเรียนทั้งสามผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในสุวัฒนา/ไอ้เหี้ยนี่เอาอีกแล้วไง!!!/ ติ๊กรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว“หึ เริ่มน่าสนุกแล้วสิ” ก็อตแสยะยิ้มพร้อมเปิดกล้องขึ้นมา “แล้วมาดูกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป” ก็อตรีบถือกล้องขึ้นมาแล้ววิ่งตามสองคนก่อนหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุฉะนี้ จึงเป็นเหตุให้ห้อง ม.๔/๘ เหลือเพียงกฤษกับซันเท่านั้น“พวกเราก็เอาด้วยเหอะ!!!” กฤษตะโกนแล้วลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว“เดี๋ยวๆๆๆๆ อะไรของมึงวะ?” ซันห้ามไว้ก่อนด้วยความสงสัย“เรื่องของเพื่อนน่ะ” กฤตหันกลับมากล่าวกับซันด้วยมาดสุขุมนุ่มลึกกับใบหน้าอันหล่อบาดใจ “มันก็เป็นเรื่องของเราด้วยแหละ!!!”“กฤต...” ซันเริ่มเห็นความเท่ห์ในตัวเพื่อน“ถ้ามึงยังเป็นเพื่อนมันอยู่ล่ะก็...” กฤษหันหลังกลับไปบอกต่อ “รีบลุกขึ้นมาแล้ว...”“งานครับไอ่สัส!” ซันรีบลุกขึ้นมาพร้อมใช้สมุดสีเขียวเล่มบาง ในมือตบหัวกฤษเข้าไปทีนึง “งานคู่ กูทำจะเสร็จทั้งเล่มแล้วเนี่ย!”“โทษจ้า” ขณะเดียวกัน ติ๊กก็ได้วิ่งมาถึงโรงอาหารเสียแล้ว ในเวลาพักเที่ยงเช่นนี้ นี่คงเป็นสถานที่อันคึกคักไปด้วยเหล่านักเรียนมากมายหลายร้อยคน ที่กำลังเดินเพ่นพ่านไปมาดั่งฝูงมดแน่นอน สายตาของติ๊ก คงพยายามมองสำรวจนักเรียนแต่ละคนผ่านแว่นกลมๆ นี้ พลางเดินตรงไปเรื่อยๆ เพื่อจุดประสงค์เดียว คือตามหาและหยุดเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาไม่ให้กระทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้ได้/คงจะอยู่นะ/ ติ๊กคิดพลางมองสำรวจโดยรอบ /ก็คงมีที่เดียวแหละ/“เอาแล้วไง!” สิ่งที่ติ๊กบังเอิญได้ยินผ่านสองรูหูคือเบาะแสชิ้นสำคัญใกล้ๆ กันนี้เอง เมื่อเขารีบหันคอตามไปดู จึงได้พบกับก็อต ผู้ซึ่งกำลังวิ่งตรงไปยังทางเดินฝั่งซ้าย ตัดผ่านฝูงชนมากมายพร้อมกล้องในมือด้วยความรวดเร็ว สิ่งที่ตัวเขากำลังมุ่งไปหานั้น คือตัวการสำคัญของเรื่องนี้ กันซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหารบริเวณแถวกลางด้านซ้าย อ้าปากกว้างทำทีเหมือนจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมาเหมือนดั่งครั้งแรกที่โรงอาหาร ติ๊กคงจะรอช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว/เหี้ยล่ะ!/ ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของติ๊ก จึงเป็นผลให้สองเท้าของเขารีบก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาจากไหนไม่รู้ วิ่งอย่างว่องไวไปตามทางเดินเดียวกับก็อตก่อนหน้านี้ ซึ่งขณะเดียว ช่างภาพคนนี้ก็กำลังยืนตั้งกล้องรอใกล้ๆ เยื้องไปทางขวาของกัน เตรียมเก็บภาพอันยิ่งใหญ่ของชายผู้นี้อีกครั้ง ทว่า ความตั้งใจของก็อตกลับถูกทำลายลงในพริบตา ติ๊กที่วิ่งจนมาถึงยังจุดหมาย รีบโผตัวเข้าใส่แล้วใช้มือขวาล็อกคอกันเอาไว้แน่น เพื่อหยุดเหตุการณ์ร้ายแรงในอนาคตอันใกล้ได้อย่างทันท่วงที“ไอ้เหี้ยเอ๊ยเกือบไปแล้วไง” ติ๊กกระซิบข้างหู“ไอ่...สัส” กันยังพยายามพูดต่อ “ทำเหี้ยไร...”“หุบปากไปเลย!!!” ติ๊กสั่งเสียงดัง “วันนี้ทั้งวันมึงหุบปากไปเลย!”“สัสติ๊ก” ก็อตเก็บกล้องแล้วเดินมาหาติ๊กด้วยความไม่พอใจอย่างแรง “โว๊ะ มันจะทำไรก็เรื่องของมันเหอะ”“ก็มันเกี่ยวกับกูเต็มไงล่ะวะ!” ติ๊กบอกเสียงดัง “ถ้าเมื่อวานมึงเจออย่างกูมั่งจะรู้สึก”“เมื่อวาน?” ก็อตสงสัย “เออ เมื่อวานมึงมาโรงเรียนมั้ยวะ”“อยู่ห้องเดียวกันมึงเคยมองมั้ยเนี่ย!” ติ๊กด่าด้วยสีหน้าเย็นชา ยิ่งได้อารมณ์เจ็บ “เล่นแต่กล้อง เล่นแต่ไอสังข์ไงถึงได้เป็นแบบนี้”“อ้าว ไอ้ติ๊ก” ก็อตเริ่มมีอารมณ์ “นี่มึงด่ากูว่าไอ้แว่นเหรอ”“แว่นเหี้ยไร” ติ๊กสงสัย “กูก็แว่นจะด่ามึงทำไม”“แว่นมึงกับแว่นกูมันคนละแบบ!” ก็อตเถียง “แว่นกูเนี่ยไทเทเนียมเชียวนะโว้ยยย”“จะไทเทเหรือเซาท์ไซด์อะไรก็ช่างเถอะ” ติ๊กเถียงต่อ “สุดท้ายมึงก็ซื้อของหอแว่นเหมือนกูแหละ”“เริ่มเยอะแระ” ก็อตทำทีเหมือนจะกำหมัด “ไอ้แว่นกลมๆ ของมึงเดี๋ยวกูต่อยหักแม่งตรงนี้เลย”“แว่นกลม?” ติ๊กก็เริ่มขึ้นเหมือนกัน “แว่นกลมแล้วมันผิดตรงไหน”“เออกูรู้ว่ามึงซื้อแต่ประถม ป.๓ ป.๔ ตอนแฮร์รี่ หมาเต๋อมันกำลังดัง” ก็อตอธิบาย “แต่เดี๋ยวเนี้ยนะ คนมันเริ่มใส่แว่นก็เพราะอยากได้แว่นเหลี่ยมๆ แบบคุณชายหมอแหละโว้ยยย”“คุณชายหมอก็แว่นกลมโว้ยยยย” ติ๊กยังไม่ยอมก็อต “ไอ้โง่!”“แว่นเหลี่ยมสัส!”“ไม่ๆ กลมดิวะ”“เหลี่ยม!!!” “กลมก็กลมสิวะ!!!”“เหลี่ยมว่ะ มึงไปเปิดแผ่นดูเลย!!!”“แผ่นยังไม่ออก งี้แสดงว่ามึงดูแผ่นผี?”“เออกูยอมรับ! แต่ถึงไม่เฮ็ดดีกูก็มองออกว่ามันเหลี่ยมโว้ยยย”“โว้ยยยยย ไอ้เหี้ย!!! จะเหลี่ยมจะกลมก็เรื่องคุณชายหมอมันสิวะ!!! พวกมึงแม่งก็แว่นทั้งสองตัวแหละไอ่สัส!!!” หลังจากต้องทนฟังบทสนทนาอันไร้สาระว่าด้วยเรื่องแว่นอยู่นาน ชายผู้ไม่สวมแว่นคนนี้คงมิอาจทานทดอีกต่อไป กันรีบใช้มือซ้ายผลักแขนของติ๊กอันเป็นอุปสรรคในการพูดออกไปอย่างแรง จากนั้นจึงตะโกนด่าระบายความในใจทั้งหมดกับหนุ่มแว่นสองคนนี้ ด้วยเสียงอันอัดอั้นภายในหัวจนดังลั่นทั่วโรงอาหาร เล่นเอาทั้งตัวการสองคนรวมถึงผู้คนมากมายบริเวณใกล้ๆ นี้ถึงกับหยุดชะงักไปเลยทีเดียว“เออดี กูจะได้แดกหวานเย็นซะที” เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดสงบลงแล้ว กันจึงยกมือขวาซึ่งกำลังถือแท่งหวานเย็นสีแดงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งตัวลงนั่ง แล้วเอาหวานเย็นนั้นยัดใส่ปากพร้อมดูดเลียด้วยความเอร็ดอร่อย เล่นเอาติ๊กกับก็อตงงไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว เมื่อสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการท้าทายพรสามประการ แท้จริงแล้วคือการรับประทานอาหารว่างเท่านั้น“มึงดูดิละลายหมดแล้วเนี่ย” กันดูดหวานเย็นจนหมดเหลือแต่ไม้แล้ว “หมดกัน ข้าวเที่ยงกู”“.......แล้วที่มึงอ้าปากเมื่อกี้....” ติ๊กถามหลังหายอึ้งแล้ว“ก็กำลังจะเอาเข้าปากไงวะสัส!!!” กันเริ่มโมโหขึ้นทุกที “แม่งเอ๊ย แค่จะแดกหวานเย็นเฉยๆ มึงคิดว่ากูจะทำไรเนี่ย”“ก็...” ติ๊กจะพูด แต่ก็ถูกก็อตแทรกขึ้นมา“ก็คิดว่าจะตะโกนลั่นโรงแบบวันแรกไงวะ!!!” ก็อตดูเหมือนจะอารมณ์เสียที่สุด “โว้ยยยยยยย กูก็อุตส่าห์เล่าเรื่องนั้นให้ฟังคิดว่ามึงจะไปหา สัสเอ๊ยยยย กูวิ่งมาเตรียมถ่ายเลยนะเนี่ย”“หา?” กันสงสัย “นี่มึงหมายถึงเรื่องพรสามประการเหรอ?”“ก็จะเรื่องไรอีกวะสัส!” ก็อตล้มตัวลงมานั่งข้างๆ “ไหนมึงบอกจะล้มให้ได้ไงวะ! จะล้มก็รีบๆ ล้มดิวะเดี๋ยวจบ ม.๖ ก่อนไม่ได้ล้มนะโว้ยยยย ไม่อยากยิ่งใหญ่แล้วเหรอ?”“ไม่อ่ะ ไม่มีอารมณ์” กันทำท่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้มีแต่อารมณ์อยากกินอีกซักแท่ง ขออนุญาตเดินไปซื้อแป๊บ”“มึงแม่งป๊อดว่ะ” ก็อตด่าแบบตรงๆ “ดีแต่ปาก สุดท้ายก็ไม่กล้า”“ที่ดีแต่ปากน่าจะเป็นมึงมากกว่านะ” ติ๊กเดินมาตรงหน้าก็อตแล้ว “กูรู้นะ ว่ามึงตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”“ตั้งใจ?” ก็อตสงสัย “ตั้งใจเหี้ยไร?”“มึงตั้งใจจะยั่วมันให้ไปทำตัวกร่างแล้วมีเรื่องกับพรสามประการเหมือนที่ทำกับไอ้หวังงั้นสิ” ติ๊กอธิบายด้วยใบหน้าอันเย็นชา “ที่สำคัญคือ ในเมื่อคลิปที่มันสู้กับหวังเพิ่งเผยแพร่เมื่อวาน ถ้าวันนี้มีคลิปที่มันสู้กับพรสามประการอีก คงเป็นข่าวดังน่าดูเลยสิ”“เหอะ มึงนี่อยู่เงียบๆ ก็ดีแล้วว่ะ” ก็อตนิ่งไปซักพักก่อนจะเอ่ยปากชม “เออ กูยอมรับก็ได้”“แต่แค่คลิปๆ เดียวเนี่ย” ติ๊กถามต่อ ในขณะที่กันเริ่มนิ่งเงียบ “มึงเล่นลงทุนเอาตัวมันไปเสี่ยงกับพรสามประการเลยเหรอวะ”“แล้วไงวะ!!!” ก็อตยิ้มอธิบายเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจ “กูก็แค่หาอะไรสนุกๆ มาถ่าย แล้วก็แบ่งปันความสนุกนี้ให้คนอื่นๆ มันผิดรึไง!!!”“แล้วชีวิตเพื่อนมึงอ่ะ?” ติ๊กเถียง “ถ้าเกิดมันตายขึ้นมา...”“ช่างแม่งสิวะ!!!” ประโยคนี้ทำให้กันรู้สึกตัวอีกครั้ง “กูเป็นแค่คนสังเกตการณ์เท่านั้นแหละ ถ้ามันจะตายมันก็ตายเพราะความกระจอกของมันเอง เท่านั้นแหละวะ!” “/ถึงกูจะไม่ใช่เพื่อนมัน แต่มันก็เป็นเพื่อนกู!!!/ มึงน่ะซักวันต้องเป็นเหมือนกู...” ติ๊กคิดถึงความทรงจำอันแสนดีเมื่อวานพร้อมใช้มันในการเตือนก็อต “เออ งั้นก็แค่นี้แหละ”“งั้นกูก็ไม่มีอะไรจะบอกเหมือนกันแหละ” ก็อตยิ้มบอกก่อนจะเดินไปหากัน ที่ยังคงนิ่งเงียบ “ในเมื่อไอ้คนที่กูต้องการมันเป็นซะแบบนี้ งั้นเราคงไม่มี...”“สหายก็อต...” กันเริ่มพูดแล้ว “กูขอพูดอะไรอย่างนึง”“ว่ามา” ก็อตยิ้มบอก ก่อนที่กันจะหันกลับมาหา “เพราะกู...”“อย่าเอาคำว่าเพื่อนมาล้อเล่นนะเว้ย!!!” หลังจากที่ต้องทนเป็นผู้ฟังมาเป็นเวลานาน บัดนี้จึงถึงเวลาเริ่มตอบโต้เสียที จากคนที่ได้แต่นิ่งเงียบ ก็ได้ริเริ่มเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาจากปาก ทว่า กันในคราวนี้เหมือนไม่ใช่กันคนเดิม ไม่มีทั้งรอยยิ้มและใบหน้าอันสดชื่น แต่กลับเป็นสีหน้าอันโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุดแบบไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน และประโยคเพียงประโยคเดียวของเขา ถึงจะเป็นประโยคสั้นๆ ไม่ได้ถูกตะโกนเสียงดังจนลั่นโรงอาหาร แต่มันกลับสร้างความน่ายำเกรงให้แก่ผู้ฟังจนแทบขนลุกเลยทีเดียว ถึงจะได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่นาน ทว่า หลังจากนั้นก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับก็อตเลย มิหนำซ้ำเขายังยิ้มเยาะด้วยสีหน้าเย้ยหยันผิดกับเนื้อความในประโยคซะอีก“เฮอะ”” ก็อตยิ้มบอกก่อนจะเดินจากไป “เอาเถอะ กูไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้ว”“เหอะ?” ใบหน้าของกันกลับมายิ้มแย้มตามปกติแล้ว “บอกแล้วกูแค่ไม่มี...”“ไอ้หัวแหลม!!! ไอ้เหี้ยแว่น!!!” แต่ถึงเรื่องราวระหว่างกันกับก็อตจะจบลงแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ทว่า ผู้ที่มาหากันในคราวนี้คงทำให้อารมณ์ของหนุ่มหัวแหลมหงุดหงิดขึ้นมาอีกเป็นแน่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเรน รุ่นพี่หน้าตาไม่สู้ดี ผู้กำลังยืนท้าทายต่อหน้ากันด้วยท่าทียียวนกวนประสาท พร้อมด้วยนักเรียนชายรูปร่างกำยำอีก ๕ คน ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหลังเขาดั่งองครักษ์ ด้วยสายตาที่จดจ้องมายังตัวกันเพียงผู้เดียว ทำให้ผู้คนบริเวณรอบๆ เริ่มหันมามอง รวมถึงติ๊ก ที่ค่อยๆ ถอยร่นลงไปข้างหลังเพื่อความปลอดภัยของตนอย่างรวดเร็ว“มึงดูให้เต็มตาวันนี้กูเอาใครมา!?” เรนยังคงท้าทายต่อ “พวกเนี้ย ระดับ...” คำพูดอันแสนชั่วร้ายของก็อตอาจทำให้กันโกรธก็จริง แต่กับคนที่ตามราวีไม่เลิกราอย่างเรน ยิ่งทำให้เขาโกรธหนักยิ่งขึ้นไปอีก เห็นทีคงต้องใช้กำลังในการจัดการเสียแล้ว ไม่รอช้าอะไรทั้งสิ้น หนุ่มหัวแหลมรีบลุกออกจากที่นั่ง วิ่งเข้าไปหาเหล่านักเลงพวกนี้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว ละอองแสงสีทองลอยเข้ามาปกคลุมรอบกายของเขาอย่างทันท่วงที และในเวลาไม่ถึง ๓ วินาที เมื่อเขาได้แปลงร่างเป็นร่างลิงขาว พลังอันแข็งแกร่งก็พร้อมที่จะได้สำแดงเดชแล้ว ปล่อยหมัดขวาเข้ากลางหน้าคนแรกที่ใส่แว่น เตะตัดขวาเสยคางคนตาตี่ที่พุ่งเข้ามา จากนั้นจึงก้มตัวเพื่อศอกขวาเข้ากลางท้องน้อยชายร่างท้วมใกล้ๆ แล้วค่อยฟันมือซ้ายใส่คอนักเรียนคนที่ไว้ทรงสกินเฮดทางซ้ายมือ ปิดท้ายด้วยการยกขาขวาถีบเข้าไปที่กลางอกคนสุดท้ายสุดแรง ในเวลาไม่ถึงนาที เหล่าพรรคพวกที่เรนอุตส่าห์เตรียมมาก็ได้แต่นอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้น มิทันได้แสดงฝีมือให้ประจักษ์เลยแม้นซักนิดเดียว เล่นเอาเรนได้แต่ยืนอึ้งในความสามารถของกันเลยทีเดียว แต่ถึงจะหนีตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้ กันได้มายืนรออยู่ข้างหลังเขาเสียแล้ว หนุ่มหน้ากระปอมคงทำอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องหันหลังกลับไปยิ้มสู้ความจริงอันโหดร้าย“พี่นี่สุดยอดว่ะ เจอหน้าทีไร ผมแม่งมีอารมณ์อยากมีเรื่องทุกทีเลยให้ตายสิ” กันยิ้มบอกพร้อมเอื้อมแขนขวาไปโอบเรนไว้ “แล้วตกลงเพื่อนพี่ ๕ คน นี่ใครกันน่ะครับ?”“อ๋อ... เอ่อ... ปกติจะเรียกว่า สิงห์... สิงห์... สิงห์ไรหว่า...” เรนเริ่มรนรานเต็มที ในขณะเดียวกัน ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้ถูกกล้องของก็อตที่กำลังยืนถ่ายอยู่ริมกำแพง แอบบันทึกด้วยความแนบเนียนไปเสียแล้ว“สิงห์ตึก ๕ ห้าคนตายเรียบในพริบตาเลยแฮะ” ก็อตปิดกล้องลง “สุดยอดจริงๆ”/แต่อย่างว่านะ/ ก็อตหยิบสังข์ขึ้นมาอีกครั้ง /ไอ้พวกนี้มันก็เทียบไม่ได้กับพรสามประการหรอก//ถ้ามันไม่มีอารมณ์ก็เรื่องของมันเหอะ/ ก็อตเริ่มใช้นิ้วกดหน้าจอแสงที่ปรากฏขึ้นทีละน้อย /แต่ถ้าอีกฝ่ายนึงมี วันนี้มีเรื่องเด็ดแน่//ตอนนี้.../ ก็อตมองไปกลางโรงอาหาร ก่อนจะหยุดลงตรงโต๊ะที่มีแต่ผู้ชายนั่งโต๊ะหนึ่ง /เอ็กซ์คงขึ้นห้องไปแล้ว ก็เหลือแค่...//เป็นไงเป็นกันวะ เพื่อคลิปกันปะทะพรสามประการ.../ ก็อตพนมมือทั้งสองขึ้นมาระหว่างสังข์แล้วเริ่มร่ายอะไรบางอย่าง /โสตทวาทิตยา.../ ทางด้านการต่อสู้ กันกับเรนก็ยังคงสนทนากันไม่หยุดเหมือนวันธรรมดาปกติยังไงยังงั้น“แต่อย่างว่านะ” กันยิ้มบอก “พอจะเจอกับพวกพี่ผมก็เริ่มขี้เกียจแล้วแฮะ”“เอ่อ...” เรนพยายามพูดเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งให้มากที่สุด “ทำไมเหรอ...?”“ไม่รู้ดิ” กันลงไปนั่งอีกครั้ง “ก็มีคนมาเล่าเรื่องพรสามประการให้ผมฟังน่ะสิ”/เข้าทางล่ะ!/ เรนเริ่มนึกอะไรได้ “อ๋อ พรสามประการน่ะเพื่อนพี่ทั้งนั้นแหละ”“หือ?” กันเหมือนจะเชื่อสนิทใจ “จริงดิ!? แล้วตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ?”“..........ก็.......” เล่นเอาเรนไปต่อไม่ถูกเลย “คือถ้าขนาดพี่ยังขี้เกียจ พี่ว่าอย่าเสียเวลากับพวกนั้นเลยดีกว่าน่า”“หือ?” กันเริ่มสงสัย“น้องจะฟังมาไงพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ.... คะ แต่ว่านะ....” เรนพูดไปนึกไป “แต่พรสามประการน่ะ เสร็จพี่หมดแล้วทั้งนั้น ไม่ถึงปลายเล็บตีนเลยด้วย....”“อ๋อ!” กันเริ่มนึกไรออก “งั้นแสดงว่า”“ชะ... ใช่แล้ว” เรนยังด้นต่อไปเรื่อยๆ “พี่เนี่ยแกร่งสุดในโรงเรียนนี้แล้ว....นะ....บอกให้รู้ไว้... ว่าตอนที่สู้กับน้องพี่ใช้พลังไปแค่ครึ่งของครึ่งของครึ่งของครึ่งเองนะ แต่เห็นว่าน้องไฟแรงดี...กะ....ก็เลยปล่อยให้เหลิงไปก่อน เอ่อ ทางที่ดีน้องหนีไปก่อนจะดีกว่านะ ก่อนที่พี่จะปลดปล่อยสวัส... เอ๊ย ปลดปล่อยพลังแท้จริงออกมา... พี่เตือนแล้วนะ.... ไปเถอะ เพื่อตัวน้องเอง....”/ตกลงโรงเรียนนี้มีแต่พวกกระจอกรึไงเนี่ย/ กันคงจะเชื่อเต็มเปาแล้ว “ว้า ผิดหวังหมดเลยพรสามประการเนี่ย” “บะ... บอกแล้ว....” เรนผลักกันออกไป แล้วก้าวไปทางซ้ายทีละก้าว เพื่อหลีกหนีจากกันให้ไกลที่สุด “พรสามประการมันก็แค่ขี้เล็บพี่แหละ....เอ่อ....กระจอกมาก... พี่ใช่แค่ปลายตีนแตะมันก็เดี้ยงหมดแล้ว....รู้แล้วใช่มะ...ว่าพี่แกร่งสุด น่ะ....ดีเหมือนกันแหละนะ ฮะๆๆๆ... /ตีระยะห่างออกไปประมาณนี้แหละกำลัง..../”/มึงนี่ก็โง่จริงแหละนะ/ ติ๊กหลบหลังเสาเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์“เฮ้ย!” ดูเหมือนขณะที่ก้าวออกไปนั้น เรนจะชนเข้าให้กับใครบางคนเข้า “ไอ้หน้ากระปอม!”“อ้าวเฮ้ย!!!” เมื่อพ้นออกมาจากกัน เรนจึงกลับมาวางมาดนักเลงใส่คนอื่นเหมือนเดิม “มึงกล้าด่าคนที่แกร่งที่สุดในโรงเรียนเหรอวะ!!!”“เมื่อกี้มึงบอกปลายตีนเหี้ยไรของมึง!!!” ถึงจะหนีจากกันได้รอดพ้นปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เรนต้องเผชิญต่อไปนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ด้วยพลังอำนาจของอะไรบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้ทั้งร่างของเขาถึงกับต้องกระเด็นลอยเคว้งคว้างออกไปกลางอากาศ ด้วยแรงกระทำอันมหาศาล ผ่านหัวนักเรียนมากมายนับสิบที่ได้แต่แหงนมองด้วยความตะลึงในโรงอาหารเลยที เดียว จนกระทั่งรุ่นพี่หน้ากระปอมได้ตกลงมาอยู่ข้างหลังกันตามแรงโน้มถ่วง ด้วยความประหลาดใจ ทำให้กันรีบหันกลับไปดูสภาพอันไร้สติของเรนทันที แต่สิ่งที่เขาพบนอกจากเลือดที่ไหลออกจากปากที่เพิ่งแตกไปก็คือ รอยอักขระที่เรียงตัวกันเป็นรูปวงแหวนสีเขียวเล็กๆ บริเวณปลายคางของผู้เคราะห์ร้ายอย่างเรนนั่นเอง/คาถางั้นเหรอ...???/ กันคิด“มึงเหรอ ไอ้กิตติ เหมันต์วงศ์ไรนั่นน่ะ!!!” เสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดที่ดังแหวกอากาศเข้าถึงหูกัน เป็นเหตุให้ลิงขาวรีบหันหลังกลับไปตามเสียงนี้ด้วยความสงสัยทันที ซึ่งนอกจากจะได้พบกับผู้ที่กำลังเรียกขานชื่อเขา เขายังได้พบกับผู้ที่ส่งเรนลอยออกไปกลางอากาศด้วยเช่นกัน สิ่งที่ประจักษ์อยู่ต่อหน้าสายตาของกันคือ นักเรียนชาย ม.ปลาย รูปร่างสูงล่ำ ไว้ผมดกดำชี้ขึ้นข้างบน มีจุดเด่นที่การระเบิดหูข้างซ้ายเป็นรูใหญ่สีดำ ชายผู้นี้กำลังยืนอยู่ ณ ตำแหน่งสุดท้ายของเรนเมื่อครู่ พร้อมขาขวาที่กำลังเหยียดสูงไปข้างหน้าเหมือนเพิ่งเตะใครบางคนออกไปโดยใช้แค่ปลายเท้า และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเหนือฝ่าเท้าข้างนี้ มีรอยวงแหวนอักขระสีเขียวแบบเดียวกับที่ปลายคางของเรน กำลังลอยอยู่ด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปทีละน้อยในที่สุด"..." กันแสยะยิ้มก่อนจะหันไปมองตาชายปริศนาคนนี้ "ถ้าใช่แล้วจะทำไม""ถ้างั้นก็เตรียมตัวซะ" ชายปริศนาลดขาขวาลงมายืน ก่อนจะยกขาซ้ายขึ้นมาแทนเล็กน้อย และทันใดนั้น ด้วยพลังมหาศาลจากอักขระจากอะไรบางอย่าง เขาจึงสามารถใช้ขาซ้ายนี้ในการกระโดดออกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว แต่นี่ไม่ใช่การกระโดดธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปเสียแล้ว เพราะด้วยความสูงที่เกือบแตะผนังและระยะทางเกิน ๑๐ ม. อันน่าอัศจรรย์นี้ การเหาะเหินอาจเป็นคำพูดที่เหมาะสมกว่า ในเวลาชั่วพริบตา ชายปริศนาผู้นี้ก็ได้กระโดดลงมาอยู่ข้างหลังกันแบบไม่ทันให้ตั้งตัวแล้ว ทว่า แทนที่จะรีบใช้อาศัยจังหวะนี้ในการชิงโจมตีก่อน เขากลับพนมมือสองข้างขึ้นมาประสานหน้าอก ก่อนจะร่ายบทสวดอะไรบางอย่างออกมาแทน"โอม มะสาคะ ระอิดัง อนสะกะตะคิริตัง ระอิดัง คิคังติ"/ชิบหาย.../ แต่ก่อนที่กันจะหันกลับมาทันก็สายเกินแก้เสียแล้ว ทันทีที่เขาหันหลังกลับมานั้นเอง ชายปริศนาก็ไม่รอช้าเตะซ้ายเข้าไปกลางท้องของลิงขาวเต็มแรง และในเมื่อแรงขาของชายผู้นี้สามารถพาเขากระโดดไปได้ไกลถึงเพียงนี้แล้ว การเตะของเขาก็ทรงพลังไม่แพ้กัน แค่ขาข้างเดียวกลับสามารถเตะทั้งร่างของกันให้ลอยออกไปกลางอากาศสูงเกือบ ๕ ม. กระเด็นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาของนักเรียนอีกหลายสิบที่ได้แต่จ้องมองจากบนพื้น และอีกไม่นาน แรงโน้มถ่วงโลกคงส่งให้เขาตกลงมากระแทกพื้นเบื้องล่างเป็นแน่"อะไรวะ?" ชายปริศนาดูท่าจะไม่พอใจอย่างแรง "ดีแต่ปากนี่หว่า""ลูกถีบเหมันต์ฟาดปฐพี!!!" ท่าไม้ตายของกันได้ฤกษ์สำแดงเดชอีกครั้ง ถึงจะกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ แต่ลิงขาวก็ยังมีสติพอจะสวนกลับการโจมตีนี้ได้ ขาซ้ายหุบเข้ามา ขาขวาชี้ตรงลงไปยังเป้าหมายเบื้องล่างเตรียมพร้อมจะถีบลงมา แขนสองข้างของเขาสายชูสูงขึ้นไปข้างบน พร้อมกับลายเส้นสีเขียวที่ปรากฏทั่วแขนอีกครั้งหนึ่ง สายลมอ่อนๆ ที่พัดไปมาเป็นพายุหมุนลูกเล็กบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นพายุ โหมกระหน่ำออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นแรงส่งให้เขากระโดดถีบลงมาด้วยลูกถีบขวาที่เตรียมการเอาไว้อย่างดี ขณะนี้เขากำลังพุ่งลงมาจากกลางอากาศด้วยความเร็วสูงพร้อมจะโจมตีชายปริศนาผู้เป็นเป้าหมายด้วยความรุนแรงแห่งสายลมแล้ว ทว่า ชายปริศนาผู้ตกเป็นเป้ากลับมิได้หวั่นเกรงเลยซักนิด เขาไม่หนีแต่เลือกที่จะเผชิญหน้าด้วยการยกเข่าขวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาดแทน และในช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาที ที่กันกระโดดลงมาอยู่เบื้องหน้าเขาเพียงแค่ไม่ถึง ๑ ม. พร้อมจะถีบเข้าใส่ร่างของเขาในเวลาอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ ชายปริศนาผู้นี้จึงตัดสินใจ ถีบขวาสวนเข้าใส่ลูกถีบของกันอย่างเหมาะเจาะเลยทีเดียว"ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก" ไม่ว่าจะเป็นกำลังขาล้วนๆ อันมากมายมหาศาล หรือจะเป็นแรงถีบที่ได้พลังแห่งสายลมคอยช่วยหนุนหลังอย่างรุนแรง ก็ล้วแล้วแต่เป็นลูกถีบอันทรงพลังไร้เทียมทานทั้งคู่ การปะทะกันเป็นไปอย่างดุเดือดจนแทบกินกันไม่ลง ท่ามกลางสายตาของนักเรียนมากมายทั่วพื้นที่ที่กำลังรับชม การต่อสู้ระหว่างบุรุษทั้งสอง ผู้ใช้เพียงแค่เท้าข้างเดียวในการตัดสินจึงเริ่มขึ้นแล้ว
โปรดติดตามบทถัดไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ