วัยรุ่นหิมพานต์

7.9

เขียนโดย โชจัง

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.

  20 บท
  38 วิจารณ์
  26.07K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ชีวิตวัยรุ่น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“เป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าใครๆ ในโรงเรียนนี้ให้จงได้!!!”         
       แค่เพียงคาบแรกของชั้นเรียนเริ่มต้นขึ้น ก็ดูเหมือนว่านี่คงจะไม่ใช่ห้องเรียนธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว เมื่อจู่ๆ กัน นักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้องได้ไม่ถึงนาที แต่กลับแหกปากลั่นประโยคนี้ จนดังลั่นสนั่นไปทั่วทั้งห้อง ม.๔/๘ โดยไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อนั้น แค่เพียงประโยคประโยคเดียว ก็สร้างอาการตระหนกตกใจอย่างหนักให้แก่ทุกคนในที่นี้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว จนทั้งห้องได้แต่อึ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว
       ทว่า นั่นเป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานนัก สีหน้าอันตกตะลึงกลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าทีละน้อย บางคนนั่งยิ้มไม่ก็หัวเราะเสียงดังคนเดียว บ้างเริ่มจับกลุ่มคุยกันถกถึงเรื่องชายปริศนาผู้นี้ เห็นชัดว่า ทุกคนคงจะชอบใจการกระทำของเขาเป็นอย่างมาก และที่สำคัญกว่าก็คือ ตัวกันเองก็คงจะชอบใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วย
“แซ่ดๆๆๆๆ”
       แต่ถึงกระนั้น กลับยังมีอีกสองคนในห้องนี้ที่มีอาการแตกต่างไปจากคนอื่นๆ หนึ่งคือติ๊ก ผู้ได้แต่นั่งนิ่งด้วยอาการตกตะลึงอยู่หลังห้องคนเดียว พร้อมใจอันเริ่มกลัดกลุ้มถึงอนาคตในห้องเรียนแห่งนี้ เมื่อต้องพบกับเพื่อนร่วมห้องผู้พิลึกพิลั่นคนนี้
/อะ... ไอ้เหี้ยนี่.... มันเป็น... ใคร.../      
       ส่วนอีกคนนั้น กำลังตกอยู่ในอาการเดือดดาลจนแทบจะลุกเป็นไฟ เขาคือ ครูชรัส อาจารย์ประจำชั้นผู้ถูกลืม ทั้งๆ ที่เข้ามายืนหัวโด่อยู่หน้าห้องก่อนแท้ๆ ก็คงไม่แปลกหรอก เพราะคงไม่มีใครชอบคำแนะนำจากอาจารย์ ไปกว่าการแสดงอันแสนประหลาดของเพื่อนคนหนึ่งเป็นแน่
ทว่า สิ่งที่ทำให้อาจารย์ท่านนี้โกรธคงไม่ใช่การถูกลืมหรือถูกเมิน ซึ่งคงพบเจอบ่อยจนคุ้นชินอยู่แล้ว แต่กลับเป็นพฤติกรรมอันแสนไร้มารยาท ไม่เห็นหน้าอินทร์หน้าพรหมของนักเรียนคนนี้ต่างหาก
        และแล้ว ในขณะที่กันกำลังยืนเหยียบโต๊ะอยู่หน้าห้องพร้อมรับเสียงชื่นชมจากคนอื่นๆ ด้วยความยินดีปรีดาอยู่นั้นเอง ฝ่าเท้าของครูชรัสทั้งสองข้างก็ได้ลอยตัวสูงขึ้นมา จากนั้นจึงถีบขาคู่เข้าใส่ที่สีข้างซ้ายของนักเรียนคนนี้โดยไม่ทันให้ตั้งตัวแม้ซักนิด จนถึงกับกระเด็นลงไปนอนกองกับพื้นใกล้ๆเลยทีเดียว นับเป็นบทลงโทษแรกอันแสนสาหัสของห้อง ม.๔/๘ นั่นแหละ ทั้งตัวนักเรียนทั้งตัวอาจารย์ ห้องเรียนนี้คงไม่ธรรมดาดังที่กล่าวเอาไว้แน่ๆ


วัยรุ่นหิมพานต์
บทที่ ๒ ชีวิตวัยรุ่น 


“อูยยย” กันดูเหมือนไม่เป็นไรมาก สามารถดันตัวขึ้นมาอีกครั้งได้ “ครูทำไรเนี่ย”
“เดี๊ยะๆ ได้เจออีกป๊าบ” ครูชรัสก้มมองกันด้วยท่าทีที่ยังโกรธอยู่ “ยังไม่สำนึก”
“สำนึกไรครับ? ผมไม่ใช่กะเทยนะจะมา...”
“นั่นมันสำอรแล้ว!!!” ครูชรัสตะโกนแก้เสียงดัง “นี่คิดว่าเท่ห์นักเหรอ อยู่ๆ เข้ามาก็ทำตัวกร่างแบบเนี้ย นี่ครูนะเว้ยไม่ใช่หัวปักหัวตอ หัดมีความเคารพกันมั่ง”
“อ้าวเฮ้ย แบงค์ร้อยปลิวแฮะ” กันเหลือบตาไปเห็นกระดาษสีชมพูที่ร่วงลงมาจากกระเป๋าเสื้อ จึงเดินก้มตามไปเก็บในทันที “ขออนุญาตตามเก็บแป๊บนะครับ”
“ไม่ให้โว้ย!!!” ครูชรัสตะโกนเสียงดัง แต่กันก็ยังคงไล่ตามแบงค์ร้อยนี้ต่อไป “นี่อย่าคิดว่า ว่ามานี่แล้วจะสักแต่เรียนอย่างเดียวน่ะ นี่มันโรงเรียนก็จริง แล้วโรงเรียนมันก็มีระเบียบของมันด้วย จำเอาไว้!!!”
“ปลิวไปอีก” กันยังคงตามมันต่อไปจนเกือบจะสุดหลังห้องแล้ว “ลำบากจริง”
“แต่อย่างว่านะ ที่เอ็งทำเมื่อกี้มันก็ผิดจากกฎมารยาทพื้นฐานของสังคมอยู่แล้วนี่นะ ไอ้กฎโรงเรียนเป็นร้อยข้อคงทำไม่ได้หรอก!!!” ถึงครูชรัสจะต่อว่าไปอีกกี่ประโยค แต่กันก็ยังคงไม่สนใจ ก้มเก็บแบงค์นี้จนสุดกำแพงหลังห้องในที่สุด “แค่การตรงต่อเวลา การเคารพต่อผู้อาวุโสครูบาอาจารย์ แม้แต่สมบัติผู้ดี เอ็งยังไม่ทำเลย!!! ขอบอกไว้ก่อนนะว่าครูเข้มเรื่องนี้มาก!!!”
“ได้ซะที” ในที่สุด กันก็ค้นพบแบงค์ร้อยของเขาที่ข้างๆ โต๊ะของซัน แต่สิ่งที่อยู่ในมือขวาของเขากลับเป็นกระดาษทิชชู่สีชมพูแผ่นเล็กๆ บางๆ แบบที่พบมากในงานเลี้ยงโต๊ะจีนแทนซะอย่างงั้น “เอ่า ไม่ใช่แบงค์ร้อย แต่เป็นกระดาษทิชชู่ตอนไปงานรวมญาตินี่หว่า...”
/แล้วมึงก็เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเนอะ.../ ซันมองกันอย่างอเน็จอนาถอย่างที่สุด
“ช่างแม่ง” กันพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงซ้ายอีกครั้ง และดูจะไม่เห็นหัว อ.ชรัส ตามเคย “ทุกสิ่งมีค่า เราควรให้ความสำคัญ”
“แค่นี้มึง เอ๊ย เธอยังให้ความสำคัญกับกระดาษทิชชู่มากกว่าครูผู้สอนเลยเรอะ!!!” ครูชรัสตะโกนเสียงดัง “ถามจริงเหอะ เข้ามาเรียนที่นี่ทำไมเนี่ย!!!”
“เมื่อกี้ ครูบอกว่าอย่าเรียนอย่างเดียวไม่ใช่เหรอครับ?” กันหันกลับไปยิ้มให้ครูชรัสอย่างรวดเร็ว “ใช่ครับ เพราะนอกจากเรียน ผมยังมีเป้าหมายสำคัญกว่า... และสิ่งนั้น มันจะต้องยิ่งใหญ่แน่ครับ!”
“กิ๊งก่องๆๆๆ” เมื่อสิ้นคำพูดของกัน เมื่อนั้น ก็เป็นเวลาสิ้นสุดคาบเรียนอย่างเหมาะเจาะซะแล้ว ในขณะที่สองอาจารย์และลูกศิษย์ยังคงยืนจ้องหน้ากันอยู่
 “พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบัวมันมี ๔ เหล่า” ครูชรัสเริ่มพูด “คงจะรู้ตัวดีนะ”
“หึ” กันหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่รู้ ผมคงไม่เสียเวลามาที่นี่หรอกครับ”
“แต่อย่างว่าถ้ามีดินดีกับสภาพแวดล้อมดี บัวใต้ตมคงไม่อยู่ใต้ตมไปตลอดชีวิตหรอก” ครูชรัสสอน “ก็พยายามมองบัวพ้นน้ำข้างบนแล้วพยายามชูดอกให้ถึงละกัน เพราะตอนนี้คะแนนจิตพิสัยของเธอคือ ๐ อย่าให้คะแนนความประพฤติกลายเป็น ๐ ไม่งั้นล่ะก็เรื่องใหญ่แน่”
/บัว ๔ เหล่า???/ กันคิดในใจ /ไม่ใช่มันมีแต่ยาสีฟันดอกบั๐คู่เหรอวะ?/
“แล้วก็อย่าฉุดเพื่อนๆ ลงไปใต้ตมเหมือนเธอล่ะ แค่เธอคนเดียว ครูที่เป็นอาจารย์ประจำชั้นก็เอือมระอาพอแล้ว” ครูชรัสดูเหมือนจะเหนื่อยใจอย่างหนัก “ครูจะขอถือว่าทุกคนมีสิทธิที่จะก้าวพลาดครั้งแรก จำไว้ให้ดีล่ะ ว่าครูจับตามองเธออยู่”
“ยินดีครับ” กันแสยะยิ้มบอก ก่อนที่ครูชรัสจะหันหลังเดินกลับไปช้าๆ /หรือว่าจะเป็น๐อกบัวคู่ ๒ หลอดวะ หลอดเดียวกูก็เผ็ดจะตายห่าอยู่แระ/
“เธอเป็นหัวหน้า” ครูชรัสเดินไปถึงหน้าห้องอย่างรวดเร็วพร้อมชี้ขวาไปที่นักเรียนชาย คนที่นั่งบนโต๊ะซึ่งกันขึ้นไปเหยียบเมื่อกี้ “บอกชั้นได้”
“เอ่อ...” เขาดูเหมือนจะงุนงงนิดๆ “นะ นักเรียน!!! เคารพ!!!”
“สวัสดีครับ/ค่ะ”
       หลังจากนักเรียนทั้งหมดพนมมือไหว้อาจารย์ประจำชั้นตามหัวหน้าห้องคนใหม อย่างพร้อมเพรียง เมื่อนั้น ครูชรัสจึงพยักหน้ายิ้มรับด้วยความยินดีตามมารยาท ก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ลืมที่จะจ้องเข้าไปในนัยน์ตาอันว่างเปล่าของนักเรียนเจ้าปัญหาอย่าง กัน เพื่อจดจำใบหน้าพร้อมทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย
       และถึงจะเป็นครั้งสุดท้ายของครูชรัส แต่กระนั้น ไม่นานนัก สายตาของทั้งห้องกลับค่อยๆ จับจ้องไปยังตัวเขาเพียงคนเดียวแทนในทันใด ในฐานะจำเลยของห้อง สีหน้าของกันคงจะไม่ยิ้มแย้มเบิกบานแบบนี้ไปตลอดรอดฝั่งแน่ๆ รอยยิ้มเริ่มหุบลงกลายเป็นใบหน้าอันรู้สึกผิด เดินช้าๆ มาหน้าห้องท่ามกลางสายตาที่มองตามไปเรื่อยๆ โดยไม่ลดละ
“เอาเป็นว่าทุกคนรู้หมดแล้วนะว่ากูเป็นใคร!!!” จู่ๆ กันก็ตะโกนดังลั่นสนั่นห้องอีกครั้ง สร้างความตระหนกตกใจให้คนอื่นๆ อีกครั้งหนึ่ง “พวกมึงทุกคนตอนนี้เป็นสหายของกู และเพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ของกู กูก็จะเป็นสหายของพวกมึงทุกคนเอง!!!”
       รอยยิ้มและเสียงโหวกเหวกโวยวายเกิดขึ้นในห้องนี้อีกครั้ง ในเมื่อเป็นเวลาที่ครูยังไม่เข้าอันแสนมีค่า เหล่าหนุ่มสาวคงจะไม่อยู่เงียบๆ สำนึกผิดไปตลอดเป็นแน่ และเมื่อสิ่งที่กันกระทำลงไปยิ่งเป็นตัวสานสัมพันธ์ ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันสามารถคุยเรื่องของไอ้หนุ่มคนนี้ได้อย่างสนุกสนาน บ้างก็สนุกสนานเฮฮา หัวเราะไปกับกิริยาอันเด็ดเดี่ยวแสนกล้าหาญของเขา ในขณะที่บ้างก็ไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่เขากล้าพูดกับครูบาอาจารย์ว่าไม่เหมาะสมยิ่ง แต่คงไม่มีใครที่หวาดหวั่นกลุ้มใจไปกว่าติ๊กอีกแล้ว
/ไม่.../ ติ๊กคิด /ไม่ใช่ห้องเรียนในอุดมคติแล้ว นี่กูไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรที่ไหนเนี่ยถึงต้องมาเจอกับไอ้เชี่ยนี่!!! แล้วต้องอยู่กับมันไปอีก ๓ ปีเนี่ยนะ ห่าราก!!!”
“เป็นห้องที่คึกคักดี” กันยิ้มบอกพร้อมเดินมาข้างหลัง “คงจะมีที่พอสำหรับกูนะ!!!”
/เดี๋ยว/
       สายตาของติ๊กเริ่มสาดส่ายไปยังรอบๆ ห้องเรียนนี้ทันที เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทุกๆ คนต่างนั่งเป็นคู่กันอยู่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขามองไปยังทางขวามือข้างๆ ก็ต้องพบกับฝันร้ายยิ่งกว่าการที่ต้องอยู่ห้องเดียวกับไอ้บ้าคนนี้ เพราะว่าโต๊ะว่างเพียงโต๊ะเดียวในห้องนี้ อยู่ใกล้ๆ ขนาดที่ว่าวางชิดติดกันกับโต๊ะของเขานี่เอง ติ๊กตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พยายามถีบผลักโต๊ะตัวนี้ออกไปให้ไกลและเร็วที่สุด ทว่า ไม่ทันกาลเสียแล้ว
“หลังห้องเหรอ?” กันมานั่งข้างๆ ติ๊กเสียแล้ว “มันช่างเป็นพิกัดดีสำหรับการหลับจริงๆ”
/ไม่นะ.../ ติ๊กพลาดไปซะแล้ว “เอ่อ...”
“หือ?” กันสงสัย “มีคนนั่งเหรอ”
“...” ติ๊กเงียบและพยักหน้ารับ
“งั้นถ้ามันมาให้หาโต๊ะมาต่อเพิ่มละกัน” กันยิ้มบอก ทำลายความหวังเพียงหนึ่งเดียวของติ๊กลงในทันตา “โต๊ะนี่เหมือนจะหนาไปหน่อยนะ สงสัยต้องหาหมอนมาไว้ซักใบแระ”
/หมด... หมดทางหนีแล้ว/ ติ๊กเริ่มสิ้นหวังไปทีละน้อย
“ว่าแต่” กันหันไปทางติ๊กอีกครั้ง “มึงชื่อไรวะ?”
/ชิบหาย.../ ติ๊กคิด “เอ่อ...”
“อย่าชักช้าดิวะ” กันย้ำต่อ “กูชอบคนชักเร็วๆ”
“ผะ...” ติ๊กเริ่มพูดแล้ว “ผม”
“ผมเหี้ยไรมึงเนี่ย!?” กันดูเหมือนไม่พอใจ “กูเพื่อนนะเว้ย ไม่ใช่เจ้านาย!!!”
/ขนาดครูยังไม่เว้น มีแต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้นสินะ/ ติ๊กเริ่มคิดได้ว่าต้องใจดีสู้เสือแล้ว “ผะ... ผม.. เอ๊ย กู... กูติ๊ก...”
“ตกลงนี่มึงติดอ่างป่าวเนี่ย กูล่ะตึ้บจริงๆ ๕๕๕” กันหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะนะ ตั้งแต่วันนี้มึงเป็นสหายตลอดไป สหายติ๊กของกู อยู่ที่ว่ากูจะเป็นสหายมึงรึเปล่าแค่นั้น”
/สหาย?/ ติ๊กคิด /เชี่ยไรเนี่ย???/
“มึงคงได้ยินที่กูพูดหน้าห้องแล้วนะว่ากูจะเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่น่ะ” กันยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ “ดังนั้น เพื่อนที่นั่งข้างๆ สำคัญมากเลยรู้ป่าว ว่าไง มีไรจะบอกกูมะในฐานะที่มึงเป็นสหายกูแล้ว”
/อะ... เอาไงดี!/ ติ๊กเริ่มคิดหนักแล้ว “เอ่อ...”
“ผมชื่อกฤตานนท์” จู่ๆ กฤตก็พรุ่งพรวดมาพร้อมยื่นมือขวาให้กันอย่างรวดเร็ว “เรียกสั้นๆ ว่ากฤตครับ”
“เฮ้ยๆ” กันบอก “ไม่เอาผม ไม่เอาครับ ให้โอกาสอีกรอบนึง”
“กูกฤตเองโว้ย!!!” กฤตเริ่มแสดงท่าทางแลดูเถื่อนขึ้นดั่งนักเลงกำลังหาเรื่องในทันที “มีปัญหาป่าว!? จับมือเด๊!!!”
“มึงทำเหี้ยไรของมึงเนี่ย” ซันเดินมาตบขวาใส่หัวกฤตเบาๆ เป็นการเตือนสติ “ไม่รู้จักอาย”
“ไอ้เหี้ยซัน!” กฤตใช้แขนซ้ายโอบไหล่ซันไว้แนบแน่น “มึงมาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หน่อยดิ”
“หา?” ซันดูลังเลนิดๆ ก่อนจะชำเลืองมองไปทางกันด้วยสายตาลังเลนิดๆ “นี่ซันนะ”
“พวกมึงสองคนแม่งโดนว่ะ!!!” กันรีบยืนขึ้นมาจับมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว “ยินดีที่ได้รู้จัก สหายกฤตกับสหายซัน!!! สหายใหม่ของกู!!!”
“ไอ้ที่มึงทำหน้าชั้นแม่งก็โดนใจกูเหมือนกันล่ะวะ!” กฤตยิ้มบอก “แม่งกล้าทำไปได้ไงวะ แม่งเหี้ย เอ๊ย เจ๋งสัสอ่ะ”
“กูขอนับคำว่าเหี้ยเป็นคำชมด้วยละกัน” กันยิ้มบอกพร้อมทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง พลางใช้แขนซ้ายพาดไหล่ติ๊กที่อยู่ข้างๆ เอาไว้ “เพื่อนมึงแม่งโดน...”
       ทว่า ถึงแม้จะโดนโอบไหล่อยู่อย่างแนบแน่นก็ตาม แต่กระนั้น ท่าทีของติ๊กกลับยังคงนิ่งเงียบงันอย่างเย็นชาอยู่ดี ขนาดที่ว่าทำให้กันที่ว่าแน่ยังต้องนิ่งเงียบไปเลยทีเดียว
“เอ่อ...” เหมือนกันกำลังหาทางให้ติ๊กพูดอยู่ “มีใครอยู่ป่าวครับ...”
“กัน” กฤตบอก “กูขอแนะนำนะ มึงเลิกล้มความพยายามเหอะ เชี่ยนี่แม่งยากเกิน”
“ยาก?” กันสงสัย “ไงวะ?”
“มึงคิดดูนะกูอยู่ห้องเดียวกับมันตอน ม.ต้น อ่ะ” ซันอธิบาย “กูได้ยินแต่คำว่า ครับ กับ อือ ยาวสุดก็ชื่อกับนามสกุลมันกับตอนตอบโจทย์ แค่นั้นอ่ะ”
“กูพยายามจะบอกว่า” กฤตยิ้มบอก “ไอ้เหี้ยเนี่ยแม่งคบยาก มากับพวกกูดีกว่าน่า”
“พวกมึงอ่ะมันของตายอยู่แล้ว” กันยิ้มบอก “แต่แค่ทำให้คนที่นั่งข้างๆ ยอมคุยไม่ได้ล่ะก็ ความยิ่งใหญ่ของกูแม่งคงไม่มาถึงหรอก!!!”
/ยิ่งใหญ่/ ติ๊กคิด /เหี้ยไรก็ยิ่งใหญ่รึไงวะ/
“เออๆ” กฤตยิ้มบอกก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่พร้อมซันตามเดิม “พยายามเข้าละกัน”
“เอ้า” กันทุบหลังติ๊กไปทีนึง “เอาเป็นว่าเป้าหมายของวันนี้เอาเป็นการให้มึงพูดกับกูละกันนะ สหาย ติ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
/เหอะ/ ถึงกันจะพูดชื่อของเรารัวอีกซักกี่ครั้ง ท่าทีของติ๊กก็ยังคงดูเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน /กูมันความอดทนสูงอยู่แล้ว เจอแค่นี้ธรรมดาว่ะ/
“นักเรียน!!!” หัวหน้าห้องบอกเสียงดัง “เคารพ!!!”
/เย้/ ติ๊กพนมมือขึ้นมาพร้อมคนอื่นๆ /ครูมาซะที/
“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งหมดไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน
/หือ?/ ติ๊กสงสัยถึงเสียงของกันที่ขาดหายไป /เลิกเล่นไร้สาระแล้วเอาเวลามาต้งใจเรียนแทนงั้นเหรอ บางที มันอาจจะมี.../
         ทว่า เมื่อเขาหันไปกลับพบว่าเหตุที่เสียงเรียกของกันพลันหายไป มิใช่เพราะเขาตั้งใจเรียนในวิชาคาบนี้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความง่วงได้ครอบงำร่างกาย เป็นเหตุให้ชายหัวแหลมคนนี้นอนหลับลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าอิ่มเอิบในเวลาชั่วพริบตา นั่นยิ่งทำลายความหวังเล็กๆ ของติ๊กให้ป่นปี้เข้าไปอีก แต่ก็ยังเป็นการดี เมื่อเสียงอันแสนน่ารำคาญได้หายไปจากโสตประสาทของเขาแล้ว
/เออ/ ติ๊กยิ้มเล็กๆ แสดงความดีใต /ไปซะที ไอ่สัส/
๒ ชั่วโมง กับอีก ๓๐ นาที ผ่านไป
“เคารพ!!!”
       เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแค่แป๊บเดียว หัวหน้าห้องก็สั่งทุกคนให้ทำความเคารพอาจารย์หน้าห้อง อีกแล้ว
/หลับติดต่อกัน ๔ คาบ!!!/
และในขณะครูท่านนี้ได้เดินจากห้องนี้ไป ทว่า ตัวกันนั้นกลับยังคงนอนหลับบนโต๊ะด้วยความสบายไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น ขนาดที่ว่าน้ำลายในปากได้ไหลเอ่อออกมารวมตัวบนโต๊ะจนเกิดเป็นหนองน้ำเล็กๆ เลยทีเดียว ในขณะที่เพื่อนข้างๆ อย่างติ๊ก คงทำได้เพียงชำเลืองมองด้วยความสังเวชเท่านั้น
/เอาวะก็ยังดีกว่าแหกปาก/ ติ๊กคิด /แต่คนเหี้ยไรวะหลับไม่รู้จักตื่นขนาดนี้ กูละหน่าย/
       ช่วงเวลาแห่งอิสระเสรีคงมาถึงแล้ว ติ๊กเริ่มสังเกตเห็นว่าหลังจากอาจารย์ได้เดินลับหายจากสายตาไป นักเรียนทุกคนทั่วทั้งห้องต่างค่อยๆ ลุกออกจากเก้าอี้ ทยอยออกจากห้องเรียนนี้ไปทีละนิดทีละน้อย ผ่านประตูทั้งสองบานที่เปิดอ้าอยู่แต่ละมุมห้อง
        ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก ณ ตอนนี้ ได้เวลาพักกลางวันของโรงเรียนสุวัฒนา อันเป็นช่วงเวลาสำคัญในอุดมคติของนักเรียนทุกคนแล้ว ทว่า คงจะยกเว้นเพียงติ๊ก ผู้มาพร้อมสีหน้าอันเคร่งเครียดและซึมเศร้าเช่นเดิม  
/แดกข้าวดีกว่า.../
        ผ่านไปประมาณสิบนาทีได้ ณ อาคารสีขาวขนาดใหญ่ภายในรั้วโรงเรียนสุวัฒนา โต๊ะกับเก้าอี้ไม้สีขาวขนาดยาวเกือบร้อยตัว ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนพื้นกระเบื้องสีเทาทั่วพื้นที่อันกว้างขวาง จัดเป็นแถวๆ อยู่ใจกลางอาคารแห่งนี้ นักเรียนมากมายหลายสิบคนต่างกำลังเดินไปมาอย่างขวักไขว่ ในมือนั้นถือจานชามอาหารหลากชนิด รวมถึงแก้วน้ำพลาสติกบรรจุน้ำแข็งกับน้ำหวานหลากรสอีกด้วย
        แทบทุกโต๊ะเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนมากมายบนเก้าอี้ พร้อมทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะ พวกเขากำลังรับประทานอาหารพลางพูดคุยกันกับเพื่อนร่วมโต๊ะ สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้แก่ที่นี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว อาหารบนโต๊ะกับนักเรียนจำนวนมากมายที่มารวมตัวกันในเวลาพักเที่ยงนั้น สามารถบ่งบอกได้เลยว่า ณ ที่แห่งนี้ คือโรงอาหารของโรงเรียนสุวัฒนานั่นเอง
         ทว่า ท่ามกลางเสียงสนทนาอันดังลั่นจากทุกโต๊ะ จนก่อเกิดเป็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่สามารถจับใจความได้้ทั่วโรงอาหารแห่งนี้ กลับยังมีโต๊ะอันแสนเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ ทั้งสิ้นอยู่ตัวหนึ่ง มิหนำซ้ำ ยังมีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียวทั้งโต๊ะ ทั้งๆ ที่สามารถนั่งได้มากสุดถึง ๑๐ คนแท้ๆ ผู้ที่นั่งอย่างเดียวดายคงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากติ๊ก จอมเคร่งขรึมนั่นเอง
        แม้แต่ข้าวหมกไก่ที่เขากำลังเขี้ยวอยู่ภายในปาก ก็มิอาจทำให้ใบหน้าอันเคร่งเครียดของเขาดูดีขึ้นมาด้วยความอร่อยแม้นซักนิด หลังจากเคี้ยวจนละเอียดได้ที่แล้วกลืนลงคอ จู่ๆ หนุ่มแว่นคนนี้กลับวางช้อนส้อมสีเงินลงบนจานทั้งๆ ที่พึ่งทานไปได้ไม่ถึงครึ่ง พลางครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างภายในใจด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียดยิ่งกว่า เดิมซะอีก
/เรื่องไอ้เหี้ยนั่น..../ ติ๊กยังคงคิดเรื่องกันไม่ตก /เอาไงดีวะเนี่ย.../
/ความยิ่งใหญ่ของกูแม่งคงไม่มาถึงหรอก!!!/ เขานึกย้อนถึงประโยคนี้อีกที
“ยิ่งใหญ่?” เหมือนติ๊กจะเอ่ยปากพูดแล้ว “ไอ้คนเหี้ยๆ บ้าๆ อย่างมึงเนี่ยนะ เฮอะ/”
“ดูเหมือนเป็นโรงอาหารที่ยิ่งใหญ่ดีเหมือนกันนี่หว่า”
       ดั่งมรสุมที่มาเยือนถึงที่ จู่ๆ เสียงอันคุ้นหูก็ดังแว่วเข้ามาในหูติ๊กอีกครั้งหนึ่งเสมือนสัญญาณเตือน เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะในทันใดนั้น กันพร้อมแท่งหวานเย็นสีแดงในมือ ก็ได้ปล่อยตัวลงนั่งข้างหน้าติ๊กโดยไม่บอกกล่าวอะไร ทั้งสิ้น สร้างความตระหนกตกใจจนแทบช็อคให้กับติ๊กถึงที่สุด หนุ่มหัวแหลมคนนี้นำแท่งหวานเย็นดูดเข้าไปในปากอีกครั้งหนึ่งเพื่อลิ้มรสความหวาน พร้อมรอยยิ้มอันอิ่มเอิบหลังจากได้ลิ้มลองในความหวานและเย็นสมชื่อนี้
“แล้วก็ ดูเหมือนหวานเย็นจะดูยิ่งใหญ่กว่าซะอีกนะเนี่ย” กันยิ้มบอกพลางมองตรงไปบนใบหน้าติ๊ก
“มึง!!!” เหมือนติ๊กต้องการหาที่ระบายเต็มที่ ไม่เก็บไว้ในใจอีกต่อไปแล้ว  “มึงมาไงเนี่ย!!!”
“เดินมาดิ” กันตอบพร้อมใส่หวานเย็นเข้าปากอีกครั้ง “มึงโง่หรือโง่เนี่ย”
“ไม่ใช่โว้ย!!!” ติ๊กตะโกนถามต่อด้วยความเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม “มึงจะมานั่งที่กูทำไมเนี่ย!!!”
“ก็ที่มึงว่างนี่” กันยิ้มบอก “ที่สหายกฤษมันก็เต็ม ก็เหลือมึงคนเดียวล่ะนะ ที่กูรู้จักเป็นเพื่อนอ่ะ”
“เอ่อ...” ติ๊กเริ่มอารมณ์เย็นลงหลังจากได้ยินคำพูดนี้ “ก็...”
“จะว่าไปแล้ว ตอนเรียนมันน่าเบื่อซะจนกูเผลอหลับยาวไปเลยนี่นะ” กันพูดไปเรื่อยๆ ด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ติ๊กทำได้เพียงนั่งฟังคนเดียวเท่านั้น “โทษละกัน ถ้ามันทำให้มึงไม่มีเพื่อนคุยอ่ะนะ แต่ถ้ามึงหลับไปด้วยนั่นก็ดีไป เอาเป็นว่า ไอ้คาบพักเนี่ย ขอเป็นเวลาให้กูกับมึงสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เอาให้เป็นมิตรภาพระดับยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มี...”
       ความอดทนอันอัดอั้นภายในจิตใจของติ๊กคงจะหมดสิ้นลงเสียแล้ว  และบัดนี้ ถึงเวลาที่จะระเบิดมันออกมาเสียที ในระหว่างที่คำพูดเรื่อยเปื่อยอันแสนน่ารำคาญของกัน ยังคงถูกพ่นเข้ามาข้างในรูหูของติ๊กอยู่อย่างต่อเนื่อง และดูท่าว่ามันแทบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียด้วยซ้ำ
“ไอ้เหี้ย!!! มึงหุบปากซะทีจะได้มั้ยวะ!!!”
ในที่สุด หนุ่มแว่นก็มิอาจทานทดได้อีกต่อไป เสียงตะโกนอันทรงพลังนี้ดังกึกก้องออกมาผ่านสีหน้าอันโกรธเกรี้ยวและรำคาญถึงที่สุด และเพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถหยุดเสียงอันน่ารำคาญนี้ไปได้เสียที
“หือ?” กันสงสัยพลางมองไปใบหน้าที่ยังคงโมโหของติ๊ก “เอ่อ ก็ได้”
       เหตุการณ์สงบลงตามความต้องการของติ๊กแล้ว เป็นผลให้ทั้งสองกลับมาจัดการอาหารที่อยู่ต่อหน้าอีกครั้งแบบตัวใครตัวมัน ไม่สนใจใคร และคงไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นอีกหลังจากประโยคคำสั่งเมื่อครู่นี้ ทว่า หลังจากที่กันดูดหวานเย็นเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง เขากลับยังไม่หยุด
“เออ” กันถามพร้อมดึงแท่งหวานเย็นออกจากปากอีกครั้ง “แล้วให้กูหุบปากทำไมวะ มันก็ไม่เห็น...”
“ไอ้เหี้ยกูไหว้ล่ะ!!!” ติ๊กพนมมือขอร้องจนแทบจะกราบกันเลยทีเดียว “มึงเลิกยุ่งกับกูซักทีได้มั้ยวะ!!! เห็นแก่อนาคตกูเถอะ!!!”
“อนาคตมึง?” กันสงสัย “เอ่อ... แล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรกับกูวะ”
“เกี่ยวเต็มๆ เลยโว้ย!” ติ๊กตะคอกใส่“แค่มึงเข้ามาในชีวิตกู อนาคตกูก็แทบจะพังทลายลงแล้วเว้ย!!!”
“มึงก็ขยายใจความหน่อยดิ๊สัส!” กันยังคงไม่เข้าใจ “งง!”
“ก็เพราะตัวมึงไงล่ะวะ!!!” ติ๊กด่ากราดกันเสียงดัง “ ถ้ามึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซักหน่อยมันก็ไม่หนักหัวใครแล้วโว้ย! แถมยังเป็นผลดีกับตัวมึงคนเดียวซะอีก!!!”
“พฤติกรรม?” กันสงสัย
“เออสิวะ!” ติ๊กตะโกนบอกเสียงดัง “เข้าเรียนสาย หลับในคาบ แล้วที่เหี้ยสุดก็คือความบ้าของมึงนี่แหละ!!! กูเตือนด้วยความหวังดีนะ! ถ้าไม่อยากให้ชีวิตวัยเรียนมึงล่มจมก็อยู่เฉยๆ แล้วตั้งใจเรียนไปวันๆ เถอะ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องไปเสือกเรื่องชาวบ้านหรือคนนั่งข้างๆ ด้วย!!!”
“...” กันถึงกับหยุดเพื่อนั่งคิดถึงคำสั่งสอนของติ๊ก แต่ดูเหมือนเขามิได้แยแสอะไรนักพลางยิ้มตอบให้อีก “ก็จริงนะ ชีวิตวัยเรียนกูอาจจะไม่มีเหี้ยไรดีแล้วก็ได้ แต่ชีวิตวัยรุ่นของกูน่ะ มันเพิ่งเริ่มต้น”
“ชีวิตวัยรุ่น?” ติ๊กยิ้มด้วยความเย้ยหยัน “เหอะ ชีวิตวัยรุ่นเหี้ยไรของมึงเนี่
“ ชีวิตวัยรุ่นอันยิ่งใหญ่สำหรับกูไงล่ะ” กันยิ้มพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายอย่างที่สุด “ความยิ่งใหญ่มันก็เหมือนสายลมล่ะนะ ล่องลอยไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมาย แต่ถ้ามีอะไรน่าตื่นเต้นล่ะก็นะ สายลมแผ่วเบามันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นพายุ ที่จะโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งทีเดียว”
“...” ติ๊กเริ่มคิดไรออก “นี่มึงถึงกับเอาความเรื่อยเปื่อยของมึงไปเปรียบกับสายลมเลยเหรอวะ?”
“ก็ยังดีกว่าชีวิตวัยเรียนของมึงล่ะวะ” กันถึงคราวเย้ยกลับ “ไอ้ชีวิตที่มีแต่ข้อจำกัดไรนั่นน่ะ อยู่ไปแม่งก็เหมือนตายทั้งเป็นล่ะวะ”
“แล้วไอ้ชีวิตเสเพลของมึงล่ะ” ติ๊กยังไม่ยอม “ถึงมึงจะใช้ชีวิตตอนนี้แบบตามใจตัวเองไม่สนใจใครขนาดไหน  แต่ซักวันนึงพอชีวิตวัยรุ่นมึงจบ อนาคตมึงก็ไม่เหลือเหมือนกันแหละวะ”
“จะสนทำไมวะ” กันโต้กลับ “ในเมื่อตอนนี้มีความสุขสนุกสุดๆ อนาคตข้างหน้าก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหรอก ที่เป็นห่วงน่ะ คือมึงที่เอาแต่แบกคำว่าอนาคตไว้ต่างหาก”
“จะบอกว่าปัจจุบันสำคัญกว่าอนาคตเหรอ?” ติ๊กเริ่มมีน้ำโหขึ้นเรื่อยๆ “เอาเถอะ คนอย่างมึงเป็นตายร้ายดียังไงกูไม่สนแม่งอยู่แระ ถือว่ากูสีซอให้ควายฟังละกัน
“ที่ควรจะสอนน่ะคือมึงต่างหากล่ะ” กันยื่นหัวเข้าใกล้ติ๊กเรื่อยๆ “กูจะทำให้มึงรู้เอง ว่าความสนุกแห่งชีวิตวัยรุ่นมันคืออะไร!”
“เอาดิวะ!” หัวทั้งสองแทบจะชนกันอยู่แล้ว “แล้วมาดูกันว่าใครคิดผิดกันแน่!”
“เฮ้ย!!! ผมมึงแม่งเท่ห์ดีนี่หว่า”
        ในระหว่างที่การโต้วาทะของทั้งสองกำลังเป็นไปอย่างดุเดือด ชนิดที่ว่าแทบเดาไม่ออกเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ จู่ๆ เสียงอันทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งก็ดังเข้ามา จนหยุดปากของทั้งสองเอาไว้ได้ในทันใด
        สองหนุ่มคนละขั้วหันหลังกลับไปตามต้นเสียงนี้อย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงได้พบกับชายรูปร่างกำยำ ใบหน้าดิบเถื่อนถึงสองคน ทั้งสองกำลังยืนคู่กันพลางจ้องไปยังใบหน้าของกันด้วยสายตาอันเคร่งเครียด ดั่งจะฆ่าแกงกันยังไงยังงั้น มิหนำซ้ำ โต๊ะโดยรอบยังพร้อมใจกันหันมาดูเหตุการณ์นี้โดย เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เหมือนมีดารามาเล่นหนังแถวๆ ยังไงยังงั้น แต่ดูจากสีหน้าอันสั่นสะพรึงของติ๊ก นี่คงจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเหมือนเจอดาราเป็นแน่
“เฮ้ย!” ชายหนวดเฟิ้มคนซ้ายกล่าว “กูเรียกมึงนั่นแหละ”
“แหม” กันเงยหน้ามาตามเสียงเรียก “พี่เป็นคนที่สองเลยนะเนี่ยที่ชมเรื่องผมของผมเนี่ย”
/เดี๋ยวๆๆๆๆๆ/ ติ๊กคิดในใจ “นี่มันไอ้จักรกับจิม ม.๕ แก๊งพี่หวังไม่ใช่รึไงวะ!!!”
“มึงรู้จักเพื่อนพี่ที่ชื่อเรนมะ” คนขวาหัวรุงรังถามต่อ “ที่มัน...”
“รู้จักสิครับ” กันตอบแบบสบายๆ “ไอ้คนหน้ากระปอมแบบนั้นถ้าไม่ใช่แถวคลองคงหาไม่ง่ายในโรงเรียนนี้หรอก”
/แล้วไหงเชี่ยนี่ถึงรู้จักมักจี่กันได้ล่ะวะ!!!/ ติ๊กถึงกับตกตะลึงกับท่าทางของกัน /นี่มึงอย่าบอกนะว่า.../
“ถ้าไม่มีไรแล้ว” กันยิ้มให้พร้อมชูแท่งหวานเย็นให้รุ่นพี่สองคนนี้ดู “ผมขออนุญาตดูดหวานเย็นต่อละกันนะครับ”
“ไม่น่าจะมีไรหรอก” คนขวาเดินมาหยุดอยู่หน้ากันเสียแล้ว “ก็เผอิญว่าไอ้เรนมันโดนรุ่นน้องที่ไหนไม่รู้เล่นจนดั้งหัก แล้วมันยังบอกด้วยว่า ไอ้รุ่นน้องนั่นแม่งมีผมแหลมๆแบบ แบบมึงเลยว่ะ”
/นี่มึง.../ ติ๊กคิดพร้อมเสียงซุบซิบที่ดังต่อเนื่องมา /เล่นไอ้เรน... นั่นเหรอวะ???/
“ที่กูมาเนี่ยไม่ใช่เพราะไรหรอก” รุ่นพี่ผู้โหดร้ายค่อยๆ ใช้มือขวาดึงคอเสื้อกันขึ้นมาทีละนิด “ก็เพราะมึงนี่แหละ”
“จ๊วบๆๆๆๆ”
       ทว่า สิ่งที่ตามมากลับมิใช่สีหน้าอันเกรงกลัวหรือคำพูดขอขมาใดๆ ทั้งสิ้น จะมีก็เพียงแต่เสียงดูดหวานเย็นในปากของกัน ที่ดังจ๊วบๆ แสดงถึงความเอร็ดอร่อยเกินจะพรรณาของมัน ถึงแม้ว่าจะตกอยู่สภาพเช่นนี้ แต่หนุ่มหัวแหลมผู้นี้กลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น สนใจก็แต่เพียงน้ำเชื่อมหวานๆ ในปากของเขาก็เท่านั้น
       ไม่เกรงกลัวหรืออะไรทั้งสิ้น ปฏิกิริยาอันแน่นิ่งนี้สามารถสร้างความแปลกประหลาดอย่างที่สุดให้กับทุกๆ คนในโรงอาหารแห่งนี้ให้ตกตะลึงไปตามกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะรุ่นพี่ผู้ที่มาเพื่อแก้แค้น แต่กลับถูกรุ่นน้องผู้นี้ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างมากมายเหลือคณานับ สร้างความเดือดดาลให้กับเขายิ่งเข้าไปใหญ่ 
“สัสเอ๊ย!!!”
       ไม่ใช่แค่ติ๊กคนเดียวที่มิอาจทนความยียวนกวนประสาทของชายคนนี้ไหว รุ่นพี่คนนี้ก็ไม่อาจทานทดได้เช่นกัน ทว่า สิ่งที่ตามมามิได้มีเพียงเสียงตะโกนด่า แต่มันกลับมาพร้อมกำปั้นซ้ายที่ตรงเข้ามายังใบหน้าของกันอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำ ละอองแสงสีทองยังค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันรอบกายเขาอีก อีกไม่นาน เขาคงจะกลายร่างเป็นตัวอะไรบางอย่างแน่ๆ และหมัดนี้คงจะรุนแรงมากขึ้นหลายเท่าตัวตามอีก
“กูจะแดกหวานเย็นโว้ย!!!”
        ทว่า ผู้ที่แปลงกายได้มิได้มีเพียงคนเดียว มิหนำซ้ำ ชายคนนี้ยังดูชำนาญกว่าเสียอีก ในขณะที่หมัดของรุ่นพี่พุ่งตรงเข้าใกล้ใบหน้าของกันเรื่อยๆ นั้นเอง ทันใดนั้น ละอองแสงสีทองก็ได้เข้ามาปกคลุมร่างของเขาอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้กันสามารถแปลงเป็นร่างลิงขาวก่อนอีกฝ่ายเสียอีก และดูเหมือนว่า สัญชาตญาณของเขาก็รวดเร็วขึ้นตามเช่นกันอีกด้วย
        ไม่รีรออะไรทั้งสิ้น แม้ว่าหมัดนี้กำลังจะเข้ากระทบหน้าของเขาอยู่รอมร่อภายในไม่ถึงเสี้ยววินาทีแล้วก็ตาม แต่เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ลิงขาวผู้นี้กลับใช้พลังทั้งหมดยิงก้อนน้ำแข็งซีดๆ อดีตหวานเย็นอันหวานฉ่ำออกจากปาก ก่อนจะแตกกระจายเข้าใส่ตาขวาของรุ่นพี่ผู้นี้โดยไม่ทันให้ตั้งตัว พลอยทำให้หมัดที่พุ่งเข้ามานี้พลาดเป้าลอยเฉี่ยวหัวกันไปอย่างฉิวเฉียด อันเป็นผลจากจากก้อนน้ำแข็งที่บดบังทัศนะวิสัยข้างหน้าของรุ่นพี่ผู้นี้นั่นเอง
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!!”
       ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ใช้มือเช็ดก้อนน้ำแข็งผสมคราบน้ำลายบนนัยน์ตานี้ออกได้หมด รุ่นน้องผู้นี้ก็ยังหวังดี กระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ พร้อมกระโดดเตะ ส่งบาทาขวาเข้าใส่ใบหน้าของรุ่นพี่อย่างแรงเป็นของแถม สร้างเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกเป็นระลอกใหญ่เลย
“ไอ้จักร!!!”
       ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอยและเสียงซุบซิบ กันคงเห็นว่าเป็นโอกาสดีหรือกระไร จึงขอใช้เวลานี้ประกาศศักดาให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน เท้าขวาของเขาเหยียบลงบนโต๊ะของโรงอาหาร แขนซ้ายวางเอาไว้บนต้นขา แล้วจึงตะโกนเสียงดังกึกก้องออกไปพร้อมทรงผมและรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของเขาว่า
“ชื่อของกูคือกิตติ เหมันต์วงศ์!!! ชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้!!!”
        ในระหว่างที่กำลังสนุกกับคนอื่นๆ นับสิบในที่นี้นั้น เขากลับหารู้ไม่ว่าสหายรักอย่าง ติ๊กได้เดินจรจากไปเสียแล้ว ขณะนี้เอง หนุ่มแว่นคนนี้กำลังเดินตรงไปเรื่อยๆ เพื่อหนีให้ไกลจากโรงอาหารแห่งนี้ที่สุด พร้อมใบหน้าอันเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ทั้งยังแฝงความโกรธเมื่อครู่เข้าไปนิดๆ เสียอีก ซึ่งสาเหตุคงไม่ใช่อื่นใด นอกจากตัวเพื่อนคนนี้นี่เอง
“วู้ววววววววววววววว”
         เสียงโห่ร้องแห่งความยินดีของนักเรียนหลายสิบคนดังลั่นขึ้นทั่วทั้งโรงอาหาร ดังถึงหูติ๊กที่เริ่มเดินห่างออกไปทุกที เสียงที่มาจากศัตรูคู่แค้นอย่างกัน กลับยิ่งทำให้ติ๊กโกรธขึ้นอีกเป็นเท่าตัว จนถึงกับต้องระบายด้วยการใช้มือขวาทุบเสาปูนสีขาวข้างๆ อย่างแรงด้วยความโกรธที่สุด
“เป็นเพราะมึง...” ติ๊กเริ่มพูดกับตัวเอง “เพราะมึงคนเดียว...”
/มันก็เปรียบเสมือนสายลมล่ะนะ/ และยังคงทำให้เขานึกย้อนกลับไปยังคำพูดของกัน
“ชีวิตวัยรุ่นเหี้ยไรของมึง!!!”
        แต่ถึงกระนั้น ความโกรธภายในใจของติ๊กก็ยังมีคนมองดูอยู่ไกลๆ ชายร่างใหญ่ยักษ์ผู้กำลังนั่งพาดขาอยู่บนม้านั่งไม้สีเขียวด้านหลัง สายตาที่ล่องลอยดั่งคนโรคจิต กำลังจ้องมองติ๊กพลางพ่นควันโขมงสีแดงแสนประหลาดออก จากปาก ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแสยะเล็กๆ เมื่อเห็นกันในร่างมนุษย์กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาติ๊ก
“เล่นกับใครไม่เล่นนะ ไอ้พวกเด็กเหี้ย”           


                                 โปรดติดตามบทถัดไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา