"Be askew" ภารกิจ ขีดเส้นอันตราย...
8.5
เขียนโดย นอร์เวย์
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.22 น.
4 chapter
7 วิจารณ์
7,730 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 19.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) devil code
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ2
โอลิเวีย ไรท์ มองออกไปนอกหน้าต่าง
ความมืดที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เธอยิ่งรู้สึกปวดร้าว แสงไฟจากยอดตึกสูงที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ไมล์คือจุดหมายที่สายตาของเธอกำลังจ้องมองอยู่ แต่ภายในใจกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นเลย
ทำไมเนทถึงพูดเพียงแค่นั้น ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจกับเธองั้นหรือ ไม่คิดจะรั้งหรือแสดงน้ำเสียงที่ทำให้เธอรู้ว่าเขากำลังโมโหอยู่สักนิดเลยหรือ อดีตแฟนหนุ่มคนนี้ของเธอมีความเป็นสุภาพบุรุษมากๆ จนไม่อยากจะแสดงอาการฉุนเฉียวอะไรใส่เธอ ไม่อยากจะบังคับให้เธอต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ต้องการ หรือเขาไม่ได้เสียใจอะไรเลยกับการเสียเธอไปกันแน่
แล้วตอนนี้ความรู้สึกของเธอหละ มีความสุขที่ได้หลุดพ้นจากชีวิตเดิมๆ หรือกำลังโหยหามัน
โอลีเวียไม่ใช่สาวมั่นที่มีทักษะในการตัดสินใจเด็ดขาดตามแบบฉบับคู่ควงนายตำรวจมือดีอย่างที่หลายๆคนคิด เรื่องนี้เธอรู้ตัวดี เธอรู้ดีว่าจริงๆแล้วตัวเองเป็นคนเหยาะแหยะแค่ไหน ในจิตใจมีแต่ความลังเล ไม่ว่าเธอจะเลือกสิ่งใดในชีวิต ตาอีกข้างของเธอก็จะคอยเหลียวมองอีกสิ่งหนึ่งเสมอและคิดไปว่าบางทีมันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ผู้หญิงหลายคนมักจะเกรียดนิสัยนี้ของตัวเอง โอลีเวียเองก็เช่นกัน
เธอยังไม่ได้โทร.ไปคุยกับสก๊อต ชายเจ้าของบ้านที่อยู่ในคลิปนั้น และคิดว่าคงจะไม่ติดต่ออะไรกับเขาอีกแล้ว การกระทำของสก๊อตร้ายกาจอย่างที่โอลีเวียไม่อาจจะให้อภัยได้ แต่พอคิดดูอีกที สิ่งที่เธอทำก็เลวร้ายไม่ได้ต่างกันนักหรอก และแน่นอน โอลีเวียรู้ดีว่าเนทไม่มีวันจะให้อภัยเธอ
เสียงแก้วแตกกระจายดังไปทั่วห้อง เธอมองลงไปยังสิ่งที่อยู่บนพื้นเบื้องหน้า ปล่อยมือลงอย่างอ่อนแรง รู้สึกดีที่ได้ระบายออกมา ไม่มีอะไรจะน่าหงุดหงิดใจไปมากกว่าความรู้สึกเสียดายที่เกิดขึ้นหลังการกระทำงี่เง่าจบลง แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้รู้สึกแบบนั้น การทำลายข้าวของทำให้โอลีเวียรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างประหลาด
เนทรู้ตัวว่าควรจะวางมือจากแฟ้มคดีบนโต๊ะได้แล้ว ตอนนี้เกือบจะตีสาม แต่เขายังไม่รู้สึกง่วง ในห้องนอนปิดไฟสนิท แมทคงจะหลับเป็นตายอยู่ตอนนี้
ตั้งแต่เขาเริ่มงานเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอมาได้เกือบเจ็ดปี มีพฤติกรรมมากมายที่ถูกบอกกล่าวมาว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในตัวพวกเขา และหนึ่งในนั้นก็คืออาการหลับลึกแบบที่เพื่อนของเขากำลังเป็นอยู่ แต่ตอนนี้เรื่องพฤติกรรมการนอนของแมทไม่เป็นปัญหาต่อการทำงานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แมทพยายามฝึกให้ตัวเองเป็นคนปลุกง่าย เขาต้องใช้ความพยายามอยู่หลายปีกว่าจะสามารถลุกขึ้นได้ทันทีที่เนทเขย่าตัว ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม มีไม่กี่คนที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นได้
เนทคิดอยู่เสมอว่าแมทเป็นผู้ชายที่น่าเหลือเชื่อ มีหลายครั้งที่เนทต้องอึ้งกับการกระทำของเพื่อนคนนี้ แมทเป็นผู้ชายรักครอบครัว แต่ก็รักอิสระ เป็นคนที่เข้มแข็ง แต่ก็อ่อนโยน ตรงข้ามกับเขาที่ภายนอกดูเหมือนจะสามารถรับมือกับอะไรก็ตามที่พุ่งตรงเข้ามาได้หมด แต่ข้างในลึกๆ จะมีใครรู้บ้างว่าหลายต่อหลายครั้งที่เขารู้สึกหวาดกลัวเพียงเพราะต้องจับปืนเล็งไปที่ศีรษะคนร้าย
เนทเก็บแฟ้มคดีลงในลิ้นชักโต๊ะ เขาเดินไปที่ประตูห้องนอนแล้วค่อยๆเปิดประตูอย่างเบามือเพราะไม่อยากทำให้แมทตื่น เสียงหายใจเป็นระยะเท่าๆกันของคนที่หลับอยู่บนเตียงทำให้เขาเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว เนทมองไปที่ร่างของเพื่อนสนิทและคิดว่าเขาควรจะบอกให้แมทเลิกอัดโปรตีนเข้าไปมากๆเพื่อเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อเสียทีเพราะตอนนี้แมทเริ่มจะหุ่นเหมือนตัวการ์ตูนแบทแมน ส่วนเนทก็ดูเหมือนโรบินที่กำลังอยู่ในช่วงอดอาหารเข้าไปทุกที
เนทล้มตัวลงนอนบนเตียงฝั่งขวามือของเขาแล้วค่อยๆใช้เท้าเขี่ยหน้าแข้งของคนข้างๆออกไป ตอนสมัยเด็กๆเขามักจะมีภาพฝันว่าอาชีพนี้จะต้องร่ำรวย มีหน้ามีตา ทุกอย่างจะต้องถูกจัดสรรไว้อย่างดีที่สุด สุขสบายที่สุด เพื่อแลกกับการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในภาคสนาม แต่พอโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่เขาถึงได้รู้ว่าอะไรหลายๆอย่างไม่ได้เป็นเหมือนดังภาพในจินตนาการวัยเด็กของเขาเลย หลายครั้งที่ห้องพักของพวกเขามีเตียงที่เล็กกว่านี้มาก และคำนวณดูด้วยสายตาเพียงเสี้ยววินาทีก็รู้ว่าต่อให้เนทลดน้ำหนักลงอีกสิบปอนด์ก็ไม่สามารถจะนอนเบียดกับแมทอย่างสบายใจได้แน่ เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต้องไปนอนบนโซฟา หรือถ้าแย่หน่อยก็นอนพื้น ปฏิบัติการเสี่ยงหัวก้อยจึงเริ่มต้นขึ้น
เนทคิดว่าเขาคงจะนอนไม่หลับทั้งคืนแน่เพราะในสมองมีเรื่องมากมายเหลือเกิน แต่ไม่นานหลังจากศีรษะแตะหมอนเขาก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ฝันเลยสักนิด หลับเป็นตายเสียยิ่งกว่าคนข้างๆเขาซะอีก
ค.ศ. 2069
คริส คอลลินส์ นั่งอยู่ในร้านอาหารไม่ไกลจากโรงเรียน หลังจากเหตุการณ์ระเบิดสุดอื้อฉาวเกิดขึ้นการเรียนการสอนก็ถูกยุติลงทันที แน่ละ คงไม่มีใครอยากจะนั่งเรียนต่อพร้อมๆกับเหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมีระเบิดเกิดขึ้นที่ไหนอีกหรือเปล่า
“พวกนายคิดว่าเราจะได้หยุดสักเดือนนึงไหม ครูทุกคนคงอกสั่นขวัญหายกันไปหมดแล้วป่านนี้”
แจ็กสัน กอร์ดอน เพื่อนคนหนึ่งของคริสพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อรู้ว่าตนอาจจะได้หยุดเรียนยาวอีกหลายวัน
“ผู้คนแถวนี้คงได้เก็บข้าวของย้ายหนีไปต่างเมืองแน่ๆ เผลอๆอาจจะนอกรัฐเลย” ลิเดีย สจ๊วต แฟนสาวของแจ็กสันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงถึงความยินดียินร้ายใดๆ “ว่าแต่ทำไมพวกเราถึงมานั่งอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุกันขนาดนี้เนี่ย ย้ายร้านกันดีกว่าไหม” แม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แสดงถึงความเดือดเนื้อร้อนใจอย่างที่พูดเลย
“นายเห็นเหตุการณ์ตอนมันระเบิดไหม มาก่อนพวกเราทุกคนนี่” แจ็กสันหันไปถาม คาร์ลตัน เบลล์ เพื่อนสนิทที่สุดของคริส เขามักจะเป็นคนที่มาเช้าที่สุดในกลุ่มเพื่อนเสมอ วันนี้เองก็เช่นกัน
“ก็ไม่เห็นตอนมันระเบิดหรอกนะ ตอนนั้นฉันอยู่ในอาคาร แต่พอได้ยินเสียงฉันก็รีบวิ่งออกมาดูข้างนอกเลย เสียงมันดังมาก แต่เชื่อเถอะว่าโชคดีมากแล้วที่ฉันไม่อยู่เห็นตอนมันระเบิด แค่ภาพเหตุการณ์หลังจากนั้นก็ติดตาฉันไปตลอดชีวิตแล้ว คงนอนฝันถึงมันไปอีกหลายวันแน่ๆ” คาร์ลตัน ตอบด้วยสีหน้าที่ยังหวาดๆเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เขาเห็นหลังจากเกิดระเบิด
“นายเห็นอะไร” แจ็กสันถามขึ้นด้วยสีหน้าอยากรู้
คาร์ตันเงียบไปพักหนึ่ง พยายามคิดว่าจะพูดถึงภาพที่เขาเห็นอย่างไรให้ทุกคนรับรู้ถึงความน่าสยดสยองของมันได้เท่ากับเขา แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้และเล่าออกมาเท่าที่จะทำได้ เพราะเขารู้ว่ายังไงก็ไม่มีใครจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาได้อยู่ดี
“ฉันเห็นไฟลุกไปทั่วบริเวณนั้น เห็นคนที่อยู่ในกองไฟ ตอนนั้นหนะมีคนเข้ามาในโรงเรียนเริ่มเยอะแล้ว นายเข้าใจฉันไหม ฉันเห็นคนกำลังตะเกียดตะกายอยู่ในกองไฟ บางคนก็วิ่งออกมา แต่ไปได้ไม่ไกลก็ล้มลงซะก่อน นายจำเด็กเกรดหนึ่งที่เคยมาให้เราเป็นที่ปรึกษาโครงการนึงให้ได้ไหม ที่ชื่อเจคฮิลอะไรซักอย่าง ฉันเห็นเขาวิ่งออกมาจากกองไฟ กำลังจะถึงสระน้ำพุข้างๆอาคารอยู่แล้ว อีกไม่กี่เมตร แต่เขาก็ไปไม่ถึง”
ทุกคนนิ่งเงียบ แม้แต่แจ็กสันเองที่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับเรื่องที่หลายคนสะเทือนใจยังอดรู้สึกสลดหดหู่กับเรื่องนี้ไม่ได้ เขาจำเด็กหนุ่มที่ชื่อเจคฮิลได้ เด็กผมแดงที่มีกระขึ้นเต็มแก้ม ตัวเล็กและดูอ่อนแอ เจคฮิลเคยมาขอให้แจ็กสัน คาร์ลตัน และคริส ช่วยเป็นที่ปรึกษาโครงการของเด็กเกรดหนึ่ง ถึงตอนนั้นแจ็กสันจะไม่ค่อยได้ใส่ใจช่วยเท่าไหร่ แต่เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าครั้งแรกที่เจอเจคฮิล เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่มคนนี้อย่างหาเหตุผลไม่ได้
“โชคดีที่ตอนนั้นฉันอยู่ในอาคาร ไม่งั้นป่านนี้คงได้ไปอยู่ที่เดียวกับเจคฮิลแล้ว”
“คุยเรื่องนี้แล้วฉันกินอะไรต่อไม่ลงเลย” สก๊อต แมคคอล เพื่อนอีกคนพูดขึ้นเมื่อมองไปที่เบอร์เกอร์ในจานซึ่งดูจืดชืดไม่น่ากินต่างจากก่อนที่คาร์ลตันจะเล่าเป็นอย่างมาก
“ฉันก็กินอะไรไม่ลงเหมือนกัน” คริสวางมีดสแตนเลสลงบนจานอาหาร “นายเจอเด็กซ์บ้างหรือเปล่า เมื่อเช้าหนะ” เขาหันไปถามคาร์ลตัน
“เวลานั้นหนะนะ ไม่มีทางเจอหรอก อย่างน้องนายมาเรียนวันแรกก็น่าเหลือเชื่อแล้ว จะให้เจอตอนเช้าขนาดนั้น อย่าได้หวังเลย” แจ็กสันตอบแทรกขึ้นมา
คาร์ลตัน หันไปมองหน้าแจ็กสัน “พูดตรงไปหน่อยนะ แต่ก็ถูก เช้าขนาดนั้นเด็กซ์คงยังไม่ตื่นหรอก อย่าห่วงเลย ป่านนี้เขาอาจจะยังไม่รู้เรื่องระเบิดเลยด้วยซ้ำ”
คริสเองก็คิดแบบนั้น เด็กซ์เตอร์มักจะรู้เรื่องอะไรช้ากว่าคนอื่นเสมอเพราะไม่ค่อยสนใจอะไร แม้แต่ข่าวที่อื้อฉาวกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่น้องชายของเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองที่ตนอาศัยอยู่ คริสรู้ดีว่าตอนนี้เด็กซ์คงยังหลับอยู่ในห้องนอนที่บ้านเพื่อนแน่ๆ แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกเป็นห่วง คริสโทรศัพท์ไปหาเด็กซ์เตอร์แล้วแต่น้องชายของเขาไม่เปิดเครื่อง การส่งข้อความอาจจะดูตื่นตระหนกเกินไปเขาเลยเลือกที่จะไม่ส่ง รออีกสักชั่วโมงค่อยโทรศัพท์ไปอีกทีก็ได้
ทุกคนยังคงพูดคุยถึงเรื่องเหตุการณ์ระเบิดต่อไป คริสไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เขาแค่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ไปโรงเรียนเร็วกว่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เห็นภาพติดตาเหมือนที่คาร์ลตันได้เห็นแน่ๆ
ตอนนี้เจ้าหน้าที่หลายคนมารวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมใหญ่ของสำนักงานว่าการรัฐเกรนดิกท์ เจ้าหน้าที่บางคนอยู่หน่วยตรวจสอบการทุจริตระหว่างรัฐ บางคนอยู่หน่วยคัดกรองบุคลากรทางวิชาการ บางคนอยู่หน่วยข่าวกรองภายในทางราชการต่างรัฐต่างเมือง บางคนอยู่หน่วยควบคุมดูแลและรับรองประชากรต่างแดน บางคนอยู่หน่วยเทคนิคขั้นสูงทางคอมพิวเตอร์ และบางคนอยู่หน่วยดูแลคดีอาชญากรรมทั่วไป
เคน มิลเลอร์ นั่งถัดจากวินไปสองที่นั่ง เขาและทุกคนในที่นี้ต่างมีสีหน้าตึงเครียดและหาคำอธิบายในเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ ทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าจดหมายที่พวกเขาได้รับจะต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้นแน่ๆ กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อความอยู่ไม่กี่บรรทัดเหมือนๆกันวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าของทุกคน มีก็แต่เคนเท่านั้นที่บนโต๊ะตรงหน้าว่างเปล่าเพราะกระดาษที่เขาได้ตอนนี้อยู่ในมือของวิน ทุกคนต่างมองไปที่ใบหน้าที่ทั้งงุนงงและสับสนของรองผู้ว่าการ วิน มอเร็ตซ์ ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้วินกำลังคิดอะไรอยู่ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะคิดยังไงกับเรื่องนี้
เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่หน้าห้องดึงดูดความสนใจของทุกสายตาให้มองไปยังต้นเสียง ผู้ว่าการ แบรนดอน ไรอัน เดินเข้ามาในห้องประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างจากทุกคน ที่นั่งหัวโต๊ะถูกเว้นว่างไว้เสมอเมื่อแบรนดอนไม่อยู่ แม้แต่วินเองยังไม่เคยคิดที่จะนั่ง ไม่ว่าใครที่รู้จักแบรนดอนต่างก็รู้สึกไม่อยากจะแตะต้องสิ่งของอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับเขา เพราะราวกับว่ารังศรีแห่งความเคร่งเครียดและกดดันจะติดตามตัวคนผู้นั้นไปด้วย
แบรนดอนเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง เขามีรูปร่างสูงใหญ่และมีใบหน้าที่ชวนให้นึกถึงผู้นำทางกบฏสมัยก่อน
“ยังไม่มีใครเอามันไปทำสำเนาใช่ไหม” เขาหันไปถามวิน
“ครับ เรานำทุกใบไปตรวจหาล่องรอยเบาะแสทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลย” วินตอบ
“สรุปว่าตัวกระดาษไม่มีความสำคัญอะไรเลยนอกจากตัวเนื้อหาของมัน ขอฉันดูหน่อยสิ”
วินส่งกระดาษที่ถูกใส่ไว้ในตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านของเคนให้ผู้ว่าการแบรนดอน เขามองมันด้วยสายตาฉงนไม่ต่างจากวินตอนที่เห็นมันครั้งแรก
“ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตำแหน่งที่ตั้งของตู้ไปรษณีย์แต่ละคนหรือยัง” แบรนดอนถาม
“กำลังดำเนินการอยู่ครับ แต่จุดที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่มีแค่สี่ที่ และเป็นกล้องของส่วนนิติบุคคล คงต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะประสานเรื่องร้องขอมาได้”
แบรนดอนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ปัญหาทำนองนี้ทางภาครัฐต้องเจอเป็นประจำ ใช่ว่าทั้งแบรนดอนและวินเองก็มีตำแหน่งใหญ่โตไม่น้อยที่จะสามารถดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินที่อาจเป็นเบาะแสให้กับคดีอาชญากรรมภายในรัฐได้ไม่ยาก แต่ในเรื่องของธุรกิจและภาคเอกชนเองก็มีสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลของตน หลายต่อหลายครั้งที่การดำเนินการตรวจสอบล่าช้ากว่าที่ควรเพราะกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคลทำให้ทางภาครัฐไม่สามารถตรวจสอบสิ่งใดได้อย่างสะดวก แต่ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดที่เป็นปัญหาและล่าช้าเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ทุกคนตรวจสอบตู้ไปรษณีย์กันทุกวันใช่ไหม มีใครคิดว่าจดหมายมันอาจจะค้างอยู่ในตู้เกินหนึ่งคืนหรือเปล่า” แบรนดอนถามขึ้นอีก
เรื่องนี้วินยังไม่ได้ถามเจ้าหน้าที่แต่ละคน แต่คำตอบก็เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิด เจ้าหน้าที่ทุกคนตอบแบรนดอนไปว่าพวกเขาตรวจสอบตู้ไปรษณีย์ของตนทุกเช้าและเย็นทุกวัน
จดหมายนี่ยิ่งดูก็ยิ่งหาเหตุผลให้กับมันไม่ได้ มันถูกใส่ไว้ที่หน้าบ้านของเจ้าหน้าที่หลายๆคนเหมือนกับเป็นการสุ่มส่ง แต่เนื้อหาในจดหมายทุกฉบับต่างกำกับไว้อย่างชัดเจนว่าให้นำจดหมายฉบับนี้มาขึ้นตรงกับแบรนดอน ไรอัน และวิน มอเร็ตซ์
เพื่ออะไรกัน....
ตัวเลขและตัวอักษรที่ผสมกันเป็นรหัสสั้นๆดูจะไม่มีความหมายอะไรเลย
“มันดูเหมือนรหัสพื้นที่หรือรหัสบอกพิกัดในคอมพิวเตอร์อะไรทำนองนั้นบ้างไหม” แบรนดอนถามขึ้นอีก
“ท่านผู้ว่าการครับ” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งในหน่วยคัดกรองบุคลากรทางวิชาการเอ่ยขึ้น “เป็นไปได้ไหมที่ตัวดับเบิ้ลยูกับซีจะหมายถึงเวสต์คอลล์”
ทุกคนมองไปที่รหัสในกระดาษ วินและเคนหันมามองหน้ากันแวบหนึ่งเพราะพวกเขาต่างก็ไม่มีกระดาษให้มองทั้งคู่
“อาจจะเป็นไปได้” แบรนดอนตอบ “เพราะตัวอักษรในรหัสนี้ก็มีแค่ตัวดับเบิ้ลยูกับซี บางทีรหัสนี้อาจจะถูกจัดวางไว้แบบมั่วๆ”
“ถ้าตัวดับเบิ้ลยูกับซีหมายถึงเวสต์คอลล์” เจ้าหน้าที่อีกนายในหน่วยเทคนิคขั้นสูงทางคอมพิวเตอร์ที่นั่งอยู่ติดกับเคนเอ่ย “ผมว่าบางทีรหัสนี้มันอาจจะบอกอะไรบางอย่างออกมาตรงๆเลยก็ได้นะครับ แต่แค่ถูกจับเรียงสลับกันมั่วๆ”
เคนก้มลงมองรหัสในกระดาษของเจ้าหน้าที่นายนั้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้น” วินเอ่ยและขอกระดาษจากเจ้าหน้าที่คนข้างๆ “ผมขอลองเดาดูแล้วกันนะ”
ทุกคนหันไปมองที่วิน
เขาพูดต่อ “ถ้ารหัสนี้ต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับเราแบบตรงๆ ไม่จำเป็นต้องตีความ หกสองซี” เคนเริ่มอ่านรหัสตามแบบที่ถูกเรียงมาในจดหมาย “เจ็ดหนึ่งดับเบิ้ลยูสี่ ถ้าเอามาแปลเป็น ดับเบิ้ลยูซี หมายถึงเวสต์คอลล์ หก คือถนนสายที่หก ตัวเลขที่เหลืออาจจะเป็นเวลาเกิดเหตุ ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นเจ็ดสองสี่ เพราะใกล้เคียงกับเวลาที่บันทึกในแฟ้มคดีที่สุดแล้ว ส่วนหนึ่ง... อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเดายากตรงเวลาเกิดเหตุนี่แหละ มันต้องคลาดเคลื่อนไปจากที่คนตั้งรหัสกำหนดไว้อยู่แล้ว ไม่มีทางที่เราจะสามารถระบุเวลาเป็นวินาทีได้ตรงเป๊ะๆแน่ หรือบางทีมันอาจจะไม่ได้หมายถึงเวลาเกิดเหตุ” เคนหยุดพูดไปครู่นี้ “ผมเริ่มงงแล้วตอนนี้”
ทุกคนต่างก็งงเหมือนกับวิน การสันนิษฐานของวินดูจะง่ายเกินไปและมีโอกาศที่จะเดาพลาดเยอะเหลือเกิน แต่ ณ ตอนนี้ไม่มีข้อสันนิษฐานใดที่จะเข้าเค้าไปมากกว่าแนวคิดนี้ของวินอีกแล้ว
“ขอประทานโทษค่ะ” เสียงเลขาสาวของแบรนดอนดังมาจากหน้าประตูกระจกของห้องประชุม ทุกคนหันไปมองที่เธอ “มีรายงานด่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดส่งตรงมาถึงท่าน ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าจะต้องรีบรายงานท่านทันที” เลขาสาวมีสีหน้าตึงเครียดจนแบรนดอนเริ่มไม่อยากจะรับรู้สิ่งที่เธอต้องการจะบอกต่อจากนี้
“ว่ามา” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“ตอนนี้” เสียงเธอเหมือนจะขาดหายไปครู่หนึ่ง “มีรายชื่อผู้เสียชีวิตคนที่หนึ่งปรากฏขึ้นแล้วค่ะ ท่านต้องการจะให้ทางโรงพยาบาลเปิดเผยชื่อต่อสื่อมวลชนเลยไหมคะ”
“ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านแล้วนะครับ ปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม่จะไม่ได้ถามถึงเด็กซ์แต่ถ้าผมติดต่อเขาได้เมื่อไหร่จะรีบบอกแล้วกันนะครับ เพราะผมรู้ว่าแม่เป็นห่วง”
คริสพูดใส่ในวิดีโอแล้วส่งไปให้เคธี่หลังจากที่ได้รับข้อความถามไถ่จากเธอ เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาหน้าจอโทรทัศน์ หยิบรีโมทขึ้นมากดเปิด ในจอปรากฏภาพข่าวเหตุการณ์ระเบิด คริสกดเปลี่ยนไปยังโปรแกรมภาพยนตร์เข้าใหม่ เขาเบื่อที่จะฟังเรื่องเหตุการณ์เมื่อเช้าเต็มที
เสียงข้อความในโทรศัพท์ของคริสดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาแล้วกดเปิดไปยังแอพพลิเคชั่นที่ข้อความนั้นส่งเข้ามา
เป็นข้อความจากเด็กซ์เตอร์
‘ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านดีแลน เห็นข่าวแล้ว พี่เป็นยังไงบ้าง ’
คริสยิ้มออกมาเมื่ออ่านข้อความนั้น เขามองวันที่ของข้อความที่แล้ว เป็นวันที่ของเจ็ดเดือนก่อน นี่เขาไม่ได้คุยกับเด็กซ์เตอร์ผ่านทางโทรศัพท์มานานขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย
คริสส่งกลับไปว่าเขาปลอดภัยดีและอยากเจอ ไม่แน่ว่าเหตุการณ์นี้อาจจะทำให้เขากับน้องชายหันหน้ามาคุยกัน อาจจะไม่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็มากกว่าที่เป็นอยู่
เขาเลื่อนดูรายชื่อภาพยนตร์แล้วเลือกไปที่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการหยุดยั้งโครโมโซมรูปร่างประหลาดที่กำลังแพร่พันธุ์ในร่างกายมนุษย์
ภาพยนตร์ฉายไปได้ครึ่งเรื่องเสียงข้อความโทรศัพท์ของคริสก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เด็กซ์เตอร์ตอบกลับข้อความเขาแล้ว
คริสอ่านข้อความนั้นแล้วกดปิดโทรทัศน์ เขาลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนเป็นเสื้อผ้าลำลองแล้วเดินออกจากเพนท์เฮาส์เพื่อไปยังสถานที่ที่เด็กซ์บอกไว้ในข้อความ
แบรนดอนยืนกุมขมับอยู่ภายในห้องรับรองของโรงพยาบาล ตอนนี้มีนักข่าวแฝงตัวอยู่ภายนอกเต็มไปหมด ถึงตอนนี้เขาจะบอกชัดเจนว่ายังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์ แต่นักข่าวบางคนก็พยายามทำตัวเหมือนกับว่าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา
ข่าวเริ่มแพร่ขยายออกไปในหลายๆรัฐแล้ว รายชื่อผู้เสียชีวิตก็มีมากขึ้นเรื่อยๆจนเขาเริ่มไม่อยากจะรับรู้ แต่ด้วยหน้าที่การงานไม่มีทางที่แบรนดอนจะสามารถหลับหูหลับตาไม่สนใจผู้คนเหล่านั้นได้ เส้นเลือดตรงขมับขวาของเขาเริ่มปูดขึ้นมาเนื่องจากความเครียด เขารู้สึกอยากจะให้วันเวลาผ่านไปเร็วๆเพื่อที่เขาจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัวสักที
ชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาเพื่อนำกาแฟร้อนมาให้แบรนดอน ทันทีที่ประตูแง้มออกเสียงผู้คนภายนอกก็ดังเข้ามาทำให้เส้นเลือดตรงขมับของเขาปูดขึ้นมากกว่าเดิม
“ต้องการอะไรเพิ่มไหมครับท่านผู้ว่าการ” ชายคนนั้นเอ่ยถาม
แบรนดอนส่ายหน้า “ไม่ ขอบคุณ”
ชายคนนั้นหันหลังกลับและกำลังจะเปิดประตูออกไปจากห้องแต่ก็ถูกแบรนดอนเรียกเอาไว้ซะก่อน
“จัดระเบียบผู้คนภายนอกให้เรียบร้อย” เขาบอกกับชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเหนื่อยล้า “เคลียร์พื้นที่เตรียมไว้ อีกครึ่งชั่วโมงฉันจะแถลงข่าว”
ชายหนุ่มพยักหน้าและเดินออกไปจากห้อง
สิบนาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ของแบรนดอนก็ดังขึ้น เป็นสายจากเอ็มมี่ ไรอัน ลูกสาวของเขา
“มีอะไรเหรอ ตอนนี้พ่อกำลังยุ่ง”
“มีข้อความส่งเข้ามาในโทรศัพท์หนู แต่มันเขียนไว้ว่าเป็นข้อความถึงพ่อ”
เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้ยินแบรนดอนก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาแปลกๆ และทันทีที่ลูกสาวของเขาอ่านข้อความให้ฟัง หัวใจของเขาก็หล่นวูบ
..................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ