MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}
8.3
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.
11 ตอน
4 วิจารณ์
13.69K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) MEMORIES [1]: changes
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [1]: changes
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง
เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นตอนเช้าวันใหม่ของการเปิดภาคเรียนทำให้ผมสะดุ้งเสียงนาฬิกาจนตื่นขึ้นมา “เห้ย!! สายแล้ว” เสียงตกใจของผมเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาที่ตั้งตระง่าน บอกเวลาที่แสนจะเลวร้ายสำหรับผมมาก “7:30 ซวยละไง” ผมรีบสลัดผ้าห่มทิ้งแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำแต่ตัวทันที และแล้ว หึหึ สุดท้ายผมก็ไปสายจริงๆ
******
“ฉันทภัทร นี่มันอะไรกัน มาสายตั้งแต่วันเปิดเรียนเลยนะ” เสียงอาจารย์มัณฑนา อาจารย์ที่ปรึกษาของผม บ่นโวยตั้งแต่เช้าที่หน้าประตูโรงเรียน
“โถ่ๆๆๆ อาจารย์ครับ เรื่องแค่นี้เองปล่อยๆผมไปเหอะครับ นี่แค่ครั้งเดียวเองนะครับ” ผมพยายามสลัดให้หลุดเพื่อจะได้เข้าห้องเรียน ไปซะที
“ครั้งเดียว วันนี้อาจแค่ครั้งเดียว ดูอย่างปีที่แล้วสิ ครั้งเดียวของเธอปาไปครึ่งเทอม ครูลงเกรียติบัตรมาสายให้เธอได้เลยนะนี่”
“แหม๋ อาจารย์ก็ ไม่ต้องลงทุนออกเกียติบัตรให้ผมหรอกครับ ผมยังไม่ทำได้ไม่ดีพอ” ผมลูบหัวพร้อมขำออกมา ด้วยท่าทางเขินๆ (ประชดอาจารย์กลับว่างั้น)
“นี่ ฉันทภัทร นี่ฉันกำลังว่าเธออยู่นะ เฮ้อ...ไม่ไหวเลยจริงๆเธอนี่ เอ้า ถือว่าเป็นวันแรก รีบๆเข้าเรียนซะ” อาจารย์พูดพร้อมถอนหายใจก่อนไล่ให้ผมไปเรียน
“ขอบคุณนะครับ อาจารย์ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง” ผมวิ่งขึ้นตึกเรียนพร้อมส่งจูบให้กับอาจารย์ จริงสิ อาจารย์ที่ปรึกษาผมเป็น ครูที่พึ่งเข้ามาสอนใหม่ ซึ่งเป็นที่หมายปองของเด็กๆในโรงเรียนด้วย เอาจริงๆ อายุยังไม่ถึง 25 เลย แถมโรงเรียนของผมยังเป็นโรงเรียนชายล้วนอีก มันก็เป็นธรรมดา ถึงแม้ว่าโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังจะอยู่ติดกันและใช้โรงอาหารเดียวกันก็เถอะ แต่มันก็มีบ้างแหละนะเพราะฝั่งชายจะไม่ก้าวล้ำเข้าไปฝั่งนั้น เลยชอบแซวอาจารย์เป็นธรรมดา
และท้ายที่สุดผมก็ถึงห้องเรียน พร้อมโบกมือทักทายเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนในช่วงเวลาเปิดเทอม “เห้ย ว่าไงวะไอ้ไทค์ เปิดเทอมมาก็มาสายเลยนะมึง” ไอ้นนท์ เพื่อนรักเพื่อนตายผม ถ้าจะทักมาแบบนี้นะ
“เออ มาเช้ามันก็ไม่ใช่กูดิวะ”
“เออ ยังไม่เปลี่ยนไปดีละ ถ้าเกิดว่ามาเช้านี่หิมะคงตกวะ” แหม๋ ไอ้นี่ยังแซวกูอีก
“เออ ว่าแต่ว่าปิดเทอมพวกมึงไปไหนกันมาบ้างวะ “ ผมเริ่มถามคำถามของนักเรียนปกติที่ไม่ได้เจอกับเพื่อนมานาน (แค่ไม่กี่เดือนเองตอนปิดเทอม)
“กูไปเที่ยวพัทยากับพี่กูวะ เลยไม่ได้ติดต่อกับพวกมึงเลย” ไอ้ฟิคจอมเสนอหน้าพูดออกมาก่อนเลย
“ส่วนกู เล่นเกมอยู่บ้าน” มาเฟียเพื่อนผมอีกคนเอ่ยปากขึ้นมา(ไม่รู้ว่าพ่อ แม่คิดยังไงตั้งชื่อให้ว่ามาเฟีย) แต่ก็นะแบบนี้แหละตัวมัน ถ้ามันออกบ้านนี่ดิ แปลก
“กูไปหาเตี่ยมาวะ” เจเค เพื่อนสนิทอีกคนของผมพูดมาพอดีมันมีเชื้อสายจีนและพ่อของมันก็อยู่จีนเลยไปหาตอนปิดเทอม “ว่าแต่มึงเหอะ ไปเที่ยวไม่มีของฝากมาให้กูเลยนะ” มันถามพร้อมทวงของฝากจากผมและอีกอย่าง พอดีผมพึ่งบินกลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อสองวันก่อนเปิดภาคเรียนนี่เองเลยไม่ได้เอาของฝากมาให้มัน
“กูตื่นสายวะ เลยลืม ว่าแต่มึงเองยังไม่เห็นซื้อมาฝากกูเลย” คราวนี้ผมลองทวงกลับมั่ง
“กูพึ่งมาถึงเมื่อวานเลยไม่ได้เอาไปให้เดี๋ยวกลับบ้านไปเอาไปให้ละกัน” นี่สิเพื่อนรักของผมมีของฟงของฝากให้ด้วย ผมละโคตรรักมันเลย และระหว่างการสนทนาพูดคุยของพวกผมนั้นก็ดันมีเสียงหนึ่งเรียกชื่อผมขึ้นมา
“ไทค์”
เสียงของชายคนหนึ่งกำลังตะโกนเรียกชื่อผมอยู่หน้าประตูห้องเรียน จึงทำให้เพื่อนทั้งห้องรวมถึงตัวผมเองเหลียวไปดูตัวเจ้าของเสียงนั้น
“อ้าว คิว มีรัยรึปล่าววะ” ผมเหลียวกลับไปมองพร้อมเดินเข้าไปหาเผื่อว่าจะมีธุระอะไรกับผมแต่ผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ คิวได้พูดออกมาและยิ้มให้กับผม
“พอดีอาจารย์เขาอยากได้รายชื่อนักกีฬาบาสเก็ตบอลที่จะไปแข่งเดือนหน้า เลยฝากเรามาถามประธานชมรม” เอาละไงงานตรูมาอีกละ ความจริงมันก็เป็นความผิดผมเองเพราะอาจารย์เขาให้ส่งตั้งแต่ปิดเทอมละแต่ผมไม่ได้ส่งจึงค้างมาจนถึงปีนี้
“เออคิว งั้นเดี๋ยวเราเอาไปให้นะแต่ต้องเป็นตอนเย็นๆ เพราะว่าวันนี้มีเรียนเต็มวันเลย ได้หรือป่าว”
“ได้สิ งั้นไทค์เอาไปให้ที่ห้องสภาเลยนะ อาจารย์เขาฝากทางสภานักเรียนจัดการให้ อย่าลืมละ” คิวย้ำผมก่อนเดินจากไป เอาแล้วไง งานตรูมาอีกละอะไรกันละนี่ ตั้งแต่เปิดเทอมเลย แต่ก็ช่างเหอะ ผมปลงละและอีกอย่างมันก็ผิดที่ผมเอง
หลังจากนั้นผมก็ได้เก็บรวบรวมรายชื่อจนเสร็จ ก็ปาไปห้าโมงกว่าๆแล้วผมจึงเดินไปห้องสภานักเรียนที่อยู่ตึกเรียน 3 ที่ชั้น 3 ซึ่งบริเวณนั้นไม่มีแม้ซักคนเลยแถมยังรู้สึกวังเวงอีก ผมตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป และก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ เสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นห้องมันดังก้อง ทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที และภายในห้องตอนนั้นกลับมืดสนิท มีเพียงแสงริบหรี่จากหน้าต่างที่ทะลุผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท้านั้น ผมจึงตัดสินใจตะโกนเรียกเผื่อจะมีคนอยู่ในห้อง “มีใครอยู่หรือปล่าว” ตอนนี้ผมเองก็อยู่ห่างจากประตูได้แค่เพียง 2 เมตร เพราะว่ายังรู้สึกกลัวๆกับบรรยากาศภายในห้องอยู่ “มีใครอยู่มั๊ย” ผมเรียกเป็นครั้งที่สองซึ่งก็ยังเงียบกริบอยู่ ผมจึงตัดสินใจที่จะกลับ ซึ่งตอนที่ผมกำลังหันหลังหลับนั้นเองก็ได้มีคนเข้ามาจับไหล่ผม ซึ่งทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง
“มาทำอะไรเหรอ”
“เห้ย เหี้ย” ผมตกใจมากจนกระเผลอไปชนกับแผ่นเหล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ จนทำให้เลือดผมออกมาทันที “โอ๊ย เจ็บ”
“เป็นอะไรมากหรือปล่าว” ผมค่อยๆเงยหน้ามามองแต่ก็มองไม่ชัดอยู่ดีเพราะว่าความมืดภายในห้อง “เดี๋ยวนะรอนี่แป๊ปนะ เดี๋ยวผมไปเปิดไฟก่อน”ว่าแล้วเขาก็เดินไปก่อนที่ภายในห้องจะสว่างจ้า ช่วยลบความกลัวของผมไปหมดเลย และตอนนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าเป็นใคร “อ้าว ไทค์มาทำอะไรเหรอ” เขารีบส่งคำถามมาถึงผมหลังจากเห็นหน้าของผม
“ข้าวปุ้นเองเหรอ พอดีเราเอารายชื่อนักกีฬาบาสเก็ตบอลมาส่ง แต่เราเลิกเรียนช้าไปหน่อย เลยเอามาส่งช้า ยังส่งได้ใช่มั๊ย” ผมตอบกลับพร้อมกุมมือที่ได้แผลเมื่อตะกี๊
“ได้สิ” ว่าแล้วเขาก็เข้ามาหยิบใบรายชื่อจากมือผมก่อนที่เขาจะเหลือบมองเห็นแผลที่ผมพึ่งโดนมาหมาดๆ “เอ้า แล้วมือนั่นไปโดนอะไรมาละนั่น โห๋แผลลึกด้วย” เขามองดูพร้อมแผลของผมที่หลังมือซ้ายด้วยความเป็นห่วง
“พอดีเมื่อกี๊เราเผลอไปโดนแผ่นเหล็กบนโต๊ะเข้า แต่ไม่เป็นไรมากหรอกเดี๋ยวก็คงหาย” พูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าที่ตกอยู่ “งั้นเราไปก่อนนะ”ผมพูดพร้อมบอกลาก่อนที่มือของข้าวปุ้นจะมาจับแขนผมไว้
“เดี๋ยวดิ แผลลึกขนาดนั้นมันจะหายได้ยังไง เดี๋ยวผมทำแผลให้ก่อนอย่าพึ่งไป เดี๋ยวเป็นบาทยักษ์ขึ้นมาจะแย่เอานะ” ปุ้น (เรียกย่อๆละกัน เพราะปกติผมก็เรียกมันแบบนี้อยู่แล้ว) ปุ้นได้พาผมมานั่งที่โซฟาก่อนที่จะไปหากล่องพยาบาลมาเพื่อทำแผลให้ผม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมถึงกับร้องจ๊ากลั่นห้องเลย
“โอ๊ย!!! เบาๆหน่อยสิ เจ็บ” ผมโวยวายหลังจากที่ปุ้นได้เอาสำลีชุบแอลกอฮอร์มาเช็ดที่แผลของผม
“ผมเบาแล้วนะ ยังแรงไปอยู่เหรอ” ตอนนั้นผมได้แต่เงียบและทำหน้าแหย๋ ก่อนที่ปุ้นจะพูดออกมา “จะว่าไปตัวไทค์ก็ใหญ่จะร้องโวยวายไปได้”
“ก็มันเจ็บนี่ว่า โอ๊ยๆๆ เจ็บ โอ๊ย ซี๊ดๆๆ โอ๊ย” (เอ่อ อันหลังนี่เกินจริงไปละ เดี๋ยวเขาหาว่าเป็นเหรด 18+ จะดูไม่ดี) “ไอ้ปุ้น กูเจ็บ เบาๆหน่อยดิ” ตอนนี้ผมเริ่มโวยวายพร้อมพูดคำหยาบออกมาแล้วด้วย
“อย่าดิ้นดิ มันทำยากรู้ปะ ผมก็ทำเบาละนะ อย่าโวยหน่อยทนเจ็บเอา เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“โอ๊ยๆๆ ซีด โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว” และตอนนั้นเองเสียงประตูเปิดออกพร้อมเสียงตะโกนอย่างดังทำให้พวกผมสองคนต้องหันไปดู
“เห้ย ทำอะไรกันวะ เสียงซี๊ด...โอ้ยดังไปถึงข้างนอกนู่น จะทำอะไรกันก็เบาๆหน่อยดิ” ไอ้แบล็ค ประธานนักเรียนคนเก่งเปิดประตูเข้ามาโดนที่พวกผมไม่ได้ตั้งตัว
“เห้ย มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะ” ผมรีบแก้ต่างให้ประธานนักเรียนเลิกเข้าใจผิดซักที
“ใช่ มันไม่ใช่อย่างที่แบล็คคิดนะ พอดีไทค์เอาใบรายชื่อนักบาสมาส่ง และทีนี้เขาเดินไปชนกับแผ่นเหล็กจนมีแผล ผมก็เลยทำแผลให้เท่านั้น” เออ นั่นไงเอาซะครบเซทเลยเล่ามาเหมือนกับเจอมาเอง
“เหรอ ก็นึกว่า........” ตอนนี้ท่านประธานคนเก่งกำลังกวาดสายตาไปรอบๆห้องก่อนที่จะมองมาทางพวกผมสองคนซึ่งตอนนี้ปุ้นกำลังจับมือผมอยู่
เห้ยยยยย....
พวกผมกวาดสายตาตามแบล็คซึ่งกำลังมองมาทางผมสองคนกำลังจับมือกัน ทำให้ผมต้องสลัดออก
“เลิกคิดอะไรอคติได้แล้ว” เสียงของเจเคดังออกมาพร้อมเดินเข้ามาในห้อง “รีบทำแผลให้เสร็จได้แล้ว จะได้ไปซักที” มันเข้ามาพร้อมพูดบอก (เอ่อ ว่าแต่มันบอกใครวะ)
“เออ นี่มึงบอกใครวะ” ผมมองไปที่เจเคพร้อมกับถาม (จะว่าไปมันเข้ามาทำไรที่นี่วะ นี่มันชั้น 3 นะเว้ย)
“กูบอกไอ้ปุ้น ไม่ได้บอกมึง” ไอ้เจเคเพื่อนรักผมตอบกลับมาแบบหักหน้าผมโคตรๆเลย
“อ่าว เป็นงั้นไป ว่าแต่พวกมึงไปสนิทกันตอนไหนวะ” ผมยังถามไปอย่างเซ้าซี้ก่อนที่ปุ้นจะเป็นคนตอบผม
“พอดีว่าผมขอให้เจไปสอนทำอาหารให้น้องสาวผม ตอนเลิกเรียนพวกผมเลยกลับไปด้วยกัน จริงสิ ว่าแต่ไทค์จะไปด้วยรึปล่าว” ปุ้นเหลียวมามองผมพร้อมกับถาม
“ว่าแต่จะให้ไปทำไมวะ” ผมยังงงๆอยู่
“ก็ไปช่วยชิมก็ได้ หลายคนจะได้บอกถูก” เออ แล้วจะไปดีรึปล่าววะเนี๊ยะ สอนทำอาหารทะแม่งๆอยู่
“เขาอุตส่าห์ชวนแล้ว มึงก็ไปๆเหอะ กูจะได้มีเพื่อนตอนขากลับ และจะได้ไปเอาของฝากจากมึงด้วย” เจเคพูดกับผมเอาซะตอนแรกนึกว่ามันเห็นผมเป็นเพื่อนรัก เป็นที่พึ่ง สุดท้ายก็ลงเอยที่ของฝาก กูละซึ้งเลย
“เออจะทำอะไรก็รีบทำกูจะปิดห้องครับ ท่านทั้งหลาย” เสียงท่านประธานเริ่มบ่นโวยออกมาแล้ว และจนในที่สุดพวกผมก็ตัดสินใจไปยังบ้านของท่านชายปุ้น แต่จะว่าไปบ้านมันนี่ใหญ่จริงๆ ตกลงเป็นบ้านหรือคฤหาสวะเนี๊ยะ พวกผมยั้งกรายเข้าไปในบ้านราวกับเป็นผู้บุกรุก ไม่สิเจ้าของบ้านชวนมาเองนี่หว่า
“พี่ข้าวปุ้น มาแล้วเหรอ ไหนล่ะ เพื่อนของพี่ที่มาสอนข้าวฟ่างทำอาหาร” เสียงของน้องสาวแสนจะน่ารักของปุ้นเรียกมาแต่ไกลด้วยท่าทางไร้เดียงสา
“ครับ นี่ไงพี่เจเค ที่จะมาสอนทำอาหารให้ข้าวฟ่าง”
“เรียกเจเฉยๆก็ได้” ตอนนี้ตาของข้าวฟ่างจ้องมองมาที่เจเคอย่างไม่ลดละสายตา ผมว่ามันต้องมีซัมติงอะไรบางอย่างแน่ แถมเจเคยังมองกลับไปด้วยสายตาแบบเดียวกันอีก
“นี่เพื่อนพี่อีกคนชื่อไทค์” ปุ้นแนะนำตัวพวกผมให้น้องสาวได้รู้จักกับพวกผม
“สวัสดีครับน้องข้าวฟ่าง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ตอนนี้ข้าวฟ่างทำท่าทางบิดแปลกๆเหมือนจะเขินอาย
“งั้นพี่ปุ้นบอกให้เพื่อนพี่ปุ้นไปนั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวข้าวฟ่างไปเอาขนมกับเครื่องดื่มมาให้” ว่าแล้วเธอก็เดินไป แต่ก็นะ น้องสาวของปุ้นก็น่ารักจริงและผมพึ่งมารู้ทีหลังนี้เองว่าเรียนอยู่ม. 3
หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ข้าวฟ่างก็ได้เอาเครื่องดื่มและคุกกี้เข้ามาเสริฟให้พวกผม ก่อนที่ข้าวฟ่างจะคุยกับเจเคอย่างสนุกปากและแล้วทั้งคู่ก็ได้เข้าครัวทำอาหาร ทั้งเหลือไว้แค่ผมสองคนให้ต้องนั่งรอเวลาเขมือบ ไม่สิ รอเวลาชิม
“ผมรู้สึกว่าไม่ได้มานั่งคุยกับไทค์แบบนี้มานานละน๊อ”
เสียงของปุ้นเริ่มเอ่ยบทสนทนาแรกหลังจากที่ในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงแค่ผมสองคน แต่มันก็จริงทั้งที่เมื่อก่อนพวกผมก็สนิทกันแท้ๆ ถึงจะไม่มากเท่าไหร่ แต่พอขึ้นมา ม.ปลายแทบไม่ได้คุยกันเลย
“นั่นสินะ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ “นานมาแล้วสิ ยังจำเมื่อก่อนได้อยู่ ตอนที่ปุ้นโดนผลักลงสระ แม่งฮาวะ” ผมขุดเอาเรื่องเก่ามาพูด
“เห้ย ไม่ใช่เรื่องนั้น เดี๋ยวดิ เอาเรื่องอื่นมาพูดก็ได้” ปุ้นพูดอย่างหน้าเสีย “ก็คนผลักผมเป็นไทค์เองไม่ใช่เหรอ” เออ ผมเองนี่หว่าที่ผลักมันลงน้ำ 55 แต่ก็ฮานะ ผมเกือบลืมไปแล้วว่าคนที่ผลักมันตกน้ำเป็นผมเอง
“เออ ยังไงเรื่องวันนั้นก็ขอโทษด้วยละกัน” ผมหัวเราะพลางพูดขอโทษ
555 “ไม่เป็นรัยหรอก เรื่องมันก็นานมาแล้ว ไม่ต้องใส่ใจหรอก” ปุ้นพูดเพื่อบอกผมอย่าใส่ใจเลย แต่ก็นะผมก็ยังขำเรื่องเมื่อตอนนั้นอยู่ แถมยังมีวีรกรรมหลายเรื่องเลย แต่ช่างเหอะ มันผ่านมาแล้วนี่นาเจ้าตัวก็ไม่ว่าอะไรด้วย ก็ดีสำหรับผมมากแล้วแต่ถ้าผมเป็นมันตอนนั้นนะ ผมโกรธไปจนตายเลย
ตอนนี้ผมสองคนหัวเราะอยู่ด้วยกันอย่างเฮฮาสนุกสนาน ซึ่งลืมไปแล้วว่าต้องมาเป็นหนูทดลองชิมอาหารที่น้องสาวของปุ้นกำลังหัดทำ
ตึ๊ดๆๆๆๆ ๆๆๆ
เสียงโทรสับของปุ้นที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นมา ผมเหลือบไปมองหน้าจอโทรสับของมันก็พบชื่อพร้อมรูปเด็กหญิงคนหนึ่งแถมน่ารักด้วย เปียโน คนอะไรวะ น่ารักโคตรเลย ปุ้นหยิบโทรสับแล้วหันมาบอกกับผมก่อนเดินออกไปว่า “เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยโทสับก่อนนะ แป๊ปเดียว เดี๋ยวผมมา” ผมชักจะเริ่มหมั่นใส้มารยาทผู้ดีของมันแล้วดิ ไม่รู้ว่าพูดเพราะนี่มันจะเอาโล่รึปล่าว
หลังจากที่ปุ้นออกไปคุยโทรสับได้ประมาณ 10 นาที เขาก็เดินเข้ามาทำให้ผมอดแซวไม่ได้ ไม่แซวก็ไม่ใช่ผมดิ ว่าแล้วผมก็เริ่มทำการกระทำที่สมกับเป็นตัวผม “แอบไปคุยกับแฟนละสิ ไหนดูดิ๊ ว่าเป็นสวยรึปล่าว” ผมคว้ามือไปหยิบโทรสับที่มือของปุ้นมา (อย่าลอกเลียนแบบนะครับ เพราะมันเป็นการกะทำที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง)
“เห้ย” เสียงของปุ้นตกใจเมื่อผมเอาโทรสับของมันไปดู พร้อมกับรีบแย่งจากผม “เห้ย เอาคืนมานะ” ตอนนี้ผมทั้งสองได้วิ่งไปทั่วห้องนั่งเล่น เพื่อแย่งโทรสับ แต่แล้วมันก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมไม่คาดฝันขึ้น ผมเดินถอยหลังจนไปสะดุดกะขอบโซฟาจนล้มลง แต่ถ้ามันแค่นั้นก็จบไปแล้ว เพราะว่าปุ้นดันล้มทับตัวผมนี่สิ ตอนนี้ใบหน้าของผมและปุ้นห่างกันไม่ถึง 10 เซ็นต์ ทำให้ผมได้ยินเสียงลมหายใจของปุ้นที่มากระทบใบหน้าของผม ตอนนี้ผมได้แต่จ้องไปยังใบหน้าของปุ้นที่ล้มทับตัวของผมอยู่อย่างชะงัก ก่อนที่ผมจะเหลือบไปเห็นน้องสาวตัวเล็กของปุ้น พร้อมกับน้ำเสียงที่เปล่งเรียกชื่อพี่ชายของเธอแบบตกใจ
“พี่ข้าวปุ้น”
#####################
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงง
เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นตอนเช้าวันใหม่ของการเปิดภาคเรียนทำให้ผมสะดุ้งเสียงนาฬิกาจนตื่นขึ้นมา “เห้ย!! สายแล้ว” เสียงตกใจของผมเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาที่ตั้งตระง่าน บอกเวลาที่แสนจะเลวร้ายสำหรับผมมาก “7:30 ซวยละไง” ผมรีบสลัดผ้าห่มทิ้งแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำแต่ตัวทันที และแล้ว หึหึ สุดท้ายผมก็ไปสายจริงๆ
******
“ฉันทภัทร นี่มันอะไรกัน มาสายตั้งแต่วันเปิดเรียนเลยนะ” เสียงอาจารย์มัณฑนา อาจารย์ที่ปรึกษาของผม บ่นโวยตั้งแต่เช้าที่หน้าประตูโรงเรียน
“โถ่ๆๆๆ อาจารย์ครับ เรื่องแค่นี้เองปล่อยๆผมไปเหอะครับ นี่แค่ครั้งเดียวเองนะครับ” ผมพยายามสลัดให้หลุดเพื่อจะได้เข้าห้องเรียน ไปซะที
“ครั้งเดียว วันนี้อาจแค่ครั้งเดียว ดูอย่างปีที่แล้วสิ ครั้งเดียวของเธอปาไปครึ่งเทอม ครูลงเกรียติบัตรมาสายให้เธอได้เลยนะนี่”
“แหม๋ อาจารย์ก็ ไม่ต้องลงทุนออกเกียติบัตรให้ผมหรอกครับ ผมยังไม่ทำได้ไม่ดีพอ” ผมลูบหัวพร้อมขำออกมา ด้วยท่าทางเขินๆ (ประชดอาจารย์กลับว่างั้น)
“นี่ ฉันทภัทร นี่ฉันกำลังว่าเธออยู่นะ เฮ้อ...ไม่ไหวเลยจริงๆเธอนี่ เอ้า ถือว่าเป็นวันแรก รีบๆเข้าเรียนซะ” อาจารย์พูดพร้อมถอนหายใจก่อนไล่ให้ผมไปเรียน
“ขอบคุณนะครับ อาจารย์ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง” ผมวิ่งขึ้นตึกเรียนพร้อมส่งจูบให้กับอาจารย์ จริงสิ อาจารย์ที่ปรึกษาผมเป็น ครูที่พึ่งเข้ามาสอนใหม่ ซึ่งเป็นที่หมายปองของเด็กๆในโรงเรียนด้วย เอาจริงๆ อายุยังไม่ถึง 25 เลย แถมโรงเรียนของผมยังเป็นโรงเรียนชายล้วนอีก มันก็เป็นธรรมดา ถึงแม้ว่าโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังจะอยู่ติดกันและใช้โรงอาหารเดียวกันก็เถอะ แต่มันก็มีบ้างแหละนะเพราะฝั่งชายจะไม่ก้าวล้ำเข้าไปฝั่งนั้น เลยชอบแซวอาจารย์เป็นธรรมดา
และท้ายที่สุดผมก็ถึงห้องเรียน พร้อมโบกมือทักทายเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนในช่วงเวลาเปิดเทอม “เห้ย ว่าไงวะไอ้ไทค์ เปิดเทอมมาก็มาสายเลยนะมึง” ไอ้นนท์ เพื่อนรักเพื่อนตายผม ถ้าจะทักมาแบบนี้นะ
“เออ มาเช้ามันก็ไม่ใช่กูดิวะ”
“เออ ยังไม่เปลี่ยนไปดีละ ถ้าเกิดว่ามาเช้านี่หิมะคงตกวะ” แหม๋ ไอ้นี่ยังแซวกูอีก
“เออ ว่าแต่ว่าปิดเทอมพวกมึงไปไหนกันมาบ้างวะ “ ผมเริ่มถามคำถามของนักเรียนปกติที่ไม่ได้เจอกับเพื่อนมานาน (แค่ไม่กี่เดือนเองตอนปิดเทอม)
“กูไปเที่ยวพัทยากับพี่กูวะ เลยไม่ได้ติดต่อกับพวกมึงเลย” ไอ้ฟิคจอมเสนอหน้าพูดออกมาก่อนเลย
“ส่วนกู เล่นเกมอยู่บ้าน” มาเฟียเพื่อนผมอีกคนเอ่ยปากขึ้นมา(ไม่รู้ว่าพ่อ แม่คิดยังไงตั้งชื่อให้ว่ามาเฟีย) แต่ก็นะแบบนี้แหละตัวมัน ถ้ามันออกบ้านนี่ดิ แปลก
“กูไปหาเตี่ยมาวะ” เจเค เพื่อนสนิทอีกคนของผมพูดมาพอดีมันมีเชื้อสายจีนและพ่อของมันก็อยู่จีนเลยไปหาตอนปิดเทอม “ว่าแต่มึงเหอะ ไปเที่ยวไม่มีของฝากมาให้กูเลยนะ” มันถามพร้อมทวงของฝากจากผมและอีกอย่าง พอดีผมพึ่งบินกลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อสองวันก่อนเปิดภาคเรียนนี่เองเลยไม่ได้เอาของฝากมาให้มัน
“กูตื่นสายวะ เลยลืม ว่าแต่มึงเองยังไม่เห็นซื้อมาฝากกูเลย” คราวนี้ผมลองทวงกลับมั่ง
“กูพึ่งมาถึงเมื่อวานเลยไม่ได้เอาไปให้เดี๋ยวกลับบ้านไปเอาไปให้ละกัน” นี่สิเพื่อนรักของผมมีของฟงของฝากให้ด้วย ผมละโคตรรักมันเลย และระหว่างการสนทนาพูดคุยของพวกผมนั้นก็ดันมีเสียงหนึ่งเรียกชื่อผมขึ้นมา
“ไทค์”
เสียงของชายคนหนึ่งกำลังตะโกนเรียกชื่อผมอยู่หน้าประตูห้องเรียน จึงทำให้เพื่อนทั้งห้องรวมถึงตัวผมเองเหลียวไปดูตัวเจ้าของเสียงนั้น
“อ้าว คิว มีรัยรึปล่าววะ” ผมเหลียวกลับไปมองพร้อมเดินเข้าไปหาเผื่อว่าจะมีธุระอะไรกับผมแต่ผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ คิวได้พูดออกมาและยิ้มให้กับผม
“พอดีอาจารย์เขาอยากได้รายชื่อนักกีฬาบาสเก็ตบอลที่จะไปแข่งเดือนหน้า เลยฝากเรามาถามประธานชมรม” เอาละไงงานตรูมาอีกละ ความจริงมันก็เป็นความผิดผมเองเพราะอาจารย์เขาให้ส่งตั้งแต่ปิดเทอมละแต่ผมไม่ได้ส่งจึงค้างมาจนถึงปีนี้
“เออคิว งั้นเดี๋ยวเราเอาไปให้นะแต่ต้องเป็นตอนเย็นๆ เพราะว่าวันนี้มีเรียนเต็มวันเลย ได้หรือป่าว”
“ได้สิ งั้นไทค์เอาไปให้ที่ห้องสภาเลยนะ อาจารย์เขาฝากทางสภานักเรียนจัดการให้ อย่าลืมละ” คิวย้ำผมก่อนเดินจากไป เอาแล้วไง งานตรูมาอีกละอะไรกันละนี่ ตั้งแต่เปิดเทอมเลย แต่ก็ช่างเหอะ ผมปลงละและอีกอย่างมันก็ผิดที่ผมเอง
หลังจากนั้นผมก็ได้เก็บรวบรวมรายชื่อจนเสร็จ ก็ปาไปห้าโมงกว่าๆแล้วผมจึงเดินไปห้องสภานักเรียนที่อยู่ตึกเรียน 3 ที่ชั้น 3 ซึ่งบริเวณนั้นไม่มีแม้ซักคนเลยแถมยังรู้สึกวังเวงอีก ผมตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป และก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ เสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นห้องมันดังก้อง ทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที และภายในห้องตอนนั้นกลับมืดสนิท มีเพียงแสงริบหรี่จากหน้าต่างที่ทะลุผ้าม่านเข้ามาเพียงเล็กน้อยเท้านั้น ผมจึงตัดสินใจตะโกนเรียกเผื่อจะมีคนอยู่ในห้อง “มีใครอยู่หรือปล่าว” ตอนนี้ผมเองก็อยู่ห่างจากประตูได้แค่เพียง 2 เมตร เพราะว่ายังรู้สึกกลัวๆกับบรรยากาศภายในห้องอยู่ “มีใครอยู่มั๊ย” ผมเรียกเป็นครั้งที่สองซึ่งก็ยังเงียบกริบอยู่ ผมจึงตัดสินใจที่จะกลับ ซึ่งตอนที่ผมกำลังหันหลังหลับนั้นเองก็ได้มีคนเข้ามาจับไหล่ผม ซึ่งทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง
“มาทำอะไรเหรอ”
“เห้ย เหี้ย” ผมตกใจมากจนกระเผลอไปชนกับแผ่นเหล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ จนทำให้เลือดผมออกมาทันที “โอ๊ย เจ็บ”
“เป็นอะไรมากหรือปล่าว” ผมค่อยๆเงยหน้ามามองแต่ก็มองไม่ชัดอยู่ดีเพราะว่าความมืดภายในห้อง “เดี๋ยวนะรอนี่แป๊ปนะ เดี๋ยวผมไปเปิดไฟก่อน”ว่าแล้วเขาก็เดินไปก่อนที่ภายในห้องจะสว่างจ้า ช่วยลบความกลัวของผมไปหมดเลย และตอนนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าเป็นใคร “อ้าว ไทค์มาทำอะไรเหรอ” เขารีบส่งคำถามมาถึงผมหลังจากเห็นหน้าของผม
“ข้าวปุ้นเองเหรอ พอดีเราเอารายชื่อนักกีฬาบาสเก็ตบอลมาส่ง แต่เราเลิกเรียนช้าไปหน่อย เลยเอามาส่งช้า ยังส่งได้ใช่มั๊ย” ผมตอบกลับพร้อมกุมมือที่ได้แผลเมื่อตะกี๊
“ได้สิ” ว่าแล้วเขาก็เข้ามาหยิบใบรายชื่อจากมือผมก่อนที่เขาจะเหลือบมองเห็นแผลที่ผมพึ่งโดนมาหมาดๆ “เอ้า แล้วมือนั่นไปโดนอะไรมาละนั่น โห๋แผลลึกด้วย” เขามองดูพร้อมแผลของผมที่หลังมือซ้ายด้วยความเป็นห่วง
“พอดีเมื่อกี๊เราเผลอไปโดนแผ่นเหล็กบนโต๊ะเข้า แต่ไม่เป็นไรมากหรอกเดี๋ยวก็คงหาย” พูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าที่ตกอยู่ “งั้นเราไปก่อนนะ”ผมพูดพร้อมบอกลาก่อนที่มือของข้าวปุ้นจะมาจับแขนผมไว้
“เดี๋ยวดิ แผลลึกขนาดนั้นมันจะหายได้ยังไง เดี๋ยวผมทำแผลให้ก่อนอย่าพึ่งไป เดี๋ยวเป็นบาทยักษ์ขึ้นมาจะแย่เอานะ” ปุ้น (เรียกย่อๆละกัน เพราะปกติผมก็เรียกมันแบบนี้อยู่แล้ว) ปุ้นได้พาผมมานั่งที่โซฟาก่อนที่จะไปหากล่องพยาบาลมาเพื่อทำแผลให้ผม ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมถึงกับร้องจ๊ากลั่นห้องเลย
“โอ๊ย!!! เบาๆหน่อยสิ เจ็บ” ผมโวยวายหลังจากที่ปุ้นได้เอาสำลีชุบแอลกอฮอร์มาเช็ดที่แผลของผม
“ผมเบาแล้วนะ ยังแรงไปอยู่เหรอ” ตอนนั้นผมได้แต่เงียบและทำหน้าแหย๋ ก่อนที่ปุ้นจะพูดออกมา “จะว่าไปตัวไทค์ก็ใหญ่จะร้องโวยวายไปได้”
“ก็มันเจ็บนี่ว่า โอ๊ยๆๆ เจ็บ โอ๊ย ซี๊ดๆๆ โอ๊ย” (เอ่อ อันหลังนี่เกินจริงไปละ เดี๋ยวเขาหาว่าเป็นเหรด 18+ จะดูไม่ดี) “ไอ้ปุ้น กูเจ็บ เบาๆหน่อยดิ” ตอนนี้ผมเริ่มโวยวายพร้อมพูดคำหยาบออกมาแล้วด้วย
“อย่าดิ้นดิ มันทำยากรู้ปะ ผมก็ทำเบาละนะ อย่าโวยหน่อยทนเจ็บเอา เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“โอ๊ยๆๆ ซีด โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว” และตอนนั้นเองเสียงประตูเปิดออกพร้อมเสียงตะโกนอย่างดังทำให้พวกผมสองคนต้องหันไปดู
“เห้ย ทำอะไรกันวะ เสียงซี๊ด...โอ้ยดังไปถึงข้างนอกนู่น จะทำอะไรกันก็เบาๆหน่อยดิ” ไอ้แบล็ค ประธานนักเรียนคนเก่งเปิดประตูเข้ามาโดนที่พวกผมไม่ได้ตั้งตัว
“เห้ย มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะ” ผมรีบแก้ต่างให้ประธานนักเรียนเลิกเข้าใจผิดซักที
“ใช่ มันไม่ใช่อย่างที่แบล็คคิดนะ พอดีไทค์เอาใบรายชื่อนักบาสมาส่ง และทีนี้เขาเดินไปชนกับแผ่นเหล็กจนมีแผล ผมก็เลยทำแผลให้เท่านั้น” เออ นั่นไงเอาซะครบเซทเลยเล่ามาเหมือนกับเจอมาเอง
“เหรอ ก็นึกว่า........” ตอนนี้ท่านประธานคนเก่งกำลังกวาดสายตาไปรอบๆห้องก่อนที่จะมองมาทางพวกผมสองคนซึ่งตอนนี้ปุ้นกำลังจับมือผมอยู่
เห้ยยยยย....
พวกผมกวาดสายตาตามแบล็คซึ่งกำลังมองมาทางผมสองคนกำลังจับมือกัน ทำให้ผมต้องสลัดออก
“เลิกคิดอะไรอคติได้แล้ว” เสียงของเจเคดังออกมาพร้อมเดินเข้ามาในห้อง “รีบทำแผลให้เสร็จได้แล้ว จะได้ไปซักที” มันเข้ามาพร้อมพูดบอก (เอ่อ ว่าแต่มันบอกใครวะ)
“เออ นี่มึงบอกใครวะ” ผมมองไปที่เจเคพร้อมกับถาม (จะว่าไปมันเข้ามาทำไรที่นี่วะ นี่มันชั้น 3 นะเว้ย)
“กูบอกไอ้ปุ้น ไม่ได้บอกมึง” ไอ้เจเคเพื่อนรักผมตอบกลับมาแบบหักหน้าผมโคตรๆเลย
“อ่าว เป็นงั้นไป ว่าแต่พวกมึงไปสนิทกันตอนไหนวะ” ผมยังถามไปอย่างเซ้าซี้ก่อนที่ปุ้นจะเป็นคนตอบผม
“พอดีว่าผมขอให้เจไปสอนทำอาหารให้น้องสาวผม ตอนเลิกเรียนพวกผมเลยกลับไปด้วยกัน จริงสิ ว่าแต่ไทค์จะไปด้วยรึปล่าว” ปุ้นเหลียวมามองผมพร้อมกับถาม
“ว่าแต่จะให้ไปทำไมวะ” ผมยังงงๆอยู่
“ก็ไปช่วยชิมก็ได้ หลายคนจะได้บอกถูก” เออ แล้วจะไปดีรึปล่าววะเนี๊ยะ สอนทำอาหารทะแม่งๆอยู่
“เขาอุตส่าห์ชวนแล้ว มึงก็ไปๆเหอะ กูจะได้มีเพื่อนตอนขากลับ และจะได้ไปเอาของฝากจากมึงด้วย” เจเคพูดกับผมเอาซะตอนแรกนึกว่ามันเห็นผมเป็นเพื่อนรัก เป็นที่พึ่ง สุดท้ายก็ลงเอยที่ของฝาก กูละซึ้งเลย
“เออจะทำอะไรก็รีบทำกูจะปิดห้องครับ ท่านทั้งหลาย” เสียงท่านประธานเริ่มบ่นโวยออกมาแล้ว และจนในที่สุดพวกผมก็ตัดสินใจไปยังบ้านของท่านชายปุ้น แต่จะว่าไปบ้านมันนี่ใหญ่จริงๆ ตกลงเป็นบ้านหรือคฤหาสวะเนี๊ยะ พวกผมยั้งกรายเข้าไปในบ้านราวกับเป็นผู้บุกรุก ไม่สิเจ้าของบ้านชวนมาเองนี่หว่า
“พี่ข้าวปุ้น มาแล้วเหรอ ไหนล่ะ เพื่อนของพี่ที่มาสอนข้าวฟ่างทำอาหาร” เสียงของน้องสาวแสนจะน่ารักของปุ้นเรียกมาแต่ไกลด้วยท่าทางไร้เดียงสา
“ครับ นี่ไงพี่เจเค ที่จะมาสอนทำอาหารให้ข้าวฟ่าง”
“เรียกเจเฉยๆก็ได้” ตอนนี้ตาของข้าวฟ่างจ้องมองมาที่เจเคอย่างไม่ลดละสายตา ผมว่ามันต้องมีซัมติงอะไรบางอย่างแน่ แถมเจเคยังมองกลับไปด้วยสายตาแบบเดียวกันอีก
“นี่เพื่อนพี่อีกคนชื่อไทค์” ปุ้นแนะนำตัวพวกผมให้น้องสาวได้รู้จักกับพวกผม
“สวัสดีครับน้องข้าวฟ่าง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ตอนนี้ข้าวฟ่างทำท่าทางบิดแปลกๆเหมือนจะเขินอาย
“งั้นพี่ปุ้นบอกให้เพื่อนพี่ปุ้นไปนั่งรอก่อนนะคะ เดี๋ยวข้าวฟ่างไปเอาขนมกับเครื่องดื่มมาให้” ว่าแล้วเธอก็เดินไป แต่ก็นะ น้องสาวของปุ้นก็น่ารักจริงและผมพึ่งมารู้ทีหลังนี้เองว่าเรียนอยู่ม. 3
หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ข้าวฟ่างก็ได้เอาเครื่องดื่มและคุกกี้เข้ามาเสริฟให้พวกผม ก่อนที่ข้าวฟ่างจะคุยกับเจเคอย่างสนุกปากและแล้วทั้งคู่ก็ได้เข้าครัวทำอาหาร ทั้งเหลือไว้แค่ผมสองคนให้ต้องนั่งรอเวลาเขมือบ ไม่สิ รอเวลาชิม
“ผมรู้สึกว่าไม่ได้มานั่งคุยกับไทค์แบบนี้มานานละน๊อ”
เสียงของปุ้นเริ่มเอ่ยบทสนทนาแรกหลังจากที่ในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงแค่ผมสองคน แต่มันก็จริงทั้งที่เมื่อก่อนพวกผมก็สนิทกันแท้ๆ ถึงจะไม่มากเท่าไหร่ แต่พอขึ้นมา ม.ปลายแทบไม่ได้คุยกันเลย
“นั่นสินะ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ “นานมาแล้วสิ ยังจำเมื่อก่อนได้อยู่ ตอนที่ปุ้นโดนผลักลงสระ แม่งฮาวะ” ผมขุดเอาเรื่องเก่ามาพูด
“เห้ย ไม่ใช่เรื่องนั้น เดี๋ยวดิ เอาเรื่องอื่นมาพูดก็ได้” ปุ้นพูดอย่างหน้าเสีย “ก็คนผลักผมเป็นไทค์เองไม่ใช่เหรอ” เออ ผมเองนี่หว่าที่ผลักมันลงน้ำ 55 แต่ก็ฮานะ ผมเกือบลืมไปแล้วว่าคนที่ผลักมันตกน้ำเป็นผมเอง
“เออ ยังไงเรื่องวันนั้นก็ขอโทษด้วยละกัน” ผมหัวเราะพลางพูดขอโทษ
555 “ไม่เป็นรัยหรอก เรื่องมันก็นานมาแล้ว ไม่ต้องใส่ใจหรอก” ปุ้นพูดเพื่อบอกผมอย่าใส่ใจเลย แต่ก็นะผมก็ยังขำเรื่องเมื่อตอนนั้นอยู่ แถมยังมีวีรกรรมหลายเรื่องเลย แต่ช่างเหอะ มันผ่านมาแล้วนี่นาเจ้าตัวก็ไม่ว่าอะไรด้วย ก็ดีสำหรับผมมากแล้วแต่ถ้าผมเป็นมันตอนนั้นนะ ผมโกรธไปจนตายเลย
ตอนนี้ผมสองคนหัวเราะอยู่ด้วยกันอย่างเฮฮาสนุกสนาน ซึ่งลืมไปแล้วว่าต้องมาเป็นหนูทดลองชิมอาหารที่น้องสาวของปุ้นกำลังหัดทำ
ตึ๊ดๆๆๆๆ ๆๆๆ
เสียงโทรสับของปุ้นที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นมา ผมเหลือบไปมองหน้าจอโทรสับของมันก็พบชื่อพร้อมรูปเด็กหญิงคนหนึ่งแถมน่ารักด้วย เปียโน คนอะไรวะ น่ารักโคตรเลย ปุ้นหยิบโทรสับแล้วหันมาบอกกับผมก่อนเดินออกไปว่า “เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยโทสับก่อนนะ แป๊ปเดียว เดี๋ยวผมมา” ผมชักจะเริ่มหมั่นใส้มารยาทผู้ดีของมันแล้วดิ ไม่รู้ว่าพูดเพราะนี่มันจะเอาโล่รึปล่าว
หลังจากที่ปุ้นออกไปคุยโทรสับได้ประมาณ 10 นาที เขาก็เดินเข้ามาทำให้ผมอดแซวไม่ได้ ไม่แซวก็ไม่ใช่ผมดิ ว่าแล้วผมก็เริ่มทำการกระทำที่สมกับเป็นตัวผม “แอบไปคุยกับแฟนละสิ ไหนดูดิ๊ ว่าเป็นสวยรึปล่าว” ผมคว้ามือไปหยิบโทรสับที่มือของปุ้นมา (อย่าลอกเลียนแบบนะครับ เพราะมันเป็นการกะทำที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง)
“เห้ย” เสียงของปุ้นตกใจเมื่อผมเอาโทรสับของมันไปดู พร้อมกับรีบแย่งจากผม “เห้ย เอาคืนมานะ” ตอนนี้ผมทั้งสองได้วิ่งไปทั่วห้องนั่งเล่น เพื่อแย่งโทรสับ แต่แล้วมันก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมไม่คาดฝันขึ้น ผมเดินถอยหลังจนไปสะดุดกะขอบโซฟาจนล้มลง แต่ถ้ามันแค่นั้นก็จบไปแล้ว เพราะว่าปุ้นดันล้มทับตัวผมนี่สิ ตอนนี้ใบหน้าของผมและปุ้นห่างกันไม่ถึง 10 เซ็นต์ ทำให้ผมได้ยินเสียงลมหายใจของปุ้นที่มากระทบใบหน้าของผม ตอนนี้ผมได้แต่จ้องไปยังใบหน้าของปุ้นที่ล้มทับตัวของผมอยู่อย่างชะงัก ก่อนที่ผมจะเหลือบไปเห็นน้องสาวตัวเล็กของปุ้น พร้อมกับน้ำเสียงที่เปล่งเรียกชื่อพี่ชายของเธอแบบตกใจ
“พี่ข้าวปุ้น”
#####################
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ