ลันซ่าพ่อค้าแห่งกรีนยาร์ด -Black Merchant-
1) เก้าอี้ในลูกแก้ว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ๑.เก้าอี้ในลูกแก้ว
กลิ่นอับและกลิ่นสัตว์ตายซากเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ซากกระดูกทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่กองระเกะระกะ เสียงน้ำหยดจากชะง่อนหินให้จังหวะ ชวนให้รู้สึกวังเวง ความเงียบและความมืดปกคลุมทั่วบริเวณ ลันซ่าและแอรีสค่อยๆเดินช้ามายังใต้ดินจนเจอถ้ำที่ลึกที่สุดของบริเวณปราสาท แสงนำทางมีเพียงตะเกียงน้ำมันในมือลันซ่าเท่านั้นหินใหญ่ขรุขระซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ทางเดินที่ลึกลับและคดเคี้ยวเงียบจนกระทั่งลันซ่าได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น เมื่อเดินเข้าไปลึกจนเกือบสุดถ้ำ ลันซ่าก็ได้ยินเสียงลมหายใจหนักหน่วงกังวาน แอรีสกุมมือลันซ่าแน่นราวกับจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดพรากมันไป เธอหันไปมองลันซ่าพร้อมกับพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เดินไปสู่ด้านใน ในชุดหนังทะมัดทะแมงราวกับผู้ชาย ผมยาวดำขลับที่มัดไว้แน่นเพื่อการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว สายตาคมเฉี่ยวมีแววฉลาดช่างคิด ไม่ใช่สายตาของสตรีที่เพ้อฝัน แอรีสกระชับคันธนูในมือซ้ายอย่างเฝ้าระวัง ส่วนลันซ่าชายหนุ่มผู้กุมมือเธอไว้สวมใส่ชุดหนังสัตว์สะพายย่ามไว้หลวมๆ นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขากำลังคิดคำนวณเหมือนเช่นทุกครั้งเมื่อมาถึงตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน เสียงลมหายใจหนักหน่วงของสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาย้ำเตือนอีกครั้งว่าไม่ใช่สถานที่ ที่มนุษย์ควรมาเยือน แอรีสมองขึ้นไปบนเพดานถ้ำ สูงขึ้นไป มันถูกเจาะรูพร้อมปิดไว้ด้วยตะแกรงเหล็ก ความถี่ของรูตะแกรงเพียงพอที่จะให้วัวใหญ่ๆตัวนึงสามารถลอดรูมาได้
“มนุษย์รึ สาบไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ตกถึงท้องมานานแล้ว ไหงเจ้าเฒ่าจอห์นไม่หย่อนมาจากข้างบนเหมือนเดิมล่ะ” เจ้าของเสียงหายใจอันหนักหน่วงพูดทักทายลันซ่าและแอรีส
ลันซ่าและแอรีสมองสัตว์โบราณตัวมหึมาที่อยู่ตรงหน้า ผิวและเกล็ดของมันยามต้องแสงไฟในตะเกียงดำมืดราวกับหลุมลึกที่จะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง รูปร่างของมันคล้ายกิ้งก่าเพียงแต่ใหญ่กว่าหลายร้อยเท่าดุดันและอำมหิต นัยน์ตาของมันสีเหลือง ที่หางของมันมีหนามแหลมสีเดียวกับเกล็ดของมัน ขาอันใหญ่โตสี่ขาพร้อมกับอุ้งเล็บ ปีกหนาใหญ่ยังคงหุบ บางส่วนของปีกนั้นเห็นร่องรอยการต่อสู้อย่างโชกโชนเมื่อมีริ้วรอยและรูโหว่บางส่วนบนปีกนั้น ลันซ่าเตรียมตัวที่จะเจอ ‘มังกรเทรกอน’ มาตั้งแต่เริ่มเดินทางแล้วแต่เมื่อเจอตัวจริงของมันเขาถึงกับนิ่งจนอับจนถ้อยคำไปชั่วครู่
“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่ามังกรที่อายุเกินพันปีจะพูดภาษามนุษย์ได้จริงๆ ข้าชื่อลันซ่าเป็นพ่อค้าแห่งสมาพันธ์ ขอได้รับการคารวะจากข้าด้วยท่านเทรกอน” ลันซ่าและแอรีสวางตะเกียงไว้ที่พื้นแล้วจึงรีบคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อม
“มนุษย์หนอมนุษย์ ช่วงชิงทุกสิ่งอย่างแม้กระทั่งภาษา เมื่อพันปีที่แล้วถ้าเจ้าเกิดทันคงไม่พูดเช่นนี้ เจ้าทั้งคู่คงไม่ได้มาเป็นอาหารข้าเพราะไม่ได้ถูกส่งลงมาทางตะแกรงด้านบน ซึ่งเจ้าก็คงรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ลงมาจากตะแกรงย่อมไม่มีชีวิต เจ้าบากบั่นมาหาข้าถึงนี่บนเส้นทางที่น้อยคนนักจะมาถึงและยังเป็นพ่อค้า รีบพูดมาก่อนที่ความหิวของข้าจะมีมากกว่าเหตุผล” มังกรเทรกอนค่อยๆลูกขึ้นยืนขยับร่างกาย ซึ่งแอรีสสังเกตเห็นแล้วว่า ขาหน้าทั้งคู่ของมังกรถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กหนาสีดำและโซ่ทั้งสองเส้นก็ขึงไว้ที่ฐานของหินสีดำทั้งสองด้าน
ลันซ่าล้วงเข้าไปในย่ามด้วยหน้าตายิ้มแย้ม เมื่อล้วงของในย่ามออกมาก็เป็นแค่ลูกแก้วเก่าๆสีขาวใบหนึ่ง”มนต์ไฟของท่าน จะสร้างมูลค่าให้มันได้อักโขและแน่นอนข้าย่อมมีสิ่งตอบแทนให้แก่ท่าน แพะภูเขายี่สิบตัวจะทำให้ท่านอิ่มไปหลายวันเลยทีเดียว ข้าทำการจัดเตรียมไว้ให้ท่านแล้วด้านนอกถ้ำรอแค่สัญญาณจากข้าเท่านั้น”
“น่าสนใจ น่าสนใจนักเจ้าหนุ่ม แพะยี่สิบตัวราคาไม่น่าจะถึงห้าเหรียญทอง ส่วนลูกแก้วเก่าเมื่อโดนมนต์ไฟของข้า นำไปเพิ่มมูลค่าได้มากโข เอาล่ะเจ้าหนุ่มข้าตกลงตามเงื่อนไข” มังกรเทรกอนพยายามกางปีกและสะบัดแต่ติดตรงพื้นที่ ที่ยืนอยู่คับแคบและแออัดด้วยแง่งหิน
“แอรีส เจ้าเดินไปจนถึงจุดส่งสัญญาณนะ ข้าทำธุระเสร็จแล้วจะรีบตามออกไป นับแพะให้ครบด้วยล่ะก่อนส่งมอบ” ลันซ่าหันไปพูดกับแอรีสด้วยความยินดีเมื่อนึกไม่ถึงว่าการเจรจาธุรกิจจะราบเรียบปานนี้
“คราวนี้ถึงเวลาของเจ้าฟังเงื่อนไขของข้าบ้าง” สิ้นเสียงคำรามของมังกรเทรกอน มันจึงโน้มคอไปข้างหลังแล้วเร่งพ่นไฟสีเทาออกมาที่ตัวของแอรีส จังหวะที่กำลังก้าวขาของเธอชะงักค้างและร่างกายเริ่มแปรสภาพเป็นหินจนแข็งอย่างสมบูรณ์
“แอรีส!!!” ลันซ่าไม่ทันตั้งตัวรีบวิ่งไปที่แอรีสด้วยความเป็นห่วง
มังกรเทรกอนหันหัวที่เต็มไปด้วยเขาสีบรอนซ์ขึ้นปกคลุมราวกับหนามแล้วจึงพ่นไฟไปยังตำแหน่งของมือที่ถือลูกแก้วของลันซ่า ครานี้ไฟที่พ่นออกมาจากปากเป็นสีเขียว
“อ๊าก!!!!” ลูกแก้วหลุดจากมือค่อยเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียวอมฟ้า พร้อมกลุ่มควันที่ปกคลุมภายในลูกแก้ว ลันซ่าลงไปนอนกลิ้งใกล้กับขาที่เป็นหินของแอรีส เขามองไปที่มือที่กำลังลุกไหม้ เช่นเดียวกันกับมังกรเทรกอนที่เฝ้ามองไปที่มือของลันซ่าอย่างสนอกสนใจ
“ข้าคิดว่าเจ้าคิดว่าตัวเองฉลาด นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นกันน่ะนะ ข้าก็ไม่ต่างกันหรอกเจ้าหนุ่มไม่อย่างนั้นเจ้าโซ่นี่จะมาตรึงข้าได้ยังไงถูกไหม คำพูดที่หวานหู อำนาจที่ถูกปรุงแต่งด้วยลมปาก อาหารอันโอชะของสิ่งที่คิดว่าฉลาดที่สุดในภิภพ ข้าจะข้ามตอนที่ข้าเจ็บปวดกับคำลวงของมนุษย์ไปก่อนแล้วกันนะ เราจะเริ่มเจรจาธุรกิจกันก่อน ว่าแต่เจ้านี่ก็น่าสนใจไม่น้อยนะ ข้าคิดว่าไฟข้าจะลามไปถึงแขนเจ้าเสียอีก” มังกรเทรกอนส่งสายตาสีเหลืองที่เจ้าเล่ห์และอำมหิตมายังลันซ่า
ลันซ่ามองไปที่มือซ้ายที่ถูกไฟไหม้น่าแปลกที่ไฟยังคงลุกไหม้แต่ไม่ลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เขายืนขึ้นช้าๆเริ่มตั้งสติ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้คือความร้อนของไฟที่มือยังพอทนได้ซึ่งก็น่าแปลกอย่างที่มังกรเทรกอนพูดไว้จริงๆ ความสุขุมเริ่มก่อตัวขึ้นขับไล่ความกลัวและความกังวลในใจของลันซ่าออกไป เขาเริ่มประเมินสถานการณ์ “ข้ารับเงื่อนไขของท่านในเมื่อข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพียงแต่ท่านคงต้องบอกข้าว่า ไอ้กุญแจที่สามารถไขโซ่ที่ตรึงท่านไว้นั้นใครเป็นผู้เก็บไว้”
“ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ เจ้าหนุ่ม ไม่ใช่ซิลันซ่า ข้าเรียกชื่อเจ้าเต็มๆเลยแล้วกัน มนุษย์หลายคนเจอเหตุการณ์ทำนองนี้เข้าไปแล้วยังตั้งสติได้ ข้าว่ามีไม่ถึงสามคนนะ แถมเจ้ายังรู้ความต้องการของข้าก่อนที่ข้าจะพูดเสียอีก น่าชื่นชมและก็น่ารังเกียจในไหวพริบของเจ้าเสียนี่กระไร กุญแจล่ามโซ่นี้ที่เจ้าถามถึงมันได้หายไปพร้อมกับความตายของคนที่เก็บมันไว้นานแล้ว เร็วที่สุดที่เจ้าสามารถทำได้คือเจ้าไปหาคนที่หลอมหินดวงดาวนี้ มุ่งเหนือไปที่’ ตระกูลแห่งทั่งและค้อน’ ให้พวกมันตีอาวุธที่สามารถฟันโซ่นี้ให้ขาดและเมื่อนั้นสาวน้อยคนนี้ก็เป็นอิสระ” มังกรเทรกอนมองมาที่ลันซ่าหน้าตาเรียบเฉยราวออกคำสั่ง
“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเมื่อโซ่ขาดแล้วเจ้าจะไม่ตระบัดสัตย์อีก” ลันซ่าถาม พร้อมกับมองไปที่มือ ไฟที่มือซ้ายของลันซ่าดับไปแล้วบัดนี้เขาเห็นมือเป็นสีดำหนังที่หุ้มไว้ก็เป็นเกล็ดที่คล้ายกับเกล็ดของมังกรเทรกอน เล็บของเขาก็งอกออกมาคล้ายเล็บมังกร
“ข้อแรก เจ้าไม่มีทางเลือก ข้อสอง ข้าไม่เคยตระบัดสัตย์ ลูกแก้วมนต์ไฟที่ข้าตกลงไว้กับเจ้าบัดนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว ส่วนเรื่องหญิงสาวที่มากับเจ้ากลายเป็นหินนั่นเป็นข้อเสนอที่ข้ามีต่อเจ้า” มังกรเทรกอนพูดเสร็จพร้อมกับพ่นไฟสีแดงฉานไปที่หินยึดโซ่ หินสีดำสนิท สีเดียวกับโซ่ไม่สะทกสะท้านกับไฟของมังกร เมื่อเป็นเช่นนั้นมังกรจึงส่ายหัวช้าๆ “ที่ข้าสนใจไม่ใช่แค่สมองของเจ้าเท่านั้นนะ” เทรกอนมองไปที่มือซ้ายของลั่นซ่า
ลันซ่าเอื้อมมือขวาลูบไปที่ใบหน้าของแอรีส ถึงแม้จะกลายเป็นหินไปทั้งตัวแต่เธอก็ยังดูสง่างาม มีชีวิตชีวา ราวกับยังมีลมหายใจ “รอข้านะ แอรีส ข้าให้สัญญาว่าข้าจะรีบกลับมา” เขาหันหลังหยิบตะเกียงที่พื้นแล้วรีบเดินออกไป
“สัญญาที่ให้ไว้กับข้าด้วยนะลันซ่า แพะยี่สิบตัวที่ตกลงกันไว้แลกกับมนต์ไฟ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะของมังกรเทรกอนยังคงก้องอยู่ในหัวของลันซ่าสะท้อนไปมาในถ้ำอันมืดมิด
----------------
แม่เฒ่าทูเร แห่งหุบเขาอิคอนคิกาจัดกระโจมเพื่อรอรับลูกค้าที่มารับการพยากรณ์อย่างเนิบนาบ ตั้งแต่พ่อเฒ่ากัลฟ์ได้จากไปเมื่อห้าปีที่แล้ว คำกระซิบบอกของเธอในคืนอันเหน็บหนาวต่อพ่อเฒ่าไร้ความหมายเธอบอกพ่อเฒ่าหลายต่อหลายครั้งว่าหมาป่าขนสีเลือดในฤดูผสมพันธ์เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งไปแล้ว ไม่ใช่ ‘เรด’ ที่น่ารักของครอบครัวพ่อเฒ่าแม่เฒ่า ความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีในตัวของเพศชายมากกว่าเพศหญิงหรือไร แม้กระทั่งในวัย 70 ปี ในวันที่พ่อเฒ่าอยากรู้อยากเห็นอีกครั้ง คำพูดปลอบประโลมแม่เฒ่าว่าเรดมันคงหิว กระต่ายที่ดักมาได้เยอะเกินไปที่จะแบ่งปันกันสองคนตายาย
ว่ากันว่าขนสีเลือดของมันได้มาจากการดื่มเลือดบรรพบุรษผู้ศํกดิ์สิทธิ์ในฤดูผสมพันธุ์ ดื่มกินอย่างตะกละตระกร ามจนสีของเลือดย้อมขนของพวกมันจนเป็นสีแดงราวกับสีเลือด นิทานที่คล้ายจะหลอกเด็กให้เกรงกลัวไม่เข้าใกล้ฝูงพวกมันช่วงฤดูนี้ยังคงถูกปฏิบัติตามเหมือนจะกลายเป็นกฏของหมู่บ้าน คำสาปในสีขนของมันน่าจะจางหายไปหลายร้อยปีแล้วแม้กระนั้นก็ยังไม่มีใครที่จะกล้ายืนยัน จวบจนกระทั่งถึงวันที่พ่อเฒ่าเปิดประตูฝ่าความหนาวในคืนที่หิมะพัดไหวและดูจะหนาวมากกว่าทุกคืน
เป็นความอยากรู้อยากเห็นครั้งสุดท้ายในชีวิตพ่อเฒ่า เขาแอบย่องออกไปด้วยความเงียบกริบราวกับเงาบาปและเฒ่ากัลฟ์ก็พูดถูกอยู่อย่างในค่ำนั้นว่า ‘เรดมันคงหิว’เสียงคำรามของทั้งฝูง กระชากเนื้อ และเสียงรุมกัดกินทึ้งอย่างตะกละตะกราม ยังก้องอยู่ในหูแม่เฒ่า แม่เฒ่าทูเร ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นเฉกเช่นพ่อเฒ่า บรรพบุรษแห่งเทือกเขาเคยเตือนเอาไว้แล้วว่า เมื่อใดที่หมาป่าสีเลือดได้ลิ้มรสของมนุษย์ เมื่อนั้นความวินาศเหมือนเมื่อครั้งสงครามสามหุบเขาก็ไม่เทียบเท่า สัญชาติญาณดิบดึกดำบรรพ์ปลุกให้มันโหยหากลิ่นเลือดไม่สิ้นสุดเมื่อได้ลิ้มลอง
สงครามสามหุบเขาหกสิบปีที่แล้วเมื่อตอนที่เธอยังเด็ก ความโหดร้ายของสงครามนั้นฝังอยู่ในดวงตาของแม่ ลมหายใจอันรวยรินของพ่อที่ถูกตัดแขนแล้วทนพิษบาดแผลไม่ไหว ผู้คนในหุบเขาเปลี่ยนท่าที่ต่อกันในแต่ละครอบครัว เกลือเป็นอาหารที่โอชะที่สุดของเธอในวัยเด็กและไม่ได้จะมีทานทุกมื้อ สายตาที่เย็นชาของเพื่อนบ้านเมื่อแม่ของเธอไปขอแบ่งเศษเนื้อจากข้างบ้านเพื่อมาต้มซุปให้แม่เฒ่าในวัยเด็กทานในวันที่ป่วยหนัก เธอเห็นน้ำตาของแม่กี่ครั้งกันนะในช่วงเวลานั้น
‘ไม่มียุคสมัยใดที่ผู้ชายไม่ออกเดินทาง’
พ่อของแม่เฒ่าเคยลูบหัวเธอแล้วบอกกับเธอก่อนจะออกไปเป็นทหารอาสาในสงครามสามหุบเขา และเมื่อพ่อเธอกลับมา เธอก็รู้สึกว่าพ่อของเธอยังคงเดินทางอยู่ที่ไหนซักแห่งในพื้นที่สงคราม พ่อกลับมาแค่ร่างกายเท่านั้น
แม่เฒ่าทูเรตัดสินใจเด็ดขาด เธอหยิบของใช้ประจำตัวเท่าที่จำเป็น เสื้อคลุมขนสัตว์หนาพอที่จะผ่านค่ำนี้ได้ของใช้และเสื้อผ้าของเฒ่ากัลฟ์ แม่เฒ่าหยิบมาแค่ผ้าคลุมสีสดใส แดงและ เขียว มีตรงสัญลักษณ์ หมูป่าเขี้ยวตันตัวใหญ่เป็นสัญลักษณ์และ สีประจำตระกูลพ่อเฒ่าเท่านั้น
ดุ้นฟืนจุดไฟในมือขวา ขวานสั้นตัดฟืนในมือซ้ายพร้อมออกเดินทาง แม่เฒ่าพยุงร่างแช่มช้าตีระฆังสัญญาณกลางหมู่บ้าน บอกเล่าเรื่องราวทั้งหลายแก่คนในหมู่บ้านและเคารพการตัดสินใจของคนที่จะอยู่ต่อ โดยตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ปลายทางที่จะไปเพียงแต่ความกลัวนั้นมีมากกว่าความไม่รู้เท่านั้นเอง ในคืนที่หนาวจนฟันกระทบกัน หุบเขาอิคอนคิกาที่เธอได้เติบโตและใช้ชีวิตมาเนิ่นนาน ราวกับไม้ใหญ่ที่ยืนยาม รอบหุบเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ลำต้นหนาสีดำขึ้นเบียดเสียดยาวสุดลูกหูลูกตา กิ่งไม้ของต้นแล้วต้นเล่าสอดพันกับเป็นแพหนาถักทอคล้ายเพดานสอดประสานกันไม่รู้จบ รากไม้ที่คงทนแม้หิมะในฤดูหนาวที่ทารุณโหดร้ายกัดเซาะ เธอรักหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้ รักกลิ่นดินที่อับชื้น ใบไม้เก่าผุทับถมกันจนมีกลิ่นเหมือนเน่า แต่เธอก็ต้องออกเดินทาง
เธออาศัยเกวียนของพ่อค้าสัตว์ที่เข้าใจสถานการณ์และออกเดินทางไปในคืนนั้น ทั้งหมด 65 คนเมื่อเธอถามพ่อค้าสัตว์ว่าเราจะไปที่ไหนในขณะที่เกวียนเริ่มและผ่านป่าสนทั้งสองข้างทางที่มีหิมะคลุมทุกต้น
“นาโคเปีย แม่เฒ่า เราจะไปยังเมื่องหลวงแห่งแดนเหนือ”
น้ำตาของแม่เฒ่าเริ่มไหลรินเป็นทางเมื่อนึกย้อนไปถึงคู่ของเธอที่ร่วมชีวิตกันมาเป็นเวลานานเสียงหมาป่าขนสีเลือดทั้งฝูงหอนอย่างโหยหวนสดับรับกันเป็นจังหวะ คล้ายเพลงสวดส่งท้ายแด่เฒ่ากัลฟ์
*******************
ผ้าคลุมโต๊ะสีแดงตัดสีเขียวพร้อมสัญลักษณ์หมูป่า ปูไว้เพื่อรองรับลูกค้าในกระโจมหลังจากลอร์ดแห่งนาโคเปีย กลับจากการล่าสัตว์ย่อมมีการเฉลิมฉลอง เสียงดนตรี ของมึนเมา และหญิงสาวจากแคว้นอื่นเมืองอื่น ดึงดูดความสัมพันธ์แค่ชั่วข้ามคืนราวมีมนต์สะกด ผู้คนเสพขนมหวานที่เรียกว่าบาปอย่างอิ่มเอม
หลังจากที่เกลือ เหล็กและไม้ ถูกลดภาษีลงที่เมืองนาโคเปีย การลักลอบนำของเถื่อน การค้าทาส บทกวีที่ถูกลำนำขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ทำให้นาโคเปียกลายเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ ช่วยให้ท่านลอร์ดหลับฝันดีและยิ้มกว้างขึ้น กระโจมของแม่เฒ่าถูกตั้งขึ้นมาลวกๆ ในบริเวณรอบปราสาทกำแพงชั้นนอก ส่วนกำแพงชั้นในประดับประดาไปด้วยธงรูปอินทรีย์ ตัวผืนของธงเป็นสีขาวราวน้ำนม ส่วนตัวสัญลักษณ์อินทรีย์ก็เป็นสีแดงสด หอคอยทั้งหลายรอบปราสาทถูกก่อด้วยอิฐสีแดง และหอคอยที่สูงที่สุดของปราสาททางด้านตะวันตกนั้นก็คือ หอปีกแดง ของบุตรเจ้าของปราสาทแห่งนี้ แม่เฒ่าเคยเข้าไปพยากรณ์ในการให้กำเนิดบุตรคนแรกของลอร์ดผู้เป็นเจ้าของ เธอพูดว่าเป็นบุตรและเธอโทษลูกแก้วของเธอในความแม่นยำเมื่อบุตรีเป็นคนแรกที่ถือกำเนิดมา แม่เฒ่าไม่เคยได้ย่างกรายเข้าไปในปราสาทอีกเลย กำแพงรอบนอกของปราสาทต่างหากที่การแข่งขันนั้นเข้มข้น พ่อค้าเครื่องเทศจากเมืองใต้ต่างแข่งกันตัดราคาเมื่อลูกค้ามือเติบของฝั่งเหนือต้องการเครื่องเทศที่ให้ความเผ็ดร้อนจำนวนมากเพื่อผ่านพ้นฤดูหนาว โสเพณีในตรอกลิลลี่ยิ้มแย้มใบหน้าพอกแป้งหนาและปากแดงที่ส่วนใหญ่จะเห็นพวกเธอในเวลากลางคืนเท่านั้น พวกเธอสวมผ้าบางที่เจ้าของสถานที่ลงทุนเปลี่ยนให้ครบคนด้วยผ้าไหมหลากสีสัน นุ่มลื่น ละมุนละไม แทนที่ผ้าฝ้ายหยาบ กลิ่นของพวกเธออบอวลไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ พ่อค้าเนื้อที่อวดสรรพคุณของรสชาติเนื้อของตัวเองในแต่ละร้าน ผลไม้ฤดูร้อนราคาย่อมเยา คณะละครสัตว์ที่ตัวละครชูโรงเป็นคนแคระสามคน
แม่เฒ่ามองตัวเองในกระจกโบราณร่องรอยแห่งประสบการณ์และความหม่นหมอง จมูกที่ยาวแหลมใหญ่ไม่น่าดู ผ้าคลุมทำจากผ้าฝ้ายหยาบๆ รัดเอวไว้ด้วยหนังสัตว์สีดำ สร้อยที่ห้อยจากสำริดเป็นลวดลายดวงตา ตั้งแต่ออกจากหุบเขาอิคอนคิกา แม่เฒ่าก็รู้สึกว่าเธอแค่เปลี่ยนที่จากหุบเขาหนึ่งมาสู่หุบเขาหนึ่งเปลี่ยนจากชาวไร่ชาวนา ดักสัตว์ยังชีพไปวัน ๆ มาเป็นที่ปรึกษาทางจิตใจหรือแม่เฒ่าพยากรณ์ตามที่ผู้คนเรียกขาน
ลูกแก้วพยากรณ์ที่เก่าคร่ำคร่า ไม่ได้ดึงดูดใจผู้คนเท่าไพ่พยากรณ์ของอีกกระโจม หรือ พยากรณ์ด้วยไฟของอีกกระโจม กำลังใจจากวันแรกที่มาเยือน ศาสตร์แห่งการทำนายที่เธออุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอดในสังคมมันกำลังกัดกินตัวแม่เฒ่าอย่างช้าๆ ราวกับเขี้ยววาวเรืองของหมาป่าขนสีเลือด แม่เฒ่าเหนื่อยเกินกว่าที่จะออกเดินทางอีกครั้งแล้ว เธอถอนหายใจเสียงต่ำ บ่นพึมพำถึงเฒ่ากัลฟ์ พร้อมกับวางลูกแก้วเก่าโบราณไว้บนแท่นไม้
“เอาลูกนี้ดีกว่า แม่เฒ่า”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำ สวมมาปิดถึงหัว ทำให้มองหน้าตาเห็นไม่ถนัดนัก ในมือซ้ายของเขาสวมถุงมือหนังตุ่นสีดำ ในมือนั้นถือลูกแก้วสีเขียวใสอมฟ้า ขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือชายหนุ่มพอประมาณแม่เฒ่าไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ในกระโจมของเขา และลืมคิดไปเลยว่าเขา เข้ามาตั้งแต่เมื่อใด
“โอ…..ลันซ่าในที่สุดเจ้าก็มา”
ชายร่างสูงโปร่ง ปิดบังโฉมหน้าด้วยการนำฮู๊ดมาคลุมปิดบังและยืนอยู่ในจุดที่แม่เฒ่าไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนมากนัก
แม่เฒ่าน้ำเสียงแหบพร่ายังคงไว้ซึ่งความร่าเริง สายตาแห่งความมุ่งมั่นกลับมาเฉกเช่นเมื่อครั้งทำกับดักล่ากระต่ายมือที่สวมถุงมือของชายหนุ่มสั่นระริกทั้งที่น้ำหนักของลูกแก้วก็ไม่น่าที่จะหนักมากในที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจจับมันไว้ทั้งสองมือ โดยที่อีกมือหนึ่งเป็นมือเปล่าที่ไม่ได้สวมถุงมือเอาไว้เขาค่อยๆเดินไปหาแม่เฒ่าช้าๆ พร้อมกับวางมันลงที่แป้นไม้ แทนที่ลูกเก่าใบเก่า
“มันสวยเหลือเกิน ลันซ่า ดูราวกับ ออบซีเดียน* เพียงแต่มันมีสีเขียวอมฟ้าเท่านั้น….. แล้ว … นั่น ทำไมถึงมีควันจางๆ โผล่ขึ้นมาในลูกแก้วล่ะ ลันซ่า? “
“มันทำปฏิกิริยากับ หนังหรือร่างกายของสิ่งมีชิวิตน่ะแม่เฒ่า”ลันซ่าพยายามหลบตาแม่เฒ่า กลัวที่จะโดนพายุคำถามระดมมาอย่างไม่ขาดสาย
“แกรนิตแก้วในตำนานของมังกรเทรกอน ไม่อยากเชื่อ!! ของอย่างนี้เจ้าไปหามาได้อย่างไรลันซ่า?”
ห้าปีใน นาโคเปียราวกับห้องสมุดโลกเพิ่มพูนความรู้ให้แม่เฒ่าทูเรยิ่งนัก จาก ออบซีเดียน มาถึงแกรนิตแก้วเขียวลันซ่าคาดไม่ถึงว่าแม่เฒ่าจากหุบเขาอิคอนคิกาไกลผู้ไกลคนจะรู้ถึงข้อมูลพวกนี้ เขาเองต้องประเมินเสียใหม่แล้วว่าสถานะพ่อค้าตลาดมืดที่มีชื่อเสียงอาจจะโดนเด็กรุ่นหลังขับเคี่ยวและแซงในไม่ช้า ข้อมูลจะมาจากที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่พ่อค้าในเมืองนี้
“แม่เฒ่ามีวิธีการพยากรณ์เป็นศาสตร์อย่างไร ผมก็มีวิธีการเอาของที่หายากมาอย่างนั้นแหล่ะ”ลันซ่าพูดในขณะที่คู่สนทนาของเขากลับเอาแต่จ้องมองไปที่ควันในลูกแก้ว
“รูปร่างควันในลูกแก้ว มันดูคล้ายๆเก้าอี้นะ ไหนดูใกล้ๆซิ “
มือแม่เฒ่าเผลอไปจับที่ลูกแก้วอย่างไม่ตั้งใจ พร้อมทั้งควันในลูกแก้วที่เห็นเป็นรูปร่างคล้ายเก้าอี้มลายหายไป และเริ่มก่อตัวขึ้นมาใหม่ คราวนี้แม่เฒ่ามองเห็นมันเป็นรูปเหรียญกองกันเป็นแนวยาวตั้งสูง
“อย่าไปใส่ใจมากเลยแม่เฒ่า กลหลอกเด็กน่ะ รูปร่างของควันมันก็เปะปะไปทั่ว แค่นี้ก็ทำให้ผู้คนที่ใช้บริการแม่เฒ่าตื่นตาตื่นใจมากพอแล้ว”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ราคาก็คงไม่แพงมากซินะ ลันซ่า” แม่เฒ่าพูดแบบมีนัยยะ น้ำเสียงเหมือนมีความเป็นต่อในการเจรจาอยู่
ลันซ่าจ้องมองดูมือข้างซ้ายที่สวมถุงมือหนังสัตว์แล้วบอกเสียงเรียบๆ ไร้ซึ่งความเป็นกันเองแบบที่ผ่านมา“22 เหรียญทองคำ ไม่ขาดไม่เกิน ไม่ลดด้วยครับแม่เฒ่า”
แม่เฒ่ายิ้มพร้อมแค่นเสียงเฮอะในลำคอ “กลหลอกเด็ก ช่างราคาสูงเสียนี่กระไร”ลันซ่าอับจนถ้อยคำก้มหน้าลงต่ำ กระดิกขาอย่างรวดเร็วเริ่มใช้ความคิด “แต่เอาเถอะ ลันซ่า จะบอกว่ากลหลอกเด็ก หรือมนต์ไฟ ของเทรกอน ที่สามารถทำนายอนาคตได้ด้วยควัน มันก็คงจะหาเหรียญทองในอนาคตให้ข้าได้มากโข”
“แม่เฒ่าจะเอาเงินไปทำไมมากมาย ในเมื่อ………” ลันซ่ายั้งคำพูดประโยคสุดท้ายไว้ แต่คงไม่ทันในการตีความ
“เราทั้งคู่มันก็คือพ่อค้านั่นแหล่ะลันซ่า เจ้าขายของที่คนเขาหายาก ส่วนข้าก็แม่ค้าขายความเชื่อ เราสนิทกันมากพอที่จะบอกเรื่องส่วนตัวกันแล้วหรือ ข้าเคยถามเจ้าหรือไม่ว่า เงินทองที่หามาเจ้าจะเอาไปทำอะไร?”
“ความลับกับความจริงบางครั้งก็ยากที่จะเอื้อนเอ่ย ท่านพูดถูกต้องเลยทีเดียวแม่เฒ่า ข้าขออภัยที่เสียมารยาทถาม”
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรเสียข้าก็ไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายลูกแก้วใบนี้หรอกนะลันซ่า”ลันซ่าอ้าปากค้าง ชะงักในคำตอบของแม่เฒ่าเจ้าเล่ห์ ไม่นานนักแม่เฒ่าก็เริ่มร่ายมนต์ด้วยคำพูด
“แต่ข้าจะจ่ายเจ้า ด้วยผ้าคลุมโต๊ะผืนนี้” แม่เฒ่าทูเรผายมือไปที่ผ้าคลุมบนโต๊ะทำนาย
ลันซ่าค่อยๆยกแป้นไม้ออกเพื่อดูลายของผ้าคลุมให้ชัดเจน สีเขียวและแดง พร้อมสัญลักษณ์หมูป่าที่ถูกปิดไว้ใต้ฐานแป้นไม้พอดิบพอดี ผ้าคลุมดูเก่าแก่ ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ ลันซ่ามองปราดเดียวจึงค่อยๆยิ้มออกมา
“ท่านรู้จักกับ กัลฟ์ นาริสตัน ด้วยหรือแม่เฒ่า?”
“เขาคือสามีข้าที่ตายไปแล้ว เพราะความอยากรู้อยากเห็น” แม่เฒ่าพูดเสียงเศร้า
“ในอดีตเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น น่าจะก่อนที่จะเจอท่าน และท่านก็รู้ เพราะมูลค่าของผ้าคลุมนี้มัน…….”
“เขาเคยบอกข้าครั้งนึง ในตอนที่เหล้าเอลตกถึงท้องและหน้าเขาแดงราวเชอรี่ป่า”
“เอาล่ะข้าเข้าใจแล้วแม่เฒ่า ตราชั่งในหัวข้าเริ่มทำงาน เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผ้าคลุมนี้มีราคาประมาณ 15 เหรียญทอง เมื่อเทียบกับลูกแก้วที่ข้านำมาให้ท่านแล้วยังคงขาดอยู่ 7 เหรียญทอง ส่วนที่ขาดหายท่านจะจ่ายด้วยสิ่งใด”
“ผ้าคลุมนี้ มีราคา 20 เหรียญทอง โกลโด้พ่อค้าเร่เคยมาตีราคาเมื่อเดือนที่แล้วแต่เขายังไม่ตัดสินใจซื้อ” แม่เฒ่ายื่นคำขาด
ลันซ่านึกในใจ นั่นไงเจ้าโกลโด้พ่อค้าเร่อีกแล้ว ลันซ่าคาดเดาไม่ผิดเลย ช่วงนี้คงหากินยากหน่อยเมื่อคู่แข่งทางการค้าเริ่มคืบคลานเข้ามายังพื้นที่ค้าขายของเขาทีละน้อย
“เอ่อ นั่นก็ยัง…..ขาดอยู่สองเหรียญทองล่ะนะ” ความจำเรื่องขุมทรัพย์โบราณของลันซ่ายังคงดีอยู่ตำนานผ้าคลุมของตระกูล นาริสตันที่นำมาต่อกันสี่ผืน แผนที่สมบัติเก่าแก่ในยุคของ ‘ราล์ฟ นาริสตัน ผู้ตระหนี่’ ก็จะเผยโฉมออกมาให้ประจักษ์ ถ้าเจ้าโกลโด้มาติดต่อตีราคาเดือนที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ไปแสดงว่าโกลโด้ยังไม่ได้สามผืนที่เหลือ ในขณะที่ลันซ่ากำลังครุ่นคิดถึงกำไรและขาดทุนในการทำธุรกิจ หันหลังให้กระโจมเพื่อตรวจดูผ้าคลุม
หญิงสาวแต่งกายมิดชิดในชุดเกราะอ่อนเคี่ยวหนัง สะพายดาบเหล็กกล้าด้ามจับสั้นไว้ที่เอว ดวงตาเธอสีเขียวสด จมูกเธอเชิดรั้ง ปากกระจับได้รูป สวมผ้าคลุมหัวปิดบังเช่นลันซ่า เธอรีบวิ่งเข้ามาในกระโจม สร้อยห้อยคอรูปมังกรแกว่งไกว สายตาเธอมองเห็นชายในผ้าคลุมสีดำ ด้านหลังของผ้าคลุมมีตราสัญลักษณ์รูปตราชั่งด้านซ้ายถูกชั่งไว้ด้วยพระอาทิตย์ ส่วนด้านขวาถูกชั่งไว้ด้วยพระจันทร์ พื้นหลังตราชั่ง คลอบคลุมไปด้วยลายระยิบระยับของดวงดาว
“เราขอยืมเสื้อคลุมตัวนี้ของท่าน ไม่เกินชั่วธูปไหม้ ด้วยเงิน 40 เหรียญเงิน หญิงสาวพูดด้วยความเร่งร้อน ลันซ่าหันมามองที่เธอ สายตามองเห็นทั้งดวงตาสีเขียวสด และสร้อยห้อยคอ
นอกจากเสียงของหญิงสาวที่เรียกลันซ่าให้หันมาดูแล้ว ลันซ่าก็ได้ยินเสียง ไม่น่าจะห่างออกไปเกินสี่กระโจม ‘เร็วรีบตามหาก่อนที่จะหายเข้าไปในขบวน’
คิ้วข้างซ้ายของลันซ่าเลิกขึ้นมา พร้อมตราชั่งในหัวเริ่มทำงานอีกครั้ง เขาปลดที่คลุมหัวออกและหญิงสาวก็เห็นหน้าเขาชัดเจน ชายหนุ่มที่คาดเดาอายุไม่ถูก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทั้งที่หน้าผาก แก้มและคาง นัยน์ตาสีฟ้าซีดดูหม่นหมองและเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
“2 เหรียญทอง ข้าให้ท่านยืมทั้งผ้าคลุม ทั้งแผลเป็นปลอม และแป้งข้าวสาลีหมักอมไว้ในปากให้รูปหน้าเปลี่ยน”
ลันซ่าหันไปหาแม่เฒ่าที่ยิ้มออก 2 เหรียญทองจากลูกค้าคนแรกในกระโจมของแม่เฒ่า ก็เหมาะสมดีเสียงคนนอกกระโจมสองสามคนเริ่มกระชั้นชิด ฝีเท้าใกล้เข้ามา หญิงสาวทำหน้าหวั่นวิตกจึงรีบตัดสินใจ
“ตกลง” หญิงสาวตอบรับคำอย่างรวดเร็ว
ลันซ่าถอดผ้าคลุมออกแล้วรีบโยนให้หญิงสาว ตามด้วยข้าวสาลีหมักในกระเป๋าหนัง แล้วจึงรีบลอกแผลเป็นบนใบหน้าออกมาจนครบห้าชิ้น เมื่อแผลเป็นถูกลอกออกจากใบหน้าหญิงสาวจึงเริ่มเห็นหน้าตาที่แท้จริงของชายหนุ่มเขาน่าจะอายุยี่สิบต้นๆ ไม่ก็สิบปลายๆ ผมสีดำขลับ สง่างามและดูลึกลับไปในคราวเดียวกัน
“และยังแถมพยากรณ์ฟรีจากแม่เฒ่าทูเร ที่แม่นยำที่สุดใน นาโคเปีย” ลันซ่าต่อประโยคให้จบ
แม่เฒ่าหุบยิ้มเมื่อต้องสูญเสียรายได้จากการพยากรณ์ไปฟรีๆ หนึ่งครั้ง
หญิงสาวเข้าใจสถานการณ์รีบนั่งบนเก้าอี้ไม้หันหลังให้กระโจม จัดวางแผลเป็นบนหน้าเสร็จสรรจแล้วจึงมองนั่งนิ่งมองไปที่ลูกแก้วสีเขียวอมฟ้า แม่เฒ่าก็เพิ่งจะสังเกตนัยน์ตาสีเขียวของหญิงสาว มันคล้ายกับสีของลูกแก้วเสียเหลือเกิน เมื่อแม่เฒ่าบอกให้หญิงสาวยื่นมือมาสัมผัสลูกแก้ว เธอทำตามอย่างช้าๆพร้อมทั้งหลับตาภาวนาในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด
ชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามาในกระโจม แต่วตัวคล้ายกับทหารรักษาเมือง สวมด้วยชุดผ้าทอสีน้ำตาลเข้มสะพายดาบสัญลักษณ์อินทรีย์ตรงหัวด้ามจับไว้ที่ข้างตัว
คนแรกที่ตัวสูงกว่ามองไปรอบๆ กระโจม แม่เฒ่ายังคงสงบนิ่ง ส่วนลันซ่าโบกมือทักทายชายทั้งคู่ช้าๆและยิ้มตอบชายคนแรกหน้าถมึงทึงเพ่งมองไปยังที่นั่งพยากรณ์ เขามองเห็นแค่คนนั่งใส่ผ้าคลุมสีดำลายตราชั่งหันหลังมาที่เขาในขณะที่กำลังจะเข้าไปเพื่อตรวจสอบชายคนที่สองก็พูดราวกับเสียงกระซิบบอกชายคนแรก
“ผ้าคลุมสมาพันธ์พ่อค้า ด้านซ้ายเป็นดวงอาทิตย์ ด้านขวาเป็นดวงจันทร์ และดวงดาวที่ล้อมรอบตราชั่งมีทั้งหมด 13 ดวง”
“แล้วมันยังไงวะ?” ชายคนแรกถามด้วยความสงสัย
“มันหมายความว่าอย่าได้ทำอะไรให้เป็นที่ระคายเคืองของท่านเลย เอ็งคงเข้าใจที่ข้าพูดนะ”
ชายคนแรกเริ่มระลึกได้ในเรื่องสัญลักษณ์ผ้าคลุมพ่อค้าส่วนใหญ่จะเป็น ข้าวสาลี ปลา เนื้อ ไม้ เหล็ก และข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป ที่จะไปอยู่บนที่ชั่งทั้งสองของตราชั่ง แต่ผ้าคลุมผืนนี้กลับเป็น อาทิตย์และจันทร์ แถมมีดาวอีก 13 ดวงพ่วงเข้าไปด้วย
ชายทั้งคู่โค้งคำนับส่งเสียง ขออภัย และเดินจากไปเงียบๆ โดยที่คนในผ้าคลุมก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ จนลันซ่าเริ่มทำลายความเงียบนั้น
“เอาล่ะ พวกนั้นออกไปหมดแล้วเอาผ้าคลุมคืนข้าได้แล้ว ข้าวสาลีหมักไม่ต้องนะ แผลเป็นยังจำเป็นขอคืนด้วย”
หญิงสาวหันมาและเธอจึงได้เห้นหน้าตาของชายหนุ่มอย่างชัดเจน เธอไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่ามองเขาแล้วมีอาการเขิน แค่ชั่วครู่จึงปรับเสียงให้ดูเป็นทางการ“ข้าได้ใช้แค่ผ้าคลุมของท่าน ส่วนข้าวสาลีหมัก และแผลเป็นไม่ได้ใช้เลย ดังนั้น 1 เหรียญทองคงเพียงพอ”
วันนี้เป็นวันอะไรกันนะเนี่ยลันซ่าเริ่มคิด เริ่มจากการที่ถูกโก่งราคาสินค้าในการแลกเปลี่ยนเพราะเจ้าโกลโด้ ถูกต่อรองจากหญิงสาวที่ดูน่าจะถูกตามใจตั้งแต่ยังเด็ก ท่าทางคงรั้นน่าดู สร้อยคอรูปมังกรนั่นเตะตาลันซ่าเสียจริงและเมื่อลั่นซ่ามองไปถึงดวงตาสีเขียว บางส่วนของเส้นผมสีแดงที่เล็ดรอดมาตามผ้าคลุมจึงเริ่มคิดอุบายได้
“เงิน 2 เหรียญคงไม่ทำให้ ท่านหญิงน้อย แอนเดรียแห่งตระกูล ลาสทรอน ระคายเคืองกระมัง?”
“เจ้า!!!” แอนเดรียตื่นตระหนกกับความลับที่เธอเก็บงำชี้หน้าไปที่ลันซ่า
“ท่านหญิงน้อย ยังไงเสียฝนมันก็ยังคงตกอยู่วันยังค่ำ ไม่วันนี้ก็เดือนหน้า เช่นเดียวกันกับตัวท่านวัยเด็กนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว บิดาของท่านหมายหมั้นกับคู่ที่ท่านคู่ควรเมื่อถึงวัย เหตุใดจึงกลัวเปียก”
“เจ้าไม่ใช่พอข้า ไม่ต้องมาเทศน์ เจ้ามันก็แค่พ่อค้าขี้ฉ้อ ค้ากำไรเกินควรแค่นั้น”
“ที่พูดมาไม่ผิดแม้แต่น้อย ข้าเป็นพ่อคำ กำไรขาดทุนถือเป็นที่สุด ท่านน่าจะรู้ว่าบิดาของท่านยอมจ่ายทองที่เพียงพอจะซื้อทาสทางใต้ได้เกือบห้าสิบคน ถ้าเพียงแต่มีคนพาท่านหญิงน้อยกลับเมือง”
“ท่านกล้า!!!” แอนเดรียชักดาบแล้ว เหล็กจากดาบแวววาวทอประกายเป็นแสงสีเงินและสีเขียวจากเหล็กมิธริล*
“ดาบดี คนงาม เพียงแต่ข้าเป็นพ่อค้า สนามของข้าอยู่ที่ตลาดด้านนอกนู่น อาวุธของข้าคือการเจรจาไม่ใช่การห้ำหั่น โปรดเก็บดาบก่อนท่านหญิง สร้อยคอที่ท่านห้อยคออยู่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ข้าสนใจมันมากกว่าการนำตัวท่านส่งกลับให้บิดาของท่านเสียอีก เพียงแต่คุยกันตรงนี้มันออกจะ……..”
แม่เฒ่ายื่นผ้าคลุมของกัลฟ์ให้ลันซ่า เธอแบมือไปทางแอนเดรียพร้อมกับเริ่มพูดหลังจากฟังบทสนทนามาเนิ่นนาน“2 เหรียญทอง ท่านหญิงน้อย ท่านคงรู้ว่า เสียงที่ดังที่สุดนั่นคือนินทาและค่อนขอดนั่นเอง”
“ข้าไม่เคยเข้ามาในกระโจมท่านมาก่อนและท่านไม่เคยเห็นข้า” แอนเดรียมองหน้าแม่เฒ่านิ่ง
“ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน และปากของข้าปิดสนิทแนบแน่น” แม่เฒ่ารับปาก
แอนเดรียพยักหน้ากับลันซ่าที่เฝ้ามองเงิน 2 เหรียญทองในมือแม่เฒ่าอย่างเสียดายอย่างไรเสียลันซ่าก็คิดว่ามูลค่าสินค้าสามารถเพิ่มเติมได้ในอนาคตเมื่อติดตาม แอนเดรีย
ทั้งคู่เดินออกไปจากกระโจมพยากรณ์ แสงแดดเริ่มส่องเข้ามาแล้วแม่เฒ่าจุดเทียนหอม แล้วจึงเริ่มสังเกตควันในลูกแก้ว รูปร่างก่อตัวทิ้งไว้นานแล้วหลังจากเจ้าหญิงแอนเดรียสัมผัส
มันเป็นรูปร่างเดียวกันเมื่อ มือของลันซ่าสัมผัสมันเป็นครั้งแรกมองแบบผ่านๆ รูปร่างของควันนั้นคล้ายเก้าอี้จริงๆ อย่างที่เห็นแต่เมื่อมองอย่างเพ่งพินิจ รูปร่างของเก้าอี้นั้นเริ่มมีลายละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้นจะเรียกว่าเก้าอี้ก็คงจะเล็กเกินไป หรูหราเกินไปและอันตรายเกินไปที่จะนั่ง
“บัลลังก์กุหลาบแห่งกรีนยาร์ด!!!!!!”
เสียงแม่เฒ่าทูเรพูดลอยออกมาแล้วจึงรีบปิดปากสนิทหลังจากนั้นจึงได้ยินแค่เสียงเหรียญทองกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งในกระโจมของแม่เฒ่า
**************
เกร็ดท้ายเรื่อง
*ออบซีเดียน : หินออบซิเดียน (Obsidian) เกิดจากการระเบิดอย่างรุนแรงของภูเขาไฟ เกิดจากหินหนืดที่มีซิลิกาสูงมากทำให้มีความหนืดสูง ทำให้เกิดการอัดตัวของแก๊สและกลายเป็นสาเหตุของการระเบิดที่รุนแรง ทำให้ลาวาแข็งตัวลงอย่างรวดเร็วผลึกแร่จึงไม่มีเวลาตกผลึก จึงเป็นหินที่มีผลึกเล็กมากหรือแทบไม่มีผลึก ลักษณะคล้ายแก้ว หินออบซิเดียนจึงถูกเรียกว่าแกรนิตเนื้อแก้ว ลักษณะหินมักมีสีดำเนื้อหินละเอียด มีความแข็งและขอบคม ในยุคโบราณมีการนำหินออบซิเดียนมาทำเป็นใบหอก ในหินออบซิเดียนที่สัมผัสกับน้ำก็จะทำให้เกิดผลึกเส้นใยสีขาว กระจายคล้ายเกล็ดหิมะ *มิธริล : มิธริลเป็นโลหะที่ใช้ในการทำอาวุธ และเครื่องป้องกัน เช่น ชุดเกราะ หมวก หรือ โล่ โดยอาวุธและเครื่องป้องกันที่ทำจากโลหะมิธริล มีลักษณะเป็นสีขาวถึงสีเงิน โดยมิธริลสามารถหามาได้จากเหมืองแร่มิธริล
สกุลเงิน:
100 ทองแดง = 1 เงิน
100 เงิน = 1 ทอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ