MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) MEMORIES [6]: Khawpun & Tike
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [6]: Khawpun & Tike
“เห้ยไทค์”
เสียงของเพื่อนที่ผมเคยได้ยินทุกครั้งตอน ป.4 เสียงของเพื่อนที่นั่งอยู่โต๊ะเรียนข้างๆกับผม เสียงของเพื่อนร่วมทีมกีฬาสีตอนอยู่ ม.1 และ ม.2 เสียงของเพื่อนร่วมห้องตอนถูกย้ายมาเรียนห้องเดียวกับผมตอนม.2 ทั้งที่ผมเคยได้ยินมันทุกวันจากปากเพื่อนคนนี้พร้อมกับร้อยพันคำถามสารพัดที่มักจะถามผมมา (ไปกินข้าวกัน ทำการบ้านมายัง ไปเตะบอลกัน ไปเที่ยวด้วยกันป่าววะ) ถึงแม้คำถามนั้นจะไม่ได้ยินมาถึง 2 ปีแล้วก็ตาม และตัวผมเองก็ไม่คิดว่าจะได้มาสนิทกับเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง
“เห้ย ไทค์”
เสียงของเพื่อนคนเดิมคนนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่เมื่อวานยังพูดแทนตัวเองว่าผมอยู่เลย แต่วันนี้รู้สึกว่าจะสนิทกันเหมือนเดิมละ เพียงเพราะพวกผมอาจจะห่างกันในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เลยมักจะห่างหายเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้ผมว่าเพื่อนคนนั้นกลับมาอีกครั้งและยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“จะซื้ออะไรดีวะ”
“ซื้ออะไรเหรอ.....อะไรก็ได้ก็กูมาส่งมึงซื้อ ไม่ได้บอกว่าจะเลือกให้มึงซักหน่อย”
“อ่าว...เออๆ กูเลือกเองก็ได้” เสียงของเพื่อนคนเดิมที่สุดกวนกลับมาแล้ว นี่ดิวะข้าวปุ้นที่ผมรู้จัก
“พรุ่งนี้อย่าลืมนะเว้ย”
นี่เป็นประโยคที่ผมได้ยินจากปากของปุ้น ก่อนจะออกจากบ้านมันมาพร้อมเจเค ซึ่งเมื่อวานผมได้สัญญากันมันว่าจะไปส่งมันเลือกซื้อของขวัญให้แฟนของมัน และซึ่งตอนนี้ผมเองก็ได้มายืนอยู่ตรงข้างมันแล้ว (เออ!! จะเอาอะไรก็รีบเอาเหอะวะ เลือกอยู่นั่น และอีกอย่างนี่มันร้านที่สามแล้วนะโว๊ย) ผมได้แต่บ่นคนเดียวในใจอย่างโคตรเบื่อเลย คิดผิดคิดถูกวะเนี๊ยะที่ตัดสนใจมาเป็นเพื่อนมัน ว่าแล้วแม่งก็เดินผ่านไปเฉย ตกลงสามร้านที่ผ่านมาแม่งไม่ได้ห่าไม่ได้เหวอะไรซักกะอย่าง จนสุดท้ายต้องลงเอยที่พวกผมสองคนมานั่งกินชาบูชิ (เป็นงั้นไป)
บรรยากาศของร้านที่ตอนนี้ลูกค้าเกือบเต็มร้าน ถึงจะยังพอมีที่ว่างอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกอึดอัดไปในตัวด้วยเช่นเดียวกัน เพราะว่าคนเยอะเหลือเกิน อะไรจะปานนั้น
“เห้ยไทค์ กินนี่นิ อร่อยนะเว้ย” เสียงของเพื่อนรักของผมได้เปล่งออกมาพร้อมกับเอาเนื้อที่พึ่งหยิบมาจากหม้อยัดลงปากผม ใช่!!! แน่นอนว่าผมต้องโวยเข้าให้แน่!!
“โอ๊ย!!!!!!! ไอ้เชี่ยปุ้น ร้อนเว้ย ยัดเข้ามาได้” ผมคายเนื้ออกมา พร้อมกับเขม่งตาไปยังปุ้นที่กำลังยิ้มร่า จะว่าไปมึงพากูมาซื้อของขวัญให้แฟน ไหง๋กลับกลายเป็นมานั่งแดกชาบูงี้ฟะ แถมหัวเราะอีกเดี๋ยวปัดเหนี่ยว
“555555” เสียงหัวเราะของปุ้นเริ่มทำให้ผมชักหงุดหงิด ผมจึงจับยัดปากมันบ้าง และสุดท้ายก็ลงเอยที่พวกผมสองคนจับเนื้อยัดเข้าปากกันไปมาซะงั้น เหอะๆๆ เจริญละมึงมือก็มี กินกันเองก็จบละ
ตอนนี้ สายตาของทุกโต๊ะจ้องมาที่โต๊ะของผมที่กำลังบรรจงยัดเนื้อต้มสุกใส่ปากเพื่อนรักของผม และเช่นเดียวกัน มันเองก็ยัดเข้าปากผมเช่นเดียวกัน ถ้ามามองเห็นพวกผมในตอนนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า...........
เอิ่มๆๆ!!!! ช่างเหอะ
เพราะไม่ว่ายังไงผมก็กินจนอิ่มแปล้แล้ว แต่เอาเข้าจริงเหมือนว่าลืมไปเลยว่ามาที่นี่เพื่ออะไร ตกลงมาเพื่อกินโดยเฉพาะเลยรึปล่าววะ พวกผมสองคนได้เดินไปเพื่อย่อยอาหาร จนปุ้นหยุดสายตามาที่ร้านขายของจำพวกกิ๊ฟช็อป จึงทำให้ผมต้องเดินเข้าไปตามมัน
“เห้ยไทค์ คิดว่าอันนี้เป็นไงมั่ง” ปุ้นหยิบจี้สร้อยคอเส้นหนึ่งขึ้นมาพร้อมหันมาถามความคิดเห็นจากผม และแน่นนอนว่าผมต้องกลับไปด้วยความมั่นใจ
“เออ!!! ก็ดี”
“ห๋า สั้นๆแค่นี้”
“เออ น่า เอาไปเหอะ ถ้าคิดว่าดีก็ดีแล้วแหละ”
“อ่าว ช่วยออกความคิดเห็นหน่อยดิ”
“เออ สวย”
“แน่เหรอ แล้วเปียนโนเขาจะชอบรึปล่าววะ”
“จะอะไรของมึงกันนักกันหนาวะเนี๊ยะ” ผมถอนหายใจ พร้อมกับขมวดคิ้วมองไปยังปุ้นด้วยความรำคาญ “กูว่า ของอะไรมันก็ไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่เราตั้งใจจะให้มากกว่า ถ้าตั้งใจจะให้อะไรเค๊าจากใจจริงแล้ว กูว่าแค่นี้คนที่ได้รับคงจะดีใจมากแล้วละ” เสียงพูดของผม (ที่ไม่รู้ว่าคิดออกมาได้ยังไง) ทำให้ปุ้นเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“............เออ จริงด้วยนะ งั้นเอาอันนี้ครับ ขอบใจนะที่ช่วยบอก” ปุ้นหันมามองผมด้วยรอยยิ้มและพูดขอบคุณหลังจากที่ได้จ่ายเงินที่หน้าเคาเตอร์ และในที่สุดก็เสร็จสิ้นภารกิจของผม ถือว่าเป็นอันเสร็จพิธี ก่อนที่ปุ้นจะยื่นหน้าเข้ามาหาผม พร้อมบอกกับผมด้วยรอยยิ้มที่จริงใจนั้น
“ขอบใจนะ”
“.................อื้ม.................”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านอะไรมาบ้างแล้วเพราะแต่ละเรื่องที่ผ่านนั้นมักจะทำให้ผมยิ้มได้บ้าง ร้องไห้เสียใจบ้าง แต่ท้ายที่สุดผมก็ผ่านมันมาได้เช่นเดียวกัน ผมเฝ้าลองย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ผมและปุ้น เคยเป็นเพื่อนที่สนิทกันครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆ แต่ทุกครั้งที่ผมอยู่กับเขา เขากลับทำให้ผมหัวเราะออกมาได้ทุกครั้ง ทำให้ผมยิ้มได้ แม้เวลาที่ผมล้มลงในตอนนั้น เขาก็คอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ
แต่ทำไมกันนะ!!!!!!
พอเมื่อเราถูกย้ายไปเรียนคนละห้อง ทำไมผมกลับลืมไปได้ก็ไม่รู้ ว่าผมยังมีเพื่อนที่ดีแบบนี้อยู่ ถึงแม้จะมีเรื่องราวมากมายที่ผมได้พบเจอและพ้นผ่านไปพร้อมกับเพื่อนคนนี้ แต่ระยะเวลาหลังจากนั้น ผมและปุ้นเจอหน้ากันยังไม่ถึงสิบครั้งเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าบางเวลาเราจะอาจจะหน้ากัน แต่ทุกครั้งที่เราเจอกันนั้นเราก็ทำได้เพียงยิ้มให้กันแค่เท่านั้น ราวกับว่ากลายเป็นแค่คนที่รู้จักกันเพียงเท่านั้น และเมื่อผมลองย้อนกลับไปคิดดู ตั้งแต่รู้จักกันมาถึงตอนนี้ เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าข้าวปุ้นเพื่อนที่แสนดีของผมจะเป็นยังไงก่อนหน้านี้ เขาก็ยังเป็นเพื่อนที่แสนดีของผมเสมอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ
“ข้าวปุ้น....ขอบใจนะ”
*****
ดวงอาทิตย์ที่ลาลับลงไป เหลือไว้เพียงประกายแสงสีส้มทองที่ตกกระทบขอบฟ้า ได้สาดส่องลงมายังเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินวกวนไปมา เตือนเวลาว่าใกล้ถึงเวลาพลบค่ำแล้ว ผมและข้าวปุ้นได้หยุดเดินอยู่ที่ประตูรั้วบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ทำให้ผมได้ครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆที่ได้ผ่านเข้ามา ก่อนที่ผมจะเดินเข้าบ้านหลังนั้นไปพร้อมกับตัวเจ้าของบ้านที่อยู่ด้วยกันกับผมในตอนนั้น
และเวลาในตอนนี้ ราวกับว่ามันได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งในวันนี้เองบ้านหลังนี้เงียบสงบราวกับว่าไม่มีใครอยู่เหมือนดั่งเคยๆ ผมเองก็ได้แต่มองดูรอบห้องนั่งเล่นที่แสนจะกว้างนี้อย่างทุกที (สงสัยว่างั้น) แต่ว่าวันนี้มันก็เงียบจริงๆ เพราะทุกวันจะมีเสียงของเจเคกับน้องข้าวฟ่างดังมาจากห้องครัว แต่วันนี้เจเคติดซ้อมวงโย ส่งข้าวฟ่างเองก็ติดเรียนพิเศษจึงทำให้นอกจากพวกผมสองคนแล้ว ก็มีลุงศักดิ์ที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่นอกบ้าน และก็แม่บ้านอีกสองสามคน
บรรยากาศที่เงียบสงัดนี้มันทำให้ผมครุ่นคิดแต่เรื่องต่างๆที่ผ่านมา เรื่องราวมากมายที่ได้ผ่านพ้นไป ก่อนที่เสียงของเจ้าของบ้านจะดังขึ้นมาและทำให้ผมมองไปยังใบหน้าของเขาซึ่งตอนนี้มันเป็นใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม จึงทำให้ผมเผลอยิ้มขึ้นมา
“ขอบใจมึงอีกรอบนะ ที่วันนี้ยอมไปเป็นเพื่อนกู”
“คิดไรมากวะ เพื่อนกันนิ กูพร้อมจะช่วยมึงเสมอแหละ ไม่ว่าไหร่ ขอแค่มึงบอก..........ส่วนค่าจ้างที่ลากกูไปไว้ให้วันวันหลังก็ได้”
“อ่าว ไอ้นี่”
“555 ล้อเล่น.............แต่ที่กูบอกว่าพร้อมจะช่วยมึงเรื่องจริงนะเว้ย” คำพูดคำสุดท้ายที่ผมเอ่ยจากปากออกมาทำให้ปุ้นเงียบเสียงไป แต่กลับมองมายังผมอย่างตั้งใจก่อนที่เสียงโทรสับของผมจะสั่นขึ้นมา ซึ่งทำให้ผมพึ่งนึกขึ้นได้ ว่าถูกสั่งให้กลับบ้านก่อนสองทุ่ม
ตึ๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“เห้ยแม่ ซวยแล้ว นี่กี่โมงแล้ววะ” ผมตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงที่ตกใจพร้อมกับมองไปยังปุ้นที่กำลังนั่งเกาหัวอย่างงงๆอยู่
“เอ่อ.... ทุ่มห้าสิบ ว่าแต่มีไรเหรอ”
“ทุ่มห้าสิบ แม่งซวยแล้ว ยังไงกูกลับก่อนนะ โดนแม่บังคับให้กลับก่อนสองทุ่ม เดี๋ยวกูโดนด่า ไปก่อนนะเว้ย” ว่าแล้วผมก็วิ่งออกจากบ้านหลังนี้อย่างเร็วจี๋ ก่อนที่เสียงของปุ้นจะตะโกนออกมาจากทางด้านหลังของผม ทำให้ผมหยุดชะงักอีกครั้ง
“ไทค์......โชคดีนะเว้ย”
ปุ้นโบกมือให้กับผมด้วยรอยยิ้ม ผมหันหลังไปมองก่อนจะผงกหัวพร้อมกับพูดออกมาเบาๆก่อนที่จะวิ่งออกไป
“ขอบใจเหมือนกันนะ ข้าวปุ้น”
#####################
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ