MEMORIES ความทรงจำ Chapter 1 {Confusion}
เขียนโดย Remembrances
วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 21.28 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 21.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) MEMORIES [2]: Happy
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความMEMORIES [2]: Happy
บนโต๊ะทานอาหารตอนนี้มีผมกับปุ้นแค่สองคนที่กำลังทำตัวเป็นผู้รอที่ดี แต่เอาตามจริงผมได้แต่นั่งก้มหน้าและไม่กล้ามองหน้าไปที่ปุ้นเลย และเช่นเดียวเจ้าตัวก็เหมือนกันได้แต่นั่งก้มหน้า ไม่พูดไม่จาอะไร
*****
เมื่อก่อนประมาณ 10 นาที ก่อนหน้านี้น้องสาวตัวแสบของปุ้นได้ตะโกนเรียกชื่อพี่ชายสุดที่รักของตัวเองด้วยท่าทางสุดปลื้ม ปลื้มแบบสุดๆ
“พี่ข้าวปุ้น” สายตาของข้าวฟ่างได้มามองยังสภาพของพวกผมตอนนี้ทำให้พวกผมผลักตัวออกจากกัน “เห้ย”เสียงของผมทั้งสองดังลั่นก่อนที่ข้าวฟ่างจะพูดขึ้นมาแบบติดๆขัดๆ “ขะ ข้าวฟ่างทำ สะ เสร็จแล้วนะคะ ดะ ดะเดี๋ยวข้าวฟ่างไปเอามาให้ นะคะ” ข้าวฟ่างได้เอามือสองข้างกำหมัดและยกขึ้นไว้ใต้คางก่อนจะวิ่งออกไป สภาพของเธอตอนนั้นเหมือนกับแฟนคลับกรี๊ดดาราตอนมาแสดงคอนเสิร์ตอย่างไงอย่างงั้นเลย
และในขณะที่พวกผมกำลังนั่งก้มหน้าน้องสาวของปุ้นก็ได้ยกคุกกี้เข้ามาเสริฟให้(จะว่าไปตอนแรกบอกว่าจะมาทำอาหารไม่ใช่เหรอ ไหง๋เป็นคุกกี้ไปได้ฟะนั่น) ข้าวฟ่างวางจานคุกกี้และส่งยิ้มมาให้พวกผมแบบแปลกๆ ตามด้วยจ้องทีใบหน้าทีกำลังหน้าเสียของผมสองคน
“เห้ย หน้ากูมีอะไรติดหรือปล่าววะ ทำไมน้องมึงจ้องหน้ากูจังเลย”
ผมพยายามกระซิบให้ปุ้นได้ยินเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” เออ เป็นคำตอบที่ดีมากครับคุณชาย แต่ทว่าตอนนี้น้องข้าวฟ่างคนสวยก็ยังใจจดใจจ่อกับการจ้องหน้าพวกผมสองคนสลับกันไปมา ก่อนที่พี่ชายที่แสนดีของเธอจะทำให้บรรยากาศตรึงเครียดตอนนั้นให้เปลี่ยนไป “ไหนดูซิลองทำอาหารเป็นยังไงมั่ง” เออๆ แถเข้าไป ทันใดที่ปุ้นพูดจบข้าวฟ่างก็ได้พูดต่อ
“วันแรกพี่เจเคเขาสอนทำแค่คุกกี้เอง แต่ข้าวฟ่างกลัวว่าจะทำออกมาไม่อร่อย งั้นถ้าไม่อร่อยก็โทษพี่เจเคก็แล้วกัน” น้ำเสียงที่แสนไพเราะและท่าทางที่ดูไร้เดียงสาของเธอทำให้ผม ปุ้นและเจเคถึงกับเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นต่อ “พี่ข้าวปุ้นกับพี่ไทค์ลองชิมดูนะ” เหอะๆๆ เอาวะ แต่ก็ยังดี ตอนแรกนึกว่าพ่อครัวคนเก่งจะมาสอนทำอาหารพิสดารเลย แต่ก็ดีหน่อยละแค่คุกกี้คงไม่เป็นรัยหรอกมั๊ง
ตอนนี้ในใจของผมคิดว่าตัวเองเป็นคอมเม้นเตเตออยู่เลย ผมค่อยๆหยิบคุกกี้ชิ้นแรกเข้าปากพร้อมกับลิ้มรสคุกกี้นั้น แต่ว่ามันเข้าปากผมไม่ถึง 3 วิ ทำให้ผมเกือบสำรัก “ไหง๋มันเค็มแบบนี้ล่ะ” ตอนที่ผมเผลอพูดออกไปหลังจากทานคุกกี้นั่นไปแล้ว ทางด้านปุ้นเองก็กำลังทำสีหน้าบูดเบี้ยวเช่นเดียวกันหลังจากที่กินคุกกี้จากน้องสาวสุดที่รักลงไป แต่เมื่อผมเหลือบเห็นสีหน้าที่กำลังออกเศร้าๆของข้าวฟ่างทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที แต่เดี๋ยวดิแล้วทำไมผมต้องรู้สึกผิดด้วยวะแค่มาชิมอาหารเองนะเห้ย แต่แล้วพี่ชายที่แสนดีของข้าวฟ่างกับมองหน้าน้องสาวอย่างอ่อนโยนพร้อมกับบอกเธอว่า
“อร่อยมากจ๊ะ เดี๋ยวที่เหลือนี่พี่ขอนะ เดี๋ยวพี่กับพี่ไทค์จะทานให้หมดเลย”
“ห๊ะ อะไรนะ” ผมเผลออุทานออกมาก่อนจะกัดฟันกระซิบเบาๆข้างหูมัน “มึงจะบ้าเหรอ ขืนกินหมดนี่เป็นโรคไตพอดี”
“เอาน่า ครั้งเดียวถือว่าทำบุญก็แล้วกัน” เอาแล้วๆๆ มึงจะให้ทำบุญแบบไหนกันวะนี่สำหรับกูมันลงนรกชัดๆ แต่เมื่อผมมองกลับไปดูสีหน้าของข้าวฟ่างทำให้ผมอดสงสารไม่ได้ ผมทำตัวเป็นพระเอกอีกแล้ว “เดี๋ยวพี่กับพี่ปุ้นรับผิดชอบเองนะ คุกกี้อร่อยมากคับ” ตอนนี้ในใจผมกำลังร้องไห้แบบบอกใครไม่ได้อยู่ จะว่าไปขอให้มันแน่เหอะไอ้พี่ชายที่แสนดี มึงกินให้หมดนะ และตอนนี้เองผมรู้สึกเหมือนกับกำลังแบกภูเขาไว้กลางอกยังไงอย่างงั้นเลย และแล้วเสียงอ่อนโยนของข้าวฟ่างก็ได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูสงสัย
“แต่เมื่อกี๊พี่ยังบอกว่ามันเค็มอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
ตอนนี้ข้าวฟ่างมองมาที่หน้าของผมด้วยสีหน้าแบบว่ามันไม่อร่อยแล้วจะกินเข้าไปได้ยังไงอะไรแบบนั้น ทำให้ผมหยุดชะงักไปชั่วขณะ
“พี่ไทค์เขาล้อเล่น” ปุ้นพูดแทรกทำให้ผมรอดตัวไป ผมเลยตามน้ำไป
“คับ พี่ล้อเล่น อร่อยมาก ดูดิ” ผมพูดพร้อมกับหยิบคุกกี้มากิน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือปล่าว ไอ้เจเคเพื่อนรักของผมกำลังหัวเราะคิกคักอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผม ผมคิดว่ามันแกล้งพวกผมแน่ๆเลย ไอ้เพื่อนทรพี แถมยังมีอีกคน ปุ้นกำลังหัวเราะผมอย่างชอบใจอยู่ข้าง ก่อนที่เจเคจะพาข้าวฟ่างไปเก็บของ ทำให้ผมมีเวลาหันมาต่อว่าข้าวปุ้นพี่ชายที่แสนดีของน้องข้าวฟ่างแบบแค้นสาหัสเลย “นี่มึงจะฆ่ากูรึงัย”
“โถ่ เอาน่าเดี๋ยวช่วยกันกินก็หมดละ นะครั้งเดียวเอง” แต่ความคิดของผมตอนนั้นมันบอกว่านี่แค่เริ่มต้น มันต้องมีเหตุการณ์แบบนี้มาอีกแน่ๆ
“แล้วจะกินหมดได้ยังไงกันละเนี๊ยะ เยอะซะขนาดนี้” ตอนนี้ผมได้แต่บ่นพึมพรำอยู่คนเดียว เหมือนคนบ้าจนปุ้นจับคุกกี้ยัดข้าวปากผม
“บ่นอยู่นั่น รีบกินเข้าสิจะได้หมดๆไปซักที”เฮ้อ สุดท้ายก็จำใจผมสองคงนั่นยัดคุกกี้เข้าปากเกือบครึ่งชั่วโมงจนจะหมด และเวลานั้นเองเจเคกับข้าวฟ่างก็เก็บข้าวของเสร็จพอดี ผมและเจเคจึงอำลาสองพี่น้อง ขอตัวกลับบ้านซะที แต่ทันใดนั้นปุ้นก็เรียกชื่อผม
“ไทค์”
เพียงคำพูดเดียวเท่านั้นทำให้ผมถึงกับหันหลังกลับไปมองปุ้น ใบหน้าของเขายิ้มเหมือนบอกกับว่าต้อนรับผมเสมอ ก่อนที่เขาจะพูดกับผม “ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ” ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยิ้มได้ก็ไม่รู้ทั้งที่เมื่อกี๊เจอกับเรื่องที่แสนจะลำบากใจมาหมาดๆ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ผมอดเอากลับไปคิดไม่ได้ ทำให้ผมเอ่ยปากกลับไปด้วยรอยยิ้มไปยังเพื่อนที่ได้กลับมาสนิทกันอีกครั้ง “อื้ม...ไว้เจอกันนะ”
เจเคอาสามาส่งผมที่บ้านเอาตามตรงมันคงมาเพื่อของฝากมันมากกว่า ว่าแล้วก็คิดไม่ผิดแต่ก็ดีผมยังมีเพื่อนมาส่งดีกว่าต้องเดินกลับคนเดียว แถมผมยิ่งเป็นคนขี้กลัวๆด้วย เลยมักจะอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ง่าย (มันก็ต้องมีมั่งแหละน่า) ผมเดินเข้าห้องเพื่อที่จะอาอาบน้ำและนอนซักทีก็ได้เหลือบไปมองเห็นตุ๊กตาและดอกกุหลาบสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะของผม ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาเหมือนคนบ้า
“พรุ่งนี้แล้วสินะ ผ่านมาอีกปีแล้ว”
เสียงของผมได้บ่นพรึมพรำกับตัวเองก่อนจะเข้าไปอาบน้ำและปิดไฟนอน
รุ่งเช้าจากฤทธิ์คุกกี้จากน้องสาวรองประธานนักเรียนคนเก่งทำพิษผม จนท้องเสียอย่างหนัก แต่ก็ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แค่ท้องเสียดีกว่าต้องไปนอนโรงพยาบาลอีก วันนี้เป็นเช้าอีกวันที่ผมได้มาเรียนเช้า เพราะท้องเสียเลยตื่นมาเรียนเช้าละมั๊ง แต่เมื่อเดินไปถึงห้องก็พบว่าเจเคนั่งอยู่ในห้องก่อนแล้ว จะว่าไปแล้วจะมาเช้าขนาดนี้เพื่ออะไรวะ แต่ก็ช่างเหอะใส่ใจมากก็คงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะไอ้นี่มันเป็นคนที่ค่อนข้างจะเงียบ ขณะที่ผมกำลังจะเข้าไปทักเพื่อนรักของผมนั้นเสียงโทรสับเจ้ากรรมกลับดังขึ้น
ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ
เสียงโทรสับที่คุ้นเคยเตือนผมว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งซึ่งผมเกือบลืมไปแล้ว 15 พฤษภาคม วันที่ผมจะไม่ลืมไปตลอด รูปภาพของเธอเด้งมาบนโทรสับของผม ทำให้เตือนสติผมก่อนที่ผมจะยกหูเพื่อโทรหาเธอ พร้อมกับเสียงตอบรับโทรสับที่ไม่ถึง 2 วินาที ก่อนผมจะพูดออกไป
“ออกมาหาหน่อยได้มั๊ย ไทค์จะรอที่โรงอาหารนะคับ”
นี่เป็นพูดที่ผมเอ่ยปากก่อนที่จะเดินไปโรงอาหารเพื่อไปพบกับคนๆหนึ่ง คนที่ผมสนิทและคุ้นเคยที่สุด คนที่ผมสามารถพูดคุยได้ด้วยทุกเรื่อง คนที่อยู่เคียงข้างผมตอนที่ผมไม่เหลือใคร ตอนนี้ผมได้แต่ยิ้มและวิ่งไปอย่างเร็วจนมาถึงก็พบว่าเธอยืนอยู่ต่อหน้าผม ทั้งๆที่ผมบอกเธอไปว่าจะรอเธอ แต่สุดท้ายคนที่ยืนรอกลับไม่ใช่ผมแต่เป็นเธอ ผมได้มองไปยังใบหน้าที่แสนสดใสของเธอด้วยรอยยิ้ม และได้ยื่นตุ๊กตาหมีตัวเล็กตัวหนึ่งให้เธอพร้อมกับดอกกุหลาบสีขาวสดแนบด้วยการ์ดใบเล็กๆยื่นให้เธอ พร้อมคำพูดหนึ่งที่ออกมาจากปากผมซึ่งมันก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้ด้วยความดีใจ
“Happy Birthday นะครับ สตางค์”
#####################
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ