บังเอิญรัก
เขียนโดย Necha
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.21 น.
แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557 13.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) บังเอิญ...ยอม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงในห้องน้ำปลุกให้พิชชาสะลึมสะลือตื่นมือบางคว้าสะเปะสะปะไปข้างๆ แต่กลับพบความว่างเปล่า เจ้าของไออุ่นหายไปคิ้วขมวดอย่างไม่พอใจ แต่พอฟังเสียงพิชชาก็ลุกพรวดหยิบเสื้อคลุมมาสวม ร่างหนาที่นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวกำลังโก่งคออาเจียนอย่างทรมานตรงชักโครก แผ่นหลังเปลือยเปล่ามีรอยข่วนเต็มไปหมด พิชชายกนิ้วมือขึ้นมามอง...สงสัยต้องตัดเล็บแล้วมั้ง
“ซานต้าเป็นอะไร ? ไหวไหม ?” กวินฝืนยิ้มให้ร่างบางที่ช่วยลูบหลัง พอเขาบ้วนปากก็ช่วยพยุงออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าคมซีดเผือดบีบมือหญิงสาวที่คอยลูบหน้าลูบหลังอย่างเป็นห่วง
“ครับ สงสัยจะแฮงค์เมื่อคืนไม่รู้ว่าดื่มไปมากเท่าไหร่”
“หึๆ โดนพี่เคนมอมล่ะสิ ขานั้นชอบหลอกล่อให้คนอื่นดื่มจนกว่าจะน็อคไปข้างหนึ่ง ตอนนี้ค่อยยังชั่วหรือยัง อาบน้ำเองไหวไหม ? เดี๋ยวพิชออกไปชงอะไรร้อนๆ มาให้ ในครัวน่าจะมีชา”
“พี่ไม่เป็นไรแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงพี่หรือเปล่า ดูสิตาปรือจะหลับอีกรอบ นอนต่อก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
“ไม่เอา อยากดูแลบ้างให้ซานต้าดูแลฝ่ายเดียวได้ไง ไปอาบน้ำเถอะ” กวินยิ้มกว้างคว้าร่างบางมากอด...แฟนเขาน่ารักขึ้นทุกวัน
“ช่วยอาบให้หน่อยซิครับ พี่หมดแรง”
พิชชางับจมูกโด่งอย่างแรงอย่างหมั่นไส้ แววตาวิบวับมืออีกข้างก็ลูบต้นขาเธอ...เชื่อตายล่ะ
“หื่น ! ปล่อยเลยจะออกไปแล้ว”
“ครับๆ...จุ๊บก่อนสิ”
พิชชามองคนหน้าหล่อทำหน้าอ้อน แต่ถ้าใจอ่อนก็ได้เลยเถิดอีก ก็เลยสั่งให้เขาหลับตา เธอแตะริมฝีปากบนหน้าผาก ไล่ลงมาที่จมูกโด่งก่อนจะหายใจรดเหนือริมฝีปาก รับรู้ลมหายใจขาดช่วงของชายหนุ่มที่ไม่ได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของเธอ ก่อนที่มือบางจะ...ผลักหน้าเขาหงายหลังลงเตียง สัมผัสอ้อยอิ่งเล่นเอาเขาแทบลืมหายใจเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อแต่ต้องกินแห้วแทน กวินมองหลังคนขี้แกล้งที่เดินหนีออกไปนอกห้องแววเสียงหัวเราะเยาะจนเขาหมายมั่นจะเอาคืน แต่ตอนนี้ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ มือลูบริมฝีปากที่ยิ้มกว้างจนแทบจะปวดแก้ม เคลิ้มอยู่ไม่นานชายหนุ่มก็ต้องพุ่งไปที่ชักโครก คลื่นเหียนระลอกใหม่ตีขึ้นมาจ่อที่ลำคอซึ่งอีกนานกว่าเขาจะได้ออกจากห้องน้ำ
“ไหวไหมเนี่ย” พิชชาเอ่ยถามชายหนุ่มที่นั่งหน้าซีดจิบนมอุ่นๆ แทนกาแฟเพราะตอนที่ชงให้ดันบอกว่าเหม็นวิ่งเข้าห้องน้ำเกือบไม่ทัน ส่วนคนถามกำลังละเมียดละไมรสชาติของเค้กนมสดหลังกินเค้กมูสหมดไปแล้วชิ้นหนึ่งอย่างมีความสุขพลางนั่งมองชายหนุ่มวิ่งเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่นหลังจากกินสารพัดโจ๊กที่สั่งมาให้ เพียงแค่ชิมเข้าไปคำแรกเขาก็พุ่งไปโก่งคออ้วกอย่างเอาเป็นเอาตาย พอลองเปลี่ยนอาหารดูผลก็ยังเหมือนเดิมก่อนจะลงเอยที่ข้าวไข่เจียว นั่นแหละเขาถึงได้ทานอาหารมื้อแรกของวันหลังปาเข้าไปบ่ายโมง แรกๆ เธอเองก็เป็นห่วงคอยลูบหลังให้แต่พอสักพักก็เริ่มเมื่อยจึงเปลี่ยนมานั่งคอยลุ้นแทน
แสงแดดที่สาดส่องลอดผ่านต้นไม้พร้อมกับสายลมที่พัดผ่านผิวกายให้พอคลายร้อน เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งเป็นจังหวะเป็นบรรยากาศอันแสนโรแมนติกระหว่างหญิงสาวกับชายหนุ่มที่นั่งเคียงข้างกันเพียงลำพังบนระเบียงที่พักที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ถ้าเพียงแต่ฝ่ายหนึ่งไม่หน้าซีดเซียวหมดแรงจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำหวาน ส่วนอีกฝ่ายก็มัวแต่สนเค้กและบรรดาขนมที่วางเรียงรายนานๆ ครั้งจะแกล้งยื่นแบ่งให้ชายหนุ่มชิมบ้าง และผลก็จบที่ฝ่ายนั้นวิ่งพรวดไปที่ห้องน้ำทันที
ก็เป็นห่วงนะ แต่อยากแกล้งบ้างแบบที่ว่า...รักดอกจึงหยอกเล่นJ
“พิชจะกลับวันไหนครับ”
“ถ้าพวกในบริษัท...ง่ำ ก็ไปขึ้นฝั่งตั้งแต่เที่ยงแล้ว ง่ำๆ พิชเช็คเอ๊าท์ออกแล้วกระเป๋าวางอยู่ข้างประตูห้องนอน ไม่เห็นเหรอ ?” กวินอยากจะค้อนใส่คนรัก...จะเอาเวลาไหนไปมองล่ะครับคนดี วิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำจนหมดแรงข้าวต้มแล้วเนี่ย
“งั้นจะเที่ยวต่อหรือว่าจะกลับเลยล่ะครับ”
“อยากกลับแล้วว่าจะแวะเที่ยวที่อื่นก่อนค่อยกลับกรุงเทพ ซานต้าไหวไหมล่ะ จำได้ว่ามีเรือออกตอนเย็นเราขึ้นฝั่งแวะไปหาหมอด้วยดีกว่าจะได้ให้เขาดูอาการคุณด้วย”
“พี่ค่อยยังชั่วแล้วครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเก็บกระเป๋าก่อนจะได้ไปท่าเรือ” ว่าแล้วก็เตรียมจะลุกแต่พิชชากดไหล่ไว้
“ไม่ต้องลุกเลย หน้าซีดขนาดนี้แล้วยังทำอวดเก่ง ดื่มนมหมดแล้วก็นอนพักเรายังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงน่า เดี๋ยวพิชเก็บเสื้อผ้าให้เอง โอเค...ตามนี้มติเป็นเอกฉันท์” ตกลงเสร็จสรรพเจ้าตัวก็กวาดเศษซากขนมที่ทานหมดไปทิ้งในครัวไม่สนชายหนุ่มอีก กวินได้แต่ยิ้มพอดื่มนมเสร็จก็ตามหญิงสาวไปที่ห้องนอน เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงฟังเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีพร้อมเสียงน้ำกระทบพื้นดังมาจากห้องน้ำก่อนจะเริ่มเคลิ้มหลับเพราะร่างกายเหนื่อยอ่อน สัมผัสอ่อนโยนที่หน้าผากพร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบา แม้จะทรมานจากการอาเจียนหลายชั่วโมงแต่กวินก็สามารถนอนหลับทั้งที่รอยยิ้มยังแต้มอยู่บนใบหน้า
ถ้าพิชดูแล(?) แบบนี้ทุกครั้ง เขาก็ยินดีที่จะทรมานมากกว่านี้ก็ยังได้
ณ โรงพยาบาล
“ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ ร่างกายแค่ขาดน้ำ คืนนี้นอนรับน้ำเกลือแล้วพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้นะครับ” คุณหมอบอกหลังการตรวจร่างกายหาสาเหตุของโรคก่อนจะปล่อยให้คนไข้ได้พักผ่อน
พิชชามองตามหลังคุณหมอหนุ่มอย่างครุ่นคิด พอกวินหลับเธอก็เดินออกมาและเป็นไปตามคาด คุณหมอคนนั้นยืนกอดอกพิงผนังคอยอยู่หน้าห้อง
“คุณญาติคนไข้ครับ หมอมีเรื่องจะคุยด้วย เชิญที่ห้องครับ” เธอพยักหน้าก่อนจะเดินตามเขาไป พิชชามองป้ายชื่อหน้าห้อง ‘นายแพทย์อาสัญ ไพรพนา’ เจ้าของห้องเปิดประตูเชิญให้เข้าไปก่อน ภายในห้องดูสะอาดและเป็นระเบียบ คุณหมอชี้ให้เธอไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานก่อนที่เขาจะเปิดตู้เย็นเล็กในห้องหยิบน้ำผลไม้มาขวดหนึ่งโยนให้พิชชา
“ไม่เจอกันตั้งนาน มารยาทนายแย่จังเอิ้น”
“เหอะ ! ทำยังกับตัวเองดีตาย แล้วขอร้องอย่าเรียกชื่อนั้น เรียกฉันว่าหมอ ไม่ก็อาสัญพอเถอะอาชา”
“ทำไมล่ะ ชื่อเพราะออก”
“มันเหมือนตุ๊ด !”
พิชชาหัวเราะลั่นเมื่อคุณหมอผู้แสนสุภาพเมื่อครู่ตวาดใส่พร้อมทุบโต๊ะ ใบหน้าคมสันทำหน้าไม่สบอารมณ์ จะด้วยเหตุบังเอิญอันใดไม่ทราบที่ทำให้พิชชาได้มาเจอกับสหายเก่าที่เคยอาศัยอยู่บ้านเด็กกำพร้าด้วยกันซึ่งเด็กๆ ในบ้านจะมีชื่อเล่นที่แม่ครูตั้งให้ใหม่โดยเด็กผู้ชายจะมีชื่อน่ารักๆ ส่วนเด็กผู้หญิงจะมีชื่อเท่ห์ๆ ชื่อเล่นของพิชชาคือ อาชา ซึ่งเธอไม่เคยบอกใคร ส่วนอาสัญชื่อเล่น เอิ้น
อาสัญเป็น 1 ใน 3 คนที่พิชชาค่อนข้างสนิทด้วย เขาอายุมากกว่าเธอ 5 ปีแต่อาสัญเป็นคนหน้าเด็ก เธอเลยทำใจเรียกพี่ไม่ลงซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร ครั้งล่าสุดที่ทั้งสองเจอกันคือตอนที่พิชชาอายุ 15 ปีกำลังรีบเอาเอกสารสำคัญที่ตาแก่ขี้ลืมคนหนึ่งลืมไว้และโทรมาจิกให้เธอเอาไปให้ เธอรีบจนวิ่งไปชนอาสัญที่กำลังรีบไปเรียนเหมือนกัน แม้จะจำกันได้แต่ก็ไม่มีเวลาจะพูดคุยกันนักเพราะต่างก็รีบและพวกเขาก็ลืมขอข้อมูลติดต่ออีกฝ่าย
“ไม่นึกเลยว่านายจะได้เป็นหมอ ท่าทางจะเงินเดือนเยอะนะเนี่ย สบายเลยสิ” หากคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอาจจะฟังดูเหมือนประชดประชัน แต่อาสัญที่ช่วยแม่ครูดูแลยัยเด็กมีปัญหาที่เข้ามาบ้านช่วงแรกๆ พอเข้าใจว่านั่นเป็นการพูดหยอกเย้า
“ก็พออยู่ได้ ว่าแต่เธอล่ะอาชา เป็นยังไง ?”
หลังจากนั้นทั้งสองก็พลัดกันถามอีกฝ่ายและเล่าเรื่องของตัวเอง พิชชาได้รู้ว่าหลังจากที่แม่ครูเสียชีวิตอาสัญก็ได้ไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพได้เลี้ยงดูส่งเสียจนเขาเรียนจบ แต่ด้วยเหตุจำเป็นทำให้อาสัญย้ายมาทำงานที่นี่แทนที่จะทำงานในโรงพยาบาลของพ่อแม่บุญธรรม ทั้งสองพูดคุยกันโดยไม่มีใครมาขัดเพราะอาสัญออกเวรแล้ว แต่พอพิชชาจะขอตัวกลับไปเฝ้ากวิน อาสัญก็โพล่งถาม
“เขาเป็นแฟนเธอเหรอ ?”
“ใช่ ถามทำไม ?”
“เธอแต่งงานแล้ว ?”
“ยัง แค่คบกันเฉยๆ” คุณหมอหนุ่มหน้าเครียดทันทีพร้อมทำท่าอึกอัก
“เธอ...นอนด้วยกัน เอ่อ”
“เอิ้นหมายถึงเซ็กส์นะเหรอ อือมีแล้วก็เรื่องปกติของมนุษย์ที่ยังมีความต้องการ”
“นานหรือยัง ? ล่าสุดตอนไหน ?”
“ถามเพื่อ ?”
“เออนะ ตอบมาเหอะกำลังวินิจฉัยโรคของแฟนเธออยู่”
“แล้วเกี่ยวไรกับเรื่องบนเตียง เพิ่งรู้ว่าหมอก็ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน”
“ยัยม้าดีดกะโหลก ! ฉันจะไม่เสือกเลยถ้าแกจะรักนวลสงวนตัวมากกว่านี้ ! อย่ามาลีลาฉันถามก็ตอบมาสิวะ !”
“โอ หมอลืมฉีดยาให้ตัวเองใช่เปล่าอาการกำเริบแล้วนั้น เก็บเสียงหน่อยหมอมาดหลุดแล้ว” คุณหมออาสัญถลึงตาใส่คนที่นั่งตรงข้าม ได้แต่ดึงทึ้งผมตัวเองอย่างบ้าคลั่งยิ่งเห็นรอยยิ้มยียวนที่พิชชาส่งมาให้ก็อยากจะจับหักคอ
“ฮ่าๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ ฉันนอนกับแฟนเมื่อสักสองสามเดือนที่แล้ว ล่าสุดเมื่อคืน” ตอบอย่างไม่อายแต่คนฟังอ้าปากค้าง
“ปะ...ป้องกัน ?”
“อือ ซานต้าใส่ถุงยางทุกครั้ง...บางทีเขาก็ใส่เอง ถ้าฉันอารมณ์ดีหน่อยก็ใส่ให้เขา”
“=[]= เอ่อ ล แล้วเธอคุมกำเนิดหรือเปล่า”
“คุมกำเนิด ? คุมทำไม ?”
O [ ] O คุณหมอหนุ่มช๊อค โดนตั้งคำถามแบบนี้เป็นคนอื่นคงเริ่มจะระแคะระคายสงสัยหรืออาจจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ยัยอาชานี่มัน...
“ประจำเดือนมาล่าสุดวันไหน ?”
“หือ หมอเอิ้น ไม่นึกเลยว่านายจะ...”
“โว้ยแม่ง ! จะไปไหนก็ไปยัยบ้า ไม่ถงไม่ถามมันแล้ว”
พิชชาหัวเราะร่ากับท่าทางกระฟัดกระเฟียดของอาสัญ เธอโบกมือลาก่อนจะเปิดประตูค้างคุณหมอที่กำลังหยิบขวดน้ำรินใส่แก้วเอ่ยขึ้น
“อาชา”
“??”
“พรุ่งนี้ก่อนที่แฟนเธอจะออก...แวะไปแผนกสูตินรีด้วยนะ”
“ไปทำไม ?”
“ตรวจร่างกาย”
“ใครตรวจ ? แฟนฉัน ?”
“เธอนั่นแหละ ยัยโง่ !”
“เอ๊ะ...เอ๋ !?”
“ดูจากอาการแฟนของเธอ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่ว่าแพ้ท้องแทนเธอ พรุ่งนี้ก็ไปตรวจซะจะได้ยืนยันผล...ไม่น่าลืมเลยว่ายัยบ้านี่ไม่ชอบกินยาแล้วไอ้ยาคุมนี่นะเรอะจะกิน” ประโยคท้ายอาสัญบ่นพึมพำกับตัวเอง ส่วนคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกำลังประมวลคำพูดเมื่อครู่ก่อนจะ...
“อะไรนะ !!!!!”
คุณหมออาสัญที่อายุเพิ่งเข้าเลขสาม ผู้ครองตัวเป็นโสด(?) ด้วยหน้าที่การงานจึงไม่สามารถจะหาคนมาดูใจเพราะเขาคงไม่มีเวลาดูแลและที่ผ่านมามักโบกมือลาเขาด้วยสาเหตุนี้ หลังโชคชะตานำพาให้เขาได้พบกับเพื่อนเก่าเมื่อคืนที่มาพร้อมกับปัญหา(?)ชวนปวดหัวก็ทำเอากว่าเขาจะข่มตานอนก็ล่วงเลยเข้าเช้าวันใหม่ พอเคลิ้มหลับไปสักพักเสียงโทรศัพท์ข้างหัวเตียงก็แผดเสียงดังลั่น ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสียคว้าแว่นมาสวมและเหลือบมองนาฬิกา...เจ็ดโมง ! เขาเพิ่งล้มตัวนอนตอนตีสองเองนะ วันนี้อาสัญเข้าเวรตอนเที่ยงและเจ็ดโมงเช้ามันไม่ใช่เวลาตื่นของเขา !
“ฮัลโหล !” ชายหนุ่มกระชากเสียงหลังกดรับไม่สนใจจะมองด้วยซ้ำว่าใครโทรมา
[เอ่อ...สวัสดีค่ะ หมออาสัญใช่ไหมคะ ? ขอโทษที่โทรมากวนตอนเช้า ดิฉันหมอแพรว แผนกสูตฯ นะคะ]
“อ่อ ครับ”
[เพื่อนที่หมอฝากให้ดูแลนะคะ คือ.../...จะท้องได้ไงวะฉันป้องกันทุกครั้ง หมอตรวจผิดเปล่าเนี่ยหะ !]
เสียงวีนลอดผ่านสายดังเข้ามาใส่หูทำเอาคุณหมอหนุ่มตื่นเต็มตาแล้วเปลี่ยนมานั่งกุมขมับแทน...ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่ายัยเด็กที่ชอบเก็บตัว พูดน้อยคนนั้นหายไปไหน ทำไมยัยจอมวีนสติไม่ดีถึงโผล่มาแทน
“ผมพอเข้าใจสถานการณ์แล้ว ต้องขอโทษหมอแพรวด้วยนะครับ”
[ม ไม่เป็นไรค่ะ แต่เพื่อนหมอไม่ยอมเชื่อสักทีว่าตัวเองท้อง จะขอตรวจใหม่อีกรอบแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม แพรวไม่รู้จะอธิบายยังไงก็เลยโทรหาหมอ...ตอนนี้เธอแทบจะพังโต๊ะแพรวแล้วค่ะ ! T_T] ประโยคสุดท้ายฝ่ายนู้นแอบกระซิบ น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนคนจะร้องไห้...ยัยอาชาทำเรื่องอีกแล้ว เฮ้อ !
“ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ ยังไงเดี๋ยวผมจะคุยกับเธอเอง รบกวนหมอแพรวช่วยส่งโทรศัพท์ให้อาชา เอ่อ หมายถึงเพื่อนผมนะครับ”
[ค่ะ สักครู่นะคะ...คุณพิชชาคะ หมออาสัญจะคุยด้วยค่ะ / ฮือ...เอิ้น~…โครม ! / อุ๊ย ขอโทษค่ะ ! แพรวขอตัวก่อนนะคะ เอ่อ คุณพิชชาอย่าลืมไปรับยานะคะ...ดูแลตัวเองด้วย ลาล่ะค่ะ]
อาสัญลงไปนอนดิ้นบนเตียง มือที่ว่างจับดึงทึ้งเส้นผมตัวเอง ใบหน้าบูดเบี้ยวทั้งโกรธและอยากร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน...หมด หมดกัน ความลับที่อุตส่าห์ปกปิดไว้ตลอด 3 ปีในโรงพยาบาลแห่งนี้ T^T
เขาไม่รู้ว่าหมอแพรว แผนกสูตินรีเวชคนนี้นิสัยเป็นยังไงเพราะไม่ได้สนิท แค่พอรู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่ที่รู้ในตอนนี้เธอคนนั้นเป็นหนึ่งในคนที่ความลับน่าอายของเขาแล้ว...โถ ชีวิตของชายหนุ่มมาดแมนแฮนซั่มอย่างเขาต้องมาเปื้อนราคีเพราะยัยอาชาคนเดียว !
[เอิ้น ช่วยบอกทีว่ามันไม่จริง ฉันกำลังฝัน]
“เงียบไปเลยยัยบ้า ! บอกกี่ครั้งว่าอย่าเรียกชื่อนั้นๆ ฮึ่ย ทำเวรทำกรรมอะไรวะถึงมาเจอเธอเนี่ย...แล้วเลิกโวยวายได้แล้วไอ้เรื่องที่เธอป่องนะ ตอนทำ ไม่รู้จักคิดพอผลออกมาก็ทำเป็นรับไม่ได้ อย่ามาตีโพยตีพายพาลคนอื่นแบบนี้มันทำให้เธอดูเป็นพวกผู้หญิงใจง่าย ตอนนี้สิ่งที่เธอควรทำคือยอมรับมันและหวังว่าคงจะไม่คิดทำอะไรโง่ๆ อย่างการเอาเด็กออกหรอกนะอาชา ถ้าเธอทำ...เธอก็เป็นคนที่อำมหิตมาก”
[ไม่สิ้นคิดหรอกเว้ย ลูกฉันมีพ่อถึงจะท้องก่อนแต่งก็ไม่ใช่ปัญหา แต่มันทำใจเชื่อไม่ลงป้องกันแล้วทำไมท้องได้วะ นี่ต่างหากที่ไม่เข้าใจ]
=_=; คุณนายหลังเขา...คงจะเข้าใจหรอกนะตัวเองก็ลืมคุมกำเนิด ของแบบนี้พลาดกันได้ทั้งนั้นแหละ
“มันก็ต้องมีพลาดกันบ้าง สงสัยเชื้อของแฟนเธอจะแรงถึงได้ลอดผ่านถุงยางไปได้ ไปเคลียร์กับแฟนเธอด้วยล่ะถ้ามันไม่ยอมรับผิดชอบ ฉันจะไปกระทืบให้ถึงที่...แต่คงจะไม่เป็นอย่างงั้นหรอกมั้งถ้าถึงขั้นที่แพ้ท้องแทนแสดงว่าคงจะรักเธอมาก”
[แน่นอน ที่รักของฉันแสนดีที่สุด ตอนนี้เขาหลงฉันจะตาย บอกเรื่องลูกเมื่อไรคงดีใจจนร้องไห้ขี้มูกโป่ง]
“เออ ดีใจด้วยล่ะกัน ตกลงท้องกี่เดือนแล้ว”
[สองเดือนกว่า ตอนแรกก็นึกว่าตัวเองมีหน้าท้องเฉยๆ เพราะช่วงนี้กินเยอะ ดีนะที่ไม่ได้ไปออกกำลังกายไม่งั้นคงแท้งไปนาน]
“จะทำอะไรก็ระมัดระวังล่ะยิ่งกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลก หวังว่าหลานฉันโตมาจะไม่เหมือนแม่มันนะ ยังไงก็อย่าลืมดูแลตัวเองดีๆ ล่ะกันตอนนี้ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว มีปัญหาอะไรก็ติดต่อมา เข้าใจไหม”
[รับทราบเจ้าค่ะคุณพ่อ]
หมดไปอีกหนึ่งปัญหา...คุณหมอหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงเข้าสู่นิทราไปอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะยังมีปัญหาหนักอึ้งที่ยังไม่ได้ขบคิด แต่วินาทีนี้ช่างมันนอนเอาแรงก่อนค่อยคิดทีหลัง อาสัญสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกตอน 11.00 น. เดินงัวเงียไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงไปข้างล่างเข้าครัว มีอาหารอยู่สองสามอย่างหุ้มพลาสติกอย่างดีมีโน้ตแปะ เขาปรายตามองแวบหนึ่งก็ขย้ำทิ้งลงถังขยะ ข้อความเดิมๆ ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่ามาจากใคร อาสัญยกอาหารออกไปนั่งกินที่ระเบียงหน้าบ้าน เขาชอบลมเย็นๆ นั่งกินข้าวคนเดียวพร้อมฟังเสียงคลื่นทะเล บ้านพักของเขาเป็นบ้านเดียวสองชั้นสีขาวติดริมทะเลและค่อนข้างเป็นส่วนตัวซึ่งเขาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แม้จะดูเงียบเหงาและวังเวงแต่ชายหนุ่มกลับชอบในความสงบแบบนี้เหมือนเป็นสถานที่ให้เขาได้หลีกหนีจากความวุ่นวาย
ใช้เวลาเพียง 10 นาทีอาสัญก็มาถึงโรงพยาบาล จัดการเอกสารที่ค้างอยู่บนโต๊ะเสร็จก็ออกเดินตรวจเยี่ยมคนไข้ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งมาถึงห้องสุดท้ายก่อนที่เขาจะแวะไปหาพิชชาเพราะก่อนหน้านี้โทรไปหาบอกว่าจะออกตอนบ่ายๆ
“โคตรปัญญาอ่อน ไอ้พิชรู้เข้าระวังเถอะจะโดนหนักต่อให้เป็นนายก็เถอะพายุ คิดได้ไงแกล้งทะเลาะกันเพื่ออยากจะมาเจอหน้าน้อง เป็นมาโซคิสม์รึไงก็รู้อยู่ว่ามาเจอหน้ามันยังไงก็ต้องโดนกระทืบ”
“อย่างน้อยก็ได้คุยกับน้อง เผลอๆ อาจจะแวะไปชิคาโกด้วยก็ได้ เจ็บตัวแค่นิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไร”
นิดหน่อยมาก...แค่กระดิกตัวจากเตียงไม่ได้เลยเนี่ยนะ ?
คนต้นคิดยักไหล่แต่คนเจ็บหันควับจ้องเขม็งจนพายุต้องหันไปป้อนผลไม้ที่ปอกไว้พร้อมยิ้มหวานอย่างเอาใจ
“หวังจะยืมมือน้องกำจัดคนสิไม่ว่า เล่นอะไรเป็นเด็กๆ...คุณเองก็อย่าตามใจหมอนี่ให้มากนัก เดี๋ยวจะเหลิงแค่นี้ก็นิสัยเสียจะแย่”
“ชิ แล้วนายจะให้ฉันไปตบผู้หญิงเองหรือไง คนได้ด่าหาว่าฉันเป็นไอ้หน้าตัวเมียรังแกผู้หญิงนะสิ ให้พิชจัดการแหละดีที่สุด สมน้ำสมเนื้อ แม่นั่นร้ายจะตาย”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่าวินดี้ โซเฟียก็แค่ถูกตามใจมากไปหน่อย เธอก็เลยไม่ชอบโดนขัดใจ” คเณศพูดพยายามประนีประนอมคนรักกับน้องสาวนอกไส้
“เหอะ ! อย่าทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย โดนยัยนั่นวางยาจะปล้ำแล้วยังไม่เข็ดอีก พี่นะชอบหลงลูกไม้ตื้นๆ ของมัน ถ้าเกิดวันนั้นวินไปไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น ! หรือว่าอยากจะได้มันเป็นเมียจนตัวสั่นถึงได้ชอบแก้ต่างให้ดีนัก ใช่ไหมหะ !?”
“โอ๊ยๆ ไปกันใหญ่แล้ว พี่เจ็บนะวินดี้...โอ๊ย เบาครับ เบา” ภาสกรมองภาพเพื่อนกำลังกระชากหัวผัว เอ๊ย คนพิการ(?) นี่ถ้าลูกน้องมาเห็นภาพนี้คงจะหมดศรัทธาในตัวบอสมาเฟียจอมโหดแน่ ไม่รู้พายุมันทำยังไงวิลสันถึงได้หงออย่างนี้ เห็นแล้วอยากจะย้อนเวลากลับไปช่วงปีหนึ่ง ถ้ารู้ว่าไอ้พี่ว๊ากอย่างมันอ่อนกลัวเมีย เขาจะไม่ยอมโดนมันข่มให้กลัวช่วงเป็นน้องใหม่หรอก คิดแล้วก็เจ็บใจ !
“ชิ ! เพราะพวกนายแท้ๆ ทำให้ฉันเสียเวลากับเรื่องบ้าๆ บอๆ แทนที่จะได้สวีทกับแฟน...ชื่นไปกินข้าวกัน ไม่อยากอยู่ในห้อง เบื่อพวกโลกสีชมพูเห็นแล้วอิจฉา ! จีบกันไม่ยอมเกรงใจ !”
=_=
ประชดเสร็จก็เดินนำแฝดไปที่ประตูและเปิดไปในจังหวะเดียวกันกับที่คุณหมอกำลังจะยกมือเคาะ
โป๊ก !
“โอ๊ย ! หมอต่อยตาผมทำไมเนี่ย !?” ภาสกรทรุดนั่งเอามือกุมเบ้าตาขวาเจ็บน้ำตาแทบเล็ด ส่วนคนชกก็งงมองมือที่กำหลวมๆ กำลังจะเคาะประตูสลับกับภาสกร จะว่าเป็นความผิดของคุณหมอก็ไม่ใช่ในจังหวะที่ภาสกรกำลังจะเงยหน้าขึ้นหลังก้มหลบหมอนที่ถูกพายุปาใส่เช่นเดียวกับกำปั้นที่คุณหมอกำลังทิ้งตัวเคาะประตู เรียกได้ว่าเป็นคราวซวยของภาสกรโดยแท้
“ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรมากไหม” ถามพร้อมกับจับมือที่กุมหน้าออก...
“อุ๊บ !” คุณหมอ พยาบาลที่มาด้วยกันและแฝดอย่างภูผาถึงกับหันหน้าหนีไปคนละทาง ไหล่ของแต่ละคนสั่นเพราะพยายามกลั้นเสียง ภาสกรได้แต่มองอย่างงุนงงก่อนจะลุกไปส่องกระจกในห้องน้ำ
“เฮ้ย !! O [] O”
รอยเขียวกระจายรอบเบ้าตาและอีกไม่นานคงเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำดูๆ ไปแล้วคงเหมือนหมีแพนด้า ยิ่งผิวขาวอย่างภาสกรรอยก็เลยยิ่งเห็นชัด...อ๊ากกกก หน้าหล่อๆ ของตูมีมลทิน T^T
“ต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้คุณเจ็บตัว” คุณหมออาสัญเอ่ยหลังทายาให้ภาสกรที่ตอนนี้ใส่แว่นตาสีดำปิดรอยเขียวที่ดวงตา
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหมอ มันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่ความผิดของคุณ เจ็บแค่เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่ถึงตายหรอกใช่ไหมชื่น ?”
“เออ !”
ภาสกรสะบัดหน้าหนี เล่นจิกตาใส่ขนาดนี้จะให้ตอบอะไรได้นอกจากเออออตาม ตกลงใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่วะ T^T
“ถ้าไม่รังเกียจให้ผมเลี้ยงกาแฟเป็นการขอโทษได้ไหมครับ ? ผมมีร้านแนะนำอยู่ข้างๆ โรงพยาบาลนี่เอง ถ้าพวกคุณชอบขนมหวาน ลองชิมเค้กร้านนี้รับรองติดใจครับโดยเฉพาะเค้กสตอเบอรี่เจนัว”
“โอ ไม่ต้อง--”
“ดีเลยหมอ ผมหิวพอดี” ภาสกรเอ่ยตัดหน้าภูผาที่กำลังจะปฏิเสธก่อนจะบอกให้คุณหมอนำทาง ภูผาได้แต่ส่ายหน้าในความหน้าด้านหน้าทนของพี่ชายฝาแฝดเดินตามทั้งสองไปไม่กี่ก้าว เสียงโทรศัพท์ของคุณหมอก็ดังเขาก้มหัวเป็นเชิงขอโทษพอเห็นชื่อของคนโทรมาก็ยิ้มก่อนจะกดรับ
“ว่าไงอาชา...กำลังจะไปคาเฟ่...ไปซักผ้ามั้ง ถามมาได้ พาเพื่อนไปเลี้ยงกาแฟ...ผู้ชาย...ไอ้บ้า ! ฉันชอบผู้หญิง...หือ ? ก็ร้าน Melon Café…อ้าวเรอะ โอเคแล้วเจอกัน”
อาสัญถอนหายใจหลังวางสาย...ยัยบ้าอาชาชอบกวนประสาทดันแซวว่าเขากำลังจะไปเดทกับผู้ชาย จะบ้าตายคิดได้ไงว่าเขาชอบไม้ป่าเดียวกัน ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะเขรกหัวไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัวให้และตอนนี้เจ้าตัวก็นั่งอยู่ร้านที่อาสัญกำลังจะไป เขาหันมายิ้มกับแขกทั้งสองก่อนจะเดินนำออกไปหน้าโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวขวา แนวรั้วใช้ไม้พุ่มเป็นแนวกั้นส่วนทางเข้าเป็นซุ้มโค้งมีเถาวัลย์เกาะ ที่มุมติดกระจกมีคู่หนุ่มสาวกำลังนั่งอยู่ด้วยกัน ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวที่กำลังละเลียดกินเค้กอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งก็ยื่นมือไปเช็ดเมื่อเห็นเธอกินเลอะ บรรยากาศของทั้งสองดูอบอุ่นไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าทั้งสองเป็นอะไรกัน กลิ่นไอของความรักชวนอิจฉาเมื่อต่างฝ่ายต่างเอาใจใส่อีกฝ่าย
อาสัญมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อตาตัวเองก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ...หึๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมยัยตัวแสบถึงปล่อยเนื้อปล่อยตัว ถูกทำให้เชื่องขนาดนี้รอดได้ก็แปลก
ตึง !!
หนึ่งในแขกของอาสัญก้าวไปยืนชิดกระจกบานนั้นพร้อมกับทุบอย่างแรงเล่นเอาคนในร้านสะดุ้งตกใจ โดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ตรงที่ถูกทุบหญิงสาวผงะตาโตตกใจแทบอยากจะหายไปจากตรงนั้นเมื่อเห็นว่าใครมาก่อกวน อาสัญมองอย่างแปลกใจหันไปหาแฝดอีกคนที่อยู่ข้างที่สีหน้าไม่ได้ต่างจากพี่ชาย ดวงตาวาวโรจน์จ้องคนข้างในอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะได้ถามเสียงภาสกรก็คำรามลั่นร้าน
“ไอ้พิช ! ไอ้น้องไม่รักดี !!”
เกิดอะไรขึ้นหว่า !?
เขาว่ากันว่า...ความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ แม้พยายามเหนี่ยวรั้งแค่ไหนความจริงอันโหดร้ายที่ตามด้วยความทุกข์มักจดจ่อรอเป็นคิวต่อไป
เขาว่ากันว่า...รักแท้มักมีอุปสรรค แต่มารตัวยักษ์ที่ยืนแยกเขี้ยวใส่ก็เล่นเอาใจห่อเหี่ยวยิ่งมองไปข้างหลัง...Y_Y มาเป็นแพ็คคู่ เอ่อ...เขาเรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อน
เขาว่ากันว่า...โลกเรานั้นกลม แต่โรงพยาบาลมีตั้งเยอะแยะทำไมต้องบังเอิญเป็นโรงพยาบาลเดียวกันด้วยวะ ! อุตส่าห์ถ่วงเวลากลับให้เวลาทำใจก่อน ที่สำคัญยังไม่เตี้ยมกับคุณแฟนที่รักเลย ฮือ งานเข้าอีกล่ะ
“เอ่อ เฮีย พี่ชื่น...มาได้ไงอะ”
“บินมามั้ง ถามโง่ๆ” จึก !
“...”
“...”
“สวั--”
ปัง !!
พิชชาที่ย้ายฝั่งไปนั่งข้างกวินสะดุ้งตกใจเมื่อภาสกรทำลายความเงียบด้วยการตบโต๊ะและยิ่งทำหน้าตาน่ากลัวเมื่อเห็นเธอกระโดดกอดคอคนข้างๆ ภาสกรดึงตัวพิชชาออกแล้วผลักเต็มแรงไปทางภูผา อาสัญที่อยู่ใกล้ตกใจรีบคว้าตัวไว้ก่อนเพราะพิชชาไม่ทันตั้งตัวเซเกือบจะล่มชนขอบโต๊ะ
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าอาชา”
ก้มหน้าถามคนในอ้อมแขนอย่างเป็นห่วงพอเห็นเธอส่ายหน้าก็เป่าปากด้วยความโล่งใจ พอจะหันไปต่อว่าคนที่ทำรุนแรงกับคนท้องคนไส้(?) อาสัญสะดุ้งโหยงรีบปล่อยมือจากพิชชาเมื่อสายตาสามคู่จ้องโดยเฉพาะเจ้าของตัวจริงที่ดูจะอาฆาตเขาเป็นพิเศษพร้อมกับจะลุกมาหาแต่โดนภาสกรขวางไว้
“แฟนเธอหวงฉันพอเข้าใจนะอาชา แต่สองคนนั้นเป็นอะไรกับเธอเหรอทำไมต้องไม่พอใจ” อาสัญกระซิบถามเบาๆ พิชชายิ้มเจื่อน
“พี่ชายนะ” คุณหมอพยักหน้าเข้าใจพร้อมทั้งตบบ่าพิชชาเบาๆ พร้อมกับแสร้งทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจจนเธอถลึงตาใส่...เยาะเย้ยกันสินะไอ้หมอบ้า !
ภูผาดึงพิชชาออกมาห่างๆ พร้อมกับหมายหัวคุณหมอหนุ่มที่คงจะต้องจัดการเป็นรายถัดไป เขาพยักหน้าให้พี่ชายจัดการต่อ
“ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ คุณกวิน” ภาสกรเว้นช่องจากพี่ซานกลายเป็นคุณกวิน เขารู้จักรุ่นพี่คนนี้ที่เป็นเพื่อนกับแฟนของลุงรหัสและแพททริก ไม้เบื่อไม้เมาของภาสกร เขาไม่รู้นิสัยว่าคนๆ นี้เป็นยังไงเพราะไม่ได้สนิทด้วย แต่คนที่คบกับไอ้แพททริกได้สันดานมันคงไม่ต่างกัน
กวินไม่ได้ตอบเพราะสายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่มือบนไหล่บาง ไม่ได้ดูน่าเกลียดแต่ภาพที่เห็นคือแฟนเขากำลังถูกผู้ชายโอบไหล่ ถึงคนนั้นจะขึ้นชื่อว่าพี่ชายแต่ก็ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ความรู้สึกหวงฉายบนใบหน้าแม้พยายามเก็บซ่อน เขาไม่พอใจตั้งแต่คุณหมอคนนั้นกอดเธอแล้ว ยิ่งท่าทางเหมือนรู้จักกันเกินกว่าคนที่เพิ่งเคยพบ กวินแทบอยากจะกระชากตัวพิชชาออกมา
“ทำไมคุณมานั่งกับไอ้พิช”
“...”
“คุณเป็นอะไรกับไอ้พิช”
“...”
“เฮ้ย ! ถามไม่ได้ยินหรือไงวะ ? ช่างแม่ง ไม่ต้องตงต้องตอบ แต่ต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับไอ้พิชอีก เข้าใจไหมหะ !?”
“ไม่ ทำไมผมจะยุ่งไม่ได้”
“เพราะผมไม่ชอบ น้องผมยังเด็ก(?)ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคุณ ห้ามคุย ห้ามเจอ ห้ามจีบ ไม่ใช่คำขอร้องแต่เป็นคำสั่ง ขอเตือนไว้ต่อให้คุณเป็นเพื่อนของพี่เมดี้แต่ถ้ามายุ่งกับน้องผม ผมไม่เอาคุณไว้แน่”
“คุณเป็นแค่พี่ชายไม่ใช่เจ้าชีวิต คนที่ห้ามผมได้มีแค่พิชเท่านั้นครับ”
“ว่าไงนะ ! อยากตายรึไง” ภาสกรโมโหกระชากคอเสื้อของกวินซึ่งนิ่งเฉยไม่ได้รู้สึกกลัว ภูผาดึงตัวภาสกรออกไปข้างหลังก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับกวินแทน หากภาสกรเปรียบดังไฟที่วูบไหวง่ายตามกระแสลม ภูผาก็เป็นดังผืนน้ำที่สงบนิ่ง เยือกเย็น
“คุณคิดอะไรกับพิชชาหรือเปล่า”
“...” กวินเงียบหันไปสบตากับพิชชา ยังไม่ทันจะตอบภาสกรที่ร้องโวยวายขึ้นอีกรอบ
“ห้ามคิดนะโว้ย ห้ามจีบ ห้ามรัก ห้ามเจาะแจะ...”
“คุณกำลังจีบพิชชา ?”
“เปล่า...”
O_o ????
คำตอบของกวินทำเอาสามหนุ่มเลิกคิ้วทำหน้าแปลกใจ...ไม่ได้จีบแต่นั่งเช็ดปากให้ยังกับแฟนเนี่ยนะ
“ผมเป็นแฟนเธอแล้ว...ต้องจีบด้วยหรือครับ ?”
O[ ]O !!! : ภาสกร
=_=! : ภูผา
=[]= : คุณหมออาสัญ
>o<// : พิชชา
^_^ : กวิน
หลังจากนั้นภูผาพยักหน้ารับคำเฉยๆ ‘อ่อ เหรอครับ’ แล้วหันหลังลากภาสกรที่ช็อคอ้าปากค้างสติหลุดและพิชชาออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ตรงไปที่ลานจอดรถในโรงพยาบาลพิชชาพยายามขืนตัวไม่ยอมขึ้นรถ แต่รอยยิ้มแสยะพร้อมสายตากดดันของพี่รหัสก็ทำเอาพิชชาเข่าอ่อน
“น้องสาวขึ้นไปนั่งดีๆ ก่อนที่พี่ชายจะโมโห...นะครับJ”
แม้ภูผาจะตามใจเธอมากที่สุด แต่เมื่อยามที่เขาไม่เห็นด้วยก็จะขวางจนถึงที่สุด เฮ้อ ! อุปสรรคตัวใหญ่ยักษ์ ถ้าทำให้พี่ชื่นอ่อนให้ไม่ได้ เลิกคิดไปเลยเรื่องจะได้พบกันอีก
ภูผาโทรบอกพายุให้ย้ายคนไข้เข้ากรุงเทพ แม้จะโดนเพื่อนถามแต่ชายหนุ่มตัดบทบอกค่อยกลับไปคุยกัน หันไปมองที่นั่งข้างๆ ก็ได้ส่ายหน้ากับความปัญญาอ่อนของพี่ชายที่จิตหลุดไปแล้ว เดี๋ยวสักพักก็ลุกขึ้นมาโวยวายเข้าทางน้องอีก พอเหลือบมองไปทางตัวต้นเหตุที่นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยก็นึกหมั่นไส้
“ว่าไงแม่ตัวดี ขยันก่อเรื่องจริงๆ เลยนะ ทำงามหน้าแอบเจอผู้ชายลับหลังพี่ๆ คงจะมีความสุขมากสินะที่ปิดบัง”
“...พี่”
“...”
“...ขอโทษ พิชไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แค่...คือ แบบว่า...”
“พอเถอะ พูดมาก็เหมือนแก้ตัวพี่ไม่อยากฟัง เพราะสุดท้ายแล้วพิชก็หลอกลวงพวกพี่...พี่มันก็แค่คนอื่นไม่ใช่สายเลือดเดียวกันคงไม่มีค่าพอให้คนอย่างคุณพิชชาต้องมาใส่ใจหรอก ต่อไปนี้อยากจะทำอะไรก็ตามใจเถอะเป็นสิทธิ์ของเธออยู่แล้ว พวกพี่คงวุ่นวายกับเธอมากไป ขอโทษด้วย”
“พี่ชื่น...พิชไม่เคยคิดแบบนั้น...”
“...”
“อึก...ขอโทษ ขอโทษ...พิชขอโทษ” เสียงสะอื้นเบาๆ ของน้องน้อยที่นั่งปิดหน้าอยู่เบาะหลังเรียกให้แฝดหันมาสบตากันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ภูผาตั้งใจขับรถแม้คิ้วจะขมวดส่วนภาสกรท้าวคางมองไปนอกรถ ต่างจมดิ่งในห้วงความคิดของตน แต่ถ้าใครสักคนหันกลับไปมองเบาะหลัง อาจจะเห็นรอยยิ้มมุมปากของคนที่แสร้งบีบน้ำตา...
หึๆ คิดจะดราม่าใส่เรอะ ฝันไปเถอะว่าจะหลงกลJ
ผ่านไปสามวันที่สงครามความเงียบระหว่างพิชชากับพี่ชายนอกไส้ทั้งหลายอันประกอบไปด้วยภาสกร ภูผา และพายุที่รู้ทีหลังเกือบโวยวายใส่แต่เห็นน้องทำหน้าเศร้าพร้อมคราบน้ำตาติดอยู่ก็เลยยอมถอย ส่วนเคนที่พอรู้เรื่องก็แค่ทำตาโตก่อนพยักหน้าเข้าใจ
‘มิน่าล่ะถึงมองตามไอ้พิชตลอดยังกับลูกหมามองเจ้าของ’
พิชชาถูกย้ายให้ไปอยู่ที่บ้านของพี่แฝด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ถูกเคลื่อนย้ายให้ห่างตัว โทรศัพท์ของเธอถูกยึดไปตั้งแต่วันแรก งานที่บริษัทภาสกรเป็นคนหอบเอามาให้ทำที่บ้านพร้อมกับคนเฝ้าไว้ตลอด หญิงสาวแทบจะไม่พูดไม่คุยกับใคร อาหารก็ทานได้นิดเดียว วันๆ ก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องจนเหล่าพี่ชายเป็นฝ่ายทนไม่ไหว
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย ! ผ่านมาแค่สามวันไอ้พิชเป็นขนาดนี้ นานไปมันจะไม่ตรอมใจตายเลยเรอะวะ แผนนี้ฉันไม่เอาด้วยแล้วนะชื่น สงสารน้อง” ภาสกรเอ่ย
“เราคงต้องยอมรับแล้วล่ะว่าน้องน้อยของเราโตเป็นสาวแล้ว น้องมีความรัก มีผู้ชายคนอื่นที่สำคัญมากกว่าเรา” พายุนั่งกอดเข่าอย่างสลดข้างภาสกรกล่าวด้วยความท้อแท้
“ปล่อยวางบ้างเถอะจะไปเครียดมากทำไหม น้องก็แค่มีแฟนยังไม่แต่งสักหน่อย” เคนที่นั่งกินเค้กแต่ตาจ้องจอทีวีที่บาสกำลังเล่นเกมส์อย่างเมามันส์เอ่ย ส่วนบาสก็เออออจนภูผาหรี่ตามองก่อนจะถาม
“ดูนายไม่ค่อยตกใจ รู้อะไรมาหรือเปล่าบาส ?” บาสสะดุ้งเมื่อทุกสายตาเพ่งเล็งมาที่เขา ชายหนุ่มหัวเราะเสียงแห้ง
“ก็นะ แค่บังเอิญเห็นประมาณเดือนที่แล้ว”
“แล้วทำไมนายไม่บอกเราวะ !” ภาสกรโวยใส่
“ก็เพราะรู้นะสิว่าถ้าบอกก็จะกลายเป็นแบบนี้ พวกนายไม่มีทางยอมให้พิชคบกับหมอนั่นแน่ ลองคิดดูสิว่าน้องมันจะอึดอัดแค่ไหนที่พวกเราค่อยเจ้ากี้เจ้าการบังคับให้มันทำนู่นทำนี่ น้องมันโตจนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเราจะตัดสินใจแทนไม่ได้หรอก ชีวิตเป็นของมันก็ปล่อยให้เจ้าตัวเป็นคนเลือกเดินเองเถอะ เราแค่ค่อยเฝ้าดูและช่วยประคับประคองยามที่น้องพลาดก็น่าจะพอแล้ว แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอวะ...พวกนายก็แค่กลัวว่าน้องจะไม่สนใจ กลัวว่าจะถูกลดความสำคัญ กลัวว่าน้องจะเห็นคนอื่นดีกว่า แต่มันต่างกันนะ สถานะเรากับหมอนั่น...เราคือพี่ชาย คือครอบครัว คือคนที่คอยเป็นกำลังใจ เป็นที่พักพิงยามที่น้องต้องการ เป็นคนที่อยู่ข้างหลังคอยผลักดันให้น้องก้าวไปข้างหน้า แต่สำหรับหมอนั่น เขาเป็นคนรัก คนที่จะดูแลและเดินเคียงข้างน้อง...ที่ผ่านมาพิชก็เป็นน้องที่ดีของเรามาตลอด น้องไม่มีใครน้องจากเรา หลายครั้งที่พวกเราทอดทิ้งให้น้องอยู่คนเดียวแต่เคยเห็นมันโกรธไหม มันเคยห้ามไม่ให้พวกนายมีแฟนบ้างหรือเปล่า ทำไม...แค่พอถึงเวลาที่น้องมีแฟน พวกนายกลับห้าม ไม่อยากให้น้องมันมีความสุขหรือไง จะทำอะไรก็คิดถึงใจน้องบ้างเถอะหรือจะรอให้แตกหักกันไปข้าง พวกนายถึงจะพอ...”
คำพูดของบาสเหมือนแทงใจดำหลายคนโดยเฉพาะคนมีแฟนอย่างพายุและภาสกร หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาปล่อยปละละเลยจนแทบไม่ค่อยสนใจพิชชาเหมือนอย่างเก่า หลายครั้งที่พิชชาต้องออกไปเที่ยวกับรุ่นน้องอย่างอนลแทน แต่ใช่ว่าอนลจะมีเวลาอยู่กับพิชชาตลอด อนลเองก็มีสังคมของเขา
“ลงมติยอมให้พิชคบหมอนั่นได้ ตกลงตามนี้นะ” ภูผากล่าวสรุป ภาสกรกับพายุพยักหน้าอย่างหงอยๆ
“...ถึงจะยอมเปิดทาง แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้นอกลู่นอกทาง เรายังไม่รู้จักหมอนั่นดี...ก่อนอื่นไปเรียกมันมาคุยกันหน่อยดีกว่า” พายุพูดแล้วหันไปมองบาสที่เลิกคิ้วมองก่อนจะชี้หน้าตัวเองประมาณว่า ‘ฉันเหรอ ?’
“งั้นฉันจะไปคุยกับพิช ส่วนเรื่องหมอนั่นพวกนายจัดการเองล่ะกัน” ภูผาบอกพร้อมกับเดินขึ้นไปห้องนอนตัวเอง มือหนาคลายเนคไทเดินไปหยิบซองเอกสารที่วางบนหัวเตียง เขามองภาพถ่ายชายหญิงคู่หนึ่งที่คนของเขาเฝ้าตามสืบตลอดทั้งเดือน บางรูปคนในภาพก็มองมาที่กล้องคล้ายกับรู้ตัวอยู่แล้ว ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ
เจ้าเล่ห์จริงนะ ยัยตัวแสบ J
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ