วุ่นนัก เทพพิทักษ์จักรราศี
เขียนโดย ถังถัง
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.31 น.
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ลำนำแห่งอดีตกาล [บทนำ]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
จะมีใครกี่คนที่เข้าถึงความโดดเดี่ยวลึกซึ้งกระทั่งสามารถบอกตัวเองให้เชื่อจนสนิทใจว่าตนมิได้อยู่คนเดียว ขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดอยู่ใต้ดวงจันทร์กระจ่างแต่เพียงผู้เดียว
ดวงจันทร์กระจ่างที่บนฟ้าสูงและเงาว้าเหว่บนพื้น เป็นเพื่อน เป็นความอบอุ่น เป็นความคุ้นเคย หากแต่ไม่อาจไขว่คว้า ไม่อาจตะเกียกตะกายขึ้นไปเคียงคู่กับจันทรา แม้มีอำนาจล้นฟ้าอยู่ในมือ หากไม่อาจทำตามความปรารถนาของตนได้ดั่งใจคิด แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า
ใครกันหนอจะสามารถตอบคำถามนี้ของข้าได้...
"นายท่าน..."
เสียงเรียกขานอันคุ้นเคยของผู้เป็นสหายตลอดกาลเพียงผู้เดียวทำให้ข้าละสายตาจากดวงจันทร์อันอดงามบนท้องนภา หันไปมองร่างสูงในชุดดำสนิทที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
"มีอะไรหรือเห่าฟ้า?"
"เซียนเซิงเซียว* หยางหลงและไป๋เสี่ยวโกว มาขอพบ...นายท่าน" เจ้าเห่าฟ้าสุนัขเทพในร่างมนุษย์สหายผู้ซื่อสัตย์ของข้าก้มศีรษะแสดงความเคารพพลางกล่าวตอบ
มาขอพบ? ในเวลาเช่นนี้น่ะหรือ มีเรื่องอะไรกันนะ?
ข้าเหม่อมองท้องฟ้ามืดครึ้มเพื่อหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เห่าฟ้าออกไปเชิญเหล่าเซียนเข้ามายังตำหนักเฉินจิน ตำหนักส่วนตัวอันเงียบเหงาและเยือกเย็นนี้
นับเป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกินแล้วที่มีผู้อื่นมาเยือนยังสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะเซียนเซิงเซียวทั้ง 12 ที่แม้จะนับได้ว่ารู้จักสนิทสนมกันมานับพันปี ซ้ำยังเป็นเซียนในความดูแลของข้า แต่ด้วยภาระหน้าที่ของพวกเขาที่มีมากมายล้นมือนัก อีกทั้งด้วยเหตุผลอีกหลาย ๆ ประการทำให้ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนานแล้ว เหตุใดวันนี้พวกเขาจึงมาเยือนตำหนักของข้าได้นั้นยังคงเป็นปริศนาที่มีแต่เพียงผู้มาเยือนเท่านั้นที่จะแก้ไขข้อข้องใจเหล่านี้ได้
"เอ้อหลาง ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าสบายดีนะ"
เสียงทุ้มกังวานที่เอ่ยเรียกชื่อข้าห้วน ๆ พร้อมกับใบหน้าคมเข้มและดวงตาทรงอำนาจที่ปรากฎแก่สายตานั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก หยางหลง จ้าวมังกรผู้เข้มแข็งและห้าวหาญที่สุดในบรรดาเซียน 12 นักษัตร
"หยางหลง เหตุใดท่านจึงเอ่ยเรียกขานท่านเทพเอ้อหลางด้วยวาจาเช่นนั้น ไม่สมควรเลย" น้ำเสียงอ่อนหวานเจือแววตำหนิที่ดังแทรกขึ้น ขณะที่เจ้าของเสียงหันไปส่งสายตาดุคนข้างกายนั้น เป็นของ ไป๋เสี่ยวโกว นางเซียนสุนัขผู้ครองตำแหน่งหนึ่งในนักษัตรทั้ง 12 เช่นกัน
นางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันมาก้มหัวคารวะข้าด้วยท่าทีนอบน้อม ในขณะที่ หยางหลงลอบกลอกตา ทำให้ข้าที่มองเห็นสีหน้าของเขาเข้า ถึงกับเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
"ไม่ต้องเกรงใจ เคยทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้นเถอะ"
ข้าพยายามรักษาน้ำเสียงให้เรียบนิ่งอย่างที่เคย ความรู้สึกแปลกประหลาดเข้าโจมตีโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อเพิ่งได้รับรู้ว่าตนเองนั้นไม่ได้แย้มรอยยิ้มเช่นนี้กับผู้ใดมาเสียเนิ่นนานแล้ว ซ้ำยังไม่มีผู้ใดเอ่ยทักทายข้าด้วยท่าทีเฉกเช่นมิตรสหาย ดังเช่นที่หยางหลงกระทำมาก็นับได้เป็นเวลาเกือบเทียบเท่ากัน
กาลเวลาเปลี่ยนแปลงข้าไปมากมาย จนเมื่อสหายเก่าเหล่านี้มาเยี่ยมเยียน จึงได้ปลุกเอาตัวข้าในอดีตขึ้นมาโดยที่ข้าเองก็แทบไม่ทันได้คาดถึง ทำให้รู้สึกตกใจไม่น้อยเลย
"อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้เกียรติเขานะ ข้าเรียกเขา เอ้อหลาง ก็ถูกแล้วนี่ " (ในภาษาโบราณ เอ้อ หมายถึง สอง / หลาง หมายถึงคุณชาย เนื่องจาก เอ้อหลางเป็นลูกคนรองของตระกูล ฐานะของเขาก็คือ คุณชายรอง ตามชื่อนั่นเอง)
"ข้าไม่อยากต่อความเล่นคำกับท่าน วันนี้เรามาเยี่ยมเยียนท่านเทพเอ้อหลาง อย่าทำให้เสียบรรยากาศหน่อยเลย"
ไป๋เสี่ยวโกวว่าพลางมองค้อนคนข้างกายด้วยสีหน้าเอาเรื่องทั้ง ๆ ที่ปากเพิ่งบอกไปว่าไม่อยากต่อความ ทำให้ข้าอดนึกย้อนบรรยากาศแต่เก่าก่อนเมื่อครั้งที่ เหล่าเซียนเซิงเซียวยังเป็นเพียง สรรพสัตว์ที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์และดูแลดวงดาวแห่งจักรราศีไม่ได้ เวลานั้นพวกเขายังคงไม่ได้เป็นเซียนเต็มตัว องค์เง็กเซียนจึงได้มอบให้ข้าสั่งสอนอบรมพวกเขาก่อนที่จะส่งไปประจำยัง กลุ่มดาวที่สุดขอบจักรวาลอันห่างไกล วันเวลานั้นก็เป็นดั่งเช่นตอนนี้ไม่มีผิด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่ข้าลืมเลือนช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่กับพวกเขาไป
"เอาล่ะๆ วันนี้พวกเจ้านึกอย่างไรถึงได้เจียดเวลามาหาข้าได้ หลายร้อยปีแล้วที่พวกเจ้าแทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปที่ใดเลยไม่ใช่หรือ?"
เดิมทีเซียนเซิงเซียวทั้ง 12 นั้นไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากนัก นอกจากเฝ้าดูแลประจำอยู่ยังดวงดาวต่าง ๆ ให้การเคลื่อนคล้อยหมุนเวียนอยู่ในสมดุล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสามภพมากนัก แต่เวลานี้ข้านั้นก็พอรับรู้มาบ้างว่า เซียนทั้ง 12 นั้นต่างมีงานล้นมือ จนแทบไม่มีเวลาหยุดพักเสียด้วยซ้ำ การที่ปลีกตัวมาหาข้าเช่นนี้นั้นคงมีเหตุสำคัญมากจริง ๆ
"อยู่ ๆ พวกเราก็คิดถึงเจ้าขึ้นมาน่ะ” คำตอบที่ไม่คาดจากปากของหยางหลง ทำให้ข้าต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ จนเขาสังเกตเห็น
”ฟังดูน่าแปลกใจใช่หรือไม่ล่ะ เฮ้อ... ก็เจ้า กุ้ยทู่ น่ะสิ มันบอกว่าเจ้าอาจจะกำลังมีเรื่อง เจ้าก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของเจ้ากระต่ายนั่น มันแม่นอย่างกับตาเห็น แต่คราวนี้ข้าว่า มันคงเข้าใจอะไรผิดแน่ ๆ ท่านเทพเอ้อหลางผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถต่อกรแม้แต่กับเห้งเจีย(ซุนหงอคง)ได้เช่นเจ้า มีหรือจะเสียทีต่อผู้ใดได้ง่าย ๆ"
"ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เป็นนิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ตัวข้าก็เช่นกัน... วันนี้ข้าแข็งแกร่ง วันหน้าก็อาจมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้าก็ได้"
ข้าเปรยออกไปอย่างที่ใจคิด ริมฝีปากเผลอกระตุกยิ้มเหยียดหยามในชะตาชีวิตของตนเอง และนั่นเองที่ทำให้ไป๋เสี่ยวโก่วนึกเอะใจ
"ท่านพูดเหมือนมีเรื่องอะไรในใจ ถ้าหากท่านยังเห็นว่าเราเป็นสหาย เราก็ยินดีรับฟังและช่วยเหลือท่าน"
สมเป็นเซียนสุนัข... นางมักจะประสาทสัมผัสไวกับเรื่องพวกนี้เสมอ พอ ๆ กับเจ้าเห่าฟ้าของข้าเลยทีเดียว
"ข้าเห็นว่าพวกเจ้าเป็นสหายเสมอ แต่ว่าปัญหาของข้านั้นมันยิ่งใหญ่นัก ข้าไม่อยากนำพวกเจ้าเข้าสู่วังวนที่ยากจะหลุดพ้นนี้"
"เพราะเหตุนี้ ท่านจึงทิ้งทุกอย่าง ทั้งสหาย พี่น้อง หรือแม้แต่จิตใจของตัวเองเช่นนั้นหรือ?"
"เสี่ยวโก่ว นี่เจ้า..." คำพูดของไป๋เสี่ยวโก่ว ทำให้ข้าต้องหันไปจับจ้องนางอย่างพิจารณา
นี่คือสัญชาตญาณของสุนัขงั้นหรือ จึงได้มองข้าได้ทะลุปรุโปร่งอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้เช่นนี้
"ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างไกลถึงสุดขอบจักรวาล แต่เราก็พอจะรับรู้เรื่องราวภายนอกอยู่บ้าง เรื่องของน้องสาวท่านและหลานชายของท่าน หลิวเฉินเซียง... "
"แล้วพวกเจ้าไม่ชิงชังรังเกียจในสิ่งที่ข้าทำลงไปดังเช่นเทพอื่น ๆ หรอกหรือ?" ตำแหน่งเทพผู้คุมกฎสวรรค์ของข้า ผู้ใดได้ยินมักล้วนแต่เกรงกลัวอีกทั้งยังอยากถอยห่างราวกับเห็นเป็นของเหม็นแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ข้ากระทำกับ...
"แม้เราจะเป็นเพียงเซียนเล็ก ๆ ไม่ได้มีความรู้ความสามารถพิเศษอะไร แต่พวกข้าคิดว่ารู้จักท่านดีพอ"
ไป๋เสี่ยวโก่วยังคงตอบคำถามข้าด้วยท่าทีสงบนิ่งเยือกเย็นเสียจนข้าอดนึกนับถือนางไม่ได้ ในขณะที่ หยางหลงขยับเข้ามาวางมือบนไหล่ของข้าพลางบีบกระชับเบา ๆ
"อย่างที่เสี่ยวโก่วว่านั่นล่ะ... นับตั้งแต่ เทียนกง** ได้คัดเลือกและแต่งตั้งพวกเราให้เป็น 12 เซียนเซิงเซียว และมอบพวกข้าให้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้า เพียงแค่สัตว์เล็กจ้อย ไร้ซึ่งพลังฤทธิ์ ความสามารถใด ๆ หรือแม้แต่มังกรไร้ถิ่นอย่างข้าก็สามารถกลายเป็นเซียนที่สมบูรณ์พร้อมได้อย่างไม่อับอายขายหน้าต่อเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย เพราะมีเจ้าขัดเกลาและสั่งสอน พวกข้าจะไม่รู้จักคนที่เปรียบเสมือนอาจารย์ และเป็นสหายที่รู้ใจเช่นเจ้าได้อย่างไร"
"แล้วพวกเจ้า..." ความรู้สึกตีบตันและไหวหวั่นที่ไม่เคยปรากฏมานานเข้ามาครบครองจิตใจข้า จนส่งผลให้ริมฝีปากไม่อาจเอ่ยถ้อยคำที่ต้องการได้อย่างที่คิด
ไม่นึกเลยว่า ก่อนจะถึงวันนั้น วันที่ทุกอย่างจะต้องจบสิ้น ข้าจะยังได้พบกับความรู้สึกเช่น นี้ความรู้สึกคล้ายหัวใจที่เจ็บปวดจนด้านชาของข้าได้รับการเยียวยา หัวใจที่แห้งเหือดนี้ได้รับสายน้ำอันชุ่มฉ่ำมาชุบชีวิตให้รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะเพียงชั่วเสี้ยวยาม ข้าก็อยากเก็บความรู้สึกเช่นนี้ไว้ตลอดไป
"พวกข้าไม่อาจทำอะไรได้มาก เพียงอยากบอกว่า ไม่ว่าอย่างไร พวกข้าก็อยู่ข้างท่าน ถ้าเป็นไปได้พวกเราก็อยากแบ่งเบาภาระที่อยู่ในใจของท่านมาบ้าง"
เสี่ยวโก่วยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ใส่ใจท่าทีอันผิดวิสัยของข้า พร้อมกับหยางหลงที่ละมือจากไหล่ที่เคยแบกภาระหนักหนาหากแต่เวลานี้มันกลับรู้สึกบางเบาลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากสองสหาย
"เวลานี้ภาระหน้าที่ ณ สุดขอบจักรวาล ที่สถิตแห่งดวงดาวจักรราศีทั้ง 12 นั้น ได้กำเนิดเซียนรุ่นใหม่ขึ้นมาพอสมควร หลายปีมานี้ก็ช่วยแบ่งเบาภาระของพวกเราได้มาก พวกเราจึงคิดว่าอยากจะมาเยี่ยมเยียน สนทนากับเจ้าอย่างพร้อมหน้ากันดังเช่นเมื่อหลายพันปีก่อนซักครั้ง หวังว่าเจ้าคงไม่ปฏิเสธ"
หยางหลงยิ้ม พลางส่งสายตาเต็มไปด้วยอำนาจของเขามาที่ข้าอย่างบ่งบอกได้ว่า นี่เป็นคำพูดแกมบังคับที่ห้ามปฏิเสธ
"ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร เพียงแต่เกรงว่า..."
"เกรงว่าอะไร?"
เกรงว่าข้าอาจจะไม่ได้อยู่จนถึงวันนั้น...
"ข้าเกรงว่าถ้าพวกเจ้าข้องแวะกับข้ามากนัก อาจจะถูกครหาเอาได้"
ข้าไม่อาจตอบอย่างที่ใจคิด แม้จะนึกเกรงกลัวว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน แต่ข้าก็ไม่อาจทำลายบรรยากาศด้วยการหยิบยกปัญหาส่วนตัวอันแสนหนักหนายิ่งกว่าหินผานี้ขึ้นมา และวางลงไปบนไหล่ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายเช่นพวกเขาได้ แม้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
"กลัวอะไรเล่ากับคำครหา เมื่อก่อนพวกข้าก็เจอบ่อยไป เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือ ที่บอกว่า ไม่ให้เอามาคิดใส่ใจน่ะ” หยางหลงหัวเราะเบา ๆ แล้วใช้ดวงตาของเขาจับจ้องข้าอย่างพินิจ จนข้าต้องเผลอเบือนหน้าหลบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
”อะไรกัน เวลาแค่ไม่กี่พันปี ทำให้เจ้าลืมคำพูดตัวเองไปแล้วหรือ?"
"เอาเถอะ ถ้าพวกเจ้าอยากมาเมื่อไหร่ก็มาเถอะ ตำหนักเฉินจินยินดีต้อนรับพวกเจ้าเสมอ"
ข้ารวบรวมกำลังใจ พลางหันมายิ้มให้พวกเขาอย่างที่คิดว่าเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจที่เป็นสุขของข้าที่สุด อย่างน้อยในความทรงจำของสหายที่ดี ข้าก็อยากให้หลงเหลือตัวข้าในอีกด้านที่ไม่อาจแสดงออกเมื่ออยู่ในตำแหน่งเทพผู้คุมกฎนี้เอาไว้บ้าง
"สัญญานะ ว่าถ้าพวกข้ามา ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไรก็ต้องรีบกลับมาน่ะ บอกไว้ก่อนว่าตอนนี้พวกข้างานยุ่งกว่าเจ้าเสียอีก ใครว่าเป็นเซียนแล้วสุขสบาย ข้านี่ล่ะ ขอค้านหัวชนฝาเลยทีเดียว"
"อืม... ข้าสัญญา ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ข้าจะรีบกลับมาหาพวกเจ้า..."
ข้าพยักหน้าพลางยิ้มตอบใบหน้าบูดบึ้งและเสียงบ่นแบบที่หาได้ยากจากเจ้ามังกรตนนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ข้าอาจจะต้องผิดสัญญา ผิดวาจาที่ได้ให้ไว้ แต่ทว่า... ขอเพียงเวลานี้เท่านั้น ขอเพียงมีใครซักคนที่เข้าใจข้าเช่นพวกเขามามอบรอยยิ้มให้ แม้วิญญาณนี้ต้องสูญสลาย แม้ต้องตกนรกขุมที่ 18 ข้าก็จะยิ้มรับมันอย่างองอาจ...
หากข้าคือผู้ที่เข้าใจถึงความโดดเดี่ยวอย่างลึกซึ้ง ก็คงเป็นข้าเองเช่นกันที่เข้าใจถึงความหมายของคำว่า สหาย ได้อย่างถึงแก่นแท้ในวันที่แสงจันทราหลบเร้นเข้าสู่หมู่เมฆทะมึนไม่อาจส่องแสงอันอบอุ่นเข้าสู่ภายในจิตใจอันเย็นเยียบและแห้งผากของข้าดังเช่นวันนี้.
..................
* เซียน 12 นักษัตรของจีน
** เทียนกง คือ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นคำที่เรียกแบบให้ความใกล้ชิดเสมอญาติ แปลว่า ปู่สวรรค์ หรือ ปู่ฟ้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ