สาปรักเสน่ห์แค้น
7.0
เขียนโดย bearry
วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 00.39 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
5,627 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557 20.41 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ตอนที่ 2 : ความคุ้นเคยที่ไม่คุ้นเคย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ....ขอขอบพระคุณผู้โดยสารทุกท่านที่ใช้บริการสนามบินของเรา...
เสียงประกาศของสนามบินดังปะปนกับเสียงพูดคุยของผู้คนในสนามบิน ฉันเดินลากกระเป๋าเดินทางสีแดงที่ติดสติ๊กเกอร์ตกแต่งไปอย่างเอื้อยเฉื่อย ผมสีน้ำตาลแดงถูกมัดรวบสูงขึ้นทำเป็นทรงดังโงะ ทรงผมสุดฮิตจากประเทศทางตะวันออก ต้องยอมรับว่าผมทรงนี้มันสะดวกสบายในการทำกิจกรรมจริงๆ ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปทั่วผ่านแว่นสายตากรอบสีดำ ฉันกำลังมองหาผู้ว่าจ้างของฉันผ่านกลุ่มคนมากมายที่เดินเดินกวักไกวไปมา เมื่อไม่เห็นป้ายชื่อของตน ฉันก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตนที่อกเวลา 9.45 นาที อย่างแปลกใจ ก่อนแหงนหน้ามองนาฬิกาดิจิตอลบนบอร์ดขนาดใหญ่ 8.45 นาที
“อ่า...เวลาที่นี้ช้าไป 1 ชั่วโมงสินะ”พูดเบาๆ ก่อนก้มปรับนาฬิกาข้อมือของตน ก่อนจะมองดูกำไรสั่งทำพิเศษของแพนโดร่าที่ข้อมือ กำไรราคาแพงแบบนี้แน่นอนว่าฉันไม่มีทางซื้อใส่เอง ถึงจะสามารถออกแบบได้ตามใจก็เถอะ เจ้าของกำไรข้อมือเส้นสีทองอันนี้จะเป็นของใครได้อีกนอกจากแอนดี้ผู้แสนดี เขามักพูดเสมอว่าผู้หญิงควรมีเครื่องประดับติดตัวเสียบ้างสักชิ้น สองชิ้น แต่เมื่อฉันไม่มีท่าทีจะสนใจ ในวันเกิดเมื่อปีก่อน เจ้ากำไรราคาแสนแพงนี้ก็มีฉันเป็นเจ้าของโดยที่ผู้อุปการคุณคนนั้นกำชับอย่างหนักแน่นว่าถ้าหาย จะฆ่าฉันให้ตาย
พอต้องมาทำงานต่างบ้านต่างเมืองนานๆ ฉันก็เลยหยิบติดมาใส่ให้อุ่นใจหน่อย อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่ามีคนในครอบครัวอยู่ใกล้ๆ ล่ะนะ
“คุณบาร์วใช่ไหมครับ”
“คะ..คะ!ใช่ค่ะ!” ฉันตอบกลับอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆ มีเสียงเย็นของชายปริศนาดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายคนนั้นอย่างตื่นตกใจ มือเรียวของฉันขยับแว่นเล็กน้อยอย่างรนราน เพราะเมื่อครู่มัวแต่เหม่อเลยไม่ทันสังเกตว่ามีคนมาอยู่ใกล้ขนาดนี้
“ต้องขออภัยที่ทำให้ตกใจครับ...ผมชื่อดีแลนด์ ได้รับคำสั่งจากคุณท่านให้มารับคุณไปยังเกาะครับ..คุณบาร์ว” ชายหนุ่มผมสีดำท่าทางสุขภาพ เรียบร้อย ก้มตัวน้อยๆ ก่อนเอ่ยแนะนำตัว เมื่อเห็นเขาก้มฉันก็ก้มตาม
“เออ..คะ...เรียกโรซารี่เถอะคะ...ฉันไม่เห็นป้ายชื่อเลยคิดอยู่ว่าอาจจะมาสายเพราะเห็นเวลาต่างกันตั้ง 1 ชั่วโมง”
“ต้องขออภัยที่ทำให้คุณมารอนะครับ...จากรูปถ่ายที่คุณท่านให้กับผม...คุณค่อนข้าง...แตกต่างกับตอนนี้เล็กน้อย...ผมเลยไม่ค่อยมั่นใจว่าใช่คุณหรือป่าว” ดีแลนด์เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาสีดำคมกริบ มองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉันเพียงแย้มยิ้มบางๆ เขาคงจะแปลกใจกับเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงยีนสีตกของฉันแน่ๆ ถึงตามสื่อผู้คนจะเห็นฉันเป็น working women แต่จริงๆ ฉันชอบแต่งตัวสบายๆ ออกไปถ่ายงานมากกว่าเสียอีก
ไหนๆ นี่ก็ถือโอกาสมาพักร้อย จะเอาเสื้อผ้าทางการมาเยอะแยะทำไมกัน
"ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกคะ...เราไปกันเลยไหมคะ?”
“ครับ...เชิญทางนี้ครับ” เขาผายมือออกแล้วเดินนำฉันไป ฉันคว้ากระเป๋าเดินทางลากตามไปอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่เขาจะพาฉันออกประตูไปขึ้นรถ กลับพาเดินไปอีกทาง ที่เป็นส่วนของที่จอดเครื่องบิน เมื่อมองเห็นเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กตรงหน้าฉันก็รู้ทันทีว่าผู้ว่าจ้างของฉันไม่ธรรมดาจริงๆ นอกจากนี้เรื่องที่ทำให้ฉันแปลกใจอีกอย่างคือ นักบินที่ขับเครื่องบินลำนี้มาคือดีแลนด์นั้นเอง ผู้ว่าจ้างของฉันนี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่หาลูกน้องมารยาทงาม และมากความสามารถขนาดนี้มาได้
คุณเลขาหนุ่มตรงหน้าของฉันกำลังเก็บกระเป๋าที่ใต้ท้องเครื่องเขาเป็นคนละเอียดรอบครอบ ทุกการกระทำของเขารวดเร็วและเป็นระเบียบตามแบบแผน ดีแลนด์แทบไม่ได้พูดอะไรกับฉัน เขาเพียงมองฉันด้วยใบหน้านิ่งเฉย และใช้การกระทำของเขาเป็นการแสดงออก ซึ่งฉันก็ไม่คิดว่ามันเป็นการกระทำที่แย่อะไรนัก เอาเข้าจริงๆ ฉันค่อนข้างชอบวิธีการปฏิบัติของเขามาก เช่นเขาต้องการให้ฉันเดินไป เขาจะผายมือออกไปทางที่ต้องการให้ฉันเดิน
เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบิน ด้านในตกแต่งเรียบง่าย เหมือนเครื่องบินโดยสารส่วนตัวที่มีที่นั่งไม่มาก แต่มีพื้นที่ใช้สอยอย่างสะดวกสบาย เครื่องบินที่มีบาร์ในตัวนี่มันอลังการมากสำหรับฉัน ดีแลนด์จะสังเกตสีหน้าของฉันก่อนที่จะทำอะไร เมื่อเห็นฉันตื้นเต้นกับบางสิ่งบางอย่าง เขาจะค่อยเอ่ยปากอธิบาย
“คุณท่านมีเพื่อนสนิทที่ค่อนข้างชื่นชอบการผสมเครื่องดื่มและชิมไวท์...ท่านวินเซนต์เพื่อนของคุณท่านมักจะใช้เครื่องบินลำนี้เดินทางบ่อยๆ เลยมีการต่อเติมบาร์น้ำเพิ่มเข้ามาครับ”
“อ่อคะ...” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนที่จะนั่งลงในตำแหน่งที่ดีแลนด์ผายมือบอก ในส่วนอื่นๆ ที่ฉันไม่สนใจเข้าก็จะไม่เอ่ย หรือในรายระเอียดที่ฉันไม่จำเป็นต้องรู้เขาก็จะไม่พูด ช่างเป็นลูกน้องที่น่าชื่นชมจริงๆ
พวกเราออกจากสนามบินมุ่งตรงไปยังที่หมาย เครื่องบินส่วนตัวขึ้นสู้ฝากฟ้า พุ่งทะยานไปไกลห่างจากแผ่นดินเรื่อยๆ ฉันมองภาพท้องฟ้าและพื้นน้ำจากทางหน้าต่างอย่างสงบ ก่อนหยิบสมุดบันทึกในกระเป๋าสะพายออกมา บรรจงเขียนวิธีการเดินทางและความรู้สึกต่างๆ ของตนลงไปบนหน้ากระดาษว่างเปล่า ข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำงาน
‘การเดินทางไม่ลำบาก...ค่อนข้างสะดวก...จากสนามบินจำเป็นต้องนักเครื่องบินเล็กเพื่อไปยังเกาะ....’
“อืม...อยากรู้เรื่องสภาพอากาศกับการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวมากกว่านี้จัง...เอาไว้ค่อยถามผู้ว่าจ้างก็ได้” ฉันเคาะปากกาลงบนหน้ากระดาษเบาๆ ด้วยความไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อ จากนั้นจึงหยิบกล้องถ่ายรูป ออกมาจากกระเป๋ากล้อง แล้วปรับตั้งค่าด้วยความใจเย็น จ้องมองทัศนียภาพผ่านเลนส์แล้วกดชัตเตอร์เบาๆ บันทึกความงดงามที่แสนสงบของท้องทะเลและท้องฟ้าเอาไว้
“จากห้องนักบิน...หากมองจากทางกระจกขวาคุณจะมองเห็นเกาะนะครับ...คุณบาว์ล” เสียงประกาศนั้นทำให้ฉันพาตัวเองไปสู่หน้าต่างเครื่องบินอีกฝัง เพื่อมองดูเกาะกลางทะเลขนาดใหญ่ จนต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น
เกาะขนาดใหญ่ที่มีภูมิประเทศน่าสนใจ รูปทรงของเกาะเป็นวงรีคล้ายรูปหยดน้ำ ด้านหน้าของเกาะมีชายหาดสีนวลยาวไปจนกินพื้นที่ไปถึง 1 ใน 3 ส่วนของเกาะ ด้านหลังของเกาะเป็นหน้าผ่าสูง และมีส่วนที่เป็นป่ารก พื้นที่กว้างขว้าง กว้างขนาดที่มีหอบังคับการบินและที่จอดเครื่องบินถึง 4 ลำ
“ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอเนี๊ย...น่าสนใจจริงๆ” พูดออกมาด้วยใจระทึก มือยกกล้องตัวเก่งขึ้นมากดชัตเตอร์ทันที
น่าสนใจ คำนี่เพียงคำเดียวที่ฉันเอ่ยได้ในตอนนี้ แบบนี้สิถึงควรค่าให้ใช้เวลาด้วยถึง 2 เดือน! แค่มองจากบนนี้ก็ตื่นตาตื่นใจขนาดนี้ ถ้าประชาสัมพันธ์ดีๆ ต้องกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกได้แน่ๆ ขณะที่มองเห็นภาพเม็ดเงินสะพรั่งในจินตนาการ พลันที่หน้าอกซ้ายก็มีอาการเจ็บแปลบจนต้องยกมือขึ้นมากุมไว้
“อะไรน่ะ....” พึมพำแผ่วเบาด้วยความไม่เข้าใจ ความรู้สึกเศร้าและหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่จนร่างกายสั่นระริก หัวใจเต้นถี่กระชั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ สิ่งที่เด่นชัดมีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มโดยที่ตัวของฉันเองไม่รู้ว่าทำไมต้องร้องไห้
‘อีก 5 นาที เครื่องจะลงจอดแล้วนะครับ...สิ้นสุดการสื่อสารครับ’
เสียงประการของคุณเลขายอดนักบินไม่ได้ดึงความสนใจจากฉันไปเท่าไหร่นัก ฉันเพียงแต่โอบร่างกายที่สั่นเทาของตนเอาไว้แน่น เล็บจิกลงที่ผิวกายเพื่อให้ความเจ็บเรียกสติที่กระเจิดกระเจิง ก่อนจะบีบกำไรสีทองที่ข้อมือของตนแน่น
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร..” พร่ำบอกตัวเองอย่างนั้น เมื่อนึกถึงใบหน้าของแอนดี้ ชายหนุ่มผู้แสนดี แหล่งยึดเหนียวจิตใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต ร่างกายที่เคยสั่นเทาก็ค่อยๆ สงบลง ความเจ็บที่อกซ้ายบรรเทาก่อนจะหายไป
แอนดี้คนดี...เห็นทีกลับไปคุณต้องพาฉันไปตรวจร่างกายแล้วนะ..
เมื่อรู้ตัวอีกทีฉันก็พบว่าเครื่องบินลงจอดเรียบร้อยเสียแล้ว เสียงเปิดประตูจากห้องนักบินเรียกสายตาให้ฉันหันไป ดวงตาสีดำคมของดีแลนด์มองสบฉันด้วยความแปลกใจที่พบว่าฉันนั่งคุดคู้อยู่ที่พื้นด้วยใบหน้านองน้ำตา เขาเพียงหันหน้าไปทางอื่นโดนเลี่ยงที่จะถามคำถาม
“เชิญครับ” เขาเอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วผายมือไปที่ทางออก ฉันพยักหน้าแล้วใช้มือปาดน้ำตา แล้วหันไปคว้าสัมภาระติดตัว สูดหายใจเข้าลึกๆ ให้เต็มปอดแล้วก้าวเท้าไปทางลงเครื่องบินอย่างสง่างามในมาดของแม่มดแห่งวงการออกแบบสื่อ ไม่มีอะไรที่ฉันออกแบบไม่ได้ ทุกผลงานของฉันได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ไม่ว่าฉันหยิบจับอะไรล้วนสร้างกำไรให้บริษัทได้เสมอ ฉายาแม่มดของฉันไม่ได้มาจากนิสัย(อาจจะมีส่วนแต่ฉันไม่ยอมรับหรอกนะ) ฉายานี้มาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานแรมปี ผ่านความยากลำบากและการเรียนรู้อย่างหนัก ใครว่าเรียนศิลปะนั้นง่าย ถุยเถอะ!
เมื่อพ้นประตูเครื่องบินฉันเบิกตากว้าง สายลมแรงจากภายนอกพัดปะทะใบหน้า แสงแดดสาดส่องทำให้อากาศอบอุ่น สุดสายตาของฉันคือผืนน้ำไร้ที่สิ้นสุด แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันพุงความสนใจ ในแววตาของฉันสะท้อนภาพชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดสูทสีเทาเรียบร้อย เขายืนนิ่งด้วยท่วงท่าธรรมดาแต่กลับสง่าจนราวกับมีพลังอำนาจบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวของเขา เส้นผมสีน้ำตาลประกายเทาซอยสั้นเรียบร้อยตาแบบฉบับนักธุรกิจเท่าไป ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองสบตรงมาที่ฉันอย่างนิ่งสงบ ใบหน้าคมไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เขาไม่เอ่ยอะไร ไร้คำทักทายหรือแนะนำตัว เพียงมองสบตากับฉันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เพราะอะไรราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างดึงให้ฉันเดินเข้าไปหาเขาในขณะที่หัวใจเต้นถี่รัวจนฉันรู้สึกปวดหนึบ ฉันก้าวลงบันได้ 5 ขั้นเพื่อให้เท้าแตะถึงพื้นโดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากนัยน์ตาสีฟ้าลึกลับนั้นได้แม้แต่เสี้ยววินาที
ฉันรู้จักเขามาก่อน นั้นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก เพียรพยายามย้อนความทรงจำของตนอย่างหนัก คำถามมากมายดังขึ้นในห้วงคำนึงในทุกขณะที่เท้าก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า เขาคือใคร ดารา? นักธุรกิจเงินล้าน? ใครกันนะ?
ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียกนิสัยเสียส่วนตัวที่แก้ไม่หายของฉันออกมา มือของฉันสั่นระริกบีบที่กระเป๋ากล้องแน่น อยากถ่ายรูปจัง...อยากถ่ายรูปเขา...ฉันอยากถ่ายรูปของผู้ชายคนนั้น!!
“คุณ...” ฉันเอ่ยอย่างเหม่อลอย เพราะความหล่อของเขาดึงดูดขาของฉันให้พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบุรุษที่ฉันรู้สึกคุ้นเคย แต่ในความเป็นจริงไม่คุ้นเคยสักนิดคนนี้
เขาไม่เอ่ยอะไร เพียงมองสบตาฉันเงียบๆ จ้องมองฉันไม่ละสายตาราวกับรอคำพูดของฉันต่อจากนั้น เขากำลังประเมินตัวฉันนั้นคือสิ่งที่ฉันอ่านได้จากสายตาคมกริบนั้น ฉันอ้าๆ หุบๆ ปากราวกับปลาทองเพราะไม่รู้จะเอ่ยอะไร รู้แต่เพียงมีเรื่องอยากจะพูดกับเขา แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ท่าทางประหม่าราวกับเด็กมัธยมที่กำลังจะสารภาพรักนั้นทำให้ฉันรู้สึกตลกตนเอง ฉันยกมือขึ้นขยับกรอบแว่นของตนอย่างรนราน
“คือ..ฉัน...คือว่า..เออ..” ฉันพูดอย่างอ้ำอึ้งจนตัวเองยังรู้สึกหงุดหงิด
คืออะไรล่ะยัยบ้า...นี่มาทำท่าทางงี่เง่าต่อหน้าคนแปลกหน้าทำไมเนี่ย โรซารี่ตั้งสติหน่อนสิ!
หัวคิ้วของชายคนนั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดูท่าว่าเขาก็คงจะรู้สึกรำคาญไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่นัก แต่ในตาคู่นั้นก็ยังไม่ล่ะไปไหน ยังคงจ้องมองฉันอยู่เช่นเดิม
“คุณท่าน” เป็นเสียงของดีแลนด์ที่เอ่ยทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ น้ำเสียงนิ่งเรียบเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ชายหนุ่มนัยน์ตาฟ้าพยักหน้ารับการทักทายของดีแลนด์เล็กน้อย ก่อนหันมาสบตากับฉันเช่นเดิม เขาไม่เอ่ยอะไรกับฉันเหมือนกับว่าเขารอให้ฉันเป็นคนพูดก่อน ฉันหันไปมองดีแลนด์ที่ตอนนี้ได้เอาข้าวของสัมภาระของฉันใส่ลงที่ประโปรงหลังรถหรูคันสีดำไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหันมาสบตากับชายตรงหน้าอีกครั้ง
ผู้ว่าจ้าง! โรซารี่พลาดแล้ว!เธอทำท่าทางโง่ๆ ต่อหน้าลูกค้าซะแล้ว ไม่ได้!ต้องเอ่ยทักทายแก้สถานการณ์
“หล่อจังเลยนะคะ” ถุย!ยัยบ้า...ขอด่าตัวเองหน่อยเถอะ!
“ไม่ค่ะ..ไม่หล่อ...สวัสดีค่ะ” ฉันส่ายหน้าก่อนที่จะเอ่ยทักทายแล้วยื่นมือออกไป
ชายตรงหน้าของฉันขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เขาไม่รับการจับมือทักทายของฉัน ฉันลดมือลงแล้วสบตากับเขา ดูเหมือนว่าการสบตากับคนตรงหน้าเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ แต่ขอสารภาพเถอะฉันไม่เคยสบตาใครโดยไม่พูดอะไรนานขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไม่หล่อ?” เขาทวนคำพูดของฉันด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้ม ในที่สุดรูปสลักที่เอาแต่สบตาฉันก็เอ่ยปาก
“ไม่ค่ะ...หล่อคะ..หล่อมาก” ฉันตอบบออกไปอย่างไม่ทันคิดแล้วนึกอยากจะตบปากตัวเอง
“หล่อ...” เขาพูดคำนั้นเสียงเรียบแล้วเงียบไป ราวกับคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
“ฉันอนุญาต” สิ้นเสียงของเขาเป็นฉันเองที่ขมวดคิ้ว มือของฉันที่เคยยื่นไปเพื่อทักทายตามมารยาทถูกเขาเอื้อมมาจับเบาๆ แล้วปล่อยออกในสองวินาที จากนั้นเขาก็ละมือแล้วเดินจากฉันไปขึ้นรถคันสีดำที่จอดรออยู่ ทิ้งฉันให้ยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
อนุญาต?...อนุญาตอะไร? นี่ฉันเผลอไปพูดขออะไรเขางั้นเหรอ?
“คุณท่านหมายถึง..ท่านอนุญาตให้คุณใช้คำว่า ‘หล่อ’ ในการบรรยายถึงรูปลักษณ์ของท่านได้ครับ” เป็นดีแลนด์ที่ตอบข้อสงสัยของฉัน
“ห๊ะ!” คนบ้าอะไร...คำพูดที่ฉันจะพูดถึงเขาต้องได้รับการอนุญาตด้วย?
“เชิญขึ้นรถเถอะครับ...คุณท่านรออยู่” ดีแลนด์เอ่ยตัดบทแล้วผายมือออก ฉันเดินไปขึ้นรถคันสีดำที่จอดรอ ขณะที่ยังคงมึนงงอยู่ ดูจากรูปการแล้ว ชายบนรถที่นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะหลังด้านซ้ายคนนี้ คงไม่ใช่คนที่ฉันคุยโทรศัพท์ด้วยแน่นอน ฉันนั่งลงที่เบาะหลังด้านขวา เมื่อเสียงปิดประตูรถดังตามหลังมา ราวกับว่าฉันถูกจับขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
ดีแลนด์นั่งที่เบาะข้างคนขับ เขาพยักหน้าสั่งให้คนขับรถออกรถ เมื่อล้อรถเริ่มหมุนฉันก็หันไปมองผู้ว่าจ้างที่นั่งข้างกายฉันเงียบๆ ทันที
“คุณคะ..”เอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงที่พยายามสุภาพที่สุด
“ไม่อนุญาตให้พูดตอนนี้”
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรต่อ เขาก็ดักออกมาด้วยคำพูดนี้พร้อมน้ำเสียงเรียบๆ ฉันรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้า กลืนคำพูดลงคอตนเองทั้งหมด
ฉันเพียงต้องการจะถามชื่อของเขา กลับไม่ได้รับอนุญาตให้พูดตอนนี้ ฉันขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะชนกัน ตั้งสติเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยปากอีก ชายข้างกายก็หันมาประจันหน้ากับฉันตรงๆ เขาสบตากับฉันอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้มีงานอดิเรกชอบมองหน้าคนอื่นนานๆ โดยไม่พูดอะไรงั้นเหรอ เขาจ้องฉันบ่อยเกินไปแล้วนะ
เขาหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อสูทของเขา เมื่อฉันมองดู มันคือภาพถ่าย และไม่ใช่ภาพถ่ายธรรมดา มันคือภาพถ่ายของฉันเอง เขายกภาพถ่ายของฉันขึ้นเทียบกับใบหน้าของฉันตอนนี้ ถ้ามองไม่ผิดนั้นคือภาพที่ฉันถ่ายในบทสัมภาษณ์ของนิตยาสารเล่มหนึ่งเมื่อ 4 เดือนก่อน
“เชื่อภาพถ่ายไม่ได้จริงๆ” เขาพูดออกมาแบบนั้นก่อนจะเก็บรูปนั้นเข้าที่เดิม แล้วละสายตาหันกลับไปมองนอกกระจกรถ ท่าทางแบบนั้นของเขาทำเอาคิ้วของฉันกระตุกเล็กน้อย
พูดแบบนี้หมายถึงอะไรย่ะ!!!
“นี่คุณ”
“ฉันไม่อนุญาตให้พูด...” คำพูดประโยคเดิมเอ่ยตัดบทอีกครั้ง ครั้งนี้ฉันนึกอยากจะต่อยเขาสักหมัดจริงๆ นะ เหมือนว่าเขาจะรู้ความคิดของฉัน เขาหันกลับมามองฉันอีกครั้ง ฉันสบตาเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขาเอื้อมมือมาคว้าแว่นตาของฉันออกแล้วยื่นส่งให้ดีแลนด์ที่เบาะหน้า นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้าของเขาคว้าก้อนดังโงะบนศรีษะของฉันแน่นก่อนจะดึงยางมัดผมของฉันจดขาดทำให้ผมสีน้ำตาลแดงของฉันปล่อยสยายถึงกลางหลัง พอจะเอ่ยปากโวยวาย นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบนั้นก็หรี่ลงราวกับปรามว่า เขาจะไม่เอ่ยคำว่า ‘ไม่อนุญาต’ เป็นครั้งที่สาม ฉันกลืนคำพูดลงคอ แต่ปัดมือเขาออกมาอย่างแรง ในเมื่อไม่ให้พูดก็ลงมือทำไปเลยเถอะ!
ผู้ว่าจ้างของฉันยังคงจ้องมองมาที่ฉันอย่างไม่ลดล่ะ บอกตามตรง ฉันเริ่มรู้สึกเกลียดกริยาแบบนี้ของเขาแล้ว ถ้าฉันสามารถโทรหาแอนดี้เพื่อให้ยกเลิกสัญญาจ้างได้ฉันคงทำไปแล้ว แต่ฉันจะรู้สึกพ่ายแพ้อย่างมากถ้าต้องมาเสียงานมูลค่าหลายหมื่นล้านไปเพราะอดทนพฤติกรรมชวนปวดหัวของผู้ว่าจ้างไม่ได้
“เย็นนี้จะพูดเรื่องรายละเอียดงานที่ห้องอาหาร...จนถึงตอนนั้นฉันไม่อนุญาตให้เธอถามอะไร...เมื่อถึงคฤหาสน์แล้วดีแลนด์จะจัดเตรียมทุกอย่างให้เธอเอง” เขาพูดเพียงแค่นั้นแล้วหันออกนอกหน้าต่างไปอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้เป็นจอมเผด็จการ เขาคิดเองเออเองแล้วจัดการทุกอย่างตามใจตัวเองอย่างที่สุด พอฉันจะเอ่ยปากพูดเขาก็ยกมือขึ้นห้าม พร้อมพิงเบาะแล้วหลับตาลงอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่คุณ!” ฉันเรียกออกไปอย่างหัวเสีย บอกเลยว่าตอนนี้ฉันหงุดหงิดมาก
“........” ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงท่าทางสบายๆ และลมหายใจสม่ำเสมอเป็นการตอบกลับมา
หลับ!ตาบ้านี่หลับไปเฉยเลย!พ่อแกเถอะ!นี่...คิดจะทำอะไรก็ทำ...เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ
ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างเก็บกด วันนี้เป็นวันที่ต้องลงบันทึกในประวัติศาสตร์ของโรซารี่ บาว์ลไว้เลย ว่าเป็นวันที่ฉันพูดน้อยที่สุด คำที่พูดมีเพียง “คุณ” เป็นส่วนใหญ่เสียด้วย ความผิดพลาดครั้งนี้เริ่มต้นจากความหล่อกระชากตับนั้นโดยแท้ แต่ถึงจะหน้าตาดีราวเทพบุตรอย่างไร ฉันก็รู้ซึ่งอยู่ในใจแล้วว่าเนื้อแท้ของคนที่หลับข้างกายนี้คือ ปีศาจร้ายจอมเผด็จการที่ทำอะไรตามใจตัวเองที่สุด เท่าที่ฉันจะเคยพบเจอมา
---------------------------------------------------------------------------
ตอนสองมาแล้วววว เปิดตัว ตัวละครปริศนา ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
เสียงประกาศของสนามบินดังปะปนกับเสียงพูดคุยของผู้คนในสนามบิน ฉันเดินลากกระเป๋าเดินทางสีแดงที่ติดสติ๊กเกอร์ตกแต่งไปอย่างเอื้อยเฉื่อย ผมสีน้ำตาลแดงถูกมัดรวบสูงขึ้นทำเป็นทรงดังโงะ ทรงผมสุดฮิตจากประเทศทางตะวันออก ต้องยอมรับว่าผมทรงนี้มันสะดวกสบายในการทำกิจกรรมจริงๆ ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปทั่วผ่านแว่นสายตากรอบสีดำ ฉันกำลังมองหาผู้ว่าจ้างของฉันผ่านกลุ่มคนมากมายที่เดินเดินกวักไกวไปมา เมื่อไม่เห็นป้ายชื่อของตน ฉันก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตนที่อกเวลา 9.45 นาที อย่างแปลกใจ ก่อนแหงนหน้ามองนาฬิกาดิจิตอลบนบอร์ดขนาดใหญ่ 8.45 นาที
“อ่า...เวลาที่นี้ช้าไป 1 ชั่วโมงสินะ”พูดเบาๆ ก่อนก้มปรับนาฬิกาข้อมือของตน ก่อนจะมองดูกำไรสั่งทำพิเศษของแพนโดร่าที่ข้อมือ กำไรราคาแพงแบบนี้แน่นอนว่าฉันไม่มีทางซื้อใส่เอง ถึงจะสามารถออกแบบได้ตามใจก็เถอะ เจ้าของกำไรข้อมือเส้นสีทองอันนี้จะเป็นของใครได้อีกนอกจากแอนดี้ผู้แสนดี เขามักพูดเสมอว่าผู้หญิงควรมีเครื่องประดับติดตัวเสียบ้างสักชิ้น สองชิ้น แต่เมื่อฉันไม่มีท่าทีจะสนใจ ในวันเกิดเมื่อปีก่อน เจ้ากำไรราคาแสนแพงนี้ก็มีฉันเป็นเจ้าของโดยที่ผู้อุปการคุณคนนั้นกำชับอย่างหนักแน่นว่าถ้าหาย จะฆ่าฉันให้ตาย
พอต้องมาทำงานต่างบ้านต่างเมืองนานๆ ฉันก็เลยหยิบติดมาใส่ให้อุ่นใจหน่อย อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่ามีคนในครอบครัวอยู่ใกล้ๆ ล่ะนะ
“คุณบาร์วใช่ไหมครับ”
“คะ..คะ!ใช่ค่ะ!” ฉันตอบกลับอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆ มีเสียงเย็นของชายปริศนาดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับชายคนนั้นอย่างตื่นตกใจ มือเรียวของฉันขยับแว่นเล็กน้อยอย่างรนราน เพราะเมื่อครู่มัวแต่เหม่อเลยไม่ทันสังเกตว่ามีคนมาอยู่ใกล้ขนาดนี้
“ต้องขออภัยที่ทำให้ตกใจครับ...ผมชื่อดีแลนด์ ได้รับคำสั่งจากคุณท่านให้มารับคุณไปยังเกาะครับ..คุณบาร์ว” ชายหนุ่มผมสีดำท่าทางสุขภาพ เรียบร้อย ก้มตัวน้อยๆ ก่อนเอ่ยแนะนำตัว เมื่อเห็นเขาก้มฉันก็ก้มตาม
“เออ..คะ...เรียกโรซารี่เถอะคะ...ฉันไม่เห็นป้ายชื่อเลยคิดอยู่ว่าอาจจะมาสายเพราะเห็นเวลาต่างกันตั้ง 1 ชั่วโมง”
“ต้องขออภัยที่ทำให้คุณมารอนะครับ...จากรูปถ่ายที่คุณท่านให้กับผม...คุณค่อนข้าง...แตกต่างกับตอนนี้เล็กน้อย...ผมเลยไม่ค่อยมั่นใจว่าใช่คุณหรือป่าว” ดีแลนด์เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาสีดำคมกริบ มองสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉันเพียงแย้มยิ้มบางๆ เขาคงจะแปลกใจกับเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงยีนสีตกของฉันแน่ๆ ถึงตามสื่อผู้คนจะเห็นฉันเป็น working women แต่จริงๆ ฉันชอบแต่งตัวสบายๆ ออกไปถ่ายงานมากกว่าเสียอีก
ไหนๆ นี่ก็ถือโอกาสมาพักร้อย จะเอาเสื้อผ้าทางการมาเยอะแยะทำไมกัน
"ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกคะ...เราไปกันเลยไหมคะ?”
“ครับ...เชิญทางนี้ครับ” เขาผายมือออกแล้วเดินนำฉันไป ฉันคว้ากระเป๋าเดินทางลากตามไปอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่เขาจะพาฉันออกประตูไปขึ้นรถ กลับพาเดินไปอีกทาง ที่เป็นส่วนของที่จอดเครื่องบิน เมื่อมองเห็นเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กตรงหน้าฉันก็รู้ทันทีว่าผู้ว่าจ้างของฉันไม่ธรรมดาจริงๆ นอกจากนี้เรื่องที่ทำให้ฉันแปลกใจอีกอย่างคือ นักบินที่ขับเครื่องบินลำนี้มาคือดีแลนด์นั้นเอง ผู้ว่าจ้างของฉันนี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่หาลูกน้องมารยาทงาม และมากความสามารถขนาดนี้มาได้
คุณเลขาหนุ่มตรงหน้าของฉันกำลังเก็บกระเป๋าที่ใต้ท้องเครื่องเขาเป็นคนละเอียดรอบครอบ ทุกการกระทำของเขารวดเร็วและเป็นระเบียบตามแบบแผน ดีแลนด์แทบไม่ได้พูดอะไรกับฉัน เขาเพียงมองฉันด้วยใบหน้านิ่งเฉย และใช้การกระทำของเขาเป็นการแสดงออก ซึ่งฉันก็ไม่คิดว่ามันเป็นการกระทำที่แย่อะไรนัก เอาเข้าจริงๆ ฉันค่อนข้างชอบวิธีการปฏิบัติของเขามาก เช่นเขาต้องการให้ฉันเดินไป เขาจะผายมือออกไปทางที่ต้องการให้ฉันเดิน
เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบิน ด้านในตกแต่งเรียบง่าย เหมือนเครื่องบินโดยสารส่วนตัวที่มีที่นั่งไม่มาก แต่มีพื้นที่ใช้สอยอย่างสะดวกสบาย เครื่องบินที่มีบาร์ในตัวนี่มันอลังการมากสำหรับฉัน ดีแลนด์จะสังเกตสีหน้าของฉันก่อนที่จะทำอะไร เมื่อเห็นฉันตื้นเต้นกับบางสิ่งบางอย่าง เขาจะค่อยเอ่ยปากอธิบาย
“คุณท่านมีเพื่อนสนิทที่ค่อนข้างชื่นชอบการผสมเครื่องดื่มและชิมไวท์...ท่านวินเซนต์เพื่อนของคุณท่านมักจะใช้เครื่องบินลำนี้เดินทางบ่อยๆ เลยมีการต่อเติมบาร์น้ำเพิ่มเข้ามาครับ”
“อ่อคะ...” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนที่จะนั่งลงในตำแหน่งที่ดีแลนด์ผายมือบอก ในส่วนอื่นๆ ที่ฉันไม่สนใจเข้าก็จะไม่เอ่ย หรือในรายระเอียดที่ฉันไม่จำเป็นต้องรู้เขาก็จะไม่พูด ช่างเป็นลูกน้องที่น่าชื่นชมจริงๆ
พวกเราออกจากสนามบินมุ่งตรงไปยังที่หมาย เครื่องบินส่วนตัวขึ้นสู้ฝากฟ้า พุ่งทะยานไปไกลห่างจากแผ่นดินเรื่อยๆ ฉันมองภาพท้องฟ้าและพื้นน้ำจากทางหน้าต่างอย่างสงบ ก่อนหยิบสมุดบันทึกในกระเป๋าสะพายออกมา บรรจงเขียนวิธีการเดินทางและความรู้สึกต่างๆ ของตนลงไปบนหน้ากระดาษว่างเปล่า ข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการทำงาน
‘การเดินทางไม่ลำบาก...ค่อนข้างสะดวก...จากสนามบินจำเป็นต้องนักเครื่องบินเล็กเพื่อไปยังเกาะ....’
“อืม...อยากรู้เรื่องสภาพอากาศกับการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวมากกว่านี้จัง...เอาไว้ค่อยถามผู้ว่าจ้างก็ได้” ฉันเคาะปากกาลงบนหน้ากระดาษเบาๆ ด้วยความไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อ จากนั้นจึงหยิบกล้องถ่ายรูป ออกมาจากกระเป๋ากล้อง แล้วปรับตั้งค่าด้วยความใจเย็น จ้องมองทัศนียภาพผ่านเลนส์แล้วกดชัตเตอร์เบาๆ บันทึกความงดงามที่แสนสงบของท้องทะเลและท้องฟ้าเอาไว้
“จากห้องนักบิน...หากมองจากทางกระจกขวาคุณจะมองเห็นเกาะนะครับ...คุณบาว์ล” เสียงประกาศนั้นทำให้ฉันพาตัวเองไปสู่หน้าต่างเครื่องบินอีกฝัง เพื่อมองดูเกาะกลางทะเลขนาดใหญ่ จนต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น
เกาะขนาดใหญ่ที่มีภูมิประเทศน่าสนใจ รูปทรงของเกาะเป็นวงรีคล้ายรูปหยดน้ำ ด้านหน้าของเกาะมีชายหาดสีนวลยาวไปจนกินพื้นที่ไปถึง 1 ใน 3 ส่วนของเกาะ ด้านหลังของเกาะเป็นหน้าผ่าสูง และมีส่วนที่เป็นป่ารก พื้นที่กว้างขว้าง กว้างขนาดที่มีหอบังคับการบินและที่จอดเครื่องบินถึง 4 ลำ
“ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอเนี๊ย...น่าสนใจจริงๆ” พูดออกมาด้วยใจระทึก มือยกกล้องตัวเก่งขึ้นมากดชัตเตอร์ทันที
น่าสนใจ คำนี่เพียงคำเดียวที่ฉันเอ่ยได้ในตอนนี้ แบบนี้สิถึงควรค่าให้ใช้เวลาด้วยถึง 2 เดือน! แค่มองจากบนนี้ก็ตื่นตาตื่นใจขนาดนี้ ถ้าประชาสัมพันธ์ดีๆ ต้องกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกได้แน่ๆ ขณะที่มองเห็นภาพเม็ดเงินสะพรั่งในจินตนาการ พลันที่หน้าอกซ้ายก็มีอาการเจ็บแปลบจนต้องยกมือขึ้นมากุมไว้
“อะไรน่ะ....” พึมพำแผ่วเบาด้วยความไม่เข้าใจ ความรู้สึกเศร้าและหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่จนร่างกายสั่นระริก หัวใจเต้นถี่กระชั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ สิ่งที่เด่นชัดมีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มโดยที่ตัวของฉันเองไม่รู้ว่าทำไมต้องร้องไห้
‘อีก 5 นาที เครื่องจะลงจอดแล้วนะครับ...สิ้นสุดการสื่อสารครับ’
เสียงประการของคุณเลขายอดนักบินไม่ได้ดึงความสนใจจากฉันไปเท่าไหร่นัก ฉันเพียงแต่โอบร่างกายที่สั่นเทาของตนเอาไว้แน่น เล็บจิกลงที่ผิวกายเพื่อให้ความเจ็บเรียกสติที่กระเจิดกระเจิง ก่อนจะบีบกำไรสีทองที่ข้อมือของตนแน่น
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร..” พร่ำบอกตัวเองอย่างนั้น เมื่อนึกถึงใบหน้าของแอนดี้ ชายหนุ่มผู้แสนดี แหล่งยึดเหนียวจิตใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต ร่างกายที่เคยสั่นเทาก็ค่อยๆ สงบลง ความเจ็บที่อกซ้ายบรรเทาก่อนจะหายไป
แอนดี้คนดี...เห็นทีกลับไปคุณต้องพาฉันไปตรวจร่างกายแล้วนะ..
เมื่อรู้ตัวอีกทีฉันก็พบว่าเครื่องบินลงจอดเรียบร้อยเสียแล้ว เสียงเปิดประตูจากห้องนักบินเรียกสายตาให้ฉันหันไป ดวงตาสีดำคมของดีแลนด์มองสบฉันด้วยความแปลกใจที่พบว่าฉันนั่งคุดคู้อยู่ที่พื้นด้วยใบหน้านองน้ำตา เขาเพียงหันหน้าไปทางอื่นโดนเลี่ยงที่จะถามคำถาม
“เชิญครับ” เขาเอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วผายมือไปที่ทางออก ฉันพยักหน้าแล้วใช้มือปาดน้ำตา แล้วหันไปคว้าสัมภาระติดตัว สูดหายใจเข้าลึกๆ ให้เต็มปอดแล้วก้าวเท้าไปทางลงเครื่องบินอย่างสง่างามในมาดของแม่มดแห่งวงการออกแบบสื่อ ไม่มีอะไรที่ฉันออกแบบไม่ได้ ทุกผลงานของฉันได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ไม่ว่าฉันหยิบจับอะไรล้วนสร้างกำไรให้บริษัทได้เสมอ ฉายาแม่มดของฉันไม่ได้มาจากนิสัย(อาจจะมีส่วนแต่ฉันไม่ยอมรับหรอกนะ) ฉายานี้มาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานแรมปี ผ่านความยากลำบากและการเรียนรู้อย่างหนัก ใครว่าเรียนศิลปะนั้นง่าย ถุยเถอะ!
เมื่อพ้นประตูเครื่องบินฉันเบิกตากว้าง สายลมแรงจากภายนอกพัดปะทะใบหน้า แสงแดดสาดส่องทำให้อากาศอบอุ่น สุดสายตาของฉันคือผืนน้ำไร้ที่สิ้นสุด แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันพุงความสนใจ ในแววตาของฉันสะท้อนภาพชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดสูทสีเทาเรียบร้อย เขายืนนิ่งด้วยท่วงท่าธรรมดาแต่กลับสง่าจนราวกับมีพลังอำนาจบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวของเขา เส้นผมสีน้ำตาลประกายเทาซอยสั้นเรียบร้อยตาแบบฉบับนักธุรกิจเท่าไป ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองสบตรงมาที่ฉันอย่างนิ่งสงบ ใบหน้าคมไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เขาไม่เอ่ยอะไร ไร้คำทักทายหรือแนะนำตัว เพียงมองสบตากับฉันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เพราะอะไรราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างดึงให้ฉันเดินเข้าไปหาเขาในขณะที่หัวใจเต้นถี่รัวจนฉันรู้สึกปวดหนึบ ฉันก้าวลงบันได้ 5 ขั้นเพื่อให้เท้าแตะถึงพื้นโดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากนัยน์ตาสีฟ้าลึกลับนั้นได้แม้แต่เสี้ยววินาที
ฉันรู้จักเขามาก่อน นั้นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก เพียรพยายามย้อนความทรงจำของตนอย่างหนัก คำถามมากมายดังขึ้นในห้วงคำนึงในทุกขณะที่เท้าก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า เขาคือใคร ดารา? นักธุรกิจเงินล้าน? ใครกันนะ?
ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียกนิสัยเสียส่วนตัวที่แก้ไม่หายของฉันออกมา มือของฉันสั่นระริกบีบที่กระเป๋ากล้องแน่น อยากถ่ายรูปจัง...อยากถ่ายรูปเขา...ฉันอยากถ่ายรูปของผู้ชายคนนั้น!!
“คุณ...” ฉันเอ่ยอย่างเหม่อลอย เพราะความหล่อของเขาดึงดูดขาของฉันให้พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบุรุษที่ฉันรู้สึกคุ้นเคย แต่ในความเป็นจริงไม่คุ้นเคยสักนิดคนนี้
เขาไม่เอ่ยอะไร เพียงมองสบตาฉันเงียบๆ จ้องมองฉันไม่ละสายตาราวกับรอคำพูดของฉันต่อจากนั้น เขากำลังประเมินตัวฉันนั้นคือสิ่งที่ฉันอ่านได้จากสายตาคมกริบนั้น ฉันอ้าๆ หุบๆ ปากราวกับปลาทองเพราะไม่รู้จะเอ่ยอะไร รู้แต่เพียงมีเรื่องอยากจะพูดกับเขา แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ท่าทางประหม่าราวกับเด็กมัธยมที่กำลังจะสารภาพรักนั้นทำให้ฉันรู้สึกตลกตนเอง ฉันยกมือขึ้นขยับกรอบแว่นของตนอย่างรนราน
“คือ..ฉัน...คือว่า..เออ..” ฉันพูดอย่างอ้ำอึ้งจนตัวเองยังรู้สึกหงุดหงิด
คืออะไรล่ะยัยบ้า...นี่มาทำท่าทางงี่เง่าต่อหน้าคนแปลกหน้าทำไมเนี่ย โรซารี่ตั้งสติหน่อนสิ!
หัวคิ้วของชายคนนั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดูท่าว่าเขาก็คงจะรู้สึกรำคาญไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่นัก แต่ในตาคู่นั้นก็ยังไม่ล่ะไปไหน ยังคงจ้องมองฉันอยู่เช่นเดิม
“คุณท่าน” เป็นเสียงของดีแลนด์ที่เอ่ยทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ น้ำเสียงนิ่งเรียบเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ชายหนุ่มนัยน์ตาฟ้าพยักหน้ารับการทักทายของดีแลนด์เล็กน้อย ก่อนหันมาสบตากับฉันเช่นเดิม เขาไม่เอ่ยอะไรกับฉันเหมือนกับว่าเขารอให้ฉันเป็นคนพูดก่อน ฉันหันไปมองดีแลนด์ที่ตอนนี้ได้เอาข้าวของสัมภาระของฉันใส่ลงที่ประโปรงหลังรถหรูคันสีดำไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหันมาสบตากับชายตรงหน้าอีกครั้ง
ผู้ว่าจ้าง! โรซารี่พลาดแล้ว!เธอทำท่าทางโง่ๆ ต่อหน้าลูกค้าซะแล้ว ไม่ได้!ต้องเอ่ยทักทายแก้สถานการณ์
“หล่อจังเลยนะคะ” ถุย!ยัยบ้า...ขอด่าตัวเองหน่อยเถอะ!
“ไม่ค่ะ..ไม่หล่อ...สวัสดีค่ะ” ฉันส่ายหน้าก่อนที่จะเอ่ยทักทายแล้วยื่นมือออกไป
ชายตรงหน้าของฉันขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เขาไม่รับการจับมือทักทายของฉัน ฉันลดมือลงแล้วสบตากับเขา ดูเหมือนว่าการสบตากับคนตรงหน้าเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ แต่ขอสารภาพเถอะฉันไม่เคยสบตาใครโดยไม่พูดอะไรนานขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไม่หล่อ?” เขาทวนคำพูดของฉันด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้ม ในที่สุดรูปสลักที่เอาแต่สบตาฉันก็เอ่ยปาก
“ไม่ค่ะ...หล่อคะ..หล่อมาก” ฉันตอบบออกไปอย่างไม่ทันคิดแล้วนึกอยากจะตบปากตัวเอง
“หล่อ...” เขาพูดคำนั้นเสียงเรียบแล้วเงียบไป ราวกับคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
“ฉันอนุญาต” สิ้นเสียงของเขาเป็นฉันเองที่ขมวดคิ้ว มือของฉันที่เคยยื่นไปเพื่อทักทายตามมารยาทถูกเขาเอื้อมมาจับเบาๆ แล้วปล่อยออกในสองวินาที จากนั้นเขาก็ละมือแล้วเดินจากฉันไปขึ้นรถคันสีดำที่จอดรออยู่ ทิ้งฉันให้ยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
อนุญาต?...อนุญาตอะไร? นี่ฉันเผลอไปพูดขออะไรเขางั้นเหรอ?
“คุณท่านหมายถึง..ท่านอนุญาตให้คุณใช้คำว่า ‘หล่อ’ ในการบรรยายถึงรูปลักษณ์ของท่านได้ครับ” เป็นดีแลนด์ที่ตอบข้อสงสัยของฉัน
“ห๊ะ!” คนบ้าอะไร...คำพูดที่ฉันจะพูดถึงเขาต้องได้รับการอนุญาตด้วย?
“เชิญขึ้นรถเถอะครับ...คุณท่านรออยู่” ดีแลนด์เอ่ยตัดบทแล้วผายมือออก ฉันเดินไปขึ้นรถคันสีดำที่จอดรอ ขณะที่ยังคงมึนงงอยู่ ดูจากรูปการแล้ว ชายบนรถที่นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะหลังด้านซ้ายคนนี้ คงไม่ใช่คนที่ฉันคุยโทรศัพท์ด้วยแน่นอน ฉันนั่งลงที่เบาะหลังด้านขวา เมื่อเสียงปิดประตูรถดังตามหลังมา ราวกับว่าฉันถูกจับขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
ดีแลนด์นั่งที่เบาะข้างคนขับ เขาพยักหน้าสั่งให้คนขับรถออกรถ เมื่อล้อรถเริ่มหมุนฉันก็หันไปมองผู้ว่าจ้างที่นั่งข้างกายฉันเงียบๆ ทันที
“คุณคะ..”เอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงที่พยายามสุภาพที่สุด
“ไม่อนุญาตให้พูดตอนนี้”
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรต่อ เขาก็ดักออกมาด้วยคำพูดนี้พร้อมน้ำเสียงเรียบๆ ฉันรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้า กลืนคำพูดลงคอตนเองทั้งหมด
ฉันเพียงต้องการจะถามชื่อของเขา กลับไม่ได้รับอนุญาตให้พูดตอนนี้ ฉันขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะชนกัน ตั้งสติเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยปากอีก ชายข้างกายก็หันมาประจันหน้ากับฉันตรงๆ เขาสบตากับฉันอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้มีงานอดิเรกชอบมองหน้าคนอื่นนานๆ โดยไม่พูดอะไรงั้นเหรอ เขาจ้องฉันบ่อยเกินไปแล้วนะ
เขาหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อสูทของเขา เมื่อฉันมองดู มันคือภาพถ่าย และไม่ใช่ภาพถ่ายธรรมดา มันคือภาพถ่ายของฉันเอง เขายกภาพถ่ายของฉันขึ้นเทียบกับใบหน้าของฉันตอนนี้ ถ้ามองไม่ผิดนั้นคือภาพที่ฉันถ่ายในบทสัมภาษณ์ของนิตยาสารเล่มหนึ่งเมื่อ 4 เดือนก่อน
“เชื่อภาพถ่ายไม่ได้จริงๆ” เขาพูดออกมาแบบนั้นก่อนจะเก็บรูปนั้นเข้าที่เดิม แล้วละสายตาหันกลับไปมองนอกกระจกรถ ท่าทางแบบนั้นของเขาทำเอาคิ้วของฉันกระตุกเล็กน้อย
พูดแบบนี้หมายถึงอะไรย่ะ!!!
“นี่คุณ”
“ฉันไม่อนุญาตให้พูด...” คำพูดประโยคเดิมเอ่ยตัดบทอีกครั้ง ครั้งนี้ฉันนึกอยากจะต่อยเขาสักหมัดจริงๆ นะ เหมือนว่าเขาจะรู้ความคิดของฉัน เขาหันกลับมามองฉันอีกครั้ง ฉันสบตาเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขาเอื้อมมือมาคว้าแว่นตาของฉันออกแล้วยื่นส่งให้ดีแลนด์ที่เบาะหน้า นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้าของเขาคว้าก้อนดังโงะบนศรีษะของฉันแน่นก่อนจะดึงยางมัดผมของฉันจดขาดทำให้ผมสีน้ำตาลแดงของฉันปล่อยสยายถึงกลางหลัง พอจะเอ่ยปากโวยวาย นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบนั้นก็หรี่ลงราวกับปรามว่า เขาจะไม่เอ่ยคำว่า ‘ไม่อนุญาต’ เป็นครั้งที่สาม ฉันกลืนคำพูดลงคอ แต่ปัดมือเขาออกมาอย่างแรง ในเมื่อไม่ให้พูดก็ลงมือทำไปเลยเถอะ!
ผู้ว่าจ้างของฉันยังคงจ้องมองมาที่ฉันอย่างไม่ลดล่ะ บอกตามตรง ฉันเริ่มรู้สึกเกลียดกริยาแบบนี้ของเขาแล้ว ถ้าฉันสามารถโทรหาแอนดี้เพื่อให้ยกเลิกสัญญาจ้างได้ฉันคงทำไปแล้ว แต่ฉันจะรู้สึกพ่ายแพ้อย่างมากถ้าต้องมาเสียงานมูลค่าหลายหมื่นล้านไปเพราะอดทนพฤติกรรมชวนปวดหัวของผู้ว่าจ้างไม่ได้
“เย็นนี้จะพูดเรื่องรายละเอียดงานที่ห้องอาหาร...จนถึงตอนนั้นฉันไม่อนุญาตให้เธอถามอะไร...เมื่อถึงคฤหาสน์แล้วดีแลนด์จะจัดเตรียมทุกอย่างให้เธอเอง” เขาพูดเพียงแค่นั้นแล้วหันออกนอกหน้าต่างไปอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้เป็นจอมเผด็จการ เขาคิดเองเออเองแล้วจัดการทุกอย่างตามใจตัวเองอย่างที่สุด พอฉันจะเอ่ยปากพูดเขาก็ยกมือขึ้นห้าม พร้อมพิงเบาะแล้วหลับตาลงอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่คุณ!” ฉันเรียกออกไปอย่างหัวเสีย บอกเลยว่าตอนนี้ฉันหงุดหงิดมาก
“........” ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงท่าทางสบายๆ และลมหายใจสม่ำเสมอเป็นการตอบกลับมา
หลับ!ตาบ้านี่หลับไปเฉยเลย!พ่อแกเถอะ!นี่...คิดจะทำอะไรก็ทำ...เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ
ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างเก็บกด วันนี้เป็นวันที่ต้องลงบันทึกในประวัติศาสตร์ของโรซารี่ บาว์ลไว้เลย ว่าเป็นวันที่ฉันพูดน้อยที่สุด คำที่พูดมีเพียง “คุณ” เป็นส่วนใหญ่เสียด้วย ความผิดพลาดครั้งนี้เริ่มต้นจากความหล่อกระชากตับนั้นโดยแท้ แต่ถึงจะหน้าตาดีราวเทพบุตรอย่างไร ฉันก็รู้ซึ่งอยู่ในใจแล้วว่าเนื้อแท้ของคนที่หลับข้างกายนี้คือ ปีศาจร้ายจอมเผด็จการที่ทำอะไรตามใจตัวเองที่สุด เท่าที่ฉันจะเคยพบเจอมา
---------------------------------------------------------------------------
ตอนสองมาแล้วววว เปิดตัว ตัวละครปริศนา ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ