วุ่นนัก เทพพิทักษ์จักรราศี
7.7
เขียนโดย ถังถัง
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.31 น.
3 บท
2 วิจารณ์
7,538 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ผมคือ...นายสามตา!
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความไม่ว่าอยู่ที่ไหน ข้าก็จะกลับมา...
ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ข้าคง... ต้องผิดคำมั่นกับพวกเจ้าแล้วจริง ๆ สินะ สหายผู้อยู่ ณ สุดขอบจักรวาลอันห่างไกล
ช่างน่าเสียใจที่ข้าไม่อาจกล่าวคำขอโทษหรือแม้แต่คำร่ำลา แต่ทว่า เพราะนี่คือ หนทางที่ข้าเลือกเองมาตั้งแต่ต้น มาจนถึงบัดนี้ข้าจึงไม่อาจปฏิเสธมันได้
“หยางเจียน ถึงเวลาชดใช้กรรมของเจ้าแล้ว มีอะไรจะสั่งเสียก็รีบพูดมา!”
ข้าก้มลงใช้นิ้วปาดโลหิตสีแดงฉานที่เปรอะเปื้อนริมฝีปากออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงห้วนที่เอ่ยเรียกนามเดิมของข้าอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังเกินกว่าจะพรรณาไม่ต่างจากสายตาแข็งกร้าวที่จ้องมองลงมายังร่างที่ทรุดอยู่กับพื้นดินอย่างหมดสภาพของข้า
เด็กน้อยที่ข้าเคยโอบอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก เด็กน้อยที่เคยร้องไห้งอแงร้องเรียกหามารดาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ วันนี้เติบโตมากเกินกว่าที่ข้าจะคาดถึง กาลเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง ๆ
“หึ เฉินเซียง อย่ามัวแต่พูดมากอยู่เลย สิ่งใดที่ข้าได้กระทำลงไปแล้วจะไม่มีวันเอ่ยคำว่าเสียใจในภายหลังแน่นอน”
ข้าเค้นเสียงเอ่ยตอบพร้อมกับกระอักเลือดออกมาอีกอึกใหญ่ เห็นทีว่าร่างกายของข้าคงไม่อาจจะรับไหวแล้วจริง ๆ พลังอำนาจของหลิวเฉินเซียง หลานผู้ไม่เอาไหนของข้าในกาลก่อนเวลานี้กลับเพิ่มพูน เมื่อรวมกับขวานเทพ อาวุธทรงอานุภาพในมือ รวมทั้งได้ความช่วยเหลือจากเหล่าสหายเทพและปิศาจที่ล้วนแต่ชิงชังหวังจะกำจัดข้า เขาจึงกลายเป็นดั่งพยัคฆ์มังกรติดปีกก็ไม่ปาน
ข้ายังคงไม่ละสายตาไปจากร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้า หลานชายเพียงคนเดียว พร้อมกับเหล่าสหายเทพปิศาจมากมายที่อยู่ข้างกาย ช่างเป็นภาพที่...
น่ายินดีอะไรเช่นนี้!
เขาไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเลย แม้ร่างกายนี้จะเจ็บปวดเหลือคณาแต่มันกลับถูกความยินดีเหลือล้นที่ผุดขึ้นมานั้นสลายไปจนแทบไม่หลงเหลือ ริมฝีปากของข้าจึงเผลอแย้มรอยยิ้มบาง ๆ ออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้สายตาของเฉินเซียงยิ่งปรากฎแววขุ่นขวางคล้ายอยากจะแผดเผาตัวข้าให้มอดไหม้มากยิ่งขึ้น
“จนถึงเวลานี้เจ้าก็ยังไม่สำนึกในสิ่งที่กระทำ ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องพบกับความสูญเสีย จากการยึดมั่นในกฎสวรรค์ที่ไร้ความเป็นธรรมนั่น รวมทั้งเทพผู้คุมกฎที่ไร้ซึ่งจิตเมตตาหรือคุณธรรมเช่นเจ้า ข้าจะบอกให้รู้ไว้ ข้าจะช่วยมารดาของข้าออกมาและเปลี่ยนแปลงกฎสวรรค์บ้าบอนั่นซะ แต่น่าเสียดายที่เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นมัน!”
“ดี... ” ข้าเอ่ยตอบเสียงเรียบคล้ายไม่อนาทรร้อนใจกับความพินาศของตนที่รออยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ใช้แรงกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดค่อยพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนต่อหน้ามัจจุราชที่พร้อมจะประหัตประหารข้าได้ทุกเมื่อแล้วขยับยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย “เอาสิ ข้าพร้อมแล้ว”
ข้าได้ยินเฉินเซียนแค่นเสียงในลำคอแต่กลับไม่ได้มองอีกแล้วว่าเขากำลังทำสิ่งใด สายตาของข้าเหลือบมองไปบนท้องฟ้าอันกว้างไกล สีสันอันสดใสจากดวงอาทิตย์ ท้องฟ้าสีฟ้าครามปราศจากเมฆหมอก หากแต่ยังคงมองเห็นเงาแห่งดวงจันทราอยู่ไกลห่างออกไปยังเวิ้งฟ้า
ในที่สุดทุกอย่างก็จะจบสิ้นกันเสียที ความทรมานนานนับพันปีของข้าในที่สุดมันก็จะได้รับการปลดปล่อย
วันนี้ช่างเป็นวันที่ดี... ดีเหลือเกิน
ข้าซึมซับภาพความสวยงามนั้นไว้ในใจ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง หยดน้ำอุ่นใสไหลรินจากหางตาพร้อมกับเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น แผ่นดินที่สั่นสะท้านไปทั้งสามภพ แต่ข้าไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งใดได้อีกต่อไปนอกจากแสงสว่างเจิดจ้าที่พุ่งผ่านดวงตาที่ปิดสนิทเข้ามา
“จงทำสิ่งที่เจ้าปรารถนาให้สำเร็จ เพราะนั่นก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนาเช่นกัน”
หัวสมองที่เลอะเลือนของข้าคล้ายได้ยินตนเองขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ยประโยคนี้ ก่อนจะมีอีกเสียงเอ่ยตอบกลับมา เป็นเสียงที่จะว่าคุ้นเคยก็ไม่ใช่ ห่างเหินก็ไม่เชิง
“ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ย่อมได้...”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเมื่อข้าได้ยินเสียงนี้ เส้นขนทุกส่วนสัดของข้าก็พลันพร้อมใจกันลุกตั้งชันอย่างไม่ได้นัดหมาย หากแต่ยังไม่ทันได้เปิดเปลือกตาเพื่อมองหาที่มาของเสียงนั้น พื้นใต้ลำตัวคล้ายพลิกกลับกะทันหัน ส่งผลให้ตัวข้ากระเด้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะลอยละลิ่ว กลิ้งม้วนสองตลบและไปจบลงที่พื้นเย็นเฉียบ พร้อมกับอะไรหนัก ๆ บางอย่างฟาดเข้าที่ท้ายทอย เป็นเหตุริมฝีปากได้รับจุมพิตจากพื้นเรียบเย็นเป็นของแถมภายในเวลาชั่วเสี้ยวยาม ไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย
“ทำอะไรของเจ้าเนี่ยฮะ!?”
ข้าตะกายพรวดขึ้นจากพื้น สองมือกุมริมฝีปากที่กระแทกพื้นเข้าอย่างจังพลางพยายามปรือตาหลบแสงจ้าที่ปะทะเข้ามาเต็มที่เพื่อจ้องมองหาตัวต้นเหตุ
“ท่านพี่ที่น่ารัก ข้าจะทำอะไรล่ะ ข้าก็ปลุกท่านให้ฟื้นคืนจากนิทราก่อนที่ท่านจะไปทำงานพิเศษสายน่ะสิ ถามได้”
“เจ้า! ยัยน้ำตาลขม!!”
ข้า เอ๊ย! ผมยกมือขึ้นชี้หน้าเด็กสาวเจ้าของทรงผมตัดซอยสั้นท่าทางเหมือนทอมบอยในชุดผ้ากันเปื้อน ซึ่งกำลังยืนเท้าสะเอวมองมาด้วยสีหน้าคล้ายสมเพชซะเหลือเกิน แล้วเผลออ้าปากค้างอย่างงุนงงอยู่อย่างนั้น และนั่นเองที่ทำให้คุณน้องสาวที่น่ารัก ยิ่งเพิ่มระดับสีหน้าจากสมเพชกลายเป็นรังเกียจขึ้นมาทันที
ใช่แล้ว เด็กสาวคนนี้ มินตรา หรือ ยัยน้ำตาลขม เป็นน้องสาวของผม เอ่อ... ชื่อหลังนี่ขอสงวนลิขสิทธิ์ไว้เฉพาะผมเท่านั้นนะ เพราะถ้าเป็นคนอื่นเผลอเรียกเข้าล่ะก็ ผม ในนามของนายเนตรตรัย คนนี้ก็ไม่อาจจะรับรองในสวัสดิภาพได้เหมือนกัน ว่าจะได้เข้าไปหยอดน้ำข้าวต้มชื่นชมหมอพยาบาลสวยหล่อกันซักกี่วัน
“เป็นอะไรของพี่ฮะ!? ผีเข้าหรือไงอยู่ ๆ ถึงได้พูดจาประหลาด ๆ ออกมาได้”
ผมไม่ตอบคำถามและยังคงนิ่งมองคุณน้องสาวที่เคารพเดินอ้อมเตียงผ่านตัวผมไปก่อนจะก้มลงเก็บบางอย่างที่พื้นขึ้นมา สีหน้ารังเกียจเปลี่ยนเป็นเข้าใจกระจ่างชัดขึ้นมาทันที
“อ้อ อ่านนิยายนี่จนหลับไปล่ะสิ ฝันว่าหลุดเข้าไปอยู่ในยุคไหนล่ะ มังกรหยก จอมยุทธอินทรีย์ หรือชอลิ้วเฮียงจอมโจรขโมยหัวใจ...”
“เปล่า”
ผมปล่อยให้น้องสาวพล่ามจนเสร็จแล้วจึงลุกขึ้น ยื่นมือไปคว้าหนังสือสุดหวงซึ่งผมนอนอ่านจนเผลอหลับไปเมื่อคืน กลับมาไว้ในมือ บอกตามตรงว่าถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองเจอเข้ากับวิธีการปลุกแบบไหนเข้าไป แต่ที่แน่ ๆ คือมันทำให้สมองผมมึนงงไปไม่น้อยเลยทีเดียว นี่ถ้าผมสมองเสื่อม หรือเอ๋อรับประทานขึ้นมาล่ะก็ ผมจะให้ยัยน้ำตาลขมรับผิดชอบเลี้ยงดูผมไปตลอดชีวิตซะเลย คอยดู
“เปล่าก็เปล่า... รีบอาบน้ำซะ แล้วลงไปกินข้าว ตาลเตรียมไว้ให้แล้ว เร็วด้วยล่ะ วันนี้มีงานพิเศษไม่ใช่รึไง”
ว่าพลางคุณเธอก็เดินโฉบผ่านตัวผมที่ยังคงคลำหัวป้อย ๆ ไปด้วยท่าทางประหนึ่งคุณแม่วัยทองก็ไม่ปาน
สรุปว่า ยัยน้ำตาล เป็นน้องสาวจริงหรือเปล่าเนี่ย นับวันทำตัวยิ่งกว่าแม่เข้าไปทุกวัน
ผมได้แต่ขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย มองคุณน้องสาวที่เดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร อย่าคิดว่าผมเป็นพวกคนใจเย็นอะไรเลย เปล่าหรอก มันก็แค่ ชิน เท่านั้นเอง
ก็จะไม่ให้ชินได้ยังไง ระยะหลัง ๆ มานี่ ยัยน้ำตาลน้องสาวที่น่ารักใช้วิธีการทำนองนี้ปลุกผมเป็นประจำ คงเพราะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักกีฬายูโดของโรงเรียนเลยเกิดอาการบ้าพลังขึ้นมา
แน่ล่ะ ก็ถึก ทน ไม่หวั่นแม้วันมามากขนาดเพื่อนผู้ชายยังเกรงยกให้เป็นเจ้ใหญ่คุมแก๊งค์หัวโจกขนาดนั้น ถ้าไม่ได้รับเลือกก็แปลกแล้ว นี่ผมควรจะภูมิใจมั้ยนะเนี่ยที่มีน้องสาวเป็นเจ้าแม่ของโรงเรียน
อืม... ถึงพูดอย่างนี้ก็ใช่ว่าน้องผมจะเป็นคนเกเรอะไรหรอกนะ เรียนดี กีฬาเด่น หน้าหล่อ...
อาฮะ! ฟังไม่ผิดหรอก ยัยน้ำตาลเป็นสาวหล่อเป็นที่กรี๊ดกร๊าดและขวัญใจของสาว ๆ นี่ล่ะยี่ห้อของน้องผม แต่มีอีกอย่างที่ไม่มีใครรู้ก็คือ สาวหล่อที่ว่าดันเป็นแม่บ้านแม่เรือนสุด ๆ พูดก็พูดเถอะนะ น้องสาวคนนี้มีดีทุกอย่างซะจนผมแอบอิจฉา มาเสียอย่างเดียวก็ตรงชอบใช้ความรุนแรงกับพี่เชื้อนี่ล่ะ
ผมมองผ้าปูที่นอนที่ลงมาม้วนกองอยู่ข้างเตียงก็พอจะเดาออกได้ทันทีว่า เมื่อครู่น้องสาวตัวแสบใช้วิธีไหนปลุกพี่ชาย นี่ถ้าไม่ติดว่าผมไม่ใช่พวกที่ชอบพูดมากล่ะก็ บางทีงานนี้คงมีศึกภายใน (บ้าน) เกิดขึ้นแน่ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อชีวิตส่วนใหญ่ของผมต้องอยู่ติดบ้านกับน้องสาวตัวแสบในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างมีภาระนอกบ้าน ผมก็ควรจะสร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างพี่น้องไว้สิจริงมั้ย นี่พูดจริง ๆ นะ ผมแค่ไม่อยากให้เกิดความบาดหมางระหว่างพี่น้อง ไม่ใช่ว่าเพราะผมกลัวจะสู้แพ้น้องสาวตัวเองหรอก อย่าได้เข้าใจผิดทีเดียว
เอาเป็นว่าเรื่องนั้นช่างมันเถอะ ยังไงก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรมที่มีน้องสาวเป็นยัยน้ำตาลบ้าพลังในขณะที่ตัวเองเป็นแค่พี่ชายแสนจะธรรมดา ผู้รักความสงบยิ่งชีพก็แล้วกัน
ขณะที่พยายามคิดปลงกับตนเองในใจ ผมก็หันไปวางหนังสือเล่มโปรดไว้ที่หัวเตียง พลางมองดูหน้าปกเรียบ ๆ ที่มีเพียงอักษรจีนตัวสีทองสวยงามเรียงราย แปลได้ความว่า พงศวดารห้องสิน สถาปนาเทวดา เล่ม1*
ไม่ต้องแปลกใจถ้าผมจะอ่านภาษาจีนได้ในเมื่อผมเรียนภาษานี้มาพร้อม ๆ กับภาษาแม่ นั่นก็คือ ภาษาไทย ถึงบรรพบุรุษของผมจะไม่มีเชื้อสายจีนแม้เพียงกระผีกก็เถอะ แต่นับว่าพ่อกับแม่ของผมสายตากว้างไกลไม่เบาที่ให้ผมได้หัดเรียนภาษานี้มาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะตอนนี้มันมีประโยชน์มากทีเดียวสำหรับผม เอาล่ะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน กลับมาที่ เรื่องหนังสือที่วางหราอยู่ที่หัวเตียง...
คงเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ฝันแปลก ๆ แบบนั้นได้ นับว่าเป็นความซวยอย่างหาได้ยากในรอบปีจริง ๆ นอกจากฝันประหลาดที่ชวนให้จิตตกแล้ว ยังมาถูกน้องสาวปลุกซะลอยละลิ่วลงไปกองอยู่ข้างเตียงในสภาพที่น่าอับอายขายหน้าและเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพี่สุด ๆ แถมยังถูกหนังสือของตัวเองประทุษร้ายหล่นลงมาฟาดหัวได้ตรงเผงราวกับจับวางซะอีก...
ยังจะมีอะไรที่แย่กว่านี้มั้ยวะไอ้ตรัยเอ๊ย!
ผมจ้องมองตัวอักษรสีทอง ใจพลันหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในความฝัน
น่าประหลาด ที่ความฝันนั้นมันชัดเจนซะจนรับรู้ได้แทบจะทุกความรู้สึก ขนาดว่าตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ ความเจ็บปวด ความเศร้าโศก ความยินดี มันยังคงฝังอยู่ไม่หายคล้ายทุกอย่างในความฝันเคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่เคยรู้ก่อนเลยว่า คนเราจะสามารถจดจำความฝันได้ ชัดเจนทุกรายละเอียดขนาดนี้ ว่าแต่ทำไมในฝัน ทำไมผมถึงถูกเรียกว่าหยางเจียน ?
หยางเจียนนี่มัน นามเดิมของเทพสามตา เอ้อหลางเสินไม่ใช่เหรอ?
เฮ่ย... คิดไปก็ใช่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา สงสัยคงจะอ่านหนังสือพวกนี้มากไปจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะอย่างที่ยัยน้ำตาลขมว่าแน่ ๆ ประสาทจริง ๆ เลิกคิดอะไรไร้สาระดีกว่า
ผมถอนหายใจ ยกมือขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วให้ยุ่งมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไมเหมือนกัน ก่อนจะกวาดสายตาไปที่เตียงซึ่งมีสภาพประหนึ่งเจอพายุใหญ่พัดถล่มก็ไม่ปาน หมอน ผ้าห่มกระจายไปคนละทิศละทาง ซึ่งสาเหตุก็คงมาจากวิธีการปลุกสุดแสนพิสดารที่ผ่านมานั่นเอง
ว่าแต่ เมื่อกี๊ยัยน้ำตาลขม ว่าไงนะ?
ผมขมวดคิ้ว ยังมึนหัวไม่หายก่อนที่สายตาที่กวาดไปทั่วห้องจะไปสะดุดเข้ากับนาฬิกาปลุกที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างเตียง ซึ่งคาดว่าคงจะมาจากฝีมือของผมเอง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ เข็มสั้น ยาวบอกเวลาของมันกำลังชี้ไปที่ เลขแปดและเลขสิบสองอย่างพร้อมเพรียง
เวงล่ะสิตรู!! สะ... สายแล้วโว๊ยยย!!
ผมตะโกนก้องอยู่ในใจแต่ไม่ยอมปล่อยให้เสียงเล็ดลอดออกมาให้ใครได้ยิน ก่อนจะลอกคราบตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วโกยอ้าวเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วแสง ลืมทุกสิ่งทุกอย่างหรือแม้แต่ฝันประหลาดนั้นไปเสียสนิทในเวลาชั่วเสี้ยวลมหายใจ.
.............
“เฮ้ พี่สามตา!”
เสียงตะโกนลั่นหน้าบ้านทำเอาผมเผลอกำเบรคจักรยานจนเกือบหน้าทิ่ม ยังดีที่พอตั้งตัวได้ไม่อย่างนั้นเช้านี้คงมีเหตุการณ์น่าขายหน้าเกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สองแน่ แถมครั้งนี้ยังต่อหน้าธารกำนัล หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ บรรดาคนข้างบ้านที่ตกใจเสียงเรียกของน้องสาวผมจนต้องโผล่หน้าออกมาเยี่ยมชมเจ้าของเสียงดังทำลายโสตประสาทนั่นล่ะ
“อะไรของเธอ พี่รีบนะ แล้วก็เมื่อไหร่จะเลิกเรียกพี่แบบนั้นซักที”
“ก็จนกว่าพี่จะเลิกเรียกตาลว่า ยัยน้ำตาลขมนั่นล่ะ พี่ชายสามตา”
ผมมองดูสีหน้ายิ้ม ๆ อย่างเป็นต่อของน้องสาวแล้วแอบฉุนอยู่ในใจ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเรื่องคำเรียกแบบนี้หรอกนะ ก็ในเมื่อชื่อผม มันแปลว่า สามตา หรือผู้ที่มีตาที่สาม จริง ๆ นี่
ถ้าถามว่าทำไมผมถึงได้ชื่อแปลกพิสดารไม่เหมือนใครนี่ล่ะก็ คงต้องถามแม่ผมแล้วล่ะ แต่ทางที่ดีผมแนะนำว่าอย่าถามเลยจะดีกว่า เพราะคำตอบที่ได้อาจจะทำให้คุณรู้สึกสับสนในชีวิตไปอีกนาน แน่นอนล่ะ ก็ผมเป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาแล้ว อืม..ผมควรจะเล่าให้ฟังหน่อยจริงมั้ย
และนี่คือที่มาของชื่อผม โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง นี่ไม่ใช่คำเตือนแต่ถือเป็นการบอกกล่าวเอาไว้ล่วงหน้าก็แล้วกัน เผื่อจะได้ไม่มีใครมาว่าผมว่าบ้าและไร้สาระเอาทีหลัง...
จำได้ว่าในเช้าวันที่สดใสเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เรานั่งอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก ปราศจาก กอขอคองอจอ เพราะพี่ชายกับน้องสาวตัวแสบออกไปข้างนอก อยู่ ๆ ผมก็อุตรินึกสงสัยขึ้นมา
“แม่ครับ ทำผมถึงชื่อเนตรตรัยล่ะครับ?”
“เพราะลูกมีสามตาไงล่ะ” แม่ผมตอบเรียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่สายตายังคงง่วนกับนิตยสารในมือ ท่าทางดูไม่ออกเลยว่ากำลังจริงจังอยู่
เอาล่ะ... คงต้องมาทำความเข้าใจกันหน่อยแล้วว่าถึงปกติแม่ผมเป็นคนที่อารมณ์ดีมาก แต่ก็มีความจริงจังเข้าขั้นระดับยอดเยี่ยมและมักไม่เคยพูดล้อเล่นดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าผมจะแสดงท่าทางตกใจจนออกนอกหน้าไปบ้างที่ได้ยินแม่บอกอย่างนั้น
“ฮะ! ว่าไงนะครับ!?”
“ก็เพราะลูกมีตาที่สาม อยู่ตรงนี้ไง” พ่อที่นั่งอยู่ชิดกับผมยกนิ้วชี้ขึ้นมาจิ้มที่หน้าผากผมแรง ๆ หนึ่งทีจนผมเกือบหน้าหงายพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
และก็ต้องอธิบายอีกเช่นกันว่าคุณพ่อของผม ท่านก็มีอารมณ์ขัน เข้าขั้นจนอยากส่งเสริมให้ไปตั้งคณะตลกเลยทีเดียว พ่อกับแม่ผมนี่เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่เข้าล็อคลงตัวสุด ๆ เลยก็ว่าได้ แต่นั่นไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เอาเป็นว่าคำพูดของพ่อก็ไม่ช่วยให้ผมรู้สึกกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นมากนัก นอกจากเพิ่มความมึนงงไปอีกหลายระดับเท่านั้น
“เอ่อ... นี่พ่อกับแม่กำลังล้อผมเล่นใช่มั้ยเนี่ย?” ผมถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ไม่รู้สินะ เอาเก็บไปคิดเป็นการบ้านก็แล้วกัน เดี๋ยวพ่อกับแม่ต้องออกไปแล้วล่ะ นัดลูกค้าเอาไว้น่ะ เย็นนี้จะกลับมาให้ทันกินข้าวนะ” แม่ผมวางนิตยสารในมือลง พลางยกข้อมือขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกา ก่อนจะเดินเข้ามาและก้มลงจุ๊บหน้าผากผมเบา ๆ ในขณะที่พ่อยีหัวผมจนมันยุ่งเหยิงหมดสภาพแล้วจึงเดินออกจากบ้านไป ทิ้งผมให้ใบ้รับประทานอยู่ตรงนั้นห้านาทีถึงเรียกสติตัวเองกลับมาได้
และตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะไม่พูดเรื่องชื่อของผมกับพ่อแม่อีก เพราะฉะนั้นผมจึงไม่รู้ว่าที่พ่อกับแม่ผมพูดนั้นมันจริงเท็จหรือเป็นเรื่องล้อเล่นตลกร้ายยังไงกันแน่มาจนบัดนี้
เอาล่ะ กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน ผมกำลังเผชิญหน้าอยู่กับน้องสาวสุดหล่อของผมอยู่ที่หน้าบ้าน แถมแม่คุณยังยกมือขึ้นดันจักรยานของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ อีกด้วย
“แล้วมีอะไรอีกล่ะ เดี๋ยวพี่สายนะ”
ผมมีนัดตอนสามโมงเช้า ก็งานพิเศษที่ยัยน้ำตาลขมว่านั่นแหละครับ ถึงบ้านผมจะถือได้ว่ามีฐานะพอสมควร แต่เราก็อยู่กันอย่างพอเพียงตามพระราชดำรัสของในหลวงเป๊ะ ช่วงนี้เวลาว่างของผมเลยรับจ๊อบเป็นล่ามนำนักท่องเที่ยวชาวจีนท่องเที่ยวกรุงเทพฯ แถมด้วยเป็นไกด์ไปด้วยในตัว
บางทีถ้าผมเรียนจบนี่อาจจะเป็นงานในอนาคตที่ผมคิดจะทำอย่างจริงจังก็ได้ ส่วนกิจการและธุรกิจส่วนตัวที่พ่อแม่ผมทำ ก็ยกให้พี่ชายที่กำลังเรียนต่ออยู่ที่ต่างประเทศกับยัยน้ำตาลขมไปซะ ยังไงผมก็ไม่ได้สนใจมากมายอยู่แล้ว และดูจากผลการเรียนที่พอไปวัดไปวาได้ของผม มีหวังผมคงได้บริหารธุรกิจของพ่อกับแม่ล่มจมซะเป็นแน่แท้ยิ่งกว่าแช่แป้ง เผลอ ๆ จะโดนญาติโกโหติการุมยำเอาซะเปล่า ๆ
“เอ้า... นี่ข้าวกล่อง ข้าวเช้าไม่ยอมกินเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก ช่วงไหนมีเวลาก็รีบกิน ๆ เข้าไปล่ะ” ยัยน้ำตาลว่าพลางยื่นส่งกล่องข้าวมาตรงหน้าผม
“ขอบใจนะ” ผมมองอย่างอึ้ง ๆ แล้วขยับยิ้มพลางเอื้อมมือไปรับ นี่ล่ะข้อดีอีกอย่างของน้องผม ถึงปากจะพูดจากวนโมโหแค่ไหน แต่ก็คอยห่วงใยใส่ใจคนรอบข้างตลอด
“โอ้โห... สองพี่น้องมาสวีทหวานอะไรกันหน้าบ้านแต่เช้าเนี่ย”
เสียงกวนประสาทอีกเสียงที่ดังทะลุกลางปล้องนั่น ยังไม่ต้องหันไปมองผมก็รับรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นใคร
“ไอ้ป้อง หุบปากห่วย ๆ ของแกไปเลย” ผมหันไปกระแทกเสียงใส่อย่างไม่เกรงใจในทันที
“อะไรเล่า ก็ฉากเมื่อกี๊นี้มันดูเหมือนพระเอกนางเอกในหนังเกาหลีกำลังส่งยิ้มให้กันเลยล่ะ แต่แกเป็นนางเอกนะเว๊ยไอ้ตรัย ฮ่า ๆ”
ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กล้ามล่ำ สมกับเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ผู้มีนามกร ว่าไอ้ป้อง หรือ นายปิยะ ฉายา ไอ้กะปิจอมกวน เพื่อนบ้านและยังเป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เดินเข้ามาใกล้ แถมวางมือลงบนไหล่พลางหัวเราะใส่หน้าผม เล่นเอาซะโมโหจนถ้าผมมีหนวดมันคงกระตุกไปหลายรอบแล้ว
“เพ้อเจ้อ อะไรของแกวะ ฉันไม่สนุกด้วยนะเว้ย นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบไปล่ะก็ฉันกับแกวันนี้ต้องมีเคลียร์” ผมบอกฉุน ๆ อย่างไม่มีเก็บอาการ
“ขยันจังน๊า วันหยุดก็ยังทำงานพิเศษอีก เก็บเงินไว้แต่งสาวหรือไง?”
นี่ล่ะนิสัยส่วนตัวของเจ้าเพื่อนของผม กวนอารมณ์ผมเป็นงานอดิเรกไม่รู้ผมทนคบมาได้ยังไงเป็นสิบปี
“พี่ป้อง แล้ววันหยุดทั้งทีพี่ไม่อยากไปที่ชอบที่ชอบกะคนอื่นเค้าบ้างเหรอ?”
ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ในขณะที่เจ้าเพื่อนซี้ทำหน้าเหวอได้อย่างเสแสร้งจนน่าถีบ
“โอ๊ะ น้องตาล เล่นแรงนะเนี่ย ที่ชอบของพี่ก็อยู่ข้าง ๆ น้องตาลไงล่ะ” ว่าพลางเจ้าตัวก็ขยับกระแซะเข้าไปใกล้น้องสาวหน้าหล่อของผมอย่างเนียน ๆ แต่ในสายตาพี่ชายอย่างผม มองยังไงมันก็ไม่เนียนเลยซักนิด
“ตาล จัดการได้ไม่ต้องเกรงใจนะ” ผมหันมาทางน้องสาวตัวเองพลางบอกเสียงเรียบ ไอ้เพื่อนจอมกวนที่แก้นิสัยไม่หายทั้งที่รู้อยู่ว่าต้องเจอกับอะไรมันก็สมควรโดนแล้ว
น้ำตาลพยักหน้าอย่างว่าง่ายพลางยกมือขึ้นม้วนแขนเสื้อด้วยท่าทางข่มขู่... ให้ตายเถอะ ดูไปดูมาทำไมน้องสาวผมมันถึงได้ดูแมนยิ่งกว่าผู้ชายอีกนะเนี่ย ถึงว่าล่ะสิ สาว ๆ ถึงได้ติดตรึม... นี่โลกใบนี้มันเป็นอะไรไปแล้วนะ
“เฮ่ย เดี๋ยวก่อนสิ จะไม่ถามก่อนรึไงว่าฉันมาทำไม”
เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของนักกีฬายูโดตัวแทนโรงเรียนที่รู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้วว่ามีความโหดอยู่ในระดับไหน เจ้าเพื่อนตัวดีถึงได้ยอมอ้อมวกกลับมาเข้าเรื่องจริงจังในที่สุดแต่ตอนนี้ผมชักไม่มีอารมณ์ด้วยแล้ว
“จำเป็นด้วยเรอะ?”
“จำเป็นรึเปล่าไม่รู้ แต่วันนี้วันเกิดแกไม่ใช่รึไง ฉันเลยจะมาถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญฉันจะได้ซื้อให้ถูก ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้แกว่ะ”
คำพูดของมันทำให้ผมมึนงง ลืมเรื่องเสียอารมณ์ไปชั่วขณะ แล้วนิ่งไป 5 วิ จึงได้หลุดคำพูดออกมาได้
“เอ๋ วันนี้วันเกิดฉันเหรอ?” สาบานเลยว่าผมจำอะไรแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ
“ก็เออสิวะ คนอะไรลืมแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง”
“แล้วเธอทำไมไม่บอกพี่” ผมหันไปไล่เลียงกับคนใกล้ตัวทันที ยัยน้ำตาลทำหน้าเซ็งเล็ก ๆ ก่อนจะตอบเสียงเนือย
“เย็นนี้พ่อกับแม่กะจะเซอร์ไพรส์พี่ไง แต่ตอนนี้คงไม่เซอร์ไพรส์แล้วล่ะ”
สายตาเอาเรื่องของน้องสาวที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมก๊วนเล่นเอามันเหงื่อตก ทำให้ผมรู้สึกสงสารจนต้องตัดสินใจห้ามทัพด้วยตนเองก่อนจะเกิดศึกขนาดย่อมหน้าบ้าน
“เอ้อ.. เอาล่ะ ๆ ฉันยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ต้องรีบไปแล้วว่ะ” ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เกือบลืมไปเลยว่ากำลังรีบ
“ตอนเย็นรีบกลับมาด้วยล่ะ พ่อกับแม่เตรียมของขวัญไว้ให้ พี่ต้องถูกใจแน่ รับรองเลย”
“จริงดิ โอเค งั้นไปก่อนนะ” ผมว่าพลางโบกมือลาสองคนที่ยืนส่งผมอยู่หน้าบ้าน แล้วปั่นจักรยานคู่ใจออกไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าผมรู้ว่า การหันหลังจากไปของผมในครั้งนี้จะเป็นการจากไปที่ยาวนานจนไม่สามารถคาดเดา ผมก็คงหันกลับไปซึมซับภาพความทรงจำดี ๆ ทุกอย่างเอาไว้ แต่ในเมื่อไม่มีผู้ใดล่วงรู้อนาคตได้ ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มและพาตัวเองให้ห่างไกลจากสถานที่ที่ผูกพันออกมา มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องประสบ แต่เมื่อชะตาได้กำหนดก็คงไม่มีใครสามารถอาจหาญปฏิเสธมันได้.
............................
ในที่สุด... ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านพบจนได้... นายท่าน
เสียงลึกลับเจือแววยินดีดังขึ้นในมุมอับมุมหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรอันใหญ่โตกว้างขวางของผู้มีอันจะกินซึ่งสามารถมองเห็นบ้านหลังงามของสองพี่น้องที่ใช้เป็นสถานที่สนทนาเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน พร้อมกับเงาร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำสนิทปรากฎขึ้นราวกับภูติผี
“นับว่าความสามารถในการดมกลิ่นของเจ้าไม่เลวสมเป็นราชาสุนัขแห่งสามภพจริง ๆ นะ เห่าฟ้า”
เสียงทุ้มต่ำพร้อมกับร่างเลือนรางในอาภรณ์ราวกับหลุดออกมาจากปกหนังสือ นิยายจีนโบราณที่เป็นหนังสือแนวโปรดของชายหนุ่มที่เพิ่งปั่นจักรยานผ่านไปโดยมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ ไม่รับรู้ว่ามีเจ้าของใบหน้าคมคาย อีกทั้งดวงตาคมประดุจอินทรีย์ผงาดกำลังจับจ้องราวกับอยากจะแผดเผาร่างของตนให้สิ้นซาก
“หึ ไม่นึกเลยนะว่าจะมาอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้ เมื่อก่อนก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เว้น ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจเสียจริง”
“หุบปากของเจ้าไปซะเฉินเซียง! หลานอกตัญญูอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์พูดจาล่วงเกินนายท่าน ถ้าหากไม่เพราะองค์เง็กเซียนทรงขอร้องด้วยตนเองล่ะก็ ข้าไม่มีวันนำเจ้ามาหานายท่านแน่ คนอย่างเจ้ามันสมควรตายซักหมื่นครั้งถึงจะสาสมกับสิ่งที่เจ้าทำกับนายท่านของข้า”
เห่าฟ้า สุนัขเทพในร่างมนุษย์หันมาขึ้นเสียงใส่ทันทีที่ได้ยินประโยคที่ออกจากปากของชายหนุ่มอีกคน พร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายดังสุนัขกระหายเลือดไปให้ แต่ชายหนุ่มนาม เฉินเซียง กลับมีท่าทีราวกับไม่รู้สึกรู้สา หรือไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ เลยกับสายตาที่พร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อเยี่ยงนั้น
“อ้อ... ถ้าข้าสมควรตายหมื่นครั้ง นายของเจ้าก็คงจะสมควรตายเป็นแสนครั้งกระมังกับการที่ได้เอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย เพียงเพราะการใช้อำนาจเกินควรของเทพผู้คุมกฎ...”
“เจ้าไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย” แม้จะถกเถียงกันมาเป็นพันครั้ง แต่เห่าฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลับมาถกในเรื่องเดิม ๆ กับคนผู้นี้อีก
“ถ้าเช่นนั้นก็บอกมาให้ข้าเข้าใจสิ ว่านายของเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าพูด ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ชีวิตที่สูญเสียไปมากมายต่อให้เขาตายเป็นแสนครั้งยังไม่พอชดใช้ ถ้าไม่เห็นแก่แม่ของข้า และสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ข้าคงสลายวิญญาณไม่ให้มีหนทางไปผุดไปเกิดได้อีกเลยด้วยซ้ำ นี่นับว่าข้าปรานีมากแล้ว”
ชายหนุ่มยังคงยืนยันและเชื่อมั่นในความคิดของตนเองอย่างไม่สั่นคลอนเช่นเคย ยังผลให้ผู้ฟังแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ
“จองหองพองขนไปเถอะ เฉินเซียง แล้ววันหนึ่งเจ้าจะเสียใจที่ทำอย่างนี้ ข้าจะบอกให้รู้เอาไว้ว่า หากไม่มีนายของข้า สามภพคงได้อยู่ไม่เป็นสุขอย่างแน่นอน เหล่ามารปิศาจคงจะเหิมเกริม กำเริบเสิบสาน ดูอย่างตอนนี้ ที่นายท่านจากมาเพียงไม่นานก็เกิดเรื่องกับเซียนเซิงเซียว หากสามภพต้องเกิดหายนะ นั่นมันก็เป็นเพราะเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
“เจ้าให้ความสำคัญกับนายของเจ้ามากเกินไปเสียกระมังเห่าฟ้า สวรรค์ปราศจากนายเจ้าก็ยังมีเหล่าเทพเซียนอีกมากมาย จะมีมารปิศาจตนใดกล้าเหิมเกริมได้”
ชายหนุ่มนาม เฉินเซียงเชิดหน้าเอ่ยต่ออย่างท้าทาย ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังลืมไปแล้วจุดประสงค์อันแท้จริงของตนเองที่มาเยือนยังที่แห่งนี้นั้นคือสิ่งใด
“เจ้าอย่าลืมไปสิ เฉินเซียง ต่อให้มีเทพเซียนมากมาย ทุกคนก็ล้วนแต่มีภาระ และอำนาจหน้าที่อยู่ในขอบเขต นายข้าคือจอมทัพของแดนสวรรค์ มีหน้าที่โดยตรงในการปราบปรามกำราบเหล่ามาร ที่สามภพอยู่อย่างสงบสุขมาช้านานก็เป็นเพราะพวกมันล้วนเกรงกลัวนายข้า และถ้าหากนายข้าไม่มีความสำคัญจริงอย่างว่า เจ้าจะต้องเหยียบย่างมายังผืนแผ่นดินของเทพต่างแดน ผ่านห้วงเวลาที่ห่างไกลเหลือประมาณเช่นนี้หรือ?”
เห่าฟ้าว่าพลางเหยียดยิ้มเมื่อมองเห็นเฉินเซียงได้แต่กัดกรามแน่นเพราะไม่อาจสรรหาคำพูดมาหักล้างข้อเท็จจริงของเขาได้
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ เวลานี้เจ้าก็เห็นแล้วว่านายเจ้าอยู่ในสภาพเช่นใด ข้าไม่เห็นว่าเขาจะมีความสามารถใดที่จะตามหาเซียนเซิงเซียวทั้ง 12 พบได้”
“ความสามารถนั้นมีแน่ แต่ก่อนอื่นเราต้องพาเขากลับไปยังแดนสวรรค์เสียก่อนที่กงล้อกาลจักร**จะเริ่มหมุนอีกครั้ง ถ้าพลาดครั้งนี้ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะนำเจ้ามาสู่ห้วงเวลาที่ถูกต้องนี่ได้อีกครั้ง”
“แล้วเหลือเวลาอีกนานเพียงใดกว่าที่กงล้อกาลจักรจะนำพาเรากลับไป” เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของคู่สนทนา เฉินเซียงจึงตัดสินใจเลิกต่อความ
“อีก 2 ชั่วยาม***” เห่าฟ้าตอบเรียบ ๆ แต่สีหน้ากลับมีร่องรอยของความกังวลปรากฏขึ้น
“ว่าอย่างไรนะ!?”
เฉินเซียงขมวดคิ้วคิดอยากจะโต้คารมกับสุนัขเทพตนนี้ต่อที่ไม่ยอมบอกให้มันเร็วกว่านี้ ซ้ำยังชวนเขาปะทะคารมอยู่นานสองนาน แต่เมื่อคิดถึงเวลาที่เหลือน้อยนิดแล้ว เขาจึงตัดสินใจคิดถึงปัญหาเฉพาะหน้ามาก่อน ชายหนุ่มหมุนตัวให้ร่างกายสลายกลมกลืนไปกับสายลมเพื่อติดตามคนที่เขาต้องการ ในขณะที่ เห่าฟ้าได้แต่เพียงสายหน้าน้อย ๆ ให้กับความดื้อรั้นของหลานชายนายเหนือหัว แล้วค่อยแปลงร่างกลับเป็นสุนัขตัวเขื่องกระโจนออกไปอย่างรวดเร็วปานลมพัดไม่แพ้กันในทันที
..................
* พงศาวดารห้องสิน พงศาวดารที่เขียนขึ้นในยุคศตวรรษที่ 16 (สมัยราชวงศ์หมิง)เพื่อเล่าเรื่องราวแนวอิงประวัติศาสตร์ในยุค 1046 ปีก่อนคริสตกาล (สมัยราชวงศ์ซาง)
** กาลจักร หมายถึง กงล้อแห่งกาลเวลา
*** หนึ่งชั่วยามจีน เท่ากับ สองชั่วโมง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ