Make It Right √ จะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่มึง [Yaoi]
-
เขียนโดย นะเขียน
วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 01.27 น.
6 chapter
3 วิจารณ์
41.23K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 01.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) Make It Right 06 √ I can't explain this feeling.
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ6
I can’t explain this feeling.
ตลอดคาบเช้าเป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุดของที่สุดของที่สุด เพราะนอกจากจะมีทั้งฟิสิกส์สองคาบมาให้หนักสมองแล้ว (จริงๆ ผมโคตรชิลล์ เพราะแทบไม่ได้เรียน แอร์เย็นฉ่ำหลับสบายตลอด อิอิ) ยังต่อด้วยคณิตเพิ่มของเจ๊พรรณวดีสุดเฮี๊ยบอีก อย่าว่าแต่จะของีบสักสิบนาทีเลยครับ นั่งหลังงอหรือคุยกับเพื่อนสักแอะยังไม่ได้เลย เจ๊แกเรียกตอบคำถามบนกระดานหมด
และผู้โชคร้ายสองคนที่เพิ่งแอบเถียงกันเรื่องฟุตบอลทีมโปรดเสียงดัง จนเจ๊แกชี้นิ้วเรียกให้ลุกขึ้นยืน ก็คือไอ้เฟรม กับ....ผมเอง
ฮืออออ... โชคร้ายตลอด! เพราะแม่งคนเดียว มากระตุกเส้นว่ารับรองคืนนี้หงส์โชว์ฟอร์มห่วยแพ้ปืนใหญ่ของมันแบบตีไข่ไม่แตกสักประตูแน่ๆ แล้วจะไม่ให้รีบแย้งได้ไงล่ะครับเสียศักดิ์ศรีเด็กหงส์ ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้โว้ย!
"ว่าไงธัญวัฒน์... อภิรุจ... ข้อนี้ตอบอะไร" เราสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หลังจากดูโจทย์ตัวเลขยาวเหยียดบนไวท์บอร์ด ไอ้เชี่ยเฟรมรีบส่ายหัวยิก แน่นอนผมส่ายหัวกลับ โอย.... ดันเสือกโง่คณิตทั้งคู่อีก สถานการณ์กดดันแบบนี้สงสัยต้องหาตัวช่วย
ผมหันรีหันขวางจนเจ๊อะกับไอ้เอสตัวหัวหอกเวลาพวกเราทำ (ลอก) ข้อสอบคณิต ซึ่งนั่งอยู่แถวข้างๆ กันนี่เอง ไม่ต้องส่ง SOS แม่งก็รู้งาน เขียนคำตอบแปะสก็อตเทปติดไว้ใต้รองเท้า แล้วนั่งยกขาไขว่ห้างพอให้ผมได้เห็นคำตอบที่เขียนไว้ ผมขยิบตายกนิ้วโป้งให้มันเป็นนัยๆ ...แต่ไอ้ห่าาาา กระดาษแผ่นเบ้อเริ่มแทบปิดหน้ามึงมิด (เว่อร์) จะเขียนให้มันตัวใหญ่หน่อยไม่ได้ไงวะ!?
“ไงคะ เงียบกริบไม่เหมือนตอนคุยเลยนะ” เสียงเร่งของเจ๊วดีทำเอาผมเหงื่อผุดเป็นเม็ดๆ รีบเขยิบตัวไปทางขวาเพื่อให้มองเห็นคำตอบที่เขียนในกระดาษ แม่งมีทั้งตัวแปร ตัวเลขยกกำลังอีกต่างหากไอ้สาดดดดด...
“สะ...สองส่วนห้าเอ็กซ์ครับ ยกกำลังสามส่วนสอง บวก..........เอ่อ..................บวก...........” หกหรือแปดวะนั่น!? ขณะผมกำลังสวมวิญญาณนักพรตใช้วิชามองไกลร้อยลี้อยู่ ไอ้เอสแม่งก็รีบหุบขานั่งท่าปกติซะเฉย! ไอ้เวรรรร มึงจะช่วยหรือจะแกล้งกูกันแน่วะ! ผมเลยรีบโบกมือยิกๆ ให้แม่งเปิดคำตอบอีกรอบ แต่เพื่อนตัวแสบดันเบิกตาโตพลางพยักเพยิดให้ผมดูบางอย่างเหมือนมีสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลกอยู่เบื้องหน้า
“ธัญวัฒน์ อภิรุจ กมลภัทร! วิดพื้นหน้าห้องสามสิบ!!”
โดนจนได้!!!
พวกเราสามคนกลับมานั่งหอบแฮ่กที่โต๊ะของตัวเองหลังจากวิดพื้นสุดนรกเสร็จ โชคดีที่คาบนี้ไม่ต้องเรียนต่อ เพราะอาจารย์พรรณวดีมีธุระสำคัญต้องไปกระทรวง เลยเพียงแต่สั่งการบ้านไว้ให้แสดงวิธีทำเกือบสามสิบข้อส่งพรุ่งนี้เช้า (โหดชิบหายวายป่วง) ก่อนปล่อยพวกเรานั่งอยู่ในห้องเงียบๆ จนกว่าจะถึงเวลาพักกลางวัน
แน่นอนไอ้พวกเพื่อนเชี้ยที่มีแต่ผู้ชายเถื่อนหาได้เงียบตามคำสั่งไม่ บ้างก็ตั้งกลุ่มกันงัดข้อ (มีไอ้เชี่ยแบงค์เป็นตัวนำขบวน) บ้างก็หยิบกระดานหมากรุก หมากฮอสมาจัดทัวร์นาเม้นท์ บ้างก็เอาไอพอด ไอโฟนขึ้นมาต่อบลูธูทกับเล่นเกมอย่างเมามันส์ หรือพวกสาวๆ (เทียม) ก็พร้อมใจเปิดเฟสบุคในมือถือนั่งดูรูปผู้ชายหล่อตามแฟนเพจแล้วกรี๊ดกร๊าด แต่ส่วนใหญ่กว่าครึ่งห้องจะเฮโลพากันลงไปเตะบอล เพราะช่วงนี้สนามว่างพอดี
ส่วนผมกะจะหยิบไอโฟน5 เครื่องโปรดขึ้นมาฟังเพลง ก็นึกขึ้นได้เสียก่อนเมื่อเห็นไอ้ต้าร์ยืมเอาไปฟันผลไม้โชว์เพื่อนๆ ว่ามันได้นิวไฮสกอร์ทำลายสถิติผมที่เพิ่งทำไปเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่หน้าห้อง เออช่างแม่ง ขี้เกียจทวง... เมื่อไม่รู้จะทำอะไร ผมเลยฟุบหน้าลงกับโต๊ะหมายจะนอนหลับให้เต็มอิ่มต่อจากคาบฟิสิกส์สักหน่อย แอร์ในห้องเย็นกำลังดีชวนเคลิ้มอยู่ด้วย
ป๊าบบบ!!!
“ไอ้เหี้ยยย หูเกือบบอด!!” ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาโวยไอ้ลูกโม่ที่ยืนฉีกยิ้มกว้างท่าทางกวนเบื้องล่าง ในมือถือฟิวเจอร์บอดร์สีส้มพับเป็นรูปพัด แล้วเอามาตีไหล่กูได้! เสียงดังเหี้ยๆ
“หูบ้านพ่อมึงสิบอด” ยังไม่วายเอามาฟิวเจอร์บอร์ดนรกมาเคาะหัวผมเล่นอีกที
“กูจะนอน ไปเล่นกะคนอื่นนู้น” ทั้งที่บอกปัดไปแบบนั้น แต่เจ้าตัวดันนั่งลงข้างผมแทนที่ไอ้เฟรมซะงั้น เอ้อ กวนตีนชิบ
"มาเล่นด้วยแค่นี้ทำหน้าบูดนะเมิง แล้วทำไทยเสร็จยัง ชีทเมื่อวันศุกร์อ่ะ กูจะเอาไปลอก" ผมคิดย้อนไป ก่อนจำได้ว่าลอกไอ้วิทย์เสร็จตั้งแต่วันศุกร์แล้ว (ระดับนี้ไม่มีทำเองครับ เหอๆๆๆ) เลยควักชีทปึกนั้นออกจากกระเป๋าส่งให้ไอ้โม่ไป
"อ่ะนี่ กูย่อจากไอ้วิทย์มาแล้วอีกที"
"รู้งานดีมาก กูขี้เกียจอยู่พอดี" เจ้าตัวรับไปพร้อมฉีกยิ้มแฉ่งอารมณ์ดีดูน่าหมั่นไส้ชอบกล "เออ.. เมื่อวันเสาร์ไอ้ธีร์โทรมาถามเบอร์มึงกับกูด้วยว่ะ” พอได้ยินชื่อคนที่ไอ้โม่พูดถึง ผมที่เตรียมจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะดีดตัวตรงเป็นสปริงแทบหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“เหรอวะ” แบบนี้เองมันถึงได้รู้เบอร์ผม.....
ทันทีที่หน้าหล่อๆ ของธีร์ลอยแวบเข้าโสตประสาทมาก็ชวนให้ผมหงุดหงิดได้มากทีเดียว ไม่อยากให้มันจบแบบนี้ แต่ไอ้เวรนั่นไม่ยอมคุยกับผมจริงๆ แม้แต่หน้ายังไม่อยากมองเลยมั้งครับ... ก็อย่างเมื่อเช้าตอนคาบโฮมรูม พวกผมเป็นเวรทำความสะอาด แล้วตอนจะถูพื้น ไม้ม๊อบดันหายไปอย่างน่าพิศวง ลำบากหัวหน้าเวร (ใครเสือกกกกกก เลือกผมเป็นก็ไม่รู้ แค่วันนั้นไม่มาเรียนหน่อยเดียวเองโบ๊ยให้กูหมด!) ต้องแบกหน้าไปยืมห้องอื่น เคราะห์ร้ายที่แต่ละห้องดันเกิดรักความสะอาดกำลังถูพื้นอยู่พร้อมกันอยู่โดยไม่ได้นัดหมาย กว่าจะหายืมได้ เลยไปถึงห้อง 13 ของไอ้ธีร์
ซึ่งเจ้าตัวนั่งกระดิกขาฟังเพลงยิกๆ อยู่หลังห้องแท้ๆ ผมตะโกนขอยืมเป็นวรรคเป็นเวรจนแสบคอ แม่งยังทำเป็นไม่สนใจใช้คนอื่นหยิบมาให้เลยคิดดู! กวนส้นตีนโคตรรรรรรรรรรรรร
“เออ แล้วคืนนั้นมันไปส่งมึงถึงบ้านเปล่าวะ? กูเมาเลยไปส่งมึงไม่ได้อ่ะ” ผมตวัดสายตามองหน้าเพื่อนคนข้างๆ ที่กำลังจ้องมาอย่างหาคำตอบ หือ! ไอ้สัดนี่เองตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องอัปมงคลทั้งหมด!!
อื้อ!! ขอถีบสักทีเหอะ!
“เชี่ยฟิวส์! อยู่ดีๆ ถีบ ตกมันอ่อสัดด!”
“เพราะมึงคนเดียวไม่ยอมไปกับกู คืนนั้นกูถึง!!......” เอ่อ... เกือบโพล่งความจริงไปแล้วมั้ยล่ะ ดีนะยั้งปากทัน... ทว่าก็ไม่รอดพ้นต่อมจับพิรุตของไอ้โม่ มันหรี่ตามองมาทางผมราวกับเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ.. เรื่องแบบนี้เก่งซะเหลือเกิน
"คืนนั้นมึงทำไม น่าสงสัย... บอกมา"
"มะ.... ไม่มีไร" ผมตอบตะกุกตะกัก หันหน้าหนีไปทางอื่น "แค่... มันไม่รู้ทางไปบ้านกูอ่ะ"
"อ้าว แล้วมึงกลับไงอ่ะ หรือนอนบ้านไอ้ธีร์" โอ๊ยยยย ถามตรงประเด็นจริงว่ะ
"............ เออ ก็........นอนบ้านมันอ่ะ" แทบกลั้นหายใจรอลุ้นว่าแม่งจะถามอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า แต่ยังดีที่ไอ้เพื่อนตัวดีไม่คิดอกุศลไปมากกว่านั้น
"อ๋อ ได้ข่าวว่ามันรวย บ้านใหญ่ยังกับในหนัง ว่างๆ ก็อยากไปนอนค้างสักคืนสองคืนว่ะ คงสบายน่าดู" เหอะๆๆๆๆ มึงเชิญไปคนเดียวเหอะ กูสาบานว่ายังไงชาตินี้ก็จะไม่ไปเหยียบบ้านแม่งอีก คิดแล้วเจ็บ! (ข้างหลัง) "...แต่ไอ้ธีร์แม่งก็เป็นคนรักเพื่อนดีนะ เมื่อเช้านั่งคุยกันตอนกินข้าวในโรงอาหาร มันยังฝากดูแลมึงเลย มันบอกว่ามึงเฮิร์ทเรื่องน้องจีนมากจนร้องไห้ขี้แยบ่อยๆ แล้วก็บอกถ้าเครียดมากจะไม่ดีกับกระเพาะ ทำให้สมองรับรู้ช้าห่าเหวอะไรไม่รู้ แม่งวิชาการอ่ะ ...แต่มึงก็ดูปกตินี่หว่า แค่หงอยๆ แป๊บเดียวเอง มียาดีไรให้หายเศร้าเร็วว๊าา"
ผมเงียบไปเมื่อได้ฟังสิ่งเหล่านั้น.......... "มันบอกงั้นเหรอวะ..."
เพิ่งรู้ว่าธีร์เป็นห่วงผมถึงขนาดนี้.... พอมาลองคิดย้อนดูแล้ว... ไอ้ยาดีที่ว่าคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากไอ้ธีร์นี่เอง ไม่ใช่ไม่เสียใจเรื่องของจีน แต่แทนที่ผมจะจมปรักอยู่กับความเศร้า... เรื่องยุ่งเหยิงของธีร์กลับทำให้ผมหัวหมุนแทนที่จะไปคิดมากกับสิ่งเหล่านั้น...เป็นไอ้หน้าหล่อนั่นที่เราดันพลาดมีอะไรกันเพียงชั่วข้ามคืนเพราะความเมาและอยากรู้อยากลอง แต่ก็เป็นคนเดียวกับที่คอยปลอบโยนให้กำลังใจผมในยามที่กำลังอ่อนแอที่สุด และเป็นคนเดียวกันนี้เองที่ไม่ยอมคุยกับผมเมื่อเช้าแถมเมินกันหน้าตาเฉยอย่างไม่รู้เหตุผลอีกต่างหาก... แล้วมันบอกเป็นห่วงผมทำไมวะ?
ธีร์เป็นอะไรไป?
แม้ก่อนหน้านี้มันจะเป็นแค่เพื่อนห่างๆ แต่ธีร์มักมีรอยยิ้มจริงใจให้คนอื่นเสมอ รวมถึงผม..
ไม่ว่ายังไงผมก็ควรปรับความเข้าใจกับมัน ผมอยากได้ธีร์คนที่เคยยิ้มให้ผมกลับคืนมา...
แต่เมื่อถึงคาบบ่ายประเด็นนั้นก็ต้องถูกปล่อยตกไป เพราะมีเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานสำคัญกว่าเยอะ
นั่นคือการบ้านวิชาชีวะที่ดันเพิ่งรู้จากไอ้บุ๊ค (หัวหน้าห้อง) ว่ามันส่งพรุ่งนี้ แต่เพื่อนๆ ทุกคนดันเชื่อไอ้บอสที่บอกว่าส่งวันศุกร์ หลังจากเถียงกันอยู่พักใหญ่ ไอ้บุ๊คกับไอ้บอสเลยสำเหนียกว่า แค่สงบศึกแล้วไปถามอาจารย์เองเลยง่ายกว่าเยอะ ซึ่งพอสิบนาทีระทึกผ่านไป ไอ้สองคนนั้นถึงกลับมาพร้อมข่าวร้ายว่าส่งพรุ่งนี้ชัวร์จากปากเคลือบลิปสติกสีแดงของอาจารย์เลย! ซวยแบบซ่อนเงื่อนครับ!! ในคาบบ่ายแม้พวกเราจะเรียนอีกสามสี่วิชาก็ยังแอบๆ ปั่นสมุดชีวะ เพราะเป็นที่ประจักกันดีว่าอาจารย์แสงทองสอนชีวะ (คล้องจองเนอะ) โคตรจะตรงเวลา ไม่ส่งพรุ่งนี้รับรองคะแนนหายกว่าครึ่ง!
ชั่วโมงเรียนวันนี้หมดลง แต่งานยังไม่หมด... นอกจากชีวะยังไม่เสร็จต้องยืมของไอ้วิทย์เจ้าเก่าไปลอกแล้ว โครงงานเคมียังต้องแก้อีก!!! วันนี้มันวันเหี้ยไรวะ ทำไมงานประดังประเดกันเข้ามางี้! เห็นว่ารูปเล่มที่ปริ้นท์มาลืมใส่ถาม-ตอบของแต่ละหน่วยเข้าไป (คือไรก็ไม่รู้ กูไม่ได้ไปทำกะเค้าว่ะ) ส่วนฟิวเจอร์บอร์ดที่ใช้ทำสื่อไม่มีปัญหาอะไร เดือดร้อนไอ้โม่ ไอ้เอส ไอ้วิทย์ต้องบึ่งรถกลับไปเรียงหน้าใหม่หมด แถมต้องปริ้นท์มาจากบ้าน เพราะไฟล์งานทั้งหมดอยู่ในแฟลชไดรฟ์มันซึ่งไม่ได้พกมาโรงเรียน (มีตบหัวโทษกันไปกันมาอีก ว่าทำไมตอนรวมไฟล์ไม่ดูให้ดีเสียก่อน) แต่ผมก็ไม่อาจไปแย้งหรือโทษว่าเป็นความผิดใครได้ เพราะตัวเองไม่ได้ช่วยงานแม้แต่นิดเดียว นอกจากตอนหาข้อมูลแค่สองสามหน่วยแล้วส่งไปให้ไอ้โม่เท่านั้นเอง....
ผมกับเฟรมจึงได้แต่นั่งปั่นชีวะรออยู่ที่โรงเรียน เป็นเวลาใกล้สองทุ่มเข้าไปทุกที ยุงก็บินว่อนจนตบไม่หวาดไม่ไหว ไม่ส่งวันนี้ก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์บอกให้เห็นรูปเล่มวางบนโต๊ะแกตอนหกโมงครึ่งพรุ่งนี้ โธ่! แล้วใครจะแหกขี้ตามาปลุกไก่ให้ขันแต่เช้างั้นล่ะครับ'จารย์! เราสองคนนั่งปั่นการบ้านอยู่ใต้อาคาร 11 ขณะที่แสงไฟจากบนตึกโดยรอบเริ่มปิดลงกันหมดแล้ว
ผมเห็นไอ้เฟรมลุกลี้ลุกลนอยู่กับโทรศัพท์ของแม่งตั้งแต่เมื่อกี้ แอบจับใจความตอนคุยกับม๊ามันได้ว่า ไอ้เฟรมถูกสั่งให้ไปรับน้องสาวมันที่เรียนพิเศษแถวพญาไทแทนอาป๊ามัน เพราะวันนี้เลิกงานช้าจะกลับบ้านดึกหน่อย.......... อืม ความจริงเฟรมทำงานนี้มาตั้งแต่ต้น ยังไงก็ไม่น่าจะมาลำบากกับผมที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย...
“มึงกลับก่อนก็ได้นะเว้ย เดี๋ยวพวกมันก็คงมากันแล้ว” ผมตบหลังพลางยิ้มแหยๆ ให้เพื่อนที่นั่งข้างกัน แม้ในใจจะไม่อยากให้มันกลับสักเท่าไหร่......
“มึงรอคนเดียวได้แน่นะ มืดๆ เนี่ย” ไอ้เฟรมเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงมองผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ แหมไอ้เชี่ยนี่ ไม่เชื่อใจเพื่อนเลยวุ้ย (ถึงหน้าตาจะไม่ค่อยน่าเชื่อก็เหอะ)
“ได้ดิ่วะ! ระดับไอ้ฟิวส์ปราบเซียนมาแล้วทุกสำนัก ไม่มีไรต้องกลัวโว้ย ฮ่าๆๆๆ” ผมแกล้งหัวเราะเสียงลั่นตึก แอบได้ยินมันเอคโค่สะท้อนกลับมาเป็นทอดๆ ด้วย เอ่อะ... หลอนเชี้ย.. กูชักไม่แน่ใจ
“โอเค งั้นกูไปรับน้องก่อน มึงก็ไปรอหน้าโรงเรียนด้วยกันดิ่ ตรงนี้ยุงกัดชิบหาย” เออ ความคิดดีแฮะ... ผมพยักหน้าหงึกหงักตกลง พลางยัดสมุดการบ้านสองเล่มใส่กระเป๋า
พวกเราเดินผ่านอาคารต่างๆ มาถึงหน้าโรงเรียน ไม่ค่อยได้อยู่โรงเรียนจนมืดค่ำแบบนี้เท่าไหร่ เพิ่งรู้ว่ายังมีเด็กนักเรียนหลายสิบคนเตะบอลกันอยู่ตรงสนามกลาง แล้วก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากโรงยิมด้วย สงสัยยังซ้อมบาสกันอยู่... ไอ้พวกนี้แม่งฟิตจริงว่ะเอาแรงมาจากไหนมากมาย..
พอโบกมือลาไอ้เฟรมไม่นาน ไอ้วิทย์ก็วิ่งหน้าตื่นพร้อมหนีบเล่มรายงานปกสีส้มมาทางนี้พอดี ผมเอียงคอสงสัยนิดหน่อยที่เห็นมันมาคนเดียว
“ไอ้โม่กับไอ้เอสไปไหนวะ”
“ตีดอทอยู่บ้านดิไอ้สัด แม่งงงงงงง กูโอน้อยออกแพ้ เลยต้องเป็นคนมาส่งเนี่ย” โหไอ้พวกชั่ววววววว!! ผมสบถด่าสองตัวนั้นที่แอบไปเสวยสุขกันโดยไม่ชวน แถมยังปล่อยให้ไอ้วิทย์ผู้น่าสงสารของกูเหนื่อยแฮ่กมาคนเดียวอีก
“อ่ะ.. เอาไป” แต่อยู่ๆ รายงานเจ้าปัญหาเล่มนั้นก็ถูกยัดเยียดใส่มือผม “ต่อจากนี้หน้าที่มึง กูนัดแฟนไว้ ไปแล๊วววววววววววว โชคดี!” เฮ้ยยยยยยยยยยย!! ไอ้นี่ก็ชั่ว! มันรีบตัดบทสะบัดตูดวิ่งหายไปกับสายลมทั้งที่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากประท้วงสักแอะ
ผมยืนกระพริบตาทำหน้า poker face อยู่หน้าโรงเรียนสองนาที ก่อนเพิ่งตั้งสติได้ว่า... เวรแล้ว!! นี่กูต้องขึ้นห้องพักครูอาคารวิทย์คนเดียวเหรอวะ!!? ในนั้นมีทั้งเด็กดอง หุ่นอาจารย์ใหญ่ อวัยวะคนเป็นชิ้นๆ เลยน๊าาา ฮือๆๆ... ผมขนลุกเกรียวเมื่อหันกลับไปมองโรงเรียนซึ่งบัดนี้มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์กับแสงไฟจากหลอดนีออนสลัวๆ ไม่กี่ดวงเท่านั้นที่กำลังส่องสว่าง ทว่าพอชั่งใจมองของในมือที่เราไม่ได้มีส่วนช่วยเท่าไหร่ ก็รู้สึกฮึกเฮิมขึ้นมา
เอาวะ... ขอเป็นฮีโร่ทำหน้าที่สุดท้ายนี้ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
รีบไปส่งดีกว่าจะได้รีบกลับบ้าน
คิดได้ดังนั้นผมก็วิ่งตึกตักเข้าไปในโรงเรียน ผ่านตึกห้องสมุดก่อนจะเห็นอาคารวิทยาศาสตร์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผมเลี่ยงไม่ใช่ลิฟท์ (เพราะแม่งสยองสาด บรรยากาศคล้ายหนังผี) แล้วขึ้นบันไดที่อยู่ข้างกันแทน ห้องพักครูชั้น 4 เงียบเชียบไม่มีคน ผมเปิดประตูเข้าไปวางรายงานเล่มหนาไว้บนโต๊ะหน้าสุด ซึ่งติดป้ายชื่อ ‘สุทัศสา’ ไว้เด่นเป็นสง่า
เยส!!!!!!! มิสชั่นคอมพลีท! ง่ายจะตาย หมูกรุบ! ผมกระหยิ่มยิ้มย่องเดินออกมาจากห้องพักครูอย่างลิงโลด คิคิคิ ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวเลย ก็แค่มืดนิดหน่อย ต่างจากตอนกลางวันตรงไหนว๊า!
ตึก... ตึก.. ตึก..
เอ๊ะ แล้วนั่นเสียงเชี่ยไรกระทบพื้นวะครับ... ผมหุบยิ้มฉับ หวังในใจว่าจะเป็นเสียงฝีเท้าตัวเองสะท้อนกับผนังตึก แต่พอหยุดเดิน
ตึก.. ตึก.. ตึก..
แม่งก็ยังไม่หยุด แถมเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ด้วย! เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นที่ขมับสองข้าง ผมสูดลมหายใจเข้า ทำใจดีๆ แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินลงบันได ความจริงมันอาจจะเหมือนฉากในหนังที่เป็นคุณลุงภารโรงเดินถือไม้กวาดมาทำให้เราตกใจเล่น แต่เวลาแบบนี้ใครหันไปพิสูจน์ก็บ้าแล้วคร้าบบบ โฮๆๆ... น่ากลัวเหี้ย (เอ๊ะ รีดเดอร์คนไหนล้อผมว่า เมื่อกี้ใครยิ้มแฉ่งบอกหมูกรุบ เดี๋ยวเหอะ.. รอผมรอดไปแล้วจะคิดบัญชี) ผมเปลี่ยนจากเดินเร็วเป็นวิ่งเมื่อเสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด ...กูไม่เอาอีกแล้วชาตินี้ จะไม่อยู่โรงเรียนตอนมืดอีกแล้ว ฮือออ ขอให้ลูกช้างกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองฟิวส์ตัวน้อยๆ ด้วยเถอะคับบบ
ในที่สุดก็ถึงชั้น 1 ผมแทบกระโดดร้องเย้ให้ดังไปถึงเซเว่นหน้าโรงเรียน ทว่าโลกทั้งใบกลับพังทลายลง เมื่อพบว่า.. ประตูกระจกปิด! แถมประตูเหล็กด้านหน้าก็ถูกรูดลงใส่กุญแจซะเรียบร้อยโรงเรียนชายล้วน! เฮ้ยยย ได้ไงอ๊า ยังมีคนติดอยู่ในนี้นะ! ผมเคาะกระจกปึงๆๆๆ สลับกับลองเลื่อนประตูที่ถูกล็อกจากด้านนอกแน่นหนา... มันไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
ตึก.. ตึก.. ตึก.. แถมเสียงฝีเท้าประหลาดนั่นก็คืบคลานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง ได้แต่กอดเข่าซุกหน้าหลับตาปี๋ พลางสวดมนตร์ภาวในใจ (ทุกคาถามาหมดแย้วว) โฮๆๆๆ ไอ้ฟิวส์จะตายจริงๆ ก็งานนี้แหละ ผมคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาว่าอาจเป็นผีอาจารย์ใหญ่ B1 แอบลงมาปิดตึก แล้วก็ให้ผี B2 เดินมาจับผมไปยังแท่นบูชายัญเพื่อชำแหละร่างเอาหัวใจไปดอง จากนั้นก็ตัดแขนตัดขาไปประดับห้องกายวิภาครึเปล่า!? ถ้าเป็นแบบนั้นวิญญาณผมก็ต้องล่องลอยอย่างไม่สงบสุขอยู่ในตึกนี้น่ะสิ เอ๊ะ ก็น่าหนุกดีนะ... เพราะบางทีอาจจะได้โผล่มาหลอกไอ้พวกเพื่อนเชี่ยให้ตกใจเล่นด้วย แต่... ไม่เอาดีกว่า... กูอยากกลับบ้านไปกอดพ่อกับแม่! อยากกินปีกไก่ทอดที่พ่อซื้อ อยากนอนสบายบนเตียงนุ่มๆ รอให้แม่มาปลุก แง๊.. จาาร้องไห้แล๊วว
ตึก.. ตึก.. เสียงใกล้เข้ามาจนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างหยุดอยู่ด้านหน้า บัดนี้เหลือเพียงเสียงหัวใจผมเต้นกลบทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง แง.... อย่าทำไรกูเลย อย่าทำไรกูวว... ฮือ..
“เฮ้ย นาย.. นั่งทำไร อ้าว แล้วนี่ประตูปิดเหรอ”
เสียงทุ้มคุ้นเคยนั้นชวนให้ผมหูผึ่ง รีบเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มผู้มาใหม่
“ไอ้เชี่ยธีร์!!!!!” โอ๊ยยยย ไม่เคยดีใจเมื่อเจอหน้าใครขนาดนี้มาก่อน ผมลุกขึ้นเด้งตัวกระโดดกอดมันอย่างลั้นลาที่สุดเท่าเด็กผู้ชายคนนึงจะสามารถ
“แค่กๆๆ... ฟิวส์เหรอวะ.. อยู่นี่ได้ไง แค่กๆ.. ปล่อยก่อน หายใจไม่ออก แน่ะ แขนมึงพันคอกู คะแค่กๆ” ผมถอนวงแขนออกตามคำขอของคนตรงหน้า... แล้วไอ้เชี่ยนี่ก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง ปล่อยให้นึกเป็นผีอยู่ตั้งนาน! ผมลอบมองธีร์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า มันอยู่ในชุดเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง แถมเหงื่อชุ่มจนเสื้อเป็นซีทรูทั้งตัว เห็นกล้ามเนื้อไปถึงไหนต่อไหนอีก
“กูมาส่งงาน แล้วมึงมาทำไร ทำไมเหงื่อออกเยอะงี้วะ”
“กูก็มาส่งงาน เพิ่งเตะบอลกับเพื่อนเสร็จอ่ะ.. แล้วไมตึกปิดได้เนี่ย เมื่อตอนขึ้นมายังเปิดอยู่เลย”
“ก็แหงดิ ถ้าไม่เปิดแล้วมึงจะขึ้นไปได้ไง ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย!” ไอ้เวรนิ! กวนนิดเดียว ตบกบาลซะแรง อูย.. พวกเราสงบศึกอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ไม่ยอมพูดกัน แล้วค่อยๆ ยืนคิดว่าจะออกไปยังไง... ดูธีร์จะกังวลไม่น้อย แต่ก็สงบกว่าที่คิด
“เออ ฟิวส์เอามือถือมามั้ย กูเอาไว้ในกระเป๋าข้างนอก แต่จำเบอร์ป้อมยามได้ เดี๋ยวลองโทรให้เขาเอากุญแจมาเปิด”
ผมเลิกคิ้วพยักหน้าตอบหงึกหงัก พร้อมหยิบโทรศัพท์คู่ใจออกมาจากกางเกง ก็จริงของมัน มีวิธีนี้อยู่นี่หว่า ให้ผมทุบกระจกจนเจ็บมือตั้งนาน.. แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า วันนี้มันถูกใช้เป็นเขียงฟันผลไม้มาทั้งวัน
ซะจน..........
“แบตหมดว่ะ!!!”
----------Make It Right----------
งานเข้าแล้ว... ติดตึก.... ตอนกลางคืน..... สองคน ฮ่าๆๆๆๆๆ
ตอนต่อไปรอดูดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นเนอะ อิอิ แล้วจะออกมากันยังไงนั่น หรือนอนด้วยกันยันเช้าดี กร๊ากกก >___< ตอนนี้ชี้ให้เห็นว่าฟิวส์เพ้อเจ้อมากกก คิดเรื่องผีได้เป็นตุเป็นตะ ฮ่าๆๆๆๆ
ยังไงก็ซียูซูน! เจอกันตอนหน้าครับ ^_________^
I can’t explain this feeling.
ตลอดคาบเช้าเป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุดของที่สุดของที่สุด เพราะนอกจากจะมีทั้งฟิสิกส์สองคาบมาให้หนักสมองแล้ว (จริงๆ ผมโคตรชิลล์ เพราะแทบไม่ได้เรียน แอร์เย็นฉ่ำหลับสบายตลอด อิอิ) ยังต่อด้วยคณิตเพิ่มของเจ๊พรรณวดีสุดเฮี๊ยบอีก อย่าว่าแต่จะของีบสักสิบนาทีเลยครับ นั่งหลังงอหรือคุยกับเพื่อนสักแอะยังไม่ได้เลย เจ๊แกเรียกตอบคำถามบนกระดานหมด
และผู้โชคร้ายสองคนที่เพิ่งแอบเถียงกันเรื่องฟุตบอลทีมโปรดเสียงดัง จนเจ๊แกชี้นิ้วเรียกให้ลุกขึ้นยืน ก็คือไอ้เฟรม กับ....ผมเอง
ฮืออออ... โชคร้ายตลอด! เพราะแม่งคนเดียว มากระตุกเส้นว่ารับรองคืนนี้หงส์โชว์ฟอร์มห่วยแพ้ปืนใหญ่ของมันแบบตีไข่ไม่แตกสักประตูแน่ๆ แล้วจะไม่ให้รีบแย้งได้ไงล่ะครับเสียศักดิ์ศรีเด็กหงส์ ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้โว้ย!
"ว่าไงธัญวัฒน์... อภิรุจ... ข้อนี้ตอบอะไร" เราสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หลังจากดูโจทย์ตัวเลขยาวเหยียดบนไวท์บอร์ด ไอ้เชี่ยเฟรมรีบส่ายหัวยิก แน่นอนผมส่ายหัวกลับ โอย.... ดันเสือกโง่คณิตทั้งคู่อีก สถานการณ์กดดันแบบนี้สงสัยต้องหาตัวช่วย
ผมหันรีหันขวางจนเจ๊อะกับไอ้เอสตัวหัวหอกเวลาพวกเราทำ (ลอก) ข้อสอบคณิต ซึ่งนั่งอยู่แถวข้างๆ กันนี่เอง ไม่ต้องส่ง SOS แม่งก็รู้งาน เขียนคำตอบแปะสก็อตเทปติดไว้ใต้รองเท้า แล้วนั่งยกขาไขว่ห้างพอให้ผมได้เห็นคำตอบที่เขียนไว้ ผมขยิบตายกนิ้วโป้งให้มันเป็นนัยๆ ...แต่ไอ้ห่าาาา กระดาษแผ่นเบ้อเริ่มแทบปิดหน้ามึงมิด (เว่อร์) จะเขียนให้มันตัวใหญ่หน่อยไม่ได้ไงวะ!?
“ไงคะ เงียบกริบไม่เหมือนตอนคุยเลยนะ” เสียงเร่งของเจ๊วดีทำเอาผมเหงื่อผุดเป็นเม็ดๆ รีบเขยิบตัวไปทางขวาเพื่อให้มองเห็นคำตอบที่เขียนในกระดาษ แม่งมีทั้งตัวแปร ตัวเลขยกกำลังอีกต่างหากไอ้สาดดดดด...
“สะ...สองส่วนห้าเอ็กซ์ครับ ยกกำลังสามส่วนสอง บวก..........เอ่อ..................บวก...........” หกหรือแปดวะนั่น!? ขณะผมกำลังสวมวิญญาณนักพรตใช้วิชามองไกลร้อยลี้อยู่ ไอ้เอสแม่งก็รีบหุบขานั่งท่าปกติซะเฉย! ไอ้เวรรรร มึงจะช่วยหรือจะแกล้งกูกันแน่วะ! ผมเลยรีบโบกมือยิกๆ ให้แม่งเปิดคำตอบอีกรอบ แต่เพื่อนตัวแสบดันเบิกตาโตพลางพยักเพยิดให้ผมดูบางอย่างเหมือนมีสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่ 8 ของโลกอยู่เบื้องหน้า
“ธัญวัฒน์ อภิรุจ กมลภัทร! วิดพื้นหน้าห้องสามสิบ!!”
โดนจนได้!!!
พวกเราสามคนกลับมานั่งหอบแฮ่กที่โต๊ะของตัวเองหลังจากวิดพื้นสุดนรกเสร็จ โชคดีที่คาบนี้ไม่ต้องเรียนต่อ เพราะอาจารย์พรรณวดีมีธุระสำคัญต้องไปกระทรวง เลยเพียงแต่สั่งการบ้านไว้ให้แสดงวิธีทำเกือบสามสิบข้อส่งพรุ่งนี้เช้า (โหดชิบหายวายป่วง) ก่อนปล่อยพวกเรานั่งอยู่ในห้องเงียบๆ จนกว่าจะถึงเวลาพักกลางวัน
แน่นอนไอ้พวกเพื่อนเชี้ยที่มีแต่ผู้ชายเถื่อนหาได้เงียบตามคำสั่งไม่ บ้างก็ตั้งกลุ่มกันงัดข้อ (มีไอ้เชี่ยแบงค์เป็นตัวนำขบวน) บ้างก็หยิบกระดานหมากรุก หมากฮอสมาจัดทัวร์นาเม้นท์ บ้างก็เอาไอพอด ไอโฟนขึ้นมาต่อบลูธูทกับเล่นเกมอย่างเมามันส์ หรือพวกสาวๆ (เทียม) ก็พร้อมใจเปิดเฟสบุคในมือถือนั่งดูรูปผู้ชายหล่อตามแฟนเพจแล้วกรี๊ดกร๊าด แต่ส่วนใหญ่กว่าครึ่งห้องจะเฮโลพากันลงไปเตะบอล เพราะช่วงนี้สนามว่างพอดี
ส่วนผมกะจะหยิบไอโฟน5 เครื่องโปรดขึ้นมาฟังเพลง ก็นึกขึ้นได้เสียก่อนเมื่อเห็นไอ้ต้าร์ยืมเอาไปฟันผลไม้โชว์เพื่อนๆ ว่ามันได้นิวไฮสกอร์ทำลายสถิติผมที่เพิ่งทำไปเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่หน้าห้อง เออช่างแม่ง ขี้เกียจทวง... เมื่อไม่รู้จะทำอะไร ผมเลยฟุบหน้าลงกับโต๊ะหมายจะนอนหลับให้เต็มอิ่มต่อจากคาบฟิสิกส์สักหน่อย แอร์ในห้องเย็นกำลังดีชวนเคลิ้มอยู่ด้วย
ป๊าบบบ!!!
“ไอ้เหี้ยยย หูเกือบบอด!!” ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาโวยไอ้ลูกโม่ที่ยืนฉีกยิ้มกว้างท่าทางกวนเบื้องล่าง ในมือถือฟิวเจอร์บอดร์สีส้มพับเป็นรูปพัด แล้วเอามาตีไหล่กูได้! เสียงดังเหี้ยๆ
“หูบ้านพ่อมึงสิบอด” ยังไม่วายเอามาฟิวเจอร์บอร์ดนรกมาเคาะหัวผมเล่นอีกที
“กูจะนอน ไปเล่นกะคนอื่นนู้น” ทั้งที่บอกปัดไปแบบนั้น แต่เจ้าตัวดันนั่งลงข้างผมแทนที่ไอ้เฟรมซะงั้น เอ้อ กวนตีนชิบ
"มาเล่นด้วยแค่นี้ทำหน้าบูดนะเมิง แล้วทำไทยเสร็จยัง ชีทเมื่อวันศุกร์อ่ะ กูจะเอาไปลอก" ผมคิดย้อนไป ก่อนจำได้ว่าลอกไอ้วิทย์เสร็จตั้งแต่วันศุกร์แล้ว (ระดับนี้ไม่มีทำเองครับ เหอๆๆๆ) เลยควักชีทปึกนั้นออกจากกระเป๋าส่งให้ไอ้โม่ไป
"อ่ะนี่ กูย่อจากไอ้วิทย์มาแล้วอีกที"
"รู้งานดีมาก กูขี้เกียจอยู่พอดี" เจ้าตัวรับไปพร้อมฉีกยิ้มแฉ่งอารมณ์ดีดูน่าหมั่นไส้ชอบกล "เออ.. เมื่อวันเสาร์ไอ้ธีร์โทรมาถามเบอร์มึงกับกูด้วยว่ะ” พอได้ยินชื่อคนที่ไอ้โม่พูดถึง ผมที่เตรียมจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะดีดตัวตรงเป็นสปริงแทบหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“เหรอวะ” แบบนี้เองมันถึงได้รู้เบอร์ผม.....
ทันทีที่หน้าหล่อๆ ของธีร์ลอยแวบเข้าโสตประสาทมาก็ชวนให้ผมหงุดหงิดได้มากทีเดียว ไม่อยากให้มันจบแบบนี้ แต่ไอ้เวรนั่นไม่ยอมคุยกับผมจริงๆ แม้แต่หน้ายังไม่อยากมองเลยมั้งครับ... ก็อย่างเมื่อเช้าตอนคาบโฮมรูม พวกผมเป็นเวรทำความสะอาด แล้วตอนจะถูพื้น ไม้ม๊อบดันหายไปอย่างน่าพิศวง ลำบากหัวหน้าเวร (ใครเสือกกกกกก เลือกผมเป็นก็ไม่รู้ แค่วันนั้นไม่มาเรียนหน่อยเดียวเองโบ๊ยให้กูหมด!) ต้องแบกหน้าไปยืมห้องอื่น เคราะห์ร้ายที่แต่ละห้องดันเกิดรักความสะอาดกำลังถูพื้นอยู่พร้อมกันอยู่โดยไม่ได้นัดหมาย กว่าจะหายืมได้ เลยไปถึงห้อง 13 ของไอ้ธีร์
ซึ่งเจ้าตัวนั่งกระดิกขาฟังเพลงยิกๆ อยู่หลังห้องแท้ๆ ผมตะโกนขอยืมเป็นวรรคเป็นเวรจนแสบคอ แม่งยังทำเป็นไม่สนใจใช้คนอื่นหยิบมาให้เลยคิดดู! กวนส้นตีนโคตรรรรรรรรรรรรร
“เออ แล้วคืนนั้นมันไปส่งมึงถึงบ้านเปล่าวะ? กูเมาเลยไปส่งมึงไม่ได้อ่ะ” ผมตวัดสายตามองหน้าเพื่อนคนข้างๆ ที่กำลังจ้องมาอย่างหาคำตอบ หือ! ไอ้สัดนี่เองตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องอัปมงคลทั้งหมด!!
อื้อ!! ขอถีบสักทีเหอะ!
“เชี่ยฟิวส์! อยู่ดีๆ ถีบ ตกมันอ่อสัดด!”
“เพราะมึงคนเดียวไม่ยอมไปกับกู คืนนั้นกูถึง!!......” เอ่อ... เกือบโพล่งความจริงไปแล้วมั้ยล่ะ ดีนะยั้งปากทัน... ทว่าก็ไม่รอดพ้นต่อมจับพิรุตของไอ้โม่ มันหรี่ตามองมาทางผมราวกับเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ.. เรื่องแบบนี้เก่งซะเหลือเกิน
"คืนนั้นมึงทำไม น่าสงสัย... บอกมา"
"มะ.... ไม่มีไร" ผมตอบตะกุกตะกัก หันหน้าหนีไปทางอื่น "แค่... มันไม่รู้ทางไปบ้านกูอ่ะ"
"อ้าว แล้วมึงกลับไงอ่ะ หรือนอนบ้านไอ้ธีร์" โอ๊ยยยย ถามตรงประเด็นจริงว่ะ
"............ เออ ก็........นอนบ้านมันอ่ะ" แทบกลั้นหายใจรอลุ้นว่าแม่งจะถามอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า แต่ยังดีที่ไอ้เพื่อนตัวดีไม่คิดอกุศลไปมากกว่านั้น
"อ๋อ ได้ข่าวว่ามันรวย บ้านใหญ่ยังกับในหนัง ว่างๆ ก็อยากไปนอนค้างสักคืนสองคืนว่ะ คงสบายน่าดู" เหอะๆๆๆๆ มึงเชิญไปคนเดียวเหอะ กูสาบานว่ายังไงชาตินี้ก็จะไม่ไปเหยียบบ้านแม่งอีก คิดแล้วเจ็บ! (ข้างหลัง) "...แต่ไอ้ธีร์แม่งก็เป็นคนรักเพื่อนดีนะ เมื่อเช้านั่งคุยกันตอนกินข้าวในโรงอาหาร มันยังฝากดูแลมึงเลย มันบอกว่ามึงเฮิร์ทเรื่องน้องจีนมากจนร้องไห้ขี้แยบ่อยๆ แล้วก็บอกถ้าเครียดมากจะไม่ดีกับกระเพาะ ทำให้สมองรับรู้ช้าห่าเหวอะไรไม่รู้ แม่งวิชาการอ่ะ ...แต่มึงก็ดูปกตินี่หว่า แค่หงอยๆ แป๊บเดียวเอง มียาดีไรให้หายเศร้าเร็วว๊าา"
ผมเงียบไปเมื่อได้ฟังสิ่งเหล่านั้น.......... "มันบอกงั้นเหรอวะ..."
เพิ่งรู้ว่าธีร์เป็นห่วงผมถึงขนาดนี้.... พอมาลองคิดย้อนดูแล้ว... ไอ้ยาดีที่ว่าคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากไอ้ธีร์นี่เอง ไม่ใช่ไม่เสียใจเรื่องของจีน แต่แทนที่ผมจะจมปรักอยู่กับความเศร้า... เรื่องยุ่งเหยิงของธีร์กลับทำให้ผมหัวหมุนแทนที่จะไปคิดมากกับสิ่งเหล่านั้น...เป็นไอ้หน้าหล่อนั่นที่เราดันพลาดมีอะไรกันเพียงชั่วข้ามคืนเพราะความเมาและอยากรู้อยากลอง แต่ก็เป็นคนเดียวกับที่คอยปลอบโยนให้กำลังใจผมในยามที่กำลังอ่อนแอที่สุด และเป็นคนเดียวกันนี้เองที่ไม่ยอมคุยกับผมเมื่อเช้าแถมเมินกันหน้าตาเฉยอย่างไม่รู้เหตุผลอีกต่างหาก... แล้วมันบอกเป็นห่วงผมทำไมวะ?
ธีร์เป็นอะไรไป?
แม้ก่อนหน้านี้มันจะเป็นแค่เพื่อนห่างๆ แต่ธีร์มักมีรอยยิ้มจริงใจให้คนอื่นเสมอ รวมถึงผม..
ไม่ว่ายังไงผมก็ควรปรับความเข้าใจกับมัน ผมอยากได้ธีร์คนที่เคยยิ้มให้ผมกลับคืนมา...
แต่เมื่อถึงคาบบ่ายประเด็นนั้นก็ต้องถูกปล่อยตกไป เพราะมีเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานสำคัญกว่าเยอะ
นั่นคือการบ้านวิชาชีวะที่ดันเพิ่งรู้จากไอ้บุ๊ค (หัวหน้าห้อง) ว่ามันส่งพรุ่งนี้ แต่เพื่อนๆ ทุกคนดันเชื่อไอ้บอสที่บอกว่าส่งวันศุกร์ หลังจากเถียงกันอยู่พักใหญ่ ไอ้บุ๊คกับไอ้บอสเลยสำเหนียกว่า แค่สงบศึกแล้วไปถามอาจารย์เองเลยง่ายกว่าเยอะ ซึ่งพอสิบนาทีระทึกผ่านไป ไอ้สองคนนั้นถึงกลับมาพร้อมข่าวร้ายว่าส่งพรุ่งนี้ชัวร์จากปากเคลือบลิปสติกสีแดงของอาจารย์เลย! ซวยแบบซ่อนเงื่อนครับ!! ในคาบบ่ายแม้พวกเราจะเรียนอีกสามสี่วิชาก็ยังแอบๆ ปั่นสมุดชีวะ เพราะเป็นที่ประจักกันดีว่าอาจารย์แสงทองสอนชีวะ (คล้องจองเนอะ) โคตรจะตรงเวลา ไม่ส่งพรุ่งนี้รับรองคะแนนหายกว่าครึ่ง!
ชั่วโมงเรียนวันนี้หมดลง แต่งานยังไม่หมด... นอกจากชีวะยังไม่เสร็จต้องยืมของไอ้วิทย์เจ้าเก่าไปลอกแล้ว โครงงานเคมียังต้องแก้อีก!!! วันนี้มันวันเหี้ยไรวะ ทำไมงานประดังประเดกันเข้ามางี้! เห็นว่ารูปเล่มที่ปริ้นท์มาลืมใส่ถาม-ตอบของแต่ละหน่วยเข้าไป (คือไรก็ไม่รู้ กูไม่ได้ไปทำกะเค้าว่ะ) ส่วนฟิวเจอร์บอร์ดที่ใช้ทำสื่อไม่มีปัญหาอะไร เดือดร้อนไอ้โม่ ไอ้เอส ไอ้วิทย์ต้องบึ่งรถกลับไปเรียงหน้าใหม่หมด แถมต้องปริ้นท์มาจากบ้าน เพราะไฟล์งานทั้งหมดอยู่ในแฟลชไดรฟ์มันซึ่งไม่ได้พกมาโรงเรียน (มีตบหัวโทษกันไปกันมาอีก ว่าทำไมตอนรวมไฟล์ไม่ดูให้ดีเสียก่อน) แต่ผมก็ไม่อาจไปแย้งหรือโทษว่าเป็นความผิดใครได้ เพราะตัวเองไม่ได้ช่วยงานแม้แต่นิดเดียว นอกจากตอนหาข้อมูลแค่สองสามหน่วยแล้วส่งไปให้ไอ้โม่เท่านั้นเอง....
ผมกับเฟรมจึงได้แต่นั่งปั่นชีวะรออยู่ที่โรงเรียน เป็นเวลาใกล้สองทุ่มเข้าไปทุกที ยุงก็บินว่อนจนตบไม่หวาดไม่ไหว ไม่ส่งวันนี้ก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์บอกให้เห็นรูปเล่มวางบนโต๊ะแกตอนหกโมงครึ่งพรุ่งนี้ โธ่! แล้วใครจะแหกขี้ตามาปลุกไก่ให้ขันแต่เช้างั้นล่ะครับ'จารย์! เราสองคนนั่งปั่นการบ้านอยู่ใต้อาคาร 11 ขณะที่แสงไฟจากบนตึกโดยรอบเริ่มปิดลงกันหมดแล้ว
ผมเห็นไอ้เฟรมลุกลี้ลุกลนอยู่กับโทรศัพท์ของแม่งตั้งแต่เมื่อกี้ แอบจับใจความตอนคุยกับม๊ามันได้ว่า ไอ้เฟรมถูกสั่งให้ไปรับน้องสาวมันที่เรียนพิเศษแถวพญาไทแทนอาป๊ามัน เพราะวันนี้เลิกงานช้าจะกลับบ้านดึกหน่อย.......... อืม ความจริงเฟรมทำงานนี้มาตั้งแต่ต้น ยังไงก็ไม่น่าจะมาลำบากกับผมที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย...
“มึงกลับก่อนก็ได้นะเว้ย เดี๋ยวพวกมันก็คงมากันแล้ว” ผมตบหลังพลางยิ้มแหยๆ ให้เพื่อนที่นั่งข้างกัน แม้ในใจจะไม่อยากให้มันกลับสักเท่าไหร่......
“มึงรอคนเดียวได้แน่นะ มืดๆ เนี่ย” ไอ้เฟรมเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงมองผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ แหมไอ้เชี่ยนี่ ไม่เชื่อใจเพื่อนเลยวุ้ย (ถึงหน้าตาจะไม่ค่อยน่าเชื่อก็เหอะ)
“ได้ดิ่วะ! ระดับไอ้ฟิวส์ปราบเซียนมาแล้วทุกสำนัก ไม่มีไรต้องกลัวโว้ย ฮ่าๆๆๆ” ผมแกล้งหัวเราะเสียงลั่นตึก แอบได้ยินมันเอคโค่สะท้อนกลับมาเป็นทอดๆ ด้วย เอ่อะ... หลอนเชี้ย.. กูชักไม่แน่ใจ
“โอเค งั้นกูไปรับน้องก่อน มึงก็ไปรอหน้าโรงเรียนด้วยกันดิ่ ตรงนี้ยุงกัดชิบหาย” เออ ความคิดดีแฮะ... ผมพยักหน้าหงึกหงักตกลง พลางยัดสมุดการบ้านสองเล่มใส่กระเป๋า
พวกเราเดินผ่านอาคารต่างๆ มาถึงหน้าโรงเรียน ไม่ค่อยได้อยู่โรงเรียนจนมืดค่ำแบบนี้เท่าไหร่ เพิ่งรู้ว่ายังมีเด็กนักเรียนหลายสิบคนเตะบอลกันอยู่ตรงสนามกลาง แล้วก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากโรงยิมด้วย สงสัยยังซ้อมบาสกันอยู่... ไอ้พวกนี้แม่งฟิตจริงว่ะเอาแรงมาจากไหนมากมาย..
พอโบกมือลาไอ้เฟรมไม่นาน ไอ้วิทย์ก็วิ่งหน้าตื่นพร้อมหนีบเล่มรายงานปกสีส้มมาทางนี้พอดี ผมเอียงคอสงสัยนิดหน่อยที่เห็นมันมาคนเดียว
“ไอ้โม่กับไอ้เอสไปไหนวะ”
“ตีดอทอยู่บ้านดิไอ้สัด แม่งงงงงงง กูโอน้อยออกแพ้ เลยต้องเป็นคนมาส่งเนี่ย” โหไอ้พวกชั่ววววววว!! ผมสบถด่าสองตัวนั้นที่แอบไปเสวยสุขกันโดยไม่ชวน แถมยังปล่อยให้ไอ้วิทย์ผู้น่าสงสารของกูเหนื่อยแฮ่กมาคนเดียวอีก
“อ่ะ.. เอาไป” แต่อยู่ๆ รายงานเจ้าปัญหาเล่มนั้นก็ถูกยัดเยียดใส่มือผม “ต่อจากนี้หน้าที่มึง กูนัดแฟนไว้ ไปแล๊วววววววววววว โชคดี!” เฮ้ยยยยยยยยยยย!! ไอ้นี่ก็ชั่ว! มันรีบตัดบทสะบัดตูดวิ่งหายไปกับสายลมทั้งที่ผมยังไม่ได้เอ่ยปากประท้วงสักแอะ
ผมยืนกระพริบตาทำหน้า poker face อยู่หน้าโรงเรียนสองนาที ก่อนเพิ่งตั้งสติได้ว่า... เวรแล้ว!! นี่กูต้องขึ้นห้องพักครูอาคารวิทย์คนเดียวเหรอวะ!!? ในนั้นมีทั้งเด็กดอง หุ่นอาจารย์ใหญ่ อวัยวะคนเป็นชิ้นๆ เลยน๊าาา ฮือๆๆ... ผมขนลุกเกรียวเมื่อหันกลับไปมองโรงเรียนซึ่งบัดนี้มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์กับแสงไฟจากหลอดนีออนสลัวๆ ไม่กี่ดวงเท่านั้นที่กำลังส่องสว่าง ทว่าพอชั่งใจมองของในมือที่เราไม่ได้มีส่วนช่วยเท่าไหร่ ก็รู้สึกฮึกเฮิมขึ้นมา
เอาวะ... ขอเป็นฮีโร่ทำหน้าที่สุดท้ายนี้ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน
รีบไปส่งดีกว่าจะได้รีบกลับบ้าน
คิดได้ดังนั้นผมก็วิ่งตึกตักเข้าไปในโรงเรียน ผ่านตึกห้องสมุดก่อนจะเห็นอาคารวิทยาศาสตร์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผมเลี่ยงไม่ใช่ลิฟท์ (เพราะแม่งสยองสาด บรรยากาศคล้ายหนังผี) แล้วขึ้นบันไดที่อยู่ข้างกันแทน ห้องพักครูชั้น 4 เงียบเชียบไม่มีคน ผมเปิดประตูเข้าไปวางรายงานเล่มหนาไว้บนโต๊ะหน้าสุด ซึ่งติดป้ายชื่อ ‘สุทัศสา’ ไว้เด่นเป็นสง่า
เยส!!!!!!! มิสชั่นคอมพลีท! ง่ายจะตาย หมูกรุบ! ผมกระหยิ่มยิ้มย่องเดินออกมาจากห้องพักครูอย่างลิงโลด คิคิคิ ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวเลย ก็แค่มืดนิดหน่อย ต่างจากตอนกลางวันตรงไหนว๊า!
ตึก... ตึก.. ตึก..
เอ๊ะ แล้วนั่นเสียงเชี่ยไรกระทบพื้นวะครับ... ผมหุบยิ้มฉับ หวังในใจว่าจะเป็นเสียงฝีเท้าตัวเองสะท้อนกับผนังตึก แต่พอหยุดเดิน
ตึก.. ตึก.. ตึก..
แม่งก็ยังไม่หยุด แถมเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ด้วย! เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นที่ขมับสองข้าง ผมสูดลมหายใจเข้า ทำใจดีๆ แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินลงบันได ความจริงมันอาจจะเหมือนฉากในหนังที่เป็นคุณลุงภารโรงเดินถือไม้กวาดมาทำให้เราตกใจเล่น แต่เวลาแบบนี้ใครหันไปพิสูจน์ก็บ้าแล้วคร้าบบบ โฮๆๆ... น่ากลัวเหี้ย (เอ๊ะ รีดเดอร์คนไหนล้อผมว่า เมื่อกี้ใครยิ้มแฉ่งบอกหมูกรุบ เดี๋ยวเหอะ.. รอผมรอดไปแล้วจะคิดบัญชี) ผมเปลี่ยนจากเดินเร็วเป็นวิ่งเมื่อเสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด ...กูไม่เอาอีกแล้วชาตินี้ จะไม่อยู่โรงเรียนตอนมืดอีกแล้ว ฮือออ ขอให้ลูกช้างกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองฟิวส์ตัวน้อยๆ ด้วยเถอะคับบบ
ในที่สุดก็ถึงชั้น 1 ผมแทบกระโดดร้องเย้ให้ดังไปถึงเซเว่นหน้าโรงเรียน ทว่าโลกทั้งใบกลับพังทลายลง เมื่อพบว่า.. ประตูกระจกปิด! แถมประตูเหล็กด้านหน้าก็ถูกรูดลงใส่กุญแจซะเรียบร้อยโรงเรียนชายล้วน! เฮ้ยยย ได้ไงอ๊า ยังมีคนติดอยู่ในนี้นะ! ผมเคาะกระจกปึงๆๆๆ สลับกับลองเลื่อนประตูที่ถูกล็อกจากด้านนอกแน่นหนา... มันไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
ตึก.. ตึก.. ตึก.. แถมเสียงฝีเท้าประหลาดนั่นก็คืบคลานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง ได้แต่กอดเข่าซุกหน้าหลับตาปี๋ พลางสวดมนตร์ภาวในใจ (ทุกคาถามาหมดแย้วว) โฮๆๆๆ ไอ้ฟิวส์จะตายจริงๆ ก็งานนี้แหละ ผมคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาว่าอาจเป็นผีอาจารย์ใหญ่ B1 แอบลงมาปิดตึก แล้วก็ให้ผี B2 เดินมาจับผมไปยังแท่นบูชายัญเพื่อชำแหละร่างเอาหัวใจไปดอง จากนั้นก็ตัดแขนตัดขาไปประดับห้องกายวิภาครึเปล่า!? ถ้าเป็นแบบนั้นวิญญาณผมก็ต้องล่องลอยอย่างไม่สงบสุขอยู่ในตึกนี้น่ะสิ เอ๊ะ ก็น่าหนุกดีนะ... เพราะบางทีอาจจะได้โผล่มาหลอกไอ้พวกเพื่อนเชี่ยให้ตกใจเล่นด้วย แต่... ไม่เอาดีกว่า... กูอยากกลับบ้านไปกอดพ่อกับแม่! อยากกินปีกไก่ทอดที่พ่อซื้อ อยากนอนสบายบนเตียงนุ่มๆ รอให้แม่มาปลุก แง๊.. จาาร้องไห้แล๊วว
ตึก.. ตึก.. เสียงใกล้เข้ามาจนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างหยุดอยู่ด้านหน้า บัดนี้เหลือเพียงเสียงหัวใจผมเต้นกลบทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง แง.... อย่าทำไรกูเลย อย่าทำไรกูวว... ฮือ..
“เฮ้ย นาย.. นั่งทำไร อ้าว แล้วนี่ประตูปิดเหรอ”
เสียงทุ้มคุ้นเคยนั้นชวนให้ผมหูผึ่ง รีบเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มผู้มาใหม่
“ไอ้เชี่ยธีร์!!!!!” โอ๊ยยยย ไม่เคยดีใจเมื่อเจอหน้าใครขนาดนี้มาก่อน ผมลุกขึ้นเด้งตัวกระโดดกอดมันอย่างลั้นลาที่สุดเท่าเด็กผู้ชายคนนึงจะสามารถ
“แค่กๆๆ... ฟิวส์เหรอวะ.. อยู่นี่ได้ไง แค่กๆ.. ปล่อยก่อน หายใจไม่ออก แน่ะ แขนมึงพันคอกู คะแค่กๆ” ผมถอนวงแขนออกตามคำขอของคนตรงหน้า... แล้วไอ้เชี่ยนี่ก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง ปล่อยให้นึกเป็นผีอยู่ตั้งนาน! ผมลอบมองธีร์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า มันอยู่ในชุดเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง แถมเหงื่อชุ่มจนเสื้อเป็นซีทรูทั้งตัว เห็นกล้ามเนื้อไปถึงไหนต่อไหนอีก
“กูมาส่งงาน แล้วมึงมาทำไร ทำไมเหงื่อออกเยอะงี้วะ”
“กูก็มาส่งงาน เพิ่งเตะบอลกับเพื่อนเสร็จอ่ะ.. แล้วไมตึกปิดได้เนี่ย เมื่อตอนขึ้นมายังเปิดอยู่เลย”
“ก็แหงดิ ถ้าไม่เปิดแล้วมึงจะขึ้นไปได้ไง ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย!” ไอ้เวรนิ! กวนนิดเดียว ตบกบาลซะแรง อูย.. พวกเราสงบศึกอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ไม่ยอมพูดกัน แล้วค่อยๆ ยืนคิดว่าจะออกไปยังไง... ดูธีร์จะกังวลไม่น้อย แต่ก็สงบกว่าที่คิด
“เออ ฟิวส์เอามือถือมามั้ย กูเอาไว้ในกระเป๋าข้างนอก แต่จำเบอร์ป้อมยามได้ เดี๋ยวลองโทรให้เขาเอากุญแจมาเปิด”
ผมเลิกคิ้วพยักหน้าตอบหงึกหงัก พร้อมหยิบโทรศัพท์คู่ใจออกมาจากกางเกง ก็จริงของมัน มีวิธีนี้อยู่นี่หว่า ให้ผมทุบกระจกจนเจ็บมือตั้งนาน.. แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า วันนี้มันถูกใช้เป็นเขียงฟันผลไม้มาทั้งวัน
ซะจน..........
“แบตหมดว่ะ!!!”
----------Make It Right----------
งานเข้าแล้ว... ติดตึก.... ตอนกลางคืน..... สองคน ฮ่าๆๆๆๆๆ
ตอนต่อไปรอดูดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นเนอะ อิอิ แล้วจะออกมากันยังไงนั่น หรือนอนด้วยกันยันเช้าดี กร๊ากกก >___< ตอนนี้ชี้ให้เห็นว่าฟิวส์เพ้อเจ้อมากกก คิดเรื่องผีได้เป็นตุเป็นตะ ฮ่าๆๆๆๆ
ยังไงก็ซียูซูน! เจอกันตอนหน้าครับ ^_________^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ