วัยรุ่นหิมพานต์

7.9

เขียนโดย โชจัง

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.

  20 บท
  38 วิจารณ์
  26.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) พรสามประการ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“กิ๊งก่องๆๆ”
                เสียงกริ่งอันคุ้นหูดังขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ณ โรงเรียนสุวัฒนา เป็นดั่งสัญญาณอันดี สำหรับการเริ่มต้นคาบเรียนแรกในเช้าอันสดใสเช่นวันนี้
ณ ห้อง ม.๔/๘ ห้องเรียนปกติธรรมดาทั่วไปเหมือนห้องเรียนอื่นๆ เต็มไปด้วยเสียงสนทนาอันเจี๊ยวจ๊าวจากปากนักเรียนนับสิบ ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้องตามประสาเด็กวัยรุ่น แต่ทันใดนั้นเอง เสียงเหล่านี้กลับหยุดลงแทบจะทันใด เมื่อนักเรียนคนหนึ่งได้ก้าวเท้าเข้ามาผ่านประตูหลังห้องพร้อมหัวแหลมๆ ของเขา ชายผู้ก่อเรื่องวุ่นวายสารพัดเมื่อวานนี้ กันมาถึงแล้ว
“อรุณสวัสดิ์”
               แค่เพียงชายคนนี้เดินเข้ามาภายในห้อง สายตาของทุกๆ คนต่างก็พร้อมใจกัน จ้องไปยังตัวเขาเพียงคนเดียวอย่างพร้อมเพรียง ทว่า สายตาในคราวนี้กลับไม่เหมือนวันแรกที่ได้พบเจอแต่อย่างใด ใบหน้าของทุกคนมิได้เบิกบานด้วยรอยยิ้ม แต่กลับกัน มันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ พร้อมด้วยสีหน้าอันไม่ไว้วางใจเสียมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงจะถูกมองด้วยสายตาอันแปลกประหลาดจากเพื่อนทั้งห้อง หนุ่มหัวแหลมกลับไม่รู้สึกเอะใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเดินตรงไปยังโต๊ะของตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ซึ่งข้างๆ นั้น มีเพื่อนสนิทของเขา นามว่าติ๊กนั่งอยู่นั่นเอง
“อรุณสวัสดิ์”
               ถึงแม้จะทักทายกับเพื่อนทั้งห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กันก็ยังไม่ลืมที่จะทักทายเพื่อนคนนี้ สำหรับคนเฉยชาเช่นติ๊กแล้ว การจะทำให้เขาปริปากพูดนับว่าเป็นการยากเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป ในเมื่อติ๊กได้ประสบเหตุการณ์เมื่อวานก่อน จิตใจของเขาคงจะยอมรับตัวกันขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้
“พูดซ้ำไปซ้ำมาทำไมวะ” ติ๊กถามกวนๆ ด้วยใบหน้าอันเย็นชา “มาสายอีกแล้วนะมึงน่ะ”
“ก็เมื่อวานกูดูชิ๐ร้อยชิงล้านนี่หว่า” กันยิ้มตอบพร้อมหย่อนก้นลงนั่ง
“ชิงร้อ๐ชิงล้านมันมีวันอาทิตย์ไม่ใช่รึไงวะ” ติ๊กถามต่อ
“กูดูย้อนหลังสัส”
               บทสนทนาอันเป็นธรรมชาติของทั้งสองคนนี้ ถึงกับทำให้กฤษกับซันเป็นอันต้องตกตะลึงไปตามๆ กันเลยทีเดียว ในหัวของพวกเขาคงมีแต่คำถามมากมายผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ว่าเพราะเหตุใด คนสองคนที่พึ่งจะทะเลาะกันครั้งใหญ่เมื่อวาน ถึงกลับมาคืนดีกันไวเช่นนี้
“...นายคิดเหมือนฉันไหม บี ๑” กฤษถามซัน ขณะที่ทั่งคู่ยังจ้องมองไปยังการสนทนาของทั้งคู่
“ถึงกูจะไม่ใช่บี ๒” ซันตอบไปด้วยความอึ้ง “แต่กูก็คิดอย่างมึงแหละ”

 

วัยรุ่นหิมพานต์
บทที่ ๔ พรสามประการ

 

“กิ๊งก่องๆๆๆๆ”
                เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก เสียงกริ่งหมดคาบกังวาลขึ้นทั่วทั้งโรงเรียนแห่งนี้อีกครั้ง ดังไปถึงหูเหล่านักเรียน ม.๔/๘ ทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะเป็นสัญญาณแห่งการหมดคาบ การที่นักเรียนเกือบทั้งห้องลุกขึ้นจากเก้าอี้และทยอยออกไปทีละน้อย นี่คงถึงเวลาแห่งการพักกลางวันแล้วแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น กลับยังมีชายคู่หนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน กันกับติ๊กนั่นเอง
“เออ สหายติ๊ก กูว่าจะถามแต่เช้าแระ” กันหันไปถามติ๊กต่อ “มีไรติดตรงหน้ากูป่าววะ”
“ไม่นี่” ติ๊กหันมาสำรวจใบหน้ากันเล็กน้อย “มีไรวะ”
“ก็ไม่รู้ดิ ตอนกูเดินเข้ามานะ” กันอธิบายถึงสาเหตุ “ทั้งห้องแม่งพร้อมใจกันมองหน้ากูโดยมิได้นัดหมายเหมือนวิสาขบูชาเลยว่ะ”
“.../ลูกถีบเหมันต์ฟาดปฐพี!!!/...” ติ๊กนิ่งเงียบพลางนึกถึงเหตุการณ์อันน่าจะเป็นสาเหตุเมื่อวาน “เอ่อ กูว่ามึงคิดไปเองมากกว่ามั้ง...”
                และการที่ทั้งคู่คุยกันลากยาวจนถึงบัดนี้ ยิ่งทำให้ความสงสัยของกฤษกับซันทวีคูณขึ้นไปอีก
“เมื่อวานกูยังเห็นแม่งทะเลาะกันอยู่เลยนี่หว่า...” กฤษเป็นฝ่ายถาม “แล้วไหงแม่งคืนดีกันง่ายกันจังวะ”
“ไอ้เรื่องดีกันน่ะไม่เท่าไรหรอก” ซันกล่าว “แต่ที่ไอ้ติ๊กมันพูดได้นี่สิแปลกจริง”
“นั่นดิวะ” กฤษถามต่อ “มึงอยู่ห้องเดียวกับมันตอน ม.ต้น นี่ รู้ป่าววะว่าทำไมมันถึงเป็นเงี้ย”
“ก็...” จู่ๆ ซันก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา “ไม่รู้สินะ”
                ในขณะเดียวกัน บทสนทนาของทั้งสองก็ยังไม่จบ
“เฮ้ย มึงไม่ต้องมาหลอกกู” กันยังชักติ๊กต่อ “บอกมาเถอะ กูจะได้สบายใจ”
/มึงโง่จริงเหรอวะเนี่ย/ แต่ติ๊กก็ยังไขสือ “ไม่มีหรอก ถามคนอื่นยังได้”
“ถึงจะไม่มีอะไรติดตรงหน้ามึงก็เถอะ แต่กูก็พอรู้เหตุผลนะ”
               แต่อยู่ๆ การสนทนาของทั้งสองกลับถูกแทรกขึ้นมา ด้วยประโยคเพียงประโยคเดียวของชายคนหนึ่ง และเมื่อทั้งคู่หันกลับไปมองตามต้นเสียงนี้ ก็ได้พบกับเพื่อนร่วมห้องของพวกเขาคนหนึ่ง เป็นชายผิวคล้ำรูปร่างผอมบาง สวมแว่นเหลี่ยมเล็ก มือทั้งสองข้างถือกล้องสีดำตัวใหญ่ซึ่งกำลังสะพายไว้บนคอ ยืนอยู่เบื้องหน้าทั้งคู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กับกล้องที่ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาเตรียมถ่ายใบหน้าของกัน
“เอ้า” ชายปริศนาเตรียมกดชัทเตอร์ “ยิ้มหน่อย”
“ขอโทษนะ พอดีกูเป็นประเภทไม่ชอบเข้ากล้องว่ะ” คำพูดของกัน ช่างสวนทางกับมือขวาที่ชูขึ้นมากาง ๒ นิ้วให้กับกล้องอย่างชิ้นเชิง “ว่าแต่มึงเป็นใครวะ?”
/นี่เหรอไม่ชอบเข้ากล้องของมึง?/ ติ๊กคิดในใจ
“ก็อต” ก็อตขานชื่อพร้อมลั่นชัทเตอร์ถ่ายรูปกัน “เยี่ยม เดี๋ยววันนี้มึงได้ลงหน้าแน่”
“?” กันสงสัย “มึงจะเอารูปกูลงหน้าตำราเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่หน้าตำราหรอกนะ” หน้าตำราที่ทั้งสองกำลังพูดถึง คือหนึ่งในโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คยอดฮิตสำหรับเหล่าวัยรุ่น “ปักษาสีคราม อินทรีวันแรม หรือสกิ๊ป กูเอาลงหมดแหละ”
“เพื่อไรวะ?” กันถามต่อพร้อมยื่นมือขวาออกไปลดกล้องของก็อตลง “จะให้กูเป็นเน็ทไอดอลรึไง”
“เหอะ มึงอย่ากลับคำสิ” ก็อตยิ้มบอกพร้อมปิดกล้องลง “มึงเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้ให้ได้น่ะ ถ้าใช้สังคมออนไลน์เป็นตัวเผยแพร่ คนทั้งโรงเรียนก็รับรู้ที่มึงบอกได้เร็วกว่าที่คิดนา จริงมั้ย?”
“ช่างเหอะ” กันเริ่มเอือมระอาแล้ว “กูมีวิธี...”
“แต่อย่างว่านะคนที่เอาคว่ำหวัง เหวี่ยง เหาะได้เนี่ย” ก็อตยิ้มพลางหยิบหอยสังข์สีทองจากโจงกระเบนขึ้นมา “ป่านนี้ทั้งโรงเรียนก็น่าจะรู้หมดแล้วแหละ”
/!?/ ประโยคนี้เล่นเอาทั้งกันกับติ๊กถึงกับตะลึงไปเลยทีเดียว
“ปากต่อปากน่ะ มันไวก็จริง” ก็อตค่อยๆ วางหอยสังข์ลงบนโต๊ะของกัน “แต่กล้องของกูน่ะ ไวกว่านั้นอีกว่ะ”
“นี่มัน...”
               สิ่งที่กันกับติ๊กได้เห็นนั้นคือ ละอองแสงจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน ที่กำลังรวมตัวกันเป็นจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ลอยอยู่เบื้องหน้าสังข์อย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนที่ละอองแสงแต่ละจุดจะเริ่มเปลี่ยนเฉดสีไปทีละน้อย จนกลายเป็นภาพภาพหนึ่งภายในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้ มันยังทำหน้าที่เสมือนกล้องวิดีโอ ฉายภาพเหตุการณ์ระหว่างที่กันกำลังสู้กับหวังเมื่อวานนี้ด้วยความคมชัดสูง มันถูกถ่ายจากตึกชั้น ๔ ซึ่งถ้าดูจากมุมกล้องก็คือหน้าห้อง ม.๔/๘ ดังนั้น ผู้ที่บันทึกมันเอาไว้ก็คือเจ้าของกล้องตัวนี้ ก็อตนั่นเอง เล่นเอาทั้งสองถึงกับอึ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว
“ตอนนี้คลิปนี้น่ะ” ก็อตยื่นมือขวามารับหอยสังข์ของเขาคืนมา “ยอดผู้ชมในยูทูบี้มีประมาณเกือบพันกว่าคน เท่ากับจำนวนของนักเรียน ม. นึง”
/ชิบหายล่ะ.../ ติ๊กเริ่มกังวลอีกครั้ง /งี้ก็หมายความว่า.../
“หวังเป็นคนที่มีอิทธิพลในโรงเรียนมากที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้” ก็อตอธิบายต่อ “เท่ากับว่าในตอนเนี้ย คนที่ล้มมันได้อย่างมึงกำลังเป็นที่น่าจับตามองที่สุดเลยล่ะ”
“...” กันนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“ยังไงก็ระวังตัวหน่อยล่ะ โรงเรียนเนี้ยไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนักหรอก ไอ้คนอย่างหวังนี่มีเยอะถมเถเลยล่ะ” ก็อตบอก ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป “มีแค่นี้แหละ แล้วเดี๋ยวจะมาบอกว่ารูปมึงมียอดถูกใจกี่คนกันแน่”
“เดี๋ยวก่อน” กันห้ามไว้ทัน “ที่บอกว่ากำลังเป็นที่น่าจับตามองเนี่ย ใครที่จับตามอง?”
“หือ?” ก็อตสงสัย “ก็ทุกคนแหละ...”
“ไม่ๆ กูว่าคนอย่างมึงน่าจะเชี่ยวเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ดีว่ะ” กันหาได้กลัวกับสิ่งที่ตามมาไม่ รอยยิ้มของเขากลับแสดงออกถึงความตื่นเต้นถึงขีดสุด “งั้นช่วยบอกหน่อยดิ ว่าตอนนี้ใครยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้กันแน่”
/ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย/ ติ๊กเริ่มกังวลหนักเข้าไปอีก /อยู่ดีไม่ว่าดียังจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนอีก!!!/
“ฮะๆๆๆๆ โอ๊ย ขำ ฮ่าๆๆๆๆๆ!” ก็อตถึงกับหัวเราะจนอาการหนักไปเลยทีเดียว “กูว่าแล้วว่าอย่างมึงเนี่ยต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆ ยิ่งใหญ่เหรอ มันก็ไม่ค่อยมีคนเรียกอย่างนั้นกันเท่าไรหรอกนะ แต่ถ้าคนที่แกร่งสุดน่ะ ต้องเป็น “พรสามประการ!!!””
“...” สีหน้าของกันยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก “พรสามประการงั้นเหรอ”
/ไอ้เชี่ยนี่ห้ามไม่อยู่แล้ว!/ ติ๊กเริ่มหวั่นเกรงถึงความคิดของกันอีกครั้ง
“พรสามประการน่ะ มันคือ... อุ๊บ!” ติ๊กจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการยื่นมือขวาไปปิดปากก็อตไว้ในฉับพลัน
“เอ่อก็อต” ติ๊กบอก “มึงช่วยไป...”
“พรสามประการเนี่ย หมายถึงผู้รับพรทั้งสามคนในโรงเรียนนี้สินะ” แต่ถึงก็อตจะไม่บอก แต่กันก็ดูเหมือนจะเข้าใจอยู่ดี
“เดี๋ยว?” ติ๊กสงสัย “ทำไมมึงรู้วะ?”
“น่าสนุกนี่!!!” กันลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว พร้อมเบิกยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ด้วยความตื่นเต้นนี้เอง “พรสามประการเหรอ? ถ้าล้มสามคนนี้ได้กูก็จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้แน่นอน!!!”
/หายนะ.../ ติ๊กคิดด้วยความสิ้นหวัง /บังเกิดแล้ว.../
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปหากันหน่อยล่ะ!!!”
               ด้วยความตื่นเต้นภายจนสั่นไปทั้งตัวนี้เอง จึงทำให้ร่างกายของกันกระปรี้กระเป่าขึ้นมาทันตาเห็น เขานำเท้าขวาขึ้นมาวางไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะใช้มันเป็นตัวเหยียบ กระโดดสูงข้ามโต๊ะของเขาออกไปไกลถึงประตูหลังห้องอย่างรวดเร็ว  และด้วยความต้องการพบพรสามประการอันเหลือล้น ก็ได้สั่งการให้ตัวชายหัวแหลมคนนี้ วิ่งเตลิดหนีหายจากห้องนี้ไปดั่งสายลม เพื่อตามหานักเรียนทั้งสามผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในสุวัฒนา
/ไอ้เหี้ยนี่เอาอีกแล้วไง!!!/ ติ๊กรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“หึ เริ่มน่าสนุกแล้วสิ” ก็อตแสยะยิ้มพร้อมเปิดกล้องขึ้นมา “แล้วมาดูกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป”
                ก็อตรีบถือกล้องขึ้นมาแล้ววิ่งตามสองคนก่อนหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุฉะนี้ จึงเป็นเหตุให้ห้อง ม.๔/๘ เหลือเพียงกฤษกับซันเท่านั้น
“พวกเราก็เอาด้วยเหอะ!!!” กฤษตะโกนแล้วลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวๆๆๆๆ อะไรของมึงวะ?” ซันห้ามไว้ก่อนด้วยความสงสัย
“เรื่องของเพื่อนน่ะ” กฤตหันกลับมากล่าวกับซันด้วยมาดสุขุมนุ่มลึกกับใบหน้าอันหล่อบาดใจ “มันก็เป็นเรื่องของเราด้วยแหละ!!!”
“กฤต...” ซันเริ่มเห็นความเท่ห์ในตัวเพื่อน
“ถ้ามึงยังเป็นเพื่อนมันอยู่ล่ะก็...” กฤษหันหลังกลับไปบอกต่อ “รีบลุกขึ้นมาแล้ว...”
“งานครับไอ่สัส!” ซันรีบลุกขึ้นมาพร้อมใช้สมุดสีเขียวเล่มบาง ในมือตบหัวกฤษเข้าไปทีนึง “งานคู่ กูทำจะเสร็จทั้งเล่มแล้วเนี่ย!”
“โทษจ้า”
               ขณะเดียวกัน ติ๊กก็ได้วิ่งมาถึงโรงอาหารเสียแล้ว ในเวลาพักเที่ยงเช่นนี้ นี่คงเป็นสถานที่อันคึกคักไปด้วยเหล่านักเรียนมากมายหลายร้อยคน ที่กำลังเดินเพ่นพ่านไปมาดั่งฝูงมดแน่นอน สายตาของติ๊ก คงพยายามมองสำรวจนักเรียนแต่ละคนผ่านแว่นกลมๆ นี้ พลางเดินตรงไปเรื่อยๆ เพื่อจุดประสงค์เดียว คือตามหาและหยุดเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาไม่ให้กระทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้ได้
/คงจะอยู่นะ/ ติ๊กคิดพลางมองสำรวจโดยรอบ /ก็คงมีที่เดียวแหละ/
“เอาแล้วไง!”
               สิ่งที่ติ๊กบังเอิญได้ยินผ่านสองรูหูคือเบาะแสชิ้นสำคัญใกล้ๆ กันนี้เอง เมื่อเขารีบหันคอตามไปดู จึงได้พบกับก็อต ผู้ซึ่งกำลังวิ่งตรงไปยังทางเดินฝั่งซ้าย ตัดผ่านฝูงชนมากมายพร้อมกล้องในมือด้วยความรวดเร็ว
สิ่งที่ตัวเขากำลังมุ่งไปหานั้น คือตัวการสำคัญของเรื่องนี้ กันซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหารบริเวณแถวกลางด้านซ้าย อ้าปากกว้างทำทีเหมือนจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมาเหมือนดั่งครั้งแรกที่โรงอาหาร ติ๊กคงจะรอช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
/เหี้ยล่ะ!/
                ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของติ๊ก จึงเป็นผลให้สองเท้าของเขารีบก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาจากไหนไม่รู้ วิ่งอย่างว่องไวไปตามทางเดินเดียวกับก็อตก่อนหน้านี้ ซึ่งขณะเดียว ช่างภาพคนนี้ก็กำลังยืนตั้งกล้องรอใกล้ๆ เยื้องไปทางขวาของกัน เตรียมเก็บภาพอันยิ่งใหญ่ของชายผู้นี้อีกครั้ง
               ทว่า ความตั้งใจของก็อตกลับถูกทำลายลงในพริบตา ติ๊กที่วิ่งจนมาถึงยังจุดหมาย รีบโผตัวเข้าใส่แล้วใช้มือขวาล็อกคอกันเอาไว้แน่น เพื่อหยุดเหตุการณ์ร้ายแรงในอนาคตอันใกล้ได้อย่างทันท่วงที
“ไอ้เหี้ยเอ๊ยเกือบไปแล้วไง” ติ๊กกระซิบข้างหู
“ไอ่...สัส” กันยังพยายามพูดต่อ “ทำเหี้ยไร...”
“หุบปากไปเลย!!!” ติ๊กสั่งเสียงดัง “วันนี้ทั้งวันมึงหุบปากไปเลย!”
“สัสติ๊ก” ก็อตเก็บกล้องแล้วเดินมาหาติ๊กด้วยความไม่พอใจอย่างแรง “โว๊ะ มันจะทำไรก็เรื่องของมันเหอะ”
“ก็มันเกี่ยวกับกูเต็มไงล่ะวะ!” ติ๊กบอกเสียงดัง “ถ้าเมื่อวานมึงเจออย่างกูมั่งจะรู้สึก”
“เมื่อวาน?” ก็อตสงสัย “เออ เมื่อวานมึงมาโรงเรียนมั้ยวะ”
“อยู่ห้องเดียวกันมึงเคยมองมั้ยเนี่ย!” ติ๊กด่าด้วยสีหน้าเย็นชา ยิ่งได้อารมณ์เจ็บ “เล่นแต่กล้อง เล่นแต่ไอสังข์ไงถึงได้เป็นแบบนี้”
“อ้าว ไอ้ติ๊ก” ก็อตเริ่มมีอารมณ์ “นี่มึงด่ากูว่าไอ้แว่นเหรอ”
“แว่นเหี้ยไร” ติ๊กสงสัย “กูก็แว่นจะด่ามึงทำไม”
“แว่นมึงกับแว่นกูมันคนละแบบ!” ก็อตเถียง “แว่นกูเนี่ยไทเทเนียมเชียวนะโว้ยยย”
“จะไทเทเหรือเซาท์ไซด์อะไรก็ช่างเถอะ” ติ๊กเถียงต่อ “สุดท้ายมึงก็ซื้อของหอแว่นเหมือนกูแหละ”
“เริ่มเยอะแระ” ก็อตทำทีเหมือนจะกำหมัด “ไอ้แว่นกลมๆ ของมึงเดี๋ยวกูต่อยหักแม่งตรงนี้เลย”
“แว่นกลม?” ติ๊กก็เริ่มขึ้นเหมือนกัน “แว่นกลมแล้วมันผิดตรงไหน”
“เออกูรู้ว่ามึงซื้อแต่ประถม ป.๓ ป.๔ ตอนแฮร์รี่ หมาเต๋อมันกำลังดัง” ก็อตอธิบาย “แต่เดี๋ยวเนี้ยนะ คนมันเริ่มใส่แว่นก็เพราะอยากได้แว่นเหลี่ยมๆ แบบคุณชายหมอแหละโว้ยยย”
“คุณชายหมอก็แว่นกลมโว้ยยยย” ติ๊กยังไม่ยอมก็อต “ไอ้โง่!”
“แว่นเหลี่ยมสัส!”
“ไม่ๆ กลมดิวะ”
“เหลี่ยม!!!”
 “กลมก็กลมสิวะ!!!”
“เหลี่ยมว่ะ มึงไปเปิดแผ่นดูเลย!!!”
“แผ่นยังไม่ออก งี้แสดงว่ามึงดูแผ่นผี?”
“เออกูยอมรับ! แต่ถึงไม่เฮ็ดดีกูก็มองออกว่ามันเหลี่ยมโว้ยยย”
“โว้ยยยยย ไอ้เหี้ย!!! จะเหลี่ยมจะกลมก็เรื่องคุณชายหมอมันสิวะ!!! พวกมึงแม่งก็แว่นทั้งสองตัวแหละไอ่สัส!!!”
                หลังจากต้องทนฟังบทสนทนาอันไร้สาระว่าด้วยเรื่องแว่นอยู่นาน ชายผู้ไม่สวมแว่นคนนี้คงมิอาจทานทดอีกต่อไป กันรีบใช้มือซ้ายผลักแขนของติ๊กอันเป็นอุปสรรคในการพูดออกไปอย่างแรง จากนั้นจึงตะโกนด่าระบายความในใจทั้งหมดกับหนุ่มแว่นสองคนนี้ ด้วยเสียงอันอัดอั้นภายในหัวจนดังลั่นทั่วโรงอาหาร เล่นเอาทั้งตัวการสองคนรวมถึงผู้คนมากมายบริเวณใกล้ๆ นี้ถึงกับหยุดชะงักไปเลยทีเดียว
“เออดี กูจะได้แดกหวานเย็นซะที”
                เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดสงบลงแล้ว กันจึงยกมือขวาซึ่งกำลังถือแท่งหวานเย็นสีแดงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทิ้งตัวลงนั่ง แล้วเอาหวานเย็นนั้นยัดใส่ปากพร้อมดูดเลียด้วยความเอร็ดอร่อย เล่นเอาติ๊กกับก็อตงงไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว เมื่อสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นการท้าทายพรสามประการ แท้จริงแล้วคือการรับประทานอาหารว่างเท่านั้น
“มึงดูดิละลายหมดแล้วเนี่ย” กันดูดหวานเย็นจนหมดเหลือแต่ไม้แล้ว “หมดกัน ข้าวเที่ยงกู”
“.......แล้วที่มึงอ้าปากเมื่อกี้....” ติ๊กถามหลังหายอึ้งแล้ว
“ก็กำลังจะเอาเข้าปากไงวะสัส!!!” กันเริ่มโมโหขึ้นทุกที “แม่งเอ๊ย แค่จะแดกหวานเย็นเฉยๆ มึงคิดว่ากูจะทำไรเนี่ย”
“ก็...” ติ๊กจะพูด แต่ก็ถูกก็อตแทรกขึ้นมา
“ก็คิดว่าจะตะโกนลั่นโรงแบบวันแรกไงวะ!!!” ก็อตดูเหมือนจะอารมณ์เสียที่สุด “โว้ยยยยยยย กูก็อุตส่าห์เล่าเรื่องนั้นให้ฟังคิดว่ามึงจะไปหา สัสเอ๊ยยยย กูวิ่งมาเตรียมถ่ายเลยนะเนี่ย”
“หา?” กันสงสัย “นี่มึงหมายถึงเรื่องพรสามประการเหรอ?”
“ก็จะเรื่องไรอีกวะสัส!” ก็อตล้มตัวลงมานั่งข้างๆ “ไหนมึงบอกจะล้มให้ได้ไงวะ! จะล้มก็รีบๆ ล้มดิวะเดี๋ยวจบ ม.๖ ก่อนไม่ได้ล้มนะโว้ยยยย ไม่อยากยิ่งใหญ่แล้วเหรอ?”
“ไม่อ่ะ ไม่มีอารมณ์” กันทำท่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้มีแต่อารมณ์อยากกินอีกซักแท่ง ขออนุญาตเดินไปซื้อแป๊บ”
“มึงแม่งป๊อดว่ะ” ก็อตด่าแบบตรงๆ “ดีแต่ปาก สุดท้ายก็ไม่กล้า”
“ที่ดีแต่ปากน่าจะเป็นมึงมากกว่านะ” ติ๊กเดินมาตรงหน้าก็อตแล้ว “กูรู้นะ ว่ามึงตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
“ตั้งใจ?” ก็อตสงสัย “ตั้งใจเหี้ยไร?”
“มึงตั้งใจจะยั่วมันให้ไปทำตัวกร่างแล้วมีเรื่องกับพรสามประการเหมือนที่ทำกับไอ้หวังงั้นสิ” ติ๊กอธิบายด้วยใบหน้าอันเย็นชา “ที่สำคัญคือ ในเมื่อคลิปที่มันสู้กับหวังเพิ่งเผยแพร่เมื่อวาน ถ้าวันนี้มีคลิปที่มันสู้กับพรสามประการอีก คงเป็นข่าวดังน่าดูเลยสิ”
“เหอะ มึงนี่อยู่เงียบๆ ก็ดีแล้วว่ะ” ก็อตนิ่งไปซักพักก่อนจะเอ่ยปากชม “เออ กูยอมรับก็ได้”
“แต่แค่คลิปๆ เดียวเนี่ย” ติ๊กถามต่อ ในขณะที่กันเริ่มนิ่งเงียบ “มึงเล่นลงทุนเอาตัวมันไปเสี่ยงกับพรสามประการเลยเหรอวะ”
“แล้วไงวะ!!!” ก็อตยิ้มอธิบายเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจ “กูก็แค่หาอะไรสนุกๆ มาถ่าย แล้วก็แบ่งปันความสนุกนี้ให้คนอื่นๆ มันผิดรึไง!!!”
“แล้วชีวิตเพื่อนมึงอ่ะ?” ติ๊กเถียง “ถ้าเกิดมันตายขึ้นมา...”
“ช่างแม่งสิวะ!!!” ประโยคนี้ทำให้กันรู้สึกตัวอีกครั้ง “กูเป็นแค่คนสังเกตการณ์เท่านั้นแหละ ถ้ามันจะตายมันก็ตายเพราะความกระจอกของมันเอง เท่านั้นแหละวะ!”
 “/ถึงกูจะไม่ใช่เพื่อนมัน แต่มันก็เป็นเพื่อนกู!!!/ มึงน่ะซักวันต้องเป็นเหมือนกู...” ติ๊กคิดถึงความทรงจำอันแสนดีเมื่อวานพร้อมใช้มันในการเตือนก็อต “เออ งั้นก็แค่นี้แหละ”
“งั้นกูก็ไม่มีอะไรจะบอกเหมือนกันแหละ” ก็อตยิ้มบอกก่อนจะเดินไปหากัน ที่ยังคงนิ่งเงียบ “ในเมื่อไอ้คนที่กูต้องการมันเป็นซะแบบนี้ งั้นเราคงไม่มี...”
“สหายก็อต...” กันเริ่มพูดแล้ว “กูขอพูดอะไรอย่างนึง”
“ว่ามา” ก็อตยิ้มบอก ก่อนที่กันจะหันกลับมาหา “เพราะกู...”
“อย่าเอาคำว่าเพื่อนมาล้อเล่นนะเว้ย!!!”
                หลังจากที่ต้องทนเป็นผู้ฟังมาเป็นเวลานาน บัดนี้จึงถึงเวลาเริ่มตอบโต้เสียที จากคนที่ได้แต่นิ่งเงียบ ก็ได้ริเริ่มเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาจากปาก ทว่า กันในคราวนี้เหมือนไม่ใช่กันคนเดิม ไม่มีทั้งรอยยิ้มและใบหน้าอันสดชื่น แต่กลับเป็นสีหน้าอันโกรธเกรี้ยวจนถึงขีดสุดแบบไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
และประโยคเพียงประโยคเดียวของเขา ถึงจะเป็นประโยคสั้นๆ ไม่ได้ถูกตะโกนเสียงดังจนลั่นโรงอาหาร แต่มันกลับสร้างความน่ายำเกรงให้แก่ผู้ฟังจนแทบขนลุกเลยทีเดียว
ถึงจะได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่นาน ทว่า หลังจากนั้นก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับก็อตเลย มิหนำซ้ำเขายังยิ้มเยาะด้วยสีหน้าเย้ยหยันผิดกับเนื้อความในประโยคซะอีก
“เฮอะ”” ก็อตยิ้มบอกก่อนจะเดินจากไป “เอาเถอะ กูไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้ว”
“เหอะ?” ใบหน้าของกันกลับมายิ้มแย้มตามปกติแล้ว “บอกแล้วกูแค่ไม่มี...”
“ไอ้หัวแหลม!!! ไอ้เหี้ยแว่น!!!”
               แต่ถึงเรื่องราวระหว่างกันกับก็อตจะจบลงแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ทว่า ผู้ที่มาหากันในคราวนี้คงทำให้อารมณ์ของหนุ่มหัวแหลมหงุดหงิดขึ้นมาอีกเป็นแน่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเรน รุ่นพี่หน้าตาไม่สู้ดี ผู้กำลังยืนท้าทายต่อหน้ากันด้วยท่าทียียวนกวนประสาท
พร้อมด้วยนักเรียนชายรูปร่างกำยำอีก ๕ คน ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหลังเขาดั่งองครักษ์ ด้วยสายตาที่จดจ้องมายังตัวกันเพียงผู้เดียว ทำให้ผู้คนบริเวณรอบๆ เริ่มหันมามอง รวมถึงติ๊ก ที่ค่อยๆ ถอยร่นลงไปข้างหลังเพื่อความปลอดภัยของตนอย่างรวดเร็ว
“มึงดูให้เต็มตาวันนี้กูเอาใครมา!?” เรนยังคงท้าทายต่อ “พวกเนี้ย ระดับ...”
                คำพูดอันแสนชั่วร้ายของก็อตอาจทำให้กันโกรธก็จริง แต่กับคนที่ตามราวีไม่เลิกราอย่างเรน ยิ่งทำให้เขาโกรธหนักยิ่งขึ้นไปอีก เห็นทีคงต้องใช้กำลังในการจัดการเสียแล้ว
ไม่รอช้าอะไรทั้งสิ้น หนุ่มหัวแหลมรีบลุกออกจากที่นั่ง วิ่งเข้าไปหาเหล่านักเลงพวกนี้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว ละอองแสงสีทองลอยเข้ามาปกคลุมรอบกายของเขาอย่างทันท่วงที และในเวลาไม่ถึง ๓ วินาที เมื่อเขาได้แปลงร่างเป็นร่างลิงขาว พลังอันแข็งแกร่งก็พร้อมที่จะได้สำแดงเดชแล้ว
                ปล่อยหมัดขวาเข้ากลางหน้าคนแรกที่ใส่แว่น เตะตัดขวาเสยคางคนตาตี่ที่พุ่งเข้ามา จากนั้นจึงก้มตัวเพื่อศอกขวาเข้ากลางท้องน้อยชายร่างท้วมใกล้ๆ แล้วค่อยฟันมือซ้ายใส่คอนักเรียนคนที่ไว้ทรงสกินเฮดทางซ้ายมือ ปิดท้ายด้วยการยกขาขวาถีบเข้าไปที่กลางอกคนสุดท้ายสุดแรง ในเวลาไม่ถึงนาที เหล่าพรรคพวกที่เรนอุตส่าห์เตรียมมาก็ได้แต่นอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้น มิทันได้แสดงฝีมือให้ประจักษ์เลยแม้นซักนิดเดียว เล่นเอาเรนได้แต่ยืนอึ้งในความสามารถของกันเลยทีเดียว
                แต่ถึงจะหนีตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้ กันได้มายืนรออยู่ข้างหลังเขาเสียแล้ว หนุ่มหน้ากระปอมคงทำอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องหันหลังกลับไปยิ้มสู้ความจริงอันโหดร้าย
“พี่นี่สุดยอดว่ะ เจอหน้าทีไร ผมแม่งมีอารมณ์อยากมีเรื่องทุกทีเลยให้ตายสิ” กันยิ้มบอกพร้อมเอื้อมแขนขวาไปโอบเรนไว้ “แล้วตกลงเพื่อนพี่ ๕ คน นี่ใครกันน่ะครับ?”
“อ๋อ... เอ่อ... ปกติจะเรียกว่า สิงห์... สิงห์... สิงห์ไรหว่า...” เรนเริ่มรนรานเต็มที
                ในขณะเดียวกัน ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้ถูกกล้องของก็อตที่กำลังยืนถ่ายอยู่ริมกำแพง แอบบันทึกด้วยความแนบเนียนไปเสียแล้ว
“สิงห์ตึก ๕ ห้าคนตายเรียบในพริบตาเลยแฮะ” ก็อตปิดกล้องลง “สุดยอดจริงๆ”
/แต่อย่างว่านะ/ ก็อตหยิบสังข์ขึ้นมาอีกครั้ง /ไอ้พวกนี้มันก็เทียบไม่ได้กับพรสามประการหรอก/
/ถ้ามันไม่มีอารมณ์ก็เรื่องของมันเหอะ/ ก็อตเริ่มใช้นิ้วกดหน้าจอแสงที่ปรากฏขึ้นทีละน้อย /แต่ถ้าอีกฝ่ายนึงมี วันนี้มีเรื่องเด็ดแน่/
/ตอนนี้.../ ก็อตมองไปกลางโรงอาหาร ก่อนจะหยุดลงตรงโต๊ะที่มีแต่ผู้ชายนั่งโต๊ะหนึ่ง /เอ็กซ์คงขึ้นห้องไปแล้ว ก็เหลือแค่.../
/เป็นไงเป็นกันวะ เพื่อคลิปกันปะทะพรสามประการ.../ ก็อตพนมมือทั้งสองขึ้นมาระหว่างสังข์แล้วเริ่มร่ายอะไรบางอย่าง /โสตทวาทิตยา.../
                ทางด้านการต่อสู้ กันกับเรนก็ยังคงสนทนากันไม่หยุดเหมือนวันธรรมดาปกติยังไงยังงั้น
“แต่อย่างว่านะ” กันยิ้มบอก “พอจะเจอกับพวกพี่ผมก็เริ่มขี้เกียจแล้วแฮะ”
“เอ่อ...” เรนพยายามพูดเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งให้มากที่สุด “ทำไมเหรอ...?”
“ไม่รู้ดิ” กันลงไปนั่งอีกครั้ง “ก็มีคนมาเล่าเรื่องพรสามประการให้ผมฟังน่ะสิ”
/เข้าทางล่ะ!/ เรนเริ่มนึกอะไรได้ “อ๋อ พรสามประการน่ะเพื่อนพี่ทั้งนั้นแหละ”
“หือ?” กันเหมือนจะเชื่อสนิทใจ “จริงดิ!? แล้วตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ?”
“..........ก็.......” เล่นเอาเรนไปต่อไม่ถูกเลย “คือถ้าขนาดพี่ยังขี้เกียจ พี่ว่าอย่าเสียเวลากับพวกนั้นเลยดีกว่าน่า”
“หือ?” กันเริ่มสงสัย
“น้องจะฟังมาไงพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ.... คะ แต่ว่านะ....” เรนพูดไปนึกไป “แต่พรสามประการน่ะ เสร็จพี่หมดแล้วทั้งนั้น ไม่ถึงปลายเล็บตีนเลยด้วย....”
“อ๋อ!” กันเริ่มนึกไรออก “งั้นแสดงว่า”
“ชะ... ใช่แล้ว” เรนยังด้นต่อไปเรื่อยๆ “พี่เนี่ยแกร่งสุดในโรงเรียนนี้แล้ว....นะ....บอกให้รู้ไว้... ว่าตอนที่สู้กับน้องพี่ใช้พลังไปแค่ครึ่งของครึ่งของครึ่งของครึ่งเองนะ แต่เห็นว่าน้องไฟแรงดี...กะ....ก็เลยปล่อยให้เหลิงไปก่อน เอ่อ ทางที่ดีน้องหนีไปก่อนจะดีกว่านะ ก่อนที่พี่จะปลดปล่อยสวัส... เอ๊ย ปลดปล่อยพลังแท้จริงออกมา... พี่เตือนแล้วนะ.... ไปเถอะ เพื่อตัวน้องเอง....”
/ตกลงโรงเรียนนี้มีแต่พวกกระจอกรึไงเนี่ย/ กันคงจะเชื่อเต็มเปาแล้ว “ว้า ผิดหวังหมดเลยพรสามประการเนี่ย”
 “บะ... บอกแล้ว....” เรนผลักกันออกไป แล้วก้าวไปทางซ้ายทีละก้าว เพื่อหลีกหนีจากกันให้ไกลที่สุด “พรสามประการมันก็แค่ขี้เล็บพี่แหละ....เอ่อ....กระจอกมาก... พี่ใช่แค่ปลายตีนแตะมันก็เดี้ยงหมดแล้ว....รู้แล้วใช่มะ...ว่าพี่แกร่งสุด น่ะ....ดีเหมือนกันแหละนะ ฮะๆๆๆ... /ตีระยะห่างออกไปประมาณนี้แหละกำลัง..../”
/มึงนี่ก็โง่จริงแหละนะ/ ติ๊กหลบหลังเสาเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์
“เฮ้ย!” ดูเหมือนขณะที่ก้าวออกไปนั้น เรนจะชนเข้าให้กับใครบางคนเข้า “ไอ้หน้ากระปอม!”
“อ้าวเฮ้ย!!!” เมื่อพ้นออกมาจากกัน เรนจึงกลับมาวางมาดนักเลงใส่คนอื่นเหมือนเดิม “มึงกล้าด่าคนที่แกร่งที่สุดในโรงเรียนเหรอวะ!!!”
“เมื่อกี้มึงบอกปลายตีนเหี้ยไรของมึง!!!”
                ถึงจะหนีจากกันได้รอดพ้นปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เรนต้องเผชิญต่อไปนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ด้วยพลังอำนาจของอะไรบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้ทั้งร่างของเขาถึงกับต้องกระเด็นลอยเคว้งคว้างออกไปกลางอากาศ ด้วยแรงกระทำอันมหาศาล ผ่านหัวนักเรียนมากมายนับสิบที่ได้แต่แหงนมองด้วยความตะลึงในโรงอาหารเลยที เดียว
จนกระทั่งรุ่นพี่หน้ากระปอมได้ตกลงมาอยู่ข้างหลังกันตามแรงโน้มถ่วง ด้วยความประหลาดใจ ทำให้กันรีบหันกลับไปดูสภาพอันไร้สติของเรนทันที แต่สิ่งที่เขาพบนอกจากเลือดที่ไหลออกจากปากที่เพิ่งแตกไปก็คือ รอยอักขระที่เรียงตัวกันเป็นรูปวงแหวนสีเขียวเล็กๆ บริเวณปลายคางของผู้เคราะห์ร้ายอย่างเรนนั่นเอง
/คาถางั้นเหรอ...???/ กันคิด
“มึงเหรอ ไอ้กิตติ เหมันต์วงศ์ไรนั่นน่ะ!!!”
                เสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดที่ดังแหวกอากาศเข้าถึงหูกัน เป็นเหตุให้ลิงขาวรีบหันหลังกลับไปตามเสียงนี้ด้วยความสงสัยทันที ซึ่งนอกจากจะได้พบกับผู้ที่กำลังเรียกขานชื่อเขา เขายังได้พบกับผู้ที่ส่งเรนลอยออกไปกลางอากาศด้วยเช่นกัน
                สิ่งที่ประจักษ์อยู่ต่อหน้าสายตาของกันคือ นักเรียนชาย ม.ปลาย รูปร่างสูงล่ำ ไว้ผมดกดำชี้ขึ้นข้างบน มีจุดเด่นที่การระเบิดหูข้างซ้ายเป็นรูใหญ่สีดำ ชายผู้นี้กำลังยืนอยู่ ณ ตำแหน่งสุดท้ายของเรนเมื่อครู่ พร้อมขาขวาที่กำลังเหยียดสูงไปข้างหน้าเหมือนเพิ่งเตะใครบางคนออกไปโดยใช้แค่ปลายเท้า และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเหนือฝ่าเท้าข้างนี้ มีรอยวงแหวนอักขระสีเขียวแบบเดียวกับที่ปลายคางของเรน กำลังลอยอยู่ด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง ก่อนจะค่อยๆ สลายหายไปทีละน้อยในที่สุด
"..." กันแสยะยิ้มก่อนจะหันไปมองตาชายปริศนาคนนี้ "ถ้าใช่แล้วจะทำไม"
"ถ้างั้นก็เตรียมตัวซะ"
               ชายปริศนาลดขาขวาลงมายืน ก่อนจะยกขาซ้ายขึ้นมาแทนเล็กน้อย และทันใดนั้น ด้วยพลังมหาศาลจากอักขระจากอะไรบางอย่าง เขาจึงสามารถใช้ขาซ้ายนี้ในการกระโดดออกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว แต่นี่ไม่ใช่การกระโดดธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปเสียแล้ว เพราะด้วยความสูงที่เกือบแตะผนังและระยะทางเกิน ๑๐ ม. อันน่าอัศจรรย์นี้ การเหาะเหินอาจเป็นคำพูดที่เหมาะสมกว่า
ในเวลาชั่วพริบตา ชายปริศนาผู้นี้ก็ได้กระโดดลงมาอยู่ข้างหลังกันแบบไม่ทันให้ตั้งตัวแล้ว ทว่า แทนที่จะรีบใช้อาศัยจังหวะนี้ในการชิงโจมตีก่อน เขากลับพนมมือสองข้างขึ้นมาประสานหน้าอก ก่อนจะร่ายบทสวดอะไรบางอย่างออกมาแทน
"โอม มะสาคะ ระอิดัง อนสะกะตะคิริตัง ระอิดัง คิคังติ"
/ชิบหาย.../
               แต่ก่อนที่กันจะหันกลับมาทันก็สายเกินแก้เสียแล้ว ทันทีที่เขาหันหลังกลับมานั้นเอง ชายปริศนาก็ไม่รอช้าเตะซ้ายเข้าไปกลางท้องของลิงขาวเต็มแรง และในเมื่อแรงขาของชายผู้นี้สามารถพาเขากระโดดไปได้ไกลถึงเพียงนี้แล้ว การเตะของเขาก็ทรงพลังไม่แพ้กัน
               แค่ขาข้างเดียวกลับสามารถเตะทั้งร่างของกันให้ลอยออกไปกลางอากาศสูงเกือบ ๕ ม. กระเด็นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาของนักเรียนอีกหลายสิบที่ได้แต่จ้องมองจากบนพื้น และอีกไม่นาน แรงโน้มถ่วงโลกคงส่งให้เขาตกลงมากระแทกพื้นเบื้องล่างเป็นแน่
"อะไรวะ?" ชายปริศนาดูท่าจะไม่พอใจอย่างแรง "ดีแต่ปากนี่หว่า"
"ลูกถีบเหมันต์ฟาดปฐพี!!!"
               ท่าไม้ตายของกันได้ฤกษ์สำแดงเดชอีกครั้ง ถึงจะกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ แต่ลิงขาวก็ยังมีสติพอจะสวนกลับการโจมตีนี้ได้ ขาซ้ายหุบเข้ามา ขาขวาชี้ตรงลงไปยังเป้าหมายเบื้องล่างเตรียมพร้อมจะถีบลงมา แขนสองข้างของเขาสายชูสูงขึ้นไปข้างบน พร้อมกับลายเส้นสีเขียวที่ปรากฏทั่วแขนอีกครั้งหนึ่ง
สายลมอ่อนๆ ที่พัดไปมาเป็นพายุหมุนลูกเล็กบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นพายุ โหมกระหน่ำออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นแรงส่งให้เขากระโดดถีบลงมาด้วยลูกถีบขวาที่เตรียมการเอาไว้อย่างดี ขณะนี้เขากำลังพุ่งลงมาจากกลางอากาศด้วยความเร็วสูงพร้อมจะโจมตีชายปริศนาผู้เป็นเป้าหมายด้วยความรุนแรงแห่งสายลมแล้ว
                ทว่า ชายปริศนาผู้ตกเป็นเป้ากลับมิได้หวั่นเกรงเลยซักนิด เขาไม่หนีแต่เลือกที่จะเผชิญหน้าด้วยการยกเข่าขวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาดแทน และในช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาที ที่กันกระโดดลงมาอยู่เบื้องหน้าเขาเพียงแค่ไม่ถึง ๑ ม. พร้อมจะถีบเข้าใส่ร่างของเขาในเวลาอีกไม่กี่ชั่วอึดใจ ชายปริศนาผู้นี้จึงตัดสินใจ ถีบขวาสวนเข้าใส่ลูกถีบของกันอย่างเหมาะเจาะเลยทีเดียว
"ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"
                ไม่ว่าจะเป็นกำลังขาล้วนๆ อันมากมายมหาศาล หรือจะเป็นแรงถีบที่ได้พลังแห่งสายลมคอยช่วยหนุนหลังอย่างรุนแรง ก็ล้วแล้วแต่เป็นลูกถีบอันทรงพลังไร้เทียมทานทั้งคู่ การปะทะกันเป็นไปอย่างดุเดือดจนแทบกินกันไม่ลง ท่ามกลางสายตาของนักเรียนมากมายทั่วพื้นที่ที่กำลังรับชม การต่อสู้ระหว่างบุรุษทั้งสอง ผู้ใช้เพียงแค่เท้าข้างเดียวในการตัดสินจึงเริ่มขึ้นแล้ว


โปรดติดตามบทถัดไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา