นางพญาปิศาจจิ้งจอก
8.0
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12.18 น.
21 ตอน
11 วิจารณ์
29.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 16.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ตอนที่ 3 แต่งงาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 3 แต่งงาน
เป็นเวลาเจ็ดวันที่ ตาลจีไม่ได้ไปที่ชายทุ่ง
ไม่ใช่เป็นเพราะว่ากำไลเป็นของปลอม ไม่ใช่เพราะว่ามารดาเลี้ยงของนางกักตัวนางไว้ ไม่ใช่เพราะว่านางมีธุระอื่นใด และไม่ใช่เพราะว่านางไม่ได้คิดถึงสินธุราชกัณฑ์
แต่เป็นเพราะนางต้องการพิสูจน์ว่า สินธุราชกัณฑ์ มีค่าควรพอที่นางจะยินดีเป็นภรรยาหรือเปล่าต่างหาก
หากแม้นว่าวันนี้นางไปที่ชายทุ่งแล้วสินธุราชกัณฑ์ไม่อยู่ นางก็จะได้รู้ว่า สินธุราชกัณฑ์ก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่มีแต่คำลวงสอพลอเท่านั้น
แต่เมื่อนางไปถึง ตาลจีก็พบชายหนุ่มหน้าตาคมสันคนเดินนอนบนเตียงดอกไม้กลางชายทุ่งนั้น
“ราชกิจอันใด พระองค์มิทรงกระทำหรือประการใด ไยมานอนเล่นอยู่บ้านนอกชนบทเช่นนี้”
สินธุราชกัณฑ์ผงกตัวขึ้นแลมองตามเสียงไป เมื่อเห็นตาลจีสินธุราชกัณฑ์ก็รีบยืนขึ้นและเชิญตาลจีนั่งลงบนเตียงดอกไม้ที่ตนเองทำไว้
“เรานึกว่า นางคงไม่มาอีกแล้ว”
“หากนึกว่าไม่มา ไยพระองค์มานั่งนอนรอฉะนี้”
“เรานั้นแม้จะรู้ว่านางไม่มาแล้ว แต่ไม่อาจหักห้ามใจจากที่ๆเราพบกันครั้งแรกได้ นางพรากดวงใจเราไปเมื่อแรกพบ อันชีวิตจะขาดดวงใจนั้นมิได้ หากว่าเราจะขาดใจตายด้วยพิษรัก เราก็ขอตายลง ณ ตรงที่เราได้พบรักแรกนั้นแล”
ตาลจียิ้มด้วยคำหวานปลอบประโลม
“ช่างน่าแปลก ที่พระองค์ไม่ใส่ใจกับราษฎร แต่มาห่วงเอากับสตรีแคว้นอื่นดังนี้”
“อันว่าแรงเสน่หานั้น ย่อมอ่อนโอนราชสีห์ได้ฉันใด เราไม่ได้ผิดแผกจากคำกล่าวนั้น แม้น นนทก ที่มีนิ้วเพชรที่มีฤทธิ์สังหารเทวดาได้เพียงชี้นิ้ว แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อความงามของนางอัปสรนั้นเล่า อันตัวเราเป็นเพียงมนุษย์เดินดิน ไหนจะสิ้นซึ่งความหลงนั้นเล่า หากแต่นางเป็นยิ่งกว่านางอัปสรนั้น คืองามกว่าแลมิได้จำแลงมาเพื่อเสแสร้งแกล้งเรา แม้นหากว่านางเป็นห่วงราษฎรแห่งเราจริงก็ขอเชิญสู่แคว้นเราเพื่อเป็นพระแม่แคว้นสินธุเถิด”
“เล่ห์ลิ้นพระองค์คมปานนี้ คงคิดในวันที่ว่างรอข้าพระองค์กระมัง”
ตาลจีและสินธุราชกัณฑ์ สนทนาหัวร่อต่อกระซิกกันเลยจนถึงยามเย็น แล้วตาลจีก็กลับบ้าน
“พระองค์มานอนตากแดดตากลมเช่นนี้จะมิได้ลำบากพระวรกายหรือ” ตาลจีถามขึ้นในวันรุ่งขึ้นที่ไปถึงชายทุ่ง
สินธุราชกัณฑ์หัวเราะแล้วนอนลงกับเตียงดอกไม้นั้น “เรานั้นชอบนอนดูดาวในยามค่ำคืนที่สวยงาม แม้นจะเป็นรองก็แต่เพียงนางเท่านั้น แต่ที่เราชอบที่สุดคือการมองเมฆต่างหากเล่า”
“การมองเมฆมีสิ่งใดน่าพิสมัยหรือเพคะ”
เจ้าชายยิ้มแล้วชี้ไปยังก้อนเมฆต่างๆแล้วบอกว่าพระองค์เห็นสิ่งใด ตาลจีฟังและยิ้มขำในความเพ้อฝันของเจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะค่อยๆล้มตัวและนอนข้างๆเจ้าชายพลางฟังเจ้าชายบอกเล่าเรื่องราวของก้อนเมฆ
“เห็นก้อนนั้นไหม ที่จับกลุ่มกันสี่ก้อน นั่นคือ เราทั้งสองลูกของเราอีกสองคนไงเล่า”
“เป็นโอรสหรือธิดาเพคะ”
“โอรสหนึ่ง ธิดาหนึ่งไงเล่า แล้วนั่น” เจ้าชายชี้ไปยังเมฆที่เป็นรูปคล้ายๆม้า “ในวันที่โอรสของเราเติบโตขึ้น เขาจะมีพาหนะคู่ใจเป็นม้าสีขาวขนละมุนราวเมฆก้อนนั้น”
ตาลจีนอนและเหม่อมองท้องฟ้าอย่างสบายใจ ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลางมองดูก้อนเมฆและฟังเรื่องราวของก้อนเมฆที่บอกเล่าอย่างไม่รู้จบสิ้นของเจ้าชาย จนถึงพลบค่ำ
“เป็นเรื่องเล่าที่หาสาระอันใดมิได้เลยเพคะ” ตาลจีบอกกับสินธุราชกัณฑ์หลังจากหัวเราะคิกคักกับเรื่องราวของเจ้าชาย สินธุราชกัณฑ์ยิ้มอย่างพอใจและมองนวลหน้าของตาลจีอย่างรักใคร่
“ตาลจี...... เจ้าจะเป็นชายาให้เราได้หรือไม่” สินธุราชกัณฑ์จับมือของตาลจีแนบอก
ตาลจีหน้าแดงก่ำหัวใจเต้นแรง แสดงท่าเอียงอายไม่ยอมตอบคำถามและพยายามดึงมือกลับ แต่มือที่ใหญ่แลอบอุ่นยังคงไม่ยอมปล่อย
“พระองค์ทรงกลับนครไปเถิด”
“ไม่เด็ดขาด เราไม่ยอมพรากจากดวงใจเราหรอก”
“เชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ ทรงกลับนครของพระองค์.....” ตาลจีชำเลืองมอง เห็นเจ้าชายน้ำตาปริ่มด้วยความปวดร้าว “อีกสามวัน บิดาของหม่อมฉันจะกลับจากทำการค้าเพคะ”
สินธุราชกัณฑ์มีสีหน้าตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที “ถ้าเช่นนั้น เราจะจัดขันหมากมาสู่ขอนางในอีกสามวันให้หลัง นางจะว่าประการใด” สินธุราชกัณฑ์พูดละล่ำละลัก ตาลจีใบหน้าร้อนผ่าวก่อนจะตอบค่อยๆว่า
“คงต้องแล้วแต่บิดาของหม่อมฉันเพคะ”
“เราจะกลับไปแต่วันนี้ และจะขอท้าววิศะเวหะเจ้าแห่งนครนี้ เพื่อเป็นเถ้าแก่มาสู่ขอเจ้า”
แล้วสินธุราชกัณฑ์ก็ลากลับไป ตาลจีเดินกลับบ้านด้วยรอยยิ้มกว้างรู้สึกหอมสดชื่นจากในอก
“นี่คือความสุขหรือ”
ถูกต้องแล้ว ตาลจีคิดในใจตอบเสียงนั้น
“เพราะเจ้าจะได้อยู่กับเจ้าชายซึ่งมีทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สิ่งสินมากมาย เจ้าเลยมีความสุขหรือ”
เปล่าเลย ตาลจีคิดตอบ เพราะเราจะได้อยู่กับคนที่เรารักต่างหาก
ตาลจีรอคอยวันที่บิดาของนางกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
และแล้วก็ถึงกำหนดที่จีรัญเศรษฐีจะกลับมา ตาลจีตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาเตรียมตัวและเตรียมการต้อนรับ พอยามสาย จีรัญเศรษฐีก็กลับมา ตาลจีรีบลงไปรับแล้วปรนนิบัติบิดา จีรัญเศรษฐีดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“นี่แน่ะตาลจี พ่อมีข่าวดีจะบอกลูก”
“ลูกก็มีข่าวดีจะบอกพ่อเช่นกัน” ตาลจียิ้ม ให้กับสีหน้าประหลาดใจและยิ้มกริ่มของจีรัญเศรษฐี “ถ้าเช่นนั้น พ่อโปรดบอกข่าวดีของพ่อมาก่อนเถิด”
“พ่อไปค้าขายคราวนี้ ได้เจอกับเศรษฐีหนุ่มผู้หนึ่งชื่อว่า มกิศดา ชาวแคว้นปัจจะ พ่อรู้สึกพึงใจทั้งหน้าตา ฐานะและนิสัยของเขา จึงได้รับปากว่าจะยกลูกสาวให้ ในวันนี้ มกิศดา จะส่งขันหมากมาสู่ขอลูกแล้ว จงเตรียมเนื้อเตรียมตัวแต่งองค์ทรงเครื่องไว้ให้พร้อมเถิด” จีรัญเศรษฐีพูดอย่างออกรส ต่างกับตาลจีที่มีสีหน้าแย่ลงเรื่อยๆเมื่อฟังคำพูดของจีรัญเศรษฐี “แล้วข่าวดีของลูกเล่า”
“สินธุราชกัณฑ์ โอรสท้าว สินธุราชสิทธิ์ นครสินธุ ทรงตรัสไว้กับลูกว่า ในวันนี้จะส่งขันหมากมาที่บ้านเราเช่นกัน”
ตาลจีบอกกับจีรัญเศรษฐีที่มีสีหน้าตกตะลึง
“ลูกแน่ใจหรือ” จีรัญเศรษฐีถามตะกุกตะกัก ตาลจีพยักหน้า
“ตัวเป็นหญิง ควรที่จะเป็นเมียตามผัวที่บิดาเลือกให้ เป็นประเพณีมาแต่ก่อน ควรหรือ ร่านออกไปหาผัวเองดังนี้” กัจษมาที่แอบฟังความอยู่หลังม่านเดินออกมาแล้วกล่าวปรามาศน้ำใจตาลจี “อีกทั้งวรรณะของมกิศดา ก็เท่าเทียมกันกับวรรณะแห่งเรา ควรที่จะมอบนางให้กับ มกิศดามากกว่า” จีรัญเศรษฐีพยักหน้าตามคำของกัจษมา
ตาลจียืนประจันหน้าแม่เลี้ยง “เจ้าชายสินธุราชกัณฑ์ ตรัสไว้ว่าจะเชิญพระเจ้าวิศะเวหะ เป็นเถ้าแก่มาสู่ขอลูก หากพ่อยกลูก ให้กับมกิศดา บ้านเราก็จะผิดใจต่อท้าวสินธาชสิทธิ์ แลพระเจ้าวิศะเวหะก็จะเสียพระพักตร์ อาญาก็จะมิพ้นต่อพ่อเป็นมั่นคง” กัจษมาหน้าเสียลงทุกทีตามคำของตาลจี จีรัญเศรษฐีก็สีหน้าแย่พอกัน “แต่หากพ่อยกลูกให้กับเจ้าชายสินธุราชกัณฑ์ ดังคำที่เป็นสัตย์แล้ว บ้านเราก็จะได้ดองเป็นเครือกษัตริย์ ทั้งความสัมพันธ์ฉันแคว้นพี่เมืองน้องของนครแห่งเราและนครสินธุจะยั่งยืนสืบไป ลาภยศสรรเสริญก็จะตกแก่พ่อเป็นแน่แท้” สีหน้าของจีรัญเศรษฐีดีขึ้นมาจนกลายเป็นตื่นเต้น
กัจษมามีสีหน้าทั้งโกรธและบิดเบี้ยวดูน่าเกลียด นางเกลียดลูกติดสามีเป็นอันมาก ครั้นจะแกล้งให้เสื่อมเสียชื่อเสียงก็ไม่สมประสงค์เพราะปะทะคารมแพ้นางตาลจี นางกัจษมาจึงหันไปมองจีรัญเศรษฐีเป็นทีขอความช่วยเหลือ แต่จีรัญเศรษฐีก็โดนกล่อมไปเรียบร้อยแล้ว นางจึงสะบัดเนื้อสะบัดตัวและนั่งลงเงียบๆ
ตาลจีเห็นสมประสงค์และยังได้แก้เผ็ดแม่เลี้ยงไปในตัว แลเห็นกิริยาดังนั้นจึงเอ่ยว่า “อันแม่กัจษมานั้นก็เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่พ่อนั้นแม้จะล่วงวัยกลางคนแต่ยังดูหนุ่มแน่น ลูกเองก็พอจะรู้งานของภรรยาบ้าง เห็นว่าพ่อควรรับภรรยาน้อยสักสองคนเพื่อช่วยพ่อปรนนิบัติพัดวีให้สบายกายสบายใจบ้าง ส่วนแม่กัจษมาจะได้พักผ่อน” จีรัญเศรษฐีทำท่าคิดอย่างลังเล กัจษมาทำหน้าเหมือนอยากลุกขึ้นมาบีบคอตาลจีเดี๋ยวนั้น
“อู้ยยยย ดูสิ สีหน้าน่าดูจริง” เสียงๆหนึ่งดังในหัวของตาลจีพร้อมกับเสียงหัวเราะแหลม ตาลจีพยายามสะกดรอยยิ้มสุดชีวิต
“อย่างไรก็ดีหาก มกิศดาเศรษฐีมาถึงก่อน พ่อเองก็ควรให้ความต้อนรับกับเขา อย่าให้ได้เสียน้ำใจเลย”
เลยถึงยามเที่ยงขบวนของ มกิศดาเศรษฐีมาถึงก่อน จีรัญเศรษฐีให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ก่อนจะเรียกตาลจีเข้าไปพบ มกิศดาหล่อเหลาเอาการ ตาลจีไหว้อย่างแขก มิได้ไหว้แบบหญิงฝากตัวเป็นภรรยา มกิศดามีสีหน้าสงสัย จีรัญเศรษฐีเห็นจึงเล่าความทั้งหมดให้ฟัง
“หากเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ ก็เท่ากับว่าท่านหามีความสัตย์ไม่ ชาวแคว้นปัจจะ จะไม่ขอทำการค้ากับท่านสืบไปเลย” มกิศดาเศรษฐีเอ่ยอย่างวางอำนาจ จีรัญเศรษฐีจนด้วยคำพูดก่อนจะมองตาลจีเป็นทีขอความช่วยเหลือ
“อันว่าแคว้นปัจจะเป็นแคว้นใหญ่ หรือจะหาหญิงอื่นใดไม่มี จึงจะมาแตกหักกับเรื่องสตรีเพียงคนเดียวดังนี้” ตาลจีเอ่ยขึ้น
“ท่านมิได้สั่งสอนบุตรีหรือไรว่าการผู้ชายพูดกัน ไหนเลยผู้หญิงควรสอดแทรก” มกิศดาเศรษฐีเอ่ยแล้วลุกขึ้น “เมื่อทราบว่าบุตรีท่านมีตำหนิดังนี้ ข้าพเจ้าก็ขอลา”
“แล้วมารดาท่านเป็นชายหรือ จึงมากล่าวดูถูกสตรีดังนี้” ตาลจีลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับ มกิศดาเศรษฐี
“อันว่าบิดาของข้าพเจ้ามิได้สั่งสอนบุตร หากว่าน้อยจริงตามคำของท่าน ก็คงมากกว่าบิดาของท่านที่ได้สั่งสอนสักสิบเท่าได้กระมัง อันการใดขาดซึ่งสตรีการนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ แลท่านมากล่าวดูถูกสตรีดังผู้ไม่มีปัญญาดังนี้หาควรไม่ หากท่านได้ข้าพเจ้าเป็นภรรยาสมใจท่าน ท่านจะรับผิดชอบอย่างไรกับสงความที่เกิดขึ้นระหว่างนครของข้าพเจ้ากับนครสินธุ ลูกหลานหลายร้อยหลายพันครอบครัวอาจต้องเสียชีวิต ท่านกล่าวนี้ดังเรียกว่าเป็นผู้มีปัญญาได้หรือ”
ตาลจีพูดเสียงดังกังวาน มกิศดาเศรษฐีถึงกับนิ่งอึ้ง
“อันคำโบราณกล่าวว่า ครุฑบินเหนือเมฆฉันใด หงส์ย่อมไม่เกาะไม้ต่ำฉันนั้น ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้มีปัญญาประหนึ่งหงส์ ท่านเจรจาดูหมิ่นดังนี้ไม่ควร ประดุจหนึ่งไม้ต่ำอันเลวและผุพัง ดังนี้มิใช่ท่านดอกที่ไม่เลือกข้าพเจ้า แต่เป็นข้าพเจ้าไม่เลือกท่านเสียมากกว่า”
มกิศดาเศรษฐีจนด้วยคำพูดก่อนจะหันไปไหว้จีรัญเศรษฐี และกล่าวว่า “บุตรีท่านนี้เจรจาโวหารเป็นสุภาษิตยิ่งนัก คำกล่าวใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินท่านแลบุตรีโปรดจงหักลดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด” แล้วมกิศดาก็หันมากล่าวกับตาลจีว่า “อันคำกล่าวที่นางพูดมานั้นเป็นจริงอย่างที่ว่า นางผู้มีปัญญาสูงสมควรจะอยู่ที่สูง หาคู่ควรกับข้าพเจ้าไม่ นางโปรดอภัยในความเขลาของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ตาลจีไหว้ มกิศดาเศรษฐีแล้วบอกว่า “อันข้าพเจ้านั้นได้ล่วงเกินท่านเป็นอันมาก ท่านมิถือโทษโกรธ ข้าพเจ้าก็ยินดีเหลืออย่างยิ่งแล้ว หากแต่ข้าพเจ้าห่วงศักดิ์ศรีของบิดาจึงกล่าวคำอันไม่สุภาพไป วอนท่านผู้การุณโปรดอภัย”
มกิศดาเศรษฐีรับไหว้และบอกอภัยให้กับตาลจีก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมและสนทนาต่อกับจีรัญเศรษฐีและตอบตกลงจะเป็นสักขีพยานในพิธีสู่ขอด้วย
เลยไปถึงยามบ่าย ขบวนขันหมากของสินธุราชกัณฑ์ก็มาถึง สินธุราชกัณฑ์พร้อมกับ ท้าววิศเวหะผู้ซึ่งเป็นเถ้าแก่ งานสู่ขอเป็นไปอย่างราบรื่นสวัสดี
พิธีอภิเษกถูกกำหนดโดยพราหมณ์ ในอีกสัปดาห์ให้หลัง สินธุราชกัณฑ์ได้รับการรับรองที่บ้านของจีรัญเศรษฐี โดยมีท้าววิศะเวหะ ให้การรับรองสินธุราชกัณฑ์ที่ตำหนักใหญ่และนำวงมโหรีดนตรีขับกล่อมทั้งกลางวันกลางคืน ท้าววิศะเวหะโปรดให้มีงานรื่นเริงตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนพิธีอภิเษกนั้น ตาลจีได้รับการประทินโฉมประโลมผิวจากนางใน เพื่อให้เป็นเกียร์ติเป็นศรีแก่นคร และเหมาะสมจะเป็นมเหสีของสินธุราชกัณฑ์
ตาลจีมีความสุขมากเมื่อได้เดินเฉิดฉายในบ้านและถูกคนประคบประหงมเอาใจยิ่งกว่าสมัยเด็ก นางกัจษมาและ วิสุทธิชัยพร ต้องเดินหลบไม่กล้าสบตากับนางอีกต่อไป มีอยู่หลายครั้งที่นางเห็น วิสุทธิชัยพร แอบเข้ามาดูนางใน ในห้องของตาลจี เมื่อรู้ตัวว่านางเห็น วิสุทธิชัยพร ก็จะรีบวิ่งขึ้นบันไดไป
ตาลจีจึงแกล้งผูกผ้าบางๆไว้กับชั้นบันได
และเมื่อวิสุทธิชัยพรมาแอบดู นางก็แกล้งหันไปมอง ทำให้วิสุทธิชัยพรรีบวิ่งหนีทันที
โครม!!
วิสุทธิชัยพรหกล้มและเป็นไข้ไม่สามารถลุกขึ้นมาเดินได้อีกเลย ตาลจียิ้มอย่างสะใจ นางกัจษมาต้องนั่งคอยป้อนข้าวป้อนน้ำวิสุทธิชัยพรเอง เพราะคนรับใช้อื่นๆมัวแต่มาคอยเอาอกเอาใจตาลจี
แต่แค่นั้นตาลจียังไม่สาแก่ใจ เพราะอีกไม่นานนางจะต้องไปอยู่นครสินธุคงไม่มีโอกาสเอาคืนนางกัจษมาอีกต่อไปแล้วจึงได้เข้าไปกล่าวกับ จีรัญเศรษฐีที่กำลังนั่งกินเลี้ยงอยู่กับท้าววิศะเวหะว่า
“อันแม่กัจษมาตอนนี้ก็เลยเข้าวัยกลางคนแล้ว แลต้องคอยดูแลวิสุทธิชัยพรอยู่ คงไม่สะดวกในการปรนนิบัติบิดาดังก่อน ควรที่บิดาจะหาภรรยาน้อยมาช่วยดูแลกิจการในบ้านต่อไป ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้”
จีรัญเศรษฐีนั้นคึกด้วยฤทธิ์สุราก็เห็นชอบกับบุตรี ท้าววิศะเวหะ จึงบอกว่า “วกรรณ์เศรษฐีนั้นมีบุตรีสองคนเป็นพี่น้องแรกรุ่น กำลังใคร่ครวญหาสามีให้บุตรสาวทั้งสองพอดี เนื่องจากหาเศรษฐีที่ทั้งรวยและหนุ่มแน่นยากนัก ท่านเองก็กำลังต้องการคนปรนนิบัติ หากเป็นดังนั้น เราจะรับเป็นธุระให้กับท่านเอง ท่านจะว่ากระไร”
จีรัญเศรษฐีหัวเราะและตอบตกลงทันที ตาลจียิ้มอย่างสะใจให้กับบุคคลที่กำลังแอบฟังอยู่ตรงหลังม่านนั้น พร้อมกับปานที่เต้นระริกและเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ดังก้องในหัวของตาลจีนั้น
และแล้วก็ถึงวันพิธี ตาลจีมีความสุขที่สุดในชีวิต ข้างกายมีคนที่นางรัก และไม่ปรากฏคนที่นางรังเกียจเลยในวันนั้น งานอภิเษกดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่ วงมโหรีเล่นทำนองรื่นเริงทั้งวันคืน ทั้งบิดา และท้าววิศะเวหะต่างให้ศีลให้พรนางและสินธุราชกัณฑ์เป็นอันมาก
และหลังจากนั้น ไม่กี่วันนางก็ไปนอนดูเมฆที่ห้องบรรทมกับเจ้าชายสินธุราชกัณฑ์กันสองคนอย่างหวานชื่น
เป็นเวลาเจ็ดวันที่ ตาลจีไม่ได้ไปที่ชายทุ่ง
ไม่ใช่เป็นเพราะว่ากำไลเป็นของปลอม ไม่ใช่เพราะว่ามารดาเลี้ยงของนางกักตัวนางไว้ ไม่ใช่เพราะว่านางมีธุระอื่นใด และไม่ใช่เพราะว่านางไม่ได้คิดถึงสินธุราชกัณฑ์
แต่เป็นเพราะนางต้องการพิสูจน์ว่า สินธุราชกัณฑ์ มีค่าควรพอที่นางจะยินดีเป็นภรรยาหรือเปล่าต่างหาก
หากแม้นว่าวันนี้นางไปที่ชายทุ่งแล้วสินธุราชกัณฑ์ไม่อยู่ นางก็จะได้รู้ว่า สินธุราชกัณฑ์ก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่มีแต่คำลวงสอพลอเท่านั้น
แต่เมื่อนางไปถึง ตาลจีก็พบชายหนุ่มหน้าตาคมสันคนเดินนอนบนเตียงดอกไม้กลางชายทุ่งนั้น
“ราชกิจอันใด พระองค์มิทรงกระทำหรือประการใด ไยมานอนเล่นอยู่บ้านนอกชนบทเช่นนี้”
สินธุราชกัณฑ์ผงกตัวขึ้นแลมองตามเสียงไป เมื่อเห็นตาลจีสินธุราชกัณฑ์ก็รีบยืนขึ้นและเชิญตาลจีนั่งลงบนเตียงดอกไม้ที่ตนเองทำไว้
“เรานึกว่า นางคงไม่มาอีกแล้ว”
“หากนึกว่าไม่มา ไยพระองค์มานั่งนอนรอฉะนี้”
“เรานั้นแม้จะรู้ว่านางไม่มาแล้ว แต่ไม่อาจหักห้ามใจจากที่ๆเราพบกันครั้งแรกได้ นางพรากดวงใจเราไปเมื่อแรกพบ อันชีวิตจะขาดดวงใจนั้นมิได้ หากว่าเราจะขาดใจตายด้วยพิษรัก เราก็ขอตายลง ณ ตรงที่เราได้พบรักแรกนั้นแล”
ตาลจียิ้มด้วยคำหวานปลอบประโลม
“ช่างน่าแปลก ที่พระองค์ไม่ใส่ใจกับราษฎร แต่มาห่วงเอากับสตรีแคว้นอื่นดังนี้”
“อันว่าแรงเสน่หานั้น ย่อมอ่อนโอนราชสีห์ได้ฉันใด เราไม่ได้ผิดแผกจากคำกล่าวนั้น แม้น นนทก ที่มีนิ้วเพชรที่มีฤทธิ์สังหารเทวดาได้เพียงชี้นิ้ว แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อความงามของนางอัปสรนั้นเล่า อันตัวเราเป็นเพียงมนุษย์เดินดิน ไหนจะสิ้นซึ่งความหลงนั้นเล่า หากแต่นางเป็นยิ่งกว่านางอัปสรนั้น คืองามกว่าแลมิได้จำแลงมาเพื่อเสแสร้งแกล้งเรา แม้นหากว่านางเป็นห่วงราษฎรแห่งเราจริงก็ขอเชิญสู่แคว้นเราเพื่อเป็นพระแม่แคว้นสินธุเถิด”
“เล่ห์ลิ้นพระองค์คมปานนี้ คงคิดในวันที่ว่างรอข้าพระองค์กระมัง”
ตาลจีและสินธุราชกัณฑ์ สนทนาหัวร่อต่อกระซิกกันเลยจนถึงยามเย็น แล้วตาลจีก็กลับบ้าน
“พระองค์มานอนตากแดดตากลมเช่นนี้จะมิได้ลำบากพระวรกายหรือ” ตาลจีถามขึ้นในวันรุ่งขึ้นที่ไปถึงชายทุ่ง
สินธุราชกัณฑ์หัวเราะแล้วนอนลงกับเตียงดอกไม้นั้น “เรานั้นชอบนอนดูดาวในยามค่ำคืนที่สวยงาม แม้นจะเป็นรองก็แต่เพียงนางเท่านั้น แต่ที่เราชอบที่สุดคือการมองเมฆต่างหากเล่า”
“การมองเมฆมีสิ่งใดน่าพิสมัยหรือเพคะ”
เจ้าชายยิ้มแล้วชี้ไปยังก้อนเมฆต่างๆแล้วบอกว่าพระองค์เห็นสิ่งใด ตาลจีฟังและยิ้มขำในความเพ้อฝันของเจ้าชายหนุ่ม ก่อนจะค่อยๆล้มตัวและนอนข้างๆเจ้าชายพลางฟังเจ้าชายบอกเล่าเรื่องราวของก้อนเมฆ
“เห็นก้อนนั้นไหม ที่จับกลุ่มกันสี่ก้อน นั่นคือ เราทั้งสองลูกของเราอีกสองคนไงเล่า”
“เป็นโอรสหรือธิดาเพคะ”
“โอรสหนึ่ง ธิดาหนึ่งไงเล่า แล้วนั่น” เจ้าชายชี้ไปยังเมฆที่เป็นรูปคล้ายๆม้า “ในวันที่โอรสของเราเติบโตขึ้น เขาจะมีพาหนะคู่ใจเป็นม้าสีขาวขนละมุนราวเมฆก้อนนั้น”
ตาลจีนอนและเหม่อมองท้องฟ้าอย่างสบายใจ ด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลางมองดูก้อนเมฆและฟังเรื่องราวของก้อนเมฆที่บอกเล่าอย่างไม่รู้จบสิ้นของเจ้าชาย จนถึงพลบค่ำ
“เป็นเรื่องเล่าที่หาสาระอันใดมิได้เลยเพคะ” ตาลจีบอกกับสินธุราชกัณฑ์หลังจากหัวเราะคิกคักกับเรื่องราวของเจ้าชาย สินธุราชกัณฑ์ยิ้มอย่างพอใจและมองนวลหน้าของตาลจีอย่างรักใคร่
“ตาลจี...... เจ้าจะเป็นชายาให้เราได้หรือไม่” สินธุราชกัณฑ์จับมือของตาลจีแนบอก
ตาลจีหน้าแดงก่ำหัวใจเต้นแรง แสดงท่าเอียงอายไม่ยอมตอบคำถามและพยายามดึงมือกลับ แต่มือที่ใหญ่แลอบอุ่นยังคงไม่ยอมปล่อย
“พระองค์ทรงกลับนครไปเถิด”
“ไม่เด็ดขาด เราไม่ยอมพรากจากดวงใจเราหรอก”
“เชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ ทรงกลับนครของพระองค์.....” ตาลจีชำเลืองมอง เห็นเจ้าชายน้ำตาปริ่มด้วยความปวดร้าว “อีกสามวัน บิดาของหม่อมฉันจะกลับจากทำการค้าเพคะ”
สินธุราชกัณฑ์มีสีหน้าตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที “ถ้าเช่นนั้น เราจะจัดขันหมากมาสู่ขอนางในอีกสามวันให้หลัง นางจะว่าประการใด” สินธุราชกัณฑ์พูดละล่ำละลัก ตาลจีใบหน้าร้อนผ่าวก่อนจะตอบค่อยๆว่า
“คงต้องแล้วแต่บิดาของหม่อมฉันเพคะ”
“เราจะกลับไปแต่วันนี้ และจะขอท้าววิศะเวหะเจ้าแห่งนครนี้ เพื่อเป็นเถ้าแก่มาสู่ขอเจ้า”
แล้วสินธุราชกัณฑ์ก็ลากลับไป ตาลจีเดินกลับบ้านด้วยรอยยิ้มกว้างรู้สึกหอมสดชื่นจากในอก
“นี่คือความสุขหรือ”
ถูกต้องแล้ว ตาลจีคิดในใจตอบเสียงนั้น
“เพราะเจ้าจะได้อยู่กับเจ้าชายซึ่งมีทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สิ่งสินมากมาย เจ้าเลยมีความสุขหรือ”
เปล่าเลย ตาลจีคิดตอบ เพราะเราจะได้อยู่กับคนที่เรารักต่างหาก
ตาลจีรอคอยวันที่บิดาของนางกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
และแล้วก็ถึงกำหนดที่จีรัญเศรษฐีจะกลับมา ตาลจีตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาเตรียมตัวและเตรียมการต้อนรับ พอยามสาย จีรัญเศรษฐีก็กลับมา ตาลจีรีบลงไปรับแล้วปรนนิบัติบิดา จีรัญเศรษฐีดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“นี่แน่ะตาลจี พ่อมีข่าวดีจะบอกลูก”
“ลูกก็มีข่าวดีจะบอกพ่อเช่นกัน” ตาลจียิ้ม ให้กับสีหน้าประหลาดใจและยิ้มกริ่มของจีรัญเศรษฐี “ถ้าเช่นนั้น พ่อโปรดบอกข่าวดีของพ่อมาก่อนเถิด”
“พ่อไปค้าขายคราวนี้ ได้เจอกับเศรษฐีหนุ่มผู้หนึ่งชื่อว่า มกิศดา ชาวแคว้นปัจจะ พ่อรู้สึกพึงใจทั้งหน้าตา ฐานะและนิสัยของเขา จึงได้รับปากว่าจะยกลูกสาวให้ ในวันนี้ มกิศดา จะส่งขันหมากมาสู่ขอลูกแล้ว จงเตรียมเนื้อเตรียมตัวแต่งองค์ทรงเครื่องไว้ให้พร้อมเถิด” จีรัญเศรษฐีพูดอย่างออกรส ต่างกับตาลจีที่มีสีหน้าแย่ลงเรื่อยๆเมื่อฟังคำพูดของจีรัญเศรษฐี “แล้วข่าวดีของลูกเล่า”
“สินธุราชกัณฑ์ โอรสท้าว สินธุราชสิทธิ์ นครสินธุ ทรงตรัสไว้กับลูกว่า ในวันนี้จะส่งขันหมากมาที่บ้านเราเช่นกัน”
ตาลจีบอกกับจีรัญเศรษฐีที่มีสีหน้าตกตะลึง
“ลูกแน่ใจหรือ” จีรัญเศรษฐีถามตะกุกตะกัก ตาลจีพยักหน้า
“ตัวเป็นหญิง ควรที่จะเป็นเมียตามผัวที่บิดาเลือกให้ เป็นประเพณีมาแต่ก่อน ควรหรือ ร่านออกไปหาผัวเองดังนี้” กัจษมาที่แอบฟังความอยู่หลังม่านเดินออกมาแล้วกล่าวปรามาศน้ำใจตาลจี “อีกทั้งวรรณะของมกิศดา ก็เท่าเทียมกันกับวรรณะแห่งเรา ควรที่จะมอบนางให้กับ มกิศดามากกว่า” จีรัญเศรษฐีพยักหน้าตามคำของกัจษมา
ตาลจียืนประจันหน้าแม่เลี้ยง “เจ้าชายสินธุราชกัณฑ์ ตรัสไว้ว่าจะเชิญพระเจ้าวิศะเวหะ เป็นเถ้าแก่มาสู่ขอลูก หากพ่อยกลูก ให้กับมกิศดา บ้านเราก็จะผิดใจต่อท้าวสินธาชสิทธิ์ แลพระเจ้าวิศะเวหะก็จะเสียพระพักตร์ อาญาก็จะมิพ้นต่อพ่อเป็นมั่นคง” กัจษมาหน้าเสียลงทุกทีตามคำของตาลจี จีรัญเศรษฐีก็สีหน้าแย่พอกัน “แต่หากพ่อยกลูกให้กับเจ้าชายสินธุราชกัณฑ์ ดังคำที่เป็นสัตย์แล้ว บ้านเราก็จะได้ดองเป็นเครือกษัตริย์ ทั้งความสัมพันธ์ฉันแคว้นพี่เมืองน้องของนครแห่งเราและนครสินธุจะยั่งยืนสืบไป ลาภยศสรรเสริญก็จะตกแก่พ่อเป็นแน่แท้” สีหน้าของจีรัญเศรษฐีดีขึ้นมาจนกลายเป็นตื่นเต้น
กัจษมามีสีหน้าทั้งโกรธและบิดเบี้ยวดูน่าเกลียด นางเกลียดลูกติดสามีเป็นอันมาก ครั้นจะแกล้งให้เสื่อมเสียชื่อเสียงก็ไม่สมประสงค์เพราะปะทะคารมแพ้นางตาลจี นางกัจษมาจึงหันไปมองจีรัญเศรษฐีเป็นทีขอความช่วยเหลือ แต่จีรัญเศรษฐีก็โดนกล่อมไปเรียบร้อยแล้ว นางจึงสะบัดเนื้อสะบัดตัวและนั่งลงเงียบๆ
ตาลจีเห็นสมประสงค์และยังได้แก้เผ็ดแม่เลี้ยงไปในตัว แลเห็นกิริยาดังนั้นจึงเอ่ยว่า “อันแม่กัจษมานั้นก็เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่พ่อนั้นแม้จะล่วงวัยกลางคนแต่ยังดูหนุ่มแน่น ลูกเองก็พอจะรู้งานของภรรยาบ้าง เห็นว่าพ่อควรรับภรรยาน้อยสักสองคนเพื่อช่วยพ่อปรนนิบัติพัดวีให้สบายกายสบายใจบ้าง ส่วนแม่กัจษมาจะได้พักผ่อน” จีรัญเศรษฐีทำท่าคิดอย่างลังเล กัจษมาทำหน้าเหมือนอยากลุกขึ้นมาบีบคอตาลจีเดี๋ยวนั้น
“อู้ยยยย ดูสิ สีหน้าน่าดูจริง” เสียงๆหนึ่งดังในหัวของตาลจีพร้อมกับเสียงหัวเราะแหลม ตาลจีพยายามสะกดรอยยิ้มสุดชีวิต
“อย่างไรก็ดีหาก มกิศดาเศรษฐีมาถึงก่อน พ่อเองก็ควรให้ความต้อนรับกับเขา อย่าให้ได้เสียน้ำใจเลย”
เลยถึงยามเที่ยงขบวนของ มกิศดาเศรษฐีมาถึงก่อน จีรัญเศรษฐีให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ก่อนจะเรียกตาลจีเข้าไปพบ มกิศดาหล่อเหลาเอาการ ตาลจีไหว้อย่างแขก มิได้ไหว้แบบหญิงฝากตัวเป็นภรรยา มกิศดามีสีหน้าสงสัย จีรัญเศรษฐีเห็นจึงเล่าความทั้งหมดให้ฟัง
“หากเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ ก็เท่ากับว่าท่านหามีความสัตย์ไม่ ชาวแคว้นปัจจะ จะไม่ขอทำการค้ากับท่านสืบไปเลย” มกิศดาเศรษฐีเอ่ยอย่างวางอำนาจ จีรัญเศรษฐีจนด้วยคำพูดก่อนจะมองตาลจีเป็นทีขอความช่วยเหลือ
“อันว่าแคว้นปัจจะเป็นแคว้นใหญ่ หรือจะหาหญิงอื่นใดไม่มี จึงจะมาแตกหักกับเรื่องสตรีเพียงคนเดียวดังนี้” ตาลจีเอ่ยขึ้น
“ท่านมิได้สั่งสอนบุตรีหรือไรว่าการผู้ชายพูดกัน ไหนเลยผู้หญิงควรสอดแทรก” มกิศดาเศรษฐีเอ่ยแล้วลุกขึ้น “เมื่อทราบว่าบุตรีท่านมีตำหนิดังนี้ ข้าพเจ้าก็ขอลา”
“แล้วมารดาท่านเป็นชายหรือ จึงมากล่าวดูถูกสตรีดังนี้” ตาลจีลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับ มกิศดาเศรษฐี
“อันว่าบิดาของข้าพเจ้ามิได้สั่งสอนบุตร หากว่าน้อยจริงตามคำของท่าน ก็คงมากกว่าบิดาของท่านที่ได้สั่งสอนสักสิบเท่าได้กระมัง อันการใดขาดซึ่งสตรีการนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ แลท่านมากล่าวดูถูกสตรีดังผู้ไม่มีปัญญาดังนี้หาควรไม่ หากท่านได้ข้าพเจ้าเป็นภรรยาสมใจท่าน ท่านจะรับผิดชอบอย่างไรกับสงความที่เกิดขึ้นระหว่างนครของข้าพเจ้ากับนครสินธุ ลูกหลานหลายร้อยหลายพันครอบครัวอาจต้องเสียชีวิต ท่านกล่าวนี้ดังเรียกว่าเป็นผู้มีปัญญาได้หรือ”
ตาลจีพูดเสียงดังกังวาน มกิศดาเศรษฐีถึงกับนิ่งอึ้ง
“อันคำโบราณกล่าวว่า ครุฑบินเหนือเมฆฉันใด หงส์ย่อมไม่เกาะไม้ต่ำฉันนั้น ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้มีปัญญาประหนึ่งหงส์ ท่านเจรจาดูหมิ่นดังนี้ไม่ควร ประดุจหนึ่งไม้ต่ำอันเลวและผุพัง ดังนี้มิใช่ท่านดอกที่ไม่เลือกข้าพเจ้า แต่เป็นข้าพเจ้าไม่เลือกท่านเสียมากกว่า”
มกิศดาเศรษฐีจนด้วยคำพูดก่อนจะหันไปไหว้จีรัญเศรษฐี และกล่าวว่า “บุตรีท่านนี้เจรจาโวหารเป็นสุภาษิตยิ่งนัก คำกล่าวใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินท่านแลบุตรีโปรดจงหักลดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด” แล้วมกิศดาก็หันมากล่าวกับตาลจีว่า “อันคำกล่าวที่นางพูดมานั้นเป็นจริงอย่างที่ว่า นางผู้มีปัญญาสูงสมควรจะอยู่ที่สูง หาคู่ควรกับข้าพเจ้าไม่ นางโปรดอภัยในความเขลาของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ตาลจีไหว้ มกิศดาเศรษฐีแล้วบอกว่า “อันข้าพเจ้านั้นได้ล่วงเกินท่านเป็นอันมาก ท่านมิถือโทษโกรธ ข้าพเจ้าก็ยินดีเหลืออย่างยิ่งแล้ว หากแต่ข้าพเจ้าห่วงศักดิ์ศรีของบิดาจึงกล่าวคำอันไม่สุภาพไป วอนท่านผู้การุณโปรดอภัย”
มกิศดาเศรษฐีรับไหว้และบอกอภัยให้กับตาลจีก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิมและสนทนาต่อกับจีรัญเศรษฐีและตอบตกลงจะเป็นสักขีพยานในพิธีสู่ขอด้วย
เลยไปถึงยามบ่าย ขบวนขันหมากของสินธุราชกัณฑ์ก็มาถึง สินธุราชกัณฑ์พร้อมกับ ท้าววิศเวหะผู้ซึ่งเป็นเถ้าแก่ งานสู่ขอเป็นไปอย่างราบรื่นสวัสดี
พิธีอภิเษกถูกกำหนดโดยพราหมณ์ ในอีกสัปดาห์ให้หลัง สินธุราชกัณฑ์ได้รับการรับรองที่บ้านของจีรัญเศรษฐี โดยมีท้าววิศะเวหะ ให้การรับรองสินธุราชกัณฑ์ที่ตำหนักใหญ่และนำวงมโหรีดนตรีขับกล่อมทั้งกลางวันกลางคืน ท้าววิศะเวหะโปรดให้มีงานรื่นเริงตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนพิธีอภิเษกนั้น ตาลจีได้รับการประทินโฉมประโลมผิวจากนางใน เพื่อให้เป็นเกียร์ติเป็นศรีแก่นคร และเหมาะสมจะเป็นมเหสีของสินธุราชกัณฑ์
ตาลจีมีความสุขมากเมื่อได้เดินเฉิดฉายในบ้านและถูกคนประคบประหงมเอาใจยิ่งกว่าสมัยเด็ก นางกัจษมาและ วิสุทธิชัยพร ต้องเดินหลบไม่กล้าสบตากับนางอีกต่อไป มีอยู่หลายครั้งที่นางเห็น วิสุทธิชัยพร แอบเข้ามาดูนางใน ในห้องของตาลจี เมื่อรู้ตัวว่านางเห็น วิสุทธิชัยพร ก็จะรีบวิ่งขึ้นบันไดไป
ตาลจีจึงแกล้งผูกผ้าบางๆไว้กับชั้นบันได
และเมื่อวิสุทธิชัยพรมาแอบดู นางก็แกล้งหันไปมอง ทำให้วิสุทธิชัยพรรีบวิ่งหนีทันที
โครม!!
วิสุทธิชัยพรหกล้มและเป็นไข้ไม่สามารถลุกขึ้นมาเดินได้อีกเลย ตาลจียิ้มอย่างสะใจ นางกัจษมาต้องนั่งคอยป้อนข้าวป้อนน้ำวิสุทธิชัยพรเอง เพราะคนรับใช้อื่นๆมัวแต่มาคอยเอาอกเอาใจตาลจี
แต่แค่นั้นตาลจียังไม่สาแก่ใจ เพราะอีกไม่นานนางจะต้องไปอยู่นครสินธุคงไม่มีโอกาสเอาคืนนางกัจษมาอีกต่อไปแล้วจึงได้เข้าไปกล่าวกับ จีรัญเศรษฐีที่กำลังนั่งกินเลี้ยงอยู่กับท้าววิศะเวหะว่า
“อันแม่กัจษมาตอนนี้ก็เลยเข้าวัยกลางคนแล้ว แลต้องคอยดูแลวิสุทธิชัยพรอยู่ คงไม่สะดวกในการปรนนิบัติบิดาดังก่อน ควรที่บิดาจะหาภรรยาน้อยมาช่วยดูแลกิจการในบ้านต่อไป ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้”
จีรัญเศรษฐีนั้นคึกด้วยฤทธิ์สุราก็เห็นชอบกับบุตรี ท้าววิศะเวหะ จึงบอกว่า “วกรรณ์เศรษฐีนั้นมีบุตรีสองคนเป็นพี่น้องแรกรุ่น กำลังใคร่ครวญหาสามีให้บุตรสาวทั้งสองพอดี เนื่องจากหาเศรษฐีที่ทั้งรวยและหนุ่มแน่นยากนัก ท่านเองก็กำลังต้องการคนปรนนิบัติ หากเป็นดังนั้น เราจะรับเป็นธุระให้กับท่านเอง ท่านจะว่ากระไร”
จีรัญเศรษฐีหัวเราะและตอบตกลงทันที ตาลจียิ้มอย่างสะใจให้กับบุคคลที่กำลังแอบฟังอยู่ตรงหลังม่านนั้น พร้อมกับปานที่เต้นระริกและเสียงหัวเราะแหลมเล็กที่ดังก้องในหัวของตาลจีนั้น
และแล้วก็ถึงวันพิธี ตาลจีมีความสุขที่สุดในชีวิต ข้างกายมีคนที่นางรัก และไม่ปรากฏคนที่นางรังเกียจเลยในวันนั้น งานอภิเษกดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่ วงมโหรีเล่นทำนองรื่นเริงทั้งวันคืน ทั้งบิดา และท้าววิศะเวหะต่างให้ศีลให้พรนางและสินธุราชกัณฑ์เป็นอันมาก
และหลังจากนั้น ไม่กี่วันนางก็ไปนอนดูเมฆที่ห้องบรรทมกับเจ้าชายสินธุราชกัณฑ์กันสองคนอย่างหวานชื่น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ