MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}
8.3
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.
11 ตอน
4 วิจารณ์
13.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) MEMORIES [7]: def:
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [7]: def:
เช้าวันใหม่ที่แสนจะสงบโคตรๆ แต่ทำไมก็ไม่รู้เพราะว่าวันนี้ผมดันตื่นเช้า (จะว่าไปฝนจะตกป่าววะเนี๊ยะ) ผมเหลือบมองไปดูนาฬิกาข้อมือชี้เวลาที่เช้าตรู่ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมออกมาเรียนเช้าขนาดนี้ วันก่อนที่ท้องเสียยังมาเรียน เจ็ดโมงกว่าๆ แต่วันนี้ผมมาถึงหกโมงเช้า ซึ่งบอกได้เลยคนน้อยมากแทบนับได้เลย วันนี้ถ้าฝนไม่ตก ก็หิมะตกชัวร์
เวลาที่ในเช้าวันจันทร์ของการมาเรียนช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมรอคอยเวลาที่จะให้มันผ่านไปอยู่อย่างนั้น ซึ่งคนเหม่อลอยที่วันๆเอาแต่เล่นและเรียนแบบขอไปทีอย่างผม คงคิดได้แค่นั้น
ทำไมเวลามันถึงผ่านไปช้านักนะ?
ผมอุทานประโยคนี้ออกมาเบาๆ ภายในห้องเรียนที่มีแต่ผมอยู่คนเดียว ก่อนที่ผมจะเผลอหลับไป
ผมเคยคิดสงสัยอยู่ว่า ทำไมเวลามันไม่เคยเป็นใจเลย ไม่ว่าเราจะทำเรื่องอะไรก็ตาม บางครั้งที่ผมนั่งเรียนวิชาที่ไม่ชอบหรือว่าในเวลาที่ทุกข์ใจ ผมก็อยากให้เวลาผ่านไปเร็วๆ แต่เวลาในตอนนั้นช่างผ่านไปช้ามาก และเมื่อเวลาที่ผมอยู่กับความสุขเวลานั้นกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำไมกันนะ?
“เห้ย ไทค์”
เสียงใครกันนะ?
“ไทค์” เสียงใครกัน?
คลุบบ
“โอ้ยยยยยยย เจ็บ อะไรกันวะ” ผมลืมตาตื่นขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองล้มอยู่กับพื้น
“เรียกก็ไม่ยอมตื่น นึกว่าตายไปแล้วซะอีก” อ่าวไอ้ปุ้น มึง..... ผมเหลียวไปมองยังเจ้าของเสียงที่ยืนหัวเราะอย่างชอบใจ
“โห๋ถ้าจะปลุกแบบนี้นะ เจ็บนะเว้ย” มองจ้องมองไปยังหน้าของปุ้นด้วยสายตามอาฆาตแค้นมึงทำกูได้นะ ระวังไว้เหอะเดี๋ยวโดนเอาคืนแน่
“แต่ตลกดีนะ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอไง ถึงมานั่งหลับที่โรงเรียนแบบเนี๊ยะ”
“ไม่รู้ดิ แค่ง่วงๆ แหละ”
“อ่ะ” ปุ้นยื่นมือมาหาผมที่กำลังพยายามจะลุกขึ้นอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเหลือบไปมองตาของเขาช้าๆ (นี่มึงต้องการอะไรวะเนี๊ยะ แบบนี้เรียกตบหัวลูบหลังป่าววะ)
สายตาของปุ้นยิ้มมาให้ผมอย่างมีเยื่อใย ซึ่งผมในตอนนี้ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่า มือของผมไปจับมือของปุ้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมทันไปคว้ามือของปุ้นมาไว้ตั้งแต่ตอนไหน
ผมสะดุ้งนิดหนึ่งและคิดแผนการแก้แค้นคืน ผมจับมือของปุ้นไว้แน่นซึ่งแน่นอน คนชั่วร้ายอย่างผมคิดจะทำอะไรเดาได้ไม่ยาก ผมดึงตัวปุ้นลงมากะว่าจะให้เขาล้มลง เพื่อเป็นการแก้แค้น
“ล้มไปซะมึง”
“เห้ยยยยยยยยย”
คุณคงเคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่าให้ทุกแก่ท่านทุกนั้นถึงตัวสินะ กะจะแกล้งเขาแต่เรากลับโดนเสียเองผมตั้งใจจะฉุดให้ปุ้นล้มลงและลุกขึ้นวิ่งหนี แต่ตอนนี้ ผมกลับทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อคนที่ผมต้องการทำให้ล้มลงกับพื้น ตอนนี้เขากลับมาล้มทับตัวของผมซึ่งใบหน้านั้นเข้าใกล้ผมมากขึ้นทุกที..........นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?
เวลาในตอนเช้าที่บอกว่ามันผ่านไปอย่างเชื่อช้านั้น เมื่อเทียบกับเวลาในตอนนี้แล้วมันเร็วไปอย่างกับโกหก ในตอนนี้เหมือนว่าเวลาได้หยุดลง เข็มนาฬิกาหยุดเดินลงไป สายตาที่ปุ้นจ้องมายังผมราวกับว่ามันสะกดให้ผมหยุดเคลื่อนไหว (นี่ผมเป็นอะไรไปกันนะ ทำไมเหมือนว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้เลย ไม่สิ!!! ไม่ควรที่จะขยับมากกว่า) ร่างของชายตัวใหญ่ที่ล้มตัวลงทับผมอยู่นั้น ยังคงจ้องมายังใบหน้าของผม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ร่างของผมที่เมื่อกี๊กึ่งนั่งกึ่งนอน ตอนนี้ เกือบนอนราบกับพื้นไปซะแล้วถ้าแขนอีกข้างผมได้ไม่ดันตัวเอาไว้
ปุ้น........ สายตาที่เขาจ้องมองมายังผมช่างเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล ทำไมมันถึงทำให้ผมรู้สึกแปลกๆแบบนี้นะ ทำไมใจของผมถึงสั่นออกมากันนะ เพราะอะไร? คำถามเหล่านี้ทั้งที่ผมอยากจะพูดมันออกไป แต่ผมกลับทำได้เพียงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น เสียงรอบตัวของผมเงียบลงได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจของปุ้นและผมสองคนเพียงเท่านั้น
และตอนนี้.................................ใบหน้าของปุ้นเริ่มเข้าใกล้ผมมากกว่าเดิม ใกล้จนผมได้ยินเสียงลมหายใจของเขาชัดยิ่งขึ้น และผมเองรู้สึกว่าใจเต้นแรงเหมือนกัน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แทนที่ผมจะลุกหนีแต่กลับหลับตาลงไปซะอย่างนั้น
นี่เรากำลังทำอะไรอยู่นะ?
ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ นี่เรากำลังทำอะไร ทำอะไรงั้นเหรอ? และชั่ววูบหนึ่งที่ผมนึกขึ้นได้ ทำให้ดวงตาที่หลับสนิททั้งสองของผม ลืมตาตื่นอีกครั้ง ผมผลักปุ้นออกไปทั้งที่มือของผมและปุ้นยังจับกันอยู่ ผมถอนหายใจถี่ๆ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและพูดบางอย่างออกมาเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่เกือบจะเกิดขึ้น
“กูขอโทษวะ” ตอนนี้ปุ้นเองคงรู้สึกตัวแล้วเหมือนกันว่าเมื่อกี๊เค๊าเกือบทำอะไรลงไป
“ขอโทษ เรื่องไรเหรอ?”
“ก็ เรื่องที่กูดึงมึงจนเกือบล้ม ขอโทษนะ” ตอนนี้ผมทั้งสองยืนห่างกันเกือบสองเมตรได้ และยังคงคุยกันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มองหน้ากันเลย
ผมจะแหงนมองไปยังหน้าของเขาดีหรือปล่าว ความคิดหนึ่งได้วูบเข้ามาในหัวของผม แต่ผมทำได้แค่เพียงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่มองหน้าปุ้นเลยแม่แต่น้อย ไม่ใช่ว่าผมรำคาญ โกรธ หรือว่าเกลียดจนไม่อยากมองหน้าหรอก แต่ผมไม่กล้า ไม่กล้าที่จะมอง ไม่กล้าที่จะเหลียวดู และตอนนี้เองสีหน้าของผมที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนก็คือความลังเล มันได้กดดันผมอยู่อย่างนั้น
“กูไปก่อนนะเว้ย มีธุระต้องทำอยู่”
ปุ้นเหลือบมองมาทางผมแวบนึ่ง ซึ่งเสียงของปุ้นที่เปล่งออกมานั้นก็แสดงให้เห็นเช่นเดียวกันว่าเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากผม รู้สึกลังเล รู้สึกสงสัย และรู้สึกว่า ตัวเองเป็นอะไรไป
*****
เช้าวันจันทร์ที่เปิดเรียนมา แทนที่จะเป็นวันที่แสนสนุกที่ได้พบเจอเพื่อนๆ แต่ผมกลับกลัวการพบเจอ ในตอนนี้ผมได้แต่นั่งนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาพร้อมกับมองกลุ่มเมฆสีขาวที่ลอยเล่นอยู่บนท้องฟ้าสีคราม ก่อนที่ไอ้นนท์จะตะโกนมาทางผมทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์นั้น
“เห้ย ไทค์เตะบอลมั๊ยวะ”
“เออ เล่นเหอะ” ถึงแม้ว่าเสียงของนนท์จะช่วยให้หลุดจากความคิดพวกนั้นมาได้ แต่สุดท้ายผมก็นึกถึงมันอยูดี เหตุการณ์แบบนี้ ผมเจอมาตั้งแต่เปิดเทอมเป็นครั้งที่สามแล้ว ถึงแม้ว่าสองครั้งแรกมันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ตาม
เสียงที่ผมครุ่นคิดออกมาอยู่ภายในหัว ทำไมครั้งนี้มันถึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญวะ!! ผมยังคงคิดแบบนั้น พร้อมกับร่างกายที่เดินไปเหมือนคนหมดแรง อยู่อย่างนั้น ผมเดินไปกับกลุ่มเพื่อนโดยที่ไม่พูดอะไรเลยซักคำ ทั้งที่เรื่องที่คุยกันอยู่นั้นจะชวนให้หัวเราะก็ตาม แต่มันกลับไม่สามารถทำให้ผมหัวเราะเหมือนเพื่อนคนอื่นๆได้เลย ซึ่งที่ผมเป็นแบบนี้มันก็ทำให้เพื่อนคนอื่นๆอดสงสัยไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ยักกะมีใครพูดถึงสักคน
*****
“ไทค์ มึงเป็นอะไรหรือปล่าววะ”
เสียงของเพื่อนรักของผมพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง อาจเพราะไม่มีใครในกลุ่มกล้าที่จะถามผมก็ได้ เลยให้เจเคมาถาม หรือไม่ก็เพราะว่ามันเป็นห่วงผมจริงๆ เพราะไม่ว่ายังไงเพื่อนที่ดีที่สุดและสนิทที่สุดก็คงจะเป็นเจเคนี่แหละ
“ป่าว” เสียงของผมมันช่างแผ่วเมื่อเทียบกับเสียงของผมในทุกๆที
“มึงเป็นอะไรก็บอกมาเหอะ มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปีแล้วนะเว้ย กูดูมึงออกน่า” ผมฟังเสียงพูดของเจเคในขณะที่ตัวเองกำลังใช้ตะเกียบเขี่ยลูกชิ้นไปมา
“ไม่มีอะไรจริงๆ” ผมบอกยังยืนยันคำเดิมอยู่อย่างนั้น “รีบกินเหอะ เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก” คำพูดของผมในตอนนั้นมันก็ทำให้เจเคเงียบไป ส่วนผมก็ซดก๋วยเตี๋ยวต่อก่อนที่คำพูดของเจเคจะดังมาอีกรอบ
“กูไม่เซ้าซี้มึงหรอก ถ้ามึงพร้อมจะบอกกูเมื่อไหร่ก็บอกกูได้เสมอนะเว้ย ถ้ากูพอช่วยได้กูก็จะช่วย มึงอย่าลืมดิ เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อนหรอก” ผมเงียบไปขณะหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวไปมา
“เออ รีบกินก่อนเหอะ เดี๋ยวเย็น”
“กูชอบเย็นว่ะ ร้อนแล้วมันลวกปาก”
“เออ กินเข้าไป” ผมกับเจเคนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้วยกันและยังมีเพื่อนๆอีกกลุ่มใหญ่ ทำให้ผมนึกคิดในคำพูดที่เจเคพูดออกมาได้ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทิ้งผมจริงๆ ทั้งครอบครัวเราที่สนิทกัน (ถึงแม้ว่าจะมีไอ้นนท์อีกคนก็เหอะ) ทั้งเมื่อผมมีปัญหา เจเคกับไอ้นนท์ก็จะช่วยผมแก้ไขเสมอ ถือว่าเป็นเพื่อตายเลยก็ได้
ผมนั่งมองไอ้นนท์ที่กำลังแย่งลูกชิ้น ไอ้อ้นและไอ้เก่ง ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ก่อนที่มันจะจ้องมาที่ถ้วยก๋วยเตี๋ยวของผม และฉกลูกชิ้นของผมไปกิน
“อ่าวเห้ย ไอ้นี่”
“555 มึงพลาดแล้ว” ไอ้นนท์ พูดพลางหัวเราะออกมา และนั่นก็ทำให้ทำให้เพื่อนๆทั้งกลุ่มหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วงนั้นเป็นเวลาที่ทำให้ผมลืมเรื่องที่พึ่งเกิดเมื่อตอนเช้าไปได้
ขอบใจวะเพื่อน
ช่วงเวลาที่ผมลืมเรื่องนั้นไปได้และกำลังหัวเราะอยู่นั้นมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเขาไม่โผล่มาตอนนี้ ผมเหลือบไปมองปุ้นที่เดินผ่านมากับ แบล็คและต้น และปุ้นเองก็คงมองเห็นผมแล้ว เพราะทันทีที่เขาเหลือบมาเห็นกลับก้มหน้าและเดินไปโดยที่ทำเป็นไม่เห็นผม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเองรู้สึกตัวแล้วว่าโดนเมินอย่างเต็มที่ ผมจึงเดินออกมาจากโรงอาหารทั้งๆอย่างงั้น ทั้งๆที่เสียงไอ้นนท์จะถามผมว่า ไปไหน แต่ผมกลับไปตอบและเดินออกไปทั้งๆอย่างนั้น
นั่นไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ผมถูกปุ้นเดินหลบหน้าหนี เพราะหลังจากนั้นผมก็โดนหลบหน้าอีกทุกครั้ง เอาตามตรงทุกครั้งที่ปุ้นเจอผมมักจะหลบหนีไปทางอื่น หรือไม่ก็เดินผ่านไปโดยที่ไม่ทักผมเลย แม้แต่คำเดียว ตอนนี้ผมได้มาหยุดนั่งที่โรงอาหารหลังเลิกเรียน ยังคงนั่งเหม่อ อย่างลำพังอยู่อย่างนั้น
“ทำไมมานั่งอยู่เดียวแบบนี้ล่ะ”
เสียงของคนที่ผมคุ้นเคยและเสียงที่แสนไพเราะนั้นทำให้ผมตื่นจากภวังค์นั้นอีกครั้ง
“สตางค์..............เลิกเรียนแล้วครับ”
“อื้ม ว่าแต่ไทค์ยังไม่ได้ตอบคำถามสตางค์เลย ทำไมมานั่งคนเดียวแบบนี้ล่ะ” น้ำเสียงที่แสนไพเราะนี้ยังคงพูดย้ำถามเดิม
“ก็เรื่อยเปื่อยแหละ ว่างๆ” ผมพูดออกไปพร้อมกับน้ำเสียงที่ค่อยๆ เบาลง
“แล้วเป็นไรอีกเนี๊ยะ.........ยิ้มหน่อยสิ เดี๋ยวไม่หล่อนะ” เสียงของเธอพยายามทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นก่อนเธอจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “งั้นไทค์ดูนี่นะ” ว่าแล้วเธอก็ทำหน้าตาบิดๆเบี้ยวๆ ให้ดูตลกและก็วิ่งรอบตัวผม ในที่สุดเธอก็ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาจนได้
ผมกับสตางค์นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยสารพัด และเมื่อผมและสตางค์ยิ่งคุยกันมากเท่าไหร่มันก็ทำให้ผมก็รู้สึกดีมากเท่านั้น เพราะสตางค์ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็เป็นตัวของเขาอยู่แบบนี้ เป็นคนที่ไม่ถือตัว และยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สตางค์ชวนผมกลับบ้านด้วยจึงทำให้ผมเดินออกมาพร้อมกับสตางค์ เราเดินออกมาด้วยกันสองคนจนผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อกี๊ยังเครียดอยู่เลย แต่มันก็คงจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ไปเหลือบไปเจอปุ้นที่มารับเปียโนอยู่หน้ารั้วโรงเรียนเข้า ปุ้นยังคงเย็นชากับผมเหมือนเดิมทั้งที่เขาเห็นผมเขากลับไม่ทัก ไม่มองหน้า ปุ้นถือกระเป๋าและเดินไปพร้อมกับเปียโนโดยที่ไม่หันหลังกลับมาอีก เพียงเท่านั้น
มึงเป็นอะไรกันแน่วะปุ้น....
ผมกลับมายังบ้านได้แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ทำไมกันนะ เพราะอะไรกันปุ้นทั้งที่จะมาทักผมก่อนแต่กลับไม่มองหน้าไม่มาทัก และตัวผมเองเป็นอะไรไปกันแน่ทั้งๆที่ ผมชอบสตางค์อยู่แล้ว แต่ทำไมต้องนึกถึงแต่เรื่องของปุ้นกันนะ เพราะอะไรกัน.....
#####################
เช้าวันใหม่ที่แสนจะสงบโคตรๆ แต่ทำไมก็ไม่รู้เพราะว่าวันนี้ผมดันตื่นเช้า (จะว่าไปฝนจะตกป่าววะเนี๊ยะ) ผมเหลือบมองไปดูนาฬิกาข้อมือชี้เวลาที่เช้าตรู่ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมออกมาเรียนเช้าขนาดนี้ วันก่อนที่ท้องเสียยังมาเรียน เจ็ดโมงกว่าๆ แต่วันนี้ผมมาถึงหกโมงเช้า ซึ่งบอกได้เลยคนน้อยมากแทบนับได้เลย วันนี้ถ้าฝนไม่ตก ก็หิมะตกชัวร์
เวลาที่ในเช้าวันจันทร์ของการมาเรียนช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมรอคอยเวลาที่จะให้มันผ่านไปอยู่อย่างนั้น ซึ่งคนเหม่อลอยที่วันๆเอาแต่เล่นและเรียนแบบขอไปทีอย่างผม คงคิดได้แค่นั้น
ทำไมเวลามันถึงผ่านไปช้านักนะ?
ผมอุทานประโยคนี้ออกมาเบาๆ ภายในห้องเรียนที่มีแต่ผมอยู่คนเดียว ก่อนที่ผมจะเผลอหลับไป
ผมเคยคิดสงสัยอยู่ว่า ทำไมเวลามันไม่เคยเป็นใจเลย ไม่ว่าเราจะทำเรื่องอะไรก็ตาม บางครั้งที่ผมนั่งเรียนวิชาที่ไม่ชอบหรือว่าในเวลาที่ทุกข์ใจ ผมก็อยากให้เวลาผ่านไปเร็วๆ แต่เวลาในตอนนั้นช่างผ่านไปช้ามาก และเมื่อเวลาที่ผมอยู่กับความสุขเวลานั้นกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำไมกันนะ?
“เห้ย ไทค์”
เสียงใครกันนะ?
“ไทค์” เสียงใครกัน?
คลุบบ
“โอ้ยยยยยยย เจ็บ อะไรกันวะ” ผมลืมตาตื่นขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองล้มอยู่กับพื้น
“เรียกก็ไม่ยอมตื่น นึกว่าตายไปแล้วซะอีก” อ่าวไอ้ปุ้น มึง..... ผมเหลียวไปมองยังเจ้าของเสียงที่ยืนหัวเราะอย่างชอบใจ
“โห๋ถ้าจะปลุกแบบนี้นะ เจ็บนะเว้ย” มองจ้องมองไปยังหน้าของปุ้นด้วยสายตามอาฆาตแค้นมึงทำกูได้นะ ระวังไว้เหอะเดี๋ยวโดนเอาคืนแน่
“แต่ตลกดีนะ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอไง ถึงมานั่งหลับที่โรงเรียนแบบเนี๊ยะ”
“ไม่รู้ดิ แค่ง่วงๆ แหละ”
“อ่ะ” ปุ้นยื่นมือมาหาผมที่กำลังพยายามจะลุกขึ้นอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเหลือบไปมองตาของเขาช้าๆ (นี่มึงต้องการอะไรวะเนี๊ยะ แบบนี้เรียกตบหัวลูบหลังป่าววะ)
สายตาของปุ้นยิ้มมาให้ผมอย่างมีเยื่อใย ซึ่งผมในตอนนี้ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่า มือของผมไปจับมือของปุ้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมทันไปคว้ามือของปุ้นมาไว้ตั้งแต่ตอนไหน
ผมสะดุ้งนิดหนึ่งและคิดแผนการแก้แค้นคืน ผมจับมือของปุ้นไว้แน่นซึ่งแน่นอน คนชั่วร้ายอย่างผมคิดจะทำอะไรเดาได้ไม่ยาก ผมดึงตัวปุ้นลงมากะว่าจะให้เขาล้มลง เพื่อเป็นการแก้แค้น
“ล้มไปซะมึง”
“เห้ยยยยยยยยย”
คุณคงเคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่าให้ทุกแก่ท่านทุกนั้นถึงตัวสินะ กะจะแกล้งเขาแต่เรากลับโดนเสียเองผมตั้งใจจะฉุดให้ปุ้นล้มลงและลุกขึ้นวิ่งหนี แต่ตอนนี้ ผมกลับทำอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อคนที่ผมต้องการทำให้ล้มลงกับพื้น ตอนนี้เขากลับมาล้มทับตัวของผมซึ่งใบหน้านั้นเข้าใกล้ผมมากขึ้นทุกที..........นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?
เวลาในตอนเช้าที่บอกว่ามันผ่านไปอย่างเชื่อช้านั้น เมื่อเทียบกับเวลาในตอนนี้แล้วมันเร็วไปอย่างกับโกหก ในตอนนี้เหมือนว่าเวลาได้หยุดลง เข็มนาฬิกาหยุดเดินลงไป สายตาที่ปุ้นจ้องมายังผมราวกับว่ามันสะกดให้ผมหยุดเคลื่อนไหว (นี่ผมเป็นอะไรไปกันนะ ทำไมเหมือนว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้เลย ไม่สิ!!! ไม่ควรที่จะขยับมากกว่า) ร่างของชายตัวใหญ่ที่ล้มตัวลงทับผมอยู่นั้น ยังคงจ้องมายังใบหน้าของผม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ร่างของผมที่เมื่อกี๊กึ่งนั่งกึ่งนอน ตอนนี้ เกือบนอนราบกับพื้นไปซะแล้วถ้าแขนอีกข้างผมได้ไม่ดันตัวเอาไว้
ปุ้น........ สายตาที่เขาจ้องมองมายังผมช่างเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล ทำไมมันถึงทำให้ผมรู้สึกแปลกๆแบบนี้นะ ทำไมใจของผมถึงสั่นออกมากันนะ เพราะอะไร? คำถามเหล่านี้ทั้งที่ผมอยากจะพูดมันออกไป แต่ผมกลับทำได้เพียงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น เสียงรอบตัวของผมเงียบลงได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจของปุ้นและผมสองคนเพียงเท่านั้น
และตอนนี้.................................ใบหน้าของปุ้นเริ่มเข้าใกล้ผมมากกว่าเดิม ใกล้จนผมได้ยินเสียงลมหายใจของเขาชัดยิ่งขึ้น และผมเองรู้สึกว่าใจเต้นแรงเหมือนกัน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แทนที่ผมจะลุกหนีแต่กลับหลับตาลงไปซะอย่างนั้น
นี่เรากำลังทำอะไรอยู่นะ?
ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ นี่เรากำลังทำอะไร ทำอะไรงั้นเหรอ? และชั่ววูบหนึ่งที่ผมนึกขึ้นได้ ทำให้ดวงตาที่หลับสนิททั้งสองของผม ลืมตาตื่นอีกครั้ง ผมผลักปุ้นออกไปทั้งที่มือของผมและปุ้นยังจับกันอยู่ ผมถอนหายใจถี่ๆ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นและพูดบางอย่างออกมาเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่เกือบจะเกิดขึ้น
“กูขอโทษวะ” ตอนนี้ปุ้นเองคงรู้สึกตัวแล้วเหมือนกันว่าเมื่อกี๊เค๊าเกือบทำอะไรลงไป
“ขอโทษ เรื่องไรเหรอ?”
“ก็ เรื่องที่กูดึงมึงจนเกือบล้ม ขอโทษนะ” ตอนนี้ผมทั้งสองยืนห่างกันเกือบสองเมตรได้ และยังคงคุยกันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มองหน้ากันเลย
ผมจะแหงนมองไปยังหน้าของเขาดีหรือปล่าว ความคิดหนึ่งได้วูบเข้ามาในหัวของผม แต่ผมทำได้แค่เพียงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่มองหน้าปุ้นเลยแม่แต่น้อย ไม่ใช่ว่าผมรำคาญ โกรธ หรือว่าเกลียดจนไม่อยากมองหน้าหรอก แต่ผมไม่กล้า ไม่กล้าที่จะมอง ไม่กล้าที่จะเหลียวดู และตอนนี้เองสีหน้าของผมที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนก็คือความลังเล มันได้กดดันผมอยู่อย่างนั้น
“กูไปก่อนนะเว้ย มีธุระต้องทำอยู่”
ปุ้นเหลือบมองมาทางผมแวบนึ่ง ซึ่งเสียงของปุ้นที่เปล่งออกมานั้นก็แสดงให้เห็นเช่นเดียวกันว่าเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากผม รู้สึกลังเล รู้สึกสงสัย และรู้สึกว่า ตัวเองเป็นอะไรไป
*****
เช้าวันจันทร์ที่เปิดเรียนมา แทนที่จะเป็นวันที่แสนสนุกที่ได้พบเจอเพื่อนๆ แต่ผมกลับกลัวการพบเจอ ในตอนนี้ผมได้แต่นั่งนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาพร้อมกับมองกลุ่มเมฆสีขาวที่ลอยเล่นอยู่บนท้องฟ้าสีคราม ก่อนที่ไอ้นนท์จะตะโกนมาทางผมทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์นั้น
“เห้ย ไทค์เตะบอลมั๊ยวะ”
“เออ เล่นเหอะ” ถึงแม้ว่าเสียงของนนท์จะช่วยให้หลุดจากความคิดพวกนั้นมาได้ แต่สุดท้ายผมก็นึกถึงมันอยูดี เหตุการณ์แบบนี้ ผมเจอมาตั้งแต่เปิดเทอมเป็นครั้งที่สามแล้ว ถึงแม้ว่าสองครั้งแรกมันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ตาม
เสียงที่ผมครุ่นคิดออกมาอยู่ภายในหัว ทำไมครั้งนี้มันถึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญวะ!! ผมยังคงคิดแบบนั้น พร้อมกับร่างกายที่เดินไปเหมือนคนหมดแรง อยู่อย่างนั้น ผมเดินไปกับกลุ่มเพื่อนโดยที่ไม่พูดอะไรเลยซักคำ ทั้งที่เรื่องที่คุยกันอยู่นั้นจะชวนให้หัวเราะก็ตาม แต่มันกลับไม่สามารถทำให้ผมหัวเราะเหมือนเพื่อนคนอื่นๆได้เลย ซึ่งที่ผมเป็นแบบนี้มันก็ทำให้เพื่อนคนอื่นๆอดสงสัยไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ยักกะมีใครพูดถึงสักคน
*****
“ไทค์ มึงเป็นอะไรหรือปล่าววะ”
เสียงของเพื่อนรักของผมพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง อาจเพราะไม่มีใครในกลุ่มกล้าที่จะถามผมก็ได้ เลยให้เจเคมาถาม หรือไม่ก็เพราะว่ามันเป็นห่วงผมจริงๆ เพราะไม่ว่ายังไงเพื่อนที่ดีที่สุดและสนิทที่สุดก็คงจะเป็นเจเคนี่แหละ
“ป่าว” เสียงของผมมันช่างแผ่วเมื่อเทียบกับเสียงของผมในทุกๆที
“มึงเป็นอะไรก็บอกมาเหอะ มึงกับกูเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปีแล้วนะเว้ย กูดูมึงออกน่า” ผมฟังเสียงพูดของเจเคในขณะที่ตัวเองกำลังใช้ตะเกียบเขี่ยลูกชิ้นไปมา
“ไม่มีอะไรจริงๆ” ผมบอกยังยืนยันคำเดิมอยู่อย่างนั้น “รีบกินเหอะ เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอก” คำพูดของผมในตอนนั้นมันก็ทำให้เจเคเงียบไป ส่วนผมก็ซดก๋วยเตี๋ยวต่อก่อนที่คำพูดของเจเคจะดังมาอีกรอบ
“กูไม่เซ้าซี้มึงหรอก ถ้ามึงพร้อมจะบอกกูเมื่อไหร่ก็บอกกูได้เสมอนะเว้ย ถ้ากูพอช่วยได้กูก็จะช่วย มึงอย่าลืมดิ เพื่อนไม่ทิ้งเพื่อนหรอก” ผมเงียบไปขณะหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวไปมา
“เออ รีบกินก่อนเหอะ เดี๋ยวเย็น”
“กูชอบเย็นว่ะ ร้อนแล้วมันลวกปาก”
“เออ กินเข้าไป” ผมกับเจเคนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้วยกันและยังมีเพื่อนๆอีกกลุ่มใหญ่ ทำให้ผมนึกคิดในคำพูดที่เจเคพูดออกมาได้ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทิ้งผมจริงๆ ทั้งครอบครัวเราที่สนิทกัน (ถึงแม้ว่าจะมีไอ้นนท์อีกคนก็เหอะ) ทั้งเมื่อผมมีปัญหา เจเคกับไอ้นนท์ก็จะช่วยผมแก้ไขเสมอ ถือว่าเป็นเพื่อตายเลยก็ได้
ผมนั่งมองไอ้นนท์ที่กำลังแย่งลูกชิ้น ไอ้อ้นและไอ้เก่ง ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ก่อนที่มันจะจ้องมาที่ถ้วยก๋วยเตี๋ยวของผม และฉกลูกชิ้นของผมไปกิน
“อ่าวเห้ย ไอ้นี่”
“555 มึงพลาดแล้ว” ไอ้นนท์ พูดพลางหัวเราะออกมา และนั่นก็ทำให้ทำให้เพื่อนๆทั้งกลุ่มหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วงนั้นเป็นเวลาที่ทำให้ผมลืมเรื่องที่พึ่งเกิดเมื่อตอนเช้าไปได้
ขอบใจวะเพื่อน
ช่วงเวลาที่ผมลืมเรื่องนั้นไปได้และกำลังหัวเราะอยู่นั้นมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเขาไม่โผล่มาตอนนี้ ผมเหลือบไปมองปุ้นที่เดินผ่านมากับ แบล็คและต้น และปุ้นเองก็คงมองเห็นผมแล้ว เพราะทันทีที่เขาเหลือบมาเห็นกลับก้มหน้าและเดินไปโดยที่ทำเป็นไม่เห็นผม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเองรู้สึกตัวแล้วว่าโดนเมินอย่างเต็มที่ ผมจึงเดินออกมาจากโรงอาหารทั้งๆอย่างงั้น ทั้งๆที่เสียงไอ้นนท์จะถามผมว่า ไปไหน แต่ผมกลับไปตอบและเดินออกไปทั้งๆอย่างนั้น
นั่นไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ผมถูกปุ้นเดินหลบหน้าหนี เพราะหลังจากนั้นผมก็โดนหลบหน้าอีกทุกครั้ง เอาตามตรงทุกครั้งที่ปุ้นเจอผมมักจะหลบหนีไปทางอื่น หรือไม่ก็เดินผ่านไปโดยที่ไม่ทักผมเลย แม้แต่คำเดียว ตอนนี้ผมได้มาหยุดนั่งที่โรงอาหารหลังเลิกเรียน ยังคงนั่งเหม่อ อย่างลำพังอยู่อย่างนั้น
“ทำไมมานั่งอยู่เดียวแบบนี้ล่ะ”
เสียงของคนที่ผมคุ้นเคยและเสียงที่แสนไพเราะนั้นทำให้ผมตื่นจากภวังค์นั้นอีกครั้ง
“สตางค์..............เลิกเรียนแล้วครับ”
“อื้ม ว่าแต่ไทค์ยังไม่ได้ตอบคำถามสตางค์เลย ทำไมมานั่งคนเดียวแบบนี้ล่ะ” น้ำเสียงที่แสนไพเราะนี้ยังคงพูดย้ำถามเดิม
“ก็เรื่อยเปื่อยแหละ ว่างๆ” ผมพูดออกไปพร้อมกับน้ำเสียงที่ค่อยๆ เบาลง
“แล้วเป็นไรอีกเนี๊ยะ.........ยิ้มหน่อยสิ เดี๋ยวไม่หล่อนะ” เสียงของเธอพยายามทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นก่อนเธอจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “งั้นไทค์ดูนี่นะ” ว่าแล้วเธอก็ทำหน้าตาบิดๆเบี้ยวๆ ให้ดูตลกและก็วิ่งรอบตัวผม ในที่สุดเธอก็ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาจนได้
ผมกับสตางค์นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยสารพัด และเมื่อผมและสตางค์ยิ่งคุยกันมากเท่าไหร่มันก็ทำให้ผมก็รู้สึกดีมากเท่านั้น เพราะสตางค์ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็เป็นตัวของเขาอยู่แบบนี้ เป็นคนที่ไม่ถือตัว และยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สตางค์ชวนผมกลับบ้านด้วยจึงทำให้ผมเดินออกมาพร้อมกับสตางค์ เราเดินออกมาด้วยกันสองคนจนผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อกี๊ยังเครียดอยู่เลย แต่มันก็คงจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ไปเหลือบไปเจอปุ้นที่มารับเปียโนอยู่หน้ารั้วโรงเรียนเข้า ปุ้นยังคงเย็นชากับผมเหมือนเดิมทั้งที่เขาเห็นผมเขากลับไม่ทัก ไม่มองหน้า ปุ้นถือกระเป๋าและเดินไปพร้อมกับเปียโนโดยที่ไม่หันหลังกลับมาอีก เพียงเท่านั้น
มึงเป็นอะไรกันแน่วะปุ้น....
ผมกลับมายังบ้านได้แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ทำไมกันนะ เพราะอะไรกันปุ้นทั้งที่จะมาทักผมก่อนแต่กลับไม่มองหน้าไม่มาทัก และตัวผมเองเป็นอะไรไปกันแน่ทั้งๆที่ ผมชอบสตางค์อยู่แล้ว แต่ทำไมต้องนึกถึงแต่เรื่องของปุ้นกันนะ เพราะอะไรกัน.....
#####################
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ