Make It Right √ จะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่มึง [Yaoi]
-
เขียนโดย นะเขียน
วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 01.27 น.
6 chapter
3 วิจารณ์
41.23K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 01.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) Make It Right 04 √ I'm not alone.
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ4
I’m not alone.
(มีเพลงอยู่ด้านล่างสุด เลือกปิดได้ครับ แต่อยากให้ฟังกันนะ อิอิ)
จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้คุยกับธีร์ให้รู้เรื่อง เพราะพอมันอาบน้ำเสร็จ แม่ของมันก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี (ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยครับ ดีนะหาเสื้อผ้ามาใส่แล้ว) พอแกเห็นผมปุ๊บก็รีบดุลูกชายตัวเองยกใหญ่ว่าพาเพื่อนมาค้างบ้านทำไมไม่บอกซ้ากกกคำ คุณป้าเลยรีบจัดแจงพาผมกับธีร์ลงไปกินข้าวข้างล่างด้วยกัน ระหว่างมื้ออาหารแกชวนคุยนู้นนี่ตลอดไม่ขาด (ผมกินคำนึงแล้วต้องเว้นคุย 5 นาที เหอๆ... แต่ก็ไม่เป็นไรครับ คุณป้าอัธยาศัยดี คุยสนุก แถมชมผมว่าน่ารักหลายครั้งจนอายไปเลย ฮ่าๆๆ) หลังจากทำอะไรเสร็จเรียบร้อย ก็เกือบบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เห็นว่าธีร์มีเรียนพิเศษต่อ ไปส่งผมไม่ได้ คุณป้าก็เลยโทรเรียกแท็กซี่ให้ แถมยังออกค่ารถล่วงหน้าเสร็จสรรพ (โอ๊ย แม่พระจัง ผมแทบลงไปก้มกราบ) แต่ก็สรุปว่า เราเลยไม่มีโอกาสคุยเรื่องเมื่อคืนกันต่ออีก
เฮ้ออออออออออ ไม่ชอบแบบนี้เลย ค้างคาใจชิบหาย ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นธีร์ คือหน้าหล่อๆ ของมันหันลงมองพื้น แล้วพูดลาผมทั้งๆ ที่ไม่ยอมสบตากันสักแอะ ใครโกรธใครอยู่กันแน่วะเนี่ย อารมณ์เสีย!
"ฟิวส์! โทษที มานานยังเนี่ย" เสียงหวานพร้อมรอยยิ้มสวยเรียกความสนใจจากผมไปเสียหมด เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถูกแทนที่ด้วยร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาสั้นตามสมัยนิยม "โอ๊ย ร้อนๆ รีบวิ่งมาเลย ขอโทษนะที่มาสาย" จีนยกมือขึ้นไหว้ขอโทษปลกๆ ชวนให้ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือ 17.11... เลยเวลานัดไปสิบนาทีแล้วเหรอเนี่ย? ผมมัวแต่เหม่อคิดถึงเรื่องไอ้ธีร์จนไม่รู้ตัวเลย
"ไม่เป็นไรจีน 10 นาทีเอง"
"ก็ที่จริงนะ จีนจะมาบีทีเอส แต่พี่กับแม่จีนเนี่ยสิบอกว่าจะมาส่ง เห็นว่าไปธุระพอดี จีนก็บอกว่าไม่ต้องๆ เป็นไงล่ะรถติดเลย อะไรก็ไม่รู้" เรือนหน้าสวยบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ฉีกยิ้มกว้างให้ผมในเวลาต่อมา "หิวแล้ว สั่งไรกินกันดีกว่า"
"จีนสั่งเถอะ ฟิวส์ยังไม่ค่อยหิวอ่ะเพิ่งกินมาเมื่อตอนบ่าย" ผมยื่นเมนูให้เธอ ขณะกวักมือเรียกพี่พนักงานที่เคยมารับออเดอร์ไปรอบนึงแล้ว แต่ผมก็บอกปัดไปให้รอก่อน
"อ้าว... เหรอ แบบนี้จีนก็ต้องนั่งกินคนเดียวอ่ะสิ"
ผมเพียงแต่ยิ้มแห้งๆ ให้คำพูดนั้น ก่อนเจ้าตัวจะทำหน้าพองลมแล้วหันไปสนใจเมนูตรงหน้า "เอาก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น 1 แล้วก็น้ำเก๊กฮวย 2 ค่ะ อ้อ.. ขอเพิ่มลูกชิ้นนะคะ ไม่เอาถั่วงอก" จีนส่งยิ้มสวยให้พี่พนักงาน ชวนให้อีกฝ่ายยิ้มตอบขณะจดเมนู ผมเหม่อมองตามภาพนั้นด้วยหัวใจว่างเปล่า แทบไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่ดูใสซื่อไม่มีพิษมีภัยตรงหน้านี้ จะเป็นคนเดียวกับที่กำลังหลอกผมอยู่... ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าอยากฟังความจริงจากปากเธอเอง ถ้าเธอบอกว่าไม่จริง ผมก็จะเออออไปตามนั้น
เพราะผมไม่รู้จะปักใจเชื่อสิ่งที่เห็นลงไปได้ยังไง..
"ค่ะ ขออนุญาตทวนรายการนะคะ มี...." พนักงานสาวในชุดผ้ากันเปื้อนลายตัวการ์ตูนรูปวัว ส่งเสียงเจื้อยแจ้วทวนรายการอาหารไม่กี่อย่างที่สั่ง ก่อนโค้งให้พวกเราหนึ่งทีแล้วเดินจากไป
“ทำไมจีนสั่งเพิ่มลูกชิ้นล่ะ ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ”
“ฮี่ๆๆ ก็สั่งมาให้ฟิวส์ช่วยกินไง จีนรู้ว่าฟิวส์ชอบบบบ” ว่าแล้วว่ามันแปลกๆ... ผมหัวเราะน้อยๆ ที่ถูกคนตรงหน้ารู้ทัน จีนยักคิ้วกวนให้ผมสองที แล้วหยิบหนังสือนิยายรักโรแมนติกในกระเป๋าสะพายใบโตขึ้นมาเปิดอ่านหน้าแรก อดขำไม่ได้ที่เห็นหญิงสาวทำท่าทางตื่นเต้นเหมือนเห่อของใหม่
“เรื่องใหม่อีกแล้วเหรอครับ” เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อน เพิ่งเห็นอ่านเล่มที่หน้าปกแข็งแถมหนาบึ้กขนาดทุ่มหัวคนตายได้อยู่เลย
“โหย ก็ใช่สิ นิยายพวกนี้อย่างมากสองวันจีนก็อ่านจบแล้ว ฟิวส์ไม่ลองอ่านดูบ้างเหรอ หนุกนะ”
“อ๋อ.. ไม่ดีกว่าอ่ะ” เหอะๆ เชิญเถอะครับ แค่เห็นตัวหนังสือก็ผมปวดหัวจะแย่แล้ว เวลาสอบยังอยากเอาหนังสือเรียนมาต้มกิน ให้ความรู้ไหลผ่านกระเพาะ ถูกดูดซึมเข้าสมองอยู่เลย
“ฟิวส์ก็บอกงี้ทุกทีอ่ะ รู้ป่าวสนุกจะตาย... อย่างเรื่องนี้นะ นางเอกเป็นลูกคนใช้ รักกับเจ้าชายประเทศเล็กๆ ประเทศนึง แล้วก็มีอุปสรรคมากกก จนจีนคิดว่าจะรักกันไม่ได้แล้ว แต่สุดท้ายเจ้าชายก็ยอมทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์หนีไปอยู่เกาะร้างกับนางเอกสองคน อิอิ หวานป่ะล่ะ”
“อื้อ มั้ง” ผมยกมือขึ้นเกาคอ หัวเราะเหอะๆ เพราะเห็นว่าไอ้นิยายที่คนตรงหน้าเคยเล่าแต่ละเรื่อง ตอนจบพระเอกกับนางเอกก็รักกันหมดทุกเรื่อง ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่
“โธ่ ฟิวส์ไร้อารมณ์ ไม่โรแมนติกเลย.. จีนนะ... อยากมีรักหวานๆ แบบในนิยายบ้างจัง” ...................
“.................”
คำพูดนั้นทำเอาผมยิ้มไม่ออก พอรู้ตัวอีกทีภาพเบื้องหน้าก็เป็นพื้นไม้สีน้ำตาลอ่อนของร้านเนื้อคู่ซะแล้ว หึหึ... คงจะเป็นแบบนั้นแหละ ผมไม่ควรโทษใครหรืออะไรเลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันอาจเป็นผมเองที่ให้ความรักอย่างที่จีนต้องการไม่ได้ อาจเป็นผมเองที่ดีไม่พอในสายตาเธอ...
อาจเป็นเพราะผมเอง... ผมคงผิดเองแหละ
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย! ตีแขนฟิวส์ทำไมเนี่ยย”
“ทำเป็นก้มหน้าก้มตาคิดมาก! จีนแค่พูดเล่นนนน ทุกวันนี้คบกับฟิวส์ก็มีความสุขดีอยู่แล้วว” .........อืม..
“..เหรอครับ” ผมหันหนีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของร่างบางตรงหน้าก่อนถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ไม่วายถูกจับสังเกตจนได้...
“ฟิวส์เป็นไรอ่ะ ยังเพลียๆ อยู่เหรอ ไม่ค่อยคุยจริงๆ ด้วย” ดวงตากลมโตจ้องมาทางผมไม่กระพริบเพื่อหาคำตอบ ผมเพียงพยักหน้าฝืนยิ้มให้ ขณะเดียวกับที่พี่พนักงานยกถาดอาหารมาเสิร์ฟพอดี
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารนะคะ...”
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อหอมกรุ่นถูกวางตรงหน้าหญิงสาวคู่กับน้ำเก๊กฮวยสีเหลืองสดสองแก้ว จีนก้มลงพิจารณาของในชามอย่างพอใจ ก่อนคีบลูกชิ้นเนื้อขึ้นมาลูกนึง
“นี่! ลูกชิ้นเนื้อของโปรดฟิวส์ กินคำนึง รับรองงงง หายเพลียเป็นปลิดทิ้งแน่นอน”
ตะเกียบคู่นั้นจ่ออยู่ตรงริมฝีปากผม จีนส่งยิ้มกว้างมาให้ จนชวนให้ผมคิดว่าหากผู้ชายคนไหนเห็นรอยยิ้มแบบนั้นแล้วไม่ยิ้มกลับคงเป็นพวกตายด้านเต็มที
ซึ่งผู้ชายคนนั้นอาจกำลังเป็นผม...
“กินเร็ว! ไม่งั้นทำโทษ”
“...ครับ” ผมอ้าปากรับเจ้าลูกชิ้นของโปรด ที่เวลานี้ต่อให้กินมากเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย
“อร่อยอ่ะดิ เอาอีกมั้ย”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจีนไม่อิ่มนะ”
ผมฝืนยิ้มอีกครั้งเพื่อให้เธอสบายใจ ก่อนเหม่อมองออกไปนอกร้าน
แม้ว่าตรงหน้าคือผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด แต่ในใจกลับรู้สึกอ้างว้างเหมือนผมกำลังอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง....
หนังที่จีนอยากดูเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของสาวออฟฟิศในนิวยอร์ก ซึ่งเน้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่พอดูดีๆ แล้วแม่งไม่เห็นคอมเมดี้ตามโปสเตอร์ที่หวานแหววแต๋วจ๋า ออกจะติดดราม่ามากกว่าด้วยซ้ำ ปกติผมคงไปเฝ้าพระอินทร์ตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรก (ดูหนังรักไม่เป็นจริงๆ ครับ) แต่คราวนี้ไม่รู้เจ้าที่โรงหนังพาราก้อนเฮี้ยน หรือราหูอะไรดลใจให้ผมถ่างตาดูเลยมาตั้งครึ่งเรื่อง
หรืออาจเพราะไอ้หนังเวรนี่แม่ง................
“ลอร่า บ้าเอ๊ย คุณโกหกผม.. เมื่อคืนผมเห็นคุณอยู่กับมันที่โรงแรม ไอ้เวรที่คุณบอกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน คุณจะอธิบายว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรต้องอธิบายทั้งนั้น ฉันบอกคุณไปหมดแล้วว่ามันไม่ใช่ แต่คุณเลือกที่จะไม่เชื่อฉันเอง”
“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง ในเมื่อผมเห็นมากับสองตาตัวเอง”
“เพราะอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องมาถามฉัน ไม่มีประโยชน์หรอก ในเมื่อคุณเลือกที่จะเชื่อแบบนั้นไปแล้ว”
“ลอร่า แต่ผมรักคุณมาก ผมยอมเสียคุณไปให้คนอื่นไม่ได้หรอก”
ฮึ่ม...แม่ง..
.....................โคตรตรงกับชีวิตผมเลย! ไอ้ห่า เอาเข้าไป ทำร้ายกูกันเข้าไป ขนาดหนังเชี่ยนี่ยังซ้ำเติมผมเลยคิดดูดิ่!
“แปลกจัง วันนี้ฟิวส์ไม่หลับ หนังสนุกเหรอ” จีนผละจากการซบไหล่ผม เงยหน้าขึ้นมาพูดเป็นเสียงกระซิบ เพราะถึงแม้คนในโรงจะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ดันเสือกรวมเป็นกระจุกอยู่ล้อมหน้าล้อมหลังพวกเราทั้งนั้น เคี้ยวป๊อบคอร์นเสียงดังทียังลำบากเลยครับ เกรงใจคนอื่นเขา
“ก็สนุกดีนะ”
“ไงล่าาา คราวนี้จีนเลือกหนังไม่ผิดเนอะ” เจ้าของใบหน้าสวยยิ้มกริ่มดีใจก่อนเอนหัวลงซบไหล่ผมเหมือนเดิม
“อืม ไม่ผิดเลย...”
.......................
Rrrr... Rrrr....
เสียงคล้ายโทรศัพท์สั่นดังพอให้ผมรู้ว่ามันมาจากกระเป๋าสะพายใบสีน้ำตาลของจีน ลืมปิดมือถือมั้ง? โชคดีหน่อยที่ไม่ได้เปิดเสียงไว้ จีนหันมายิ้มแหยๆ ให้ผมราวกับต้องการพูดคำขอโทษ ก่อนหยิบไอโฟนเครื่องสวยออกมาเพื่อกดรับสาย
แวบหนึ่งที่ผมเห็นรูปหน้าจอโทรเข้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนเดียวกับที่ผมเคยเห็น................
“จีนดูหนังอยู่... ไม่ว่าง...... น่าา เดี๋ยวเสร็จแล้วโทรไป ...รู้แล้วค่ารู้แล้ว จ้า แค่นี้ก่อนนะ... โอเค บ๊ายบาย”
ผมลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคอ บทสนทนาสั้นๆ ของสองคนนั้นทำให้ผมเบลอราวกับถูกค้อนห้าร้อยปอนด์ทุบย้ำๆ ลงบนหัว
“แฮะๆ ลืมปิดมือถืออ่ะ” จีนเตรียมจะเอนหัวลงซบไหล่ผมต่อ แต่ผมเบี่ยงตัวหลบ แล้วตอบกลับเสียงเบาโดยไม่หันไปมองหน้าเธออีก
“โทษทีนะ ฟิวส์เมื่อย...”
“อ่อ... อื้ม...”
หึหึ... สมเพชตัวเองชิบหาย ถึงขนาดนี้แล้วยังยอมโดนเขาหลอกอยู่อีก ดักดานจริงๆ มึง บนโลกนี้จะใครโง่งี่เง่าไปกว่าไอ้ฟิวส์อีกมั้ยวะ.....
เสียงอินโทรเพลงซาวน์แทร็กคุ้นหูดังขึ้น เรียกผมที่กำลังจมอยู่กับความคิดหันกลับไปมองจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์อีกครั้ง คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินเพลงนี้จากซีรี่ส์ตะวันตกเรื่องนึงเมื่อนานมาแล้ว หึ..... ก็เข้าใจเลือกเอามาประกอบฉากที่พระเอกกับนางเอกกำลังเลิกกันพอดี........
All is well
The spell is broken
I am here with you
For a moment
(ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
แม้จะไม่มีเสียงของเธออีกแล้ว
ฉันยังอยู่กับเธอ...
แต่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น)
Look in your eyes
Close as we'll ever be
Is this love
This could kill me
(จ้องมองดวงตาเธอ
จบสิ้นกันไปได้ด้วยดี
นี่หรือความรัก...
มันได้ฆ่าฉัน)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตเรียบง่ายแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่
ไม่เคยจะเป็น
ไม่มีวันเป็นอย่างนั้น
ความรักนี้ได้ฆ่าฉัน...)
All is well
The spell is broken
I am here with you
For a moment
(ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
แม้จะไม่มีเสียงของเธออีกแล้ว
ถึงฉันยังอยู่กับเธอ...
แต่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น)
Look in your eyes
Close as we'll ever be
This is love
This could kill me
(จ้องมองดวงตาของเธอ
และจบกันไปได้ด้วยดี
นี่คือความรัก
ความรักได้ฆ่าฉัน...)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตเรียบง่ายแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่หรอก
มันไม่เคยจะเป็น
และไม่มีวันเป็นอย่างนั้น
ความรักนี้...ได้ฆ่าฉัน)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่
ไม่เคยจะเป็น
และไม่มีวันเป็นอย่างนั้น...
ความรักนี้...ได้ฆ่าฉัน)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่
ไม่เคยจะเป็น
และไม่มีวันเป็นอย่างนั้น...
ความรักนี้...ได้ฆ่าฉัน)
This could kill me
This could kill me
This is love, love
This could kill me
(มันได้ฆ่าฉัน
สิ่งนี้ได้ฆ่าฉัน
มันคือความรัก... ความรัก
ความรักนี้ได้ฆ่าฉัน)
ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อเต็มสองเบ้าระหว่างท่อนสุดท้ายของเพลง ครั้งแรกในชีวิตที่ดูหนังรักแล้วร้องไห้ สาบานได้ว่าไม่มีใครทำซึ้ง เสียแต่ว่าเพลงแม่งแทงใจดำเกินไป ห่าเอ๊ย... วันวินาศสันตะโรอะไรวะมีแต่คนทำร้าย...
Look in your eyes
Close as we'll ever be
This is love
This could kill me
(จ้องมองดวงตาของเธอ
จบสิ้นกันไปได้ด้วยดี
นี่คือความรัก..
ความรักนี้..ได้ฆ่าฉัน)
เพลงจบลงพร้อมกับเสียงทุ้มหนึ่งดังขึ้นข้างหู.. “ร้องอีกแล้วนะมึง..” ...ถึงกับหมดมู้ด! ผมหันมองผู้ชายคนข้างกันที่เพิ่งพูดประโยคแปลกๆ ออกมา จึงพบว่าเป็น..ใบหน้าหล่อคุ้นตากำลังเก๊กขรึมอยู่
“ธีร์” แล้วไหนว่าแม่งไปเรียนพิเศษไงไอ้ตอแหล! “มาแต่เมื่อไหร่วะ?” ผมพยายามกระซิบให้เสียงเบาที่สุด “มึงอยู่นี่นานแล้วอ่อ?” แต่ไอ้หล่อตัวแสบดันกวนตีนไม่ตอบผมสักคำถาม เจ้าตัวยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อบอกว่าไม่ให้ผมพูดอะไรไปมากกว่านี้..
มือหนาของธีร์เลื่อนมากุมมือผมที่วางอยู่บนพนักแผ่วเบา แรงบีบถูกส่งผ่านมาทำให้ผมตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ชักหนีหรือพูดตอบอะไร ผมลอบมองใบหน้าคมด้านข้างนั้นด้วยความสงสัย แม้ธีร์จะไม่ได้หันมามองผมกลับ แต่ความอบอุ่นจากมือข้างนั้นก็ช่วยให้กำลังใจและปลอบโยนได้ในเวลาเดียวกัน ..
ผมรู้สึกว่าน้ำตาค่อยๆ แห้งไป.... และถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม
ยิ้มที่ไม่ต้องฝืน...
...
เป็นอีกครั้งที่กูต้องขอบใจมึง....
ขอบใจที่ทำให้รู้ว่า กูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
----------Make It Right----------
วันนี้มาต่อซะดึกเลย ขอโทษทีครับ พอดีเพิ่งรีไรท์เรื่องที่เขียนตุนไว้ใหม่ไปหลายตอนเลย รวมถึงตอนนี้ด้วย
อยากให้มันออกมาดีที่สุดครับ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมาอัพได้หรือเปล่า (ยังรีไรท์ไม่เสร็จ เยอะมาก T_T) แต่นะก็จะพยายามมาอัพให้ทุกคนอ่านกันต่อให้ได้เลย ^^
เป็นไงค้าบ เพลงเพราะป่ะ ฮ่าๆๆ ต้องมีคนสงสัยเหมือนฟิวส์แน่เลยว่าธีร์โผล่มาได้ไงหว่า อิอิ
นั่นดิมาได้ไง ตามต่อตอนต่อไป ฮ่าๆๆๆ ส่วนจีน.... ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเนอะ แอบเห็นมีคนอ่านหมั่นไส้ด้วย -.- อารมณ์เดียวกันแหละ
และก็ต้องขอบคุณทุกๆ คอมเม้นเลยนะครับ เป็นกำลังใจได้ดีจริงๆ ขอบคุณมากครับ คิดยังไงก็บอกกันได้น้า ^_^
ไปแล้ว ซียู~~~
ปล.สำหรับลิงค์เด็กดีที่มีรีดเดอร์เม้นถามหานะครับ ตามนี้เลยค้าบบบ http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=865168 (This Could Kill me - Amy Stroup)
I’m not alone.
(มีเพลงอยู่ด้านล่างสุด เลือกปิดได้ครับ แต่อยากให้ฟังกันนะ อิอิ)
จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้คุยกับธีร์ให้รู้เรื่อง เพราะพอมันอาบน้ำเสร็จ แม่ของมันก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี (ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยครับ ดีนะหาเสื้อผ้ามาใส่แล้ว) พอแกเห็นผมปุ๊บก็รีบดุลูกชายตัวเองยกใหญ่ว่าพาเพื่อนมาค้างบ้านทำไมไม่บอกซ้ากกกคำ คุณป้าเลยรีบจัดแจงพาผมกับธีร์ลงไปกินข้าวข้างล่างด้วยกัน ระหว่างมื้ออาหารแกชวนคุยนู้นนี่ตลอดไม่ขาด (ผมกินคำนึงแล้วต้องเว้นคุย 5 นาที เหอๆ... แต่ก็ไม่เป็นไรครับ คุณป้าอัธยาศัยดี คุยสนุก แถมชมผมว่าน่ารักหลายครั้งจนอายไปเลย ฮ่าๆๆ) หลังจากทำอะไรเสร็จเรียบร้อย ก็เกือบบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เห็นว่าธีร์มีเรียนพิเศษต่อ ไปส่งผมไม่ได้ คุณป้าก็เลยโทรเรียกแท็กซี่ให้ แถมยังออกค่ารถล่วงหน้าเสร็จสรรพ (โอ๊ย แม่พระจัง ผมแทบลงไปก้มกราบ) แต่ก็สรุปว่า เราเลยไม่มีโอกาสคุยเรื่องเมื่อคืนกันต่ออีก
เฮ้ออออออออออ ไม่ชอบแบบนี้เลย ค้างคาใจชิบหาย ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นธีร์ คือหน้าหล่อๆ ของมันหันลงมองพื้น แล้วพูดลาผมทั้งๆ ที่ไม่ยอมสบตากันสักแอะ ใครโกรธใครอยู่กันแน่วะเนี่ย อารมณ์เสีย!
"ฟิวส์! โทษที มานานยังเนี่ย" เสียงหวานพร้อมรอยยิ้มสวยเรียกความสนใจจากผมไปเสียหมด เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามถูกแทนที่ด้วยร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาสั้นตามสมัยนิยม "โอ๊ย ร้อนๆ รีบวิ่งมาเลย ขอโทษนะที่มาสาย" จีนยกมือขึ้นไหว้ขอโทษปลกๆ ชวนให้ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือ 17.11... เลยเวลานัดไปสิบนาทีแล้วเหรอเนี่ย? ผมมัวแต่เหม่อคิดถึงเรื่องไอ้ธีร์จนไม่รู้ตัวเลย
"ไม่เป็นไรจีน 10 นาทีเอง"
"ก็ที่จริงนะ จีนจะมาบีทีเอส แต่พี่กับแม่จีนเนี่ยสิบอกว่าจะมาส่ง เห็นว่าไปธุระพอดี จีนก็บอกว่าไม่ต้องๆ เป็นไงล่ะรถติดเลย อะไรก็ไม่รู้" เรือนหน้าสวยบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ฉีกยิ้มกว้างให้ผมในเวลาต่อมา "หิวแล้ว สั่งไรกินกันดีกว่า"
"จีนสั่งเถอะ ฟิวส์ยังไม่ค่อยหิวอ่ะเพิ่งกินมาเมื่อตอนบ่าย" ผมยื่นเมนูให้เธอ ขณะกวักมือเรียกพี่พนักงานที่เคยมารับออเดอร์ไปรอบนึงแล้ว แต่ผมก็บอกปัดไปให้รอก่อน
"อ้าว... เหรอ แบบนี้จีนก็ต้องนั่งกินคนเดียวอ่ะสิ"
ผมเพียงแต่ยิ้มแห้งๆ ให้คำพูดนั้น ก่อนเจ้าตัวจะทำหน้าพองลมแล้วหันไปสนใจเมนูตรงหน้า "เอาก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น 1 แล้วก็น้ำเก๊กฮวย 2 ค่ะ อ้อ.. ขอเพิ่มลูกชิ้นนะคะ ไม่เอาถั่วงอก" จีนส่งยิ้มสวยให้พี่พนักงาน ชวนให้อีกฝ่ายยิ้มตอบขณะจดเมนู ผมเหม่อมองตามภาพนั้นด้วยหัวใจว่างเปล่า แทบไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่ดูใสซื่อไม่มีพิษมีภัยตรงหน้านี้ จะเป็นคนเดียวกับที่กำลังหลอกผมอยู่... ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าอยากฟังความจริงจากปากเธอเอง ถ้าเธอบอกว่าไม่จริง ผมก็จะเออออไปตามนั้น
เพราะผมไม่รู้จะปักใจเชื่อสิ่งที่เห็นลงไปได้ยังไง..
"ค่ะ ขออนุญาตทวนรายการนะคะ มี...." พนักงานสาวในชุดผ้ากันเปื้อนลายตัวการ์ตูนรูปวัว ส่งเสียงเจื้อยแจ้วทวนรายการอาหารไม่กี่อย่างที่สั่ง ก่อนโค้งให้พวกเราหนึ่งทีแล้วเดินจากไป
“ทำไมจีนสั่งเพิ่มลูกชิ้นล่ะ ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ”
“ฮี่ๆๆ ก็สั่งมาให้ฟิวส์ช่วยกินไง จีนรู้ว่าฟิวส์ชอบบบบ” ว่าแล้วว่ามันแปลกๆ... ผมหัวเราะน้อยๆ ที่ถูกคนตรงหน้ารู้ทัน จีนยักคิ้วกวนให้ผมสองที แล้วหยิบหนังสือนิยายรักโรแมนติกในกระเป๋าสะพายใบโตขึ้นมาเปิดอ่านหน้าแรก อดขำไม่ได้ที่เห็นหญิงสาวทำท่าทางตื่นเต้นเหมือนเห่อของใหม่
“เรื่องใหม่อีกแล้วเหรอครับ” เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อน เพิ่งเห็นอ่านเล่มที่หน้าปกแข็งแถมหนาบึ้กขนาดทุ่มหัวคนตายได้อยู่เลย
“โหย ก็ใช่สิ นิยายพวกนี้อย่างมากสองวันจีนก็อ่านจบแล้ว ฟิวส์ไม่ลองอ่านดูบ้างเหรอ หนุกนะ”
“อ๋อ.. ไม่ดีกว่าอ่ะ” เหอะๆ เชิญเถอะครับ แค่เห็นตัวหนังสือก็ผมปวดหัวจะแย่แล้ว เวลาสอบยังอยากเอาหนังสือเรียนมาต้มกิน ให้ความรู้ไหลผ่านกระเพาะ ถูกดูดซึมเข้าสมองอยู่เลย
“ฟิวส์ก็บอกงี้ทุกทีอ่ะ รู้ป่าวสนุกจะตาย... อย่างเรื่องนี้นะ นางเอกเป็นลูกคนใช้ รักกับเจ้าชายประเทศเล็กๆ ประเทศนึง แล้วก็มีอุปสรรคมากกก จนจีนคิดว่าจะรักกันไม่ได้แล้ว แต่สุดท้ายเจ้าชายก็ยอมทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์หนีไปอยู่เกาะร้างกับนางเอกสองคน อิอิ หวานป่ะล่ะ”
“อื้อ มั้ง” ผมยกมือขึ้นเกาคอ หัวเราะเหอะๆ เพราะเห็นว่าไอ้นิยายที่คนตรงหน้าเคยเล่าแต่ละเรื่อง ตอนจบพระเอกกับนางเอกก็รักกันหมดทุกเรื่อง ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่
“โธ่ ฟิวส์ไร้อารมณ์ ไม่โรแมนติกเลย.. จีนนะ... อยากมีรักหวานๆ แบบในนิยายบ้างจัง” ...................
“.................”
คำพูดนั้นทำเอาผมยิ้มไม่ออก พอรู้ตัวอีกทีภาพเบื้องหน้าก็เป็นพื้นไม้สีน้ำตาลอ่อนของร้านเนื้อคู่ซะแล้ว หึหึ... คงจะเป็นแบบนั้นแหละ ผมไม่ควรโทษใครหรืออะไรเลย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันอาจเป็นผมเองที่ให้ความรักอย่างที่จีนต้องการไม่ได้ อาจเป็นผมเองที่ดีไม่พอในสายตาเธอ...
อาจเป็นเพราะผมเอง... ผมคงผิดเองแหละ
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย! ตีแขนฟิวส์ทำไมเนี่ยย”
“ทำเป็นก้มหน้าก้มตาคิดมาก! จีนแค่พูดเล่นนนน ทุกวันนี้คบกับฟิวส์ก็มีความสุขดีอยู่แล้วว” .........อืม..
“..เหรอครับ” ผมหันหนีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของร่างบางตรงหน้าก่อนถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ไม่วายถูกจับสังเกตจนได้...
“ฟิวส์เป็นไรอ่ะ ยังเพลียๆ อยู่เหรอ ไม่ค่อยคุยจริงๆ ด้วย” ดวงตากลมโตจ้องมาทางผมไม่กระพริบเพื่อหาคำตอบ ผมเพียงพยักหน้าฝืนยิ้มให้ ขณะเดียวกับที่พี่พนักงานยกถาดอาหารมาเสิร์ฟพอดี
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารนะคะ...”
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อหอมกรุ่นถูกวางตรงหน้าหญิงสาวคู่กับน้ำเก๊กฮวยสีเหลืองสดสองแก้ว จีนก้มลงพิจารณาของในชามอย่างพอใจ ก่อนคีบลูกชิ้นเนื้อขึ้นมาลูกนึง
“นี่! ลูกชิ้นเนื้อของโปรดฟิวส์ กินคำนึง รับรองงงง หายเพลียเป็นปลิดทิ้งแน่นอน”
ตะเกียบคู่นั้นจ่ออยู่ตรงริมฝีปากผม จีนส่งยิ้มกว้างมาให้ จนชวนให้ผมคิดว่าหากผู้ชายคนไหนเห็นรอยยิ้มแบบนั้นแล้วไม่ยิ้มกลับคงเป็นพวกตายด้านเต็มที
ซึ่งผู้ชายคนนั้นอาจกำลังเป็นผม...
“กินเร็ว! ไม่งั้นทำโทษ”
“...ครับ” ผมอ้าปากรับเจ้าลูกชิ้นของโปรด ที่เวลานี้ต่อให้กินมากเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย
“อร่อยอ่ะดิ เอาอีกมั้ย”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจีนไม่อิ่มนะ”
ผมฝืนยิ้มอีกครั้งเพื่อให้เธอสบายใจ ก่อนเหม่อมองออกไปนอกร้าน
แม้ว่าตรงหน้าคือผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด แต่ในใจกลับรู้สึกอ้างว้างเหมือนผมกำลังอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง....
หนังที่จีนอยากดูเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของสาวออฟฟิศในนิวยอร์ก ซึ่งเน้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่พอดูดีๆ แล้วแม่งไม่เห็นคอมเมดี้ตามโปสเตอร์ที่หวานแหววแต๋วจ๋า ออกจะติดดราม่ามากกว่าด้วยซ้ำ ปกติผมคงไปเฝ้าพระอินทร์ตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรก (ดูหนังรักไม่เป็นจริงๆ ครับ) แต่คราวนี้ไม่รู้เจ้าที่โรงหนังพาราก้อนเฮี้ยน หรือราหูอะไรดลใจให้ผมถ่างตาดูเลยมาตั้งครึ่งเรื่อง
หรืออาจเพราะไอ้หนังเวรนี่แม่ง................
“ลอร่า บ้าเอ๊ย คุณโกหกผม.. เมื่อคืนผมเห็นคุณอยู่กับมันที่โรงแรม ไอ้เวรที่คุณบอกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน คุณจะอธิบายว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรต้องอธิบายทั้งนั้น ฉันบอกคุณไปหมดแล้วว่ามันไม่ใช่ แต่คุณเลือกที่จะไม่เชื่อฉันเอง”
“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง ในเมื่อผมเห็นมากับสองตาตัวเอง”
“เพราะอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องมาถามฉัน ไม่มีประโยชน์หรอก ในเมื่อคุณเลือกที่จะเชื่อแบบนั้นไปแล้ว”
“ลอร่า แต่ผมรักคุณมาก ผมยอมเสียคุณไปให้คนอื่นไม่ได้หรอก”
ฮึ่ม...แม่ง..
.....................โคตรตรงกับชีวิตผมเลย! ไอ้ห่า เอาเข้าไป ทำร้ายกูกันเข้าไป ขนาดหนังเชี่ยนี่ยังซ้ำเติมผมเลยคิดดูดิ่!
“แปลกจัง วันนี้ฟิวส์ไม่หลับ หนังสนุกเหรอ” จีนผละจากการซบไหล่ผม เงยหน้าขึ้นมาพูดเป็นเสียงกระซิบ เพราะถึงแม้คนในโรงจะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ดันเสือกรวมเป็นกระจุกอยู่ล้อมหน้าล้อมหลังพวกเราทั้งนั้น เคี้ยวป๊อบคอร์นเสียงดังทียังลำบากเลยครับ เกรงใจคนอื่นเขา
“ก็สนุกดีนะ”
“ไงล่าาา คราวนี้จีนเลือกหนังไม่ผิดเนอะ” เจ้าของใบหน้าสวยยิ้มกริ่มดีใจก่อนเอนหัวลงซบไหล่ผมเหมือนเดิม
“อืม ไม่ผิดเลย...”
.......................
Rrrr... Rrrr....
เสียงคล้ายโทรศัพท์สั่นดังพอให้ผมรู้ว่ามันมาจากกระเป๋าสะพายใบสีน้ำตาลของจีน ลืมปิดมือถือมั้ง? โชคดีหน่อยที่ไม่ได้เปิดเสียงไว้ จีนหันมายิ้มแหยๆ ให้ผมราวกับต้องการพูดคำขอโทษ ก่อนหยิบไอโฟนเครื่องสวยออกมาเพื่อกดรับสาย
แวบหนึ่งที่ผมเห็นรูปหน้าจอโทรเข้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนเดียวกับที่ผมเคยเห็น................
“จีนดูหนังอยู่... ไม่ว่าง...... น่าา เดี๋ยวเสร็จแล้วโทรไป ...รู้แล้วค่ารู้แล้ว จ้า แค่นี้ก่อนนะ... โอเค บ๊ายบาย”
ผมลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคอ บทสนทนาสั้นๆ ของสองคนนั้นทำให้ผมเบลอราวกับถูกค้อนห้าร้อยปอนด์ทุบย้ำๆ ลงบนหัว
“แฮะๆ ลืมปิดมือถืออ่ะ” จีนเตรียมจะเอนหัวลงซบไหล่ผมต่อ แต่ผมเบี่ยงตัวหลบ แล้วตอบกลับเสียงเบาโดยไม่หันไปมองหน้าเธออีก
“โทษทีนะ ฟิวส์เมื่อย...”
“อ่อ... อื้ม...”
หึหึ... สมเพชตัวเองชิบหาย ถึงขนาดนี้แล้วยังยอมโดนเขาหลอกอยู่อีก ดักดานจริงๆ มึง บนโลกนี้จะใครโง่งี่เง่าไปกว่าไอ้ฟิวส์อีกมั้ยวะ.....
เสียงอินโทรเพลงซาวน์แทร็กคุ้นหูดังขึ้น เรียกผมที่กำลังจมอยู่กับความคิดหันกลับไปมองจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์อีกครั้ง คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินเพลงนี้จากซีรี่ส์ตะวันตกเรื่องนึงเมื่อนานมาแล้ว หึ..... ก็เข้าใจเลือกเอามาประกอบฉากที่พระเอกกับนางเอกกำลังเลิกกันพอดี........
All is well
The spell is broken
I am here with you
For a moment
(ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
แม้จะไม่มีเสียงของเธออีกแล้ว
ฉันยังอยู่กับเธอ...
แต่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น)
Look in your eyes
Close as we'll ever be
Is this love
This could kill me
(จ้องมองดวงตาเธอ
จบสิ้นกันไปได้ด้วยดี
นี่หรือความรัก...
มันได้ฆ่าฉัน)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตเรียบง่ายแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่
ไม่เคยจะเป็น
ไม่มีวันเป็นอย่างนั้น
ความรักนี้ได้ฆ่าฉัน...)
All is well
The spell is broken
I am here with you
For a moment
(ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
แม้จะไม่มีเสียงของเธออีกแล้ว
ถึงฉันยังอยู่กับเธอ...
แต่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น)
Look in your eyes
Close as we'll ever be
This is love
This could kill me
(จ้องมองดวงตาของเธอ
และจบกันไปได้ด้วยดี
นี่คือความรัก
ความรักได้ฆ่าฉัน...)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตเรียบง่ายแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่หรอก
มันไม่เคยจะเป็น
และไม่มีวันเป็นอย่างนั้น
ความรักนี้...ได้ฆ่าฉัน)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่
ไม่เคยจะเป็น
และไม่มีวันเป็นอย่างนั้น...
ความรักนี้...ได้ฆ่าฉัน)
Lets rejoice in where there's love
The simple way was not for us
It never was
It never was
This could kill me
(มาร่วมยินดีกับคนที่เขามีรักกันเถอะ
ชีวิตแบบนั้น มันไม่ใช่ของเราทั้งคู่
ไม่เคยจะเป็น
และไม่มีวันเป็นอย่างนั้น...
ความรักนี้...ได้ฆ่าฉัน)
This could kill me
This could kill me
This is love, love
This could kill me
(มันได้ฆ่าฉัน
สิ่งนี้ได้ฆ่าฉัน
มันคือความรัก... ความรัก
ความรักนี้ได้ฆ่าฉัน)
ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อเต็มสองเบ้าระหว่างท่อนสุดท้ายของเพลง ครั้งแรกในชีวิตที่ดูหนังรักแล้วร้องไห้ สาบานได้ว่าไม่มีใครทำซึ้ง เสียแต่ว่าเพลงแม่งแทงใจดำเกินไป ห่าเอ๊ย... วันวินาศสันตะโรอะไรวะมีแต่คนทำร้าย...
Look in your eyes
Close as we'll ever be
This is love
This could kill me
(จ้องมองดวงตาของเธอ
จบสิ้นกันไปได้ด้วยดี
นี่คือความรัก..
ความรักนี้..ได้ฆ่าฉัน)
เพลงจบลงพร้อมกับเสียงทุ้มหนึ่งดังขึ้นข้างหู.. “ร้องอีกแล้วนะมึง..” ...ถึงกับหมดมู้ด! ผมหันมองผู้ชายคนข้างกันที่เพิ่งพูดประโยคแปลกๆ ออกมา จึงพบว่าเป็น..ใบหน้าหล่อคุ้นตากำลังเก๊กขรึมอยู่
“ธีร์” แล้วไหนว่าแม่งไปเรียนพิเศษไงไอ้ตอแหล! “มาแต่เมื่อไหร่วะ?” ผมพยายามกระซิบให้เสียงเบาที่สุด “มึงอยู่นี่นานแล้วอ่อ?” แต่ไอ้หล่อตัวแสบดันกวนตีนไม่ตอบผมสักคำถาม เจ้าตัวยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อบอกว่าไม่ให้ผมพูดอะไรไปมากกว่านี้..
มือหนาของธีร์เลื่อนมากุมมือผมที่วางอยู่บนพนักแผ่วเบา แรงบีบถูกส่งผ่านมาทำให้ผมตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ชักหนีหรือพูดตอบอะไร ผมลอบมองใบหน้าคมด้านข้างนั้นด้วยความสงสัย แม้ธีร์จะไม่ได้หันมามองผมกลับ แต่ความอบอุ่นจากมือข้างนั้นก็ช่วยให้กำลังใจและปลอบโยนได้ในเวลาเดียวกัน ..
ผมรู้สึกว่าน้ำตาค่อยๆ แห้งไป.... และถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม
ยิ้มที่ไม่ต้องฝืน...
...
เป็นอีกครั้งที่กูต้องขอบใจมึง....
ขอบใจที่ทำให้รู้ว่า กูไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
----------Make It Right----------
วันนี้มาต่อซะดึกเลย ขอโทษทีครับ พอดีเพิ่งรีไรท์เรื่องที่เขียนตุนไว้ใหม่ไปหลายตอนเลย รวมถึงตอนนี้ด้วย
อยากให้มันออกมาดีที่สุดครับ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมาอัพได้หรือเปล่า (ยังรีไรท์ไม่เสร็จ เยอะมาก T_T) แต่นะก็จะพยายามมาอัพให้ทุกคนอ่านกันต่อให้ได้เลย ^^
เป็นไงค้าบ เพลงเพราะป่ะ ฮ่าๆๆ ต้องมีคนสงสัยเหมือนฟิวส์แน่เลยว่าธีร์โผล่มาได้ไงหว่า อิอิ
นั่นดิมาได้ไง ตามต่อตอนต่อไป ฮ่าๆๆๆ ส่วนจีน.... ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเนอะ แอบเห็นมีคนอ่านหมั่นไส้ด้วย -.- อารมณ์เดียวกันแหละ
และก็ต้องขอบคุณทุกๆ คอมเม้นเลยนะครับ เป็นกำลังใจได้ดีจริงๆ ขอบคุณมากครับ คิดยังไงก็บอกกันได้น้า ^_^
ไปแล้ว ซียู~~~
ปล.สำหรับลิงค์เด็กดีที่มีรีดเดอร์เม้นถามหานะครับ ตามนี้เลยค้าบบบ http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=865168 (This Could Kill me - Amy Stroup)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ