บังเอิญรัก

8.0

เขียนโดย Necha

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.21 น.

  17 ตอน
  3 วิจารณ์
  22.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) บังเอิญ...รอ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เมื่อภูผาเปิดประตูเข้าไปก็ต้องชะงัก ตอนที่รู้ว่าคนที่ควรจะอยู่ในห้องของตัวเองกลับมาคลุกอยู่ในห้องของคนที่ไม่ชอบขี้หน้าก็ทำให้เขาแปลกใจแล้วแต่ภาพในตอนนี้ก็ทำเอาชายหนุ่มยืนมองกระพริบตาปริบๆ ฝรั่งรูปหล่อที่นอนหมดสภาพไม่สามารถช่วยตัวเองได้ทั้งแขนและขาหุ้มด้วยเฝือกหนาที่เต็มไปด้วยรอยเมจิก ศีรษะถูกวางแหมะลงบนตักนุ่มของหญิงสาวคล้ายคู่รักที่กำลังสวีทหวาน ถ้าเพียงชายหนุ่มไม่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะที่เจ้าของตักก้มหน้าก้มตาเติมแต่งงานศิลปะบนใบหน้าให้อีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ ปากกาเมจิกสีต่างๆ ที่อุตส่าห์สรรหามาได้วางอยู่ข้างกายถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาใช้ ภูผาไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารคนโดนแกล้ง สมใจไหมล่ะที่น้องให้ความสนใจ

“อะแฮ่ม ! พิชพี่มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”

มาเฟียหนุ่มผู้ไม่เคยกลัวใครยกเว้นเพียงสองคนและหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าของตักแสนนุ่มที่หากเป็นเวลาอื่น เขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้ แต่ตอนนี้...เละ...เละไปทั้งตัว ขัดขืนไม่ได้เลย คิดถูกหรือคิดผิดที่แบกสังขารมาพักที่บ้านแฝดแทนที่จะเป็นโรงพยาบาล เมื่อคเณศได้ยินเสียงภูผา ชายหนุ่มรู้สึกอยากจะกระโดดร้องไชโยด้วยความดีใจที่มีคนมาช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการเป็นปูนปาสเตอร์ให้หญิงสาวได้ละเลงงานศิลปะ แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพิชชาเพียงแค่เงยหน้ามองภูผาก่อนจะรับคำ

“อือ รอแปบใกล้เสร็จแล้ว...อยู่นิ่งๆ สิเผือก เดี๋ยวหน้าไม่สวย”

T^T

ผ่านไปสักพักพิชชาก็วางมือพร้อมหยิบกล้องมาถ่ายเป็นหลักฐาน พึมพำแต่คำว่า ‘สวย...เยี่ยม’ เล่นเอาคนเป็นประติมากรรมเคลื่อนที่อยากร้องไห้โฮ ภูผาได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะยื่นซองเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยส่งให้หลังพิชชาเช็ดมือจนแห้ง หญิงสาวเลิกคิ้วมองสงสัยแต่ก็รับมาเปิดขณะที่หย่อนตัวนั่งขอบเตียง ส่วนภูผาก็ถอยไปนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ริมระเบียง ใบหน้าคมทอดมองสวนสวยผ่านกระจกใส ดวงตาใต้กรอบแว่นไม่อาจคาดเดาว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พิชชาดูรูปของตัวเองในกิริยาบทต่างๆ คู่กับคนๆ หนึ่งซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่เธอเพิ่งเรียกว่า ‘แฟน’ หรือ ‘พ่อของลูก’ นั้นเอง ภาพคมชัดสะท้อนอารมณ์ของคนในภาพที่แสดงให้แก่กันบ่งบอกว่าคนถ่ายมีฝีมือ หญิงสาวยื่นรูปทั้งหมดให้คนป่วยที่พยายามชะโงกมามอง พอเห็นภาพชัดๆ ดวงตาของคเณศก็เบิกกว้างปากอ้าพะงาบๆ พูดไม่ออก พิชชาเลิกสนใจลุกเดินไปหาภูผาก่อนจะพิงกรอบประตูที่เชื่อมกับระเบียง

“พี่รู้มากแค่ไหน”

“แค่ข้อมูลเดือนแรกๆ พอพิชรู้ตัวพี่ก็เลิกให้คนตาม...ถึงอยากจะห้าม อยากจะหวง แต่ให้ตาย !...หมอนั่นมันหาข้อติยาก คนบ้าอะไรเพอร์เฟ็คไปเสียทุกอย่างทั้งงานบ้านงานเรือน งานนอกงานใน ไม่มีแม้แต่ข่าวเสียๆ หายๆ ยังกับเทพบุตรมาเกิด คนแบบนี้มาตกหลุมรักพิชได้ก็เรียกว่าปาฏิหาริย์ล่ะ แถมยังเอาน้องสาวพี่เสียอยู่มัด ดูเรียบร้อย น่ารักกว่าเดิม อ่ะ...อย่ามาทำเป็นค้อน เรื่องจริงนี่นา...เสียแค่อย่างเดียวหมอนั่นชอบเอาเปรียบน้องของพี่ แต่จะโทษฝ่ายนู้นฝ่ายเดียวก็ไม่ได้...ในเมื่อคนของเราดันใจง่าย ทอดสะพานถวายตัวให้ขนาดนี้ อดทนได้ก็เก่งเกินไปล่ะ”

พิชชาฟังแล้วก็ไม่ได้โกรธกลับหัวเราะเสียงใสครั้งแรกในรอบสามวันพร้อมกับแอบถอนใจเบาๆ...ถ้าพี่ชิดยอมก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วล่ะ ถือเป็นความดีความชอบของกวินที่คุณสมบัติดีเลิศจนแม้แต่ภูผายังยอมถอย

“แหม ข้อมูลแน่นจริงๆ”

แค่กๆ

“แน่นอนล่ะ คนที่จะเคียงข้างเราทั้งที พี่ก็ต้องตรวจสอบหน่อย”

ถ้าไม่ผ่านจะได้เล่นงานมันได้ง่ายๆ

แค่กๆ

“เหรอ สืบมาหมดแล้วก็ต้องรู้สิว่า...พิชกับซานมีอะไรกันตั้งแต่วันแรกที่เจอ”

“ใช่...หะ !?”

ตุบ !

ภูผาหันขวับมองพิชชาตาค้างเช่นเดียวกับคเณศที่ทำหมอนหล่นลงพื้น หญิงสาวหัวเราะหึยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะจนคนมองอยากจะจับมาตี ก่อนที่ภูผาจะคาดคั้นเอาผิดพิชชาก็เลยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังเล่นเอาสองหนุ่มอึ้งพูดไม่ออกในเมื่อเจ้าตัวเล่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขไม่มีสลด เศร้าเสียใจ...เฮ้อ ! บางทีพวกเขาก็ควรปลงให้ได้ก่อนจะหัวใจวายตายเข้าสักวันเพราะช็อคกับเรื่องที่แม่ตัวดีชอบก่อ ความคิดยิ่งไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง

“พิช...พี่ไม่นึก...เรานี่มัน เฮ้อ !” ภูผาไม่อาจจะสรรหาคำมาต่อว่าได้

“น่าๆ ขวางไม่ทันหรอกเพราะตอนนี้...” มือบางลูบหน้าท้องเป็นนัยบอก ภูผาที่ไม่ค่อยได้แสดงออกถึงกับลุกจากเก้าอี้ชี้หน้าดูไปคล้ายๆ ภาสกรเวลาโวยวาย

“ยินดีด้วยนะคะพี่กลายเป็นคุณลุงแล้ว”

“...”

ใครก็ได้ช่วยบอกที...ว่ามันไม่จริง !

ภูผานึกถึงวันที่พวกเขาเจอน้องนั่งอยู่กับผู้ชายในร้านกาแฟ แฝดพี่ของเขาก็สบถตะโกนลั่นและเวลานี้เขาก็...

“โธ่เว้ย ไอ้น้องไม่รักดี !!”

“เห ? ไม่รักดีตรงไหน พี่ยังบอกเองเลยว่าซานต้าเพอร์เฟ็ค ดีไปหมดทุกอย่าง ต้องบอกว่าพิชรักดีที่สุดแล้วนะ”

“...”

“ไม่ขำเหรอ”

“...”

“นิดนึงดิ...โด่ วัยรุ่นเซ็ง ชายแก่แถมยังโสดไม่มีใครเอาก็งี้แหละ”

โป้ก !

“โอ๊ย ! มาตบหัวฉันทำไมวะ ฉันเป็นรุ่นพี่แกนะโว้ยให้ความเคารพมั้งสิวะ” คเณศโวยเสียงดังลั่นสมกับเป็นอดีตเฮดว้ากหลังโดนภูผาที่จู่ๆ ก็หันมาโบกหัวเขาแทนที่จะเป็นตัวต้นเหตุ

“ก็นายเป็นพี่มัน...อีกอย่างพิชก็บอกอยู่ว่ากำลังท้อง ตบไปเดี๋ยวกระเทือนเด็ก” เบ้หน้าใส่ทันที...ทีงี้ล่ะบอกฉันเป็นพี่

“แหมสองคนนี้สนิทกันจัง ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเย็นชากลบเกลื่อน หรือว่า...”

“พอ...ขอร้องอย่าคิดอกุศล อยากให้พายุมันจับพี่ถ่วงน้ำหรือไง”

พิชชายักไหล่เดินไปทิ้งตัวนอนข้างๆ คเณศจนภูผาต้องดุ

“กำลังท้องกำลังไส้ จะลุกนั่งก็รู้จักระมัดระวังหน่อย” ปากว่าแต่มือก็เอื้อมหยิบผ้าห่มคลุมพร้อมทั้งจัดหมอนข้างเพื่อให้น้องหลับสบาย ส่วนเจ้าของเตียงทั้งยังป่วยหนักช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะมีแค่หมอนใบเดียวที่ใช้พิง

“รับทราบคะ คุณพ่อ” สิ้นเสียงเจ้าตัวก็เข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเมื่อหญิงสาวหลับลึก สองหนุ่มสบโอกาสถอยห่างจากเตียงไปที่ระเบียง ร่างสูงที่ถูกห่อหุ้มทั้งเฝือกและผ้าพันแผลก้าวอย่างมั่นคงโดยไม่ต้องมีคนพยุงราวกับว่าอาการเจ็บป่วยก่อนหน้าเป็นแค่การแสแสร้ง...มันก็ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ร่างกายของคเณศบาดเจ็บสาหัสจริงแต่คนลงมือออมแรงเลือกจุดที่ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้เร็ว ถึงวันแรกๆ เจ็บแทบตายก็เถอะ อีกอย่างเขาเป็นมาเฟีย มากกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว เจอแค่นี้ไม่กี่วันก็ไปทำงานต่อได้แล้ว ที่แกล้งทำเป็นเจ็บหนักแค่อยากอู้

“เจอพิชทำแบบนี้บ่อยๆ ผมฉันคงจะร่วงหมดหัวเข้าสักวัน” คเณศบ่นขณะที่ทึ้งผมตัวเอง

“ทำไงได้ ก็นั่นจอมเอาแต่ใจหมายเลขหนึ่ง”

“เพราะพวกนายแหละที่ให้ท้ายกันจนได้เรื่อง”

“เหอะ ! ก่อนจะว่าคนอื่น ดูตัวเองซะก่อนเถอะ”

“อย่างน้อยฉันก็ไม่ใช่คนที่ทำให้น้องมันเสียคนล่ะวะ”

ชิ้ง !

ประกายตาคมกริบที่จ้องจะเชือดเชือนกันให้แหลกไปข้างของทั้งสองอย่างไม่ยอมแพ้อีกฝ่าย ก่อนที่มุมปากของแต่ละคนจะกระตุกขึ้นยิ้มและหัวเราะเสียงเบาๆ คเณศชกหัวไหล่ภูผาอย่างหมั่นไส้

“นี่ถ้าคนอื่นรู้ว่าโดนพวกเราหลอกต้มซะเปื่อยมาหลายปีคงโมโหวางมวยใส่แน่ๆ โดยเฉพาะพายุระวังเถอะมันจะขอเลิกกับพี่”

“ความคิดใครล่ะ ถ้าถึงตอนนั้นนายนั่นแหละที่ต้องช่วยฉัน โอกาสยิ่งมีความเป็นไปได้” คเณศพูดด้วยความห่อเหี่ยวเมื่อนึกถึงวันที่พายุรู้ความจริง หากย้อนเวลาไปได้เขาก็คงเลือกทำแบบนี้เช่นเดิมเพื่อความปลอดภัยของคนที่เขารัก ชีวิตในโลกมืดที่เต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่น ทรยศหักหลัง ศัตรูรอบด้านที่จ้องจะฉกฉวย หากเป็นไปได้เขาไม่อยากจะดึงให้คนสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะน้องสาวคนละพ่อที่ถือเป็นญาติคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ และวิธีการนั้นภูผาก็ยื่นมือเข้ามาช่วยโดยการทำทีเป็นศัตรูเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากศัตรูตัวจริงที่มันจ้องเล่นงานอยู่ ด้วยอำนาจและชื่อเสียงโลกเบื้องหลังของครอบครัวภูผาที่อดีตบรรพบุรุษเคยเป็นเจ้าพ่อค้ายาและค้าของเถื่อนที่วางมือไปแล้วก็พอสร้างความน่าเชื่อถือทำให้ไม่มีคนกล้ามาตอแยมากนัก ไม่รู้เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายของพิชชาที่เข้ามาอยู่ใกล้วังวนเหล่านี้โดยไม่รู้ตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เอาน่าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที ว่าแต่เรื่องน้อง พี่จะเอาไง” คเณศได้ยินคำถามก็ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางหดหู่

“ทำอะไรได้วะ ก่อนที่นายจะเข้ามาน้องขู่ว่าถ้าฉันยื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ว่าจะตรงหรืออ้อม จะตัดพี่ตัดน้องไม่ยอมให้เข้ามาที่ไทยอีก แล้วยังบอกอีกนะว่าถ้ายอมอยู่ข้างเดียวกัน ฉันจะได้เกษียณตำแหน่งบอสดีฟรอนโซ่ก่อนกำหนด...ตั้งแต่เกิดมาฉันเพิ่งเคยได้ยินว่าตำแหน่งบอสมาเฟียมันสามารถเกษียณได้ นึกว่าต้องตายซะก่อนถึงจะพ้นตำแหน่ง”

ภูผาหัวเราะในลำคอขณะมองเข้าไปในห้องที่มีร่างบางนอนอยู่บนเตียง

“คงจะมีแต่พิชชาเท่านั้นล่ะมั้งที่ทำได้ สรุปคือพี่ไม่ค้าน”

“เออ ก็เล่นโดนมัดมือชกขนาดนี้ ทางเลือกมันก็มีแค่ทางเดียวนั่นแหละ...แต่ว่านะนายคงไม่ยอมง่ายๆ หรอกใช่ไหม” ภูผาไม่ตอบแต่เผยยิ้มเจ้าเล่ห์

กลยุทธ์ที่ดี คือต้องรู้จักใช้คนให้เป็น

หึ...ถึงบอกว่าจะไม่ขวางแล้ว แต่ขอเอาคืนนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอก...โทษฐานที่มันทำให้น้องเขาท้องก่อนแต่ง !

 

ฮัดชิ่ว !

เสียงจามสลับเสียงไอค่อกแค่กของหนุ่มหล่อที่นอนหมดสภาพ ใบหน้าแดงก่ำจากพิษไข้ที่หน้าผากมีผ้าขนหนูวางไว้เพื่อช่วยระบายความร้อนในร่างกาย วาสุวางแฟ้มงานในมือไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินมาดูคนป่วยที่ปรือตาขึ้นมอง หายหัวไปเป็นอาทิตย์นึกว่ากำลังสวีทอยู่กับเมียจนลืมพี่ลืมน้อง ที่ไหนได้เมียหาย ส่วนเจ้าตัวก็ป่วยนอนซมอยู่คอนโด ถ้าเลขามันไม่บังเอิญโทรเช็คป่านนี้ก็คงไม่มีใครรู้ว่ามันป่วยใกล้ตาย นอกจากไข้ก็ยังอาการประหลาดที่สร้างความลำบากให้คนอื่น คือผู้หญิงคนไหนที่เข้าใกล้มันจะหน้าเขียวหน้าเหลืองแล้วก็วิ่งพรวดพราดหนีเข้าห้องน้ำ ยัยเลขาบ้านั้นก็เลยโทรจิกวาสุที่กำลังนอนอาบแดดสบายใจให้กลับมาดูแลกวินพร้อมทั้งทำงานแทนด้วย คงเป็นคราวซวยของวาสุเพราะพี่น้องคนอื่นไม่มีใครว่าง และที่สำคัญกวินไม่ยอมให้ใครเข้าห้องมันนอกจากเขา วาสุได้แต่ร่ำร้องตะโกนตัดพ้อในใจ...นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเขาฟะ !

 “ไงล่ะเอ็ง นอนแผ่เป็นปลาตายหมดสภาพ เก่งไม่ออกล่ะสิคราวนี้”

กวินไม่ตอบเพราะกำลังไอจนเสียงแหบแห้ง วาสุเห็นแล้วสงสาร(?) ก็เลยพยุงพร้อมส่งน้ำอุ่นให้ค่อยๆ จิบ

“ไปทำอีท่าไหนถึงป่วย แล้วเมี- เอ๊ยแฟนเอ็งไปไหน”

“บ้าน” เสียงที่เปล่งออกมาแหบและเบา วาสุเลยอาศัยการอ่านปาก

“แล้วเขาไม่รู้หรือว่าเอ็งป่วย” กวินส่ายหน้า

“ติดต่อไม่ได้”

“อ้าว ทำไมวะ? อย่าบอกนะว่าเขาจะเลิกกับเอ็ง” คนป่วยค้อนใส่

“พี่ชายรู้” คำตอบสั้นๆ แต่วาสุก็เข้าใจแสร้งทำหน้าเห็นอกเห็นใจจนน่าหมั่นไส้

“อ่อ ก็เลยโดนกีดกันสินะ อืมๆ รักแท้ก็ต้องมีอุปสรรคเป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในเมื่อเอ็งเล่นเจาะไข่แดงน้องเขาไปก่อนแบบนั้น เป็นข้าไม่เอาลูกปืนมายิงหัวก็บุญแล้ว” คนป่วยถลึงตาใส่ก่อนจะสะบัดหน้าหนีมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม

“อ้าวไอ้นี่ งอนยังกับผู้หญิง เอ็งอย่าเอานิสัยแบบนี้ไปแสดงกับแฟนเอ็งนะเว้ย เดี๋ยวเขาหาว่าเอ็งเป็นตุ๊ด”

จบคำนิ้วกลางก็โผล่มานอกผ้าห่มเป็นของรางวัล วาสุส่ายหน้าส่งลูกถีบไปทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ ปล่อยให้คนป่วยขี้งอนนอนคลุมโปงต่อไป ขาดอากาศหายใจเมื่อไหร่เดี๋ยวก็โผล่ออกมาเองนั่นแหละ

 

 

ผ่านมากี่วันแล้ว ?

1 วัน...2 วัน หรือ 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันนานกว่านั้น...

คิดถึง...คำๆ นี้น่าจะเหมาะที่สุดในตอนนี้ อยากเห็นหน้า อยากกอด อยากฟังเสียง แต่ไม่มีวิธีไหนที่ทำให้เขาเข้าถึงตัวพิชได้เลย ตั้งแต่วันที่พิชชาโดนพี่ชายพาตัวไปอย่างกะทันหัน กวินก็รีบตามกลับกรุงเทพทันที แต่ไม่ว่าจะไปที่คอนโดหรือที่ทำงานเขาก็หาตัวเธอไม่เจอ หนำซ้ำยังถูกคนของภูผาขัดขวางแต่ชายหนุ่มก็ไม่ละความพยายาม เขาแอบไปนั่งเฝ้าทั้งหน้าบริษัทและคอนโด แต่ทนอยู่ได้แค่สองวันเพราะอาการป่วยประหลาดที่ทุกๆ เช้าจะรู้สึกอาเจียนและเมื่อเข้าใกล้ผู้หญิงหรือเจาะจงชัดๆ ก็คือกลิ่นน้ำหอมที่พวกผู้หญิงใช้ เขาจะรู้สึกมึนตาลาย บางครั้งก็ถึงขั้นเป็นลม

กวินไปไหนไม่ได้นอนซมเพราะพิษไข้อยู่สามวันเต็ม ตอนแรกวาสุจะพาเขาไปโรงพยาบาลแต่เขาดื้อเพ่งไม่ยอม ขืนไปคนอื่นๆ ก็รู้นะสิว่าเขาไม่สบาย ได้แห่กันมาเฝ้า พอหายเขาคงกระดิกตัวไปไหนได้ยากกว่าเดิมสิ พอเข้าสู่วันที่ห้า อาการของกวินก็ดีขึ้นเพียงแต่มีไข้อ่อนๆ และพูดเสียงแหบ

“ไอ้หมา ! กินข้าว”

วาสุตะโกนเรียกหลังจัดอาหารเรียบร้อย อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเขาทำ ยัยป้าเลขามาดเฮี้ยบของกวินต่างหากที่เอามาส่ง ขืนรอให้วาสุทำอาหารเขาเกรงว่าครัวของกวินคงพังซะก่อน เพราะวันแรกๆ ที่มาแค่จะทำข้าวต้ม เขายังทำหม้อไหม้พร้อมข้าวระเบิดเปื้อนครัวไปหมด ยังดีที่เจ้าของห้องมันหลับเลยไม่รู้เรื่อง ไม่งั้นต่อให้ไม่สบายอยู่คาดว่ามันคงเค้นแรงยันเขาออกนอกห้องทันที ด้วยเหตุนี้วาสุจึงต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากยัยป้ามหาภัยที่เอาอาหารมาส่งทีไรต้องมองเขาด้วยความสมเพช ถึงจะเจ็บใจแต่วาสุก็แค่ยิ้มรับ...ก็นะ ใครใช้ให้ยัยป้านี่ทำอาหารเก่งพอๆ กับไอ้ซานล่ะ ขืนทะเล่อทะล่าทำแม่คุณอารมณ์เสีย เขาก็อดได้กินของอร่อยสิ

“กินเสร็จแล้วก็นี่ยาหลังอาหาร ห้ามตุกติกถ้าแอบเอาไปทิ้งเหมือนคราวก่อน ข้าจะจับเอ็งส่งโรงพยาบาลทันที”

พูดกำชับพร้อมชี้หน้าคาดโทษ เพราะเมื่อวานวาสุบังเอิญเห็นคนป่วยแอบโยนยาทิ้งลงถังขยะ พอคาดคั้นถึงได้รู้ว่ามันทำทุกครั้งที่เขาไม่ได้นั่งกินข้าวด้วย มิน่าล่ะถึงหายช้า โตตัวเท่าควายแต่ดันไม่ชอบกินยา วาสุไม่เคยรู้มาก่อนอาจจะเพราะกวินไม่ค่อยป่วยหรือเวลาป่วยก็มีแต่แม่ใหญ่และศรันย์ที่เป็นคนเฝ้า

ปิ๊งป่อง !

กวินเป็นฝ่ายลุกไปเปิดประตู นึกสงสัยว่าใครมาเพราะทั้งชั้นนี้เขาเหมาทำเป็นห้องเดียว จะขึ้นมาชั้นนี้ได้ก็ต้องมีคีย์การ์ด แต่แค่เปิดออกมาเห็นหน้าแขก ชายหนุ่มสูดลมหายใจ ก่อนจะ...

ปัง !

“มีอะไรเหรอซาน ?” วาสุวางช้อนลงเอ่ยถามกวินที่วิ่งพรวดพราดหนีเข้าไปในห้อง ก่อนจะเกาหัวเดินไปเปิดประตูดูเอง พอเห็นว่าใครก็ถึงเข้าใจกับอาการประหลาดของกวิน เลขามาดเฮี้ยบที่ทำตัวเหมือนอาจารย์ฝ่ายปกครองกำลังยืนถือแฟ้มหน้าหงิก คงเพราะโดนปิดประตูใส่หน้าเมื่อครู่

“อ้าว ป้า-เอ๊ย คุณชงโค ทำไมกลับมาอีกล่ะ หรือว่าลืมอะไร” วาสุเอ่ยถามเลขาสาวที่แวะมาตอนเช้าเป็นรอบที่สอง

ชงโค หรือศมน เลขาสาวที่เพิ่งจะสามสิบแต่เพราะบุคลิกการแต่งกายที่เน้นโทนสีเข้มและทรงผมที่มักรวบจนตึงจึงทำให้ดูอายุมากกว่าที่เป็น มือบางขยับแว่นตาที่เป็นเอกลักษณ์ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง หันไปมองที่ประตูห้องนอนที่เจ้าของห้องแอบแง้มออกมาเล็กน้อยชูกระดานไวท์บอร์ดอันเล็กที่มีข้อความ ‘ขอโทษครับ’ หญิงสาวถอนหายใจเพราะเจอเหตุการณ์นี้มาหลายครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะเจ้านาย ดิฉันต้องขอโทษที่มากะทันหัน แต่มีเอกสารด่วนที่ต้องให้เจ้านายเซ็น” ศมนยื่นแฟ้มให้วาสุเพื่อให้เขาเอาไปส่งให้แทน

“ไหวหรือเปล่าคะเจ้านาย ดิฉันว่าคุณควรไปหาหมอดีกว่านะคะ ผ่านมาหลายวันก็ไม่หายสักที...นี่ถ้าเจ้านายแต่งงานแล้วดิฉันคงคิดว่าคุณแพ้ท้องแทนภรรยาแน่ๆ” กวินชะงักเงยหน้ามองตาโตแฝงประกายความหวัง

‘ทำไมคิดงั้นละครับ’

“อาการประหลาดๆ ที่พวกผู้ชายเป็นมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะ สำหรับเจ้านายที่จู่ๆ ก็เกิดแพ้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงก็น่าจะเข้าข่าย เอ๊ะ...หรือว่าเจ้านายมีแฟนแล้วคะ”

กวินไม่ตอบแต่แกล้งยกแฟ้มขึ้นมาบังหน้า ศมนก็ไม่คิดจะเซ้าซี้

“ใกล้หมดเวลาพักร้อนแล้ว เจ้านายจะเริ่มงานวันไหนคะ”

‘ขอเลื่อนไปอีกสักเดือนได้ไหมครับพี่ชง’

กวินคาดไม่ถึงว่าวันหยุดพักร้อนสามเดือนหลังจากเขาทำงานไม่ได้พักมาตลอด 5 ปีจะหมดลง การงานที่เขาทำเกี่ยวกับให้คำปรึกษาทางธุรกิจและบริหารด้านการเงินทั้งหมดของครอบครัว ถ้าเครียดๆ หรือว่างก็ไปรับจ๊อบพิเศษเป็นพ่อครัวในโรงแรมของคนรู้จัก

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เลขาผู้รู้ใจถามเมื่อจับสีหน้ากังวลของเจ้านายได้

‘มีปัญหาส่วนตัวนะครับ’ ศมนหรี่ตามองท่าทีอึกอักของกวิน

“เอ็งก็บอกคุณเลขาไปสิ ว่ากำลังตามหาคน” วาสุโพล่งออกมาแทนหลังนั่งมองเจ้านายกับลูกน้องที่นั่งคุยกันอยู่คนละมุมห้อง คนหนึ่งพูด อีกคนเขียนเห็นแล้วอนาถยิ่งในมือของกวินมียาดมเตรียมพร้อม

“ใครหรือคะ ดิฉันจะช่วยหา”

“...”

“เมี-เอ๊ย แฟนมันนั่นแหละคุณชงโค ที่เป็นไข้ก็เพราะอดหลับอดนอนตามหาตลอด แล้วยังไปตากฝนกลับมาอีก”

“เอ๋ ? แอบไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่คะเจ้านาย แล้วทำไมเธอหายไปล่ะ”

“จะอะไรล่ะคุณ ก็มันไปแอบเจาะไข่แดงน้องสาวชาวบ้านเขา พอพี่ชายมาเจอก็โดนกีดกันไง นี่ผมยังไม่รู้จักเลยนะว่าแฟนเจ้าซานหน้าตาเป็นไง มันหวงแม้กระทั่งกับพี่กับน้อง รู้แค่ว่าชื่อพิชชา” วาสุแสร้งทำท่ากระซิบกระซาบชวนหมั่นไส้ก่อนจะหลบหมอนอิงที่ลอยมาใส่ ศมนย่นคิ้วขมวด...คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง อาจจะแค่ชื่อซ้ำกัน

กวินกระแอมกลบเกลื่อนเมื่อเห็นสายตาของศมนที่มองมาแม้จะแน่ใจว่าหน้าเขาคงจะแดงแน่นอน

“แล้วทราบหรือยังคะว่าแฟนเจ้านายอยู่ที่ไหน”

‘น่าจะบ้านของพี่ชายเธอ ผมเพิ่งได้ที่อยู่แต่ป่วยซะก่อนเลยยังไม่ได้ไป’

“งั้นหรือค่ะ เฮ้อ...เจ้านายคะถ้าหากมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น คุณควรจะแจ้งให้ดิฉันทราบจะได้หาทางป้องกันไม่ให้เรื่องบานปลายนะคะ อย่าลืมว่าดิฉันเป็นผู้ช่วยของคุณ ไม่ใช่ว่าจะละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของคุณแต่นอกเหนือจากความเป็นเจ้านายกับลูกน้องดิฉันก็ยังเป็นเพื่อนของคุณ เมื่อมีปัญหาดิฉันเต็มใจจะช่วย...หรือเจ้านายไม่เห็นว่าดิฉันเป็นเพื่อนคะ”

“มะ..ไม่ แค่กๆ ไม่ใช่...นะครับพี่ชง !” กวินพยายามเค้นเสียงตะโกนปฏิเสธยิ่งเห็นศมนก้มหน้า เขาก็ยิ่งร้อนรนนึกกังวลที่ทำให้เลขาที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่เสียใจ

“ขอ แค่ก ขอโทษครับ...ต่อไปผมจะ แค่ก ไม่ปิดบังพี่อีก”

“สัญญาแล้วนะคะ”

“ครับ !”

กวินรับคำเสร็จ ศมนก็เด้งตัวนั่งตัวตรงพร้อมขยับแว่นตาตามความเคยชินแล้วยิ้มหวานให้เจ้านายผู้แสนดี วาสุได้แต่มองท่าทางเสแสร้งนั้นด้วยความทึ่ง...ยัยป้านี่ ปีศาจชัดๆ

“แฟนของเจ้านายเป็นใครหรือคะ หน้าตาเป็นไง เจ้านายมีภาพเธอไหมคะ”

กวินพยักหน้ากวักมือเรียกให้วาสุไปเอาโทรศัพท์ที่เจ้าตัวเปิดไฟล์ภาพไว้ให้ วาสุชะงักมองภาพนึกสังหรณ์ใจ...คงไม่ใช่หรอกมั้ง เขาอาจจะจำผิด ไม่ใช่หรอกน่า ไอ้ซานคงจะไม่ดวงซวยขนาดนั้นหรอก  เพื่อความแน่ใจเมื่อส่งโทรศัพท์ให้ศมนแล้วจึงเอ่ยถาม

“เฮ้ยซาน พิชชาของเอ็งนี่เรียนจบมหา’ลัยไหนวะ”

‘มอเดียวกับเรา’

เหอะๆ แค่บังเอิญนะ...แค่บังเอิญ

“คณะอะไร”

‘วิศวะ’

เหงื่อจากไหนไม่รู้ผุดตามใบหน้าของวาสุ กลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น

“แฟนเอ็งคงจะไม่บังเอิญมีพี่ชายฝาแฝดชื่อ ชิดที่เรียนสถาปัตถ์ กับชื่นที่เรียนวิศวะ แล้วก็มีปู่รหัสเป็นเจ้าของร้านโฟล์คใช่ปะวะ” กวินมองหน้าวาสุที่จู่ๆ ก็ตัวสั่นก่อนจะพยักหน้า วาสุรู้สึกเหมือนโดนก้อนหินหล่นทับ

“ไอ้หมา ! เอ็งๆ รู้หรือเปล่าว่าเล่นกับอะไรอยู่ นั่นมันของต้องห้ามระดับตำนานเชียวนะเว้ย เวรเอ้ย ! ผู้หญิงมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไม...ทำไมเอ็งต้องไปคว้าของรักของหวงของไอ้แฝดนรกนั้นมาด้วย นี่ยังไม่รวมสายรหัสแล้วก็เพื่อนของไอ้แฝดนั้นอีก บรรลัยล่ะงานนี้...แล้วยังเล่นเจาะไข่แดงน้องมันอีก งานนี้เอ็งตายแน่ๆ ไอ้หมานะไอ้หมา หาเรื่องมาให้กูอีกล่ะมึง งามไส้จริงๆ”

“คุณซิกคะ”

“ตาย...ตายแน่ๆ ไอ้แฝดพี่ไม่เท่าไร แต่ไอ้แฝดน้อง...”

คุณซิก !

วาสุสะดุ้งพร้อมกับเงียบทันทีที่เสียงแหวจากยัยป้ามหาภัยที่เขาแอบเรียกในใจ ดวงตาถมึงทึงทำให้เขายอมสงบสติอารมณ์นั่งนิ่ง ศมนกระแอมทีหนึ่งก่อนจะหันไปหากวิน

“เจ้านายค่ะ”

“...”

“ดิฉันขอที่อยู่พี่ชายของแฟนคุณได้ไหมคะ”

‘มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ชง’

ศมนยิ้มมุมปาก มือขยับแว่นก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้สองหนุ่มถึงกับตาโต

“ดิฉันเคยรู้จักกับพิชชาหรือแฟนของเจ้านายมาก่อนค่ะ !”

 

ศมนมองอาณาเขตของบ้านที่ปกคลุมไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้นานาพันธุ์ ตัวบ้านเป็นแบบสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนดูแปลกตา และยิ่งขัดแย้งเมื่อมองเห็นสะพานข้ามบ่อปลาไปอีกฝั่งที่เป็นเรือนไทยทำจากไม้ทั้งหลัง ลมหอบเอากลิ่นดอกมะลิที่ปลูกเป็นแนวกั้นคล้ายรั้วของทั้งสองบ้าน ศมนหลับตาสูดดมกลิ่นอายธรรมชาติที่หาได้ยากยิ่งในเมืองที่เต็มไปด้วยปูนซีเมนต์ เส้นผมหยักตามธรรมชาติถูกปล่อยให้เป็นอิสระพร้อมกับการแต่งกายที่ต่างจากเดิมคือชุดแซกสีขาวที่ทำให้เธอดูเด็กและน่าทะนุถนอม ทางเดินปูด้วยพื้นอิฐแซมกับพื้นหญ้า มีดอกไม้นานาพันธุ์ทำให้หญิงสาวต้องหยุดแวะมองอย่างชื่นชมพร้อมกับรู้สึกอิจฉาเจ้าของบ้าน

ไม่รู้ว่าเพราะศมนมัวแต่มองดอกไม้เพลินหรือเปล่าเมื่อหันกลับมา สาวใช้ที่เดินนำมาก่อนหน้านี้หายไปไหนไม่รู้ถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่มร่างสูง ใบหน้าคมเข้มผิวสีแทนอย่างคนออกแดดประจำกำลังจับจ้องเธอ ทำเอาศมนรู้สึกเก้อเขินเป็นครั้งแรกที่ทำตัวเสียมารยาท หญิงสาวก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าสบตากับชายหนุ่มแปลกหน้าที่น่าจะเป็นเจ้าของบ้าน

“บ้านสวยนะคะ ต้องขออภัยที่เสียมารยาท”

“ไม่เป็นไร ใครๆ มาบ้านผมก็มักจะชอบกันทั้งนั้น...เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ ตรงนี้แดดร้อน”

ศมนเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปข้างใน มุมห้องนั่งเล่นคล้ายๆ กับโดมแก้ว ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาว ที่ถูกใจศมนคงจะเป็นโต๊ะญี่ปุ่นตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ยกสูงติดกระจกที่มองเห็นสวนได้ชัด

“บางครั้งพวกเราก็ใช้ตรงนั้นเป็นโต๊ะอาหาร” ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นสายตาสนอกสนใจ ศมนยิ้ม

“บ้านของคุณน่าอยู่มากค่ะ”

“ฝีมือออกแบบของพี่ชายและน้องสาวผม ผลงานชิ้นแรกของพวกเขาเลยล่ะ”

“น่าทึ่งมากค่ะ เหมือนบ้านในฝันเลย”

“ขอบคุณ”

ศมนยิ้มเล็กน้อยกับท่าทางไม่แยแสของเจ้าบ้าน ก่อนจะเอ่ยถึงสาเหตุที่มา

“ฉันชื่อศมน จะเรียกชงโคก็ได้ค่ะ”

“ผม ภูผา...คุณบอกว่ามาหาพิชชา ?”

“ใช่ค่ะ ฉันมีธุระส่วนตัวอยากจะคุยกับอา- หมายถึงคุณพิชชานะคะ”

“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าเธออยู่ที่นี่”

ศมนหรุบตาลง...ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจ แต่คนอย่างศมนเรื่องแค่นี้ทำให้หวั่นไหวไม่ได้หรอก หญิงสาวขยับแว่นเล็กน้อยก่อนสบตากับชายหนุ่ม

“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะคะ”

“หึ...ผมคิดว่าคุณเป็นนกต่อให้เจ้านายคุณ”

“ผิดแล้วค่ะคุณภูผา ต่อให้ไม่มีเรื่องของเจ้านาย ฉันก็ยังจะมาหาเธอ...คุณจะรู้ว่าทำไมเมื่อฉันเจอกับพิชชา”

ภูผาหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ลางสังหรณ์เตือนเขาว่าไม่ควรดูถูกผู้หญิงคนนี้

“น้องหลับอยู่”

“ฉันรอได้”

“ตามใจ ถ้าน้องตื่นเมื่อไรจะให้คนมาบอก...ขอตัว” พูดจบภูผาก็ลุกเดินออกมาก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก

“เดี๋ยวค่ะคุณภูผา”

“...”

“ระหว่างที่รอขอฉันเดินเล่นที่สวนคุณได้ไหม”

“ตามสบาย ตราบเท่าที่คุณไม่คิดขโมยอะไรออกไป”

หญิงสาวถลึงตาใส่แผ่นหลังเจ้าของบ้าน...ใครมันจะบ้าขโมยต้นไม้

 

 

ตั้งแต่รู้ตัวว่าท้อง นอกจากความอยากอาหารที่เพิ่มขึ้นแล้ว พิชชายังง่วงและอ่อนเพลียง่าย วันๆ ไม่ทำอะไรมีแต่กินกับนอนทำให้เธอเบื่อ คนที่รู้ว่าพิชชาท้องมีแค่ภูผา คเณศและแม่บ้านที่ดูแลเธอ ส่วนอีกสี่หนุ่มที่เหลือก็ยุ่งโดยเฉพาะภาสกรกับพายุเจอหน้าเฉพาะมื้อเช้าเท่านั้น ส่วนเคนมีงานที่ต่างจังหวัดคาดว่าคงไม่โผล่หน้าให้เห็นอีกหลายเดือนและได้ข่าวว่ามีปลิงตัวโตอย่างบาสเกาะติดไปด้วย เพราะเจ้าตัวต้องการลี้ภัยจากคุณหญิงแม่ที่กำลังหาว่าที่เจ้าสาวให้

ร่างสูงของภูผาที่ยืนกอดอกตรงชานบ้านเรือนมะลิหรือบ้านทรงไทยที่ภูผาปรับจากหลังเดิมที่เป็นของตกทอดมาตั้งแต่รุ่นทวด ภูผาค่อนข้างหวงเรือนมะลิที่เขาเก็บไว้เพื่อเป็นเรือนหอ นอกจากแม่บ้านที่ทำความสะอาดและพิชชาก็ไม่มีใครได้เข้าไปยุ่มย่ามบนเรือน โดยเฉพาะภาสกรที่ถูกสั่งห้ามเด็ดขาดเพราะเจ้าตัวเป็นบ่อนทำลายบรรยากาศบ้านทรงไทย พิชชามองตามสายตาของพี่ชายที่มองไปยังสวน ภาพของหญิงสาวผมยาวในชุดสีขาวกำลังชื่นชมดอกไม้ที่ออกดอกชูช่อสวยงาม ใบหน้าผุดผ่องแม้มองไกลๆ ก็ยังดูสวยสะดุดตา

พิชชามองสลับพี่ชายกับหญิงสาวแปลกหน้าไปมาก่อนที่ดวงตาจะทอประกายเจ้าเล่ห์ เธอแอบย่องเข้าไปทางบันไดหลังที่แม่บ้านใช้เข้าออก ท่าทางจะจ้องสาวจนเพลินไม่รับรู้แม้แต่การมาของเธอ

“สวยเนอะ”

“อือ”

“น่ากินเนอะ”

“อือ”

“น่าสนเนอะ”

“อือ”

“ชอบล่ะสิ”

“...”

“จะจีบมะ”

“ยุ่ง !” ทำเสียงเข้มกลบเกลื่อนแต่ตาก็ไม่ละจากภาพข้างล่าง พิชชาแกล้งกระแซะไหล่

“ลองพาเขามาชมเรือนมะลิดูหน่อยไหมเผื่อเขาถูกใจ อยากมาอยู่”

“...”

“อายุก็เพิ่มขึ้นทุกวันแต่ชีวิตกลับต้องว่างเปล่า เรือนมะลิก็เงียบเหงาปลูกไว้แต่กลับไม่มีคนอยู่ เจ้าของมันก็ไม่ค่อยสนใจวันๆ เอาแต่หน้านิ่งคิ้วขมวด...ไม่คิดจะหาคนมาช่วยคลายเหงาบ้างหรือคะ นายช่างใหญ่”

นายช่างใหญ่ยังนิ่งไม่ตอบ พิชชาแอบเห็นมุมปากของเขาขยับ

“ว่าแต่นั่นใครอะพี่ ทำไมมาอยู่แถวนี้ได้”

“แขกของเรานั่นแหละ” หญิงสาวทำตาโตชี้นิ้วใส่ตัวเองเป็นเชิงถามว่า ‘เธอเหรอ ?’ เป็นจังหวะเดียวกับสาวสวยข้างล่างที่หันมามองทางนี้พอดี ภูผาเดินนำหน้าลงจากเรือนมะลิไปหาแขกแปลกหน้าที่กำลังทำหน้ายินดียามที่ทั้งสองก้าวเข้าไปใกล้ พิชชาต้องยอมรับว่าแขกคนนี้พอได้มองใกล้ๆ ยิ่งดูสวย ทั้งวางตัวได้สง่างาม ดูเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบ แต่ยิ่งพิศยิ่งใกล้ๆ คลับคลายคลับคลาเหมือนเคยเจอ เหมือนเธอคนนั้นจะรู้จึงดึงแว่นตาออกพร้อมกับคลี่ยิ้มสวยแบบที่ใครเห็นก็คงไม่มีทางลืม

“พี่ชงโค !”

พิชชากระโดดกอดจนศมนเซไปข้างหลังสองสามก้าว ทั้งสองหัวเราะก่อนที่ศมนจะหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง

“ไงจ๊ะอาชา นึกว่าจะจำพี่สาวคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว”

“ตอนแรกก็จำไม่ได้ แต่พอพี่ชงโคยิ้มปุ๊บจำได้เลย คิดถึงจังไม่เจอกันตั้งนาน พี่สบายดีใช่ไหม ตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร แล้วพี่หาอาชาเจอได้ไง แล้ว...”

“ใจเย็นๆ ก่อนจ้ะสาวน้อย ถามพร้อมกันแบบนี้พี่ตอบไม่ทัน ไม่ต้องห่วงน่าพี่มีเวลาจะตอบคำถามอีกเยอะ”

พิชชายิ้มเขินก่อนจะจูงมือศมนเข้าไปในบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะได้มีโอกาสได้พบกับศมนอีกหลังจากที่ห่างกันนานถึง 15 ปี พวกเธอเคยอยู่ด้วยกันในบ้านแก้วกล้า ศมนเป็นอีกคนที่คอยดูแลพิชชาเหมือนกับอาสัญ และอีกคนคือชามา หรือชาม แต่พอบ้านเด็กกำพร้าปิดตัวลง ทั้งสี่ก็ไม่ได้พบกัน จนกระทั่งพิชชาพบอาสัญและตอนนี้ศมนก็มาหาเธอ นี่ถือเป็นเรื่องดีสุดๆ สำหรับพิชชา

ศมนเหลือบมองภูผาที่ทำเสมือนไม่มีตัวตนแต่เกาะติดหนึบนั่งร่วมวงสนทนา แต่พิชชาบอกไม่ต้องสนใจ เพราะถึงจะไล่ไปเดี๋ยวเจ้าตัวก็ตามสืบจนรู้เรื่อง สู้ให้รู้ไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องตอบคำถามทีหลัง ศมนก็เลยเลิกสนใจชายหนุ่มโดยที่ไม่เห็นแววตาเหยาะเย้ยของพิชชาที่จงใจส่งให้ภูผา

ศมนเล่าว่าหลังออกจากบ้านแก้วกล้า เธอถูกย้ายไปที่สถานสงเคราะห์อีกแห่งก่อนจะมีผู้ใจบุญรับอุปการะไปเลี้ยงและส่งเสียจนจบปริญญาโท ปัจจุบันยังทำงานให้ครอบครัวนั้นเป็นการตอบแทน พิชชาเองก็เล่าเรื่องของตัวเองพร้อมกับบอกเล่าถึงเรื่องของอาสัญ

“ตายจริง ไม่น่าเชื่อว่าจอมซุ่มซ่ามแบบนั้นจะเป็นหมอ ไม่ไปทำคนไข้ร้องไห้แล้วหรือปานนี้”

“ไม่หรอกค่ะ เห็นว่ามีสาวๆ รอต่อคิวเพียบ แต่ที่น่าอิจฉาก็คือคนบ้าอะไรหน้าเด็กยิ่งกว่าอายุ ถ้าไม่บอกว่าอายุสามสิบ แค่เห็นหน้าก็นึกว่านักศึกษาจบใหม่”

“อ่า เป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาจริงๆ นั้นแหละ” ว่าแล้วก็หัวเราะ

“แล้วพี่ชงโคได้ข่าวชามบ้างไหมคะ”

รอยยิ้มของศมนหุบลงเมื่อนึกถึงน้องเล็กของกลุ่มที่อายุน้อยกว่าพิชชา 2 ปี ใจจริงเธอไม่อยากจะบอกข่าวเกี่ยวกับชามาให้พิชชารู้เลยด้วยซ้ำ แต่ปิดไปก็เท่านั้น

“ชามโชคร้ายกว่าพวกเรา...เมื่อ 3 ปีก่อนพี่ได้ยินข่าวว่าเธอถูกจับขายไปในซ่องและถูกลูกค้าวิปริตทารุณจนเสียชีวิต สภาพแย่จนจำแทบไม่ได้” พิชชากุมมือศมนอย่างปลอบใจทั้งพี่ทั้งตัวเอง แม้ความทรงจำจะเลือนรางแต่ความรู้สึกผูกพันก็ยังแจ่มชัด เด็กหญิงตัวน้อยผู้แสนร่าเริงชอบวิ่งซนจนถูกดุอยู่บ่อยๆ หงอยได้ไม่นานเจ้าตัวก็หาเรื่องซนอีก

‘พี่อาชา...พี่อาชา ปลูกกุหลาบกัน แม่ครูซื้อมา’

‘หนูอยากกินไข่เจียว พี่ชงโคทำหน่อย...นะคะ’

‘พี่ชงโค หนูอยากถักเปีย’

‘พี่อาชาวาดรูปให้หนูหน่อย...น้า นะคะ’

“ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละอาชา อย่าเก็บเรื่องนี้ไปคิดให้วุ่นวายใจ เรื่องมันผ่านไปแล้วถึงอย่างไรคนชั่วก็ได้รับกรรมของมันแล้ว ตอนนี้ก็คิดเสียว่าชามโชคดีที่หลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้ เอาล่ะหยุดพูดเรื่องเครียดๆ ดีกว่าจ้ะ มันไม่ดีต่อ...เอ่อ...”

ศมนอึกอักแต่สายตาก็เหลือบมองหน้าท้องของพิชชาทำให้สองพี่น้องสะดุ้ง พิชชาเลิกคิ้วยิ้มกลบเกลื่อน

“พี่ชงโคหมายถึงอะไรเหรอ ?” ศมนแสร้งยกมือปิดรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์

“พี่คิดว่าเรื่องนั้นน่าจะชัดเจนอยู่แล้วนะจ๊ะอาชา เวลาที่ผู้หญิงเปล่งประกายมีน้ำมีนวลก็เพราะกำลังมีสิ่งดีๆ อยู่ในชีวิตไม่ใช่หรือจ๊ะ...อีกอย่างถ้าดูจากอาการของเจ้านายพี่ก็น่าจะพอบอกได้ว่า เจ้าตัวเล็กอยู่ในนั้น...ใช่ไหมล่ะ”

“เจ้านายพี่ ? มาเกี่ยวอะไรกับอาชาอะ” พิชชาทำหน้าสงสัย ส่วนภูผาที่เงียบมานานก็แกล้งทำเสียงกระแอมไอเสียงต่ำพร้อมส่งสายตาเตือนศมน แต่หญิงสาวไม่สนใจ

“ตายจริง ! พี่ลืมบอกอาชาหรือจ๊ะว่าคุณกวินคือเจ้านายของพี่”

พิชชาตาโตประชิดตัวศมนพร้อมกับเขย่าแขนถามด้วยเสียงตื่นเต้น

“จริงเหรอ ! พี่ชงโคไม่ได้หลอกอาชาใช่ไหม ? แล้ว...แล้วตอนนี้ซานต้าเป็นไงบ้าง เขาทำอะไร อยู่ที่ไหน แล้ว...”

อะแฮ่ม ! พิชถ้าไม่เห็นแก่หน้าพี่ก็ช่วยอย่าลืมว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ช่วยเล่นตัวสักหน่อยจะได้ไหม อย่าเพิ่งทอดสะพานให้เขาง่ายๆ พี่ขอร้องเถอะ” ภูผาบอกอย่างเหนื่อยใจ

“โอ๊ย พี่ชื่นสมัยนี้ชายหญิงเท่าเทียมกันค่ะ มัวแต่ชักช้าหมาคาบไปแดกกันพอดี นี่ปล่อยปละละเลยมาหลายวันไม่รู้จะโดนชะนีแอบย่องมาตีท้ายครัวแล้วหรือยัง ยิ่งหล่อๆ แบบนั้นวางใจไม่ได้หรอก”

ภูผานึกอยากจะค้อนใส่น้องสาวแต่ที่ทำได้ก็แค่ถลึงตาใส่...หมอนั่นสงสัยตาจะบอดถึงได้มาคว้ายัยพิช ไม่รู้อะไรซะแล้วว่านี่มันนางมารร้ายชัดๆ ศมนแอบหัวเราะทั้งสองคนพร้อมกับมองพิชชาด้วยความปลื้มปิติที่ได้เห็นเด็กน้อยในวันวานได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตชีวา สดใสร่าเริงกว่าเมื่อก่อน

“อาชาไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เพราะเจ้านาย...หมายถึงคุณกวินนะป่วยไม่ได้ออกจากบ้านมาเป็นอาทิตย์แล้วล่ะจ้ะ”

“อะไรนะ ! จริงหรือค่ะพี่ชงโค เขาป่วยหนักมากไหม ทำไมไม่ไปหาหมอ แล้วตอนนี้เป็นไงบ้าง” หญิงสาวถามอย่างร้อนรน แต่ศมนกลับหัวเราะทำให้พิชชาไม่ชอบใจเท่าไร

“ขอโทษจ๊ะขอโทษ เจ้านายพี่แค่เป็นไข้หวัดธรรมดานะแต่ที่เป็นนานขนาดนี้เพราะเจ้าตัวไม่ยอมกินยา ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่า...อาการป่วยอีกโรคหนึ่งนะสิต่อให้ไปหาหมอก็คงไม่หาย”

พิชชาหน้าซีดนึกห่วงกวิน ศมนเห็นแล้วก็ลอบยิ้ม เหลือบหันไปฝั่งตรงข้ามสบสายตาที่มองจับจ้องมาตั้งแต่แรก...จะมองอะไรกันนักหนา ไม่มีงานมีการจะทำหรือไงถึงว่างเสนอหน้าคอยจับผิดคนอื่น ฝันไปเถอะไอ้เด็กบ้าถ้าคิดจะขวางฉันได้

“โรคอะไรหรือพี่ชงโค”

“ไม่รู้สิ แต่อาการก็แค่อาเจียนทุกๆ เช้า ของที่เคยชอบก็บอกว่าเหม็น ชอบหน้ามืดหรือป็นลมบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาเข้าใกล้ผู้หญิงที่ฉีดน้ำหอม ขนาดพี่ยังเข้าใกล้ไม่ได้ด้วยซ้ำจะคุยกันแต่ละทีต้องยืนห่างกันคนละมุมห้อง อาชาว่าอาการแบบนี้มันน่าจะเรียกว่าโรคอะไรดีจ๊ะ”

พิชชาฟังแล้วก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจที่ศมนต้องการสื่อ ได้แต่นึกนี่มันโรคบ้าอะไร ภูผาได้ยินก็อึ้งก่อนจะหัวเราะออกมาก่อนจะช่วยเฉลย ทำให้ใบหน้าเอ่อๆ เปลี่ยนมาอ้าปากค้าง หน้าแดงก่ำแล้วก็กอดหมอนอิงซุกหน้าหลบ

“หึๆ เขาเรียกว่า...โรคแพ้ท้องแทนเมียไง”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา