วัยรุ่นหิมพานต์
7.9
เขียนโดย โชจัง
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.
20 บท
38 วิจารณ์
26.09K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ชีวิตวัยรุ่น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าใครๆ ในโรงเรียนนี้ให้จงได้!!!” แค่เพียงคาบแรกของชั้นเรียนเริ่มต้นขึ้น ก็ดูเหมือนว่านี่คงจะไม่ใช่ห้องเรียนธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว เมื่อจู่ๆ กัน นักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้องได้ไม่ถึงนาที แต่กลับแหกปากลั่นประโยคนี้ จนดังลั่นสนั่นไปทั่วทั้งห้อง ม.๔/๘ โดยไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อนั้น แค่เพียงประโยคประโยคเดียว ก็สร้างอาการตระหนกตกใจอย่างหนักให้แก่ทุกคนในที่นี้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว จนทั้งห้องได้แต่อึ้งไปตามๆ กันเลยทีเดียว ทว่า นั่นเป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานนัก สีหน้าอันตกตะลึงกลับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าทีละน้อย บางคนนั่งยิ้มไม่ก็หัวเราะเสียงดังคนเดียว บ้างเริ่มจับกลุ่มคุยกันถกถึงเรื่องชายปริศนาผู้นี้ เห็นชัดว่า ทุกคนคงจะชอบใจการกระทำของเขาเป็นอย่างมาก และที่สำคัญกว่าก็คือ ตัวกันเองก็คงจะชอบใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วย“แซ่ดๆๆๆๆ” แต่ถึงกระนั้น กลับยังมีอีกสองคนในห้องนี้ที่มีอาการแตกต่างไปจากคนอื่นๆ หนึ่งคือติ๊ก ผู้ได้แต่นั่งนิ่งด้วยอาการตกตะลึงอยู่หลังห้องคนเดียว พร้อมใจอันเริ่มกลัดกลุ้มถึงอนาคตในห้องเรียนแห่งนี้ เมื่อต้องพบกับเพื่อนร่วมห้องผู้พิลึกพิลั่นคนนี้/อะ... ไอ้เหี้ยนี่.... มันเป็น... ใคร.../ ส่วนอีกคนนั้น กำลังตกอยู่ในอาการเดือดดาลจนแทบจะลุกเป็นไฟ เขาคือ ครูชรัส อาจารย์ประจำชั้นผู้ถูกลืม ทั้งๆ ที่เข้ามายืนหัวโด่อยู่หน้าห้องก่อนแท้ๆ ก็คงไม่แปลกหรอก เพราะคงไม่มีใครชอบคำแนะนำจากอาจารย์ ไปกว่าการแสดงอันแสนประหลาดของเพื่อนคนหนึ่งเป็นแน่ ทว่า สิ่งที่ทำให้อาจารย์ท่านนี้โกรธคงไม่ใช่การถูกลืมหรือถูกเมิน ซึ่งคงพบเจอบ่อยจนคุ้นชินอยู่แล้ว แต่กลับเป็นพฤติกรรมอันแสนไร้มารยาท ไม่เห็นหน้าอินทร์หน้าพรหมของนักเรียนคนนี้ต่างหาก และแล้ว ในขณะที่กันกำลังยืนเหยียบโต๊ะอยู่หน้าห้องพร้อมรับเสียงชื่นชมจากคนอื่นๆ ด้วยความยินดีปรีดาอยู่นั้นเอง ฝ่าเท้าของครูชรัสทั้งสองข้างก็ได้ลอยตัวสูงขึ้นมา จากนั้นจึงถีบขาคู่เข้าใส่ที่สีข้างซ้ายของนักเรียนคนนี้โดยไม่ทันให้ตั้งตัวแม้ซักนิด จนถึงกับกระเด็นลงไปนอนกองกับพื้นใกล้ๆเลยทีเดียว นับเป็นบทลงโทษแรกอันแสนสาหัสของห้อง ม.๔/๘ นั่นแหละ ทั้งตัวนักเรียนทั้งตัวอาจารย์ ห้องเรียนนี้คงไม่ธรรมดาดังที่กล่าวเอาไว้แน่ๆ
วัยรุ่นหิมพานต์บทที่ ๒ ชีวิตวัยรุ่น
“อูยยย” กันดูเหมือนไม่เป็นไรมาก สามารถดันตัวขึ้นมาอีกครั้งได้ “ครูทำไรเนี่ย”“เดี๊ยะๆ ได้เจออีกป๊าบ” ครูชรัสก้มมองกันด้วยท่าทีที่ยังโกรธอยู่ “ยังไม่สำนึก”“สำนึกไรครับ? ผมไม่ใช่กะเทยนะจะมา...”“นั่นมันสำอรแล้ว!!!” ครูชรัสตะโกนแก้เสียงดัง “นี่คิดว่าเท่ห์นักเหรอ อยู่ๆ เข้ามาก็ทำตัวกร่างแบบเนี้ย นี่ครูนะเว้ยไม่ใช่หัวปักหัวตอ หัดมีความเคารพกันมั่ง”“อ้าวเฮ้ย แบงค์ร้อยปลิวแฮะ” กันเหลือบตาไปเห็นกระดาษสีชมพูที่ร่วงลงมาจากกระเป๋าเสื้อ จึงเดินก้มตามไปเก็บในทันที “ขออนุญาตตามเก็บแป๊บนะครับ”“ไม่ให้โว้ย!!!” ครูชรัสตะโกนเสียงดัง แต่กันก็ยังคงไล่ตามแบงค์ร้อยนี้ต่อไป “นี่อย่าคิดว่า ว่ามานี่แล้วจะสักแต่เรียนอย่างเดียวน่ะ นี่มันโรงเรียนก็จริง แล้วโรงเรียนมันก็มีระเบียบของมันด้วย จำเอาไว้!!!”“ปลิวไปอีก” กันยังคงตามมันต่อไปจนเกือบจะสุดหลังห้องแล้ว “ลำบากจริง”“แต่อย่างว่านะ ที่เอ็งทำเมื่อกี้มันก็ผิดจากกฎมารยาทพื้นฐานของสังคมอยู่แล้วนี่นะ ไอ้กฎโรงเรียนเป็นร้อยข้อคงทำไม่ได้หรอก!!!” ถึงครูชรัสจะต่อว่าไปอีกกี่ประโยค แต่กันก็ยังคงไม่สนใจ ก้มเก็บแบงค์นี้จนสุดกำแพงหลังห้องในที่สุด “แค่การตรงต่อเวลา การเคารพต่อผู้อาวุโสครูบาอาจารย์ แม้แต่สมบัติผู้ดี เอ็งยังไม่ทำเลย!!! ขอบอกไว้ก่อนนะว่าครูเข้มเรื่องนี้มาก!!!”“ได้ซะที” ในที่สุด กันก็ค้นพบแบงค์ร้อยของเขาที่ข้างๆ โต๊ะของซัน แต่สิ่งที่อยู่ในมือขวาของเขากลับเป็นกระดาษทิชชู่สีชมพูแผ่นเล็กๆ บางๆ แบบที่พบมากในงานเลี้ยงโต๊ะจีนแทนซะอย่างงั้น “เอ่า ไม่ใช่แบงค์ร้อย แต่เป็นกระดาษทิชชู่ตอนไปงานรวมญาตินี่หว่า...”/แล้วมึงก็เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเนอะ.../ ซันมองกันอย่างอเน็จอนาถอย่างที่สุด“ช่างแม่ง” กันพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงซ้ายอีกครั้ง และดูจะไม่เห็นหัว อ.ชรัส ตามเคย “ทุกสิ่งมีค่า เราควรให้ความสำคัญ”“แค่นี้มึง เอ๊ย เธอยังให้ความสำคัญกับกระดาษทิชชู่มากกว่าครูผู้สอนเลยเรอะ!!!” ครูชรัสตะโกนเสียงดัง “ถามจริงเหอะ เข้ามาเรียนที่นี่ทำไมเนี่ย!!!”“เมื่อกี้ ครูบอกว่าอย่าเรียนอย่างเดียวไม่ใช่เหรอครับ?” กันหันกลับไปยิ้มให้ครูชรัสอย่างรวดเร็ว “ใช่ครับ เพราะนอกจากเรียน ผมยังมีเป้าหมายสำคัญกว่า... และสิ่งนั้น มันจะต้องยิ่งใหญ่แน่ครับ!”“กิ๊งก่องๆๆๆ” เมื่อสิ้นคำพูดของกัน เมื่อนั้น ก็เป็นเวลาสิ้นสุดคาบเรียนอย่างเหมาะเจาะซะแล้ว ในขณะที่สองอาจารย์และลูกศิษย์ยังคงยืนจ้องหน้ากันอยู่ “พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบัวมันมี ๔ เหล่า” ครูชรัสเริ่มพูด “คงจะรู้ตัวดีนะ”“หึ” กันหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่รู้ ผมคงไม่เสียเวลามาที่นี่หรอกครับ”“แต่อย่างว่าถ้ามีดินดีกับสภาพแวดล้อมดี บัวใต้ตมคงไม่อยู่ใต้ตมไปตลอดชีวิตหรอก” ครูชรัสสอน “ก็พยายามมองบัวพ้นน้ำข้างบนแล้วพยายามชูดอกให้ถึงละกัน เพราะตอนนี้คะแนนจิตพิสัยของเธอคือ ๐ อย่าให้คะแนนความประพฤติกลายเป็น ๐ ไม่งั้นล่ะก็เรื่องใหญ่แน่”/บัว ๔ เหล่า???/ กันคิดในใจ /ไม่ใช่มันมีแต่ยาสีฟันดอกบั๐คู่เหรอวะ?/“แล้วก็อย่าฉุดเพื่อนๆ ลงไปใต้ตมเหมือนเธอล่ะ แค่เธอคนเดียว ครูที่เป็นอาจารย์ประจำชั้นก็เอือมระอาพอแล้ว” ครูชรัสดูเหมือนจะเหนื่อยใจอย่างหนัก “ครูจะขอถือว่าทุกคนมีสิทธิที่จะก้าวพลาดครั้งแรก จำไว้ให้ดีล่ะ ว่าครูจับตามองเธออยู่”“ยินดีครับ” กันแสยะยิ้มบอก ก่อนที่ครูชรัสจะหันหลังเดินกลับไปช้าๆ /หรือว่าจะเป็น๐อกบัวคู่ ๒ หลอดวะ หลอดเดียวกูก็เผ็ดจะตายห่าอยู่แระ/“เธอเป็นหัวหน้า” ครูชรัสเดินไปถึงหน้าห้องอย่างรวดเร็วพร้อมชี้ขวาไปที่นักเรียนชาย คนที่นั่งบนโต๊ะซึ่งกันขึ้นไปเหยียบเมื่อกี้ “บอกชั้นได้”“เอ่อ...” เขาดูเหมือนจะงุนงงนิดๆ “นะ นักเรียน!!! เคารพ!!!”“สวัสดีครับ/ค่ะ” หลังจากนักเรียนทั้งหมดพนมมือไหว้อาจารย์ประจำชั้นตามหัวหน้าห้องคนใหม อย่างพร้อมเพรียง เมื่อนั้น ครูชรัสจึงพยักหน้ายิ้มรับด้วยความยินดีตามมารยาท ก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ลืมที่จะจ้องเข้าไปในนัยน์ตาอันว่างเปล่าของนักเรียนเจ้าปัญหาอย่าง กัน เพื่อจดจำใบหน้าพร้อมทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย และถึงจะเป็นครั้งสุดท้ายของครูชรัส แต่กระนั้น ไม่นานนัก สายตาของทั้งห้องกลับค่อยๆ จับจ้องไปยังตัวเขาเพียงคนเดียวแทนในทันใด ในฐานะจำเลยของห้อง สีหน้าของกันคงจะไม่ยิ้มแย้มเบิกบานแบบนี้ไปตลอดรอดฝั่งแน่ๆ รอยยิ้มเริ่มหุบลงกลายเป็นใบหน้าอันรู้สึกผิด เดินช้าๆ มาหน้าห้องท่ามกลางสายตาที่มองตามไปเรื่อยๆ โดยไม่ลดละ“เอาเป็นว่าทุกคนรู้หมดแล้วนะว่ากูเป็นใคร!!!” จู่ๆ กันก็ตะโกนดังลั่นสนั่นห้องอีกครั้ง สร้างความตระหนกตกใจให้คนอื่นๆ อีกครั้งหนึ่ง “พวกมึงทุกคนตอนนี้เป็นสหายของกู และเพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ของกู กูก็จะเป็นสหายของพวกมึงทุกคนเอง!!!” รอยยิ้มและเสียงโหวกเหวกโวยวายเกิดขึ้นในห้องนี้อีกครั้ง ในเมื่อเป็นเวลาที่ครูยังไม่เข้าอันแสนมีค่า เหล่าหนุ่มสาวคงจะไม่อยู่เงียบๆ สำนึกผิดไปตลอดเป็นแน่ และเมื่อสิ่งที่กันกระทำลงไปยิ่งเป็นตัวสานสัมพันธ์ ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันสามารถคุยเรื่องของไอ้หนุ่มคนนี้ได้อย่างสนุกสนาน บ้างก็สนุกสนานเฮฮา หัวเราะไปกับกิริยาอันเด็ดเดี่ยวแสนกล้าหาญของเขา ในขณะที่บ้างก็ไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่เขากล้าพูดกับครูบาอาจารย์ว่าไม่เหมาะสมยิ่ง แต่คงไม่มีใครที่หวาดหวั่นกลุ้มใจไปกว่าติ๊กอีกแล้ว/ไม่.../ ติ๊กคิด /ไม่ใช่ห้องเรียนในอุดมคติแล้ว นี่กูไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรที่ไหนเนี่ยถึงต้องมาเจอกับไอ้เชี่ยนี่!!! แล้วต้องอยู่กับมันไปอีก ๓ ปีเนี่ยนะ ห่าราก!!!”“เป็นห้องที่คึกคักดี” กันยิ้มบอกพร้อมเดินมาข้างหลัง “คงจะมีที่พอสำหรับกูนะ!!!”/เดี๋ยว/ สายตาของติ๊กเริ่มสาดส่ายไปยังรอบๆ ห้องเรียนนี้ทันที เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทุกๆ คนต่างนั่งเป็นคู่กันอยู่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขามองไปยังทางขวามือข้างๆ ก็ต้องพบกับฝันร้ายยิ่งกว่าการที่ต้องอยู่ห้องเดียวกับไอ้บ้าคนนี้ เพราะว่าโต๊ะว่างเพียงโต๊ะเดียวในห้องนี้ อยู่ใกล้ๆ ขนาดที่ว่าวางชิดติดกันกับโต๊ะของเขานี่เอง ติ๊กตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พยายามถีบผลักโต๊ะตัวนี้ออกไปให้ไกลและเร็วที่สุด ทว่า ไม่ทันกาลเสียแล้ว“หลังห้องเหรอ?” กันมานั่งข้างๆ ติ๊กเสียแล้ว “มันช่างเป็นพิกัดดีสำหรับการหลับจริงๆ”/ไม่นะ.../ ติ๊กพลาดไปซะแล้ว “เอ่อ...”“หือ?” กันสงสัย “มีคนนั่งเหรอ”“...” ติ๊กเงียบและพยักหน้ารับ“งั้นถ้ามันมาให้หาโต๊ะมาต่อเพิ่มละกัน” กันยิ้มบอก ทำลายความหวังเพียงหนึ่งเดียวของติ๊กลงในทันตา “โต๊ะนี่เหมือนจะหนาไปหน่อยนะ สงสัยต้องหาหมอนมาไว้ซักใบแระ”/หมด... หมดทางหนีแล้ว/ ติ๊กเริ่มสิ้นหวังไปทีละน้อย“ว่าแต่” กันหันไปทางติ๊กอีกครั้ง “มึงชื่อไรวะ?”/ชิบหาย.../ ติ๊กคิด “เอ่อ...”“อย่าชักช้าดิวะ” กันย้ำต่อ “กูชอบคนชักเร็วๆ”“ผะ...” ติ๊กเริ่มพูดแล้ว “ผม”“ผมเหี้ยไรมึงเนี่ย!?” กันดูเหมือนไม่พอใจ “กูเพื่อนนะเว้ย ไม่ใช่เจ้านาย!!!”/ขนาดครูยังไม่เว้น มีแต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้นสินะ/ ติ๊กเริ่มคิดได้ว่าต้องใจดีสู้เสือแล้ว “ผะ... ผม.. เอ๊ย กู... กูติ๊ก...”“ตกลงนี่มึงติดอ่างป่าวเนี่ย กูล่ะตึ้บจริงๆ ๕๕๕” กันหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะนะ ตั้งแต่วันนี้มึงเป็นสหายตลอดไป สหายติ๊กของกู อยู่ที่ว่ากูจะเป็นสหายมึงรึเปล่าแค่นั้น”/สหาย?/ ติ๊กคิด /เชี่ยไรเนี่ย???/“มึงคงได้ยินที่กูพูดหน้าห้องแล้วนะว่ากูจะเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่น่ะ” กันยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ “ดังนั้น เพื่อนที่นั่งข้างๆ สำคัญมากเลยรู้ป่าว ว่าไง มีไรจะบอกกูมะในฐานะที่มึงเป็นสหายกูแล้ว”/อะ... เอาไงดี!/ ติ๊กเริ่มคิดหนักแล้ว “เอ่อ...”“ผมชื่อกฤตานนท์” จู่ๆ กฤตก็พรุ่งพรวดมาพร้อมยื่นมือขวาให้กันอย่างรวดเร็ว “เรียกสั้นๆ ว่ากฤตครับ”“เฮ้ยๆ” กันบอก “ไม่เอาผม ไม่เอาครับ ให้โอกาสอีกรอบนึง”“กูกฤตเองโว้ย!!!” กฤตเริ่มแสดงท่าทางแลดูเถื่อนขึ้นดั่งนักเลงกำลังหาเรื่องในทันที “มีปัญหาป่าว!? จับมือเด๊!!!”“มึงทำเหี้ยไรของมึงเนี่ย” ซันเดินมาตบขวาใส่หัวกฤตเบาๆ เป็นการเตือนสติ “ไม่รู้จักอาย”“ไอ้เหี้ยซัน!” กฤตใช้แขนซ้ายโอบไหล่ซันไว้แนบแน่น “มึงมาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หน่อยดิ”“หา?” ซันดูลังเลนิดๆ ก่อนจะชำเลืองมองไปทางกันด้วยสายตาลังเลนิดๆ “นี่ซันนะ”“พวกมึงสองคนแม่งโดนว่ะ!!!” กันรีบยืนขึ้นมาจับมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว “ยินดีที่ได้รู้จัก สหายกฤตกับสหายซัน!!! สหายใหม่ของกู!!!”“ไอ้ที่มึงทำหน้าชั้นแม่งก็โดนใจกูเหมือนกันล่ะวะ!” กฤตยิ้มบอก “แม่งกล้าทำไปได้ไงวะ แม่งเหี้ย เอ๊ย เจ๋งสัสอ่ะ”“กูขอนับคำว่าเหี้ยเป็นคำชมด้วยละกัน” กันยิ้มบอกพร้อมทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง พลางใช้แขนซ้ายพาดไหล่ติ๊กที่อยู่ข้างๆ เอาไว้ “เพื่อนมึงแม่งโดน...” ทว่า ถึงแม้จะโดนโอบไหล่อยู่อย่างแนบแน่นก็ตาม แต่กระนั้น ท่าทีของติ๊กกลับยังคงนิ่งเงียบงันอย่างเย็นชาอยู่ดี ขนาดที่ว่าทำให้กันที่ว่าแน่ยังต้องนิ่งเงียบไปเลยทีเดียว“เอ่อ...” เหมือนกันกำลังหาทางให้ติ๊กพูดอยู่ “มีใครอยู่ป่าวครับ...”“กัน” กฤตบอก “กูขอแนะนำนะ มึงเลิกล้มความพยายามเหอะ เชี่ยนี่แม่งยากเกิน”“ยาก?” กันสงสัย “ไงวะ?”“มึงคิดดูนะกูอยู่ห้องเดียวกับมันตอน ม.ต้น อ่ะ” ซันอธิบาย “กูได้ยินแต่คำว่า ครับ กับ อือ ยาวสุดก็ชื่อกับนามสกุลมันกับตอนตอบโจทย์ แค่นั้นอ่ะ”“กูพยายามจะบอกว่า” กฤตยิ้มบอก “ไอ้เหี้ยเนี่ยแม่งคบยาก มากับพวกกูดีกว่าน่า”“พวกมึงอ่ะมันของตายอยู่แล้ว” กันยิ้มบอก “แต่แค่ทำให้คนที่นั่งข้างๆ ยอมคุยไม่ได้ล่ะก็ ความยิ่งใหญ่ของกูแม่งคงไม่มาถึงหรอก!!!”/ยิ่งใหญ่/ ติ๊กคิด /เหี้ยไรก็ยิ่งใหญ่รึไงวะ/“เออๆ” กฤตยิ้มบอกก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่พร้อมซันตามเดิม “พยายามเข้าละกัน”“เอ้า” กันทุบหลังติ๊กไปทีนึง “เอาเป็นว่าเป้าหมายของวันนี้เอาเป็นการให้มึงพูดกับกูละกันนะ สหาย ติ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”/เหอะ/ ถึงกันจะพูดชื่อของเรารัวอีกซักกี่ครั้ง ท่าทีของติ๊กก็ยังคงดูเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน /กูมันความอดทนสูงอยู่แล้ว เจอแค่นี้ธรรมดาว่ะ/“นักเรียน!!!” หัวหน้าห้องบอกเสียงดัง “เคารพ!!!”/เย้/ ติ๊กพนมมือขึ้นมาพร้อมคนอื่นๆ /ครูมาซะที/“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งหมดไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน/หือ?/ ติ๊กสงสัยถึงเสียงของกันที่ขาดหายไป /เลิกเล่นไร้สาระแล้วเอาเวลามาต้งใจเรียนแทนงั้นเหรอ บางที มันอาจจะมี.../ ทว่า เมื่อเขาหันไปกลับพบว่าเหตุที่เสียงเรียกของกันพลันหายไป มิใช่เพราะเขาตั้งใจเรียนในวิชาคาบนี้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความง่วงได้ครอบงำร่างกาย เป็นเหตุให้ชายหัวแหลมคนนี้นอนหลับลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าอิ่มเอิบในเวลาชั่วพริบตา นั่นยิ่งทำลายความหวังเล็กๆ ของติ๊กให้ป่นปี้เข้าไปอีก แต่ก็ยังเป็นการดี เมื่อเสียงอันแสนน่ารำคาญได้หายไปจากโสตประสาทของเขาแล้ว/เออ/ ติ๊กยิ้มเล็กๆ แสดงความดีใต /ไปซะที ไอ่สัส/๒ ชั่วโมง กับอีก ๓๐ นาที ผ่านไป“เคารพ!!!” เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแค่แป๊บเดียว หัวหน้าห้องก็สั่งทุกคนให้ทำความเคารพอาจารย์หน้าห้อง อีกแล้ว /หลับติดต่อกัน ๔ คาบ!!!/ และในขณะครูท่านนี้ได้เดินจากห้องนี้ไป ทว่า ตัวกันนั้นกลับยังคงนอนหลับบนโต๊ะด้วยความสบายไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น ขนาดที่ว่าน้ำลายในปากได้ไหลเอ่อออกมารวมตัวบนโต๊ะจนเกิดเป็นหนองน้ำเล็กๆ เลยทีเดียว ในขณะที่เพื่อนข้างๆ อย่างติ๊ก คงทำได้เพียงชำเลืองมองด้วยความสังเวชเท่านั้น/เอาวะก็ยังดีกว่าแหกปาก/ ติ๊กคิด /แต่คนเหี้ยไรวะหลับไม่รู้จักตื่นขนาดนี้ กูละหน่าย/ ช่วงเวลาแห่งอิสระเสรีคงมาถึงแล้ว ติ๊กเริ่มสังเกตเห็นว่าหลังจากอาจารย์ได้เดินลับหายจากสายตาไป นักเรียนทุกคนทั่วทั้งห้องต่างค่อยๆ ลุกออกจากเก้าอี้ ทยอยออกจากห้องเรียนนี้ไปทีละนิดทีละน้อย ผ่านประตูทั้งสองบานที่เปิดอ้าอยู่แต่ละมุมห้อง ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก ณ ตอนนี้ ได้เวลาพักกลางวันของโรงเรียนสุวัฒนา อันเป็นช่วงเวลาสำคัญในอุดมคติของนักเรียนทุกคนแล้ว ทว่า คงจะยกเว้นเพียงติ๊ก ผู้มาพร้อมสีหน้าอันเคร่งเครียดและซึมเศร้าเช่นเดิม /แดกข้าวดีกว่า.../ ผ่านไปประมาณสิบนาทีได้ ณ อาคารสีขาวขนาดใหญ่ภายในรั้วโรงเรียนสุวัฒนา โต๊ะกับเก้าอี้ไม้สีขาวขนาดยาวเกือบร้อยตัว ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนพื้นกระเบื้องสีเทาทั่วพื้นที่อันกว้างขวาง จัดเป็นแถวๆ อยู่ใจกลางอาคารแห่งนี้ นักเรียนมากมายหลายสิบคนต่างกำลังเดินไปมาอย่างขวักไขว่ ในมือนั้นถือจานชามอาหารหลากชนิด รวมถึงแก้วน้ำพลาสติกบรรจุน้ำแข็งกับน้ำหวานหลากรสอีกด้วย แทบทุกโต๊ะเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนมากมายบนเก้าอี้ พร้อมทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะ พวกเขากำลังรับประทานอาหารพลางพูดคุยกันกับเพื่อนร่วมโต๊ะ สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้แก่ที่นี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว อาหารบนโต๊ะกับนักเรียนจำนวนมากมายที่มารวมตัวกันในเวลาพักเที่ยงนั้น สามารถบ่งบอกได้เลยว่า ณ ที่แห่งนี้ คือโรงอาหารของโรงเรียนสุวัฒนานั่นเอง ทว่า ท่ามกลางเสียงสนทนาอันดังลั่นจากทุกโต๊ะ จนก่อเกิดเป็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่สามารถจับใจความได้้ทั่วโรงอาหารแห่งนี้ กลับยังมีโต๊ะอันแสนเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ ทั้งสิ้นอยู่ตัวหนึ่ง มิหนำซ้ำ ยังมีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียวทั้งโต๊ะ ทั้งๆ ที่สามารถนั่งได้มากสุดถึง ๑๐ คนแท้ๆ ผู้ที่นั่งอย่างเดียวดายคงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากติ๊ก จอมเคร่งขรึมนั่นเอง แม้แต่ข้าวหมกไก่ที่เขากำลังเขี้ยวอยู่ภายในปาก ก็มิอาจทำให้ใบหน้าอันเคร่งเครียดของเขาดูดีขึ้นมาด้วยความอร่อยแม้นซักนิด หลังจากเคี้ยวจนละเอียดได้ที่แล้วกลืนลงคอ จู่ๆ หนุ่มแว่นคนนี้กลับวางช้อนส้อมสีเงินลงบนจานทั้งๆ ที่พึ่งทานไปได้ไม่ถึงครึ่ง พลางครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างภายในใจด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียดยิ่งกว่า เดิมซะอีก/เรื่องไอ้เหี้ยนั่น..../ ติ๊กยังคงคิดเรื่องกันไม่ตก /เอาไงดีวะเนี่ย...//ความยิ่งใหญ่ของกูแม่งคงไม่มาถึงหรอก!!!/ เขานึกย้อนถึงประโยคนี้อีกที“ยิ่งใหญ่?” เหมือนติ๊กจะเอ่ยปากพูดแล้ว “ไอ้คนเหี้ยๆ บ้าๆ อย่างมึงเนี่ยนะ เฮอะ/”“ดูเหมือนเป็นโรงอาหารที่ยิ่งใหญ่ดีเหมือนกันนี่หว่า” ดั่งมรสุมที่มาเยือนถึงที่ จู่ๆ เสียงอันคุ้นหูก็ดังแว่วเข้ามาในหูติ๊กอีกครั้งหนึ่งเสมือนสัญญาณเตือน เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะในทันใดนั้น กันพร้อมแท่งหวานเย็นสีแดงในมือ ก็ได้ปล่อยตัวลงนั่งข้างหน้าติ๊กโดยไม่บอกกล่าวอะไร ทั้งสิ้น สร้างความตระหนกตกใจจนแทบช็อคให้กับติ๊กถึงที่สุด หนุ่มหัวแหลมคนนี้นำแท่งหวานเย็นดูดเข้าไปในปากอีกครั้งหนึ่งเพื่อลิ้มรสความหวาน พร้อมรอยยิ้มอันอิ่มเอิบหลังจากได้ลิ้มลองในความหวานและเย็นสมชื่อนี้“แล้วก็ ดูเหมือนหวานเย็นจะดูยิ่งใหญ่กว่าซะอีกนะเนี่ย” กันยิ้มบอกพลางมองตรงไปบนใบหน้าติ๊ก“มึง!!!” เหมือนติ๊กต้องการหาที่ระบายเต็มที่ ไม่เก็บไว้ในใจอีกต่อไปแล้ว “มึงมาไงเนี่ย!!!”“เดินมาดิ” กันตอบพร้อมใส่หวานเย็นเข้าปากอีกครั้ง “มึงโง่หรือโง่เนี่ย”“ไม่ใช่โว้ย!!!” ติ๊กตะโกนถามต่อด้วยความเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม “มึงจะมานั่งที่กูทำไมเนี่ย!!!”“ก็ที่มึงว่างนี่” กันยิ้มบอก “ที่สหายกฤษมันก็เต็ม ก็เหลือมึงคนเดียวล่ะนะ ที่กูรู้จักเป็นเพื่อนอ่ะ”“เอ่อ...” ติ๊กเริ่มอารมณ์เย็นลงหลังจากได้ยินคำพูดนี้ “ก็...”“จะว่าไปแล้ว ตอนเรียนมันน่าเบื่อซะจนกูเผลอหลับยาวไปเลยนี่นะ” กันพูดไปเรื่อยๆ ด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ติ๊กทำได้เพียงนั่งฟังคนเดียวเท่านั้น “โทษละกัน ถ้ามันทำให้มึงไม่มีเพื่อนคุยอ่ะนะ แต่ถ้ามึงหลับไปด้วยนั่นก็ดีไป เอาเป็นว่า ไอ้คาบพักเนี่ย ขอเป็นเวลาให้กูกับมึงสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เอาให้เป็นมิตรภาพระดับยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มี...” ความอดทนอันอัดอั้นภายในจิตใจของติ๊กคงจะหมดสิ้นลงเสียแล้ว และบัดนี้ ถึงเวลาที่จะระเบิดมันออกมาเสียที ในระหว่างที่คำพูดเรื่อยเปื่อยอันแสนน่ารำคาญของกัน ยังคงถูกพ่นเข้ามาข้างในรูหูของติ๊กอยู่อย่างต่อเนื่อง และดูท่าว่ามันแทบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียด้วยซ้ำ “ไอ้เหี้ย!!! มึงหุบปากซะทีจะได้มั้ยวะ!!!” ในที่สุด หนุ่มแว่นก็มิอาจทานทดได้อีกต่อไป เสียงตะโกนอันทรงพลังนี้ดังกึกก้องออกมาผ่านสีหน้าอันโกรธเกรี้ยวและรำคาญถึงที่สุด และเพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถหยุดเสียงอันน่ารำคาญนี้ไปได้เสียที“หือ?” กันสงสัยพลางมองไปใบหน้าที่ยังคงโมโหของติ๊ก “เอ่อ ก็ได้” เหตุการณ์สงบลงตามความต้องการของติ๊กแล้ว เป็นผลให้ทั้งสองกลับมาจัดการอาหารที่อยู่ต่อหน้าอีกครั้งแบบตัวใครตัวมัน ไม่สนใจใคร และคงไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นอีกหลังจากประโยคคำสั่งเมื่อครู่นี้ ทว่า หลังจากที่กันดูดหวานเย็นเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง เขากลับยังไม่หยุด“เออ” กันถามพร้อมดึงแท่งหวานเย็นออกจากปากอีกครั้ง “แล้วให้กูหุบปากทำไมวะ มันก็ไม่เห็น...”“ไอ้เหี้ยกูไหว้ล่ะ!!!” ติ๊กพนมมือขอร้องจนแทบจะกราบกันเลยทีเดียว “มึงเลิกยุ่งกับกูซักทีได้มั้ยวะ!!! เห็นแก่อนาคตกูเถอะ!!!”“อนาคตมึง?” กันสงสัย “เอ่อ... แล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรกับกูวะ”“เกี่ยวเต็มๆ เลยโว้ย!” ติ๊กตะคอกใส่“แค่มึงเข้ามาในชีวิตกู อนาคตกูก็แทบจะพังทลายลงแล้วเว้ย!!!”“มึงก็ขยายใจความหน่อยดิ๊สัส!” กันยังคงไม่เข้าใจ “งง!”“ก็เพราะตัวมึงไงล่ะวะ!!!” ติ๊กด่ากราดกันเสียงดัง “ ถ้ามึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซักหน่อยมันก็ไม่หนักหัวใครแล้วโว้ย! แถมยังเป็นผลดีกับตัวมึงคนเดียวซะอีก!!!”“พฤติกรรม?” กันสงสัย“เออสิวะ!” ติ๊กตะโกนบอกเสียงดัง “เข้าเรียนสาย หลับในคาบ แล้วที่เหี้ยสุดก็คือความบ้าของมึงนี่แหละ!!! กูเตือนด้วยความหวังดีนะ! ถ้าไม่อยากให้ชีวิตวัยเรียนมึงล่มจมก็อยู่เฉยๆ แล้วตั้งใจเรียนไปวันๆ เถอะ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องไปเสือกเรื่องชาวบ้านหรือคนนั่งข้างๆ ด้วย!!!”“...” กันถึงกับหยุดเพื่อนั่งคิดถึงคำสั่งสอนของติ๊ก แต่ดูเหมือนเขามิได้แยแสอะไรนักพลางยิ้มตอบให้อีก “ก็จริงนะ ชีวิตวัยเรียนกูอาจจะไม่มีเหี้ยไรดีแล้วก็ได้ แต่ชีวิตวัยรุ่นของกูน่ะ มันเพิ่งเริ่มต้น”“ชีวิตวัยรุ่น?” ติ๊กยิ้มด้วยความเย้ยหยัน “เหอะ ชีวิตวัยรุ่นเหี้ยไรของมึงเนี่“ ชีวิตวัยรุ่นอันยิ่งใหญ่สำหรับกูไงล่ะ” กันยิ้มพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายอย่างที่สุด “ความยิ่งใหญ่มันก็เหมือนสายลมล่ะนะ ล่องลอยไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมาย แต่ถ้ามีอะไรน่าตื่นเต้นล่ะก็นะ สายลมแผ่วเบามันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นพายุ ที่จะโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งทีเดียว”“...” ติ๊กเริ่มคิดไรออก “นี่มึงถึงกับเอาความเรื่อยเปื่อยของมึงไปเปรียบกับสายลมเลยเหรอวะ?”“ก็ยังดีกว่าชีวิตวัยเรียนของมึงล่ะวะ” กันถึงคราวเย้ยกลับ “ไอ้ชีวิตที่มีแต่ข้อจำกัดไรนั่นน่ะ อยู่ไปแม่งก็เหมือนตายทั้งเป็นล่ะวะ”“แล้วไอ้ชีวิตเสเพลของมึงล่ะ” ติ๊กยังไม่ยอม “ถึงมึงจะใช้ชีวิตตอนนี้แบบตามใจตัวเองไม่สนใจใครขนาดไหน แต่ซักวันนึงพอชีวิตวัยรุ่นมึงจบ อนาคตมึงก็ไม่เหลือเหมือนกันแหละวะ”“จะสนทำไมวะ” กันโต้กลับ “ในเมื่อตอนนี้มีความสุขสนุกสุดๆ อนาคตข้างหน้าก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหรอก ที่เป็นห่วงน่ะ คือมึงที่เอาแต่แบกคำว่าอนาคตไว้ต่างหาก”“จะบอกว่าปัจจุบันสำคัญกว่าอนาคตเหรอ?” ติ๊กเริ่มมีน้ำโหขึ้นเรื่อยๆ “เอาเถอะ คนอย่างมึงเป็นตายร้ายดียังไงกูไม่สนแม่งอยู่แระ ถือว่ากูสีซอให้ควายฟังละกัน“ที่ควรจะสอนน่ะคือมึงต่างหากล่ะ” กันยื่นหัวเข้าใกล้ติ๊กเรื่อยๆ “กูจะทำให้มึงรู้เอง ว่าความสนุกแห่งชีวิตวัยรุ่นมันคืออะไร!”“เอาดิวะ!” หัวทั้งสองแทบจะชนกันอยู่แล้ว “แล้วมาดูกันว่าใครคิดผิดกันแน่!”“เฮ้ย!!! ผมมึงแม่งเท่ห์ดีนี่หว่า” ในระหว่างที่การโต้วาทะของทั้งสองกำลังเป็นไปอย่างดุเดือด ชนิดที่ว่าแทบเดาไม่ออกเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ จู่ๆ เสียงอันทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งก็ดังเข้ามา จนหยุดปากของทั้งสองเอาไว้ได้ในทันใด สองหนุ่มคนละขั้วหันหลังกลับไปตามต้นเสียงนี้อย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงได้พบกับชายรูปร่างกำยำ ใบหน้าดิบเถื่อนถึงสองคน ทั้งสองกำลังยืนคู่กันพลางจ้องไปยังใบหน้าของกันด้วยสายตาอันเคร่งเครียด ดั่งจะฆ่าแกงกันยังไงยังงั้น มิหนำซ้ำ โต๊ะโดยรอบยังพร้อมใจกันหันมาดูเหตุการณ์นี้โดย เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เหมือนมีดารามาเล่นหนังแถวๆ ยังไงยังงั้น แต่ดูจากสีหน้าอันสั่นสะพรึงของติ๊ก นี่คงจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเหมือนเจอดาราเป็นแน่“เฮ้ย!” ชายหนวดเฟิ้มคนซ้ายกล่าว “กูเรียกมึงนั่นแหละ”“แหม” กันเงยหน้ามาตามเสียงเรียก “พี่เป็นคนที่สองเลยนะเนี่ยที่ชมเรื่องผมของผมเนี่ย”/เดี๋ยวๆๆๆๆๆ/ ติ๊กคิดในใจ “นี่มันไอ้จักรกับจิม ม.๕ แก๊งพี่หวังไม่ใช่รึไงวะ!!!”“มึงรู้จักเพื่อนพี่ที่ชื่อเรนมะ” คนขวาหัวรุงรังถามต่อ “ที่มัน...”“รู้จักสิครับ” กันตอบแบบสบายๆ “ไอ้คนหน้ากระปอมแบบนั้นถ้าไม่ใช่แถวคลองคงหาไม่ง่ายในโรงเรียนนี้หรอก”/แล้วไหงเชี่ยนี่ถึงรู้จักมักจี่กันได้ล่ะวะ!!!/ ติ๊กถึงกับตกตะลึงกับท่าทางของกัน /นี่มึงอย่าบอกนะว่า.../“ถ้าไม่มีไรแล้ว” กันยิ้มให้พร้อมชูแท่งหวานเย็นให้รุ่นพี่สองคนนี้ดู “ผมขออนุญาตดูดหวานเย็นต่อละกันนะครับ”“ไม่น่าจะมีไรหรอก” คนขวาเดินมาหยุดอยู่หน้ากันเสียแล้ว “ก็เผอิญว่าไอ้เรนมันโดนรุ่นน้องที่ไหนไม่รู้เล่นจนดั้งหัก แล้วมันยังบอกด้วยว่า ไอ้รุ่นน้องนั่นแม่งมีผมแหลมๆแบบ แบบมึงเลยว่ะ”/นี่มึง.../ ติ๊กคิดพร้อมเสียงซุบซิบที่ดังต่อเนื่องมา /เล่นไอ้เรน... นั่นเหรอวะ???/“ที่กูมาเนี่ยไม่ใช่เพราะไรหรอก” รุ่นพี่ผู้โหดร้ายค่อยๆ ใช้มือขวาดึงคอเสื้อกันขึ้นมาทีละนิด “ก็เพราะมึงนี่แหละ”“จ๊วบๆๆๆๆ” ทว่า สิ่งที่ตามมากลับมิใช่สีหน้าอันเกรงกลัวหรือคำพูดขอขมาใดๆ ทั้งสิ้น จะมีก็เพียงแต่เสียงดูดหวานเย็นในปากของกัน ที่ดังจ๊วบๆ แสดงถึงความเอร็ดอร่อยเกินจะพรรณาของมัน ถึงแม้ว่าจะตกอยู่สภาพเช่นนี้ แต่หนุ่มหัวแหลมผู้นี้กลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น สนใจก็แต่เพียงน้ำเชื่อมหวานๆ ในปากของเขาก็เท่านั้น ไม่เกรงกลัวหรืออะไรทั้งสิ้น ปฏิกิริยาอันแน่นิ่งนี้สามารถสร้างความแปลกประหลาดอย่างที่สุดให้กับทุกๆ คนในโรงอาหารแห่งนี้ให้ตกตะลึงไปตามกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะรุ่นพี่ผู้ที่มาเพื่อแก้แค้น แต่กลับถูกรุ่นน้องผู้นี้ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างมากมายเหลือคณานับ สร้างความเดือดดาลให้กับเขายิ่งเข้าไปใหญ่ “สัสเอ๊ย!!!” ไม่ใช่แค่ติ๊กคนเดียวที่มิอาจทนความยียวนกวนประสาทของชายคนนี้ไหว รุ่นพี่คนนี้ก็ไม่อาจทานทดได้เช่นกัน ทว่า สิ่งที่ตามมามิได้มีเพียงเสียงตะโกนด่า แต่มันกลับมาพร้อมกำปั้นซ้ายที่ตรงเข้ามายังใบหน้าของกันอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำ ละอองแสงสีทองยังค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันรอบกายเขาอีก อีกไม่นาน เขาคงจะกลายร่างเป็นตัวอะไรบางอย่างแน่ๆ และหมัดนี้คงจะรุนแรงมากขึ้นหลายเท่าตัวตามอีก“กูจะแดกหวานเย็นโว้ย!!!” ทว่า ผู้ที่แปลงกายได้มิได้มีเพียงคนเดียว มิหนำซ้ำ ชายคนนี้ยังดูชำนาญกว่าเสียอีก ในขณะที่หมัดของรุ่นพี่พุ่งตรงเข้าใกล้ใบหน้าของกันเรื่อยๆ นั้นเอง ทันใดนั้น ละอองแสงสีทองก็ได้เข้ามาปกคลุมร่างของเขาอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้กันสามารถแปลงเป็นร่างลิงขาวก่อนอีกฝ่ายเสียอีก และดูเหมือนว่า สัญชาตญาณของเขาก็รวดเร็วขึ้นตามเช่นกันอีกด้วย ไม่รีรออะไรทั้งสิ้น แม้ว่าหมัดนี้กำลังจะเข้ากระทบหน้าของเขาอยู่รอมร่อภายในไม่ถึงเสี้ยววินาทีแล้วก็ตาม แต่เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ลิงขาวผู้นี้กลับใช้พลังทั้งหมดยิงก้อนน้ำแข็งซีดๆ อดีตหวานเย็นอันหวานฉ่ำออกจากปาก ก่อนจะแตกกระจายเข้าใส่ตาขวาของรุ่นพี่ผู้นี้โดยไม่ทันให้ตั้งตัว พลอยทำให้หมัดที่พุ่งเข้ามานี้พลาดเป้าลอยเฉี่ยวหัวกันไปอย่างฉิวเฉียด อันเป็นผลจากจากก้อนน้ำแข็งที่บดบังทัศนะวิสัยข้างหน้าของรุ่นพี่ผู้นี้นั่นเอง“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!!” ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ใช้มือเช็ดก้อนน้ำแข็งผสมคราบน้ำลายบนนัยน์ตานี้ออกได้หมด รุ่นน้องผู้นี้ก็ยังหวังดี กระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ พร้อมกระโดดเตะ ส่งบาทาขวาเข้าใส่ใบหน้าของรุ่นพี่อย่างแรงเป็นของแถม สร้างเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกเป็นระลอกใหญ่เลย“ไอ้จักร!!!” ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอยและเสียงซุบซิบ กันคงเห็นว่าเป็นโอกาสดีหรือกระไร จึงขอใช้เวลานี้ประกาศศักดาให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน เท้าขวาของเขาเหยียบลงบนโต๊ะของโรงอาหาร แขนซ้ายวางเอาไว้บนต้นขา แล้วจึงตะโกนเสียงดังกึกก้องออกไปพร้อมทรงผมและรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของเขาว่า“ชื่อของกูคือกิตติ เหมันต์วงศ์!!! ชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้!!!” ในระหว่างที่กำลังสนุกกับคนอื่นๆ นับสิบในที่นี้นั้น เขากลับหารู้ไม่ว่าสหายรักอย่าง ติ๊กได้เดินจรจากไปเสียแล้ว ขณะนี้เอง หนุ่มแว่นคนนี้กำลังเดินตรงไปเรื่อยๆ เพื่อหนีให้ไกลจากโรงอาหารแห่งนี้ที่สุด พร้อมใบหน้าอันเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ทั้งยังแฝงความโกรธเมื่อครู่เข้าไปนิดๆ เสียอีก ซึ่งสาเหตุคงไม่ใช่อื่นใด นอกจากตัวเพื่อนคนนี้นี่เอง“วู้ววววววววววววววว” เสียงโห่ร้องแห่งความยินดีของนักเรียนหลายสิบคนดังลั่นขึ้นทั่วทั้งโรงอาหาร ดังถึงหูติ๊กที่เริ่มเดินห่างออกไปทุกที เสียงที่มาจากศัตรูคู่แค้นอย่างกัน กลับยิ่งทำให้ติ๊กโกรธขึ้นอีกเป็นเท่าตัว จนถึงกับต้องระบายด้วยการใช้มือขวาทุบเสาปูนสีขาวข้างๆ อย่างแรงด้วยความโกรธที่สุด“เป็นเพราะมึง...” ติ๊กเริ่มพูดกับตัวเอง “เพราะมึงคนเดียว...”/มันก็เปรียบเสมือนสายลมล่ะนะ/ และยังคงทำให้เขานึกย้อนกลับไปยังคำพูดของกัน“ชีวิตวัยรุ่นเหี้ยไรของมึง!!!” แต่ถึงกระนั้น ความโกรธภายในใจของติ๊กก็ยังมีคนมองดูอยู่ไกลๆ ชายร่างใหญ่ยักษ์ผู้กำลังนั่งพาดขาอยู่บนม้านั่งไม้สีเขียวด้านหลัง สายตาที่ล่องลอยดั่งคนโรคจิต กำลังจ้องมองติ๊กพลางพ่นควันโขมงสีแดงแสนประหลาดออก จากปาก ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแสยะเล็กๆ เมื่อเห็นกันในร่างมนุษย์กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาติ๊ก“เล่นกับใครไม่เล่นนะ ไอ้พวกเด็กเหี้ย”
โปรดติดตามบทถัดไป
วัยรุ่นหิมพานต์บทที่ ๒ ชีวิตวัยรุ่น
“อูยยย” กันดูเหมือนไม่เป็นไรมาก สามารถดันตัวขึ้นมาอีกครั้งได้ “ครูทำไรเนี่ย”“เดี๊ยะๆ ได้เจออีกป๊าบ” ครูชรัสก้มมองกันด้วยท่าทีที่ยังโกรธอยู่ “ยังไม่สำนึก”“สำนึกไรครับ? ผมไม่ใช่กะเทยนะจะมา...”“นั่นมันสำอรแล้ว!!!” ครูชรัสตะโกนแก้เสียงดัง “นี่คิดว่าเท่ห์นักเหรอ อยู่ๆ เข้ามาก็ทำตัวกร่างแบบเนี้ย นี่ครูนะเว้ยไม่ใช่หัวปักหัวตอ หัดมีความเคารพกันมั่ง”“อ้าวเฮ้ย แบงค์ร้อยปลิวแฮะ” กันเหลือบตาไปเห็นกระดาษสีชมพูที่ร่วงลงมาจากกระเป๋าเสื้อ จึงเดินก้มตามไปเก็บในทันที “ขออนุญาตตามเก็บแป๊บนะครับ”“ไม่ให้โว้ย!!!” ครูชรัสตะโกนเสียงดัง แต่กันก็ยังคงไล่ตามแบงค์ร้อยนี้ต่อไป “นี่อย่าคิดว่า ว่ามานี่แล้วจะสักแต่เรียนอย่างเดียวน่ะ นี่มันโรงเรียนก็จริง แล้วโรงเรียนมันก็มีระเบียบของมันด้วย จำเอาไว้!!!”“ปลิวไปอีก” กันยังคงตามมันต่อไปจนเกือบจะสุดหลังห้องแล้ว “ลำบากจริง”“แต่อย่างว่านะ ที่เอ็งทำเมื่อกี้มันก็ผิดจากกฎมารยาทพื้นฐานของสังคมอยู่แล้วนี่นะ ไอ้กฎโรงเรียนเป็นร้อยข้อคงทำไม่ได้หรอก!!!” ถึงครูชรัสจะต่อว่าไปอีกกี่ประโยค แต่กันก็ยังคงไม่สนใจ ก้มเก็บแบงค์นี้จนสุดกำแพงหลังห้องในที่สุด “แค่การตรงต่อเวลา การเคารพต่อผู้อาวุโสครูบาอาจารย์ แม้แต่สมบัติผู้ดี เอ็งยังไม่ทำเลย!!! ขอบอกไว้ก่อนนะว่าครูเข้มเรื่องนี้มาก!!!”“ได้ซะที” ในที่สุด กันก็ค้นพบแบงค์ร้อยของเขาที่ข้างๆ โต๊ะของซัน แต่สิ่งที่อยู่ในมือขวาของเขากลับเป็นกระดาษทิชชู่สีชมพูแผ่นเล็กๆ บางๆ แบบที่พบมากในงานเลี้ยงโต๊ะจีนแทนซะอย่างงั้น “เอ่า ไม่ใช่แบงค์ร้อย แต่เป็นกระดาษทิชชู่ตอนไปงานรวมญาตินี่หว่า...”/แล้วมึงก็เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเนอะ.../ ซันมองกันอย่างอเน็จอนาถอย่างที่สุด“ช่างแม่ง” กันพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงซ้ายอีกครั้ง และดูจะไม่เห็นหัว อ.ชรัส ตามเคย “ทุกสิ่งมีค่า เราควรให้ความสำคัญ”“แค่นี้มึง เอ๊ย เธอยังให้ความสำคัญกับกระดาษทิชชู่มากกว่าครูผู้สอนเลยเรอะ!!!” ครูชรัสตะโกนเสียงดัง “ถามจริงเหอะ เข้ามาเรียนที่นี่ทำไมเนี่ย!!!”“เมื่อกี้ ครูบอกว่าอย่าเรียนอย่างเดียวไม่ใช่เหรอครับ?” กันหันกลับไปยิ้มให้ครูชรัสอย่างรวดเร็ว “ใช่ครับ เพราะนอกจากเรียน ผมยังมีเป้าหมายสำคัญกว่า... และสิ่งนั้น มันจะต้องยิ่งใหญ่แน่ครับ!”“กิ๊งก่องๆๆๆ” เมื่อสิ้นคำพูดของกัน เมื่อนั้น ก็เป็นเวลาสิ้นสุดคาบเรียนอย่างเหมาะเจาะซะแล้ว ในขณะที่สองอาจารย์และลูกศิษย์ยังคงยืนจ้องหน้ากันอยู่ “พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบัวมันมี ๔ เหล่า” ครูชรัสเริ่มพูด “คงจะรู้ตัวดีนะ”“หึ” กันหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่รู้ ผมคงไม่เสียเวลามาที่นี่หรอกครับ”“แต่อย่างว่าถ้ามีดินดีกับสภาพแวดล้อมดี บัวใต้ตมคงไม่อยู่ใต้ตมไปตลอดชีวิตหรอก” ครูชรัสสอน “ก็พยายามมองบัวพ้นน้ำข้างบนแล้วพยายามชูดอกให้ถึงละกัน เพราะตอนนี้คะแนนจิตพิสัยของเธอคือ ๐ อย่าให้คะแนนความประพฤติกลายเป็น ๐ ไม่งั้นล่ะก็เรื่องใหญ่แน่”/บัว ๔ เหล่า???/ กันคิดในใจ /ไม่ใช่มันมีแต่ยาสีฟันดอกบั๐คู่เหรอวะ?/“แล้วก็อย่าฉุดเพื่อนๆ ลงไปใต้ตมเหมือนเธอล่ะ แค่เธอคนเดียว ครูที่เป็นอาจารย์ประจำชั้นก็เอือมระอาพอแล้ว” ครูชรัสดูเหมือนจะเหนื่อยใจอย่างหนัก “ครูจะขอถือว่าทุกคนมีสิทธิที่จะก้าวพลาดครั้งแรก จำไว้ให้ดีล่ะ ว่าครูจับตามองเธออยู่”“ยินดีครับ” กันแสยะยิ้มบอก ก่อนที่ครูชรัสจะหันหลังเดินกลับไปช้าๆ /หรือว่าจะเป็น๐อกบัวคู่ ๒ หลอดวะ หลอดเดียวกูก็เผ็ดจะตายห่าอยู่แระ/“เธอเป็นหัวหน้า” ครูชรัสเดินไปถึงหน้าห้องอย่างรวดเร็วพร้อมชี้ขวาไปที่นักเรียนชาย คนที่นั่งบนโต๊ะซึ่งกันขึ้นไปเหยียบเมื่อกี้ “บอกชั้นได้”“เอ่อ...” เขาดูเหมือนจะงุนงงนิดๆ “นะ นักเรียน!!! เคารพ!!!”“สวัสดีครับ/ค่ะ” หลังจากนักเรียนทั้งหมดพนมมือไหว้อาจารย์ประจำชั้นตามหัวหน้าห้องคนใหม อย่างพร้อมเพรียง เมื่อนั้น ครูชรัสจึงพยักหน้ายิ้มรับด้วยความยินดีตามมารยาท ก่อนจะเดินออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ลืมที่จะจ้องเข้าไปในนัยน์ตาอันว่างเปล่าของนักเรียนเจ้าปัญหาอย่าง กัน เพื่อจดจำใบหน้าพร้อมทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย และถึงจะเป็นครั้งสุดท้ายของครูชรัส แต่กระนั้น ไม่นานนัก สายตาของทั้งห้องกลับค่อยๆ จับจ้องไปยังตัวเขาเพียงคนเดียวแทนในทันใด ในฐานะจำเลยของห้อง สีหน้าของกันคงจะไม่ยิ้มแย้มเบิกบานแบบนี้ไปตลอดรอดฝั่งแน่ๆ รอยยิ้มเริ่มหุบลงกลายเป็นใบหน้าอันรู้สึกผิด เดินช้าๆ มาหน้าห้องท่ามกลางสายตาที่มองตามไปเรื่อยๆ โดยไม่ลดละ“เอาเป็นว่าทุกคนรู้หมดแล้วนะว่ากูเป็นใคร!!!” จู่ๆ กันก็ตะโกนดังลั่นสนั่นห้องอีกครั้ง สร้างความตระหนกตกใจให้คนอื่นๆ อีกครั้งหนึ่ง “พวกมึงทุกคนตอนนี้เป็นสหายของกู และเพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ของกู กูก็จะเป็นสหายของพวกมึงทุกคนเอง!!!” รอยยิ้มและเสียงโหวกเหวกโวยวายเกิดขึ้นในห้องนี้อีกครั้ง ในเมื่อเป็นเวลาที่ครูยังไม่เข้าอันแสนมีค่า เหล่าหนุ่มสาวคงจะไม่อยู่เงียบๆ สำนึกผิดไปตลอดเป็นแน่ และเมื่อสิ่งที่กันกระทำลงไปยิ่งเป็นตัวสานสัมพันธ์ ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันสามารถคุยเรื่องของไอ้หนุ่มคนนี้ได้อย่างสนุกสนาน บ้างก็สนุกสนานเฮฮา หัวเราะไปกับกิริยาอันเด็ดเดี่ยวแสนกล้าหาญของเขา ในขณะที่บ้างก็ไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่เขากล้าพูดกับครูบาอาจารย์ว่าไม่เหมาะสมยิ่ง แต่คงไม่มีใครที่หวาดหวั่นกลุ้มใจไปกว่าติ๊กอีกแล้ว/ไม่.../ ติ๊กคิด /ไม่ใช่ห้องเรียนในอุดมคติแล้ว นี่กูไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรที่ไหนเนี่ยถึงต้องมาเจอกับไอ้เชี่ยนี่!!! แล้วต้องอยู่กับมันไปอีก ๓ ปีเนี่ยนะ ห่าราก!!!”“เป็นห้องที่คึกคักดี” กันยิ้มบอกพร้อมเดินมาข้างหลัง “คงจะมีที่พอสำหรับกูนะ!!!”/เดี๋ยว/ สายตาของติ๊กเริ่มสาดส่ายไปยังรอบๆ ห้องเรียนนี้ทันที เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทุกๆ คนต่างนั่งเป็นคู่กันอยู่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขามองไปยังทางขวามือข้างๆ ก็ต้องพบกับฝันร้ายยิ่งกว่าการที่ต้องอยู่ห้องเดียวกับไอ้บ้าคนนี้ เพราะว่าโต๊ะว่างเพียงโต๊ะเดียวในห้องนี้ อยู่ใกล้ๆ ขนาดที่ว่าวางชิดติดกันกับโต๊ะของเขานี่เอง ติ๊กตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พยายามถีบผลักโต๊ะตัวนี้ออกไปให้ไกลและเร็วที่สุด ทว่า ไม่ทันกาลเสียแล้ว“หลังห้องเหรอ?” กันมานั่งข้างๆ ติ๊กเสียแล้ว “มันช่างเป็นพิกัดดีสำหรับการหลับจริงๆ”/ไม่นะ.../ ติ๊กพลาดไปซะแล้ว “เอ่อ...”“หือ?” กันสงสัย “มีคนนั่งเหรอ”“...” ติ๊กเงียบและพยักหน้ารับ“งั้นถ้ามันมาให้หาโต๊ะมาต่อเพิ่มละกัน” กันยิ้มบอก ทำลายความหวังเพียงหนึ่งเดียวของติ๊กลงในทันตา “โต๊ะนี่เหมือนจะหนาไปหน่อยนะ สงสัยต้องหาหมอนมาไว้ซักใบแระ”/หมด... หมดทางหนีแล้ว/ ติ๊กเริ่มสิ้นหวังไปทีละน้อย“ว่าแต่” กันหันไปทางติ๊กอีกครั้ง “มึงชื่อไรวะ?”/ชิบหาย.../ ติ๊กคิด “เอ่อ...”“อย่าชักช้าดิวะ” กันย้ำต่อ “กูชอบคนชักเร็วๆ”“ผะ...” ติ๊กเริ่มพูดแล้ว “ผม”“ผมเหี้ยไรมึงเนี่ย!?” กันดูเหมือนไม่พอใจ “กูเพื่อนนะเว้ย ไม่ใช่เจ้านาย!!!”/ขนาดครูยังไม่เว้น มีแต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้นสินะ/ ติ๊กเริ่มคิดได้ว่าต้องใจดีสู้เสือแล้ว “ผะ... ผม.. เอ๊ย กู... กูติ๊ก...”“ตกลงนี่มึงติดอ่างป่าวเนี่ย กูล่ะตึ้บจริงๆ ๕๕๕” กันหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะนะ ตั้งแต่วันนี้มึงเป็นสหายตลอดไป สหายติ๊กของกู อยู่ที่ว่ากูจะเป็นสหายมึงรึเปล่าแค่นั้น”/สหาย?/ ติ๊กคิด /เชี่ยไรเนี่ย???/“มึงคงได้ยินที่กูพูดหน้าห้องแล้วนะว่ากูจะเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่น่ะ” กันยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ “ดังนั้น เพื่อนที่นั่งข้างๆ สำคัญมากเลยรู้ป่าว ว่าไง มีไรจะบอกกูมะในฐานะที่มึงเป็นสหายกูแล้ว”/อะ... เอาไงดี!/ ติ๊กเริ่มคิดหนักแล้ว “เอ่อ...”“ผมชื่อกฤตานนท์” จู่ๆ กฤตก็พรุ่งพรวดมาพร้อมยื่นมือขวาให้กันอย่างรวดเร็ว “เรียกสั้นๆ ว่ากฤตครับ”“เฮ้ยๆ” กันบอก “ไม่เอาผม ไม่เอาครับ ให้โอกาสอีกรอบนึง”“กูกฤตเองโว้ย!!!” กฤตเริ่มแสดงท่าทางแลดูเถื่อนขึ้นดั่งนักเลงกำลังหาเรื่องในทันที “มีปัญหาป่าว!? จับมือเด๊!!!”“มึงทำเหี้ยไรของมึงเนี่ย” ซันเดินมาตบขวาใส่หัวกฤตเบาๆ เป็นการเตือนสติ “ไม่รู้จักอาย”“ไอ้เหี้ยซัน!” กฤตใช้แขนซ้ายโอบไหล่ซันไว้แนบแน่น “มึงมาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หน่อยดิ”“หา?” ซันดูลังเลนิดๆ ก่อนจะชำเลืองมองไปทางกันด้วยสายตาลังเลนิดๆ “นี่ซันนะ”“พวกมึงสองคนแม่งโดนว่ะ!!!” กันรีบยืนขึ้นมาจับมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว “ยินดีที่ได้รู้จัก สหายกฤตกับสหายซัน!!! สหายใหม่ของกู!!!”“ไอ้ที่มึงทำหน้าชั้นแม่งก็โดนใจกูเหมือนกันล่ะวะ!” กฤตยิ้มบอก “แม่งกล้าทำไปได้ไงวะ แม่งเหี้ย เอ๊ย เจ๋งสัสอ่ะ”“กูขอนับคำว่าเหี้ยเป็นคำชมด้วยละกัน” กันยิ้มบอกพร้อมทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง พลางใช้แขนซ้ายพาดไหล่ติ๊กที่อยู่ข้างๆ เอาไว้ “เพื่อนมึงแม่งโดน...” ทว่า ถึงแม้จะโดนโอบไหล่อยู่อย่างแนบแน่นก็ตาม แต่กระนั้น ท่าทีของติ๊กกลับยังคงนิ่งเงียบงันอย่างเย็นชาอยู่ดี ขนาดที่ว่าทำให้กันที่ว่าแน่ยังต้องนิ่งเงียบไปเลยทีเดียว“เอ่อ...” เหมือนกันกำลังหาทางให้ติ๊กพูดอยู่ “มีใครอยู่ป่าวครับ...”“กัน” กฤตบอก “กูขอแนะนำนะ มึงเลิกล้มความพยายามเหอะ เชี่ยนี่แม่งยากเกิน”“ยาก?” กันสงสัย “ไงวะ?”“มึงคิดดูนะกูอยู่ห้องเดียวกับมันตอน ม.ต้น อ่ะ” ซันอธิบาย “กูได้ยินแต่คำว่า ครับ กับ อือ ยาวสุดก็ชื่อกับนามสกุลมันกับตอนตอบโจทย์ แค่นั้นอ่ะ”“กูพยายามจะบอกว่า” กฤตยิ้มบอก “ไอ้เหี้ยเนี่ยแม่งคบยาก มากับพวกกูดีกว่าน่า”“พวกมึงอ่ะมันของตายอยู่แล้ว” กันยิ้มบอก “แต่แค่ทำให้คนที่นั่งข้างๆ ยอมคุยไม่ได้ล่ะก็ ความยิ่งใหญ่ของกูแม่งคงไม่มาถึงหรอก!!!”/ยิ่งใหญ่/ ติ๊กคิด /เหี้ยไรก็ยิ่งใหญ่รึไงวะ/“เออๆ” กฤตยิ้มบอกก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่พร้อมซันตามเดิม “พยายามเข้าละกัน”“เอ้า” กันทุบหลังติ๊กไปทีนึง “เอาเป็นว่าเป้าหมายของวันนี้เอาเป็นการให้มึงพูดกับกูละกันนะ สหาย ติ๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”/เหอะ/ ถึงกันจะพูดชื่อของเรารัวอีกซักกี่ครั้ง ท่าทีของติ๊กก็ยังคงดูเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน /กูมันความอดทนสูงอยู่แล้ว เจอแค่นี้ธรรมดาว่ะ/“นักเรียน!!!” หัวหน้าห้องบอกเสียงดัง “เคารพ!!!”/เย้/ ติ๊กพนมมือขึ้นมาพร้อมคนอื่นๆ /ครูมาซะที/“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งหมดไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน/หือ?/ ติ๊กสงสัยถึงเสียงของกันที่ขาดหายไป /เลิกเล่นไร้สาระแล้วเอาเวลามาต้งใจเรียนแทนงั้นเหรอ บางที มันอาจจะมี.../ ทว่า เมื่อเขาหันไปกลับพบว่าเหตุที่เสียงเรียกของกันพลันหายไป มิใช่เพราะเขาตั้งใจเรียนในวิชาคาบนี้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความง่วงได้ครอบงำร่างกาย เป็นเหตุให้ชายหัวแหลมคนนี้นอนหลับลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าอิ่มเอิบในเวลาชั่วพริบตา นั่นยิ่งทำลายความหวังเล็กๆ ของติ๊กให้ป่นปี้เข้าไปอีก แต่ก็ยังเป็นการดี เมื่อเสียงอันแสนน่ารำคาญได้หายไปจากโสตประสาทของเขาแล้ว/เออ/ ติ๊กยิ้มเล็กๆ แสดงความดีใต /ไปซะที ไอ่สัส/๒ ชั่วโมง กับอีก ๓๐ นาที ผ่านไป“เคารพ!!!” เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแค่แป๊บเดียว หัวหน้าห้องก็สั่งทุกคนให้ทำความเคารพอาจารย์หน้าห้อง อีกแล้ว /หลับติดต่อกัน ๔ คาบ!!!/ และในขณะครูท่านนี้ได้เดินจากห้องนี้ไป ทว่า ตัวกันนั้นกลับยังคงนอนหลับบนโต๊ะด้วยความสบายไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น ขนาดที่ว่าน้ำลายในปากได้ไหลเอ่อออกมารวมตัวบนโต๊ะจนเกิดเป็นหนองน้ำเล็กๆ เลยทีเดียว ในขณะที่เพื่อนข้างๆ อย่างติ๊ก คงทำได้เพียงชำเลืองมองด้วยความสังเวชเท่านั้น/เอาวะก็ยังดีกว่าแหกปาก/ ติ๊กคิด /แต่คนเหี้ยไรวะหลับไม่รู้จักตื่นขนาดนี้ กูละหน่าย/ ช่วงเวลาแห่งอิสระเสรีคงมาถึงแล้ว ติ๊กเริ่มสังเกตเห็นว่าหลังจากอาจารย์ได้เดินลับหายจากสายตาไป นักเรียนทุกคนทั่วทั้งห้องต่างค่อยๆ ลุกออกจากเก้าอี้ ทยอยออกจากห้องเรียนนี้ไปทีละนิดทีละน้อย ผ่านประตูทั้งสองบานที่เปิดอ้าอยู่แต่ละมุมห้อง ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก ณ ตอนนี้ ได้เวลาพักกลางวันของโรงเรียนสุวัฒนา อันเป็นช่วงเวลาสำคัญในอุดมคติของนักเรียนทุกคนแล้ว ทว่า คงจะยกเว้นเพียงติ๊ก ผู้มาพร้อมสีหน้าอันเคร่งเครียดและซึมเศร้าเช่นเดิม /แดกข้าวดีกว่า.../ ผ่านไปประมาณสิบนาทีได้ ณ อาคารสีขาวขนาดใหญ่ภายในรั้วโรงเรียนสุวัฒนา โต๊ะกับเก้าอี้ไม้สีขาวขนาดยาวเกือบร้อยตัว ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนพื้นกระเบื้องสีเทาทั่วพื้นที่อันกว้างขวาง จัดเป็นแถวๆ อยู่ใจกลางอาคารแห่งนี้ นักเรียนมากมายหลายสิบคนต่างกำลังเดินไปมาอย่างขวักไขว่ ในมือนั้นถือจานชามอาหารหลากชนิด รวมถึงแก้วน้ำพลาสติกบรรจุน้ำแข็งกับน้ำหวานหลากรสอีกด้วย แทบทุกโต๊ะเต็มไปด้วยเหล่านักเรียนมากมายบนเก้าอี้ พร้อมทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะ พวกเขากำลังรับประทานอาหารพลางพูดคุยกันกับเพื่อนร่วมโต๊ะ สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้แก่ที่นี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว อาหารบนโต๊ะกับนักเรียนจำนวนมากมายที่มารวมตัวกันในเวลาพักเที่ยงนั้น สามารถบ่งบอกได้เลยว่า ณ ที่แห่งนี้ คือโรงอาหารของโรงเรียนสุวัฒนานั่นเอง ทว่า ท่ามกลางเสียงสนทนาอันดังลั่นจากทุกโต๊ะ จนก่อเกิดเป็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่สามารถจับใจความได้้ทั่วโรงอาหารแห่งนี้ กลับยังมีโต๊ะอันแสนเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ ทั้งสิ้นอยู่ตัวหนึ่ง มิหนำซ้ำ ยังมีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียวทั้งโต๊ะ ทั้งๆ ที่สามารถนั่งได้มากสุดถึง ๑๐ คนแท้ๆ ผู้ที่นั่งอย่างเดียวดายคงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากติ๊ก จอมเคร่งขรึมนั่นเอง แม้แต่ข้าวหมกไก่ที่เขากำลังเขี้ยวอยู่ภายในปาก ก็มิอาจทำให้ใบหน้าอันเคร่งเครียดของเขาดูดีขึ้นมาด้วยความอร่อยแม้นซักนิด หลังจากเคี้ยวจนละเอียดได้ที่แล้วกลืนลงคอ จู่ๆ หนุ่มแว่นคนนี้กลับวางช้อนส้อมสีเงินลงบนจานทั้งๆ ที่พึ่งทานไปได้ไม่ถึงครึ่ง พลางครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างภายในใจด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียดยิ่งกว่า เดิมซะอีก/เรื่องไอ้เหี้ยนั่น..../ ติ๊กยังคงคิดเรื่องกันไม่ตก /เอาไงดีวะเนี่ย...//ความยิ่งใหญ่ของกูแม่งคงไม่มาถึงหรอก!!!/ เขานึกย้อนถึงประโยคนี้อีกที“ยิ่งใหญ่?” เหมือนติ๊กจะเอ่ยปากพูดแล้ว “ไอ้คนเหี้ยๆ บ้าๆ อย่างมึงเนี่ยนะ เฮอะ/”“ดูเหมือนเป็นโรงอาหารที่ยิ่งใหญ่ดีเหมือนกันนี่หว่า” ดั่งมรสุมที่มาเยือนถึงที่ จู่ๆ เสียงอันคุ้นหูก็ดังแว่วเข้ามาในหูติ๊กอีกครั้งหนึ่งเสมือนสัญญาณเตือน เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะในทันใดนั้น กันพร้อมแท่งหวานเย็นสีแดงในมือ ก็ได้ปล่อยตัวลงนั่งข้างหน้าติ๊กโดยไม่บอกกล่าวอะไร ทั้งสิ้น สร้างความตระหนกตกใจจนแทบช็อคให้กับติ๊กถึงที่สุด หนุ่มหัวแหลมคนนี้นำแท่งหวานเย็นดูดเข้าไปในปากอีกครั้งหนึ่งเพื่อลิ้มรสความหวาน พร้อมรอยยิ้มอันอิ่มเอิบหลังจากได้ลิ้มลองในความหวานและเย็นสมชื่อนี้“แล้วก็ ดูเหมือนหวานเย็นจะดูยิ่งใหญ่กว่าซะอีกนะเนี่ย” กันยิ้มบอกพลางมองตรงไปบนใบหน้าติ๊ก“มึง!!!” เหมือนติ๊กต้องการหาที่ระบายเต็มที่ ไม่เก็บไว้ในใจอีกต่อไปแล้ว “มึงมาไงเนี่ย!!!”“เดินมาดิ” กันตอบพร้อมใส่หวานเย็นเข้าปากอีกครั้ง “มึงโง่หรือโง่เนี่ย”“ไม่ใช่โว้ย!!!” ติ๊กตะโกนถามต่อด้วยความเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม “มึงจะมานั่งที่กูทำไมเนี่ย!!!”“ก็ที่มึงว่างนี่” กันยิ้มบอก “ที่สหายกฤษมันก็เต็ม ก็เหลือมึงคนเดียวล่ะนะ ที่กูรู้จักเป็นเพื่อนอ่ะ”“เอ่อ...” ติ๊กเริ่มอารมณ์เย็นลงหลังจากได้ยินคำพูดนี้ “ก็...”“จะว่าไปแล้ว ตอนเรียนมันน่าเบื่อซะจนกูเผลอหลับยาวไปเลยนี่นะ” กันพูดไปเรื่อยๆ ด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ติ๊กทำได้เพียงนั่งฟังคนเดียวเท่านั้น “โทษละกัน ถ้ามันทำให้มึงไม่มีเพื่อนคุยอ่ะนะ แต่ถ้ามึงหลับไปด้วยนั่นก็ดีไป เอาเป็นว่า ไอ้คาบพักเนี่ย ขอเป็นเวลาให้กูกับมึงสานสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เอาให้เป็นมิตรภาพระดับยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มี...” ความอดทนอันอัดอั้นภายในจิตใจของติ๊กคงจะหมดสิ้นลงเสียแล้ว และบัดนี้ ถึงเวลาที่จะระเบิดมันออกมาเสียที ในระหว่างที่คำพูดเรื่อยเปื่อยอันแสนน่ารำคาญของกัน ยังคงถูกพ่นเข้ามาข้างในรูหูของติ๊กอยู่อย่างต่อเนื่อง และดูท่าว่ามันแทบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียด้วยซ้ำ “ไอ้เหี้ย!!! มึงหุบปากซะทีจะได้มั้ยวะ!!!” ในที่สุด หนุ่มแว่นก็มิอาจทานทดได้อีกต่อไป เสียงตะโกนอันทรงพลังนี้ดังกึกก้องออกมาผ่านสีหน้าอันโกรธเกรี้ยวและรำคาญถึงที่สุด และเพียงแค่ประโยคเดียวก็สามารถหยุดเสียงอันน่ารำคาญนี้ไปได้เสียที“หือ?” กันสงสัยพลางมองไปใบหน้าที่ยังคงโมโหของติ๊ก “เอ่อ ก็ได้” เหตุการณ์สงบลงตามความต้องการของติ๊กแล้ว เป็นผลให้ทั้งสองกลับมาจัดการอาหารที่อยู่ต่อหน้าอีกครั้งแบบตัวใครตัวมัน ไม่สนใจใคร และคงไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นอีกหลังจากประโยคคำสั่งเมื่อครู่นี้ ทว่า หลังจากที่กันดูดหวานเย็นเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง เขากลับยังไม่หยุด“เออ” กันถามพร้อมดึงแท่งหวานเย็นออกจากปากอีกครั้ง “แล้วให้กูหุบปากทำไมวะ มันก็ไม่เห็น...”“ไอ้เหี้ยกูไหว้ล่ะ!!!” ติ๊กพนมมือขอร้องจนแทบจะกราบกันเลยทีเดียว “มึงเลิกยุ่งกับกูซักทีได้มั้ยวะ!!! เห็นแก่อนาคตกูเถอะ!!!”“อนาคตมึง?” กันสงสัย “เอ่อ... แล้วมันเกี่ยวเหี้ยไรกับกูวะ”“เกี่ยวเต็มๆ เลยโว้ย!” ติ๊กตะคอกใส่“แค่มึงเข้ามาในชีวิตกู อนาคตกูก็แทบจะพังทลายลงแล้วเว้ย!!!”“มึงก็ขยายใจความหน่อยดิ๊สัส!” กันยังคงไม่เข้าใจ “งง!”“ก็เพราะตัวมึงไงล่ะวะ!!!” ติ๊กด่ากราดกันเสียงดัง “ ถ้ามึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซักหน่อยมันก็ไม่หนักหัวใครแล้วโว้ย! แถมยังเป็นผลดีกับตัวมึงคนเดียวซะอีก!!!”“พฤติกรรม?” กันสงสัย“เออสิวะ!” ติ๊กตะโกนบอกเสียงดัง “เข้าเรียนสาย หลับในคาบ แล้วที่เหี้ยสุดก็คือความบ้าของมึงนี่แหละ!!! กูเตือนด้วยความหวังดีนะ! ถ้าไม่อยากให้ชีวิตวัยเรียนมึงล่มจมก็อยู่เฉยๆ แล้วตั้งใจเรียนไปวันๆ เถอะ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องไปเสือกเรื่องชาวบ้านหรือคนนั่งข้างๆ ด้วย!!!”“...” กันถึงกับหยุดเพื่อนั่งคิดถึงคำสั่งสอนของติ๊ก แต่ดูเหมือนเขามิได้แยแสอะไรนักพลางยิ้มตอบให้อีก “ก็จริงนะ ชีวิตวัยเรียนกูอาจจะไม่มีเหี้ยไรดีแล้วก็ได้ แต่ชีวิตวัยรุ่นของกูน่ะ มันเพิ่งเริ่มต้น”“ชีวิตวัยรุ่น?” ติ๊กยิ้มด้วยความเย้ยหยัน “เหอะ ชีวิตวัยรุ่นเหี้ยไรของมึงเนี่“ ชีวิตวัยรุ่นอันยิ่งใหญ่สำหรับกูไงล่ะ” กันยิ้มพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายอย่างที่สุด “ความยิ่งใหญ่มันก็เหมือนสายลมล่ะนะ ล่องลอยไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมาย แต่ถ้ามีอะไรน่าตื่นเต้นล่ะก็นะ สายลมแผ่วเบามันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นพายุ ที่จะโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งทีเดียว”“...” ติ๊กเริ่มคิดไรออก “นี่มึงถึงกับเอาความเรื่อยเปื่อยของมึงไปเปรียบกับสายลมเลยเหรอวะ?”“ก็ยังดีกว่าชีวิตวัยเรียนของมึงล่ะวะ” กันถึงคราวเย้ยกลับ “ไอ้ชีวิตที่มีแต่ข้อจำกัดไรนั่นน่ะ อยู่ไปแม่งก็เหมือนตายทั้งเป็นล่ะวะ”“แล้วไอ้ชีวิตเสเพลของมึงล่ะ” ติ๊กยังไม่ยอม “ถึงมึงจะใช้ชีวิตตอนนี้แบบตามใจตัวเองไม่สนใจใครขนาดไหน แต่ซักวันนึงพอชีวิตวัยรุ่นมึงจบ อนาคตมึงก็ไม่เหลือเหมือนกันแหละวะ”“จะสนทำไมวะ” กันโต้กลับ “ในเมื่อตอนนี้มีความสุขสนุกสุดๆ อนาคตข้างหน้าก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหรอก ที่เป็นห่วงน่ะ คือมึงที่เอาแต่แบกคำว่าอนาคตไว้ต่างหาก”“จะบอกว่าปัจจุบันสำคัญกว่าอนาคตเหรอ?” ติ๊กเริ่มมีน้ำโหขึ้นเรื่อยๆ “เอาเถอะ คนอย่างมึงเป็นตายร้ายดียังไงกูไม่สนแม่งอยู่แระ ถือว่ากูสีซอให้ควายฟังละกัน“ที่ควรจะสอนน่ะคือมึงต่างหากล่ะ” กันยื่นหัวเข้าใกล้ติ๊กเรื่อยๆ “กูจะทำให้มึงรู้เอง ว่าความสนุกแห่งชีวิตวัยรุ่นมันคืออะไร!”“เอาดิวะ!” หัวทั้งสองแทบจะชนกันอยู่แล้ว “แล้วมาดูกันว่าใครคิดผิดกันแน่!”“เฮ้ย!!! ผมมึงแม่งเท่ห์ดีนี่หว่า” ในระหว่างที่การโต้วาทะของทั้งสองกำลังเป็นไปอย่างดุเดือด ชนิดที่ว่าแทบเดาไม่ออกเลยว่าใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ จู่ๆ เสียงอันทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งก็ดังเข้ามา จนหยุดปากของทั้งสองเอาไว้ได้ในทันใด สองหนุ่มคนละขั้วหันหลังกลับไปตามต้นเสียงนี้อย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงได้พบกับชายรูปร่างกำยำ ใบหน้าดิบเถื่อนถึงสองคน ทั้งสองกำลังยืนคู่กันพลางจ้องไปยังใบหน้าของกันด้วยสายตาอันเคร่งเครียด ดั่งจะฆ่าแกงกันยังไงยังงั้น มิหนำซ้ำ โต๊ะโดยรอบยังพร้อมใจกันหันมาดูเหตุการณ์นี้โดย เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นมาเป็นระยะๆ เหมือนมีดารามาเล่นหนังแถวๆ ยังไงยังงั้น แต่ดูจากสีหน้าอันสั่นสะพรึงของติ๊ก นี่คงจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเหมือนเจอดาราเป็นแน่“เฮ้ย!” ชายหนวดเฟิ้มคนซ้ายกล่าว “กูเรียกมึงนั่นแหละ”“แหม” กันเงยหน้ามาตามเสียงเรียก “พี่เป็นคนที่สองเลยนะเนี่ยที่ชมเรื่องผมของผมเนี่ย”/เดี๋ยวๆๆๆๆๆ/ ติ๊กคิดในใจ “นี่มันไอ้จักรกับจิม ม.๕ แก๊งพี่หวังไม่ใช่รึไงวะ!!!”“มึงรู้จักเพื่อนพี่ที่ชื่อเรนมะ” คนขวาหัวรุงรังถามต่อ “ที่มัน...”“รู้จักสิครับ” กันตอบแบบสบายๆ “ไอ้คนหน้ากระปอมแบบนั้นถ้าไม่ใช่แถวคลองคงหาไม่ง่ายในโรงเรียนนี้หรอก”/แล้วไหงเชี่ยนี่ถึงรู้จักมักจี่กันได้ล่ะวะ!!!/ ติ๊กถึงกับตกตะลึงกับท่าทางของกัน /นี่มึงอย่าบอกนะว่า.../“ถ้าไม่มีไรแล้ว” กันยิ้มให้พร้อมชูแท่งหวานเย็นให้รุ่นพี่สองคนนี้ดู “ผมขออนุญาตดูดหวานเย็นต่อละกันนะครับ”“ไม่น่าจะมีไรหรอก” คนขวาเดินมาหยุดอยู่หน้ากันเสียแล้ว “ก็เผอิญว่าไอ้เรนมันโดนรุ่นน้องที่ไหนไม่รู้เล่นจนดั้งหัก แล้วมันยังบอกด้วยว่า ไอ้รุ่นน้องนั่นแม่งมีผมแหลมๆแบบ แบบมึงเลยว่ะ”/นี่มึง.../ ติ๊กคิดพร้อมเสียงซุบซิบที่ดังต่อเนื่องมา /เล่นไอ้เรน... นั่นเหรอวะ???/“ที่กูมาเนี่ยไม่ใช่เพราะไรหรอก” รุ่นพี่ผู้โหดร้ายค่อยๆ ใช้มือขวาดึงคอเสื้อกันขึ้นมาทีละนิด “ก็เพราะมึงนี่แหละ”“จ๊วบๆๆๆๆ” ทว่า สิ่งที่ตามมากลับมิใช่สีหน้าอันเกรงกลัวหรือคำพูดขอขมาใดๆ ทั้งสิ้น จะมีก็เพียงแต่เสียงดูดหวานเย็นในปากของกัน ที่ดังจ๊วบๆ แสดงถึงความเอร็ดอร่อยเกินจะพรรณาของมัน ถึงแม้ว่าจะตกอยู่สภาพเช่นนี้ แต่หนุ่มหัวแหลมผู้นี้กลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น สนใจก็แต่เพียงน้ำเชื่อมหวานๆ ในปากของเขาก็เท่านั้น ไม่เกรงกลัวหรืออะไรทั้งสิ้น ปฏิกิริยาอันแน่นิ่งนี้สามารถสร้างความแปลกประหลาดอย่างที่สุดให้กับทุกๆ คนในโรงอาหารแห่งนี้ให้ตกตะลึงไปตามกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะรุ่นพี่ผู้ที่มาเพื่อแก้แค้น แต่กลับถูกรุ่นน้องผู้นี้ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างมากมายเหลือคณานับ สร้างความเดือดดาลให้กับเขายิ่งเข้าไปใหญ่ “สัสเอ๊ย!!!” ไม่ใช่แค่ติ๊กคนเดียวที่มิอาจทนความยียวนกวนประสาทของชายคนนี้ไหว รุ่นพี่คนนี้ก็ไม่อาจทานทดได้เช่นกัน ทว่า สิ่งที่ตามมามิได้มีเพียงเสียงตะโกนด่า แต่มันกลับมาพร้อมกำปั้นซ้ายที่ตรงเข้ามายังใบหน้าของกันอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำ ละอองแสงสีทองยังค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันรอบกายเขาอีก อีกไม่นาน เขาคงจะกลายร่างเป็นตัวอะไรบางอย่างแน่ๆ และหมัดนี้คงจะรุนแรงมากขึ้นหลายเท่าตัวตามอีก“กูจะแดกหวานเย็นโว้ย!!!” ทว่า ผู้ที่แปลงกายได้มิได้มีเพียงคนเดียว มิหนำซ้ำ ชายคนนี้ยังดูชำนาญกว่าเสียอีก ในขณะที่หมัดของรุ่นพี่พุ่งตรงเข้าใกล้ใบหน้าของกันเรื่อยๆ นั้นเอง ทันใดนั้น ละอองแสงสีทองก็ได้เข้ามาปกคลุมร่างของเขาอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้กันสามารถแปลงเป็นร่างลิงขาวก่อนอีกฝ่ายเสียอีก และดูเหมือนว่า สัญชาตญาณของเขาก็รวดเร็วขึ้นตามเช่นกันอีกด้วย ไม่รีรออะไรทั้งสิ้น แม้ว่าหมัดนี้กำลังจะเข้ากระทบหน้าของเขาอยู่รอมร่อภายในไม่ถึงเสี้ยววินาทีแล้วก็ตาม แต่เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ลิงขาวผู้นี้กลับใช้พลังทั้งหมดยิงก้อนน้ำแข็งซีดๆ อดีตหวานเย็นอันหวานฉ่ำออกจากปาก ก่อนจะแตกกระจายเข้าใส่ตาขวาของรุ่นพี่ผู้นี้โดยไม่ทันให้ตั้งตัว พลอยทำให้หมัดที่พุ่งเข้ามานี้พลาดเป้าลอยเฉี่ยวหัวกันไปอย่างฉิวเฉียด อันเป็นผลจากจากก้อนน้ำแข็งที่บดบังทัศนะวิสัยข้างหน้าของรุ่นพี่ผู้นี้นั่นเอง“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!!” ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ใช้มือเช็ดก้อนน้ำแข็งผสมคราบน้ำลายบนนัยน์ตานี้ออกได้หมด รุ่นน้องผู้นี้ก็ยังหวังดี กระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ พร้อมกระโดดเตะ ส่งบาทาขวาเข้าใส่ใบหน้าของรุ่นพี่อย่างแรงเป็นของแถม สร้างเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกเป็นระลอกใหญ่เลย“ไอ้จักร!!!” ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอยและเสียงซุบซิบ กันคงเห็นว่าเป็นโอกาสดีหรือกระไร จึงขอใช้เวลานี้ประกาศศักดาให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน เท้าขวาของเขาเหยียบลงบนโต๊ะของโรงอาหาร แขนซ้ายวางเอาไว้บนต้นขา แล้วจึงตะโกนเสียงดังกึกก้องออกไปพร้อมทรงผมและรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของเขาว่า“ชื่อของกูคือกิตติ เหมันต์วงศ์!!! ชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้!!!” ในระหว่างที่กำลังสนุกกับคนอื่นๆ นับสิบในที่นี้นั้น เขากลับหารู้ไม่ว่าสหายรักอย่าง ติ๊กได้เดินจรจากไปเสียแล้ว ขณะนี้เอง หนุ่มแว่นคนนี้กำลังเดินตรงไปเรื่อยๆ เพื่อหนีให้ไกลจากโรงอาหารแห่งนี้ที่สุด พร้อมใบหน้าอันเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ทั้งยังแฝงความโกรธเมื่อครู่เข้าไปนิดๆ เสียอีก ซึ่งสาเหตุคงไม่ใช่อื่นใด นอกจากตัวเพื่อนคนนี้นี่เอง“วู้ววววววววววววววว” เสียงโห่ร้องแห่งความยินดีของนักเรียนหลายสิบคนดังลั่นขึ้นทั่วทั้งโรงอาหาร ดังถึงหูติ๊กที่เริ่มเดินห่างออกไปทุกที เสียงที่มาจากศัตรูคู่แค้นอย่างกัน กลับยิ่งทำให้ติ๊กโกรธขึ้นอีกเป็นเท่าตัว จนถึงกับต้องระบายด้วยการใช้มือขวาทุบเสาปูนสีขาวข้างๆ อย่างแรงด้วยความโกรธที่สุด“เป็นเพราะมึง...” ติ๊กเริ่มพูดกับตัวเอง “เพราะมึงคนเดียว...”/มันก็เปรียบเสมือนสายลมล่ะนะ/ และยังคงทำให้เขานึกย้อนกลับไปยังคำพูดของกัน“ชีวิตวัยรุ่นเหี้ยไรของมึง!!!” แต่ถึงกระนั้น ความโกรธภายในใจของติ๊กก็ยังมีคนมองดูอยู่ไกลๆ ชายร่างใหญ่ยักษ์ผู้กำลังนั่งพาดขาอยู่บนม้านั่งไม้สีเขียวด้านหลัง สายตาที่ล่องลอยดั่งคนโรคจิต กำลังจ้องมองติ๊กพลางพ่นควันโขมงสีแดงแสนประหลาดออก จากปาก ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแสยะเล็กๆ เมื่อเห็นกันในร่างมนุษย์กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาติ๊ก“เล่นกับใครไม่เล่นนะ ไอ้พวกเด็กเหี้ย”
โปรดติดตามบทถัดไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ