วัยรุ่นหิมพานต์
7.9
เขียนโดย โชจัง
วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 19.15 น.
20 บท
38 วิจารณ์
26.10K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) สุวัฒนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หากจะบอกว่านี่คือนรกของจริงก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางใด สิ่งเดียวที่เห็นคงมีเพียงภาพแห่งความสิ้นหวังสุดเวทนาเท่านั้น ทั่วทั้งอาณาบริเวณโดยรอบแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่ถูกเพลิงสีดำทมิฬจนแทบจะกลมกลืนไปกับความมืด แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเศษหินดินทรายหรือกระทั่งซากศพมนุษย์ที่ม้วยมรณาอยู่บนพื้นดิน เหลือเพียงแต่เศษเถ้าธุลีเท่านั้น ที่สำคัญคือ มันแทบไม่มีทีท่าว่าจะดับลงง่ายๆ เสียด้วย ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกทำลายลงอย่างช้าๆ ในความมืดมิดแห่งรัตติกาล ทว่า ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำนี้ กลับยังมีเสียงลมหายใจและชีพจรของมนุษย์เต้นเป็นจังหวะ พอเป็นความหวังหลงเหลืออยู่บ้าง ด้วยการที่มันเป็นเปลวเพลิงสีดำ จนกลมกลืนไปกับท้องฟ้ายามราตรีได้อย่างแนบเนียน ทำให้มีเพียงแสงจันทร์บนฟากฟ้าเท่านั้น ที่คอยส่องแสงสว่างเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นเงาของชายทั้งสองคนนี้ ผู้ซึ่งกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงนี้“แล้ว... คำว่าเพื่อน? คำว่ามิตรภาพที่มึงพูดนักพูดหนาน่ะ มันเป็นงี้เหรอวะ!?”“ยังไงซะ ชะตากรรมของเรามันก็ต้องสู้กันอยู่แล้วนี่หว่า” อีกฝ่ายเอ่ย “แล้วก็อีกอย่าง ใครกันวะที่เป็นเพื่อนมึง?”“อัน...” “...”“พอเถอะ!!!”“หุบปาก!!!” ชายผู้มีนามว่าอัน คงจะไม่สามารถอดทนกับคำพูดของอีกฝ่ายได้อีกต่อไป จู่ๆ เขาก็ยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลายเส้นคล้ายลายไทยค่อยๆ ปรากฏเต็มทั่วแขนข้างนั้น พร้อมเปล่งประกายแสงสีม่วงจนเห็นชัดเจนในยามวิกาล ไร้ซึ่งเหตุผลอันใดมารองรับถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เลยซักนิด ด้วยอำนาจอะไรบางอย่างในมือข้างนั้น มันได้นำพาแผ่นเหล็กสีดำด้านรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ยักษ์ถึง ๒ แผ่น เป็นดั่งใบมีดอันแหลมคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า และที่สำคัญคือ รอบๆ นั้นเปล่งแสงสีม่วงส่องสว่างเหมือนกับที่แขนข้างนั้นไม่มีผิด มันบินร่อนฉวัดเฉวียนไปมากลางอากาศ หมุนควงรอบทิศทางดั่งใบพัดด้วยความเร็วสูง พุ่งทะลวงออกมาผ่านเปลวเพลิงข้างหลังของชายอีกคนภายในไม่กี่อึดใจ แต่ก่อนที่จะไหวตัวทัน ก็ช้าไปเสียแล้ว “ฉัวะ!!!” และแล้ว แผ่นเหล็กทั้งสองซึ่งตอนนี้งถูกเพลิงสีดำลุกไหม้อีกทอดหนึ่ง ก็ได้พุ่งเฉือนเข้าใส่ที่กลางแผ่นหลังของชายคนนั้นอย่างรุนแรงถึงที่สุด“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก” โลหิตสีแดงฉานไหลพุ่งออกมาจากบาดแผลทั้งสองจุดที่กลางหลังดั่งน้ำพุ มันคงจะเฉือนเข้าไปที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณแผ่นสันหลังจนฉีกขาดเป็นแน่ แน่นอนว่ามันสามารถสร้างความเจ็บปวดแสนทรมานได้เป็นอย่างดีทีเดียว ไม่สามารถฝืนได้อีกต่อไป ชายคนนั้นถึงกับต้องล้มคุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความทรมานชนิดที่ว่าไม่สามารถหาอะไรมาเปรียบเทียบกันได้เลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน แผ่นเหล็กที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงทั้งสอง ก็ได้ลอยขึ้นเหนือหัวของอันโดยไม่ทำอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ประหนึ่งว่าเขาสามารถควบคุมมันได้ยังไงยังงั้น“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ชายคนนั้นได้แต่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนที่สุด ใช้แขนขวาค้ำร่างเอาไว้ก่อนจะร่วงสู่พื้นอย่างเต็มกลืน“เจ็บเหรอ” อันค่อยๆ เดินมาหาเขาพร้อมแผ่นเหล็กทั้งสองที่ลอยตามมาดั่งบริวาร“กัน”“อัน...” ชาย ผู้มีนามว่ากันค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา “นี่ต้องสู้กัน...”“ถ้าเป็นเพื่อนกูจริงก็น่าจะรู้นี่นะว่ากูเป็นคนยังไง” อันจับคอเสื้อของกันเอาไว้ ยกตัวเพื่อนคนนี้ขึ้นมา พร้อมกับแผ่นเหล็กที่ลอยไปจ่อยังคอของอีกฝ่ายแล้ว “ทีนี้ก็...”“แต่ในฐานะเพื่อน” ทว่า ลายเส้นแบบเดียวกับอัน ก็ได้ปรากฏขึ้นมารอบปากของกัน พร้อมเปล่งแสงสว่างสีเขียวสดใสขึ้นมา “กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนอย่างงี้”“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!” เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้พลันหายไปในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มันเป็นเหมือนดั่งฝันที่คนๆ หนึ่งมักนึกคิดยามหลับใหล ก่อนจะสลายหายไปในทันทีเมื่อลืมตาตื่น เป็นเช่นนั้นจริงๆ ณ ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวดูซอมซ่อแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งพึ่งจะลืมตาตื่นจากภวังค์ด้วยอาการตกใจจนถึงกับต้องสะดุ้งทั้งตัวขึ้นมาบนเตียงไม้สีขาวขนาดเล็ก เขาหอบหายใจอยู่ซักระยะ ค่อยๆ ใช้มือขวาป้ายไปบนหน้าผาก ก่อนจะพบว่ามือข้างนั้นติดน้ำเหงื่อชุ่มฉ่ำทีเดียว ทว่า นอกจากเหงื่อแล้ว หลังมือนี้ยังถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาวอีกด้วยคล้ายสัตว์ป่าอีกด้วย“เมื่อไรจะลืมลงวะเนี่ย..." หลังจากนั่งครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ซักพัก เขาค่อยๆ หย่อนเท้าทั้งสองข้างลงมายืนบนพื้นห้อง เดินไปยังหน้าต่างแคบๆ ข้างหน้า แล้วจึงใช้มือซ้ายรูดม่านสีขาวออกไป เปิดให้แสงอรุณยามเช้าลอดผ่านกระจกบานนั้นเข้ามาในห้อง เพื่อรับแสงสว่างในรุ่งอรุณของวันนี้“ช่างแม่งเหอะ” ทว่า แผ่นหลังของชายคนนี้ช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยขนหนาสีขาว ยกเว้นบริเวณมือกับเท้าดั่งลิงตัวหนึ่ง ในขณะที่บริเวณสะโพกของเขา ก็ยังมีหางยาวๆ ยื่นออกมาอีกด้วย ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนเลยว่าชายคนนี้ไม่น่าใช่มนุษย์แน่นอน แต่มองอีกมุมหนึ่ง ด้วยสติปัญญาและคำพูดเช่นนี้ก็คงมิใช่สัตว์ป่า แล้วเขาเป็นอะไรกันแน่? แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บริเวณกลางแผ่นหลังของเขา กลับมีรอยแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่รูปกากบาทปรากฏอยู่อย่างน่าเกรงขาม พอจะบอกได้ว่า เขาคนนี้แหละเป็นคนเดียวกับในฝันเมื่อครู่นี้ และดูจากสายตาคู่นี้ ชายหนุ่มคนนี้คงจะพยายามละทิ้งความฝันนั้นไว้ข้างหลัง เลือกที่จะมองออกไปยังแสงตะวันข้างหน้า อันเป็นปัจจุบันในตอนนี้นั่นเอง“สุวัฒนาเหรอ...รอก่อนเถอะ”
วัยรุ่นหิมพานต์ บทที่ ๑ ปฐมบทตำนานหิมพานต์
“อโยธยา รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อเรา” ทำนองเพลงอันคุ้นหูดังกึกก้องไปทั่วทุกหนแห่ง เป็นดั่งสัญญาณอันดีสำหรับชาวเมือง ว่าขณะนี้ได้เวลาเคารพธงชาติแล้ว มันดังออกมาจากลำโพงสีดำ ๒ ตัว ตั้งอยู่คนละฟากฝั่งของเวทีปูนขนาดใหญ่ ถูกปูทับด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีแดงเข้มตัดกับขอบสีดำช่วยเพิ่มความงดงามแห่งหนึ่ง แท่นเชิญธงหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณมุมขวามือหน้าเวทีแห่งนี้ เพื่อรองรับให้เสาธงเหล็กสูงเท่าตึก ๔ ชั้น สามารถตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางอย่างงามสง่า พร้อมด้วยธงชาติอโยธยาบนยอดนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกับรูปธงชาติไทย แต่กลับมีรูปช้างเผือกสามเศียร หรือก็คือช้างเอราวัณ พาหนะของพระอินทร์ ยืนยกขาขวาประดับอยู่ข้างหน้าอย่างโดดเด่น มันกำลังถูกชักขึ้นไปสู่ยอดอย่างช้าๆ คลอไปกับเสียงเพลงนี้ ขณะที่เสียงเพลง ก็มิได้ดังออกมาจากลำโพงทั้งสองตัวนี้แต่เพียงเท่านั้น เพราะบริเวณใกล้ๆ กันนี้เอง ยังมีอีกหลายเสียงที่ขับร้องออกมาอย่างกึกก้องไม่แพ้กัน มันดังออกจากปากของหนุ่มสาวจำนวนมากมายหลายร้อยคนที่กำลังยืนเรียงกันอยู่อย่างแน่นขนัดบนลานปูนสีเขียวข้างล่างเวที พวกเขาทั้งหลายเหล่านี้ ดูแล้วน่าจะอยู่ในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต สังเกตจากชุดเครื่องแบบ ที่เป็นเสื้อนักเรียนสีขาวใส่กับโจงกระเบนสีดำ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคงจะเป็นนักเรียนมัธยมไม่ผิดแน่ ส่วนกลุ่มคนในวัยกลางคนค่อนไปทางแก่ที่คอยยืนเฝ้าอยู่ข้างสนาม ในชุดมหาดเล็กสีขาวกับโจงกระเบนสีดำ ก็คงจะเป็นเหล่าคณาจารย์แน่ๆ“ทวีมีชัยชโย” บทเพลงจบลงพร้อมกับธงที่ชักขึ้นจนสุดยอดอย่างเหมาะเจาะ เหล่านักเรียนก้มโค้งคำนับและถอนสายบัวให้กับเสาธงอย่างพร้อมเพรียง แสดงถึงความจงรักภักดีต่อชาติของคนหนุ่มสาวได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ทว่า หลังจากนั้น เสียงโหวกเหวกโวยวายจากปากนับร้อยก็ค่อยๆ ดังเข้ามาแทรกแทนที่เสียงเพลงเมื่อครู่ในบัดดล“@#$%^&*()_(*&^%#” ขณะเดียวกันนั้นเอง ชายแก่รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง สวมชุดเครื่องแบบเหมือนกับอาจารย์ข้างล่าง ดูๆ แล้วน่าจะอยู่ในวัยใกล้ปลดระวางเต็มที มีจุดเด่นที่ผิวคล้ำๆ กับแว่นตาทรงกลมโต รวมถึงผมทรงทุ่งหมาหลงหงอกๆ บนหัว เขากำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ กับรอยยิ้มกริ่ม ตรงมายังแท่นวางไมโครโฟนไม้ข้างหน้า ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมใช้มือขวาจับไมโครโฟนตัวนี้“ขอเชิญ ผู้อำนวยการ ปราชญ์สุรักษ์ วิวัฒนาครับ” นักเรียนคนหนึ่งที่ยืนถือไมโครโฟนดำอยู่หลังเวทีกล่าวกับนักเรียนคนอื่นๆ “นักเรียนเคารพ!!!”“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งหมดดูเหมือนจะรู้งาน พนมมือไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน“สวัสดีครับ” ปราชญ์สุรักษ์ยิ้มบอก “ลูกๆ ครับ ถือเป็นฤกษ์งามดีที่วันนี้ เป็นวันแรกของภาคเรียนใหม่ของพวกเรานะครับ สำหรับลูกๆ ม.๑ ม.๔ ทุกคน ที่พึ่งย้ายมาใหม่ ก็ขอชมเชยนะครับที่สามารถสอบเข้า มาเป็นน้องใหม่ของ...” แต่ในเวลาเดียวกันนี้เอง ในขณะที่ปราชญ์สุรักษ์หรือผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ กำลังกล่าวโอวาทให้กับ นักเรียนทั้งหมด กลับมีนักเรียนคนหนึ่งที่มิได้มีส่วนร่วมด้วยเลยแม้แต่น้อย เพราะขณะนี้ เขากำลังนั่งทำธุระระดับชาติอยู่บนชักโครกสีขาว ในห้องส้วมสาธารณะสีส้มแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าฟังจากเสียงของปราชญ์สุรักษ์ที่ดังเข้ามาถึงนี่แล้ว ห้องส้วมนี้คงเป็นห้องส้วมโรงเรียนแน่ๆ ผู้ที่กำลังทำธุระอยู่คือ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้านั้นขาวผ่องไร้ซึ่งสิวเสี้ยนใดๆ ทั้งสิ้น ไว้ผมลองทรงสูงสั้นๆ ตามระเบียบ สวมแว่นทรงกลมเหมือนกับจอห์น เลนน่อนเป็นเอกลักษณ์ ดูจากรูปพรรณสัณฐานแล้วน่าจะอยู่ในระดับหล่อแน่นอน ถ้าหากใบหน้าของเขาไม่เคร่งเครียดอมทุกข์ตลอดเวลาไปเสียก่อน แต่นั่นก็ไม่แปลกสำหรับคนที่กำลังทำธุระอยู่ในเวลาแบบนี้หรอก/วันนี้อีกแล้วเหรอวะ.../ หนุ่มแว่นคิดในใจพลางมองขึ้นไปบนเพดานสีขาว /เฮ้ออ/ เสียงกดน้ำทิ้งที่ดังลั่นออกมาจากห้องส้วมสีส้มนี้ เป็นดั่งสัญญาณว่า ผู้ใช้นั้นได้ขับถ่ายสิ่งปฏิกูลทั้งหลายลงท่อจนหมดสิ้นแล้ว และคงไม่มีเหตุผลอันใดให้อยู่ในสถานที่เหม็นๆ แห่งนี้อีกต่อไป“แอ๊ดดดดดด” ประตูห้องน้ำถูกปลดกลอนและค่อยๆ แง้มออกมาทีละนิด ปรากฏเป็นภาพของหนุ่มแว่นกลม ที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดตามเคย แม้ว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของมนุษย์แล้วก็ตาม ทว่า ตัวเขาเองกลับต้องมาประสบพบเจอกับปัญหาใหญ่ครั้งใหม่ ที่จะทำให้หน้าตาของเขาได้เครียดสมใจแน่ๆ/.../ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้น คงจะอยู่เหนือจินตนาการของเขาแน่ๆ เหล่านักเรียนชาย ผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่แลดูดิบเถื่อนถึง ๕ คน กำลังยืนกระจัดกระจายอยู่โดยรอบห้องน้ำแห่งนี้ พร้อมมวนบุหรี่ที่คีบเอาไว้ในปาก พลางปล่อยควันพิษออกมาเป็นระยะๆ และเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูออกมา พวกเขาก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันพุ่งความสนใจไปที่แขกไม่ได้รับเชิญคนนี้ นั่นคือสิ่งที่นักเรียนผู้โชคร้ายได้ประสบอยู่นั่นเอง“...” ไอ้หนุ่มแว่นยังพอรวบรวมสติได้ ขณะที่สายตาทุกดวงพุ่งเป้ามายังตัวเขาคนเดียว เขาเริ่มคิดได้ว่าถ้าเดินออกไปจากที่นี่เงียบๆ แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากการมาปลดทุกข์ ก็คงไม่ก่อปัญหาบานปลายให้กับตนเองอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ เขาจึงค่อยๆ ย่างเท้าเดินตรงไปยังประตูที่เปิดอ้าข้างหน้าช้าๆ เป็นดั่งแสงสวรรค์สุดท้ายสำหรับคนดวงตกอย่างเขานั่นเอง ทว่า แค่เพียงหนุ่มแว่นก้าวเท้าออกไปเพียงก้าวเดียว ยังไม่เลยแม้แต่ประตูห้องส้วมนี้เสียด้วยซ้ำ หนึ่งในกลุ่มนักเรียนคนหนึ่ง ผู้มาพร้อมใบหน้าปรุๆ เหมือนเพิ่งโดนสิบล้อชนเข้าใส่ ก็เริ่มแสยะยิ้มชั่วร้ายเหมือนดั่งว่าเพิ่งจะคิดแผนชั่วร้ายได้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทันทีที่หนุ่มแว่นก้าวเท้าออกไป ไอ้หน้าปรุก็รีบก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยื่่นตัวออกไปขวางหน้าหนุ่มแว่น ทั้งๆ ที่เขาพยายามจะหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุดแท้ๆ เป็นเหตุให้ทั้งสองเป็นต้องชนกันอย่างจังในที่สุด“!!!” ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ไอ้หน้ากระปอมยังทำทีปล่อยบุหรี่ออกจากปากให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นข้างล่าง ปลายมวนที่กำลังมอดไหม้จึงดับลงไปกับพื้นกระเบื้องเปียกๆ แฉะๆ ในทันที หนุ่มแว่นได้แต่ตกตะลึงกับสิ่งที่ไม่คาดคิด ขณะที่คู่กรณี ก็มีเรื่องสำหรับใช้ในการหาเรื่องชายผู้น่าสงสารคนนี้แล้ว“ไอ้แว่น!!!” ไอ้หน้าปรุตะคอกใส่หน้าหนุ่มแว่นเสียงดังด้วยท่าทีเดือดดาลถึงขีดสุด “นี่มึงทำเหี้ยไรของมึงเนี่ย!!!” แต่หนุ่มแว่นยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น“เงียบหาพ่อมึงเหรอ!!!” เมื่อคำตอบออกมาเป็นเช่นนั้น ชายคาบบุหรี่จึงขออนุญาตต่อยขวาใส่หน้าหนุ่มแว่นเต็มๆ จนอีกฝ่ายถึงกับเซไปข้างหลังทีเดียว “ตอบมา!!!”“เฮ้ยน้อง” เพื่อนคนอื่นๆ เริ่มเข้ามาสมทบ “ความจริงพี่ก็ไม่ได้อยากหาเรื่องน้องหรอก แต่ถ้ามึงเดินออกไปเงียบๆ เอาเป็นว่าไม่มีไรเกิดขึ้นที่นี่ละกัน เข้าใจนะ?” ทว่า ถึงสถานการณ์จะเป็นใจให้หนี แต่หนุ่มแว่นก็ยังคงยืนหยัดอยู่ที่นี่โดยไม่ไปไหนทั้งสิ้น พร้อมกับคำพูดที่ยังคงเงียบงันอยู่ภายในใจ รวมถึงใบหน้านิ่งๆ ที่อาจจะไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของเหล่านักเลงพวกนี้ จนไปบันดาลโทสะให้คู่กรณีได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว“กูถามว่าเงียบหาพ่อมึงเหรอ!!!” ไอ้หน้าปรุที่โกรธเดือดดาลไปทั้งตัว ต้องการจะหาที่ระบายเต็มทีแล้ว ทันใดนั้น หมัดขวาที่กำรอเอาไว้แน่น จึงเขวี้ยงเข้าใส่ใบหน้าของหนุ่มแว่นเต็มๆ ขนาดที่ว่าแค่ทีเดียวก็แทบจะล้มกองไปนอนกับพื้นเลยทีเดียว และหลังจากได้ลงหมัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไอ้หน้าปรุกับผองเพื่อนจึงพร้อมใจกันหัวเราะสะใจเสียงดังสนั่นด้วยความสะใจ พร้อมกับกำหมัดเตรียมหมัดถัดไปในทันที ทว่า จู่ๆ เขากลับต้องชะงักไปในทันที เมื่อพบว่า หนุ่มแว่นที่เพิ่งต่อยไปเมื่อกี้ ได้หันกลับมาพร้อมใบหน้าที่กลายเป็นสีเขียวกับนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดหมูรวมถึงสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้นมาอีกหน่อย เหมือนกับว่า เขาพร้อมที่จะได้เอาคืนให้สมน้ำสมเนื้อแล้วกับคนพวกนี้
“ดังนั้น ขอให้จำไว้ว่าเราเป็นพี่น้องเดียวกันทั้งโรงเรียนนะครับ” คำพูดของปราชญ์สุรักษ์ช่างย้อนแยงกับสิ่งที่หนุ่มแว่นต้องเจอยิ่งนัก “ขอบคุณครับ”“นักเรียน...” ตัดกลับมาที่เสาธง เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวจบ ก็ถึงเวลาที่นักเรียนผู้รับฟังต้องทำความเคารพแล้ว ทว่า หลังจากประธานนักเรียนซึ่งกำลังยืนบนเวที ได้กล่าวให้นักเรียนคนอื่นๆ เตรียมพนมมือไหว้ปราชญ์สุรักษ์ ทุกคนพนมมือตามก็จริง แต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ กลับเป็นเสียงสนทนาของนักเรียนนับร้อยบนลานกว้างแทนซะอย่างงั้น มันก็เป็นธรรมดา เพราะคำพูดหน้าเสาธงนั้นเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อ ซ้ำบางวันอากาศยังร้อน ก็ต้องจำยืนทนสู้แดดอีก คงมีเพียงแต่นักเรียน ม.๑ ที่กำลังอยู่ในวัยเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้นที่จะทนได้ สิ่งที่พวกเขาเหล่าวัยรุ่นทำได้นั้น มีเพียงการคุยกันให้ลืมความน่าเบื่อหนายเท่านั้น ทว่า นั่นก็ทำให้ ปราชญ์สุรักษ์ดูจะไม่พอใจกับการกระทำของเหล่านักเรียนเป็นอย่างมากเสียเลย และทันใดนั้นเอง ละอองแสงสีทองจากที่ไหนซักแห่งก็ค่อยๆ ลอยเข้ามาปกคลุมรอบตัวปราชญ์โดยไร้สาเหตุใดๆ มารองรับทั้งสิ้น เขายื่นหน้าไปใกล้ๆ ไมโครโฟนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งที่ต้องสั่นสะท้านทั้งโรงเรียนนี้อย่างแน่นอน“ลูกครับๆ” เป็นประโยคเดิมๆ ทว่า สิ่งที่ตามมานั้นไม่เหมือนเก่า เพราะทันทีเมื่อปราชญ์สุรักษ์กล่าววลีนี้ออกไป อำนาจจากปากของชายแก่คนนี้ ก็ได้สั่งการให้นักเรียนทั้งหมดถึงกับต้องหยุดการเคลื่อนไหว ชะงักไปกับที่ทุกคนอย่างง่ายดาย แต่นั่นคงไม่แปลกเท่ากับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของปราชญ์สุรักษ์ในตอนนี้หรอก“ครูมีอะไรจะแจ้งให้ทราบอีกซักเรื่องครับ” ขนหงอกสีเทาปกคลุมทั่วร่าง ยกเว้นเพียงบริเวณอุ้งมือสองข้างกับใบหน้า ผมทรงทุ่งหมาหลงงอกยาวออกไปจนถึงจอนรอบคาง มันงอกยาวเยอะกว่าบริเวณอื่นจนกลายเป็นดั่งแผงคอของราชสีห์อันสง่างาม เล็บมือทั้งสิบงอกออกมา กลายเป็นกรงเล็บแหลมคมดั่งสัตว์ป่านักล่า ใบหน้าของเขายื่นยาวออกมาข้างหน้า กลายเป็นใบหน้าของราชสีห์ทั้งหมด ยกเว้นนัยน์แต่นัยน์ตาอันน่าเกรงขาม ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกทองเปล่งประกาย ช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ในเวลานี้ เขาไม่ใช่ทั้งมนุษย์ ไม่ใช่ทั้งราชสีห์ เขาคือสิ่งมีชีวิตที่รวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน หรืออีกนามหนึ่ง "นรสิงห์" ทว่า หลังจากปราชญ์สุรักษ์ได้แปลงกายตนเองเป็นนรสิงห์ กลับไม่มีใครตกใจแตกตื่นแม้ซักคน เสมือนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันอย่างไรอย่างงั้น และแม้แต่ตัวปราชญ์สุรักษ์เอง ก็คงตั้งใจที่จะทำเช่นนี้อยู่แล้วด้วย“สถานที่แห่งนี้คือสถานศึกษาอันมีตำนานมายาวนานกว่าร้อยปี สร้างบุคลากรสำคัญให้โลกหิมพานต์มาหลายรุ่นหลายคน อบรมสั่งสอนทั้งศาสตร์และศิลป์แห่งพลังหิมพานต์อันศักดิ์สิทธิ์” ปราชญ์สุรักษ์กล่าวต่อในขณะที่นักเรียนได้แต่ยืนฟังไม่ขยับเขยื้อน “และสิ่งสำคัญคือ เรายังสอนคนให้เป็นคนดี คิดดีทำดี เป็นประโยชน์ให้แก่สังคมสืบต่อไป ตามปรัชญาโรงเรียนที่ว่าไว้ว่า กระทำดี มีศีลธรรม ดังนั้นครูจึงขอให้จำไว้ว่าเราเป็นพี่น้องเดียวกันทั้งโรงเรียนนะครับ ลูกๆ ครับ”“นะ... นักเรียน” หลังจากปราชญ์สุรักษ์กล่าวจบ ประโยคนี้ก็ดูจะเป็นผลให้นักเรียนทั้งหมดสามารถขยับเขยื้อนได้อีกครั้งหนึ่ง ทว่า ถึงแม้จะเป็นอิสระ ทุกคนกลับเหนื่อยหอบด้วยเหงื่อที่ไหลชโลมทั่วตัว เหมือนเพิ่งผ่านความทรมานอย่างไรอย่างงั้น และเมื่อกรรมการนักเรียนกล่าวทำความเคารพอีกครั้ง ทุกคนเองก็คงไม่อยากอยู่ในสภาพนั้นอีกเป็นแน่ คราวนี้ พวกเขาต่างพนมมือเตรียมไหว้อย่างพร้อมเพรียง ไม่ขัดขืนหรือออกเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าเพิ่งจะเหนื่อยอย่างหนักมาก็ตาม นั่นทำให้ปราชญ์สุรักษ์ยิ้มกริ่มอีกครั้งในร่างนรสิงห์ เมื่อเห็นเหล่านักเรียนตกอยู่ใต้อาณัติของเขาเสียที“คะ...เคารพ” กรรมการนักเรียนกล่าวอย่างขัดๆ ด้วยความหวาดเกรง“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทุกคนกล่าวอย่างพร้อมเพรียงดังลั่นทั้งโรงเรียน“ขอบคุณครับลูกๆ” ปราชญ์สุรักษ์ยิ้มบอกพร้อมพนมมือขึ้นมา “เปิดภาคเรียนใหม่นี้ขอคุณพระศรีรัตนตรัยให้ลูกๆ มีแต่ความสุขความเจริญในชีวิต ไร้ซึ่งทุกข์โศกใดๆ ตั้งใจหมั่นเพียรเรียนหนังสือ สามารถใช้พลังความรู้ทั้งหมด ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ขอให้เทพเจ้าทั้งหลายคุ้มครองลูกๆ สาธุนะครับ”“สาธุ” นักเรียนของเขาพนมมือรับพรอย่างพร้อมเพรียง“แล้วก็ ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนสุวัฒนา” ถึงปราชญ์สุรักษ์จะให้พรกับทุกคนในโรงเรียนนี้ไปแล้ว ทว่า กลับยังมีนักเรียนสุวัฒนาคนหนึ่งที่พลาดโอกาสนี้ เพราะในขณะเดียวกันนี้เอง เขากลับได้แต่นั่งหมดสภาพพิงกำแพงอยู่ในห้องน้ำ พร้อมกับรอยแผลฟกช้ำเต็มใบหน้ากับเลือดกำเดาที่ค่อยๆ ไหลออกมา และถึงแม้ร่างของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั้งร่าง เหมือนกับการแปลงกายของปราชญ์สุรักษ์แล้วก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย กลับเหมือนการแสดงปาหี่ที่ช่วยเพิ่มความน่าเกรงขามเท่านั้น ละอองแสงสีทองค่อยๆ ลอยเข้ามาปกคลุมร่างของเขา เป็นผลให้หนุ่มแว่นกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์สีผิวปกติตามเดิมอีกครั้ง หลังจากนั่งเจ็บมาได้พักหนึ่งแล้ว เขาจึงค่อยๆ ใช้แขนขวายันอ่างล้างหน้ากระเบื้องด้านบนขึ้นมา พยุงตัวขึ้นมายืนอีกครั้ง ก่อนจะพบกระจกบานใหญ่รูปสี่เหลี่ยมข้างหน้า เขาถอดแว่นอันเป็นเอกลักษณ์ลงบนอ่างล้างหน้า จ้องมองไปยังรูปสะท้อนบนใบหน้าของตนอยู่นานเสมือนต้องการคำตอบว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ และทำไมต้องอยู่ในที่แห่งนี้ ทำไมต้องอยู่ในสุวัฒนาด้วย“กิ๊งก่องๆๆๆ” เสียงออดดังสนั่นทั่วโรงเรียนสุวัฒนา เป็นสัญญาณสำคัญว่าได้เวลาหมดคาบเรียนแล้ว ณ ห้องเรียนสีขาวขนาดใหญ่ห้องหนึ่งในสุวัฒนา เต็มไปด้วยเหล่านักเรียนวัยรุ่นไม่ว่าหญิงหรือชายมากมายหลายสิบคนทั่วห้อง ไม่ว่าจะเดินไปเดินมา ยืนอยู่เฉยๆ หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หรือโต๊ะไม้เนื้อดีสีน้ำตาลอ่อน วางเป็นคู่ๆ อย่างเป็นระเบียบทั่วห้องด้วยจำนวนมากมายถึง ๕๐ ตัว เลยทีเดียว และบริเวณหลังสุดของห้องนั้นเอง ที่โต๊ะหลังสุดแถวที่ ๒ นับจากทางหน้าต่าง นักเรียนชายสองคนก็กำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่“เอ่า” คนทางขวาเป็นนักเรียนชายท่าทางใจเย็น ไว้ทรงสกินเฮด “งั้นแสดงว่ามึงกับนัทก็?”“ก็อย่างว่าแหละ” อีกคนหน้าตาหล่อเหลา ใส่เหล็กดัดฟัน “มีรักก็ต้องมีเลิก เหอๆๆ”“หน้าตามึงแลดูไม่เศร้าเลยเนอะ” คนทางขวาประชด “แล้วมึงเอาไงต่อเนี่ย กฤต”“เอาน่า ซัน” กฤตยิ้มบอกตามเคย “ขึ้น ม.๔ มันก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เนื้อคู่น่ะมันอาจยังไม่มาตอนนี้หรอก แต่ถ้าอยากมีน่ะ ก็ไปซื้อที่ตลาด เหอๆๆ” “ตามใจมึงเหอะ ไอ้หล่อเลือกได้” ฟังเหมือนประชด แต่ก็มีข้อถูกอยู่ “แล้วนี่กูต้องนั่งข้างมึงไปอีก ๓ ปีใช่มั้ยเนี่ย?”“หรือมึงจะไปนั่งกับ...” กฤตชี้ไปที่โต๊ะทางขวามือ “นั่นไง” และแล้ว นักเรียนชายคนหนึ่งผู้ซึ่งกำลังหิ้วกระเป๋าย่ามสีดำ ก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้อีกคนผ่านช่องประตูหลังห้อง เขาไม่ใช่ใครอื่นใด หนุ่มแว่นผู้โดนซ้อมเมื่อครู่นี้นี่เอง“ติ๊ก!!! เพื่อนรัก” ทันใดที่กฤตเห็น เขารีบลุกออกจากเก้าอี้ไปโผกอดหนุ่มแว่นคนนี้อย่างรวดเร็ว “อยู่ห้องนี้ด้วยเหรอ!!!”“อือ” ติ๊กเดินไปนั่งลงบนโต๊ะข้างหน้าโดยไม่แยแสปฏิกิริยาของกฤษแม้นซักนิด นั่นทำให้กฤตแทบจะล้มลงในทันที“โธ่ ติ๊ก” กฤตลุกขึ้นมายืนข้างติ๊กอีกพร้อมทำท่าทีเหมือนเบ่งน้ำตา “นี่รู้มั้ย ฮึก ว่านี่เราไม่เจอกันตั้งกี่เดือน... เราคิดถึงนายมากแค่ไหน ซิกๆๆ”“๔ เดือน” ติ๊กตอบหน้าตายตามความจริงใส่กฤต แสดงว่าเขาคงไม่มีอารมณ์เล่นกับเพื่อนคนนี้เป็นแน่“ติ๊ก มึงรู้ป่าวเนี่ยมึงทำฟีลลิ่งกูเสียหมดเลยเนี่ย” กฤตรำพึงรำพันกับติ๊กอีกที “มึงเคยมีอารมณ์แสดงออกมามั้ยเนี่ย? นี่กูอุตส่าห์พยายามให้มึงยิ้มนะเนี่ย”“เออๆ ช่างมันเหอะ” ซันเดินเข้ามาสมทบ “เป็นตั้งแต่ ม.ต้น แล้วนี่ ไอ้นิสัยนิ่งๆ ของมันเนี่ย นึกว่าตัวเองเท่ห์นักเท่ห์หนา นี่ถ้าไม่มีงานวันนั้นกูคิดว่ามันเป็นใบ้แล้วนะเนี่ย”“แล้วก็นะ ติ๊ก มึงคงจะชอบแบบนี้อยู่แล้วใช่มะ แบบป้าเบิร์ด –งไชยอ่ะ”“แบบไรวะ?” กฤษถาม“แบบอยู่เงียบๆ คนเดียว” เหมือนซันจะเล่นมุก“เฮ้อ” ถึงกับทำให้กฤษถอนหายใจอีกเฮือก ทว่า ติ๊กนั้นกลับยังคงเย็นชาโดยไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถึงจะเป็นมุขแป้ก อย่างน้อยก็คงต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบเป็นธรรมดาบ้าง แต่ไม่เลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กฤษกับซันคงต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะคุยกับเพื่อนคนนี้แล้ว“เออๆ เชิญเมิงอยู่คนเดียวเหอะ” กฤษกลับไปที่นั่งตามเดิมพร้อมซัน “ตามสบาย กูไม่เสือกแระ”“บอกแล้ว ปล่อยแม่งคนเดียวไปเหอะ” ซันเดินตามกฤษไป “ใครจะได้นั่งข้างมันวะเนี่ย”/เออ ปล่อยกูไว้แบบนี้แหละดีแล้ว/ ไม่มีแม้แต่อารมณ์เหงาปล่าวเปลี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น เป็นอย่างที่ซันกล่าวไว้เมื่อครู่จริงๆ เย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะหลังจากที่เขามองสำรวจไปรอบๆ ห้องนี้แล้ว รอยยิ้มเล็กๆ ก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเขาในทันที/ห้องวิทย์-คณิตฯ มีแต่คนดี ไม่มีเด็กเก แถมไม่มีคนมากวนข้างๆ อีก/ ติ๊กนั่งคิดคนเดียวอย่างมีความสุข /นี่สิที่ของเรา/“หึๆๆๆ” จู่ๆ ติ๊กก็หัวเราะคนเดียวโดยไม่มีสาเหตุ โดยที่กฤษกับซันได้แต่จ้องมองอยู่ด้วยความงุนงงเท่านั้น“กูว่าแม่งหนักกว่ามึงอีกว่ะ” ซันหันไปบอกกฤษ“ก็ว่างั้นแหละ เหอๆๆ” กฤษเห็นด้วย และจู่ๆ อาจารย์ในชุดมหาดเล็กสีขาวคนหนึ่งก็ได้ก้าวเข้ามาในห้องนี้อย่างรีบเร่ง ดูจากใบหน้าแล้วน่าจะอายุราวสามสิบกว่าๆ รูปร่างนั้นผอมเตี้ย ผิวคล้ำ ใส่แว่นเหลี่ยม ไว้ทรงสกินเฮดกับหนวดเหนือปากนิดๆ ดูแล้วน่าจะเป็นอาจารย์ในคาบนี้แน่ๆ เขาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพร้อมสำรวจไปรอบๆ เหมือนว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่“นักเรียน!!!” นักเรียนชายหน้าห้องพนมมือไหว้พร้อมตะโกนดังลั่น “เคารพ!!!”“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งห้องไหว้อย่างพร้อมเพรียง“สวัสดีครับ” อาจารย์คนนี้ยิ้มบอก “นักเรียน ม.๔/๘ โรงเรียนสุวัฒนาทุกคน ครูชื่อว่าครูชรัส ไพรรักษ์ เป็นครูประจำชั้นของห้องนี้ครับ สอนวิชาเคมี...”/เคมี เยี่ยม!!!/ ติ๊กคิดด้วยความดีใจ /ทีนี้ล่ะ!!!/
แต่ขณะเดียวกันนี้เอง ณ โถงทางเดินของอาคารเรียนชั้น ๔ ที่ทอดยาวเหยียดออกไปข้างหน้า ห้องเรียนมากมายนั้นเรียงรายอยู่ทางขวา ในขณะที่ด้านซ้ายก็มีช่องลมขนาดใหญ่ถูกเจาะเอาไว้ ณ ตอนนี้แทบจะไม่มีนักเรียนคนใดเหลืออยู่แม้ซักคน ซึ่งถ้าดูจากห้อง ๔/๘ ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในคาบเรียนแรก สังเกตได้จากการแนะนำตัวของอาจารย์ ก็พอจะบอกได้ เพราะคงไม่มีนักเรียนคนไหน อยากจะขาดเรียนตั้งแต่ชั่วโมงแรกของปีการศึกษาเป็นแน่ ทว่า ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง ณ บริเวณบันไดที่เชื่อมจากชั้น ๓ ขึ้นมา ชายหน้าปรุที่มีเรื่องกับติ๊กเมื่อครู่พร้อมกับพรรคพวกอีก ๒ คน กลับกำลังเดินไปเดินมาอย่างสบายใจเฉิบ ณ ที่แห่งนี้ พร้อมเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยกับเสียงสนทนาอันดังลั่นชนิดที่ว่าไม่สนใจใครทั้งสิ้น“สัสเอ๊ย!” ชายผู้มาพร้อมหน้าตาไม่สู้ดีแถมวางท่าเป็นหัวโจกตะโกนบอกกับอีกสองคน “เห็นแปลงร่างกูก็นึกว่าจะแน่ นี่ขนาดกูยังไม่ทันแปลงเลยนะเนี่ย!!!”“มึงนี่ก็ชอบหาเรื่องเด็กจังเนอะ เชี่ยเรน” อีกคนบอก “ไม่เบื่อ...?”“เฮ้ย น้อง!” พูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้หน้าปรุก็พบเป้าหมายคนใหม่แล้ว “มานี่เด๊ะ”“นั่นไง ไอ้สัส”“ครับ?” ดูเหมือนรุ่นน้องคนนี้จะว่านอนสอนง่ายกว่าติ๊กเยอะ เพราะถึงแม้เขาจะต้องเดินสะพายกระเป๋า มาเจอะเจอกับรุ่นพี่จอมหาเรื่อง แถมหน้าตาดั่งขอทานเช่นเรนแล้ว ชายคนนี้กลับไม่มีทีท่าตระหนกตกใจใดๆ มิหนำซ้ำยังหยุดอยู่กับที่รอให้เรนเดินมาหาอีกตะหาก “แหม” เรนยิ้มด้วยความพออกพอใจ “ว่าง่ายกว่าไอ้แว่นเมื่อกี้อีกว่ะ”“เอ่อ มีไรครับเพ่” รุ่นน้องถามตรงๆ ถึงเหตุผล “ผมต้องรีบขึ้นเรียนแล้วนา”“ไม่มีไรมากหรอก พอดีกูเห็นว่าผมมึงแม่งเท่ห์ดีว่ะ” ใช่แล้ว สิ่งที่ดูโดดเด่นที่สุดสำหรับรุ่นน้องคนนี้ก็คือทรงผมนั่นเอง มันเป็นทรงรองทรงสูงธรรมดา ทว่า ผมบริเวณกลางหน้าผากที่ไว้ยาวของเขา กลับแหลมขึ้นมาข้างบนตั้งแต่หน้าจรดหลังแบบโมฮอว์ค เสมือนว่า มีเทือกเขาสูงหลั่นทอดตัวยาวตั้งแต่กลางหน้าผากไปถึงท้ายทอย ช่างเป็นทรงผมที่ดูแปลกตาเสียนี่กระไร และคงไม่แปลกเลย ที่มันจะเป็นเป้าสายตาให้เหล่ารุ่นพี่จอมหาเรื่องเช่นเรนคนนี้“อ๋อ” หนุ่มหัวแหลมบอก “ผมก็ว่างั้นแหละเพ่”“นี่มึงมัวแต่เอาเจลจัดผมใช่มั้ยเนี่ย ถึงได้มาสายแบบเนี้ย”“มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้วครับคุณเพ่” หนุ่มปริศนายังคงต่อปากต่อคำได้อยู่ “ถ้างั้นขอ...”“เดี๋ยวก่อน” เรนใช้มือขวาจับไหล่รุ่นน้องไว้ “มันก็เท่ห์อยู่หรอกนะ แต่แม่งรำคาญลูกหูลูกตากูว่ะ ถ้ายังไงมึงช่วยกรุณาเอาลงให้หน่อยได้มะ?”“โห ได้ที่ไหนล่ะพี่” ดูเหมือนว่าจะไม่ยอม “งั้นถ้าผมบอกว่าหน้าตาพี่มันรำคาญลูกหูลูกตา เพ่ช่วยกรุณาโดดตึกตายไปเกิดใหม่จะได้มั้ยครับ?”“อย่ามากวนตีน!!!” เมื่อโดนลูบคมเสียขนาดนี้ เรนคงไม่อาจทนได้อีกต่อไป ด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงที่สุด ละอองแสงสีทองก็พลันเข้าปกคลุมทั่วร่างของเรนในทันใด สีผิวของเขากลายเป็นสีม่วงอ่อนเหมือนกับติ๊กเมื่อครู่ ด้วยความยียวนกวนประสาทของรุ่นน้องคนนี้ คงทำให้หนุ่มหน้าตาชวนรำคาญลูกหูลูกตาคนนี้เดือดดาลยิ่งกว่าครั้งที่เจอกับ ติ๊กแน่นอน เขากำหมัดขวาไว้แน่นแล้วเหวี่ยงใส่หน้าของรุ่นน้องคนนี้เป็นการสั่งสอนที่มา หาเรื่องโดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้น และดูเหมือนว่าการแปลงกายของเขาจะช่วยเสริมพลังกายเป็นอย่างดี เพราะหมัดนี้แรงจนสามารถทำให้รุ่นน้องหัวแหลมต้องเซไปพิงกับกำแพงข้างหลังด้วยความมึนเลยทีเดียว และยังไม่พอ เรนยังเดินเข้ามาใช้มือทั้งสองข้างจับคอเสื้อของหนุ่มหัวแหลมอีก จ้องมองไปยังนัยน์ตาที่แลดูไม่สะทกสะท้านของคู่กรณีคนนี้“โอย” หนุ่มหัวแหลมใช้มือขวาจับแก้มตัวเอง “เจ็บดีแท้”“หนังหน้ามึงนี่แม่งทนทานดีว่ะ” เรนยิ้มชม “แต่อย่าคิดนะเว้ย ว่ามากวนตีนกูแล้วจะรอดไปได้ง่ายๆ!!!”“น้อง มึงด้วยไอ้เรน” อีกคนพยายามเข้ามาห้าม “พวกมึงแม่งก็กวนตีนกันหมดแหละ เอาเป็นว่าหายกัน แล้วมึงก็ขอโทษเพื่อนพี่ด้วยละกัน”“กูกวนแม่งตรงไหนวะ?” เรนยังไม่หยุด “เชี่ยนี่มาเสือกเรื่องหน้าตาแสนหล่อเหลาของกูก่อนนี่หว่า นี่ขนาดกูพูดดีๆ แล้วนะเนี่ย”“โห พี่จะหลงหน้าตาแย้เมินของพี่ไปทำไมเนี่ย” หนุ่มหัวแหลมกล่าว “แล้วก็นะ พี่ต่างหากมาเสือกเรื่องผมก่อน”“เสือกเหี้ยไรวะ!?” เรนจ้องหน้ารุ่นน้องเขม็ง “กูไปเสือกไรมึงตอนไหน”“ก็เรื่องของผมไงครับ” รุ่นน้องบอก “ยังๆ ไม่หยุดอีก”“เหี้ยไรมึงเนี่ย?” เรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาปล่อยมือออกจากคอเสื้อ เพื่อเตรียมง้างหมัดขวาถัดไป “มึงชื่อไรกูยัง...”“กูหมายถึงผมบนหนังหัวกูเว้ย!!! ไอ้หน้ากระปอม!!!” ทว่า ก่อนที่หมัดของเรนจะได้เข้าปะทะกับใบหน้าของชายปริศนาคนนี้ มันกลับเป็นความผิดของเขาเองที่ดันปล่อยคอเสื้อออกมา เพราะเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ชายหน้ากระปอมกลับถูกรุ่นน้องคนนี้สวนหมัดขวากลับใส่กลางหน้าโดยไม่ทันให้ตั้งตัวซักนิด มิหนำซ้ำ ยังรุนแรงจนทั้งร่างของเขากระเด็นลอยไปไกล กลิ้งตกลงไปตามขั้นบันไดด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวอีกตะหาก สร้างความแปลกประหลาดใจให้เพื่อนทั้งสองเป็นอย่างมาก พร้อมกับคำถามที่ว่า ไอ้หัวแหลมนี่ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนกันแน่“ไอ้เรน!!!” ทั้งสองตะโกนเรียก “มึง ทำเพื่อน...” สิ่งที่พอจะเป็นคำตอบได้ คงจะเป็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คนก่อนหน้านี้ ขนหนาสีขาวปกคลุมทั่วทั้งร่างยกเว้นบริเวณหน้ามือและใบหน้า เขี้ยวอันแหลมคมงอกยาวขึ้นมาดูน่าเกรงขาม พร้อมนัยน์ตาสองข้างที่เปล่งประกายสีเขียวดั่งมรกต ในตอนนี้ สิ่งที่พอจะอธิบายถึงตัวตน เขาได้คงมีเพียงคำว่า "ลิง" เท่านั้น“หือ?” เมื่อเห็นเพื่อนโดนเล่นเช่นนี้ หนึ่งในเพื่อนอีกคนจึงรีบวิ่งเข้ามาพร้อมปล่อยหมัดขวาใส่ทันที แต่ลิงขาวกลับสามารถใช้มือซ้ายรับเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นจึง เตะขวาใส่ท้องอย่างรุนแรงและรวดเร็วติดต่อกันอีก ๒ ครั้ง ทว่า ยังมีอีกคนที่พุ่งเข้ามาพร้อมใช้มือสองข้างจับหลังของเขา แต่ไม่ทันไรหนุ่มหัวแหลมก็เปลี่ยนเป้าหมายได้ทันกาล ถีบแบ็กคิกกลับเข้าใส่ท้องน้อยย่างแรงจนกระเด็นไปข้างหลัง อีกคนที่พึ่งจะโดนเตะใส่ก่อนหน้านี้ได้จังหวะจะสวนกลับ แต่ก็พลอยโดนหมัดขวากระแทกเข้าใส่กลางหน้าอย่างจังจนกระเด็นไปไกล อีกคนลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว แล้วจึงวิ่งพุ่งหวังจะชนเข้าใส่ แต่ลิงขาวก็ยังรู้ตัวได้ทัน สามารถยกเท้าขวากระโดดถีบเข้าใส่หน้าอย่างจังจนต้องล้มลงกองกับพื้นในทันใด“ไอ้หัวแหลม!!!” ลิงหัวแหลมหันกลับไปตามเสียงเรียก แล้วพบกับเรนที่กำลังวิ่งตรงมาหาเขาจากข้างหลังพร้อมมีดสั้นสีดำในมือขวาที่ซ่อนเอาไว้ เขาคงพร้อมที่จะแทงมีดเล่มนี้ลงไปในร่างของลิงขาวให้สาสมกับสิ่งที่ทำเอาไว้แน่ๆ ทว่า เขากลับประมาทความสามารถของลิงขาวไปหน่อย“มันเรียกว่า ทรงเปี๊ยวโว้ยยยยย!!!” ลิงขาวหันหลังกลับไปได้อย่างเหมาะเจาะเสมือนมีตาข้างหลัง และเมื่อพบกับเรนที่พร้อมจะแทงอยู่รอมร่อแล้ว ลิงผู้มาพร้อมกับทรงเปี๊ยวจึงรีบเตะตัดขวาเข้าไปที่มือขวาของเรนอย่างจังใบมีดกระเด็นลอยออกไปในทันที เมื่อไร้ซึ่งอาวุธแล้ว เขาจึงใช้มือสองข้างจับหัวรุ่นพี่หน้ากระปอมเอาไว้ ก่อนจะทำการปิดฉากการต่อสู้ครั้งนี้ ลิงขาวเข่าขวาตรงเข้าไปยังกลางใบหน้าเรนอย่างรุนแรงถึงที่สุด ขนาดที่ว่าทำให้สติสัมปชัญญะของเรนหลุดลอยออกไปในพริบตา และเมื่อปล่อยมือออกมา ร่างของเรนจึงค่อยๆ ร่วงลงไปกองกับพื้นเป็นรายสุดท้ายในบรรดาเพื่อนๆ ทั้งสาม แดูจากโลหิตสีแดงที่ไหลออกมาจากปากและรูจมูกสองข้าง เข่าของลิงขาวผู้นี้คงทรงพลังจนทำให้ดั้งหักไปเลยทีเดียว“งั้นผมขออนุญาตไปเรียนก่อนนะครับ พี่พิเรนทร์” ลิงปริศนาผู้นี้เดินจากร่างอันแน่นิ่งของรุ่นพี่ทั้งหมดที่มาหาเรื่องไปช้าๆ เป็นดั่งบทลงโทษที่พวกเขาเคยแต่รังแกรุ่นน้องที่อ่อนแอกว่า ละอองสีทองเข้าปกคลุมร่างของลิงสีขาวอีกครั้ง เป็นผลให้เขากลับเป็นร่างมนุษย์ดังเดิมอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก บรรดาคณาจารย์และนักเรียนหลายคนก็วิ่งสวนตัวเขา ตรงไปยังบริเวณบันไดข้างหลัง อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ ดูเหมือนว่าพวกเขาคงต้องการทราบถึงที่มาของเสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อครู่ โดยหารู้ไม่ว่าตัวการแท้จริงเพิ่งเดินผ่านไปแท้ๆ พวกเขาเดินผ่านหนึ่งในชนวนสำคัญของเรื่องอย่างชายหัวแหลมคนนี้โดยไม่เอะใจเลยซักนิด อาจเป็นเพราะเขากลับคืนเป็นร่างมนุษย์ธรรมดาแล้ว และยิ่งเมื่อใบหน้าของเขาไร้ซึ่งบาดแผลหรือรอยฟกช้ำใดๆ คงไม่มีใครสงสัยผู้ซึ่งดูเหมือนนักเรียนธรรมดาสามัญคนนี้แน่นอนและแล้ว หลังจากเดินผ่านทางเดินของอาคารเรียนมาได้ซักพัก เขาก็ได้หยุดเท้าไว้ที่หน้าห้องเรียนนี้แล้ว“อะไรวะ?” ครูชรัสสงสัยระหว่างที่กำลังยืนถือไมโครโฟนสีดำอยู่หน้าห้อง พร้อมหนังสือในมือซ้าย “เด็กตีกันอีกแล้วเหรอ”/ไอ้พวกเมื่อกี้อีกแล้วเหรอ?/ ติ๊กยังนั่งคิดคนเดียว /ช่างแม่งเถอะ/ “ถึงไหนแล้วนะ” ครูชรัสมองกลับไปยังหนังสือในมือ “เอ่อ... กิตติ...”“มาแล้วครับ” กิตติคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือลิงขาวผู้เก่งกาจคนนี้นี่เอง เขาเดินผ่านช่องประตูเข้ามาหน้าห้องช้าๆ เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ เขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้านั้นธรรมดาๆ แต่มีจุดเด่นที่ทรงผมแหลมๆ กับรอยยิ้มสบายๆ บนใบหน้า เผยโฉมให้ทั้งห้องได้รู้จักหน้าค่าตาของเขาถึงแม้จะมาสายกว่าใครเพื่อนก็ตาม“วันนี้ถือเป็นวันแรกนะ” ครูชรัสเตือนกับกิตติ “แต่ถ้ามาสายในคาบครู...” ทว่า ก่อนที่อาจารย์ประจำชั้นจะทันเทศน์จบ เขากลับชี้นิ้วขวาไปข้างหน้าใส่เหล่าเพื่อนๆ ทุกคนในห้องอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ามองไม่เห็นอาจารย์ที่ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ เลยซักนิด มิหนำซ้ำ ยังกล้าแย่งไมโครโฟนมาไว้ในมือของตนเองเสียอีก สร้างความตกตะลึงให้ทั้งห้องเป็นอย่างถึงที่สุด และแล้ว ลิงขาวชื่อกิตติจึงยกเท้าขวาเหยียบลงบนโต๊ะเรียนข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ตะโกนกึกก้องไปทั่วทั้งห้องให้ทุกคนได้ยินอย่างเกรียงไกรออกไปว่า"ชื่อของกูคือกิตติ เหมันต์วงศ์ เรียกสั้นๆ ว่า กัน ที่กูย้ายมาโรงเรียนนี้มีเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น...” กิตติตะโกนลั่นวาจาเสียงดังกึกก้องไปทั่วห้อง“เพื่อเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าใครๆ ในโรงเรียนนี้ให้ได้!!!”
โปรดติดตามบทถัดไป
วัยรุ่นหิมพานต์ บทที่ ๑ ปฐมบทตำนานหิมพานต์
“อโยธยา รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อเรา” ทำนองเพลงอันคุ้นหูดังกึกก้องไปทั่วทุกหนแห่ง เป็นดั่งสัญญาณอันดีสำหรับชาวเมือง ว่าขณะนี้ได้เวลาเคารพธงชาติแล้ว มันดังออกมาจากลำโพงสีดำ ๒ ตัว ตั้งอยู่คนละฟากฝั่งของเวทีปูนขนาดใหญ่ ถูกปูทับด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีแดงเข้มตัดกับขอบสีดำช่วยเพิ่มความงดงามแห่งหนึ่ง แท่นเชิญธงหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณมุมขวามือหน้าเวทีแห่งนี้ เพื่อรองรับให้เสาธงเหล็กสูงเท่าตึก ๔ ชั้น สามารถตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางอย่างงามสง่า พร้อมด้วยธงชาติอโยธยาบนยอดนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกับรูปธงชาติไทย แต่กลับมีรูปช้างเผือกสามเศียร หรือก็คือช้างเอราวัณ พาหนะของพระอินทร์ ยืนยกขาขวาประดับอยู่ข้างหน้าอย่างโดดเด่น มันกำลังถูกชักขึ้นไปสู่ยอดอย่างช้าๆ คลอไปกับเสียงเพลงนี้ ขณะที่เสียงเพลง ก็มิได้ดังออกมาจากลำโพงทั้งสองตัวนี้แต่เพียงเท่านั้น เพราะบริเวณใกล้ๆ กันนี้เอง ยังมีอีกหลายเสียงที่ขับร้องออกมาอย่างกึกก้องไม่แพ้กัน มันดังออกจากปากของหนุ่มสาวจำนวนมากมายหลายร้อยคนที่กำลังยืนเรียงกันอยู่อย่างแน่นขนัดบนลานปูนสีเขียวข้างล่างเวที พวกเขาทั้งหลายเหล่านี้ ดูแล้วน่าจะอยู่ในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโต สังเกตจากชุดเครื่องแบบ ที่เป็นเสื้อนักเรียนสีขาวใส่กับโจงกระเบนสีดำ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคงจะเป็นนักเรียนมัธยมไม่ผิดแน่ ส่วนกลุ่มคนในวัยกลางคนค่อนไปทางแก่ที่คอยยืนเฝ้าอยู่ข้างสนาม ในชุดมหาดเล็กสีขาวกับโจงกระเบนสีดำ ก็คงจะเป็นเหล่าคณาจารย์แน่ๆ“ทวีมีชัยชโย” บทเพลงจบลงพร้อมกับธงที่ชักขึ้นจนสุดยอดอย่างเหมาะเจาะ เหล่านักเรียนก้มโค้งคำนับและถอนสายบัวให้กับเสาธงอย่างพร้อมเพรียง แสดงถึงความจงรักภักดีต่อชาติของคนหนุ่มสาวได้เป็นอย่างดีเยี่ยม ทว่า หลังจากนั้น เสียงโหวกเหวกโวยวายจากปากนับร้อยก็ค่อยๆ ดังเข้ามาแทรกแทนที่เสียงเพลงเมื่อครู่ในบัดดล“@#$%^&*()_(*&^%#” ขณะเดียวกันนั้นเอง ชายแก่รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง สวมชุดเครื่องแบบเหมือนกับอาจารย์ข้างล่าง ดูๆ แล้วน่าจะอยู่ในวัยใกล้ปลดระวางเต็มที มีจุดเด่นที่ผิวคล้ำๆ กับแว่นตาทรงกลมโต รวมถึงผมทรงทุ่งหมาหลงหงอกๆ บนหัว เขากำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ กับรอยยิ้มกริ่ม ตรงมายังแท่นวางไมโครโฟนไม้ข้างหน้า ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมใช้มือขวาจับไมโครโฟนตัวนี้“ขอเชิญ ผู้อำนวยการ ปราชญ์สุรักษ์ วิวัฒนาครับ” นักเรียนคนหนึ่งที่ยืนถือไมโครโฟนดำอยู่หลังเวทีกล่าวกับนักเรียนคนอื่นๆ “นักเรียนเคารพ!!!”“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งหมดดูเหมือนจะรู้งาน พนมมือไหว้อย่างพร้อมเพรียงกัน“สวัสดีครับ” ปราชญ์สุรักษ์ยิ้มบอก “ลูกๆ ครับ ถือเป็นฤกษ์งามดีที่วันนี้ เป็นวันแรกของภาคเรียนใหม่ของพวกเรานะครับ สำหรับลูกๆ ม.๑ ม.๔ ทุกคน ที่พึ่งย้ายมาใหม่ ก็ขอชมเชยนะครับที่สามารถสอบเข้า มาเป็นน้องใหม่ของ...” แต่ในเวลาเดียวกันนี้เอง ในขณะที่ปราชญ์สุรักษ์หรือผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ กำลังกล่าวโอวาทให้กับ นักเรียนทั้งหมด กลับมีนักเรียนคนหนึ่งที่มิได้มีส่วนร่วมด้วยเลยแม้แต่น้อย เพราะขณะนี้ เขากำลังนั่งทำธุระระดับชาติอยู่บนชักโครกสีขาว ในห้องส้วมสาธารณะสีส้มแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าฟังจากเสียงของปราชญ์สุรักษ์ที่ดังเข้ามาถึงนี่แล้ว ห้องส้วมนี้คงเป็นห้องส้วมโรงเรียนแน่ๆ ผู้ที่กำลังทำธุระอยู่คือ ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้านั้นขาวผ่องไร้ซึ่งสิวเสี้ยนใดๆ ทั้งสิ้น ไว้ผมลองทรงสูงสั้นๆ ตามระเบียบ สวมแว่นทรงกลมเหมือนกับจอห์น เลนน่อนเป็นเอกลักษณ์ ดูจากรูปพรรณสัณฐานแล้วน่าจะอยู่ในระดับหล่อแน่นอน ถ้าหากใบหน้าของเขาไม่เคร่งเครียดอมทุกข์ตลอดเวลาไปเสียก่อน แต่นั่นก็ไม่แปลกสำหรับคนที่กำลังทำธุระอยู่ในเวลาแบบนี้หรอก/วันนี้อีกแล้วเหรอวะ.../ หนุ่มแว่นคิดในใจพลางมองขึ้นไปบนเพดานสีขาว /เฮ้ออ/ เสียงกดน้ำทิ้งที่ดังลั่นออกมาจากห้องส้วมสีส้มนี้ เป็นดั่งสัญญาณว่า ผู้ใช้นั้นได้ขับถ่ายสิ่งปฏิกูลทั้งหลายลงท่อจนหมดสิ้นแล้ว และคงไม่มีเหตุผลอันใดให้อยู่ในสถานที่เหม็นๆ แห่งนี้อีกต่อไป“แอ๊ดดดดดด” ประตูห้องน้ำถูกปลดกลอนและค่อยๆ แง้มออกมาทีละนิด ปรากฏเป็นภาพของหนุ่มแว่นกลม ที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดตามเคย แม้ว่าช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของมนุษย์แล้วก็ตาม ทว่า ตัวเขาเองกลับต้องมาประสบพบเจอกับปัญหาใหญ่ครั้งใหม่ ที่จะทำให้หน้าตาของเขาได้เครียดสมใจแน่ๆ/.../ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้น คงจะอยู่เหนือจินตนาการของเขาแน่ๆ เหล่านักเรียนชาย ผู้มาพร้อมกับใบหน้าที่แลดูดิบเถื่อนถึง ๕ คน กำลังยืนกระจัดกระจายอยู่โดยรอบห้องน้ำแห่งนี้ พร้อมมวนบุหรี่ที่คีบเอาไว้ในปาก พลางปล่อยควันพิษออกมาเป็นระยะๆ และเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูออกมา พวกเขาก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันพุ่งความสนใจไปที่แขกไม่ได้รับเชิญคนนี้ นั่นคือสิ่งที่นักเรียนผู้โชคร้ายได้ประสบอยู่นั่นเอง“...” ไอ้หนุ่มแว่นยังพอรวบรวมสติได้ ขณะที่สายตาทุกดวงพุ่งเป้ามายังตัวเขาคนเดียว เขาเริ่มคิดได้ว่าถ้าเดินออกไปจากที่นี่เงียบๆ แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากการมาปลดทุกข์ ก็คงไม่ก่อปัญหาบานปลายให้กับตนเองอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้ เขาจึงค่อยๆ ย่างเท้าเดินตรงไปยังประตูที่เปิดอ้าข้างหน้าช้าๆ เป็นดั่งแสงสวรรค์สุดท้ายสำหรับคนดวงตกอย่างเขานั่นเอง ทว่า แค่เพียงหนุ่มแว่นก้าวเท้าออกไปเพียงก้าวเดียว ยังไม่เลยแม้แต่ประตูห้องส้วมนี้เสียด้วยซ้ำ หนึ่งในกลุ่มนักเรียนคนหนึ่ง ผู้มาพร้อมใบหน้าปรุๆ เหมือนเพิ่งโดนสิบล้อชนเข้าใส่ ก็เริ่มแสยะยิ้มชั่วร้ายเหมือนดั่งว่าเพิ่งจะคิดแผนชั่วร้ายได้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทันทีที่หนุ่มแว่นก้าวเท้าออกไป ไอ้หน้าปรุก็รีบก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยื่่นตัวออกไปขวางหน้าหนุ่มแว่น ทั้งๆ ที่เขาพยายามจะหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุดแท้ๆ เป็นเหตุให้ทั้งสองเป็นต้องชนกันอย่างจังในที่สุด“!!!” ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ไอ้หน้ากระปอมยังทำทีปล่อยบุหรี่ออกจากปากให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นข้างล่าง ปลายมวนที่กำลังมอดไหม้จึงดับลงไปกับพื้นกระเบื้องเปียกๆ แฉะๆ ในทันที หนุ่มแว่นได้แต่ตกตะลึงกับสิ่งที่ไม่คาดคิด ขณะที่คู่กรณี ก็มีเรื่องสำหรับใช้ในการหาเรื่องชายผู้น่าสงสารคนนี้แล้ว“ไอ้แว่น!!!” ไอ้หน้าปรุตะคอกใส่หน้าหนุ่มแว่นเสียงดังด้วยท่าทีเดือดดาลถึงขีดสุด “นี่มึงทำเหี้ยไรของมึงเนี่ย!!!” แต่หนุ่มแว่นยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น“เงียบหาพ่อมึงเหรอ!!!” เมื่อคำตอบออกมาเป็นเช่นนั้น ชายคาบบุหรี่จึงขออนุญาตต่อยขวาใส่หน้าหนุ่มแว่นเต็มๆ จนอีกฝ่ายถึงกับเซไปข้างหลังทีเดียว “ตอบมา!!!”“เฮ้ยน้อง” เพื่อนคนอื่นๆ เริ่มเข้ามาสมทบ “ความจริงพี่ก็ไม่ได้อยากหาเรื่องน้องหรอก แต่ถ้ามึงเดินออกไปเงียบๆ เอาเป็นว่าไม่มีไรเกิดขึ้นที่นี่ละกัน เข้าใจนะ?” ทว่า ถึงสถานการณ์จะเป็นใจให้หนี แต่หนุ่มแว่นก็ยังคงยืนหยัดอยู่ที่นี่โดยไม่ไปไหนทั้งสิ้น พร้อมกับคำพูดที่ยังคงเงียบงันอยู่ภายในใจ รวมถึงใบหน้านิ่งๆ ที่อาจจะไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของเหล่านักเลงพวกนี้ จนไปบันดาลโทสะให้คู่กรณีได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว“กูถามว่าเงียบหาพ่อมึงเหรอ!!!” ไอ้หน้าปรุที่โกรธเดือดดาลไปทั้งตัว ต้องการจะหาที่ระบายเต็มทีแล้ว ทันใดนั้น หมัดขวาที่กำรอเอาไว้แน่น จึงเขวี้ยงเข้าใส่ใบหน้าของหนุ่มแว่นเต็มๆ ขนาดที่ว่าแค่ทีเดียวก็แทบจะล้มกองไปนอนกับพื้นเลยทีเดียว และหลังจากได้ลงหมัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไอ้หน้าปรุกับผองเพื่อนจึงพร้อมใจกันหัวเราะสะใจเสียงดังสนั่นด้วยความสะใจ พร้อมกับกำหมัดเตรียมหมัดถัดไปในทันที ทว่า จู่ๆ เขากลับต้องชะงักไปในทันที เมื่อพบว่า หนุ่มแว่นที่เพิ่งต่อยไปเมื่อกี้ ได้หันกลับมาพร้อมใบหน้าที่กลายเป็นสีเขียวกับนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดหมูรวมถึงสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้นมาอีกหน่อย เหมือนกับว่า เขาพร้อมที่จะได้เอาคืนให้สมน้ำสมเนื้อแล้วกับคนพวกนี้
“ดังนั้น ขอให้จำไว้ว่าเราเป็นพี่น้องเดียวกันทั้งโรงเรียนนะครับ” คำพูดของปราชญ์สุรักษ์ช่างย้อนแยงกับสิ่งที่หนุ่มแว่นต้องเจอยิ่งนัก “ขอบคุณครับ”“นักเรียน...” ตัดกลับมาที่เสาธง เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวจบ ก็ถึงเวลาที่นักเรียนผู้รับฟังต้องทำความเคารพแล้ว ทว่า หลังจากประธานนักเรียนซึ่งกำลังยืนบนเวที ได้กล่าวให้นักเรียนคนอื่นๆ เตรียมพนมมือไหว้ปราชญ์สุรักษ์ ทุกคนพนมมือตามก็จริง แต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ กลับเป็นเสียงสนทนาของนักเรียนนับร้อยบนลานกว้างแทนซะอย่างงั้น มันก็เป็นธรรมดา เพราะคำพูดหน้าเสาธงนั้นเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อ ซ้ำบางวันอากาศยังร้อน ก็ต้องจำยืนทนสู้แดดอีก คงมีเพียงแต่นักเรียน ม.๑ ที่กำลังอยู่ในวัยเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้นที่จะทนได้ สิ่งที่พวกเขาเหล่าวัยรุ่นทำได้นั้น มีเพียงการคุยกันให้ลืมความน่าเบื่อหนายเท่านั้น ทว่า นั่นก็ทำให้ ปราชญ์สุรักษ์ดูจะไม่พอใจกับการกระทำของเหล่านักเรียนเป็นอย่างมากเสียเลย และทันใดนั้นเอง ละอองแสงสีทองจากที่ไหนซักแห่งก็ค่อยๆ ลอยเข้ามาปกคลุมรอบตัวปราชญ์โดยไร้สาเหตุใดๆ มารองรับทั้งสิ้น เขายื่นหน้าไปใกล้ๆ ไมโครโฟนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งที่ต้องสั่นสะท้านทั้งโรงเรียนนี้อย่างแน่นอน“ลูกครับๆ” เป็นประโยคเดิมๆ ทว่า สิ่งที่ตามมานั้นไม่เหมือนเก่า เพราะทันทีเมื่อปราชญ์สุรักษ์กล่าววลีนี้ออกไป อำนาจจากปากของชายแก่คนนี้ ก็ได้สั่งการให้นักเรียนทั้งหมดถึงกับต้องหยุดการเคลื่อนไหว ชะงักไปกับที่ทุกคนอย่างง่ายดาย แต่นั่นคงไม่แปลกเท่ากับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของปราชญ์สุรักษ์ในตอนนี้หรอก“ครูมีอะไรจะแจ้งให้ทราบอีกซักเรื่องครับ” ขนหงอกสีเทาปกคลุมทั่วร่าง ยกเว้นเพียงบริเวณอุ้งมือสองข้างกับใบหน้า ผมทรงทุ่งหมาหลงงอกยาวออกไปจนถึงจอนรอบคาง มันงอกยาวเยอะกว่าบริเวณอื่นจนกลายเป็นดั่งแผงคอของราชสีห์อันสง่างาม เล็บมือทั้งสิบงอกออกมา กลายเป็นกรงเล็บแหลมคมดั่งสัตว์ป่านักล่า ใบหน้าของเขายื่นยาวออกมาข้างหน้า กลายเป็นใบหน้าของราชสีห์ทั้งหมด ยกเว้นนัยน์แต่นัยน์ตาอันน่าเกรงขาม ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกทองเปล่งประกาย ช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ในเวลานี้ เขาไม่ใช่ทั้งมนุษย์ ไม่ใช่ทั้งราชสีห์ เขาคือสิ่งมีชีวิตที่รวมทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน หรืออีกนามหนึ่ง "นรสิงห์" ทว่า หลังจากปราชญ์สุรักษ์ได้แปลงกายตนเองเป็นนรสิงห์ กลับไม่มีใครตกใจแตกตื่นแม้ซักคน เสมือนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันอย่างไรอย่างงั้น และแม้แต่ตัวปราชญ์สุรักษ์เอง ก็คงตั้งใจที่จะทำเช่นนี้อยู่แล้วด้วย“สถานที่แห่งนี้คือสถานศึกษาอันมีตำนานมายาวนานกว่าร้อยปี สร้างบุคลากรสำคัญให้โลกหิมพานต์มาหลายรุ่นหลายคน อบรมสั่งสอนทั้งศาสตร์และศิลป์แห่งพลังหิมพานต์อันศักดิ์สิทธิ์” ปราชญ์สุรักษ์กล่าวต่อในขณะที่นักเรียนได้แต่ยืนฟังไม่ขยับเขยื้อน “และสิ่งสำคัญคือ เรายังสอนคนให้เป็นคนดี คิดดีทำดี เป็นประโยชน์ให้แก่สังคมสืบต่อไป ตามปรัชญาโรงเรียนที่ว่าไว้ว่า กระทำดี มีศีลธรรม ดังนั้นครูจึงขอให้จำไว้ว่าเราเป็นพี่น้องเดียวกันทั้งโรงเรียนนะครับ ลูกๆ ครับ”“นะ... นักเรียน” หลังจากปราชญ์สุรักษ์กล่าวจบ ประโยคนี้ก็ดูจะเป็นผลให้นักเรียนทั้งหมดสามารถขยับเขยื้อนได้อีกครั้งหนึ่ง ทว่า ถึงแม้จะเป็นอิสระ ทุกคนกลับเหนื่อยหอบด้วยเหงื่อที่ไหลชโลมทั่วตัว เหมือนเพิ่งผ่านความทรมานอย่างไรอย่างงั้น และเมื่อกรรมการนักเรียนกล่าวทำความเคารพอีกครั้ง ทุกคนเองก็คงไม่อยากอยู่ในสภาพนั้นอีกเป็นแน่ คราวนี้ พวกเขาต่างพนมมือเตรียมไหว้อย่างพร้อมเพรียง ไม่ขัดขืนหรือออกเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าเพิ่งจะเหนื่อยอย่างหนักมาก็ตาม นั่นทำให้ปราชญ์สุรักษ์ยิ้มกริ่มอีกครั้งในร่างนรสิงห์ เมื่อเห็นเหล่านักเรียนตกอยู่ใต้อาณัติของเขาเสียที“คะ...เคารพ” กรรมการนักเรียนกล่าวอย่างขัดๆ ด้วยความหวาดเกรง“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทุกคนกล่าวอย่างพร้อมเพรียงดังลั่นทั้งโรงเรียน“ขอบคุณครับลูกๆ” ปราชญ์สุรักษ์ยิ้มบอกพร้อมพนมมือขึ้นมา “เปิดภาคเรียนใหม่นี้ขอคุณพระศรีรัตนตรัยให้ลูกๆ มีแต่ความสุขความเจริญในชีวิต ไร้ซึ่งทุกข์โศกใดๆ ตั้งใจหมั่นเพียรเรียนหนังสือ สามารถใช้พลังความรู้ทั้งหมด ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ขอให้เทพเจ้าทั้งหลายคุ้มครองลูกๆ สาธุนะครับ”“สาธุ” นักเรียนของเขาพนมมือรับพรอย่างพร้อมเพรียง“แล้วก็ ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนสุวัฒนา” ถึงปราชญ์สุรักษ์จะให้พรกับทุกคนในโรงเรียนนี้ไปแล้ว ทว่า กลับยังมีนักเรียนสุวัฒนาคนหนึ่งที่พลาดโอกาสนี้ เพราะในขณะเดียวกันนี้เอง เขากลับได้แต่นั่งหมดสภาพพิงกำแพงอยู่ในห้องน้ำ พร้อมกับรอยแผลฟกช้ำเต็มใบหน้ากับเลือดกำเดาที่ค่อยๆ ไหลออกมา และถึงแม้ร่างของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั้งร่าง เหมือนกับการแปลงกายของปราชญ์สุรักษ์แล้วก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย กลับเหมือนการแสดงปาหี่ที่ช่วยเพิ่มความน่าเกรงขามเท่านั้น ละอองแสงสีทองค่อยๆ ลอยเข้ามาปกคลุมร่างของเขา เป็นผลให้หนุ่มแว่นกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์สีผิวปกติตามเดิมอีกครั้ง หลังจากนั่งเจ็บมาได้พักหนึ่งแล้ว เขาจึงค่อยๆ ใช้แขนขวายันอ่างล้างหน้ากระเบื้องด้านบนขึ้นมา พยุงตัวขึ้นมายืนอีกครั้ง ก่อนจะพบกระจกบานใหญ่รูปสี่เหลี่ยมข้างหน้า เขาถอดแว่นอันเป็นเอกลักษณ์ลงบนอ่างล้างหน้า จ้องมองไปยังรูปสะท้อนบนใบหน้าของตนอยู่นานเสมือนต้องการคำตอบว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ และทำไมต้องอยู่ในที่แห่งนี้ ทำไมต้องอยู่ในสุวัฒนาด้วย“กิ๊งก่องๆๆๆ” เสียงออดดังสนั่นทั่วโรงเรียนสุวัฒนา เป็นสัญญาณสำคัญว่าได้เวลาหมดคาบเรียนแล้ว ณ ห้องเรียนสีขาวขนาดใหญ่ห้องหนึ่งในสุวัฒนา เต็มไปด้วยเหล่านักเรียนวัยรุ่นไม่ว่าหญิงหรือชายมากมายหลายสิบคนทั่วห้อง ไม่ว่าจะเดินไปเดินมา ยืนอยู่เฉยๆ หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หรือโต๊ะไม้เนื้อดีสีน้ำตาลอ่อน วางเป็นคู่ๆ อย่างเป็นระเบียบทั่วห้องด้วยจำนวนมากมายถึง ๕๐ ตัว เลยทีเดียว และบริเวณหลังสุดของห้องนั้นเอง ที่โต๊ะหลังสุดแถวที่ ๒ นับจากทางหน้าต่าง นักเรียนชายสองคนก็กำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่“เอ่า” คนทางขวาเป็นนักเรียนชายท่าทางใจเย็น ไว้ทรงสกินเฮด “งั้นแสดงว่ามึงกับนัทก็?”“ก็อย่างว่าแหละ” อีกคนหน้าตาหล่อเหลา ใส่เหล็กดัดฟัน “มีรักก็ต้องมีเลิก เหอๆๆ”“หน้าตามึงแลดูไม่เศร้าเลยเนอะ” คนทางขวาประชด “แล้วมึงเอาไงต่อเนี่ย กฤต”“เอาน่า ซัน” กฤตยิ้มบอกตามเคย “ขึ้น ม.๔ มันก็ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เนื้อคู่น่ะมันอาจยังไม่มาตอนนี้หรอก แต่ถ้าอยากมีน่ะ ก็ไปซื้อที่ตลาด เหอๆๆ” “ตามใจมึงเหอะ ไอ้หล่อเลือกได้” ฟังเหมือนประชด แต่ก็มีข้อถูกอยู่ “แล้วนี่กูต้องนั่งข้างมึงไปอีก ๓ ปีใช่มั้ยเนี่ย?”“หรือมึงจะไปนั่งกับ...” กฤตชี้ไปที่โต๊ะทางขวามือ “นั่นไง” และแล้ว นักเรียนชายคนหนึ่งผู้ซึ่งกำลังหิ้วกระเป๋าย่ามสีดำ ก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้อีกคนผ่านช่องประตูหลังห้อง เขาไม่ใช่ใครอื่นใด หนุ่มแว่นผู้โดนซ้อมเมื่อครู่นี้นี่เอง“ติ๊ก!!! เพื่อนรัก” ทันใดที่กฤตเห็น เขารีบลุกออกจากเก้าอี้ไปโผกอดหนุ่มแว่นคนนี้อย่างรวดเร็ว “อยู่ห้องนี้ด้วยเหรอ!!!”“อือ” ติ๊กเดินไปนั่งลงบนโต๊ะข้างหน้าโดยไม่แยแสปฏิกิริยาของกฤษแม้นซักนิด นั่นทำให้กฤตแทบจะล้มลงในทันที“โธ่ ติ๊ก” กฤตลุกขึ้นมายืนข้างติ๊กอีกพร้อมทำท่าทีเหมือนเบ่งน้ำตา “นี่รู้มั้ย ฮึก ว่านี่เราไม่เจอกันตั้งกี่เดือน... เราคิดถึงนายมากแค่ไหน ซิกๆๆ”“๔ เดือน” ติ๊กตอบหน้าตายตามความจริงใส่กฤต แสดงว่าเขาคงไม่มีอารมณ์เล่นกับเพื่อนคนนี้เป็นแน่“ติ๊ก มึงรู้ป่าวเนี่ยมึงทำฟีลลิ่งกูเสียหมดเลยเนี่ย” กฤตรำพึงรำพันกับติ๊กอีกที “มึงเคยมีอารมณ์แสดงออกมามั้ยเนี่ย? นี่กูอุตส่าห์พยายามให้มึงยิ้มนะเนี่ย”“เออๆ ช่างมันเหอะ” ซันเดินเข้ามาสมทบ “เป็นตั้งแต่ ม.ต้น แล้วนี่ ไอ้นิสัยนิ่งๆ ของมันเนี่ย นึกว่าตัวเองเท่ห์นักเท่ห์หนา นี่ถ้าไม่มีงานวันนั้นกูคิดว่ามันเป็นใบ้แล้วนะเนี่ย”“แล้วก็นะ ติ๊ก มึงคงจะชอบแบบนี้อยู่แล้วใช่มะ แบบป้าเบิร์ด –งไชยอ่ะ”“แบบไรวะ?” กฤษถาม“แบบอยู่เงียบๆ คนเดียว” เหมือนซันจะเล่นมุก“เฮ้อ” ถึงกับทำให้กฤษถอนหายใจอีกเฮือก ทว่า ติ๊กนั้นกลับยังคงเย็นชาโดยไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถึงจะเป็นมุขแป้ก อย่างน้อยก็คงต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบเป็นธรรมดาบ้าง แต่ไม่เลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กฤษกับซันคงต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะคุยกับเพื่อนคนนี้แล้ว“เออๆ เชิญเมิงอยู่คนเดียวเหอะ” กฤษกลับไปที่นั่งตามเดิมพร้อมซัน “ตามสบาย กูไม่เสือกแระ”“บอกแล้ว ปล่อยแม่งคนเดียวไปเหอะ” ซันเดินตามกฤษไป “ใครจะได้นั่งข้างมันวะเนี่ย”/เออ ปล่อยกูไว้แบบนี้แหละดีแล้ว/ ไม่มีแม้แต่อารมณ์เหงาปล่าวเปลี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น เป็นอย่างที่ซันกล่าวไว้เมื่อครู่จริงๆ เย็นชา ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะหลังจากที่เขามองสำรวจไปรอบๆ ห้องนี้แล้ว รอยยิ้มเล็กๆ ก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเขาในทันที/ห้องวิทย์-คณิตฯ มีแต่คนดี ไม่มีเด็กเก แถมไม่มีคนมากวนข้างๆ อีก/ ติ๊กนั่งคิดคนเดียวอย่างมีความสุข /นี่สิที่ของเรา/“หึๆๆๆ” จู่ๆ ติ๊กก็หัวเราะคนเดียวโดยไม่มีสาเหตุ โดยที่กฤษกับซันได้แต่จ้องมองอยู่ด้วยความงุนงงเท่านั้น“กูว่าแม่งหนักกว่ามึงอีกว่ะ” ซันหันไปบอกกฤษ“ก็ว่างั้นแหละ เหอๆๆ” กฤษเห็นด้วย และจู่ๆ อาจารย์ในชุดมหาดเล็กสีขาวคนหนึ่งก็ได้ก้าวเข้ามาในห้องนี้อย่างรีบเร่ง ดูจากใบหน้าแล้วน่าจะอายุราวสามสิบกว่าๆ รูปร่างนั้นผอมเตี้ย ผิวคล้ำ ใส่แว่นเหลี่ยม ไว้ทรงสกินเฮดกับหนวดเหนือปากนิดๆ ดูแล้วน่าจะเป็นอาจารย์ในคาบนี้แน่ๆ เขาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพร้อมสำรวจไปรอบๆ เหมือนว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่“นักเรียน!!!” นักเรียนชายหน้าห้องพนมมือไหว้พร้อมตะโกนดังลั่น “เคารพ!!!”“สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งห้องไหว้อย่างพร้อมเพรียง“สวัสดีครับ” อาจารย์คนนี้ยิ้มบอก “นักเรียน ม.๔/๘ โรงเรียนสุวัฒนาทุกคน ครูชื่อว่าครูชรัส ไพรรักษ์ เป็นครูประจำชั้นของห้องนี้ครับ สอนวิชาเคมี...”/เคมี เยี่ยม!!!/ ติ๊กคิดด้วยความดีใจ /ทีนี้ล่ะ!!!/
แต่ขณะเดียวกันนี้เอง ณ โถงทางเดินของอาคารเรียนชั้น ๔ ที่ทอดยาวเหยียดออกไปข้างหน้า ห้องเรียนมากมายนั้นเรียงรายอยู่ทางขวา ในขณะที่ด้านซ้ายก็มีช่องลมขนาดใหญ่ถูกเจาะเอาไว้ ณ ตอนนี้แทบจะไม่มีนักเรียนคนใดเหลืออยู่แม้ซักคน ซึ่งถ้าดูจากห้อง ๔/๘ ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในคาบเรียนแรก สังเกตได้จากการแนะนำตัวของอาจารย์ ก็พอจะบอกได้ เพราะคงไม่มีนักเรียนคนไหน อยากจะขาดเรียนตั้งแต่ชั่วโมงแรกของปีการศึกษาเป็นแน่ ทว่า ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง ณ บริเวณบันไดที่เชื่อมจากชั้น ๓ ขึ้นมา ชายหน้าปรุที่มีเรื่องกับติ๊กเมื่อครู่พร้อมกับพรรคพวกอีก ๒ คน กลับกำลังเดินไปเดินมาอย่างสบายใจเฉิบ ณ ที่แห่งนี้ พร้อมเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยกับเสียงสนทนาอันดังลั่นชนิดที่ว่าไม่สนใจใครทั้งสิ้น“สัสเอ๊ย!” ชายผู้มาพร้อมหน้าตาไม่สู้ดีแถมวางท่าเป็นหัวโจกตะโกนบอกกับอีกสองคน “เห็นแปลงร่างกูก็นึกว่าจะแน่ นี่ขนาดกูยังไม่ทันแปลงเลยนะเนี่ย!!!”“มึงนี่ก็ชอบหาเรื่องเด็กจังเนอะ เชี่ยเรน” อีกคนบอก “ไม่เบื่อ...?”“เฮ้ย น้อง!” พูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้หน้าปรุก็พบเป้าหมายคนใหม่แล้ว “มานี่เด๊ะ”“นั่นไง ไอ้สัส”“ครับ?” ดูเหมือนรุ่นน้องคนนี้จะว่านอนสอนง่ายกว่าติ๊กเยอะ เพราะถึงแม้เขาจะต้องเดินสะพายกระเป๋า มาเจอะเจอกับรุ่นพี่จอมหาเรื่อง แถมหน้าตาดั่งขอทานเช่นเรนแล้ว ชายคนนี้กลับไม่มีทีท่าตระหนกตกใจใดๆ มิหนำซ้ำยังหยุดอยู่กับที่รอให้เรนเดินมาหาอีกตะหาก “แหม” เรนยิ้มด้วยความพออกพอใจ “ว่าง่ายกว่าไอ้แว่นเมื่อกี้อีกว่ะ”“เอ่อ มีไรครับเพ่” รุ่นน้องถามตรงๆ ถึงเหตุผล “ผมต้องรีบขึ้นเรียนแล้วนา”“ไม่มีไรมากหรอก พอดีกูเห็นว่าผมมึงแม่งเท่ห์ดีว่ะ” ใช่แล้ว สิ่งที่ดูโดดเด่นที่สุดสำหรับรุ่นน้องคนนี้ก็คือทรงผมนั่นเอง มันเป็นทรงรองทรงสูงธรรมดา ทว่า ผมบริเวณกลางหน้าผากที่ไว้ยาวของเขา กลับแหลมขึ้นมาข้างบนตั้งแต่หน้าจรดหลังแบบโมฮอว์ค เสมือนว่า มีเทือกเขาสูงหลั่นทอดตัวยาวตั้งแต่กลางหน้าผากไปถึงท้ายทอย ช่างเป็นทรงผมที่ดูแปลกตาเสียนี่กระไร และคงไม่แปลกเลย ที่มันจะเป็นเป้าสายตาให้เหล่ารุ่นพี่จอมหาเรื่องเช่นเรนคนนี้“อ๋อ” หนุ่มหัวแหลมบอก “ผมก็ว่างั้นแหละเพ่”“นี่มึงมัวแต่เอาเจลจัดผมใช่มั้ยเนี่ย ถึงได้มาสายแบบเนี้ย”“มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้วครับคุณเพ่” หนุ่มปริศนายังคงต่อปากต่อคำได้อยู่ “ถ้างั้นขอ...”“เดี๋ยวก่อน” เรนใช้มือขวาจับไหล่รุ่นน้องไว้ “มันก็เท่ห์อยู่หรอกนะ แต่แม่งรำคาญลูกหูลูกตากูว่ะ ถ้ายังไงมึงช่วยกรุณาเอาลงให้หน่อยได้มะ?”“โห ได้ที่ไหนล่ะพี่” ดูเหมือนว่าจะไม่ยอม “งั้นถ้าผมบอกว่าหน้าตาพี่มันรำคาญลูกหูลูกตา เพ่ช่วยกรุณาโดดตึกตายไปเกิดใหม่จะได้มั้ยครับ?”“อย่ามากวนตีน!!!” เมื่อโดนลูบคมเสียขนาดนี้ เรนคงไม่อาจทนได้อีกต่อไป ด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงที่สุด ละอองแสงสีทองก็พลันเข้าปกคลุมทั่วร่างของเรนในทันใด สีผิวของเขากลายเป็นสีม่วงอ่อนเหมือนกับติ๊กเมื่อครู่ ด้วยความยียวนกวนประสาทของรุ่นน้องคนนี้ คงทำให้หนุ่มหน้าตาชวนรำคาญลูกหูลูกตาคนนี้เดือดดาลยิ่งกว่าครั้งที่เจอกับ ติ๊กแน่นอน เขากำหมัดขวาไว้แน่นแล้วเหวี่ยงใส่หน้าของรุ่นน้องคนนี้เป็นการสั่งสอนที่มา หาเรื่องโดยไม่รีรออะไรทั้งสิ้น และดูเหมือนว่าการแปลงกายของเขาจะช่วยเสริมพลังกายเป็นอย่างดี เพราะหมัดนี้แรงจนสามารถทำให้รุ่นน้องหัวแหลมต้องเซไปพิงกับกำแพงข้างหลังด้วยความมึนเลยทีเดียว และยังไม่พอ เรนยังเดินเข้ามาใช้มือทั้งสองข้างจับคอเสื้อของหนุ่มหัวแหลมอีก จ้องมองไปยังนัยน์ตาที่แลดูไม่สะทกสะท้านของคู่กรณีคนนี้“โอย” หนุ่มหัวแหลมใช้มือขวาจับแก้มตัวเอง “เจ็บดีแท้”“หนังหน้ามึงนี่แม่งทนทานดีว่ะ” เรนยิ้มชม “แต่อย่าคิดนะเว้ย ว่ามากวนตีนกูแล้วจะรอดไปได้ง่ายๆ!!!”“น้อง มึงด้วยไอ้เรน” อีกคนพยายามเข้ามาห้าม “พวกมึงแม่งก็กวนตีนกันหมดแหละ เอาเป็นว่าหายกัน แล้วมึงก็ขอโทษเพื่อนพี่ด้วยละกัน”“กูกวนแม่งตรงไหนวะ?” เรนยังไม่หยุด “เชี่ยนี่มาเสือกเรื่องหน้าตาแสนหล่อเหลาของกูก่อนนี่หว่า นี่ขนาดกูพูดดีๆ แล้วนะเนี่ย”“โห พี่จะหลงหน้าตาแย้เมินของพี่ไปทำไมเนี่ย” หนุ่มหัวแหลมกล่าว “แล้วก็นะ พี่ต่างหากมาเสือกเรื่องผมก่อน”“เสือกเหี้ยไรวะ!?” เรนจ้องหน้ารุ่นน้องเขม็ง “กูไปเสือกไรมึงตอนไหน”“ก็เรื่องของผมไงครับ” รุ่นน้องบอก “ยังๆ ไม่หยุดอีก”“เหี้ยไรมึงเนี่ย?” เรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาปล่อยมือออกจากคอเสื้อ เพื่อเตรียมง้างหมัดขวาถัดไป “มึงชื่อไรกูยัง...”“กูหมายถึงผมบนหนังหัวกูเว้ย!!! ไอ้หน้ากระปอม!!!” ทว่า ก่อนที่หมัดของเรนจะได้เข้าปะทะกับใบหน้าของชายปริศนาคนนี้ มันกลับเป็นความผิดของเขาเองที่ดันปล่อยคอเสื้อออกมา เพราะเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ชายหน้ากระปอมกลับถูกรุ่นน้องคนนี้สวนหมัดขวากลับใส่กลางหน้าโดยไม่ทันให้ตั้งตัวซักนิด มิหนำซ้ำ ยังรุนแรงจนทั้งร่างของเขากระเด็นลอยไปไกล กลิ้งตกลงไปตามขั้นบันไดด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวอีกตะหาก สร้างความแปลกประหลาดใจให้เพื่อนทั้งสองเป็นอย่างมาก พร้อมกับคำถามที่ว่า ไอ้หัวแหลมนี่ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนกันแน่“ไอ้เรน!!!” ทั้งสองตะโกนเรียก “มึง ทำเพื่อน...” สิ่งที่พอจะเป็นคำตอบได้ คงจะเป็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คนก่อนหน้านี้ ขนหนาสีขาวปกคลุมทั่วทั้งร่างยกเว้นบริเวณหน้ามือและใบหน้า เขี้ยวอันแหลมคมงอกยาวขึ้นมาดูน่าเกรงขาม พร้อมนัยน์ตาสองข้างที่เปล่งประกายสีเขียวดั่งมรกต ในตอนนี้ สิ่งที่พอจะอธิบายถึงตัวตน เขาได้คงมีเพียงคำว่า "ลิง" เท่านั้น“หือ?” เมื่อเห็นเพื่อนโดนเล่นเช่นนี้ หนึ่งในเพื่อนอีกคนจึงรีบวิ่งเข้ามาพร้อมปล่อยหมัดขวาใส่ทันที แต่ลิงขาวกลับสามารถใช้มือซ้ายรับเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นจึง เตะขวาใส่ท้องอย่างรุนแรงและรวดเร็วติดต่อกันอีก ๒ ครั้ง ทว่า ยังมีอีกคนที่พุ่งเข้ามาพร้อมใช้มือสองข้างจับหลังของเขา แต่ไม่ทันไรหนุ่มหัวแหลมก็เปลี่ยนเป้าหมายได้ทันกาล ถีบแบ็กคิกกลับเข้าใส่ท้องน้อยย่างแรงจนกระเด็นไปข้างหลัง อีกคนที่พึ่งจะโดนเตะใส่ก่อนหน้านี้ได้จังหวะจะสวนกลับ แต่ก็พลอยโดนหมัดขวากระแทกเข้าใส่กลางหน้าอย่างจังจนกระเด็นไปไกล อีกคนลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว แล้วจึงวิ่งพุ่งหวังจะชนเข้าใส่ แต่ลิงขาวก็ยังรู้ตัวได้ทัน สามารถยกเท้าขวากระโดดถีบเข้าใส่หน้าอย่างจังจนต้องล้มลงกองกับพื้นในทันใด“ไอ้หัวแหลม!!!” ลิงหัวแหลมหันกลับไปตามเสียงเรียก แล้วพบกับเรนที่กำลังวิ่งตรงมาหาเขาจากข้างหลังพร้อมมีดสั้นสีดำในมือขวาที่ซ่อนเอาไว้ เขาคงพร้อมที่จะแทงมีดเล่มนี้ลงไปในร่างของลิงขาวให้สาสมกับสิ่งที่ทำเอาไว้แน่ๆ ทว่า เขากลับประมาทความสามารถของลิงขาวไปหน่อย“มันเรียกว่า ทรงเปี๊ยวโว้ยยยยย!!!” ลิงขาวหันหลังกลับไปได้อย่างเหมาะเจาะเสมือนมีตาข้างหลัง และเมื่อพบกับเรนที่พร้อมจะแทงอยู่รอมร่อแล้ว ลิงผู้มาพร้อมกับทรงเปี๊ยวจึงรีบเตะตัดขวาเข้าไปที่มือขวาของเรนอย่างจังใบมีดกระเด็นลอยออกไปในทันที เมื่อไร้ซึ่งอาวุธแล้ว เขาจึงใช้มือสองข้างจับหัวรุ่นพี่หน้ากระปอมเอาไว้ ก่อนจะทำการปิดฉากการต่อสู้ครั้งนี้ ลิงขาวเข่าขวาตรงเข้าไปยังกลางใบหน้าเรนอย่างรุนแรงถึงที่สุด ขนาดที่ว่าทำให้สติสัมปชัญญะของเรนหลุดลอยออกไปในพริบตา และเมื่อปล่อยมือออกมา ร่างของเรนจึงค่อยๆ ร่วงลงไปกองกับพื้นเป็นรายสุดท้ายในบรรดาเพื่อนๆ ทั้งสาม แดูจากโลหิตสีแดงที่ไหลออกมาจากปากและรูจมูกสองข้าง เข่าของลิงขาวผู้นี้คงทรงพลังจนทำให้ดั้งหักไปเลยทีเดียว“งั้นผมขออนุญาตไปเรียนก่อนนะครับ พี่พิเรนทร์” ลิงปริศนาผู้นี้เดินจากร่างอันแน่นิ่งของรุ่นพี่ทั้งหมดที่มาหาเรื่องไปช้าๆ เป็นดั่งบทลงโทษที่พวกเขาเคยแต่รังแกรุ่นน้องที่อ่อนแอกว่า ละอองสีทองเข้าปกคลุมร่างของลิงสีขาวอีกครั้ง เป็นผลให้เขากลับเป็นร่างมนุษย์ดังเดิมอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก บรรดาคณาจารย์และนักเรียนหลายคนก็วิ่งสวนตัวเขา ตรงไปยังบริเวณบันไดข้างหลัง อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ ดูเหมือนว่าพวกเขาคงต้องการทราบถึงที่มาของเสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อครู่ โดยหารู้ไม่ว่าตัวการแท้จริงเพิ่งเดินผ่านไปแท้ๆ พวกเขาเดินผ่านหนึ่งในชนวนสำคัญของเรื่องอย่างชายหัวแหลมคนนี้โดยไม่เอะใจเลยซักนิด อาจเป็นเพราะเขากลับคืนเป็นร่างมนุษย์ธรรมดาแล้ว และยิ่งเมื่อใบหน้าของเขาไร้ซึ่งบาดแผลหรือรอยฟกช้ำใดๆ คงไม่มีใครสงสัยผู้ซึ่งดูเหมือนนักเรียนธรรมดาสามัญคนนี้แน่นอนและแล้ว หลังจากเดินผ่านทางเดินของอาคารเรียนมาได้ซักพัก เขาก็ได้หยุดเท้าไว้ที่หน้าห้องเรียนนี้แล้ว“อะไรวะ?” ครูชรัสสงสัยระหว่างที่กำลังยืนถือไมโครโฟนสีดำอยู่หน้าห้อง พร้อมหนังสือในมือซ้าย “เด็กตีกันอีกแล้วเหรอ”/ไอ้พวกเมื่อกี้อีกแล้วเหรอ?/ ติ๊กยังนั่งคิดคนเดียว /ช่างแม่งเถอะ/ “ถึงไหนแล้วนะ” ครูชรัสมองกลับไปยังหนังสือในมือ “เอ่อ... กิตติ...”“มาแล้วครับ” กิตติคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือลิงขาวผู้เก่งกาจคนนี้นี่เอง เขาเดินผ่านช่องประตูเข้ามาหน้าห้องช้าๆ เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ เขาคือชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้านั้นธรรมดาๆ แต่มีจุดเด่นที่ทรงผมแหลมๆ กับรอยยิ้มสบายๆ บนใบหน้า เผยโฉมให้ทั้งห้องได้รู้จักหน้าค่าตาของเขาถึงแม้จะมาสายกว่าใครเพื่อนก็ตาม“วันนี้ถือเป็นวันแรกนะ” ครูชรัสเตือนกับกิตติ “แต่ถ้ามาสายในคาบครู...” ทว่า ก่อนที่อาจารย์ประจำชั้นจะทันเทศน์จบ เขากลับชี้นิ้วขวาไปข้างหน้าใส่เหล่าเพื่อนๆ ทุกคนในห้องอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ามองไม่เห็นอาจารย์ที่ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ เลยซักนิด มิหนำซ้ำ ยังกล้าแย่งไมโครโฟนมาไว้ในมือของตนเองเสียอีก สร้างความตกตะลึงให้ทั้งห้องเป็นอย่างถึงที่สุด และแล้ว ลิงขาวชื่อกิตติจึงยกเท้าขวาเหยียบลงบนโต๊ะเรียนข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ตะโกนกึกก้องไปทั่วทั้งห้องให้ทุกคนได้ยินอย่างเกรียงไกรออกไปว่า"ชื่อของกูคือกิตติ เหมันต์วงศ์ เรียกสั้นๆ ว่า กัน ที่กูย้ายมาโรงเรียนนี้มีเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น...” กิตติตะโกนลั่นวาจาเสียงดังกึกก้องไปทั่วห้อง“เพื่อเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าใครๆ ในโรงเรียนนี้ให้ได้!!!”
โปรดติดตามบทถัดไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ