วัยรุ่นหิมพานต์

7.9

เขียนโดย โชจัง

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.

  20 บท
  38 วิจารณ์
  26.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ลิงขาวจ้าวเหมันต์ปรากฏาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

"สหายติ๊ก"
                แม้ว่าการมีเรื่องกับอันธพาลถึงสองคนนั้น จะมิใช่เรื่องน่าสมควรทำนักในวันเปิดภาคเรียนวันแรก แต่อย่างไรก็ตาม มันก็มิอาจลบล้างรอยยิ้มกับท่าทีสบายๆ บนใบหน้าของกันได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าตัวเขานั้นแทบไม่มีความเครียดใดๆ เลยยังไงยังงั้น
แต่อย่างไรก็ตาม หนุ่มหัวแหลมคนนี้จะรู้หรือไม่ ว่าถึงแม้เขาจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น ทว่า ขณะนี้ สหายคนที่เขากำลังเรียกขานชื่ออยู่ กลับกำลังหวั่นวิตกอย่างหนักจากการกระทำตามใจตนเองของตัวเขาเอง
“จะขึ้นห้องก็ไม่บอกนะสัส” กันเดินเข้าใกล้ๆ ติ๊กเรื่อยๆ
                ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ตามเคย แต่มาในคราวนี้ เขากลับยังมีน้ำใจค่อยๆ เหลียวคอกลับมามองบ้าง ทว่า ด้วยสายตาอันเยือกเย็นแฝงด้วยความอาฆาตเช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักหรอก
“อะไรของมึงวะ? เป็นใบ้อีกแล้วรึไง” แต่อย่างว่า กันคงไม่ใส่ใจอยู่ดี “เคี้ยวข้าวไม่ละเอียดจนไปอุดหลอดลมเหรอ?”
                ติ๊กยังคงนิ่งเงียบ จนกระทั่ง กันเดินมาข้างๆ เขาแล้ว
“เอาเถอะ” กันใช้แขนซ้ายโอบคอเขาเอาไว้ “ไว้เรียนเสร็จค่อยไปคายเอาที่บ้านแล้วละกัน”
                ตอนนี้ สายตาของติ๊กทวีความอาฆาตจนแทบจะล้นออกมาแล้ว
“เออ ว่าแต่สหายติ๊ก” กันยังไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น “ทำไม...”
“สหายเหี้ยไร!!!”
                ถึงเวลาที่จะระเบิดมันออกมาเสียที เมื่อความโกรธแค้นภายในจิตใจของติ๊กไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาถึงกับยื่นมือขวาออกมา ผลักอกเพื่อนผู้น่ารำคาญคนนี้ออกไปให้ไกลที่สุด ขนาดที่ว่ากันถึงกับต้องถอยร่นลงไปเลยทีเดียว แต่นั่นยังไม่เท่าอีกประโยคหนึ่งที่จะตามมาในไม่ช้า
“ใครเพื่อนมึง!!!”
                สีหน้าอันโกรธเกรี้ยวดั่งยักษาช่างแตกต่างกับใบหน้าอันเย็นชายามปกติของเขายิ่งนัก แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับประโยคอันรุนแรงและเกรี้ยวกราด ที่สามารถสะท้อนผ่านรูหูเข้าไปยังจิตใจข้างในของกันได้ในชั่วพริบตา และนั่น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถหยุดเขา ให้สงบลงได้โดยไม่ต้องใช้กำลังใดๆ ช่วยทั้งสิ้น จนตอนนี้ สิ่งที่กันทำได้คงมีแต่นิ่งเงียบไม่ไหวติงใดๆ ด้วยความรู้สึกผิดต่อหน้าสหายคนนี้นี่เอง
“กิ๊งก่องๆๆๆ”
                เสียงออดที่ดังขึ้นทั่วโรงเรียน เป็นดั่งสัญญาณว่าหมดเวลาพักเที่ยงเสียแล้ว แต่ขณะเดียวกัน เรื่องราวของทั้งสองคนกลับยังไม่หมดสิ้นแต่เพียงเท่านี้ คนหนึ่งเดือดดาลจนแทบจะลุกเป็นไฟแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อีกคน กลับได้แต่สงบนิ่ง ดั่งสติสัมปชัญญะหลุดลอยออกไปจากร่างจนหมดสิ้นแล้ว ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ กันจะทำเช่นไรเพื่อให้ติ๊กยอมรับเป็นสหายของเขา และติ๊ก จะยอมรับในวิถีทางของกันได้หรือไม่ เวลาที่เหลืออีกเพียงครึ่งวันคงเป็นสิ่งเดียวที่พิสูจน์ได้เท่านั้น              

                                                                                                                                  วัยรุ่นหิมพานต์
บทที่ ๓ ลิงขาวจ้าวเหมันต์ปรากฏกาย

 

“คาบนี้ไรวะ?”
                ณ ห้อง ม.๔/๘ หลังจากเวลาพักกลางวันได้จบลงไปแล้ว เวลาที่นักเรียนจะต้องกลับมาเข้าเรียนในห้องเรียนอีกก็ได้มาถึง ส่วนใหญ่น่าจะมาถึงกันหมดแล้ว และระหว่างรออาจารย์เข้าคาบ พวกเขาก็เลือกที่จะนั่งคุยกันสบายๆ ตามประสาเช่นเคย ดังเช่น นักเรียนทั้งสองคนด้านหลังห้อง กฤตกับซันนั่นเอง
“คาบ ๕” กฤษตอบคำถามเมื่อกี้ตรงๆ
“ไม่ใช่ๆ คาบนี้เรียนไร” ซันถามต่อ
“เรียนหนังสือ” อาการของกฤษช่างเหมือนคนเมากาวยิ่งนัก
“เออๆ แล้ววิชาไร?” ซันยังไม่เลิกล้มความพยายาม
“วิชาเขียว วิชาดำ วิชามะนาว”
                คำตอบสุดท้ายของกฤษเป็นเหตุให้บทสนทนาของทั้งคู่ จบลงทันทีโดยมิต้องนัดหมายใดๆ ทั้งสิ้น และยังเป็นเหตุให้ซันตัดสินใจที่จะนอนฟุบลงไปบนโต๊ะ ดีกว่าที่จะมานั่งฟังมุกฝืดของเพื่อนคนข้างๆ นี้อีกด้วย ทว่า ก่อนที่ความน่าเบื่อจะเข้าครอบงำทั้งสอง ใครคนหนึ่งก็เข้ามาในห้องอีกคนแล้ว
                ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของติ๊กอาจทำให้ทั้งสองแปลกใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเขารีบเดินลงมานั่งในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง อารมณ์สันโดษคงทำให้ความสงสัยของทั้งซันและกฤษพลันหายไปทันที แต่หลังจากนั้นไม่นาน บุคคลผู้เป็นที่น่าจับตามองที่สุด ก็ได้เดินตามหลังติ๊กเข้ามาเป็นรายต่อมาแล้ว
“กัน!”
                ทว่า ใบหน้าอันไร้ซึ่งอารมณ์ของเขาช่างแตกต่างกับครั้งแรกที่เข้ามาในห้องยิ่งนัก แม้คำทักทายของกฤษจะพอทำให้เขายิ้มตอบได้บ้าง แต่ใครก็ดูออกว่ามันช่างไร้ความจริงใจเสียนี่กระไร คงเป็นเพราะมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องการจะคุยด้วยมากกว่า
                จนถึงตอนนี้ สิ่งที่ทั้งสองทำได้คงมีแค่การสื่อสารผ่านทางสายตาโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ และสายตาของติ๊กคงจะตอบกลับมาเช่นเดิมแน่นอน และยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก เมื่อเขายกขาขวาขึ้นมาถีบขาโต๊ะของกันออกไปให้แรงที่สุด จนสามารถเว้นระยะห่างของทั้งสองได้ไกลพอสมควรดังความตั้งใจแรก
ถ้าเป็นปกติ ป่านนี้ติ๊กคงนอนกองลงไปกับพื้นหรือไม่ก็ลอยออกไปนอกหน้าต่างแล้ว แต่ในเมื่อคำพูดของติ๊กยังคงดังตอกย้ำอยู่ข้างในใจของกัน สิ่งที่เขาทำได้ คงมีเพียงแค่การหยุดนิ่งไปซักระยะ ก่อนจะลงเอยด้วยการหย่อนบั้นท้ายลงไปนั่งยังตำแหน่งที่ติ๊กจัดวางไว้ให้ โดยไม่ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้กฤษกับซันอึ้งและทึ่งไปเลยทีเดียว
“นักเรียน!”
                จู่ๆ เสียงของหัวหน้าก็ดังก้องทั่วห้องอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับอาจารย์สาวที่กำลังเดินเข้ามาหน้าห้อง ทุกคนต่างๆ พนมมือเตรียมไหว้อย่างพร้อมเพรียง ขณะเดียวกันช ติ๊กก็ได้เหลือบมองไปยังกันด้วยความสงสัยแฝงความเป็นห่วงนิดๆ เขาพบกับกันในยามหลับใหลเช่นเคย แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเขาคงกำลังละเมอเพ้อคิดถึงใครอยู่เป็นแน่
“สหายอัน...”
“...”
                ในขณะเดียวกันนี้เอง ณ ลานใต้ตึกอันเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์แตกหักระหว่างกันกับติ๊กก่อนหน้านี้ ชายรูปร่างใหญ่ยักษ์คนหนึ่ง มาพร้อมผมทรงกะลาครอบกับพุงที่แทบจะปลิ้นออกมาจากเสื้อ ชายผู้คอยเฝ้ามองทั้งสอง พลางนั่งไขว่ข้างด้วยท่าทีสบายใจเฉิบบนม้านั่งไม้เมื่อครู่นี้ บัดนี้ เขาก็ยังอยู่ในท่วงท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จะมีก็เพียงแต่ควันสีแดงแปลกประหลาดที่ปล่อยออกมาจากปากอยู่เรื่อยๆ ก็เท่านั้น
“ไอ้หวัง”
                และทันใดนั้นเอง นักเรียนชายอีกสองคน ซึ่งดูจากรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายแล้วคงไม่น่าจะใช่เด็กดีแน่ๆ พวกเขาเดินตรงมาหาชายร่างยักษ์ที่ชื่อหวังคนนี้ช้าๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ต่อหน้าเขา
“มีไร” หวังถาม
“ไอ้จักรกับจิมแม่งโดนเล่นแล้วว่ะ รู้สึกว่าจะเป็นไอ้หัวแหลมแบบที่เรนมันเคยพูดด้วยว่ะ”
“ไอ้หัวแหลมเหรอ?”
“แล้วมึงคิดดูนะ อยู่ๆ แม่งตะโกนลั่นโรงว่าไรวะ ประมาณว่ายิ่งใหญ่ไรซักอย่างของมันไม่รู้แหละ กูว่าอย่างมึงคงไม่ปล่อยไว้เฉยๆ แล้วมั้ง”
“เออ กูรู้น่า” หวังยิ้มบอก “ถ้าไอ้หัวแหลมน่ะกูเห็นแต่เมื่อกี้แระ”
“อ้าว ไอ่เหี้ย!” เพื่อนอีกคนตะโกนด่า “แล้วมึงก็ยังอยู่เฉยๆ...”
“มึงลืมไปแล้วรึไงว่าพูดกับใครอยู่?”
                แต่จู่ๆ ร่างของเพื่อนคนนั้นกลับถูกยกลอยขึ้นมากลางอากาศในชั่วพริบพริบตา ด้วยมือขวาเพียงข้างเดียวของหวังเท่านั้น พละกำลังมหาศาลเช่นนี้คงเดาได้ไม่ยากว่าเขาคนนี้ แตกต่างจากศัตรูคนก่อนๆ ที่กันได้เจอแน่ๆ และจะทำเช่นไร ในเมื่อสภาพจิตใจของเขายังไม่ดีพร้อมในการสู้รบปรบมือซะด้วย
“เลิกเรียนเราจะบุกไปถึงหน้าห้องมัน” หวังยิ้มบอก “กูเจอคนดีๆ สำหรับมันแล้วว่ะ”
“อึก...”
                เขาพ่นควันแดงเข้าใส่ใบหน้าเพื่อนของคนนี้ให้สำลักควันเต็มๆ ก่อนจะปล่อยตกลงสู่พื้นให้เป็นอิสระอีกครั้ง และดูเหมือน ข้างในสายตาอันเลื่อนลอยกับรอยยิ้มแสยะๆ นี้ เขาคงกำลังวางแผนชั่วร้ายที่เพิ่งพูดถึงไปอยู่แน่นอน
“แม่... แม่!!!”
               ย้อนกลับมาทางด้านติ๊กอีกครั้งหนึ่ง จากสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขา ณ ตอนนี้ นี่คงเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะประสบพบเจอแล้ว
ในคืนจันทร์เพ็ญ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง สายตาของเด็กชายคนนี้มองเห็นเพียงบ้านเรือนไทยจำนวน ๒ ชั้น สร้างจากไม้เนื้อดีสีน้ำตาล ขนาดนั้นใหญ่โตจนแทบจะเรียกได้ว่าคฤหาสน์เลยก็ว่าได้
             แต่ที่กล่าวมานั้นคงไม่สำคัญนัก เพราะขณะนี้ สถาปัตยกรรมอันงดงามนี้กำลังถูกเปลวอัคคีอันโชติช่วงเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมด เหลือเพียงซากอิฐและไม้ที่ค่อยๆ พังทลายลงมาช้าๆ ภายในกองเพลิงอันลุกโชนส่องสว่างชัดเจนยามราตรี
             แต่ถ้าจะบอกว่าการมองเห็นบ้านอันเป็นที่รักพังทลายลงมานั้นเป็นฝันร้ายแล้ว ผิดถนัด เพราะฝันร้ายกว่าของเด็กชายอยู่ข้างหน้านี้แล้ว
“แม่...”
                หญิงสาวผู้งดงามในสภาพหมดสติกำลังนอนทับเด็กชาย พร้อมมือสองข้างของเธอที่กอดรัดเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุด เธอคนนี้คงเป็นมารดาของเด็กชายแน่ๆ ทว่า ถึงแม้เด็กชายจะร้องเรียกอีกซักกี่พันครั้ง แม่ของเขาก็ยังไม่มีวี่แววที่จะตื่นจากภวังค์เลย ก็คงไม่แปลกสำหรับผู้ที่ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่ ไม่แปลกสำหรับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว
“แม่ๆๆๆๆ”
                ในขณะที่เสียงร้องเรียกมารดายังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าจะหยุด ทันใดนั้นเอง เงาของชายปริศนาคนหนึ่งพร้อมไม้เท้าหัวเพชรงดงามในมือ ก็ลอยทะลุช่องกระจกออกมาจากหน้าต่างบ้านชั้นสองช้าๆ ด้วยละอองแสงสีฟ้าปกคลุมรอบกาย อันน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาเดินเหินอยู่บนอากาศได้อย่างน่าแปลกประหลาดนั่นเอง
               เขาตรงเข้ามาหาเด็กชายช้าๆ และในที่สุด จึงได้หยุดลงต่อหน้าเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้ ยื่นปลายไม้เท้าอันเป็นเหล็กแหลม ออกไปพร้อมละอองสีดำที่ค่อยๆ มารวมตัวกันโดยรอบ ณ ตำแหน่งนี้ และด้วยสีหน้าที่ถึงจะมองเห็นลางๆ แต่ก็ดูออกถึงความเลือดเย็น เขาคงคิดจะปลิดชีพเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้แน่นอน
“...”
              ทว่า ดวงของเด็กน้อยยังไม่ถึงฆาต เพราะจู่ๆ ร่างของชายผู้หนึ่งก็โผล่เข้ามาขวางหน้าเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ในขณะที่ชายปริศนาง้างไม้เท้าเตรียมพร้อมจะแทงปลิดชีพแล้ว
“พ่อ!!!”
                แต่แล้ว เรื่องราวทั้งหมดกลับสลายหายไปดั่งหมอกควันในชั่วพริบตาเดียว สายตาของเด็กน้อยไม่จำเป็นต้องทนมองความโหดร้ายอีกต่อไปแล้ว เพราะขณะนี้ ที่เขามองเห็นอยู่คือห้องเรียน ม.๔/๘ อันเลือนลางในยามเย็น หลอดไฟและพัดลมติดผนังด้านบนปิดการทำงานลงแล้ว ส่วนหน้าต่างทุกบานทางด้านซ้ายก็ถูกปิดลงหมดแล้วเช่นเดียวกัน และเมื่อสำรวจไปโดยรอบแล้ว เขาก็พบว่าเวลานี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ในห้องนี้ และตำแหน่งในตอนนี้คงจะบอกได้ว่า เด็กชายในฝันเมื่อครู่นี้คือติ๊กนั่นเอง
/ นี่กูเผลอหลับในชั่วโมงเหรอวะ/
                ถึงปณิธานในการเรียนจะแน่วแน่ขนาดไหน แต่ท้ายที่สุด ติ๊กก็ยังเป็นนักเรียน ม.ปลาย คนหนึ่ง ที่ความขี้เกียจยังคงซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ภายในร่างกายและจิตใจ จนเมื่อถึงขีดจำกัด เขาก็จำต้องนอนเพื่อหลีกหนีความเบื่อหน่ายในชั่วโมงเรียนนี้ เฉกเช่นเดียวกับคนที่เขาเกลียดนักเกลียดหนานั่นเอง
               เรื่องราวในวัยเด็กของติ๊กนั้นโหดร้ายไม่แพ้กับอดีตของกันเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้น อดีตกลับหล่อหลอมให้ทั้งสองอยู่คนละขั้วบนสองเส้นทาง  ทว่า ร่องรอยเพียงเท่านี้คงไม่สามารถชี้ชัดถึงสาเหตุแท้จริงได้แน่นอน
                หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ติ๊กคงรู้ตัวเสียทีว่านี่ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว เขารีบลุกออกจากเก้าอี้พร้อมใช้มือซ้ายยกกระเป๋าที่วางอยู่หลังเก้าอี้ขึ้นมา สะพายมันเอาไว้ที่ไหล่ขวาพร้อมจะก้าวออกไป ทว่า แทนที่เขาจะเดินออกจากห้องนี้ไปตามปกติ สายตาทั้งสองข้างกลับเหลือบไปมองโต๊ะข้างๆ แบบไม่ตั้งใจ พลางนึกถึงชายคนนั้นด้วยสายตาอันเย็นชา จนไม่สามารถระบุถึงอารมณ์อันแน่นอนได้ แต่สติยังคงเป็นสิ่งย้ำเตือนให้เขารีบกลับบ้านไปก่อน นั่นจึงทำให้หนุ่มแว่นรีบเดินออกจากโต๊ะไปอย่างรวดเร็ว
 /เพื่อนเหรอ?/ ติ๊กยังนึกถึงคำพูดของกัน /ไอ้คำๆ นี้มันมีจริงที่ไหนกันล่ะวะ/
             ทว่า เหตุการณ์อันไม่นึกไม่ฝันก็เกิดขึ้นอีกจนได้ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นสามารถสร้างความหวาดหวั่นให้กับติ๊กยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เลยทีเดียว เมื่อประตูอันเป็นดั่งทางผ่านออกไปข้างหน้า กลับต้องกลายเป็นดั่งทางผ่านให้เหล่านักเรียนอันธพาลมากมายจำนวนถึง ๕ คน เดินตบเท้าเข้ามาในห้องนี้ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรซะแล้ว ทันทีที่เห็น หนุ่มแว่นถึงกับต้องตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความกลัว จนกระเป๋าบนบ่านั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นเลยทีเดียว ตั้งแต่เด็กยันโต ชีวิตของเขาช่างมีแต่ความโชคร้ายจริงๆ
/ชิบหายล่ะ/
                เมื่อเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ทางรอดเดียวสำหรับติ๊กมีเพียงประตูหน้าห้องที่กำลังเปิดอ้าเป็นดั่งแสงสว่างเท่านั้น ทว่า ก่อนที่เท้าของเขาจะทันได้ก้าวออกไปแม้เพียงก้าวเดียว จู่ๆ หวัง ก็เดินเข้ามาผ่านแสงสุดท้ายนั้นช้าๆ แล้วปิดประตูบานสุดท้าย เพื่อแปลงสภาพที่นี่ให้กลายดั่งเป็นห้องปิดตายไร้ทางออกใดๆ ทั้งสิ้นในทันที สถานการณ์ในตอนนี้ยิ่งทำให้ติ๊กตกอยู่ในที่นั่งลำบากยิ่งขึ้นไปอีก แล้วทีนี้ เขาจะทำเช่นไรกันล่ะ
“ไอ้แว่น” หวังบอกพร้อมใช้สายตาอันเลื่อนลอยมองไปทางติ๊ก “รู้มั้ย ถ้ามึงรีบกลับบ้านซะตั้งแต่แรก มึงคงไม่มาเจอเรื่องแบบนี้หรอก”
/นี่มัน... หวัง!!!/
                หลังจากตั้งใจเรียนมาตั้งหลายคาบ ติ๊กคงเลือกเวลาขี้เกียจผิดตามที่หวังบอกจริงๆ
“เอาน่า ทำตัวสบายๆ” หวังค่อยๆ เดินตรงมาหาติ๊ก “มึงไม่เจ็บตัวหรอก ถ้ายอมทำตามที่กูพูด”
/นี่มันเรื่องไรกันวะเนี่ย.../ ติ๊กเริ่มถอยร่นไปข้างหลังจนหลังพิงกำแพงด้วยความหวาดกลัว
“กูน่ะไม่ได้อยากมีเรื่องกับมึงหรอก” หวังบอกพร้อมระยะทางที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “แต่กับเพื่อนมึงต่างหาก”
/...เพื่อน...?/
“กูมีสองทางเลือก” หวังเดินมาอยู่ต่อหน้าติ๊กซะที “เรียกไอ้หัวแหลมมา หรือมึงจะโดนเหวี่ยงออกไปนอกหน้าต่าง?”
/ไอ้เหี้ยเอ๊ย!/ ติ๊กมองไปยังโต๊ะของกัน ตอนนี้เขาโกรธแค้นถึงขีดสุดแล้ว /เพราะมึงคนเดียว!!!/
“หน้าตาฉลาดอย่างมึงคงพอจะรู้นะว่าควรทำไง” หวังยิ้มบอก “เอ้า เรียกมันมาซะสิ”
“ไม่...” ติ๊กบอก “ผมไม่ใช่เพื่อนมัน”
“อืม...”
                คำตอบนั้นถึงจะเป็นความจริง แต่มันคงฟังไม่เข้าหูของหวังเป็นแน่แท้ เป็นเหตุให้หมัดขวาของเขาเหวี่ยงเข้าใส่ใบหน้าของหนุ่มแว่นอย่างแรง จนหนุ่มแว่นถึงกับต้องเซไปข้างหลังพร้อมเลือดสีแดงฉานที่ค่อยๆ ไหลออกจากรูจมูกเลยทีเดียว
“รักเพื่อนจริงนะ หึ นี่สิถึงจะสนุก” หวังแสยะยิ้มเล็กๆ พร้อมง้างหมัดต่อไป “รู้มั้ยทำไมกูถึงต้องมาหามึง แทนที่จะจบเรื่องกับมันเดี๋ยวนี้เลยก็ยังได้ ก็เพราะแบบนี้ไง”
“ถ้ากูเล่นกระทืบมันซะตอนนี้ กูก็ได้แค่แก้แค้นให้เพื่อนกู” หวังยิ้มบอกพร้อมต่อยหมัดเสยคางติ๊กอย่างแรง “แต่ในเมื่อมันมาทำเพื่อนกู กูคงไม่ปล่อยให้มันโดนแค่คนเดียวหรอก เพราะฉะนั้น ถ้ากูไปหาเพื่อนมันแล้วบอกให้มันโทรตาม”
 “ถ้ามันมา กูก็สะใจที่มันต้องมาโดนยำง่ายๆ ตามคำสั่งกู” ต่อด้วยฟันศอกซ้ายใส่หน้าติ๊กเต็มแรง “แต่ถ้าไม่มา กูก็ยิ่งสะใจเข้าไปอีกว่ะ ไม่ใช่ที่กูได้กระทืบเพื่อนมันอีกคนหรอกนะ แต่สะใจ ที่คนที่มันกล้ามาหาเรื่องเพื่อนกู มันเป็นแค่คนอ่อนแอ ที่แม้แต่เพื่อนคนเดียวยังไม่กล้าออกมาปกป้องตะหาก!”
/อ่อนแอเหรอ?/
“และสุดท้าย” หวังจบด้วยโขกหัวติ๊กอย่างแรง “กูก็สะใจชิบหาย สะใจเหี้ยๆ ที่มันทั้งสองไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกเลยไงล่ะ”
/ว่าแต่ มึงชื่อไรวะ/ คำพูดนี้ทำให้ติ๊กย้อนนึกถึงคำพูดของกันเมื่อเจอกันครั้งแรก
“และตลอด ๒ ปี แห่งเส้นทางนักเลงของกู” หวังแสยะยิ้มอันชั่วร้ายแล้วจ้องไปยังใบหน้าอันเต็มไปด้วยคราบเลือดของติ๊ก “ที่กูเจอมีแต่พวกอ่อนแอทั้งนั้น”
/...ใช่แล้ว สุดท้ายเพื่อนมันก็ไว้ใจ เชื่อใจกันไม่ได้อยู่ดี!/ ติ๊กคิดภายในจิตใจอันว่างเปล่าหลังโดนซ้อมจนเกือบปางตาย / เหมือนที่มัน... ทำไว้กับพ่อ/
“มันก็สมควรแหละวะ” หวังยิ้มบอก “ในเมื่อมันทำเพื่อนกู เพื่อนมันก็ต้องโดนด้วยคน”
/เพราะมีเพื่อน.../ ความคิดของติ๊กยังคงไม่หยุด /ถึงได้มีการแก้แค้น.../
“เฮ้ยๆ กูให้เวลาคิดมึงมานานแล้วนะ” หวังเหมือนจะหมดความอดทนในความเงียบเชียบของติ๊กลงแล้ว “ตกลงจะเอาไงกับเพื่อนของมึง”
“ผมไม่ใช่เพื่อนมัน...” ติ๊กตอบสั้นๆตามความจริงด้วยใบหน้าอันเย็นชาเช่นเคย “นี่คือเรื่องจริง”
“เหรอ?” ดูเหมือนนี่จะเป็นหมัดขวาหมัดสุดท้ายที่หวังจะง้างแล้ว “พวกมึงนี่...”
“กูบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิวะ!!!  เพราะมัน... เพราะมันคนเดียวทำให้กูต้องเจอเรื่องแบบนี้!!! ไอ้ คนที่เที่ยวหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว ไอ้คนที่ทำตัวกร่างจนเสียนิสัย ไอ้คนนิสัยเหี้ยๆ กับสันดานเหี้ยๆ แบบนั้นกูไม่อยากได้เป็นเพื่อนหรอก ...ไม่สิ กูไม่อยากมีใครเป็นเพื่อนทั้งนั้นแหละ!!!” ติ๊กตะโกนสุดเสียงเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจอันมากมาย “เพื่อนน่ะใครมันอยากจะไปมีกันวะ!!! สุดท้ายแม่งก็หักหลัง แม่งก็หลอกลวงกันอยู่ดี!!! มันก็แค่อยากได้ผลประโยชน์แบบเพื่อนมึงแหละวะ!!!”
“มึงเงียบแบบเมื่อกี้ก็ดีอยู่แล้วว่ะ”
                ถึงแม้คำพูดของติ๊กจะเป็นความจริงอันอัดอั้นตันใจมาเป็นเวลานาน ทว่า ความจริงข้อนี้กลับแทงใจของหวังและพรรคพวกเข้าไปเต็มๆ เป็นเหตุให้ทั้งร่างของติ๊กลอยขึ้นมากลางอากาศอย่างรวดเร็ว ด้วยพละกำลังของหวังที่สามารถใช้มือขวาข้างเดียวบีบคอคู่ต่อสู้ แล้วยกขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
 “กูก็ไม่รู้หรอกนะว่ามึงพูดจริงหรือแค่ลีลา” หวังแค้นเต็มที่แล้ว “แต่ในเมื่อมึงกล้ามาด่าเพื่อนกู มึงก็ถือเป็นศัตรูของกูเหมือนกันแหละ”
“นี่ไง...” ติ๊กพูดทั้งที่แค่หายใจยังลำบาก “ผลประโยชน์ที่เพื่อนมึงต้องการ...”
“มึงรู้มะ” หวังบอกพลางจ้องตาติ๊กเต็มสองลูก “กูหวังกับเพื่อนมึงไว้เยอะนะ อุตส่าห์คิดว่าจะได้เจอคนกล้าๆ แล้วซะอีก”
“ไม่ใช่กล้าหรอก”
                เสียงอันคุ้นหูที่ดังขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวนี้ ทำเอาทั้งห้องถึงกับประหลาดใจไปตามๆ กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะติ๊กที่เพิ่งหมดหวังไปกับคำว่าเพื่อนไปเมื่อครู่ เขากลับได้พบกับชายหัวแหลมคนหนึ่งที่ก้าวเท้าผ่านประตูหน้าห้องเข้ามา พร้อมหวานเย็นสีแดงในมือซ้ายกับรอยยิ้มร่าเริงอันเป็นเอกลักษณ์ กันนั่นเอง
“พูดให้ถูกคือยิ่งใหญ่ต่างหาก!!!”
                กิตติ เหมันต์วงศ์มาถึงแล้ว ทั้งห้องถึงกับตกตะลึงไปตามๆ กัน พร้อมความสงสัยที่ว่าเขาเข้ามาได้ไงในเมื่อติ๊กยังไม่ทันได้โทรไปหาด้วยซ้ำ
“มึง!”
หนึ่งในเพื่อนของหวังรีบวิ่งเข้ามาง้างหมัดขวาใส่กันพร้อมละอองแสงสีทองที่ค่อยๆ เข้าปกคลุม เพื่อเตรียมแปลงกาย แต่ก็ยังช้าไปหน่อย
“โทษที ไม่อยากมีเรื่องกับกระปอม”
                เพียงชั่วอึดใจ กันก็ได้ส่งหลังมือซ้ายกระแทกเข้าใส่ใบหน้าของเขาอย่างแรง จนอีกฝ่ายถึงกับกระเด็นออกไปนอกห้องโดยยังไม่ทันได้สำแดงเดชเลยทีเดียว
“ไง” กันกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว “สหายติ๊ก”
/กัน.../
                ความสามารถในการกำราบศัตรูที่อยู่ต่อหน้าในชั่วพริบตาของกัน ถึงกับทำให้เหล่าอันธพาลที่เหลือเริ่มหวั่นเกรง ไม่กล้าพุ่งเข้าใส่แล้วต้องเจอผลลัพธ์แบบเดียวกันก่อนหน้านี้เลย ทว่า แตกต่างกับหวัง ที่สีหน้าในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแสยะกับสายตาอันเลื่อนลอยเหมือนเช่นเดิมแล้ว
             แต่ในเมื่อสายตาทั้งสองข้างนั้นเพ่งไปที่กันเพียงคนเดียว ในใจของเขาคงไม่ว่างเปล่าเหมือนเก่าเป็นแน่ และมันยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเขาปล่อยมืออออกจากคอติ๊กหลังจากบีบไว้เป็นเวลานาน จนหนุ่มแว่นเป็นอันต้องร่วงลงมานอนกองกับพื้นข้างในที่สุด ก่อนที่หัวโจกคนนี้จะเดินตรงมาหากันช้าๆ โดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
“แฮ่กๆ” ติ๊กหอบหายใจด้วยความทรมานจากการขาดหายใจเมื่อครู่พลางนึกสงสัย /มันรู้ได้ไง?/
“อ๋อใช่” กันหันไปหาติ๊กพร้อมรอยยิ้ม “โทษทีนะที่มาช้า”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูอยู่นี่...” ติ๊กถามต่อ “แฮ่ก...”
“เอาเป็นว่ากูรู้ละกันน่า” กันยิ้มตอบ แล้วจึงหันไปท้าหวังอีกทีหนึ่ง “แล้วก็ไอ้อ้วน รีบๆ มาจบเรื่องกันซะทีเถอะน่า”
“หึๆๆ มึงมาไงกูไม่รู้หรอก” หวังยิ้มหัวเราะ “แต่ขอชมเชย คนแรกเลยนะเนี่ยที่กล้ามาแบบเนี้ย”
“คิดไม่ผิดจริงๆ ที่หวังไว้แบบนี้” หวังเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “ล้มไอ้เหี้ยนี่ได้ในหมัดเดียวนี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ”
 “กูก็อยากจะปล่อยไปนะ ไอ้คนกล้าๆ แบบมึงเนี่ย” หวังเดินมาข้างหน้ากันแล้ว “แต่ในเมื่อพวกมึงทำเพื่อนกู กูก็ยกเว้นไม่ได้แหละ”
“พี่ก็มาหาเรื่องเพื่อนผมด้วยนี่นะ” กันยิ้มบอก “ถือว่าเจ๊าๆ กันไปละกัน”
“มึงนี่มันน่ากวนส้นแบบที่ไอ้เรนบอกจริงด้วยว่ะ” หวังยิ้มบอก “แต่ขอโทษนะ กูยังไม่ทันได้หาเรื่องเพื่อนมึงเลยนะเว้ย”
“...” กันเริ่มนิ่งเงียบ และดูเหมือนคงกำลังคิดถึงเหตุการณ์ตอนพักเที่ยง
“รู้มะ มันพูดถึงมึงว่าไงบ้าง?” หวังถามต่อด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ก็อย่างไอ้คน...”
“รู้ กูรู้หมดแล้ว” กันบอกด้วยสีหน้าซึมๆ “กูน่ะแอบฟังที่พวกมึงคุยกันตั้งแต่เริ่มแล้ว”
/!?/ ติ๊กถึงกับประหลาดใจอย่างหนักกับคำตอบนี้
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน กูคงไม่ใช่เพื่อนมันตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วแหละ” กันเริ่มยิ้มออก ก่อนจะตะโกนออกไปสุดเสียงให้ทั้งห้องประจักษ์ด้วยรอยยิ้มนี้ “แต่ตอนนี้กูเปลี่ยนไปแล้ว!!! ในเมื่อมันไม่ยอมรับกูก็ช่างหัวแม่งสิ!!! กูจะทำให้มันเชื่อในคำว่าเพื่อนให้ดู!!!  ถึงตอนนี้กูจะไม่ใช่เพื่อนมัน แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นเพื่อนกูอยู่นะเว้ย!!!”
                คำพูดอันทรงพลังนี้เล่นเอาทุกคนในห้องถึงกับต้องตกตะลึงในความคิดและเหตุผลของเขาเลยทีเดียว ไม่เว้นกระทั่งติ๊ก ที่เริ่มเห็นความจริงใจในฐานะเพื่อนของกันแล้ว
“หึๆๆ” รอยยิ้มและเสียงหัวเราะดูเหมือนเพิ่งจะปรากฏเป็นครั้งแรกบนใบหน้าของติ๊ก “อะไรของมึงวะเนี่ย”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” หวังอาการหนักยิ่งกว่าติ๊กอีก “ไอ้เหี้ยเอ๊ย! กูนึกว่าหนังจีนทีมพากย์พันธมิตร!!! มึงนี่แม่งจี้กูชิบหายเลยว่ะ!!! ฮ่าๆๆๆ นี่มึงคิดมาก่อนรึเปล่าเนี้ย ห่าเอ๊ย! แม่งเน่าชิบหาย ขอตัวอ้วกแป๊บ ฮ่าๆๆๆๆ ไหนบอกหน่อยดิ๊ อะไรดลใจให้มึงมาช่วยมันวะ กูก็ไม่เห็นมันจะมีดีเหี้ยไรเลยนี่หว่า ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“เหอะ” กันยิ้มอีกครั้งโดยไม่หวั่นในเสียงหัวเราะของหวังเลย “ถ้าแค่เพื่อนคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ กูคงยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้ไม่ได้หรอก!”
“หือ?”
                ทว่า แค่เพียงคำตอบประโยคเดียวที่เปล่งออกมาจากปากกัน กลับสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของหวัง จากสนุกสนานให้กลายเป็นโมโหได้ในทันที ละอองแสงสีทองแบบทุกทีค่อยๆ เข้าปกคลุมรอบกายของหวังช้าๆ พร้อมกับมือซ้ายที่เลื่อนขึ้นมาจับที่คอเสื้อกันแทนอย่างรวดเร็ว
             แม้แต่หนุ่มหัวแหลมคนนี้ก็ยังตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำ และเมื่อจับได้ หวังจึงรีบวิ่งลากพาตัวกันออกไปถึงหน้าห้องด้วยพละกำลังมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนสุดท้าย ชายหนุ่มร่างยักษ์คนนี้จะหมุนตัวเป็นวงกลม แล้วใช้แรงทั้งหมดเหวี่ยงกันออกไป ลอยทะลุช่องลมบนกำแพงออกไป ล่องลอยสู่ท้องนภาอันกว้างไกลนอกอาคารชั้น ๔ แห่งนี้ในชั่วพริบตา
“เอ๋?”
                ในตอนนี้ สิ่งที่สายตาของกันมองเห็นเพียงสิ่งเดียวคือวิวทิวทัศน์อันสวยงามของ โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นอาคารเรียน ผู้คน หรือกระทั่งดอกไม้ใบหญ้าต่างๆ ในสภาพกลับตาลปัตร แต่มันคงไม่สวยงามอีกต่อไป เมื่อร่างกายของเขากำลังตกลงตามแรงโน้มถ่วงโลกจากความสูงกว่าตึก ๔ ชั้น อย่างรวดเร็ว และอีกไม่นาน หัวแหลมๆ ของเขาคงจะกระแทกใส่พื้นคอนกรีตสีเทาข้างล่างจนแหลกเหลวไม่เป็นชิ้นดีแน่ๆ
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก”
                ถึงจะร้องตะโกนจนสุดเสียงกลางอากาศด้วยความกลัวตายซักเท่าไร แต่สติสัมปชัญญะของเขาก็ยังมิได้หนีหายไปไหน ทันใดนั้นเอง ละอองแสงสีทองก็เข้าปกคลุมรอบกายของกันในเวลาไม่กี่วินาที แปลงกายจากร่างมนุษย์เป็นร่างวานรขาวอันทรงพลัง และในขณะที่ลิงขาวกำลังตกลงมาจากความสูงของตึก ๓ ชั้น นั้นเอง สายตาทั้งสองก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ทางขวามือในเวลาอันเหมาะเจาะเข้าแล้ว
             เมื่อเห็นหนทางรอด เขาจึงรีบใช้มือซ้ายรูดซิปโจงกระเบนบริเวณบั้นท้ายออกมา ปลดปล่อยหางลิงที่ซุกซ่อนอยู่ภายในให้โผล่ออกมาในเวลาอันรวดเร็ว และเมื่อลงมาเรื่อยๆ ยังความสูงประมาณ ๕ ม. จากพื้นดิน ลิงขาวจึงกวัดแกว่งหางออกไปรัดกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่ใกล้ที่สุดเอาไว้แน่น ห้อยโหนทั้งกายาลงมากลางอากาศ ก่อนจะต้องตกถึงพื้นได้อย่างหวุดหวิดในเวลาอันฉิวเฉียด แต่ก็เล่นเอาวานรขาวถึงกับเหงื่อแตกพลั่กเลยทีเดียว
“แฮ่กๆ” กันหอบหายใจด้วยความระทึก “เกือบไปแล้ว”
“กัน!!!” ติ๊กวิ่งออกมาจากห้องเพื่อมาตะโกนร้องเรียกเพื่อนของเขา “ไม่เป็นไรนะ!!!”
“ยังไม่ตาย” กันตอบสั้นๆ ในขณะที่กำลังห้อยโหนอยู่กลางอากาศ
“เออ เดี๋ยวกูตามไปเดี๋ยวนี้แหละ” ติ๊กตะโกนลงมาก่อนจะเดินตรงไปยังบันไดด้านหลัง
“เดี๋ยวๆ” กันคงห้อยต่องแต่ง “แล้วเหี้ยอ้วนล่ะ”
“กูอยู่นี่”
                ในเวลาอันรวดเร็ว บัดนี้ หวังหรือไอ้อ้วนตามที่กันเรียกก็ได้ลงมาถึงยังลานกว้างระหว่างอาคารนี้แล้ว ทว่า รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้กลับมิใช่มนุษย์ แต่กลับเป็นวานรขนสีน้ำตาลแทน แต่ด้วยรูปร่างอันใหญ่โตและกำยำ ทำให้เขาแลดูเหมือนลิงกอริลล่ามากกว่าวานรทั่วไปซะอีก นั่นคงเป็นที่มาของพละกำลังมหาศาล ขนาดที่ว่าสามารถเหวี่ยงคนทั้งคนด้วยแขนเพียงข้างเดียวนั่นเอง
             ขณะเดียวกันนั้นเอง นักเรียนคนอื่นๆ ที่กระจัดกระจายโดยรอบ ก็พร้อมใจกันลี้ภัยออกจากลานกว้างนี้ มายืนมุงดูที่ลานใต้ตึกโดยรอบอย่างรวดเร็ว เพื่อความปลอดภัยของตน เหมือนกับว่านี่เป็นสนามประลองที่ถูกจัดขึ้นมาเพื่อสองวานรนี้โดยเฉพาะ ด้วยบรรยากาศแห่งการต่อสู้นี้เอง จึงเป็นเหตุให้กันปล่อยหางออกจากกิ่งไม้ลงมายืนกับพื้นอีกครั้ง เพื่อเตรียมรับมือหวังด้วยรอยยิ้มอันร่าเริงผิดกับสีหน้าอันโมโหของอีกฝ่ายยิ่งนัก
“เป็นไรไป?” กันยิ้มท้า “เมื่อกี้ยังยิ้มๆ อยู่เลยนี่”
“มึงรู้มั้ย?” หวังถาม “ว่ากูเกลียดอะไรที่สุด”
“มึงยังไม่รู้แล้วกูจะรู้มั้ยล่ะสัส” กันยังคงกวนไม่เปลี่ยนแปลง “๕๕๕”
“ไอ้พวกปากดีไง”
                การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว หวังวิ่งตรงเข้ามาหากันพร้อมง้างหมัดขวาจากระยะห่างประมาณ ๑๐ ม. อย่างรวดเร็ว และเมื่อมาถึงเป้าหมาย เขาจึงเหวี่ยงหมัดนี้เข้าใส่หน้ากันอย่างแรง ทว่า อีกฝ่ายรู้ทันก้าวถอยหลังหลบได้ก่อน แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ วานรยักษ์เขวี้ยงหลังมือใส่อีกหมัดเข้าเต็มแรง แต่ดูเหมือนเรื่องความคล่องตัว วานรขาวจะเป็นต่อ สามารถใช้มือซ้ายรับเอาไว้ได้ก่อนอย่างเฉียดฉิว
             แต่นั่น หาใช่สิ่งที่น่ากลัวไม่ ในจังหวะนั้นเอง วานรยักษ์ได้ยื่นมือซ้ายออกมาคว้าคอเสื้อกันไว้แน่น เพื่อเตรียมโจมตีครั้งต่อไป  
“หวัง”
               หวังหมุนตัวกลับหลังเป็นวงกลม พร้อมเหวี่ยงร่างของกันเข้าไปกระแทกต้นไม้เต็มๆ ใบไม้จำนวนมากร่วงหล่นลงสู่พื้นตามแรงสะเทือน ในขณะที่เลือดที่ทะลักจากปากของกันก็บ่งบอกถึงความรุนแรงได้เป็นอย่างดีทีเดียว
“เหวี่ยง”
                และในที่สุด หวังจึงใช้พละกำลังทั้งหมด เหวี่ยงทั้งตัววานรขาวกลับไปตามทิศทางเดิมอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้ร่างของเขาล่องลอยขึ้นสู่ท้องนภาเบื้องบนสูงถึง ๓ ม. อย่างน่าประหลาดใจ
“เหาะ”
                ในเวลาเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ร่างของกันจึงตกลงมากระแทกสู่พื้นคอนกรีตแข็งๆ ตามแรงโน้มถ่วงโลกอย่างรุนแรง สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสแก่ชายคนนี้เลยทีเดียว
“อูย...” กันร้องด้วยความเจ็บปวด “เจ็บนะเนี่ย”
“ก็ได้ยินมาเหมือนกันแหละ” หวังค่อยๆ เดินมา “ว่ามีไอ้คนทำตัวกร่างอยู่โรงอาหารบอกว่าจะเป็นคนยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนไรนั่นแหละ”
“เออ” กันลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง “กูเองแหละ”
“มึงคิดว่าเท่ห์นักเหรอ!!!” หวังจับเหวี่ยงกันอีกครั้ง “ทำตัวกร่างแล้วเท่ห์เหรอ!!!”
“ไอ้คนที่ทำตัวแบบนี้แหละกูล่ะเกลียดนัก” หวังเดินตามมาต่อยท้องกันอย่างแรง “ไม่ใช่แค่กูหรอก แบบนี้ใครก็เกลียด ขนาดเพื่อนมึงมันยังเกลียดเลย!!!”
“ไง นี่เหรอยิ่งใหญ่ของมึงอ่ะ” หวังจับคอเสื้อลากตัวกันเดินตามมาเรื่อยๆ “รู้ไว้ด้วยว่าโรงเรียนนี้มันมีคนเก่งกว่ากูเยอะ ขนาดกูคนเดียวมึงยังเอาตัวไม่รอด แล้วนี่จะให้ทั้งโรงเรียนก้มหัวให้มึง มึงบ้าป่าวเนี่ย!!! มึงแค่เป็นเพื่อนยังเป็นไม่ได้เล้ย!!!”
“เหอะ” ตอนนี้จมูกของกันเริ่มมีเลือดไหลออกมาแล้ว “มึงเข้าใจไรผิดไปรึเปล่า”
“ผิดเหี้ยไร!!!” หวังจับหัวกันกระแทกต้นไม้ต้นเดิมอย่างแรง “กูเข้าใจถูกแล้วว่ะ ว่าคนอย่างมึงมันเหี้ยแบบที่เพื่อนมึงบอกเปี๊ยบเลย!!!”
“หยุดนะเว้ย!!!”
                เสียงที่ตะโกนห้ามนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือคนที่หวังกำลังพูดถึงอย่างเพื่อนของกัน ติ๊กที่ได้เข้าร่วมการต่อสู้นี้แล้วนั่นเอง ถึงแม้ทั้งร่างของเขาจะได้แต่สั่นก็ตามที แต่สีหน้าของเขากลับแสดงออกถึงความจริงจังเป็นแน่แท้
“อะไรกัน” หวังบอก “นี่มึงยังกล้ามาอีกเหรอ”
“ก็มึงทำเพื่อนกูนี่หว่า!” ติ๊กตะโกนบอก “มึงก็ต้องเจอกูเหมือนกันแหละ!!!”
“กูบอกว่ามึงน่ะหุบปากไปน่ะดีแล้ว!!!” หวังเปลี่ยนเป้าหมายและรีบพุ่งตรงใส่ติ๊กอย่างรวดเร็ว
/ชิบหายล่ะ ตายแน่กู.../ คงมีโอกาสน้อยมากที่ติ๊กจะรอดจากเงื้อมมือหวัง /แต่อย่างน้อยกูก็มี.../
“เฮ้ยๆๆ” แต่กันที่ดูเหมือนจะหมดสภาพแล้วกลับขัดจังหวะได้ทันก่อน “ตกลงไอ้ชื่อหวัง เหวี่ยง เหาะเนี่ย มันชื่อเล่นของมึงเหรอวะ เห็นน้องๆ ทางนั้นพูดกันแน่ะ”
“หา?” หวังเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง “มึงว่าไงนะ”
“ก็ไม่ได้อยากว่าหรอกนะ” กันยิ้มผ่านรอยฟกช้ำบนใบหน้า “แต่คือมึงช่วยคิดชื่อที่ดีกว่านี้หน่อยได้มะ คือถ้ามึงอยากจะบอกว่า “กูเนี่ยเหวี่ยงคนลอยจนเหาะขึ้นฟ้าเลยนะเว้ย” มึงก็ตั้งเป็นหวัง สู่นภา หวัง ล่องลอย แต่คือมึงตั้งเป็นชื่อแบบเนี้ยมันดูเหมือนดาราหนังฮ่องกงว่ะ”
“อ๋อ” หวังมาอยู่ต่อหน้ากันแล้ว “คือมึงจะบอกว่ากูเหมือน เ๐ลียง เฉา เหว่ย หรือไม่ก็ โจว ซิ๐ ฉือ งั้นดิ”
“แต่กูว่าอ้วนๆ อืดๆ มีแต่ไขมันอย่างมึงเนี่ย” กันยิ้มบอก “เหมือน ห๐ จิน เป่า ว่ะ”
“อย่ามาปากดีไอ่สัส!!!”
                ด้วยความโกรธจนถึงขีดสุดจากการถูกดูถูกเรื่องน้ำหนักตัวของตน หง จิ๐ เป่า แห่งสุวัฒนาคนนี้จึงไม่รอช้า รีบวิ่งมาพร้อมใช้มือซ้ายจับคอเสื้อของกันขึ้นมาอีกครั้ง ใช้กำลังทั้งหมดจับทั้งตัวของวานรขาวลงไปกระแทกกับพื้นคอนกรีแข็งๆ อย่างแรง และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขายังคงยกขึ้นมาแล้วกระแทกลงไปอีกหลายต่อหลายครั้ง และดูแล้วคงไม่มีทีท่าจะหยุดเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ ร่างกายของกันคงจะมาถึงขีดจำกัดเสียแล้ว
“กัน...” น้ำตาของติ๊กเริ่มไหลออกมาด้วยความสำนึก “กัน...”
“ขอโทษ!!!”
“เอ้า อุ่นเครื่องพอแล้วล่ะนะ”
               คำขอโทษที่กลั่นออกมาจากใจของติ๊กนี้เอง ที่ทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดพลิกผันไปในทันที ขณะที่หวังกำลังได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียวจนกันแทบจะปางตายอยู่แล้วนั้นเอง จู่ๆ วานรขาวก็ดูเหมือนจะได้สติจากคำพูดอันจริงใจของเพื่อนคนนี้เสียแล้ว
              กันค่อยๆ ยกขาทั้งสองข้างขึ้นมา จากนั้นจึงถีบขาคู่เข้าใส่กลางท้องน้อยของหวังเต็มแรง แรงจนร่างอันใหญ่โตนี้ถึงกับกระเด็นออกไปไกลหลายเมตรอย่างน่าเหลือเชื่อ เล่นเอาคนอื่นๆ ที่มุงดูอยู่ถึงกับอึ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเมื่อกี้นี้มันคืออะไรกันแน่
“...” แม้แต่ติ๊กยังต้องตกตะลึงในพลังนี้ “อะไรกัน”
“เมื่อกี้นี้...” หวังค่อยๆ ดันตัวยืนขึ้นมาอีกครั้ง “มันไปเอาแรงขนาดนั้นมาจากไหนวะ...”
               หลังจากสามารถยืนขึ้นมาประจัญหน้าได้อีกครั้ง พร้อมกับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมามากมายภายในหัว หวังคงไม่ยืนรอคำตอบจากกันอยู่เฉยๆ แน่ เขารีบวิ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งพร้อมหมัดขวาที่ง้างเต็มแรงเตรียมจู่โจม ทว่า กันในตอนนี้ดูเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
ความคล่องตัวและสัญชาตญาณดูจะเฉียบคมมากขึ้น เขาสามารถก้มตัวหลบหมัดนี้ได้อย่างง่ายดาย และจากประสบการณ์การต่อสู้เพียงไม่กี่ครั้ง วานรขาวยังคาดเดาได้อีกว่าหวังคงคิดจะใช้มืออีกข้าง เอื้อมมาจับคอเสื้อขึ้นมาเหวี่ยงอีกเป็นแน่ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“แปะ”
               แต่คงไม่มีใครที่ไหนยอมโดนซ้ำๆ ซากๆ อีกเป็นแน่ ดังนั้น กันจึงแก้สถานการณ์ด้วยการใช้มือขวาปัดมันออกไปอย่างทันท่วงที ก่อนจะใช้เลื่อนมือซ้ายออกมากดหัวหวังลงมาอย่างรวดเร็ว
“!!!” หวังยังตกใจกับการรับมือของกัน
“เป็นไรไป?” กันยิ้มถาม “ต่อไปจะจัดให้เต็มๆ แล้วนะ”
“!?”
            กันเข่าซ้ายใส่คางของศัตรูเข้าไปเต็มๆ แล้วจึงยืดขาซ้ายถีบเข้าไปกลางอกด้วยความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น จนอีกฝ่ายเป็นอันต้องกระเด็นออกไปอีกครั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับกันกันแน่?
/...นี่มัน.../ หวังที่ล้มลงไปนอนกับพื้นคิดในใจ /มันยังไม่เอาจริงอีกเหรอเนี่ย!?/
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก” หวังยังไม่ยอมแพ้ ยังคงวิ่งพุ่งเข้าหากันอีกรอบ
“พลังอะไรกัน...” ติ๊กยังคงตกตะลึง “นี่มันไม่ใช่ฝีมือนักเรียนธรรมดาๆ แล้ว...”
“นั่นมัน... ไอ้กิตตินี่หว่า!!!”
                เสียงๆ นี้ทำให้ติ๊กรีบหันหน้ากลับไปมองยังต้นเสียงในทันควัน ไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นครูชรัส ที่กำลังยืนดูการต่อสู้นี้ด้วยความตกตะลึงบนทางเดินใต้อาคารใกล้ๆ กับติ๊กนั่นเอง
“เรื่องจริงเหรอเนี่ย” ครูชรัสถึงกับต้องเอามือปาดเหงื่อเลยทีเดียว “นี่ห้องกูต้องมีคนระดับนี้อยู่จริงๆ เหรอเนี่ย”
“ครูชรัสครับ” ติ๊กหันกลับไปถามทันทีที่ได้พบ “ที่ว่าระดับนี้มันหมายความว่ายังไงครับ”
“เธอก็อยู่ห้อง ๘ นี่” อ.ชรัสยังพอจะจำหน้าติ๊กได้ “งั้นจะบอกให้ละกัน เธอจำได้ใช่มั้ย ว่ามันบอกว่านามสกุลมันคือ เหมันต์วงศ์น่ะ”
“อ๋อ แล้วทำไม...!!!” เมื่อย้อนนึกไปเรื่อยๆ ติ๊กก็ดูเหมือนจะรับรู้ความจริงบางอย่างเข้าแล้ว
“ตอนแรกครูก็คิดว่าคงเป็นแค่เชื้อสายห่างๆ หรือไม่ก็นามสกุลเหมือนกันหรอกนะ” ครูชรัสอธิบายต่อ “แต่พอตอนเที่ยงที่ครูไปค้นดูทั้งใบประวัติ ทั้งใบเกรดมัน...ก็รู้เลย”
“รู้...” ติ๊กเริ่มสงสัย “รู้อะไรครับ?”
“พ่อของมันคือฉัตรชัย เหมันต์วงศ์” คำตอบนี้เล่นเอาติ๊กอึ้งไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“เดี๋ยวๆๆ” ติ๊กยังคงอึ้งไม่หาย “ถ้าเป็นงั้นจริงมันก็ควรอยู่ที่นพบุรี ไม่ก็โรงเรียนราชวงศ์ที่อโยธยาสิครับ! แล้วทำไมคนตระกูลนี้ถึง...”
“ไม่รู้หรอก” ครูชรัสเล่าต่อไป “แต่ทั้งพ่อของมัน ทั้งขนสีขาว แล้วก็ฝีมือระดับนั้นอีก คงปฏิเสธไม่ได้แล้วแหละ”
“ไม่อยากจะเชื่อ...” ติ๊กเริ่มทำใจได้พร้อมหันไปดูการต่อสู้อีกครั้ง “เรื่องจริงเหรอเนี่ย”
“ใช่แล้ว กิตติ เหมันต์วงศ์ นี่แหละสายเลือดแท้ๆ ของหนุมาน!”
               ในระหว่างที่บทสนทนาอันยาวนานของทั้งศิษย์และอาจารย์กำลังดำเนินไปนั้น ขณะเดียวกัน การต่อสู้ก็ดูเหมือนจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว เมื่อกันได้กระโดดสูงพุ่งเข้าใส่ตัวหวังพร้อมแขนขวาที่ง้างเอาไว้แน่น
             และเมื่อมาถึงระยะพอดีตัว วานรขาวจึงต่อยเข้าใส่กลางใบหน้าศัตรูเต็มๆ จนอีกฝ่ายถึงกับถอยไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนที่กันจะปิดฉาก ด้วยการต่อยหมัดซ้ายเข้าใส่ท้องของหวังอีกที กำปั้นนี้เองที่เล่นเอาร่างยักษ์ๆ ของหวัง กระเด็นลอยไกลออกไปด้านหลัง
               ร่างของเขาหล่นลงมายังบริเวณของฝูงนักเรียนที่กำลังมุงดูอยู่ใต้ตึก เห็นดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่กับที่เฉยๆ แน่ รีบวิ่งกรูออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้ นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีใครโดนลิงยักษ์ตัวนี้ทับจนเละ และดูจากรอยฟกช้ำเต็มใบหน้าของเขา ก็น่าจะเกินขีดสุดแล้ว แต่สำหรับกัน คงต่ออีกหลายยกได้สบายๆ
“เฮ้ยๆ” กันที่อยู่ไกลออกไปยิ้มเยาะ “แค่นี้ยอมแพ้แล้วเหรอ”
/ไม่ไหว.../ หวังค่อยๆ ยกตัวขึ้นมาอีกครั้ง /มันเก่งเกินไป.../
“เอ้า ลุกขึ้นมาอีกทีสิ” กันตั้งท่าเตรียมสู้อีกครั้ง “คราวนี้หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีแน่ ก็อย่างว่าแหละ ด่ากูไว้เยอะ มึงเองมันก็ไม่ต่างกันหรอก ความจริง เราเองแทบไม่ต้องมาสู้กันด้วยซ้ำ...”
ทว่า ในขณะที่กันกำลังจ้อไม่หยุดอยู่นี้เอง หวังเองก็ดูเหมือนจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างทางด้านซ้าย ซึ่งดูท่าคงเป็นสิ่งที่จะพลิกสังเวียนนี้แน่ๆ
“แล้วตกลงจะเอาไงกับชื่อหวัง เหวี่ยง เหาะ ของมึงดีล่ะเนี่ย” กันยังคงพล่ามไปเรื่อย แถมยังเดินไปมารอบๆ เหมือนกำลังโม้ให้นักเรียนอีกหลายคนฟังอีกตะหาก “ตั้งแต่สู้มาเนี่ยดูเหมือนมึงจะเหาะเยอะกว่ากูอีกนะเนี่ย ๕๕๕”
“หวัง...” จู่ๆ เสียงของหวังก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังกัน
“นั่นไง เอาอีกแล้วไง” กันยิ้มเยาะ ก่อนจะค่อยๆ หันไปดู
“เหวี่ยง...” กันค่อยๆ หันหลังกลับไปดู
“เอ้า คราวนี้จะ...” แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากันกลับอยู่เหนือความคาดหมายเสียเหลือเกิน “ชิบหายล่ะ..”
                สิ่งที่หวังกำลังเหวี่ยงอยู่นั้นเอง หาใช่ร่างของมนุษย์เหมือนครั้งก่อนๆ แต่อย่างใดทั้งสิ้น มันคือโต๊ะม้านั่งไม้สีเขียวตัวใหญ่ที่วางอยู่รอบบริเวณนี้ ดูๆ แล้วคงจะนั่งได้มากสุดประมาณ ๑๐ คน และถ้าจะใช้แรงคนยกก็คงต้องใช้อย่างต่ำๆ ไม่น้อยกว่า ๓ คนแน่ๆ
ช่างน่าเหลือเชื่อนัก ที่หวังเพียงคนเดียวกลับสามารถใช้พละกำลังทั้งหมด ยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือ ๒ ข้างเท่านั้น เล่นเอาหลายๆ คนตกตะลึงไปตามๆ กันเลยทีเดียว
               ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเหวี่ยงมันเป็นรูปวงกลมไปรอบๆ ถึง ๒-๓ ครั้ง และในจังหวะที่กันหันกลับมามองนั้นเอง เขาจึงตัดสินใจปล่อยมันออกไปในที่สุด
“เหาะ!!!”
               ม้านั่งตัวยักษ์นี้เหาะไปตามคำพูดของหวังแล้ว มันถูกเหวี่ยงออกมาจากมือทั้งสองข้างของเขา ลอยกระเด็นออกไปกลางอากาศ พร้อมหมุนไปมารอบทิศเป็นรูปวงกลม ตรงเข้าหากันที่กำลังยืนอยู่เฉยๆ ห่างออกไปไกลกว่า ๑๐ ม. แต่ด้วยแรงเหวี่ยงตามกฏฟิสิกส์ที่เพิ่มความเร็วให้มันเป็นทวีคูณ ภายในไม่กี่วินาที ม้านั่งตัวนี้คงจะถูกเหวี่ยงเข้าใส่หัวของกันจนแบะแน่ๆ
“...”
               ทุกสายตาต่างจดจ้องมาที่ร่างของกันในทันที ทั้งอาจารย์ประจำชั้นและเพื่อนร่วมห้องต่างต้องตกใจจนออกนอกหน้า แต่คงไม่มีใครตกตะลึงไปกว่ากันแน่ๆ สายตาของเขาจดจ้องเพียงม้านั่งที่กำลังลอยเข้ามาข้างหน้า หัวของเขาคงจะคิดอะไรไม่ออกแล้วแน่ๆ หรือนี่จะเป็นวาระสุดท้าย?
“หึ”
               ไม่ใช่แน่นอน ถึงความตายจะกำลังลอยเข้ามาอยู่เบื้องหน้าแล้วก็ตาม ใช่ว่ากันจะกลัวขาสั่นจนไม่ขยับไปไหนแต่อย่างใด เขากลับแสยะยิ้มรับมััน พร้อมด้วยนัยน์ตาสีเขียวที่เปล่งประกายแสงมากยิ่งขึ้นอย่างน่าแปลกประหลาด ท่ามกลางเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้เอง
               ด้วยแววตาอันมุ่งมั่น เขาไม่คิดที่จะหนีเลยแม้ซักนิด ขาซ้ายก้าวออกไปข้างหน้า ขาขวาก้าวตามออกมา ลิงขาวเริ่มออกวิ่ง พุ่งเข้าใส่ม้านั่งของอีกฝ่ายที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่คิดชีวิต พร้อมๆ กับใช้มือซ้ายจับข้อมือขวากดลงไปที่พื้น ด้วยลายเส้นปริศนาที่ปรากฏขึ้นมาบนแขนสองข้างอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
               มันคือลายเส้นรูปลายไทยที่ปราฏเต็มทั่วแขนอย่างน่าอัศจรรย์ และที่สำคัญ มันยังเปล่งประกายแสงสีเขียวมรกตงดงาม เฉกเช่นเดียวกับนัยน์ตาของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ถึงที่มาของมันแม้ซักคน แต่การที่อยู่ๆ มันก็ปรากฏขึ้นในการต่อสู้นี้ มันคงจะเป็นความตั้งใจของกันแน่ๆ
และหากสังเกตดีๆ บนฝ่ามือของกันก็ได้มีอภินิหารบังเกิดขึ้นอีกแล้ว
“วิ้วๆๆๆๆๆ”
               มันคือพายุหมุนลูกเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาบนฝ่ามือขวาของกันอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีเหตุผลอันใดมารองรับพายุลูกนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น เสมือนว่าเขามีเวทย์มนต์ที่จะเสกมันออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกก”
               เมื่อกันวิ่งเข้ามาได้ถึงจุดจุดหนึ่ง ณ จุดที่ม้านั่งอยู่เบื้องหน้าเขาไม่ถึง ๒ ม. และในอีกไม่ถึงวินาที มันคงจะลอยอัดเข้าใส่หน้าของเขาจนเละแน่ๆ จู่ๆ เขากลับกลับหลังหันอย่างรวดเร็ว จับมือขวาเอาไว้ให้แน่นที่สุด ตั้งมุมเฉียง ๔๕ องศากับพื้น และเมื่อได้โอกาส ก็ถึงเวลาที่เขาจะแสดงอภินิหารเหล่านี้เสียที
“จรวดไต้ฝุ่น!!!”
               ช่างน่ามหัศจรรย์เสียเหลือเกิน เพราะทันใดนั้น พายุลูกเล็กๆ นี้ก็ทวีความเชี่ยวกรากมากขึ้นในเวลาอันน้อยนิด จนกลายเป็นพายุลูกยักษ์ขนาดเท่าฝ่ามือ พุ่งออกมาจากฝ่ามือของวานรขาวใส่พื้นด้านล่างอย่างรุนแรง เป็นแรงส่งให้เขาลอยสูงขึ้นไปกลางอากาศภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้น ส่งให้ร่างของเขาลอยขึ้นเหนือม้านั่งที่พุ่งเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด หลบมันได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น
“!!!”
               ทุกๆ คนต่างต้องตกตะลึงกับความอัศจรรย์นี้ กันสามารถหลบมันได้จริงๆ ด้วย ม้านั่งตัวนั้นลอยผ่านใต้ฝ่าเท้าของกันออกไปไกล จนชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่กันใช้โหนเต็มๆ ในขณะที่หลายๆ คนได้แต่จับจ้องไปยังตัวกัน ที่ ยังคงใช้พลังแห่งพายุนี้ลอยตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
               จนเมื่อถึงระยะความสูงเท่ากับตึก ๒ ชั้น พายุลูกนี้จึงค่อยๆ สลายหายไป กันหมุนตัวกลับไปหาหวังที่อยู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว พร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ส่งไปให้อีกฝ่ายด้วยความได้ใจ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงตกตะลึงไม่หาย และการโจมตีครั้งสุดท้ายก็มาถึงเสียที
“พร!!!” หวังตะโกนถามด้วยความตกใจ “นี่มึงเป็นผู้รับพรด้วยเหรอวะ!!!”
“นี่มัน...” ติ๊กยังอึ้งไม่หาย “อะไร...กัน...”
“หนึ่งในสิ่งที่สายเลือดหนุมานทุกคนต้องมี...” อ.ชรัสอธิบาย พร้อมใช้หลังมือซ้ายปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เหมันตพรยังไงล่ะ”
“นี่สำหรับที่มึงทำไว้กับเพื่อนกู...”
ถึงเวลาที่จะปิดฉากเสียที ถึงแม้ร่างของเขากำลังจะดิ่งลงสู่พื้นอยู่แล้วก็ตาม กันกลับรีบใช้เวลาอันน้อยนิดนี้ ยื่นขาขวาเหยียดตรงออกไป เล็งฝ่าเท้านั้นไปยังร่างของหวังด้านล่าง พับขาซ้ายเข้ามาไว้ ส่วนแขนทั้งสองข้างก็ยื่นขึ้นไปยังท้องฟ้าด้านบน ในขณะเดียวกันนั้นเอง บนฝ่ามือที่แบอยู่ทั้งสองข้างของวานรขาว พายุลูกเล็กๆ ก็ได้ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเสียแล้ว
“ลูกถีบเหมันต์ฟาดปฐพี!!!”
                ได้เวลาตัดสินเสียที พายุหมุนลูกเล็กเหล่านี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พัดพาออกมาจากฝ่ามือทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง ร่างของกันกำลังตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพายุหมุนลูกยักษ์ที่เป็นแรงเสริมให้อีกเท่าตัว และด้วยท่าทางของกันที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขากำลังกระโดดถีบลงมาจากความสูงเกือบ ๗ ม. พุ่งเข้าใส่หวังด้านล่างนั่นเอง
               ด้วยพลังแห่งวายุบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ทั้งความรวดเร็วและความรุนแรงของกันจึงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวแล้ว นอกจากนั้น เขายังสามารถควบคุมทิศทางได้อย่างคล่องแคล่วในการตรงเข้าหาเป้าหมายอีกด้วย ซึ่งหวังที่ยืนอยู่เฉยๆ เป็นเป้านิ่ง ก็คงไม่อาจตั้งรับหรือหลบหลีกได้ทันกาลแน่ๆ
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกก”
             ภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น เท้าขวาของกันก็ได้ประทับเข้าใส่กลางอกของหวัง มันจึงกลายเป็นลูกถีบอันรุนแรงที่สุด รวมเอาไว้ทั้งแรงโน้มถ่วงโลก น้ำหนักตัว รวมถึงแรงลมอันมหาศาลจากเหมันตพรของวานรขาว ถีบอีกฝ่ายอย่างแรง ชนิดที่ว่าร่างยักษ์นี้ถึงกับกระเด็นลอยออกไปไกลถึง ๑๐ ม. เลยทีเดียว
               ร่างของหวังตกลงมายังพื้นด้านล่างในที่สุด เมื่อดูจากเลือดจำนวนใสกที่ไหลออกจากปาก รวมถึงนัยน์ตาที่เหลือกเหลือเพียงตาขาว หวังที่หมดสติไปแล้ว คงจะเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างแน่นอน และผู้ชนะก็คือกัน วานรขาวที่พึ่งจะลงมายืนบนพื้นดินอีกครั้งหลังจากการโจมตีครั้งสุดท้าย
“กูนี่แหละ คนที่จะเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้”
ประโยคนี้เอง คงจะเป็นประโยคที่แสดงถึงชัยชนะของกัน ชายผู้ที่จะเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้ ท่ามกลางสักขีพยานมากมายในสนามประลองแห่งนี้นี่เอง
“วู้ววววววววววววววว”
“กัน...” ติ๊กรีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมเบิกยิ้มอันจริงใจ เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาสามารถเอาชนะได้เสียที “มึง...”
“เออ” ละอองแสงสีทองที่ลอยออกมาจากร่างกัน ทำให้เขากลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง “ว่าไง”
“ใจมากนะ” ติ๊กยิ้มให้ด้วยความจริงใจ ชนิดที่ว่ากันแทบไม่เคยเห็นมาก่อน
“...” กันอึ้งไปซักพัก ก่อนจะยิ้มรับด้วยความพอใจ
“ไม่เป็นไรหรอก” กันค่อยๆ เดินตรงมาหาติ๊กเรื่อยๆ พร้อมยกมือขวาขึ้นมา
“?” ติ๊กเริ่มสงสัย
“เพื่อนกันทำได้อยู่แล้ว!!!”
“เออ” ติ๊กยกมือขึ้นมาจับเอาไว้แน่นโดยไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น “เพื่อนก็เพื่อนวะ”
               และในที่สุด เรื่องราวระหว่างกันกับติ๊กก็ได้เดินทางมาถึงบทสรุปเสียที มือที่ทั้งคู่ยกขึ้นมาแล้วจับกันไว้แน่นนั้น บ่งบอกถึงมิตรภาพของพวกเขาได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่ามันจะต้องมีวันคลายออกมาในไม่ช้า แต่สายสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนก็มิอาจตัดขาดกันได้ ถึงชีวิตของทั้งคู่จะอยู่คนละขั้วกัน แต่ก็มิอาจเป็นเส้นกั้นระหว่างคำว่าเพื่อนได้เลย นี่คือบทเรียนของคำว่าเพื่อนที่ติ๊กได้รับจากกัน และนี่คงเป็นความยิ่งใหญ่ ที่กันใฝ่หาอยู่แน่ๆ แต่เรื่องราวของทั้งสองจะดำเนินต่อไปอย่างไร ก็คงมีแต่ต้องคอยติดตามดูต่อไปเท่านั้น

โปรดติดตามบทถัดไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา