"Be askew" ภารกิจ ขีดเส้นอันตราย...

8.5

เขียนโดย นอร์เวย์

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.22 น.

  4 chapter
  7 วิจารณ์
  7,817 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 19.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) broken life

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

1

 

ค.ศ. 2014

           

             แสงแดดร้อนระอุสาดส่องมายังบริเวณโล่งแจ้งที่เต็มไปด้วยกรวดหินของหน้าโรงไม้เก่าที่ดูสภาพน่าจะเคยเป็นร้านเหล้ามาก่อน     เพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงรองเท้าหนังที่ไม่ได้ถึงกับขึ้นเงาวับแต่เรียกได้ว่าสะอาดเอี่ยมของเนทก็มีสภาพไม่ต่างกับขนมปังที่ถูกโรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่งจนทั่ว     ฝุ่นผงที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้เขารู้สึกทั้งร้อนทั้งสกปรกและแสบตา     ไม่บ่อยครั้งที่ เนท สไตน์เมซ เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนประจำสำนักงานเอฟบีไอนิวยอร์กจะได้รับภารกิจให้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ที่มีสภาพอากาศแบบนี้     มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมแดด     เนทรู้สึกแบบนี้ทุกครั้งที่เจออากาศร้อนมากๆ    แต่เขาก็ไม่เคยเป็นลมแดดจริงๆสักที

 

            “นี่เรารอมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย”   แมท ทิลเลอร์   เพื่อนตำรวจคนสนิทของเขาเอ่ยถามพลางปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามขมับ

 

            เนทก้มมองนาฬิกาข้อมือ   “ประมาณสี่สิบกว่านาทีได้แล้ว”

 

            บรรยากาศโดยรอบยังคงเงียบเชียบ    ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆนอกจากเสียงลมหายใจและการยกมือขึ้นปาดเหงื่อของพวกเขาทั้งสอง     มีกำลังเสริมแฝงตัวอยู่โดยรอบบริเวณนี้    ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากเพราะตอนนี้เนทไม่รู้เลยว่าพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน    

 

            เวลาผ่านไปอีกยี่สิบนาที    ตอนนี้เนื้อตัวของเนทชุ่มไปด้วยเหงื่อ    เขารู้สึกอยากจะกระโดดลงสระว่ายน้ำที่ไหนสักแห่งก็ได้ในตอนนี้     ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไออย่างเขาจะไม่ชอบให้ตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าสมบุกสมบัน    ที่จริงคนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบเนทนี่แหละ    แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีมากกว่าตำรวจท้องที่หลายๆคนก็คือเรื่องความอดทน    หรือความจริงแล้วเนทอาจจะแค่คิดเข้าข้างตัวเองก็ได้

 

            มีเสียงหนึ่งดังขึ้น     เนทและแมทหันมามองหน้ากัน     เสียงล้อรถเสียดสีกับก้อนกรวดบนพื้น    ทั้งคู่กระชับปืนในมือแน่น    สูดลมหายใจเข้าเตรียมพร้อม

 

            รถเชฟโรเลต สปิน  คันสีขาวแล่นเข้ามาในบริเวณลานโล่งๆหน้าโรงไม้แล้วจอดตัวลง

 

            ช่างเลือกสถานที่ส่งของได้เหมาะกับยานพาหนะที่ใช้เสียจริง      เนทคิดอย่างประชด

 

            ประตูรถเปิดออก     ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาดกับกางเกงยีนส์หลวมๆเดินลงมาจากรถ    ทุกอย่างดูจะผิดไปจากที่เนทคิดไว้ตอนแรกเล็กน้อย       ชายเสื้อขาวเดินเข้าไปในโรงไม้     เนทและแมทมองหน้ากันเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงต่อดี    แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจอะไรก็มีเสียงรถอีกคันแล่นเข้ามาซะก่อน     รถกระบะไม่มีป้ายทะเบียนสีเทาที่เขรอะไปด้วยฝุ่นแล่นเข้ามาจอดข้างๆรถของชายเสื้อขาว

 

            “อย่างนี้สิถึงค่อยเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้หน่อย”   เนทเอ่ยขึ้น

 

            “อะไร”   แมทหันมาถามด้วยเสียงแผ่วเบา

 

            “รถไง”    เนทมองไปที่รถทั้งสองคันที่มีสภาพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

            แมทไม่ใส่ใจคำพูดเพื่อนของตน     ชายวัยกลางคนที่ดูน่าจะอายุน้อยกว่าชายเสื้อขาวคนเมื่อกี้เดินลงมาจากรถ    เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน    กางเกงสแล็คสีดำรีดจนเรียบเห็นรอยจีบชัดเจน    ผมที่ดูไม่ค่อยหนาเท่าไหร่ถูกเซตให้อยู่ในทรงเสยขึ้นชนิดที่ว่าคนที่สามารถจัดทรงผมออกมาเป็นทรงนี้ได้อย่างชำนาญก็คงสามารถเป็นช่างทำผมได้เลย    ท่าเดินเนิบๆแต่ดูภูมิฐานบ่งบอกถึงบุคลิกภาพที่ผ่านการพบปะผู้คนมาไม่น้อยทีเดียว

 

            อืม...   จะมีอะไรขัดแย้งมาให้เขาได้ตื่นตาตื่นใจอีกบ้างนะ    เนทคิด

 

            ชายเสื้อฟ้าเดินเข้าไปในโรงไม้    

 

            “ตามไปเลยไหม”   แมทถามขึ้น

 

            เนทพยักหน้า

 

            ทั้งคู่ค่อยๆเดินออกมาจากหลังแผ่นไม้เก่าผุๆขนาดใหญ่ที่มีคนเอามาวางพิงไว้ข้างโรงไม้     เนทมองไปรอบๆบริเวณที่รถสองคันจอดอยู่      ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครหลบซ่อนอยู่ในบริเวณนี้     บานประตูทางเข้าของโรงไม้ไม่อยู่แล้ว    มันหายไปเพราะอะไรไม่รู้     แต่ก็ทำให้การทำงานของทั้งคู่ง่ายขึ้นเยอะ   

 

            เนทค่อยๆเดินไปแอบอยู่ริมประตูแล้วชะเง้อมองเข้าไปข้างใน    ไม่เห็นใคร    เขาหันมาพยักหน้าให้แมท      แมทส่งสัญญาณมือบอกให้กำลังเสริมของเขาออกจากที่ซ่อนตัวได้แล้ว    ไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจสี่ห้าคนก็ค่อยๆเผยตัวออกมาจากพงหญ้า    ป้ายโฆษณาเก่าๆที่ขึ้นสนิม    เศษรถยนต์(ใช้คำว่าเศษดูจะเหมาะที่สุด)ที่ถูกทิ้งไว้ใกล้ๆกับป้ายโฆษณา     และอะไรก็แล้วแต่ที่สามารถใช้เป็นที่กำบังได้  

 

            เนทและแมทค่อยๆย่องเข้าไปข้างในอย่างเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้     สภาพภายในดูแย่กว่าภายนอกเสียอีก    เนทอยากจะรู้จริงๆว่าชายเสื้อขาวหรือเสื้อฟ้าที่เป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้      ไม่รู้ว่าอยากจะทำให้เหมือนกับภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวตำรวจจับผู้ร้ายที่มักจะใช้สถานที่โกโรโกโสแบบนี้มาเป็นฉากหรืออย่างไร     ไร้ซึ่งความจำเป็นจริงๆ

 

            มีเสียงพูดคุยดังแว่วมาจากห้องถัดไปทางด้านขวา    เนทหันไปมองกำลังเสริมของเขา    ทุกคนดูพร้อมสำหรับการจับกุม      เนทค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ขึ้นและหยุดฟังบทสนทนา    เป็นอย่างที่คิดเอาไว้    ชายเสื้อขาวและเสื้อฟ้าแสนลึกลับกำลังตกลงเรื่องเงินกันอยู่จริงๆด้วย

 

            เนทส่งสัญญาณมือเป็นการนับหนึ่งถึงสาม     ทันทีที่สามนิ้วถูกชูขึ้นเขาและแมทก็พุ่งตัวเข้าไปในห้องพร้อมกับยกปืนขึ้นและบอกให้ชายทั้งสองคุกเข่าลงยกมือขึ้นประสานไว้หลังศีรษะ

 

            “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด    เพราะคำพูดทุกคำจะถูกนำไปพิจารณาในชั้นศาล     คุณมีสิทธิ์จะเรียกทนาย    แต่ถ้าคุณไม่มีทนายศาลจะจัดหาให้เอง”    แมทเอ่ยขณะใส่กุญแจมือผู้ต้องหา

 

            การจับกุมช่างเป็นไปอย่างง่ายดาย     ง่ายซะจนเนทรู้สึกแปลกๆ     เขาหยิบกระเป๋าเอกสารที่วางอยู่ข้างๆชายเสื้อขาวขึ้นมาเปิดออกแล้วก็แทบจะขว้างทิ้ง

 

            “บ้าเอ๊ย”   เนทสบถออกมา

 

            เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนหันมามองสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าแล้วก็แทบจะสบถออกมาแบบเดียวกัน

 

            “นี่เราสองคนมาจับกัญชากันเหรอเนี่ย”    แมทพูดอย่างหัวเสีย     “มันอะไรกันวะ”

 

            “มีอย่างอื่นอีกนอกเหนือจากนี้ไหม”    เนทหันไปถามผู้ต้องหาทั้งสองที่แสดงสีหน้างุนงงขึ้นมาเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของคนที่จับพวกเขาใส่กุญแจมือ

 

            “ผมขอใช้สิทธิ์ในการไม่พูดอะไร”    ชายเสื้อฟ้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแฝงความยโสไว้ได้อย่างละเมียดละไมจนเนทนึกนับถือ

 

            “ผมด้วย”   ชายเสื้อขาวเองก็เออออตามไปด้วย    ยิ่งสร้างปัญหาให้กับเนทเข้าไปใหญ่

 

            “เอาไงกันดีหละทีนี้”    แมทถามขึ้น

 

            “ตรวจค้นโรงไม้นี้ทุกซอกทุกมุม”   เนทหันไปบอกกับกำลังเสริมที่แทบไม่ได้มีบทบาทอะไรในการจับกุมครั้งนี้เลย    “เราอาจจะประมาทงานนี้มากเกินไป”

 

 

 

 

 

            “พวกนายทำงานพลาดอีกแล้ว”   

 

            เนทกรอกตาพร้อมๆกับที่แมทถอนหายใจออกมาแล้วยักไหล่     

 

            “ฉันไม่รู้ว่าช่วงนี้พวกนายมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเป็นการส่วนตัว      แต่จะให้เราเอางบมากมายไปให้พวกนายใช้จับพ่อค้ากัญชากระจอกๆพวกนี้ไม่ได้หรอกนะ”

 

            เสียงที่ดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์แสดงถึงความโกรธและหงุดหงิดเต็มพิกัด     แต่มันไม่ได้สร้างความน่าสะพรึงกลัวหรือน่าเกรงขามให้กับคนทั้งสองที่กำลังนั่งทำสีหน้าเบื่อโลกอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องพักของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

 

            “ตำรวจสีห้าคนเนี่ยนะ”    แมทเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

 

            “อะไรนะ”        เจมส์  แฮนสัน  หัวหน้าเอฟบีไอประจำสำนักงานที่เนทและแมททำงานอยู่เอ่ยถามขึ้นมาทันควัน    พวกเขานึกดีใจเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องคุยกับคนปลายสายผ่านคอมพิวเตอร์แบบเห็นหน้า     เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นสีหน้าเบื่อหน่ายของทั้งคู่ในขณะนี้คงไม่สามารถแสดงออกมาได้แน่

 

            “ไม่มีอะไรครับ   เชิญหัวหน้าพูดต่อเลย”    แมทตอบพลางเบะปากใส่โทรศัพท์

 

            “เราโดนพวกมันต้มแบบนี้แล้ว    การวางแผนจับกุมครั้งต่อไปคงไม่ใช่เรื่องง่าย    พวกนายต้องทำงานให้รอบคอบมากกว่าเดิม”

 

            บทสนทนาอีกเกือบสิบนาทีต่อจากนี้ช่างน่าเบื่อเกินจะบรรยาย     เจมส์  แฮนสัน ยังคงพูดมากและใช้คำที่ทำให้พวกเขาดูเหมือนเป็นตำรวจอ่อนหัดที่ทำงานพลาดมานับครั้งไม่ถ้วนทั้งๆที่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาจากเหตุสุดวิสัยเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้     และถ้าให้นับกันจริงๆครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองเองตั้งแต่ต้นปีที่พวกเขาทำงานพลาด

 

            “คงเป็นช่วงขาลงของพวกเราจริงๆ”    แมทพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายหลังจากที่วางสายไป     “อยากไปหาอะไรแก้เซ็งหน่อยไหม”   

 

            เนทลุกเดินไปที่ริมห้อง    มองออกไปนอกกระจก     วิวของถนนย่านดาวน์ทาวน์ในซานดิเอโก้ช่างสวยงามน่าอภิรมย์ซะจริงๆ      การจราจรไม่คับคั่ง    ผู้คนไม่แออัด    บรรยากาศสบายๆชวนให้นึกถึงชายทะเล     ยิ่งมองจากมุมนี้ทำให้เขายิ่งคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตน     เนทคิดถึงนิวยอร์ก    คิดถึงความเร่งรีบและวุ่นวาย     คิดถึงภาพรถติดบนสะพานบรูคลิน       คิดถึงการแวะซื้อฮอทดอกข้างทางแล้วกินมันขณะขับรถเพื่อให้ไปถึงสถานที่นัดหมายตรงเวลา      ช่างฟังดูไม่ศิวิไลซ์เอาเสียเลย      แต่เขาก็รักบรรยากาศแบบนั้นมากกว่า       การทอดถอนใจไม่ได้ทำให้อะไรๆดีขึ้น    แต่มันก็เป็นปฏิกิริยาทางร่างกายที่ทำให้เนทรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว

 

            “แล้วแต่นายเลย”    เนทตอบ

 

 

 

 

 

            “นี่นายวางแผนจะฆ่าฉันด้วยโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดหรือไงกันเนี่ย”

 

            เนทพูดพลางมองไปที่อาหารแต่ละอย่างบนโต๊ะในร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก     ขาหมูเยอรมันหนังกรอบจานใหญ่ที่พนันได้เลยว่าต่อให้อร่อยแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีทางกินมันหมดได้       ใส้กรอกแฟรงก์เฟิร์ตรมควันแกล้มกับแตงกวาดองที่ส่งกลิ่นหอมจนแทบจะทนไม่ไหว       พอร์ค ชอปเนื้อฉ่ำ     เฟรนช์ฟรายที่ร้อนจนควันขึ้น     และสปาเก็ตตี้ คาโบน่าร่าที่ดูจะใส่ซอสเพสโต้เยอะไปหน่อยจนทำให้ความน่ากินลดลง

 

            “ฉันเห็นช่วงนี้นายไม่ค่อยกินอะไรเลย    ผอมไปมันจะดูไม่น่าเกรงขามนะ”

 

            เนทชี้มาที่ตัวเอง  “ฉันเนี่ยนะผอมไป    ความจริงช่วงนี้ฉันกำลังควบคุมอาหารอยู่     พอนายชวนมาก็เลยคิดว่าจะแหกกฎสักหน่อย”    เขาทำสายตาลังเลใส่อาหารตรงหน้า      “แต่บางทีฉันอาจจะคิดผิด”

            “ถามจริงเหอะ”    แมททำสีหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อ    แต่น้ำเสียงเนทดูไม่น่าจะล้อเล่น  “หุ่นอย่างนายยังจะต้องลดอะไรอีก”

 

            “ฉันอยากจะลดสักสองสามโล    ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะนิยมหุ่นล่ำบึ้กแบบนายหรอกนะ”

 

            แมททำท่าไม่สนใจ    ถ้าเทียบขนาดตัวของทั้งคู่    ดูภายนอกแมทเหมือนจะมีน้ำหนักมากกว่าเนทประมาณสิบปอนด์        พวกเขาเคยช่างน้ำหนักแล้วเอามาเปรียบเทียบกันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน    ปรากฏว่าแมทมีน้ำหนักมากกว่าเนทถึงสิบสองปอนด์

 

            ขณะที่แมทกำลังหั่นขาหมูเยอรมันในจานของตนเอง    อยู่ๆเขาก็คิดถึงเรื่องที่เนทเอามาบ่นกับเขาเมื่อสองวันที่แล้ว     แต่ตอนนั้นแมทไม่ได้สนใจ

 

            “แล้วเรื่องแฟนนายเป็นยังไงบ้าง”

 

            เนทหยุดชะงักเมื่อได้ยิน   ไม่นานเขาก็กลับไปหั่นอาหารในจานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น    

           

            “แฟนเก่า”

 

            “ฮะ”    แมทเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้า    

 

            ถึง โอลิเวีย ไรท์ จะเป็นผู้หญิงที่ขี้หึงขี้กังวลไปสักหน่อย    แต่การทะเลาะกันแต่ละครั้งของเธอกับเนทก็ไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่        จะมีบ้างที่เนทมาระบายกับแมทว่าการที่โอลิเวียเอาเรื่องในอดีตมาพูดตอนมีปากเสียงกันทำให้อะไรๆยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิมจนทำให้เนทอดคิดไม่ได้ว่าบางทีความสัมพันธ์ครั้งนี้กับเธออาจจะยังไม่ใช่อะไรที่ถูกที่ถูกทาง       แต่สุดท้ายไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายขอโทษใครก่อน     ในที่สุดพวกเขาก็จะกลับมาคืนดีกันและรักกันหวานชื่นเหมือนเช่นเดิม

 

            แต่ดูท่าทางครั้งนี้จะทะเลาะกันหนักหน่วงเอาการ

 

            “จบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่    แต่ก็ช่างมันเถอะ    ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาใส่ใจ”

 

            สีหน้าของเนทดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรแบบที่ปากพูด    แต่แมทรู้ดีว่าเพื่อนรักของเขาเป็นคนอย่างไร

 

            “ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

            “หมายถึงอะไร”

 

            “หมายถึง    นายเริ่มใช้คำว่าเก่ากับเธอ   ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

            “เมื่อวาน”   เนทตอบเสียงเรียบ

 

            บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง

 

            “นายโอเคใช่ไหม”

 

            เนทพยักหน้าเล็กน้อย      แล้วก้มหน้าก้มตาหั่นอาหารที่อยู่ในจานต่อไป

 

            “ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ”

 

            “แต่ความจริงแล้วนายก็อยากจะฟังใช่ไหมหละ”     เนทพูดออกมาอย่างรู้ทัน

 

            แมทยักไหล่  

 

            เนทเริ่มเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเขาและโอลิเวีย     “จริงๆเราเริ่มบาดหมางกันมาสักพักใหญ่แล้ว      เราทะเลาะกันแทบจะทุกเรื่อง    ความเห็นไม่ตรงกัน    เธอจะเอาอย่างฉันจะเอาอีกอย่าง     ก็รู้แหละนะว่าบางทีก็ควรจะตามใจเธอบ้าง     แต่ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือน...”     เนทหยุดพูด   เขาทำสีหน้าเหมือนคิดไม่ออกว่าจะใช้คำไหนดีให้เหมาะสมที่สุด

 

            “นายเบื่อเธอ”

 

            “อย่าใช้คำพูดให้ฉันดูแย่ขนาดนั้นได้ไหม”    เนทรีบสวนทันควัน   “ฉันก็แค่รู้สึกเหมือนกับว่า....    ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันกำลังถึงจุดอิ่มตัว    มันเลยเวลาที่จะ    ยังไงดีหละ    ไม่รู้สิ   บางทีฉันว่า...”   เนทพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่งจนในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา    “ถูกของนาย    ฉันอาจจะแค่เบื่อเธอ      ดูเป็นผู้ชายที่แย่มากเลยไหม”

 

            “ใช่”    แมทตอบทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน    “นายกำลังทำให้เธอเสียใจและคิดไปต่างๆนาๆว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นความผิดของเธอ”

 

            “แล้วจะให้ฉันทำยังไงหละ”

 

            แมทครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่ง    แต่แล้วก็ส่ายหน้า   “ไม่รู้สิ    ความจริง     ฉันเองก็ไม่ค่อยชอบพฤติกรรมที่เธอชอบขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆของนายมาพูดเหมือนกัน    แต่มันก็ยังไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงพอจะทำให้นายดูดีขึ้นได้”

 

            เนทนิ่งไป   สายตาหลุบลงต่ำ   

 

            แมทรู้สึกได้ว่าเรื่องมันคงไม่ใช่แค่การไม่เข้าใจกันธรรมดาๆแน่ๆ      และดูท่าทางของเนทคงอยากจะระบายสิ่งที่เกิดขึ้นออกมาให้ใครสักคนฟัง  

 

            “มีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาเถอะ   ฉันจะไม่ตัดสินนายไม่ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง”

 

            สายตาเศร้าโศกยังคงมองลงที่โต๊ะ    หยุดนิ่ง    และแสดงถึงความเหนื่อยล้าและบอบช้ำจากเหตุการณ์ที่เขาได้เจอ     ในที่สุดเนทก็ยอมเปิดปากออกมา

 

            “ฉันจับได้ว่าโอลิเวียนอกใจฉัน”

 

            ทั้งคู่นิ่งไป     

 

            บรรยากาศทุกอย่างดูจะเงียบไปชั่วขณะ    กว่าเนทจะพูดคำต่อไปได้ก็ผ่านไปเกือบนาที

 

            “ตอนนั้นฉันกำลังจะกลับไปที่ห้อง   จำได้ไหม    วันที่ฉันบอกนายว่ามีธุระต้องไปจัดการด่วน     ไม่ต้องรอมื้อค่ำ”

 

            แมทจำได้     วันนั้นเขาซื้ออาหารเม็กซิกันมาจากร้านดังในย่านเกทเวย์     เขาโทรศัพท์บอกเนทว่าจะรอกินมื้อค่ำด้วยกัน    แต่หลังจากเขาวางหูโทรศัพท์ได้ไม่ถึงชั่วโมง      เนทก็โทรมาบอกเขาว่าไม่ต้องรอกินมื้อค่ำด้วยกันแล้วเพราะมีธุระด่วนต้องไปจัดการ    หลังจากนั้นเกือบตีสามเนทก็กลับมาที่ห้อง     สภาพเมาเละจนแทบดูไม่ได้

 

            เนทพูดต่อ   “ตอนนั้นฉันกำลังขับรถอยู่ตรงทางแยกใกล้จะเข้าเขตดาวน์ทาวน์       เปิดเพลงเคาท์ติ้ง สตาร์     ช่วงที่รถกำลังติดไฟแดง      มีเสียงข้อความเข้าในโทรศัพท์ของฉัน”    เนทเล่าทั้งหมดด้วยสายตาที่เหม่อลอย     เหมือนกำลังนึกภาพตามเป็นฉากๆ     “ไม่ปรากฏหมายเลขผู้ส่ง     แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นหรอก    เพราะถ้าจะตรวจสอบจริงๆไม่กี่นาทีก็รู้แล้วว่ามาจากใคร     สิ่งที่ส่งเข้ามาเป็นไฟล์วิดีโอ    ต้องใช้เวลาโหลดอยู่พักหนึ่งแหนะกว่าจะเปิดได้    ไม่รู้ว่าไฟล์มันใหญ่หรือโทรศัพท์ฉันมันไม่ได้เรื่องกันแน่    แต่ดูท่าทางน่าจะเป็นอย่างหลัง”

 

            เนทหยุดเล่า     เหมือนสิ่งที่กำลังจะพูดต่อจากนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมัน

 

            แมทเลื่อนแก้วน้ำของเนทไปใกล้ๆเจ้าตัวมากขึ้น     “กินน้ำก่อนไหม”   เขาเอ่ย

 

            คงเป็นประโยคปลอบประโลมทีเห่ยที่สุดในประวัติการณ์เป็นแน่      แต่ถึงกระนั้นเนทก็ยังยกน้ำขึ้นดื่มตามคำแนะนำ 

 

            “ฉันขับไปจนเจอไฟแดงอีกรอบ     แล้วก็เปิดดู”   เนทเริ่มเล่าต่อ    “เป็นภาพของห้องรับแขกในบ้านหลังหนึ่ง      ฉันคิดว่าน่าจะเป็นห้องรับแขก     มีเสียงเปิดประตู     แล้วผู้ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา    แวบหนึ่งฉันเห็นเขามองมาที่กล้องด้วย    เหมือนจะยิ้มให้กล้องนิดนึงด้วยซ้ำ      แล้วอีกคนก็เดินตามเข้ามา....     โอลิเวีย”

 

            การเล่าหยุดลงอีกแล้ว     แต่คราวนี้แมทไม่พูดอะไร    เนทล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา     กดอะไรบางอย่างแล้ววางมันลงตรงหน้าแมท

 

            “นายดูเองดีกว่า”    เนทบอกเสียงเรียบแล้วหันหน้ามองออกไปนอกกระจกร้าน

 

            แมทอ้ำๆอึ้งๆอยู่สักพักแล้วพูดออกมา    “เรื่องแบบนี้....    ฉันไม่ดูดีกว่า    แฟนนาย”

 

            “มันไม่มีอะไรหรอกน่า”    

 

            ถึงอย่างนั้นแมทก็ยังลังเลที่จะเปิดดู   “แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”

 

            “อืม”   เนทตอบด้วยน้ำเสียงปนรำคาณ    “จะดูหรือไม่ดู   ไม่ได้บังคับนะ     แต่ถ้าให้เล่าก็ไม่เล่าแล้ว    เล่าไม่ลง”

 

            “โอเคๆ”    มาถึงขนาดนี้แล้วจะเก็บความค้างคาใจไว้ก็ยังไงอยู่      แมทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเล่นวิดีโอ   แต่แล้วสักพักก็กดหยุดและเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา     “มันมีเสียง....    เอ่อ    เสียงมันดังไหม    ฉันต้องปิดเสียงหรือเปล่า”

 

            เนทเหลือบมองด้วยหางตา    “ไม่ต้อง     มันไม่ได้มีอะไรอย่างที่นายต้องการจะดูหรอกน่า”

 

            “ฉันไม่ได้ต้องการจะดูอะไรสักหน่อย”      แมททำเสียงฮึดฮัดแล้วกดเล่นวิดีโอ

 

            เป็นภาพของห้องรับแขกในบ้านหลังหนึ่งอย่างที่เนทบอก     ไม่นานก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น     ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา    ชายคนนั้นหันมามองแล้วยิ้มให้กล้องอย่างที่เนทบอกจริงๆด้วย    

 

            “ฉันไม่ถูกชะตากับหมอนี่เลยหวะ    หน้าตาน่าหมั่นไส้ชะมัด”    แมทเอ่ยเมื่อเห็นแววตาที่ชายคนนั้นมองกล้อง

 

            “ฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกชอบมากไปกว่านายเท่าไหร่หรอก”

 

            โอลีเวียเดินตามเข้ามาในห้องแล้ว      ยังดูสวยหยาดเยิ้มสะดุดตาเหมือนเคย     สมัยที่เนทเพิ่งคบกับโอลีเวียใหม่ๆ    แมทอดไม่ได้จริงๆที่จะแอบลอบมองใบหน้าของเธอเป็นระยะๆทุกครั้งที่เจอกัน       แต่ก็ทำแค่นั้น    เขารู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร      การปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความเหมาะสมไม่ใช่นิสัยของแมทเลย     โชคดีที่บุคลิกผู้ดีไปทุกอิริยาบถของเธอทำให้ความน่าดึงดูดในตอนแรกเจอสำหรับเขามีน้อยลง     ไม่นานแมทก็รู้สึกกับโอลีเวียไม่ต่างไปจากเพื่อนคนหนึ่ง     ไม่มีความคิดเชิงชู้สาวเกิดขึ้นอีกเลย

 

             โอลีเวียเดินมานั่งลงข้างๆชายคนนั้นบนโซฟา    หยิบรีโมทขึ้นมาเปิดโทรทัศน์เหมือนคุ้นเคย    ชายที่น่าจะเป็นเจ้าของบ้านยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอ     เขาโน้มหน้าไปใกล้กับหน้าโอลีเวีย    ภาพจากมุมนี้ทำให้แมทไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะศีรษะของชายคนนั้นบังหน้าของโอลีเวียเสียมิด    ทำให้ตอนนี้แมทเห็นเพียงท้ายทอยของชายคนนั้นที่กำลังขยับไปมาเล็กน้อย

 

            แต่ให้ตายเถอะ     แค่นี้มันก็เกินพอแล้ว     จะมีใครคิดบ้างหละว่าภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้คือภาพเหตุการณ์ที่ผู้ชายกำลังเป่าเศษผงออกจากตาให้ผู้หญิง    ตลกร้ายน่าดู

 

            “โอเค    พอแล้ว    ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายตอนนี้แล้ว”    แมทกดปิดวิดีโอ    วางโทรศัพท์คืนให้คนตรงหน้าแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้    “เล่นซะกินอะไรต่อไม่ลงเลย”

 

            “นายไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก”

 

            “แต่อย่างน้อยฉันก็จะไม่บ่นถ้าต้องหิ้วนายกลับห้องหลังจากดื่มย้อมใจจนเมาเละ     หมายถึงเฉพาะช่วงนี้หนะนะ”

 

            เนทยิ้มกับความคำพูดของเพื่อน

 

            “แล้วตอนนั้นนายทำยังไงต่อ   หลังจากที่ได้ดูวิดีโอ”   แมทถามต่อ

 

            “ฉันก็โทรไปหาโอลีเวีย    ยิงคำถามตรงประเด็นออกไปเลย   ไม่มีอ้อมค้อม     แล้วก็ได้คำตอบกลับมาตรงๆอย่างที่ต้องการ    ไม่มีคำแก้ตัวเลยแม้แต่นิด”

 

            “โหดร้ายชะมัด”

 

            “นั่นหนะสิ    โกหกกันสักหน่อยก็ไม่ได้     แต่ก็ถูกอย่างที่เธอว่า     ถ้าคบกันแล้วไม่มีเวลาให้กัน    ไม่ได้เจอกัน    กินมื้อค่ำด้วยกัน      ไปเที่ยวกันในวันเทศกาล    รับสายเวลาที่เธอโทรมาไม่ได้    คุยกันทุกเรื่องไม่ได้    แม้แต่ให้ความมั่นใจกับเธอในอนาคตยังให้ไม่ได้เลย     แบบนี้จะคบกันทำไม”

 

            “แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่เธอจะนอกใจนายได้หรอกนะ    เธอรู้ว่านายทำงานอะไร     รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรมาตั้งแต่แรก    ถ้ามีปัญหาก็ควรจะพูดออกมาสิ   ไม่ใช่ทำแบบนี้”

 

            “คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์    ทุกอย่างมันจบลงแล้ว    ฉันให้อภัยกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้”

 

            “เป็นฉันๆก็ให้อภัยกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน”    แมทรู้สึกโกรธแทนเนทมาก     เขาเองก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาเหมือนกัน    และเขาก็รู้ดีว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง    “เสียใจด้วยนะเพื่อน”

 

            เนทส่ายศีรษะ   “ฉันไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากนักหรอก    บางทีการไม่คบใครแล้วใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเจ้าสำราญตามวิถีทางของนาย     ก็อาจจะเป็นอะไรที่เวิร์คสำหรับฉันก็ได้”

 

            “ผู้ชายขี้เหงาอย่างนายเนี่ยนะ”   

 

            “ทำเป็นพูดไปเถอะ     ฉันรู้ว่าบางทีนายก็เหงา     เก็บอาการไม่มิดหรอก”

 

            เสียงโทรศัพท์ของเนทดังขึ้น

 

            เขามองชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอและบอกแมทว่าเป็นสายจาก เจมส์  แฮนสัน    

 

            แมทขมวดคิ้ว     มักจะไม่ค่อยใช่เรื่องดีเท่าไหร่เวลาที่หัวหน้าคนนี้โทรมา

 

            “ตอนนี้พวกนายอยู่ที่ไหน”   คำถามแรกทันทีที่กดรับสาย

 

            “อยู่ในร้านอาหารใกล้ๆกับที่พักครับ      ทำไมเหรอ”

 

            “ระวังตัวด้วย    ตอนนี้มันไปไกลกว่าคดียาเสพติดธรรมดาๆแล้ว”

 

            “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”   

 

            แมทเริ่มใจคอไม่ค่อยดีกับน้ำเสียงหวั่นวิตกของเนท

 

            “สายของเราโดนพวกมันดักยิง”

 

 

..................................................................

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา