love mission ภารกิจรัก ทดแทนหัวใจนายจอมกวน

7.7

เขียนโดย พรสิริ

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.13 น.

  55 ตอน
  8 วิจารณ์
  53.40K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 18.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

53)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
               “ต้นไม้ของฉันอยู่ไหน!!! ต้นโคลเวอร์ของฉันอยู่ที่ไหน!!!”
เสียงกัมปนาทดังลงมาจากชั้นสองทำให้ทั้งหญิงสาวและลุงแหมบต้องหยุดการกระทำของตนลง ทั้งสองรู้เลยว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะมาในอีกไม่ช้า ลุงแหมบเดินมาสมทบกับหญิงสาวเพื่อถามไถ่ถึงสาเหตุของเรื่องนี้ เธอทำได้เพียงส่ายหน้าตอบเขาเท่านั้น
 
“ต้นไม้ในห้องฉันหายไปไหน”
 
ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ฉุนเฉียวพลางเดินลงมาหาคนที่อยู่บ้านทั้งคู่
 
“ต้นไม้ของคุณหนูผมเอาลงมารับแดดช่วงเช้าไงครับ”
 
ลุงแหมบตอบเพื่อให้ชายหนุ่มอารมณ์ร้อนสบายใจขึ้น
 
“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ทำไมไม่เอามาไว้ที่เดิม”
 
หญิงสาวมองการสนทนาของทั้งคู่ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
 
“กรรมแล้ว!!!!!”
 
เท้าเล็กๆรีบวิ่งขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ในใจภาวนาขออย่าให้สิ่งที่ตนคิดเป็นเรื่องจริงเลย
 
ประตูที่คุ้นตาถูกเปิดออกด้วยแรงเล็กๆของเจ้าของห้อง เธอเดินเข้าไปยังโต๊ะเขียนหนังสือมุมเล็กๆที่เคยวางจอมโหดเอาไว้แล้วก็ต้องหยุดการเดินลงทันที กระถามกระเบื้องเคลือบสีชมพูที่เธอเห็นเมื่อเช้าตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนนั้น จะผิดไปจากตอนเช้าก็ตรงที่ต้นไม่ที่เธอชมว่าน่ารักกลับเหี่ยวแห้งลงจนไม่เหลือ..เคล้า..โครงเดิมเลยแม้แต่น้อย ลมหายใจที่รุนแรงราวกับคนที่วิ่งมาลาทอนมาใหม่ๆดังอยู่ด้านหลังของเธอ หากเสียงนั้นหาใช้เพราะความเหนื่อยจากการวิ่งไม่ แต่เป็นการเก็บกดอารมณ์โกรธที่รุนแรงของเจ้าของกระถางต้นไม้ต่างหากเล่า หญิงสาวไม่กล้าพอที่จะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา ไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปใกล้กระถางต้นไม้นั้น เธอทำได้แต่หยุดนิ่ง ทั้งร่างกายและสมองหยุดการทำงานลงราวกับขาดกำลังไฟฟ้า ชายหนุ่มเอื้อมมืออันสั่นเทาไปจับบ่าเล็กๆที่ยืนนิ่งตรงหน้าเขาให้หันมาเผชิญหน้ากันอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกสูญเสียสิ่งสำคัญกำลังแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวชิงชัง
 
“มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
 
ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม พลางออกแรงบีบไหล่เล็กๆอย่างไม่รู้ตัว เขากำลังสูญเสียสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ไป สิ่งเดียวที่เกี่ยวกับคนที่เขารัก สิ่งเดียวที่เขาเฝ้าระวังและดูแลมาตลอด ตอนนี้มันกำลังจะจากเขาไป เพียงเพราะเธอ เธอคนนี้
 
‘ฉันไม่น่ารับคนอย่างเธอเข้ามาในชีวิตเลย!!!’
 
“ฉันถามก็ตอบสิ ตอบ!!!!”
 
คราวนี้ชายหนุ่มเริ่มขึ้นเสียงใส่ ยิ่งเธอเงียบนิ่งเท่าไรแรงโทสะเขาก็ยิ่งประทุขึ้นเท่านั้น ราวกับความเงียบของเธอคือน้ำมันที่กำลังราดรดกองไฟในใจเขาอย่างช้าๆ ยากที่จะดับลงได้
 
หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งให้ชายหนุ่มทำร้ายร่างกายเธอให้หายแค้นเคือง สีหน้าของเธอราบเรียบ ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งที่เขาทำ เธอได้กระทำสิ่งที่ยากเกินกว่าจะให้อภัย เธอได้พรากเอาสิ่งสำคัญของคนๆนึงไปเพียงเพราะความประมาทเลินเล่อของตัวเธอเอง เธอผิดเอง เธอยอมรับ ในตอนนี้คงไม่มีคำพูดอะไรจะเอ่ยออกมาเพื่อระบายความรู้สึกผิดที่ตีรวนอยู่ในใจของเธอได้เท่ากับคำว่า
 
“ขอโทษ...”
 
เสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบบอกแต่มันกลับดังก้องไปทั้งหัวใจที่เต็มไปด้วยความโกรธของเขา
 
“ขอโทษหรือ ขอโทษแล้วทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมไหม คนอย่างเธอมีปัญญาพูดแค่คำว่าขอโทษงั้นหรือฮะ!!!”
 
เขาตะคอกกลับมาด้วยคำที่แสนจะดูถูกเหยียดหยามคนฟังราวกับจะให้เธอแดดิ้นจากคำพูดของเขา เธอพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาต่อหน้าผู้ชายใจบอดคนนี้ เธอได้แต่ทบทวนตัวเองในขณะที่คำพูดเสียดแทงจิตใจยังคงดังต่อเนื่องเข้ามายังหัวใจดวงน้อยๆที่เต้นแผ่วลงทุกทีจากความเจ็บปวด
 
“คำขอโทษของเธอมันจะไปมีค่าอะไร ถ้าของของฉันมันไม่กลับมาเหมือนเดิม”
 
โอ….ดวงใจดวงน้อยๆได้แต่ยืนรอรับความเจ็บปวดอย่างคนหมดแรง เธอไม่นึกเลย ว่าคำพูดของเธอจะไร้ค่าขนาดนี้ เธอพาตัวเองมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไรกัน จุดที่ตัวเธอไร้ค่ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน ไร้ค่ายิ่งกว่าต้นไม้ใบหญ้า ไร้ค่ายิ่งกว่ากระถางต้นไม้เล็กๆ เธอเจ็บปวดจนแทบจะพยุงตัวเองไม่อยู่ หากแต่ก็ไม่ล้มลงไปกองกับพื้น เพราะมีมือหนาแข็งแรงคอยจับเธอแน่นราวกับคีมเหล็ก และเขย่าโยกอย่างแรงเพื่อให้เธอตื่นตัวมารับฟังคำพูดแสนเจ็บปวดที่ออกมาจากปากของคนที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากที่สุด
 
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง”
 
หญิงสาวได้แต่กลืนก้อนสะอึกลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะถามความต้องการของคนตรงหน้าอย่างสิ้นหวัง
 
“ถ้าเรื่องแค่นี้คิดเองไม่ได้ ที่นี่ก็ไม่ต้องการคนอย่าง…”
 
“คุณหนูครับ ผมว่าเรามานั่งคุยกันดีกว่านะครับ อย่างพึ่งใช้อารมณ์กันเลยนะครับ”
 
เป็นลุงแหมบเองที่หยุดประโยคต้องห้ามนั้นไว้ได้ทัน ประโยคที่สุดแสนจะเจ็บปวดต่อคนฟัง ประโยคที่จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก และเมื่อสติที่แตกกระจายไปเพราะความโกรธเกรี่ยวถูกทัดทานอย่างกะทันหัน ก็ทำให้ชายหนุ่มคืนสติ และกลับมามองสภาพหญิงสาวที่ทั้งแขนเต็มไปด้วยรอยแดงยืนตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้าเขา มือแข็งแกร่งทั้งสองเลื่อนลงจากไหล่ของเธอราวกับคนหมดแรง ดวงตาแดงกล่ำมองเข้ามายังดวงตาของเขาอย่างเหม่อลอย ดวงตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกต่างๆ ดวงตาที่ไม่ยินดียินร้ายกับอาการร้อนรนของคนตรงหน้า
 
‘ฉันทำอะไรลงไป’
 
หัวใจของชายหนุ่มหล่นวูบเมื่อเขากลับมามีสติอีกครั้ง สภาพหญิงสาวที่กำลังตัวลั่นเทาด้วยน้ำมือของเขายิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันเลวร้ายมากขนาดไหน
 
“ฉัน… ใช่ไหม… ถ้าเรื่องแค่นี้คิดเองไม่ได้ ที่นี่ก็ไม่ต้องการคนอย่างฉัน...ใช่รึเปล่า”
เสียงแผ่วเบาถูกเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย ชวนให้คนฟังรู้สึกเจ็บปวดไปกับมันด้วย เธอปล่อยน้ำตาไหลนองสองแก้มจนชุ่มฉ่ำ ไม่แม้แต่จะปาดเช็ดเลยสักนิด ชายหนุ่มทำได้แค่ดึงเธอเข้าไปกอดไว้เพียงเท่านั้น กอดเธอแน่นราวกับว่าถ้าเขากอดเธอไม่แน่นพอเธอจะหายไปจากเขาอย่างไม่มีวันกลับมาอีก
 
‘ฉันกำลังจะพูดบ้าอะไรออกไป คำพวกนั้นมันไม่น่าอยู่ในสมองฉันด้วยซ้ำ ไม่ต้องการคนอย่างเธองั้นหรือ บ้าสิ้นดี กล้าพูดแบบนั้นออกไปได้อย่างไรกัน’
 
หญิงสาวพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดที่รัดเธอแน่นยิ่งกว่างู อนาคอนด้ารัดเหยื่อ
 
“ปล่อย!!”
 
เธอเริ่มดิ้นรนมากขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มยังคงรัดแน่นยิ่งกว่าเดิมในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและร้อนรน
 
“ขอโทษ…”
 
ประโยคเดิมๆที่เธอเคยพูด ตอนนี้เธอกลับได้รับมันเสียเอง คำขอโทษที่ต้องแลกมาด้วยความรู้สึกที่แตกสลายของเธอ
 
“ฉันขอโทษ...อย่าจากฉันไปไหนเลยนะ ขอร้อง”
 
“คนโง่เง่าไม่มีประโยชน์อย่างฉัน อยู่ข้างๆนายไม่ได้หรอกนะ”
 
หญิงสาวพูดเสียงแผ่วเบาในความไร้ค่าของตัวเอง เธอไม่โกรธเขาเลยสักนิดเพราะทั้งหมดเป็นความผิดของเธอจริง เพียงแต่ความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเขามันพังทลายลงไปก็เท่านั้น ความหวังลมๆแล้งๆที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการของตัวเองก็ดูจะเหือดแห้งลงไป เพราะเขาไม่เคยคิดอยากจะออกมาจากอดีตนั้นเลยสักนิด เขายังคงยืนอยู่ในดงหนามอันแสนมืดมิดและเจ็บปวด ต่อให้มีแสงสว่างส่องมาถึงเขามากมายขนาดไหน เขาก็ยังคงเหยียบยืนอยู่บนหนามนั้นด้วยรอยยิ้มแห่งความเต็มใจ เธอยังคงดิ้นรนต่อไป แม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางสำเร็จ
 
“ฉันขอโทษ ฉันผิดเอง อย่าโกรธฉันเลยนะ ยกโทษให้ฉันเถอะ”
 
ชายหนุ่มพูดย้ำๆให้เธอฟังราวกับจะให้มันฝังเข้าไปในสมองของเธอ หญิงสาวได้แต่ดิ้นรนขลุกขลักอย่างคนสิ้นแรง
 
“ปล่อย. .. ปล่อยฉัน”
 
“ไม่ ขอร้องเถอะนะ อย่าไปไหน อยู่กับฉัน ฉันต้องการเธอ”
 
คำพูดต่างๆนานาที่สมองเขาจะคิดได้ถูกโพล่งออกมาอย่างรีบรนเพียงเพราะกลัวว่าหญิงสาวในอ้อมกอดจะหายไปจากชีวิตเขา
 
“นายต้องการฉันจริงๆหรือ ถามหัวใจของนายดูก่อน ว่าคนที่นายต้องการจริงๆคือใครกันแน่”
 
คราวนี่เธอหลุดออกจากอ้อมกอดเขาอย่างง่ายดาย หัวใจคนฟังประโยคนั้นสุดแสนจะเจ็บปวด แต่มันก็ยังไม่ได้ครึ่งของคนพูดเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวเดินไปหยิบกระถางต้นไม้มาส่งให้เจ้าของด้วยใบหน้าที่เฉยชา น้ำตายังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป ชายหนุ่มรับมันมาถือไว้นิ่งๆแต่ไม่คิดจะขยับไปจากจุดนั้นเลยแม้แต่น้อย
 
“ ฉันขอเวลาคิดหน่อยนะว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไง ส่วนต้นไม้ของนาย นายช่วยเอาไปรักษาแทนฉันด้วย เพราะฉันไม่มีความรู้มากพอดูแลต้นโคลเวอร์นี่ ขืนให้ฉันทำเองคงไม่เหลือแม้แต่ซาก อ่อ ถึงนายจะไม่อยากได้คำขอโทษไร้ค่าของฉัน แต่ฉันก็ยังอยากจะบอกนายอยู่ดี ขอโทษนะ”
 
เธอพูดพลางดันร่างเขาให้ออกไปจากห้องอย่างช้าๆ ร่างหนาค่อยๆขยับเลื่อนถอยหลังไปตามแรงดันของเธอ แต่เมื่อถึงหน้าประตูร่างนั้นก็หยุดนิ่ง เขาจับมือที่กำลังผลักดันเขาขึ้นมาจับไว้อย่างอ่อนโยน เธอเงยหน้าที่มีแต่รอยน้ำตาขึ้นมามองเขาอย่างเจ็บปวด
 
‘ทำไมต้องมาทำเป็นอ่อนโยนหลังจากที่นายทำร้ายฉันอย่างเจ็บปวด ทำไมถึงเป็นแบบนี้ตลอด ทำไม เห็นฉันโง่มากหรือไง’
 
“ผมว่าคุณหนูรีบกลับไปดูแลต้นไม้ก่อนมันจะตายเถอะครับ ถ้ารีบตอนนี้อาจจะยังฟื้นกลับมาก็ได้นะครับ”
 
ลุงแหมบบอกกับคุณหนูจอมเอาแต่ใจ เขารู้สึกสงสารสาวน้อยตรงหน้าขึ้นมาทันที เรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่เอาของสำคัญมาเก็บเอง
 
ชายหนุ่มหันมามองคนแนะนำก่อนจะพยักหน้ารับรู้และยอมปล่อยมือหญิงสาวลงทันที ก่อนจะเดินนำออกประตูไปอย่างรวดเร็ว  แล้วตามด้วยลุงแหมบที่ออกไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูแทน
 
“เดี๋ยวผมขึ้นมาตามไปทานอาหารเย็นนะครับ”
 
ลุงแหมบพูดก่อนจะเลื่อนมือมาปิดประตูให้ แต่หญิงสาวกลับดันมันเอาไว้เบาๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแห้งแล้งด้วยน้ำตานองหน้า
 
“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูไม่ค่อยหิวเท่าไร ตอนที่ลุงแหมบสอน หนูแอบกินไปเยอะเลยค่ะ”
 
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมยกขึ้นมาให้ที่ห้องดีกว่านะครับ อย่าคิดมากเลยนะครับหนูข้าวตอก คุณหนูไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆหรอกครับ”
 
พูดจบลุงแหมบก็ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ร่างบางก็ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วเริ่มต้นร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อย ความรู้สึกสับสนวุ่นวายตีรวนอยู่ในสมองจนไม่อาจหยุดมันลงได้ ตอนนี้เธอกำลังตื้อตันไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองเสียใจเรื่องอะไรกันแน่ รู้เพียงแต่ว่ามันอึดอัดเจ็บปวดจนต้องร้องเพื่อระบายทั้งหมดออกมา
 
ชายหนุ่มวางกระถางต้นไม้ลงตรงมุมเล็กๆของห้องอย่างเบามือ มุมที่เคยวางมันไว้เหมือนก่อน  เขานำอุปกรณ์ทำสวนขนาดเล็กออกมาจากใต้โต๊ะในมุมนั้น สเปร์ฉีดน้ำเล็กๆถูกนำมาฉีดรดจนชุ่มฉ่ำก่อนจะเดินไปปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นกว่าปกติอีกเล็กน้อย เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากรอให้มันฟื้นตัวในอุณหภูมิที่มันชอบเสียก่อน ใบที่เคยเขียวชอุ่มเย็นตากลับกลายเป็นสีเหลืองออกไปในโทนน้ำตาลอ่อนจนหน้าตกใจ
 
“ยัยนั่นคงจะปิดแอร์ตลอดเลยสินะ”
 
เขาส่ายหัวให้กับความประหยัดรักษ์โลกของหญิงสาว
 
ชายหนุ่มกำลังนั่งมองท้องฟ้าสีครามสดใสในช่วงที่เหล่าต้นไม้กำลังผลิดอกออกใบ สายลมอุ่นๆพัดผ่านมายังเขาสร้างความสุขใจได้อย่างประหลาด เขามองผู้คนที่แต่งชุดนักเรียนแบบเดียวกันเดินผ่านไปมาอย่างอารมณ์ดี ช่วงพักกลางวันในฤดูใบไม่ผลิเช่นนี้ทุกพื้นที่ในสวนของโรงเรียนจะถูกจับจองจนเต็มแน่น เพราะเป็นวันที่อากาศดีในรอบหลายเดือน
 
“ริวจัง..”
 
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของชายหนุ่ม คนที่เขานั่งคอยตลอดช่วงพักกลางวันนั่นเอง สาวน้อยผมสั้นในชุดนักเรียนหญิงของโรงเรียนเดินเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มที่สดใส เธอยิ้มให้เขาจนแก้มปริ พลางซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ข้างหลังราวกับว่ามันเป็นของที่เธอพึ่งจะขโมยมาหยกๆ
 
“รอนานไหม ขอโทษนะที่มาช้า”
 
เธอพูดไปพร้อมรอยยิ้มที่พยายามปิดเท่าไรก็ปิดไม่มิด
 
“เธอก็เป็นแบบนี้ประจำนั่นแหละ มิซึกิ ฉันชินซะแล้วล่ะ”
 
เขาพูดไปพลางยิ้มตามเธอไป
 
“ซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง  ไหนเอามาดูหน่อย อย่าบอกนะว่าไปเดินชนของเขาเสียหายอีกแล้วน่ะ”
 
ชายหนุ่มพยายามดึงแขนเธอเบาๆเพื่อให้เธอเผยสิ่งที่ซ่อนไว้ข้างหลังนั้น แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้ารัวๆก่อนดึงตัวหนีมือเขาให้ควั่ก
 
“ไม่มีอะไร ริวจังไม่ต้องรู้หรอก”
 
พูดไปก็หัวเราะคิกคักไปไม่ยอมให้ชายหนุ่มดูสักที มันยิ่งทำให้ต่อมอยากรู้ของเขาทำงานดีกว่าปกติร้อยเท่า
 
“ไม่มีอะไรก็ต้องเอามาให้ดูได้สิ เอามาดูเดี๋ยวนี้เลย”
 
ชายหนุ่มพยายามทำหน้าดุๆให้เธอกลัวเขา แต่ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นไม่สามารถทำให้เขาเกร็งหน้าดุได้นาน จำต้องกลับมายิ้มแป้นแล้นเช่นเดิม
 
“เราไปกินข้าวกันดีกว่านะริวจัง พักเที่ยงจะหมดแล้ว”
 
เธอพุ่งสายตาไปยังกล่องข้าวสองชั้นที่เธอเตรียมมาแต่ฝากให้เขาเก็บไว้เมื่อเช้านี้
 
“เธอจะนั่งกินข้าวแบบนี้น่ะหรือ มิซึกิ”
 
เธอพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะให้ชายหนุ่มเดินนำไปยังเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งจองไว้
 
“ถ้ายังไม่วางของที่ซ่อนไว้ลงก่อนคงกินข้าวไม่ถนัดหรอกนะ อย่างนี้คงต้องป้อนให้แล้วล่ะ”
เขาเปิดกล่องข้าวแบบเบนโตะพลางพูดอย่างมีเลศนัย หญิงสาวได้แต่หัวเราะคิกคักๆอย่างมีความสุข ในเบนโตะนั้นอัดแน่นไปด้วยไข่ม้วนสีเหลืองนวลสอดไส้ผักที่เขาไม่ชอบหลายชนิด เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของเบนโตะนั้นอย่างเศร้าๆ
 
“สุขสันวันเกิดนะริวจัง…”
 
หญิงสาวยื่นความลับที่อยู่ข้างหลังมาให้คนตรงหน้า ชายหนุ่มได้แต่นิ่งไป เขาไม่รู้เลยว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา เขาลืมเลือนวันเวลาทุกครั้งที่อยู่ใกล้ๆผู้หญิงผมสั้นคนนี้
เขามองสิ่งที่เธอยื่นมาให้อย่างประหลาดใจ มันคือต้นไม้ต้นเล็กๆ มีลักษณะเป็นกอๆ ใบของมันคล้ายรูปหัวใจที่มีฐานติดกัน บางใบมีสามกลีบ บางใบมีสี่กลีบ อยู่ในกระถางเล็กๆน่ารักสีชมพู และมีเทียนต้นเล็กๆปักอยู่ในกระถาง เขามองมันก่อนจะยิ้มกว้างให้กับการกระทำของเธอ
 
“รีบเป่าเทียนสิ ต้นไม้จะตายแล้วนะ”
 
เธอรีบเตือนเขาก่อนที่ไฟจากเทียนต้นเล็กจะสร้างความเสียหายให้ต้นไม้ไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มรีบทำตามอย่างว่าง่าย
 
“ดีใจด้วยนะริวจัง มันเป็นของเธอแล้วล่ะ”
 
“แค่ต้นไม้หรือที่เป็นของฉัน”
 
ชายหนุ่มส่ายหน้าให้เธอนิดๆพลางผุดรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
 
“ไม่เอาหรอก ฉันอยากได้คนถือมากกว่า”
 
หญิงสาวทำได้แต่นั่งยิ้มเขินอายทำอะไรไม่ถูก
 
“คนถือเป็นของริวจังตั้งนานแล้ว”
 
ชายหนุ่มรับมาอย่างดีใจ เขาวางมันลงข้างกายอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม
 
“ฉันจะดูแลมันอย่างดีเลยมิซึกิ ฉันสัญญา”
 
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังมั่นคง ตอนนี้เขามีความสุขเหลือล้น กับสิ่งที่เขาได้รับจากเธอคนนี้ ใบหน้าของเขาไม่อาจหยุดยิ้มได้เลยสักวินาทีเดียว ตอนนี้เขาคงกำลังใช้ความสุขทั้งหมดในชีวิตของเขาอยู่เป็นแน่
 
หญิงสาวคีบไข่ม้วนสอดไส้มะเขือเทศขึ้นมาแล้วยื่นให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เขาถอนหายใจให้กับเธอครั้งหนึ่งก่อนจะรับมันเข้ามาในปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก กลิ่นมะเขือเทศสดๆทำให้เขาลืมเลือนความสุขเมื่อครู่ทันที
 
“ไม่อร่อยหรือ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
 
เธอมองคนที่กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอรู้ว่าชายหนุ่มไม่ชอบกินผักสักเท่าไร และเธอต้องการที่จะปรับแก้นิสัยการกินของเขาเสียใหม่ จึงได้นำสิ่งที่เขาชอบที่สุดมาผสมกับสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด
 
“โถ่ มิซึกิ เธอก็รู้ดีนี่ ว่าฉันไม่ชอบกินผักสักเท่าไร แต่เธอก็ยังใส่มันมาอีก”
 
“โถ่ ริวจัง เธอก็รู้ดีนี่ ว่าฉันเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน ผักที่เธอเกลียดมันมีประโยชน์ต่อร่างกายมากเลยนะ มันมีสิ่งที่ร่างกายเธอต้องการในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นเธอจะต้องกินมันทุกวันเช่นกัน”
 
พูดจบหญิงสาวก็คีบไข่ม้วนไส้แตงกวาใส่ปากเขาทันที เขาได้แต่ก้มหน้ารับมันด้วยสีหน้าที่เครียดกว่าเดิม แต่ถึงจะต้องพยายามฝืนกินอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตอนนี้เขามีความสุขที่สุดเมื่อได้อยู่ใกล้ๆเธอคนนี้
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
 
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะคนที่กำลังคิดถึงภวังค์แสนหวานเมื่อนานมาแล้ว ชายหนุ่มนั่งมองต้นไม้พร้อมกันความรู้สึกหลากหลาย
 
“นายต้องการฉันจริงๆหรือ ถามหัวใจของนายดูก่อน ว่าคนที่นายต้องการจริงๆคือใครกันแน่”
 
คำพูดของหญิงสาววิ่งวนอยู่ในหัวสมองเขาซ้ำๆ ว่าที่จริงแล้วเขาต้องการใคร ช่วงเวลาที่ผ่านมาความมืดไม่ได้ทำให้เขาลืมผู้หญิงคนนั้นได้เลยหรือ เธอยังคงมีอิทธิพลต่อเขาอยู่ เธอยังทำให้เขาเป็นเดือดเป็นร้อน  เพียงสิ่งของที่เธอเคยให้ก็สามารถทำให้เขาทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจผู้หญิงอีกคนอย่างง่ายดาย เขาส่ายหัวให้กับความฟุ้งซ่านของตน
 
“ปัจจุบันสิ ฉันต้องอยู่กับปัจจุบัน”
 
เขาเดินเข้าไปอาบน้ำเพื่อจะได้ลงไปขอโทษหญิงสาวที่ถูกตนเองทำร้ายอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันๆๆ คือสิ่งที่ดังก้องอยู่ในหัวใจของเขา
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
 
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่หายไปสักพัก หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพเปียกปอนเธอยังคงอยู่ในชุดเดิมที่เคยใส่มาทั้งวัน มือเปียกๆเปิดประตูออกอย่างคนหมดแรง ดวงตาบวมเป่งจ้องมองไปยังคนที่เคาะประตูเมื่อครู่ ชายท่าทางใจดียิ้มให้เธออย่างอบอุ่น เขายื่นถาดอาหารที่เธอช่วยเขาทำส่งมาให้  เขาไม่ยอมให้เธอต้องอดอาหารไปมากกว่านี้เป็นแน่ ในถาดนั้นนอกจากอาหารและน้ำดื่มแล้วมันยังมียาหลังอาหารติดมาด้วยเธอจึงต้องรับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
 
“รีบอาบน้ำนะครับ ถ้าไม่สบายไปมากกว่านี้คงต้องไปโรงพยาบาลจริงๆแล้วล่ะ”
 
หญิงสาวทำตาโตให้กับคำขู่ของคนตรงหน้า มันเป็นเรื่องจริงนั่นแหละนะ สิ่งที่เธอทำมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย  เธอไม่ใช่นางเอกมิวสิควีดีโอที่พอผิดหวังจากความรักก็มาร้องไห้ใต้ฝักบัว นอกจากจะเปลืองน้ำแล้วยังจะต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มเพราะพิษไข้อีก
 
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะลุงแหมบ หนูก็แค่ลืมถอดชุดออกเท่านั้นเอง”
 
เธอได้แต่แถน้ำขุ่นๆเพราะตอนนี้ยังคิดไม่ทันว่าจะพูดอะไรให้เรื่องไร้สาระที่เธอทำอยู่ฟังดูดีขึ้นมา
 
“ครับ ผมก็แค่เตือนๆไว้ เพราะไม่อยากให้หนูข้าวตอกไปนอนโรงพยาบาลอีกแล้ว”
 
ขอบคุณลุงแหมบมากๆเลยนะคะที่มาเตือนสติกันไว้ไม่อย่างนั้นเธอคงได้เปื่อยลุ่ยไปพร้อมกับน้ำเป็นแน่
 
“ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวหนูจะกินให้เรียบเลยค่ะไม่ต้องห่วงนะคะ”
 
อย่างน้อยเธอก็ยังมีชายใจดีคนนี้ที่คอยเป็นห่วงเธอ รอยยิ้มสุขใจผุดขึ้นบนใบหน้าหญิงสาวอีกครั้ง
 
                           ……………….โปรดติดตามตอนต่อไป………………..

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา