ลันซ่าพ่อค้าแห่งกรีนยาร์ด -Black Merchant-

-

เขียนโดย claymask

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.35 น.

  3 ตอน
  3 วิจารณ์
  5,914 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) จูบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
๒.จูบ
 
                มันเป็นจูบแรกของแอนเดรียในขณะที่แสงจันทร์ยังคงสาดส่องลงมายังแม่น้ำ เธอเคยเฝ้าจินตนาการมาแสนนาน ถึงชายต่างถิ่น สง่างาม ดวงตาดุดันและเหี้ยมหาญ  ‘รสชาติคล้ายกับน้ำผึ้งหวานที่ปลายลิ้น ร้อนแรงและนุ่มนวลเหมือนไฟอ่อน’ แมรี่สาวใช้ในวัยใกล้เคียงกับเธอยิ้มล่องลอยในขณะที่พยายามอธิบายให้เธอฟัง
.
.
 
 
ในเช้าวันที่เธอมีเลือด สัญลักษณ์ของวัยเด็กสู่ความเป็นสาว เวลาอันสมควรที่พ่อของเธอพร่ำบอกไว้เนิ่นนาน สายตาที่เย็นชาของพ่อ ระเบียบที่รักษาไว้อย่างเคร่งครัด เธอรู้ว่าพ่ออยากได้ลูกชายเพื่อสืบสกุล เพื่อสอนการขี่ม้า ฟันดาบ ยิงธนู ตีอาวุธ เพื่อร่ำสุราและรื้อฟื้นความหลังเมื่อครั้งสงครามที่สมรภูมิอะไรซักที่ ที่พ่อเล่าซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างไม่รู้จบด้วยความภูมิใจ
          ระหว่างวัตถุทางการเมือง กับลูกสาวผู้เป็นทายาทแห่งลาสทรอน เธอยังคงสงสัยว่าพ่อของเธอให้น้ำหนักข้างไหนมากกว่ากัน และในคืนนั้นแสงจันทร์ก็ส่องสว่างเช่นคืนนี้ ลอร์ดแห่งลาสทรอนเมาไร้สติไปกับเหล้าองุ่นถูกๆ จากพ่อค้าเร่ ความจริงบางอย่างที่น้ำเมาง้างมันออกมาได้ เป็นสิ่งที่เธอเองก็รู้แต่ไม่อยากที่จะได้ยิน
 
           ‘ถ้ามันไม่เกิดมา โซเฟียคงไม่ต้องตาย’   ‘เลือดมันออกมาแล้วถึงเวลาที่มันจะไปจากข้าเสียที’    ‘กรีนยาร์ด เฮอะ…. ขอให้หว่างขามันใช้งานได้เถอะ ผลิตรัชทายาทที่สร้างความมั่งคั่งแก่ข้า’     ‘มันไม่รู้หรอกว่าข้าต้องทนกับเสียงค่อนขอดมานานขนาดไหน’
 
          บางครั้งพ่อเธอก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ หรือทั้งร้องไห้และหัวเราะจนเธอแยกไม่ออกว่าพ่อกำลังร้องไห้หรือหัวเราะ ความรู้สึกของแอนเดรียจุกขึ้นมาที่อก เมื่อมองไปที่ดวงจันทร์นอกหน้าต่าง ลมหนาวพัดเอาบางส่วนของวิญญาณเธอไปด้วย         มันเป็นคืนที่เธอตัดสินใจ และไม่ยอมเสียเวลาไปกับน้ำตาที่เพิ่งหยดเปื้อน เธอขอให้มันเป็นหยดสุดท้าย
.
.
                มันเป็นจูบแรกของแอนเดรียในขณะที่ทหารของลอร์ดแห่งนาโคเปียส่งเสียงค้นหากันอื้ออึงจูบแรกที่เธอยังคงหลับตา แต่เธอก็รู้ว่าริมฝีปากตรงข้ามนั้นเป็นของผู้ใด ไออุ่นบางส่วนแผ่มาจากริมฝีปากมันไม่คล้ายน้ำผึ้งหวานอย่างที่แมรี่เคยบอก มันเป็นรสชาติที่เธอเองก็บรรยายไม่ถูก เธอกอดร่างเขาแน่นราวกับกลัวว่าเขาและเธอจะหายไปในค่ำคืนแห่งแสงจันทร์นี้   และเมื่อเธอค่อยๆลืมตาขึ้นนัยน์ตาสีฟ้าหม่นและเศร้านั้นจ้องมองเธออยู่นานแล้ว ราวกับงูจำศีลที่อดทนรอให้ฤดูหนาวผ่านพ้น เธอกับลันซ่ามาลงเอยด้วยการจูบเช่นนี้ได้อย่างไร
จะว่าไปมันก็น่าขัน คงต้องย้อนคิดไปถึงเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว ในตอนที่เธอและลันซ่าเจรจาธุรกิจที่เพิงพักใกล้ๆกับโรงตีเหล็กทางทิศตะวันออก นอกตัวปราสาท
.
.
 
 
           “ท่านหญิงน้อย เวลาไม่รอท่ามากนัก ท่านน่าจะสังเกตเห็นสัญลักษณ์อินทรีย์ที่ด้ามดาบของทหารที่ตามท่านมาในกระโจมนะ มันไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง”   ลันซ่าเอนตัวลงพิงเก้าอี้ไม้ผุที่เพิ่งขอยืมมาจากช่างตีเหล็กข้างๆ
 
          “ท่านนี่ละเอียดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆนะ แต่ละเลยจุดใหญ่ ท่านคงลืมไปแล้วซินะว่าในขณะที่ทหารทั้งคู่เข้ามาในกระโจม ข้าหันหลังให้พวกเขาอยู่ ตัวข้าเองยังแอบคิดเลยว่าเป็นสายของพ่อข้าที่มาดักจับข้าในเมืองนี้ เลยรีบวิ่งหาที่หลบจนมาเจอท่านในกระโจมของแม่เฒ่า ว่าแต่สัญลักษณ์อินทรีย์ที่เป็นตราประจำตระกูล รอยส์ผู้ปกครองเมืองนาโคเปียมันไม่ชอบมาพากลเยี่ยงไร อีกอย่างนึงเจรจากันปกติเช่นนี้ ท่านเรียกข้า ‘แอนเดรีย’ ก็เพียงพอ การเรียกท่านหญิงน้อยจะยิ่งพิรุธเข้าไปอีก” แอนเดรียนำฮู๊ดมาคลุมปิดที่หัวไว้เช่นเดิมหลังจากที่ลันซ่าทักเรื่องไม่ชอบมาพากล
 
 
          “จริงดังที่ท่านว่า ข้าละเลยบางจุดไปจริงๆ ต้องขออภัย   ถ้ามองแต่ใบไม้ก็จะไม่เห็นต้นไม้ ถ้ามองแต่ต้นไม้ก็จะมองไม่เห็นป่า ถ้าจะมองต้องมองทั้งหมด แต่ข้าก็ขอยืนยันตามคำเดิม เวลาไม่รอท่ามากนัก สร้อยคอที่ท่านสวมตรงเหรียญที่ห้อยนั้นเป็นรูปมังกรเทรกอน ท่านได้แต่ใดมา” ลันซ่าไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ รีบเจรจาเข้าเรื่องธุรกิจ
 
          “ในเมื่อเวลาไม่คอยท่า ท่านอยากได้สร้อยคอนี้ ข้าได้กลิ่นมันจากดวงตาละโมบของท่านทีเดียว เราแลกเปลี่ยนกันเถอะลันซ่าในเมื่อท่านก็รู้แล้วว่าข้าเป็นใครและกำลังมีอันตรายคืบคลานเขามาใกล้ ข้าอยากรู้ข้อมูลทั้งหมดที่ท่านมี”
 
          “เพื่อแลกกับ” ลันซ่าเลิกคิ้วข้างซ้ายขึ้นมาหนึ่งข้างรับฟังข้อเสนอ ดวงตาเขาจับจ้องมองสร้อยที่คอแอนเดรียไม่วาง
 
          “เพื่อแลกกับข้อมูลผ้าคลุมสัญลักษณ์หมูป่าอีกหนึ่งผืน ข้อมูลแลกข้อมูลก็น่าจะยุติธรรมดีนะ ท่านว่าไหม”
 
          ลันซ่ากุมขมับพลางคิดในใจ เอาอีกแล้ว ปีศาจวาณิชมันเริ่มเข้าสิงตั้งแต่แม่เฒ่าทูเร มาจนถึงหญิงสาวเอาแต่ใจการเจรจาธุรกิจสำหรับลันซ่าไม่น่าจะเป็นงานที่ยากขนาดนี้ เขาเงียบไปครู่เดียวจึงเริ่มพูดในโทนเสียงต่ำระวังภัย
 
          “มาร์โค รอยส์ ลอร์ดแห่งนาโคเปีย อินทรีย์ที่บินสูงและมองลงที่ต่ำเพื่อหาเหยื่อเสมอ ลูกชายที่รอสืบสกุล อันโตนิโอ รอยส์ ตระกูลนี้สืบเชื้อสายมาจาก ธีโอ รอยส์ ที่สองที่โค่น มาเร็กซ์ ไฮน์ กษัตริย์ที่ได้ฉายาว่า ‘อินทรีย์ผู้รอมชอม’ ในสงครามสามหุบเขาเมื่อหกสิบปีที่แล้วหลังจากนั้น ธีโอ รอยส์ก็ยืดบัลลังก์และตราของตระกูล ไฮน์มาใช้เป็นของตัวเอง ปรับเปลี่ยนตราสัญลักษณ์เล็กน้อยให้สัญลักษณ์อินทรีย์กางกรงเล็บเตรียมขย้ำเหยื่อ ให้มันดูน่าเกรงขามขึ้นละมั๊ง”
 
          “ช่วยเข้าเรื่องให้ไวด้วยท่านลันซ่าผู้รีบร้อนและเป็นคนเตือนข้าว่าเวลาไม่คอยท่า”
 
          “อย่างที่ท่านรู้หลังจากนั้นเมื่อครั้งสงครามรวมแผ่นดิน ‘มฤตยูเขียว’ เราก็มีกษัตริย์เหลือแค่องค์เดียวราชวงศ์ กรีนยาร์ดก็ถูกสถาปนาขึ้น ภายใต้กองซากศพของอริราช พันธมิตรของกรีนยาร์ดก็อิ่มเอมและอ้วนพี ธีโอ รอยส์ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด ที่เนินกระซิบ พันธมิตรของกรีนยาร์ด ลวงเขามาเผาทั้งเป็นจากที่เคยให้สัตยาบรรณต่อ ตระกูลรอยส์ว่าจะนำกำลังมาสมทบที่เนินกระซิบ และค่อยรวมพลกับสามตระกูลใหญ่ที่ปลายแม่น้ำนิรันด์”
 
          “ก็ยังไม่เห็นเข้าเรื่องซักที” แอนเดรียเริ่มทำหน้าตาเบื่อหน่าย
 
          ลันซ่าสูดลมหายใจชั่วครู่ ก้มตาลงต่ำจึงเริ่มเล่าต่อ“โยฮัน ลอร์ดแห่งลาสทรอน ใช้ค่ำคืนที่มืดมิด ล้อมทหารของธีโอ รอยส์ไว้ แล้วราด ‘น้ำมัน’ทั่วต้นไม้และกองเสบียง ว่ากันว่าเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามครั้งนั้น กรีนยาร์ด พระราชทานตำแหน่ง ที่ดิน อำนาจความมั่งคั่งและฉายา ‘โยฮัน ผู้ภักดี’ ให้แด่ลอร์ดผู้กล้าหาญ แต่ฉายาที่คนทางเหนือมักจะเรียกนั้นเป็นอีกชื่อ”
 
          “โยฮัน ผู้ทรยศ” แอนเดรียเป็นคนพูดต่อฉายาที่ลันซ่ายังพูดไม่ทันจบ
 
          “ท่านรู้จักฉายาของพ่อท่านเป็นอย่างดี”
 
          “คำพูดนั้นฆ่าคนได้ และเขากำลังตายไปช้าๆไม่ใช่ด้วยเหล้าองุ่น หรือโสเพณีในตรอกราคะ “
 
          “ทีนี้มาถึง มาร์โค รอยส์ ลอร์ดคนปัจจุบัน หลังจากที่ กรีนยาร์ดยึดบัลลังก์ในฉายาไปแล้ว คำว่าราชาก็สงวนไว้สำหรับกรีนยาร์ดเพียงแห่งเดียว ท่านลองคิดเอาดูแล้วกัน ลูกสาวของศัตรูที่เคยหักหลังตระกูล พลัดหลงเข้ามาในถิ่น เหมือนกวางน้อยกำลังตายใจกับหญ้าระบัด เพลิดเพลินไปกับความหวานของพุ่มไม้ ลูกธนูเชียวนะท่านที่กำลังเล็งท่านอยู่ เผลอๆอาบยาพิษด้วยซ้ำ ท่านไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของ มาร์โค รอยส์หรือ”
 
แอนเดรียส่ายหน้า ความกลัวเริ่มคืบคลานและกัดกินในใจเธออย่างช้าๆ
 
          “ขบวนล่าสัตว์ที่เพิ่งกลับมาจากนอกเมือง ท่านอาจจะคิดว่าคงไปล่าหมูป่า กวาง กระต่ายอย่างเดียว นั่นเป็นสิ่งที่ตาคนเราและชาวบ้านมองเห็นเท่านั้น ในป่านั่น ลึกเข้าไปจนถึงหุบเขาอิคอนคิกา มาร์โคให้ทหารคนสนิทจับทาสผิวดำจากเมืองใต้ ปล่อยเข้าไปในหุบเขานั้น ไม่นานนักเสียงราวผึ้งแตกรวง วิ่งกันจ้าละหวั่น เสียงหมาป่าขู่คำราม ไล่กวด กัดฉีกชิ้นเนื้อมนุษย์  ขนของมันเป็นสีเลือด กรามใหญ่ฟันแข็งแรงแหลมคม มาร์โค รอยส์รอจนหมาป่าเข้ามาใกล้ในระยะประชิดแล้วค่อยเล็งธนูยิงอย่างเลือดเย็น  เขาสั่งให้ทหารเก็บฝูงของตัวจ่าฝูงไว้แพร่พันธุ์ ส่วนทาสผิวดำที่กำยำแข็งแรง วิ่งหนีหมาป่าจนพ้น แต่น่าเสียดายที่หนีการล่าของอินทรีย์ไม่พ้น”
 
          “เพื่อความบันเทิง ถึงกับทิ้งความเป็นคนแล้วสวมหัวใจสัตว์”
 
          “อย่ากลัวไปเลย แอนเดรีย อย่างไรเสียลูกชายเขา ‘แอนโตนิโอ’ ก็ไม่ใช่คนเช่นพ่อเขา แต่ก็เป็นในอีกรูปแบบนึงน่ะ”
 
          “แบบไหนกัน” แอนเดรียเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง สายตาของอินทรีย์เริ่มควานหาเธออยู่แน่แท้
 
          “ว่ากันว่า ที่หอปีกแดง ของอันโตนิโอ รุ่มรวยไปด้วยหญิงสูงศักดิ์ ทั้งสาว ทั้งสวยเต็มวัย อุปกรณ์พิลึกพิลั่นที่อันโตนิโอสรรหามาปรนเปรอ หญิงสาวในหอทั้งหลายน่าจะถูกอกถูกใจเจ้าหล่อนอยู่ไม่น้อย”
 
          “อุบาทไม่แพ้พ่อของมัน ข้อมูลพวกนี้เจ้ารู้มาได้อย่างไรลันซ่า”
 
          “ถึงตาท่านแล้ว แอนเดรีย แลกเปลี่ยนข้อมูลตามสัญญา”
 
          “ธงสัญลักษณ์หมูป่านั้นถูกเก็บไว้ตลอดมาในห้องของแม่ข้า มันแขวนไว้จนฝุ่นเกาะเก่าคร่ำคร่า”
 
          “ที่ลาสทรอน เมืองของท่าน”  
 
          “ที่ลาสทรอนเมืองของพ่อข้า” แอนเดรียหลบตาต่ำเธอไม่อยากจะกลับไปที่นั่นอีกแล้ว
 
          ลันซ่าผิวปากเสียงแหลม ไม่นานนักเหยี่ยวหิมะตัวใหญ่ก็บินมาเกาะที่มือของเขา ลักษณะของเหยี่ยวนั้นก็คล้ายกับเหยี่ยวทั่วไป จะงอยปากที่งองุ้ม มีกรงเล็บที่แหลมคมและแข็งแรง บินได้อย่างรวดเร็ว กางปีกได้กว้างและยาว สามารถบินหรือเหินได้สูง และมีสายตาคมกริบ แผงคอที่ล้อมรอบด้วยขนสีขาวนั้นต่างหากที่ทำให้มันแตกต่าง ที่ขามันผูกไว้ด้วยกระดาษม้วนเล็กๆ  ลันซ่าคลี่ดูแล้วรีบฉีกมันทิ้ง ลันซ่าลูบหัวมันแล้วจึงหยิบเนื้อกระต่ายตากแห้งจากผ้าคลุมโยนมันขึ้นฟ้า เหยี่ยวหิมะส่งสายตาจับจ้องและบินไปงับอย่างแม่นยำ
 
          “ท่านถามวิธีการหาข้อมูลของข้า มันก็อยู่ที่นี่แล้ว ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กข้าเรียนรู้ว่า บางครั้งข้อมูลในกระดาษแผ่นเล็กๆ มีค่ามากกว่าเหรียญทองคำเสียอีก”
 
          ลันซ่าล้วงกระดาษในจากซอกผ้าคลุมฉีกออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ เขียนยึกยักด้วยปากกาขนนกแล้วจึงรีบผูกติดไว้ที่ขาของคืนเหยี่ยวหิมะ ลูบหัวมันหนึ่งครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ส่งกลับที่เดิมนะ ไอซ์”    เหยี่ยวหิมะทะยานบินขึ้นฟ้า ไม่นานนักก็เห็นตัวมึนกลืนเข้ากลีบเมฆ
 
          เสียงเป่าแตรดังมาจากข้างในปราสาท สามครั้ง ลันซ่าหันไปมองแล้วจึงรีบเอาหูแนบไปที่พื้นช่างตีเหล็กแอบมองคนทั้งคู่อยู่ในร้าน แอนเดรียเริ่มรู้สึกผิดสังเกตเช่นกัน
 
          “เสียงฝีเท้าม้า แอนเดรีย ท่านยังติดค้างข้าเรื่อง สร้อยคออยู่นะ อย่าลืมเสียล่ะ”
 
          ลันซ่าเริ่มออกวิ่งอย่างรวดเร็ว แอนเดีรยได้สติแล้วจึงวิ่งตามไป
 
          “เล่นวิ่งหนีอย่างนี้เลย ท่านเป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย”
 
          “ข้าเป็นพ่อค้า ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวเรื่องแต่หนหลังของท่าน จะตามข้ามาทำไม”
 
          “สร้อยนี้เป็นของท่านเมื่อข้ารอดพ้นจาก ‘อินทรีย์’ เรายังทำการค้ากันอยู่ไหม”
 
          “ด้วยเกียรติแห่งบุตรีของลอร์ด ลาสทรอน สาบานสิ”
 
          “ถ้าเกียรติของโยฮันผู้ทรยศมันมากพอ ข้าก็ยอมสาบาน”
 
          “ด้วยเกียรติของ แอนเดรีย บุตรีแห่งโยฮัน ข้าเชื่อท่าน   ก่อนจะถึงเนินกระซิบประมาณ 3000 ก้าวปลายแม่น้ำนิรันดร์ทอดยาวอยู่แถวนั้น ริมฝั่งแม่น้ำมีชุมชนและหมู่บ้านเล็กๆอยู่ ไม่ช้าความมืดจะปกคลุมเราพอจะซ่อนตัวได้”
 
          “อีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึง ปลายแม่น้ำ” แอนเดรียวิ่งไปตะโกนไป
 
          “ชั่วเวลาประมาณร่วมรักได้หนึ่งครั้ง” ลันซ่าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงหอบเหนื่อยจนเปรียบเปรยไปมั่วๆ
 
          “แล้วข้าจะรู้ไหมเนี่ย” แอนเดรียตะโกนทั้งที่เหนื่อยหอบมากขึ้นเรื่อยๆ
 
          หลังจากวิ่งสลับกับเดินจนอ่อนล้า เสียงฝีเท้าม้ากระชั้นเข้ามาเรื่อย ดวงจันทร์เริ่มเปล่งแสงทอประกายเท้าทั้งคู่ของแอนเดรียราวกับมีหินถ่วง  เธอซึ่งเคยมีความเชื่อว่าแกร่งไม่แพ้ผู้ชาย      ลันซ่าสะกิดไหล่ให้แอนเดรียเดินไปเรื่อยๆ
 
          “ข้าได้กลิ่นปรุงอาหารข้างหน้าเราอีกไม่ไกลแล้วล่ะ รีบไปกันเถอะ” ลันซ่ากระชุ่นเตือน
 
          “ไม่ทันแล้วล่ะ ลันซ่า”    เมื่อแอนเดรียมองไปข้างหน้าก็เจอทหารสามคนพร้อมม้าลาดตระเวนยืนดักอยู่
 
          แอนเดรียชักดาบออกจากฝัก กระโดดเข้าไปหมายจะฟันทหารที่ขี่ม้าอยู่ใกล้ที่สุด’เคร้ง’ ทหารปัดดาบแอนเดรียหลุดจากมือ เตรียมตาข่ายเชือกในมือขวาเพื่อจับเป็น แอนเดรีย
 
          “โอ๊ะ……” เสียงอุทานของทหารคนนั้น พร้อมเอามือกุมลำคอ วัตถุแหลมคมเรียวเล็กทะลุเข้าที่คอ แล้วจึงล้มลงจากหลังม้า
 
          “ขี่ม้านั่นไปที่แม่น้ำเร็ว” ลันซ่ารีบชิงพูดให้สติ
 
          แอนเดรียไม่มีเวลาคิด เมื่อมองเห็นทหารม้าอีกสองคนเตรียมเข้าจู่โจม เธอรีบโยนตัวขึ้นม้าแล้วมุ่งไปยังแม่น้ำ“สร้อยนี่เป็นของเจ้ารอดมาให้ได้ ลันซ่า”   แอนเดรียกระตุ้นลันซ่าด้วยความโลภในเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน
 
          ลันซ่าม้วนตัวหลบหอกที่แทงมาจากหลังม้า พร้อมก้มเก็บดาบมิธรีลมาถือไว้มือซ้ายที่สวมถุงมือเริ่มสั่นอีกครั้ง ลันซ่าจึงเปลี่ยนเป็นจับดาบมือเดียวที่มือขวาเขาเฝ้ารอจังหวะที่ม้าและคนจู่โจมอีกครั้ง จนฝ่ายทหารคนที่สองโจมตีพลาดลันซ่าเงื้อดาบฟันฉับเดียว หัวขาดทั้งคนและม้า  เมื่อมันตกถึงพื้นเลือดจึงพุ่งฉีดออกมา เป็นการฟันที่ไวอย่างยิ่ง
 
          บุคลิกของลันซ่าเปลี่ยนไปไม่คล้ายพ่อค้าขี้ฉ้อที่รอแต่ผลกำไรเช่นเดิม ใบหน้าเขานิ่งเรียบเฉยทั้งที่เพิ่งฆ่าได้สองศพทหารคนที่สามเห็นเช่นนั้น ไสม้าคุมเชิงไปมา ลั่นซ่าได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอีกกองใกล้เข้ามาทางด้านหลัง ไม่น่าจะต่ำกว่ายี่สิบตัวตรงชั่งในหัวเริ่มทำงาน คำนวนหาขั้นตอนที่จะจบสถานการณ์ครั้งนี้อย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อคิดได้ดังนั้น ลันซ่าจึงถอดถุงมือหนังตุ่นสีดำออก มันเป็นมือข้างซ้ายที่เขาพยายามปกปิดมาตลอด….
 
 
.
.
 
 
 “ไม่อยากเชื่อท่านรอดมาได้” แอนเดรียไม่สามารถสะกดความดีใจรอเขาอยู่ที่ปากแม่น้ำ ใกล้กระโจมหมู่บ้านริมน้ำ เธอได้ยินแต่เสียงน้ำไหล ควันไฟจากกระโจมที่เตีรยมทำอาหารเย็น เนื้อสัตว์ที่เคี่ยวกับน้ำซุปรสเลิศหอมอวลลอยจนแอนเดรียสามารถรู้ได้เลยทีเดียวว่ามันลอยมาจากกระโจมไหน
 
 
          “การค้าลุล่วง แต่อย่าดีใจไป แอนเดรีย ม้าอีกฝูงกำลังควบตามมาไม่นานแล้ว สร้อยข้าล่ะ”
 
          “พ่อค้าในเส้นเลือดจริงๆ เอ้าสร้อยนี้เป็นของท่านแล้ว ไหนๆ ข้าก็ไม่อยากแต่งกับกรีนยาร์ดอยู่แล้ว”
 
          “ของหมั้นหมายจากกรีนยาร์ด ว่าแล้วเชียว เอาดาบท่านคืนไป”
 
แอนเดรียรับดาบมาจากลันซ่าเธอเห็นรอยเลือดจางๆ จากคมดาบ ลังเลจะถามชั่วครู่จึงเก็บมันใส่ฝัก
          “ท่านรอดมาได้อย่างไร” แอนเดรียเดินตามเขาอย่างรีบเร่ง
 
 
          “ผู้คนในหมู่บ้านเห็นเราสองคนแล้ว ขอหลบในที่พักไม่ดีแน่ ไปที่ริมแม่น้ำตามข้ามา” ลันซ่าเลี่ยงการตอบคำถาม และหวนคำนึงถึงเรื่องเล่าในวัยเด็ก ในตอนที่แม่น้ำถูกย้อมฉานไปด้วยสีของเลือด เมื่อครั้งที่โยฮัน ผู้ทรยศ เผาตระกูล รอยส์และพันธมิตรอีกสามตระกูลที่รวมตัวกันที่แม่น้ำแห่งนี้ ถูกกำจัดอย่างเลือดเย็นและทิ้งร่างที่ไร้หัวของพวกเขาลง ณ แม่น้ำแห่งนี้ บางครั้งในฤดูร้อนที่ตะกอนของแม่น้ำกวนให้น้ำเป้นสีขุ่นคล้ายกับอิฐ ผู้คนก็ยังเชื่อว่าเป็นความพยาบาทฤดูร้อนเมื่อครั้งนั้น
 
          กองทหารม้าควบมาถึงหมู่บ้านแล้วจึงเริ่มกระจายกันออกค้นหา กระโจมถูกทหารบุกตรวจอย่างเข้มงวด ลันซ่ากับแอนเดรียพากันลงไปที่แม่น้ำเมื่อความลึกถึงคอ เสียงทหารม้าที่ขี่ม้าเลียบริมน้ำก็ดังอยู่ไม่ไกลจากคนทั้งสองดวงจันทร์ในวันนี้ดวงโตและสว่างเกินไปจนทหารอาจจะไม่ต้องใช้ความพยายามในการควานหา
 
          “ก้มลง” เสียงลันซ่ากระซิบกึ่งออกคำสั่ง
 
          ภายใต้ผืนน้ำเธอเห็นจันทร์ดวงโต สะท้อนคลื่นระยับไหวไปมา เธอชอบมองดูแม่น้ำลำธารแต่ไม่คุ้นชินกับมันเมื่อลงมาว่ายเล่น อสูรกายโบราณที่แม่นมใช้หลอกเมื่อเธอดื้อและงอแงยังคงตามหลอกหลอน           ลันซ่าหันหน้าเธอมาตรงหน้าเขา พร้อมยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นสัญญาณให้เงียบ นิ่ง และอย่าเคลื่อนไหว  เธอพยายามพยักหน้า ทั้งที่รู้ว่าการกลั้นหายใจใต้น้ำไม่เหมือนการขี่ม้าที่เธอโปรดปรานแอนเดรียกำลังจะสำลักน้ำ ฟองอากาศเล็กใหญ่ผุดพรายขึ้นอย่างรวดเร็ว ลันซ่าดึงแอนเดรียเข้ามากอด ตัวเธอสั่นด้วยความกลัว
 
          แล้วเขาจึงเริ่มประกบปากเธออย่างช้าๆ  อากาศผ่านลมจากปากเขา  แอนเดรียเริ่มนิ่งและหลับตาพริ้มลง
 
มันเป็นจูบแรกของแอนเดรียในขณะที่ทหารของลอร์ดแห่งนาโคเปียส่งเสียงค้นหากันอื้ออึงจูบแรกที่เธอยังคงหลับตา แต่เธอก็รู้ว่าริมฝีปากตรงข้ามนั้นเป็นของผู้ใด ไออุ่นบางส่วนแผ่มาจากริมฝีปากมันไม่คล้ายน้ำผึ้งหวานอย่างที่ แมรี่เคยบอก มันเป็นรสชาติที่เธอเองก็บรรยายไม่ถูก เธอกอดร่างเขาแน่นราวกับกลัวว่าเขาและเธอจะหายไปในค่ำคืนแห่งแสงจันทร์นี้   และเมื่อเธอค่อยๆลืมตาขึ้นนัยน์ตาสีฟ้าหม่น และเศร้านั้นจ้องมองเธออยู่นานแล้ว ราวกับงูจำศีลที่อดทนรอให้ฤดูหนาวผ่านพ้น
 
          จวบจนเสียงทหารห่างออกไป แอนเดรียได้ยินเสียงทหารในหน่วยพูดถึง ‘เนินกระซิบ’ พวกเขาคงไปหาพวกเราตรงบริเวณนั้น
 
          “เกือบตายแล้วไหมล่ะ ท่านหญิงน้อย ดีนะข้าไหวตัวทัน เกือบไปแล้วเชียว”
 
          “ท่าน ท่านถือวิสาสะ….”
 
          “แบ่งปันอากาศให้หายใจ ถ้าโผล่ขึ้นมาท่านก็โดนจับ ข้าก็ถูกเชือด การค้าครั้งนี้ดูเหมือนท่านติดหนี้ข้าอยู่เยอะนะ”
 
          “พูดเอาแต่ได้…” จูบแรกของเธอกับพ่อค้าขี้ฉ้อแถมอวดดี น่าแปลกที่เธอยังคงจดจำ
 
          “จนกว่าจะพบกันใหม่ แอนเดีรย คาดว่าคงไม่นาน” ลันซ่าโค้งคำนับให้อย่างนอบน้อม กำลังจะก้าวขาเดินจากไป
 
          “เดี๋ยวก่อน…….” แอนเดรียกระตุกฮู๊ดคลุมหัวที่ยังเปียกน้ำของลันซ่าจนตัวเขาสะดุดหัวคะมำ“เมืองไหนที่ข้าพอจะหลบซ่อนตัวอย่างปลอดภัยบ้าง ท่านรู้ข้อมูลต่างๆเป็นอย่างดี บอกข้าทีเถิด”
 
 
          “เรื่องนี้ข้าบอกท่านโดยไม่ต้องแลกกับเงินทองอะไรเลยนะ “ลันซ่าหันมาอมยิ้ม
 
          “เราจะเดินผ่านริมน้ำไปทางตะวันตก จะมีต้นโอ๊คต้นใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ และก็แค่เฝ้ารอจนถึงเช้า”
 
          “ทำไมต้องที่นั่น ทำไมต้องรอถึงเช้า” แอนเดรียเริ่มซักไซ้
 
 
          “คำถาม คำถาม และ คำถาม ทำไมท่านต้องถามด้วยล่ะ”
 
*********
 
 
 
                ต้นโอ๊คต้นใหญ่มหึมาลำต้นมีร่องรอยแห่งประสบการณ์ แผ่กิ่งก้านอย่างแข็งแกร่ง มันมีชีวิตเพียงพอที่จะเห็นสงครามและการเข่นฆ่ามาหลายชั่วอายุคน  เสียงนกเหี่ยวหิมะปลุกแอนเดรียให้ตื่นขึ้นพร้อมกับฝีเท้าม้าที่ใกล้เข้ามา
 
 
          “เกราะเงินของ ไอแซค อัศวินองรักษ์ประจำตัวของพ่อท่านนี้สวยตามคำร่ำลือนะ” ลันซ่าพูดเสียงขันๆ
 
          “ไอแซค…….. ท่าน!    เหยี่ยวตัวนั้น ……… กระดาษส่งข้อมูล…..ท่านทรยศข้า”
 
          ไอแซคอัศวินของลาสทรอนขี่ม้าศึกตัวใหญ่พ่วงพีสีดำสนิทตัดกับเสื้อเกราะ  พร้อมกับผู้ติดตามในเกราะเคี่ยวหนังสีน้ำตาลขี่ม้าลาดตระเวณตัวเล็กกว่าม้าศึกของไอแซค  สัญลักษณ์ ค้อนและทั่ง ติดอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายบนเกราะของทั้งคู่ มันเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลลาสทรอน
 
          “เพี๊ยะ…….” ฝ่ามือของแอนเดรียตบฉาดเข้าไปที่ใบหน้าของลันซ่า
 
          ลันซ่าหน้าหันไปด้านซ้ายแล้วจึงค่อยๆหันมาพร้อมกับรอยฝ่ามือสีแดงซีดๆ“ท่านหญิงน้อย สถานที่ ที่ท่านจะไปไม่ว่าที่ไหน ท่านจะดำรงชีวิตอยู่ได้เยี่ยงไร เหรียญทองที่พกมามันคงร่อยหรอเข้าสักวัน หรือท่านอยากจะลองทำอาชีพดึกดำบรรพ์ หญิงงามเมือง มันก็คงง่ายขึ้นนะ แต่ข้าลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว หลังจากเล่าเรื่องของ อันโตนิโอให้ท่านฟัง งานนั้นง่ายกว่าท่านยังไม่สนใจ”
 
          “บังอาจ” “ผลัวะ” สิ้นเสียงพูดหมัดก็ตามมาเข้าที่กรามของลันซ่าอย่างจัง เขากุมคางคู้ตัวงอสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
 
           “เมื่อใช้เหตุผลคุยกันไม่ได้ ท่านก็ใช้กำลัง แน่นอนท่านใช้กับข้าได้ แต่ท่านอย่าลืมตอนที่ท่านชักดาบครั้งล่าสุด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จริงๆแล้วท่านดำรงชีวิตอยู่ได้จริงๆหรือในโลกภายนอกตอนนี้ รอให้ท่านเข้าใจมันมากกว่านี้เถอะ แอนเดรีย มันอาจจะดูน่าเจ็บใจ ความจริงเป็นสิ่งเจ็บปวด แต่ท่านยังไม่พร้อมในตอนนี้ เชื่อข้าเถอะ”
 
          แอนเดรียนึกถึงสายตาเหยียดหยามและเย็นชาของพ่อเมื่อกลับไปที่ปราสาท คำพูดของคนที่พูดต่อๆกันไปมาจากคำพูดก็กลายเป็นเสียงนินทาและค่อนขอด ซึ่งมันเป็นเสียงที่ดังที่สุดในโลกตามที่แม่เฒ่าทูเรว่าไว้  เธอผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองในวันที่ตัดสินใจหนีออกจากปราสาท เมื่อน้ำตาหยดลงบนพื้นไม่ขาดสาย
 
          “ขอบใจเจ้ามาก พ่อค้าเร่ ลอร์ดแห่ง ลาสทรอน จะตบรางวัลเจ้าอย่างงาม” ไอแซคตบบ่าทักทายลันซ่าอัศวินเกราะเงินรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีทองสะท้อนแสงแดด ร่องรอยแห่งการต่อสู้มาโชกโชนพบได้บนใบหน้าของเขา
 
 
          แล้วแอนเดรียก็เริ่มรำลึกได้ถึงความขี้ฉ้อของพ่อค้า เขาได้ทั้งเงินจากพ่อของเธอสร้อยคอหมั้นหมายจากกรีนยาร์ด และยังจะตามไปเอาผ้าคลุมของท่านแม่  นั่นยังไม่รวมไปถึง.......... เธอเอื้อมมือแตะไปที่ริมฝีปากตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ
 
 
          ท่าทีของเขาที่ทำทีเป็นวิ่งหนี จากลา เป็นการชั่งน้ำหนักของเขาอยู่แล้ว เมื่อเขารู้ว่าเธอต้องพึ่งพาเขา ทั้งเจ้าเล่ห์ ลึกลับและลึกซึ้งเธอเริ่มนึกถึงประโยคที่ลันซ่าพูดไว้ ‘ถ้ามองใบไม้ก็จะไม่เห็นต้นไม้   ถ้ามองแต่ต้นไม้ก็จะไม่เห็นป่า ถ้าจะมองต้องมองทั้งหมด’ เธอเริ่มมองไปที่ใบไม้ข้างทางและจินตนาการถึงป่าที่อยู่เบื้องหน้า
 
 
 
 
********
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา