[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
9.7
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
56 ตอน
51 วิจารณ์
236.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) Chapter 06 : งานเลี้ยง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 06 : งานเลี้ยง
ผมนั่งดูการปฏิบัติงานของฝ่ายเครื่องยนต์เพลินจนถึงเวลาพักกลางวันแล้วจึงเดินไปเรียกพี่ลุกซ์ที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมเครื่องยนต์จนลืมเวลาพัก
“ประธานครับ ถึงเวลาพักกลางวันแล้วครับ ช่วงบ่ายมีนัดประชุมคุณควรไปเตรียมตัวได้แล้วนะครับ” ผมตะโกนเรียกพลางเงยหน้ามองพี่ลุกซ์ที่ยืนอยู่บนเครน
“อืม เดี๋ยวรออะไหล่มาก่อนค่อยซ่อมต่อ เรียกลูกค้ามารับรถไปก่อนแล้วค่อยนัดเอารถเข้ามาซ่อมต่อ ติดต่อฝ่ายประกันไปด้วยล่ะจะได้ไม่มีปัญหา” พี่ลุกซ์พยักหน้าให้ผมแล้วหันไปสั่งช่างที่เป็นผู้ช่วย
เวลาเขาทำงานเขาก็ดูดีนะครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงหลงในมาดหนุ่มทำงานของเขาแล้วล่ะแต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ว่าเขาจะดูดีมากแค่ไหนแต่ในเมื่อรู้สันดานกันดีขนาดนี้ผมก็หลงไม่ลง
“ขอบคุณมากครับ วันนี้ประธานกินข้าวกลางวันด้วยกันไหมครับ?” ช่างที่เป็นผู้ช่วยพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะถามพลางปีนลงจากเครน
“ไม่ล่ะ ผมมีงานต่อ แต่ว่านะพี่สอง บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกเหมือนเดิม ได้ยินพี่พูดกับผมแบบนั้นแล้วมันแสลงหูว่ะ” พี่ลุกซ์บอกกับช่างทำให้เขาหัวเราะนิดๆ แล้วกระโดดพรึ่บมายืนอยู่ข้างผม ครั้นคนที่ชื่อว่าสองหันมามองผมเขาก็ตกใจแล้วหันไปหาพี่ลุกซ์ที่กำลังปีนตามลงมา
“เอ่อ...?” ช่างเลิกคิ้วมองผมด้วยอาการงงไม่หายเพราะยังไม่มีใครไขข้อข้องใจ
“อ้อ นี่เป็นเลขาของผมน่ะครับ ชื่อคุณปริน” พี่ลุกซ์แนะนำ ชิ! การแนะนำแบบนั้นมันช่างน่าขัดใจซะจริงๆ
“เรียกผมว่าเปอร์ก็ได้ครับ ต่อจากนี้ไปผมอาจจะได้มาทำงานที่แผนกนี้ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมหันไปยิ้มให้กับพี่สองอย่างเป็นมิตรและนั่นก็ทำให้แขนผมถูกกระชากแล้วลากไปทางห้องล็อกเกอร์จนพี่สองตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เพียงยืนอ้าปากพะงาบๆ อย่างพูดอะไรไม่ออก
“พูดแบบนั้นหมายความว่าไง?” เมื่อผมถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องนั้นแล้วพี่ลุกซ์ก็ตะคอกถาม
“ผมเพิ่งได้ยินมาว่าผมสามารถโยกย้ายตำแหน่งและที่ทำงานได้ผมก็เลยคิดจะย้ายมาทำงานแผนกนี้” ผมจัดเสื้อแล้วปัดไปมาก่อนจะบอกด้วยสีหน้าที่ผมคิดว่านิ่ง
“ไม่อนุมัติ” พี่ลุกซ์ตอบทันที
“ผมก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะครับว่ามันจะเป็นแบบนี้ ทำใจไว้แล้วด้วยว่าต้องทนทำงานเป็นเลขาต่อไป” ผมกอดอกยกมุมปากขึ้นยิ้มแสยะ
“ผมเคยให้โอกาสคุณตัดสินใจแล้วว่าจะทำงานกับผมไหม แต่คุณก็เลือกที่จะทำเพราะฉะนั้นก็ช่วยไม่ได้นะครับคุณเลขา” พี่ลุกซ์มองผมด้วยสายตาดุดันก่อนจะเดินไปเปิดล็อกเกอร์ของตัวเองแล้วหยิบสูทมาโยนให้ผมถือ
“ครับ ผมน่าจะคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดมันอาจจะทำให้ชีวิตผมเหมือนตกนรกก็ได้ อ้อ รีบทานข้าวนะครับจะได้เข้าประชุม” ผมพูดแล้วยัดสูทของเขาคืนให้ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องล็อกเกอร์สำหรับเปลี่ยนชุดทันที
หลังจากประชุมเสร็จผมก็ถูกพี่ลุกซ์ลากขึ้นรถท่ามกลางความงุนงงและขัดขืนอะไรไม่ได้ รถที่เขาพาผมขึ้นไปนั่งก็เป็นคนคันเดิมที่ผมเคยเป็นตุ๊กตาหน้ารถนั่นแหละครับ ถึงจะไม่ได้นั่งมาห้าปีแล้วรถคันนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
โว้ย!! ทำไมต้องพาผมมาเจอสิ่งที่ทำให้คิดถึงอดีตด้วยนะ? หมอนี่อยากจะตอกย้ำผมหรือไง? แต่ฝันไปเถอะ ผมไม่มีทางกลับไปโง่งมโข่งเหมือนเดิมแล้วล่ะเพราะตาผมมันสว่างยิ่งกว่าสว่างซะอีกว่าคนคนนี้ไม่สมควรได้รับความรักจากใครทั้งนั้น และหัวใจที่มีค่าของผมคนนี้ก็จะมีไว้สำหรับคนอื่น ถ้าผมหันกลับไปหาเขาอีกผมจะต้องเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลกแน่นอน
“ผมให้เวลาคุณสองชั่วโมงแล้วผมจะมารับหน้าบ้าน” พี่ลุกซ์พูดหลังจากขับรถมาส่งผมที่หน้ารั้ว ไม่กล้าเข้าไปข้างในล่ะสิ คงกลัวถูกกระทืบก่อนได้ออกจากบ้านล่ะมั้ง
“ทำไมครับ?” ผมถามอย่างไม่พอใจ
“คุณต้องไปงานเลี้ยงกับผมคืนนี้” เขาบอก
“ทำไมผมต้องไปด้วย?” ผมขมวดคิ้วหันไปถาม
“เพราะคุณเป็นเลขาของผมไง ผมจ้างคุณมาทำงานให้ผมไม่ได้จ้างไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้าห้อง ผมสั่งอะไรคุณก็ต้องทำ” พี่ลุกซ์ตวัดสายตามามองผมอย่างดุดันจนผมพูดอะไรไม่ออก
“เออ ครับ!” ผมตอบรับก่อนจะเปิดประตูออกไปแล้วปิดมันอย่างแผ่วเบา ในเวลานี้ถ้ารถเขาเป็นอะไรเพราะผมขึ้นมาผมคงไม่มีปัญญาหาเงินไปซ่อมให้เขาหรอกครับ
ผมยืนกร่อยอยู่ในงานสังคมไฮโซอย่างเซ็งๆ ในงานนี้มีผู้บริหารยักษ์ใหญ่จากหลายบริษัทมารวมกันละลานตาไปหมด ผมน่ะมันก็แค่เลขาจนๆ ที่สวมสูทราคาถูก ไม่กล้าเข้าไปคุยอะไรกับใครซักคน พี่ถังก็มานะแต่มากับพี่เคย์แทนที่จะเป็นพี่พลอย ตอนแรกผมก็เบาใจหรอกแต่ทั้งสองคนนั้นมักถูกดึงไปคุยจนผมต้องอยู่คนเดียวตลอด ส่วนคนที่พาผมมาด้วยก็เดินควงเมียตัวเองที่เพิ่งตามมาทีหลังไปคุยกับคนอื่น
สรุปง่ายๆ ผมถูกทิ้ง!
“ไงเปอร์ มาด้วยเหรอ?” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทักจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็เจอพี่ภีร์ที่กำลังทำหน้าหม่นๆ ไม่ต่างจากผมกำลังเดินมายืนพิงกำแพงข้างๆ ผม
“มากับใครพี่?” ผมถาม ก็ถามไปงั้นๆ แหละครับ รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมากับแฟน
“มากับไอ้คุณตฤณน่ะ” พี่ภีร์บอกแล้วทำหน้าเซ็งๆ
“แล้วไปไหนซะล่ะ?” ผมถามพลางมองหา
“ไม่รู้ ช่างหัวมัน เฮ้อ ไม่รู้จะลากมาด้วยทำไม น่าเบื่อจะตาย” พี่ภีร์กรอกตามองฟ้าแล้วบ่นอย่างไม่พอใจ
“ใช่ไหมพี่? น่าเบื่อว่ะ” ผมขมวดคิ้วบ่นด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างจากพี่ภีร์นัก “แล้วเป็นไงบ้างกับคุณตฤณ?” ผมถามเพราะดูพี่ภีร์จะไม่ได้มีความสุขกับการอยู่กับคุณตฤณเขาเลย ได้ข่าวว่าคุณตฤณเป็นเพื่อนพี่ถังแหละครับแต่ผมไม่รู้จักเพราะเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ถึงว่าล่ะ คุณตฤณยังดูหนุ่มๆ อยู่เลย
“ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรมากหรอก” พี่ภีร์ทำหน้าเบื่อๆ เหมือนไม่อยากจะพูดถึงมัน ท่าทางจะไปกันได้ไม่ค่อยดีล่ะมั้ง
“อืม แต่อย่างน้อยเขาก็ดูท่าทางจะเป็นคนดีนะ” ผมบอก ผมไม่รู้จักคุณตฤณซักเท่าไหร่แต่ก็เคยพบบ้าง เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ดีใจด้วย ท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่สุดๆ ไม่เหมือนไอ้พี่ถังที่แก่แล้วแต่ทำตัวปัญญาอ่อน เป็นกันทั้งผัวทั้งเมียครับ พี่ถังก็ปัญญาอ่อน พี่เคย์ก็ปัญญาอ่อน
“ดีเหรอ? ไม่รู้สิ คงจะเหมือนไอ้ลุกซ์ล่ะมั้ง คนภายนอกมองมาก็ดูว่าเป็นคนดีแต่ในมุมมองของคนใกล้ตัวมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด” พี่ภีร์พูดด้วยสีหน้าหม่นๆ เหมือนคนกำลังฝืน
“ก็นะ เข้าใจความรู้สึกเลยแหละ” ผมก้มหน้าพูด
“สงสัยมันจะเป็นเวรเป็นกรรมที่พี่ทำกับเปอร์ไว้ล่ะมั้ง ต่อให้พี่ขอโทษไปกี่หมื่นกี่แสนครั้งมันก็ชดใช้ความผิดไม่ได้ สุดท้าย...ก็ต้องมาเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายถูกกระทำด้วยตัวเอง” มุมปากของพี่ภีร์ยกยิ้มเหมือนกำลังเย้ยหยันตัวเองก็ไม่ปาน
“พี่ไม่ต้องคิดมากเรื่องของผมแล้วล่ะ มันผ่านมานานมากแล้ว ผมไม่คิดอะไรแล้วล่ะ” ผมตบไหล่ปลอบใจพี่ภีร์ มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าคนที่ถูกกระทำน่ะจะลืมได้ง่ายกว่าฝ่ายที่เป็นคนกระทำ สำหรับคนที่สำนึกผิด ต่อให้อีกฝ่ายจะยอมให้อภัยแต่ใจมันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ผมเข้าใจและเห็นใจพี่ภีร์จึงไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรอีก
“แล้วตอนนี้เปอร์เป็นยังไงบ้าง? ทำใจได้ไหม?” พี่ภีร์หันมาถาม
“ถามว่าได้ไหมมันก็คงยังไม่ได้หรอกครับ เวลาเห็นหน้าเขาผมก็ยังเจ็บอยู่แต่ก็พยายามไม่เข้าใกล้เกินความจำเป็น เฮ้อ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วผมไปทำอะไรกับเขาเอาไว้ก็ไม่รู้ ชาตินี้ผมถึงถูกเอาคืนอย่างแสนสาหัส” ผมเงยหน้ามองเพดานพลางพรูลมหายใจออกมาเสียยาว
“พี่ดีใจนะที่ได้เจอเปอร์ ได้คุยกันแบบนี้รู้สึกโล่งดีแฮะ เมื่อก่อนพี่ไม่กล้าสู้หน้าเปอร์เลยนะ เห็นทีไรแล้วเจ็บฉิบหาย ทุกครั้งที่มองหน้าเปอร์พี่จะตอกย้ำในความเลวของตัวเองเสมอจนบางทีพี่ก็รู้สึกอยากตายไถ่โทษซะด้วยซ้ำ” พี่ภีร์พูด
“ขนาดนั้นเลยเหรอ? เอาเป็นว่าตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันนะพี่ เมื่อก่อนผมยอมรับเลยว่าแค่เห็นหน้าพี่ผมก็สั่นไปหมดแล้วแต่เพราะรู้ดีว่าพี่ก็คงเจ็บปวดเหมือนกันก็เลยทำใจได้ เราสองคนนี่ก็มีชะตาที่เหมือนกันดีเนอะ ดันไปรักคนนิสัยไม่ดีเข้า” ผมหัวเราะนิดๆ ให้กับความโง่ของตัวเอง ผมคิดนะว่าถ้าผมไม่ไปยุ่งกับเขาตั้งแต่แรกผมคงไม่จมปลักอยู่แบบนี้
“เปล่าหรอก พี่ไม่ได้รักมันในความหมายแบบนั้น สมัยเรียนไอ้ลุกซ์มันดีกับพี่มาก มันมองความรู้สึกคนออกและคอยให้กำลังใจพี่ในแบบของมันทำให้พี่เผลอคิดไปไกล พี่ไม่เคยเห็นมันรักใครเลยนะเปอร์ จนกระทั่งมันมาเจอกับเรา” พี่ภีร์หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก
“ไม่จริงหรอกครับ” ผมหรุบสายตาลงต่ำ
“พวกเพื่อนในกลุ่มพี่ทุกคนให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก ไม่มีทางที่พวกมันจะให้ใครมาสำคัญเหนือเพื่อนเลย แต่มันกระทืบพี่แทบตายเพราะพี่ทำร้ายเรา มันน่ะรักเรามาก แม้จะไม่ค่อยแสดงออกแต่พี่ก็รู้สึกได้ พอมาวันนี้พี่กลับแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเปอร์กับมัน มันไม่บอกอะไรใครเลย ตอนที่พี่รู้ว่ามันจะแต่งงานกับเจ๊เปรียวพี่เองก็ช็อคจนคิดอะไรไม่ออก” พี่ภีร์เล่าไปพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อย่าไปรื้อฟื้นมันอีกเลยนะครับ ผมหยุดแล้ว” ผมก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองแล้วยิ้มนิดๆ อย่างฝืนๆ
“เฮ้อ! คุยเรื่องเครียดมาซะนาน ป่ะ! ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงแรมดีกว่า ของในนี้กระเดือกไม่ลงว่ะ พี่เลี้ยงเอง” พี่ภีร์ถอนหายใจยาวก่อนจะรวบคอผมไปกอดแล้วพูดออกมาซะดังทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้หันมามอง ไอ้ผมก็อายเลยรีบลากพี่ภีร์ออกไปจากห้องจัดงานทันที
ผมนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านข้างทางกับพี่ภีร์จนอิ่มพุงแทบปลิ้นแล้วค่อยกลับเข้าไปที่ห้องจัดงานในโรงแรม ทันทีที่เข้าไปคุณตฤณก็เดินหน้าเครียดเขามาหาพี่ภีร์ทันที
“ไปไหนมา!?” คุณตฤณกระชากแขนพี่ภีร์ไปบีบไว้แล้วกัดฟันถามอย่างดุดันจนผมตกใจ
“ไปกินข้าวกับน้อง ปล่อย! มันเจ็บนะพี่อัต!” พี่ภีร์ขมวดคิ้วตอบพลางพยายามแกะมือหนาๆ ที่คว้าแขนตัวเองเอาไว้ออก คุณตฤณหันมาแล้วยิ้มให้นิดๆ ผมจึงยกมือไหว้เขา
อ่า...คุณตฤณชื่อเล่นชื่ออัตน่ะครับ แต่ผมชินเรียกว่าตฤณ
“น้องไอ้ถังสินะ? มากับใครครับ?” คุณตฤณยิ้มพลางถามผม เอ่อ...ทำไมรอยยิ้มเขามันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้
“เอ่อ...ผมมากับคุณรุจิภาสน่ะครับ เป็นเลขา” ผมบอกเสียงอ่อย
“อ๋อ งั้นพี่ขอตัวพาพี่ภีร์ของน้องไปก่อนนะ” คุณตฤณพูดเสียงนุ่มผมจึงได้แต่พยักหน้าและมองหน้าหงิกงอของพี่ภีร์อย่างสงสาร
โชคดีนะพี่ภีร์
“คุณบกพร่องต่อหน้าที่นะ แต่ผมจะเห็นแก่เพื่อนของผมที่ทำให้คุณหนีงานออกไปแบบนี้ ผมจะไม่ด่าคุณก็แล้วกัน” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมต้องรีบหันไปมองคนที่กำลังยืนกอดอกทำหน้านิ่งๆ จ้องมองผมอยู่
“ขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้ขอโทษอย่างไม่เต็มใจนัก
“ผมหิว” จู่ๆ เขาก็พูดออกมาแบบนั้นทำให้ผมได้แต่เลิกคิ้วมองหน้าเขาอย่างสงสัย คือ...มึงหิวแล้วมาบอกกูเพื่อ?
“หิวก็หาอะไรยัด...เอ่อ ทานสิครับ” ผมบอก
“ผมจะออกไปทานข้างนอก”
“ก็ไปสิครับ” ผมขมวดคิ้วนิดๆ อย่างสงสัย ถ้าจะไปกินก็ไปสิวะ มาบอกทำไม?
“ไปกับผม” อ๋อ ให้กูพาไปว่างั้นเถอะ?
“หน้าที่หรือเปล่าครับ?”
“เออ” สิ้นคำ แขนผมก็ถูกดึงเพื่อลากออกจากห้องจัดงานทันทีโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้ แม้จะไม่อยากไปแต่สุดท้ายถ้ามันเป็นหน้าที่ผมก็ต้องออกไปกับเขาจนได้สินะ เฮ้อ ลาออกซะดีไหม?
แต่งานสมัยนี้มันหายากชะมัด
ผมนั่งมองคนตรงหน้าด้วยอาการเซ็งจัดเพราะเขากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านที่ผมเพิ่งมาอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รู้จะกินช้าให้ได้อะไรขึ้นมาทั้งๆ ที่ปกติการกินของเขาแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการสวาปาม ผมว่าเขาต้องแกล้งกินยั่วให้ผมอยากกินด้วยแน่เลยแต่เสียใจ เมื่อกี้กูแดกสองชาม
“ทานเสร็จจะกลับเข้าไปในงานหรือกลับบ้านครับ?” ผมถามขึ้นเพราะอยากจะกลับเต็มแก่
“กลับบ้าน” เขาตอบผมจึงกระชับสูทตัวเอง
“งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ ไหนๆ คุณก็จะกลับงานของผมก็สิ้นสุด” ผมบอกพลางลุกขึ้นยืน
“คุณต้องกลับพร้อมผม” เขาพูดขึ้นทำให้ผมทำหน้าหงิกยิ่งกว่าหงิก
“ถ้าเสร็จงานแล้วก็ให้ผมกลับได้ไหมครับ? ผมมีครอบครัวต้องดูแลไม่ได้ว่างหรือรวยล้นฟ้าพอที่จะจ้างใครมาดูแลหรอกนะครับ!” ผมพูดเสียงแข็งและดังทำให้โต๊ะใกล้ๆ หันมาสนใจ ผมมองไปรอบๆ อย่างอายๆ ก่อนจะยอมนั่งลง
“ผมจะไปส่ง”
“ไม่ต้อง ผมกลับเองได้” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“จะกลับยังไง? แท็กซี่เหรอ? บ้านคุณไกลไม่ใช่เหรอ? ค่าแท็กซี่จากที่นี่ไปถึงบ้านคุณมันแพงนะ” พี่ลุกซ์อ้างทำให้ผมคิดตาม เฮ้อ เบื่อความจนของตัวเองจังเลยแฮะ “ผมมีข้อเสนอเรื่องงานให้คุณนะ ถ้าคุณสนใจ ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณสองเท่า” สักพักพี่ลุกซ์ก็พูดขึ้นทำให้ผมสนใจมากขึ้น ตอนนี้เงินเดือนผมก็ถือว่าสูง ถ้าเขาเพิ่มขึ้นสองเท่าผมก็จะสามารถมีเงินเก็บไว้สำหรับอนาคตเยอะขึ้น อ่า...ผมสนใจจัง
“อะไรครับ?” ผมถามอย่างวางฟอร์ม
“ตอนนี้คุณเป็นเลขาในที่ทำงานให้ผมแต่ผมต้องการเลขาส่วนตัวด้วย แต่คุณต้องมีเวลาให้กับผมมากกว่าปกติ ถ้าผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ แม้จะเป็นเวลาตีหนึ่งตีสองคุณก็ต้องมา” พี่ลุกซ์พูดพลางวางตะเกียบกับช้อนเพราะกินเสร็จแล้ว
“ขอบเขตของงานล่ะครับ?” ผมหรี่ตาลงนิดๆ เพราะกลัวว่าเขาจะใช้ให้ผมทำเรื่องอย่างว่า
“ไม่ใช้ให้ทำงานผิดกฎหมาย” เขาบอก
“ไม่มีเรื่องผิดศีลธรรม” ผมต่อรอง
“ก็อาจจะมีบ้าง” ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น กูว่าแล้วไง “แต่ผมไม่คิดจะนอกใจภรรยา” จึก!! เหมือนเข็มนับพันกระหน่ำมาทิ่มแทงหัวใจของผมทีละเข็มแต่รวดเร็ว ความเสียใจถาโถมเข้ามาจนผมไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปได้อีก ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ก็คงหมายความว่าเขารักภรรยาของเขามากและจะไม่มีทางวอกแวกมาหาคู่ขารายทางอย่างผม ก็ดี...มันคงดีแล้วล่ะนะ
“แต่ผมไม่มีรถ ถ้าคุณมีธุระด่วนผมคงไปทันทีไม่ได้” ผมเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วพูดด้วยท่าทางนิ่งๆ ผมพยายามข่มใจไม่ให้แสดงความรู้สึกอะไรออกไปน่ะครับ และสงสัยว่าผมจะพยายามมากเกินไปจนมันมีอาการร้อนผ่าวๆ ที่ขอบตา
“ผมไม่แคร์ ถ้าคุณตกลงพรุ่งนี้ผมจะให้คุณเซ็นสัญญา แต่อยากให้เริ่มงานวันนี้เลย” พี่ลุกซ์บอก
“ผมตกลง แต่วันนี้ผมไม่พร้อมที่จะเริ่มงาน” ผมยังคงพูดโดยไม่มองหน้าเขา กลัวว่าถ้ามองแล้วน้ำตามันจะไหลออกมาน่ะสิ
“เอาไงดีล่ะ? จะว่าไปพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด แต่ผมต้องการคนช่วยงาน งั้นพรุ่งนี้คุณเข้ามาหาผมที่บ้านด้วยล่ะ” พี่ลุกซ์พูดกับผมพลางหันไปกวักมือเรียกพนักงานเพื่อเก็บเงิน
“ให้ผมเข้าไปทำไม?” ผมถามเสียงเขียว ก็บอกเองว่าไม่ให้ผมไปที่บ้านหลังนั้นอีก
“ก็ไปเซ็นสัญญา”
“มีคนบอกว่าไม่ให้ผมไปที่นั่นอีก ผมไม่อยากไปทำให้ใครเสียความรู้สึก” ผมพูดก่อนเม้มปากอย่างเจ็บใจ คิดแล้วมันก็เจ็บ!
“ถ้าผมเรียกคุณก็ต้องไปแต่ถ้าไม่มีใครต้องการก็...”
“ครับ! ผมเข้าใจแล้ว ทานเสร็จแล้วใช่ไหมครับ? จะได้กลับซักที” ผมพูดขัดก่อนที่เขาจะพูดจบ ไม่มีใครต้องการงั้นเหรอ? เออสิ! ชีวิตของพี่ลุกซ์ไม่ต้องการผมอีกต่อไปแล้วนี่ ผมไม่มีความสำคัญอะไรอีกต่อไป จะไปที่นั่นได้ก็ต่อเมื่อถูกเรียกเท่านั้น ผมเข้าใจดี
ผมลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ริมฟุตบาธเพื่อเรียกแท็กซี่เพราะไม่อยากจะกลับกับคนอย่างเขา ถึงจะเปลืองเงินก็ยังดีกว่าเปลืองหัวใจ
แท็กซี่มาจอดตรงหน้าผมพอดีกับที่พี่ลุกซ์เพิ่งลุกออกจากเก้าอี้ ผมรีบขึ้นแท็กซี่และปิดประตูอย่างรวดเร็วโดยที่เขาตามมาไม่ทัน แต่...เขาคงจะตามหรอก เพราะผมไม่ได้สำคัญขนาดที่ต้องตาม
ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปก็ดี ให้เขาทำร้ายจิตใจผมให้มันด้านชายิ่งกว่านี้ เมื่อใจผมมันเจ็บมากยิ่งขึ้นความรักในใจผมก็จะได้ลดลงเสียที ผมจะเกลียด...จะขยะแขยงกับทุกๆ สิ่งที่เป็นเขา!!
เช้าวันต่อมาผมก็นั่งพี่วินออกไปหน้าปากซอยเพื่อต่อรถเมล์จากนั้นก็นั่งพี่วินต่อไปที่บ้านของพี่ลุกซ์ ผมเดินด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้ารั้วบ้านอย่างน่าสงสัยจนกระทั่งยามเข้ามาทักและพอเห็นว่าเป็นผมเขาก็มีท่าทีตกใจ
“คุณเปอร์?” พี่ยามทักผมเสียงหลง
“ครับ ผมมาหาประธาน เอ่อ พี่ลุกซ์น่ะครับ เขานัดให้ผมมา ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ?” ผมเอ่ยถามทำให้พี่ยามเดินมาเปิดประตูเล็กให้ ผมยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านและเมื่อผมก้าวเข้าไปในนั้นเสียงดังโหวกเหวกก็ดังขึ้น
“พี่เป๊อร์!!” เรียกชื่อผมซะเสียงหลงเลยน้องไลลา เรียกไม่เรียกเปล่ายังวิ่งเข้ามากระโดดกอดผมซะแน่นอีกต่างหาก “พี่เปอร์ คิดถึงจังเลยค่ะ! ไลลาคิดถึงพี่เปอร์ที่สุดในโลกเลย!” น้องไลลาผละออกไปก่อนจะเขย่าตัวผมรัว
“พี่ก็คิดถึงไลลานะ” ผมลูบผมของน้องเบาๆ แล้วยิ้มให้
“พี่เปอร์...” น้องไลลาหุบยิ้มก่อนจะเบ้ปากเหมือนคนจะร้องไห้
“ไลลาเป็นอะไร?” ผมถามอย่างตกใจ ทะเลาะกับไอ้กรมาหรือเปล่าวะเนี่ย? พอดีผมได้ยินมาจากไอ้ตุลน่ะครับว่าไอ้กรได้คบกับน้องไลลาแล้วและคบกันตอนที่พี่ลุกซ์กับพี่ลันไปเรียนต่อเมืองนอกนั่นเอง
“ไลลาคิดถึงพี่เปอร์ ไลลาอยากให้พี่เปอร์...มากินข้าว มาคุยเล่น มาซ้อมเทควันโดกับไลลาอีก คุณแม่ก็บ่นคิดถึงพี่เปอร์อยู่ตลอด ไลลาเกลียดพี่ลุกซ์!” ไลลาพูดไปน้ำตาก็คลอจนเกือบจะเอ่อล้นเบ้าตาอย่างน่าสงสาร น้องคงจะคิดถึงผมมากจริงๆ สินะ เด็กคนนี้น่ารักไม่เปลี่ยนเลย
“นี่ โตเป็นสาวแล้วนะอย่าขี้แงสิไลลา ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมลูบแก้มน้องเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน
“ไม่ได้จะร้องซักหน่อย” น้องไลลาทำปากยื่นใส่ ผมจึงได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู
“ไลลา แขกของพี่มาแล้วเหรอ?” เสียงของพี่ลุกซ์ดังขึ้นที่บันไดทำให้ผมกับไลลาหันไปมองแทบจะพร้อมกัน
“แขกงั้นเหรอคะ? สำหรับไลลาพี่เปอร์ไม่ใช่แขก แต่พี่เปอร์เป็นสมาชิกของบ้านนี้” น้องไลลาหันไปพูดกับพี่ลุกซ์เสียงแข็ง
“ไลลาไม่เอาน่า พี่เป็นแค่คนอื่นนะ” ผมพูดกับน้องเบาๆ เพราะละอายแก่ใจที่ถูกนับว่าเป็นสมาชิก ก็ผมเป็นแค่คนอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่บ้านหลังนี้ ผมไม่อาจเอื้อมอีกแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมมันก็แค่ลูกจ้างกระจอกๆ ไม่ได้มีฐานะใกล้เคียงกับเขาเลย เมื่อก่อนก็ไม่ได้ใกล้เคียงหรอก แต่อย่างน้อยก็พอมีเงินที่จะซื้อของที่อยากได้ แต่ตอนนี้...แม้แต่เสื้อผ้าผมยังต้องซื้อของถูกๆ มาสวมใส่ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนใส่แต่ของแบรนด์เนม แต่ก็นะ...เสื้อผ้าราคาถูกมันก็ใส่ดีไม่ต่างกันท่าไหร่ ของพวกนั้นมันแค่เอาไว้บ่งชี้ฐานะเท่านั้นแหละ
“ไลลา พี่ขอคุยกับเลขาพี่หน่อย ไลลาไปช่วยคุณแม่ดูน้องปิงเถอะไป” พี่ลุกซ์บอกแต่น้องไลลาไม่ยอมไปแถมยังกอดแขนผมซะแน่น
“ไลลาครับ ไปดูหลานเถอะนะ พี่ไม่เป็นไรหรอก” ผมลูบหัวน้องไลลาเบาๆ ก่อนที่น้องจะยอมเดินจากไปแต่โดยดี
และเมื่อเหลือกันแค่สองคนพี่ลุกซ์ก็หันหลังเดินกลับขึ้นไปด้านบนผมจึงต้องเดินตามอย่างช่วยไม่ได้เพราะรู้ว่าห้องทำงานของพี่ลุกซ์น่ะอยู่ด้านบน
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมนั่งดูการปฏิบัติงานของฝ่ายเครื่องยนต์เพลินจนถึงเวลาพักกลางวันแล้วจึงเดินไปเรียกพี่ลุกซ์ที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมเครื่องยนต์จนลืมเวลาพัก
“ประธานครับ ถึงเวลาพักกลางวันแล้วครับ ช่วงบ่ายมีนัดประชุมคุณควรไปเตรียมตัวได้แล้วนะครับ” ผมตะโกนเรียกพลางเงยหน้ามองพี่ลุกซ์ที่ยืนอยู่บนเครน
“อืม เดี๋ยวรออะไหล่มาก่อนค่อยซ่อมต่อ เรียกลูกค้ามารับรถไปก่อนแล้วค่อยนัดเอารถเข้ามาซ่อมต่อ ติดต่อฝ่ายประกันไปด้วยล่ะจะได้ไม่มีปัญหา” พี่ลุกซ์พยักหน้าให้ผมแล้วหันไปสั่งช่างที่เป็นผู้ช่วย
เวลาเขาทำงานเขาก็ดูดีนะครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงหลงในมาดหนุ่มทำงานของเขาแล้วล่ะแต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่ว่าเขาจะดูดีมากแค่ไหนแต่ในเมื่อรู้สันดานกันดีขนาดนี้ผมก็หลงไม่ลง
“ขอบคุณมากครับ วันนี้ประธานกินข้าวกลางวันด้วยกันไหมครับ?” ช่างที่เป็นผู้ช่วยพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะถามพลางปีนลงจากเครน
“ไม่ล่ะ ผมมีงานต่อ แต่ว่านะพี่สอง บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกเหมือนเดิม ได้ยินพี่พูดกับผมแบบนั้นแล้วมันแสลงหูว่ะ” พี่ลุกซ์บอกกับช่างทำให้เขาหัวเราะนิดๆ แล้วกระโดดพรึ่บมายืนอยู่ข้างผม ครั้นคนที่ชื่อว่าสองหันมามองผมเขาก็ตกใจแล้วหันไปหาพี่ลุกซ์ที่กำลังปีนตามลงมา
“เอ่อ...?” ช่างเลิกคิ้วมองผมด้วยอาการงงไม่หายเพราะยังไม่มีใครไขข้อข้องใจ
“อ้อ นี่เป็นเลขาของผมน่ะครับ ชื่อคุณปริน” พี่ลุกซ์แนะนำ ชิ! การแนะนำแบบนั้นมันช่างน่าขัดใจซะจริงๆ
“เรียกผมว่าเปอร์ก็ได้ครับ ต่อจากนี้ไปผมอาจจะได้มาทำงานที่แผนกนี้ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมหันไปยิ้มให้กับพี่สองอย่างเป็นมิตรและนั่นก็ทำให้แขนผมถูกกระชากแล้วลากไปทางห้องล็อกเกอร์จนพี่สองตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เพียงยืนอ้าปากพะงาบๆ อย่างพูดอะไรไม่ออก
“พูดแบบนั้นหมายความว่าไง?” เมื่อผมถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องนั้นแล้วพี่ลุกซ์ก็ตะคอกถาม
“ผมเพิ่งได้ยินมาว่าผมสามารถโยกย้ายตำแหน่งและที่ทำงานได้ผมก็เลยคิดจะย้ายมาทำงานแผนกนี้” ผมจัดเสื้อแล้วปัดไปมาก่อนจะบอกด้วยสีหน้าที่ผมคิดว่านิ่ง
“ไม่อนุมัติ” พี่ลุกซ์ตอบทันที
“ผมก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะครับว่ามันจะเป็นแบบนี้ ทำใจไว้แล้วด้วยว่าต้องทนทำงานเป็นเลขาต่อไป” ผมกอดอกยกมุมปากขึ้นยิ้มแสยะ
“ผมเคยให้โอกาสคุณตัดสินใจแล้วว่าจะทำงานกับผมไหม แต่คุณก็เลือกที่จะทำเพราะฉะนั้นก็ช่วยไม่ได้นะครับคุณเลขา” พี่ลุกซ์มองผมด้วยสายตาดุดันก่อนจะเดินไปเปิดล็อกเกอร์ของตัวเองแล้วหยิบสูทมาโยนให้ผมถือ
“ครับ ผมน่าจะคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดมันอาจจะทำให้ชีวิตผมเหมือนตกนรกก็ได้ อ้อ รีบทานข้าวนะครับจะได้เข้าประชุม” ผมพูดแล้วยัดสูทของเขาคืนให้ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องล็อกเกอร์สำหรับเปลี่ยนชุดทันที
หลังจากประชุมเสร็จผมก็ถูกพี่ลุกซ์ลากขึ้นรถท่ามกลางความงุนงงและขัดขืนอะไรไม่ได้ รถที่เขาพาผมขึ้นไปนั่งก็เป็นคนคันเดิมที่ผมเคยเป็นตุ๊กตาหน้ารถนั่นแหละครับ ถึงจะไม่ได้นั่งมาห้าปีแล้วรถคันนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
โว้ย!! ทำไมต้องพาผมมาเจอสิ่งที่ทำให้คิดถึงอดีตด้วยนะ? หมอนี่อยากจะตอกย้ำผมหรือไง? แต่ฝันไปเถอะ ผมไม่มีทางกลับไปโง่งมโข่งเหมือนเดิมแล้วล่ะเพราะตาผมมันสว่างยิ่งกว่าสว่างซะอีกว่าคนคนนี้ไม่สมควรได้รับความรักจากใครทั้งนั้น และหัวใจที่มีค่าของผมคนนี้ก็จะมีไว้สำหรับคนอื่น ถ้าผมหันกลับไปหาเขาอีกผมจะต้องเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลกแน่นอน
“ผมให้เวลาคุณสองชั่วโมงแล้วผมจะมารับหน้าบ้าน” พี่ลุกซ์พูดหลังจากขับรถมาส่งผมที่หน้ารั้ว ไม่กล้าเข้าไปข้างในล่ะสิ คงกลัวถูกกระทืบก่อนได้ออกจากบ้านล่ะมั้ง
“ทำไมครับ?” ผมถามอย่างไม่พอใจ
“คุณต้องไปงานเลี้ยงกับผมคืนนี้” เขาบอก
“ทำไมผมต้องไปด้วย?” ผมขมวดคิ้วหันไปถาม
“เพราะคุณเป็นเลขาของผมไง ผมจ้างคุณมาทำงานให้ผมไม่ได้จ้างไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้าห้อง ผมสั่งอะไรคุณก็ต้องทำ” พี่ลุกซ์ตวัดสายตามามองผมอย่างดุดันจนผมพูดอะไรไม่ออก
“เออ ครับ!” ผมตอบรับก่อนจะเปิดประตูออกไปแล้วปิดมันอย่างแผ่วเบา ในเวลานี้ถ้ารถเขาเป็นอะไรเพราะผมขึ้นมาผมคงไม่มีปัญญาหาเงินไปซ่อมให้เขาหรอกครับ
ผมยืนกร่อยอยู่ในงานสังคมไฮโซอย่างเซ็งๆ ในงานนี้มีผู้บริหารยักษ์ใหญ่จากหลายบริษัทมารวมกันละลานตาไปหมด ผมน่ะมันก็แค่เลขาจนๆ ที่สวมสูทราคาถูก ไม่กล้าเข้าไปคุยอะไรกับใครซักคน พี่ถังก็มานะแต่มากับพี่เคย์แทนที่จะเป็นพี่พลอย ตอนแรกผมก็เบาใจหรอกแต่ทั้งสองคนนั้นมักถูกดึงไปคุยจนผมต้องอยู่คนเดียวตลอด ส่วนคนที่พาผมมาด้วยก็เดินควงเมียตัวเองที่เพิ่งตามมาทีหลังไปคุยกับคนอื่น
สรุปง่ายๆ ผมถูกทิ้ง!
“ไงเปอร์ มาด้วยเหรอ?” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทักจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็เจอพี่ภีร์ที่กำลังทำหน้าหม่นๆ ไม่ต่างจากผมกำลังเดินมายืนพิงกำแพงข้างๆ ผม
“มากับใครพี่?” ผมถาม ก็ถามไปงั้นๆ แหละครับ รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมากับแฟน
“มากับไอ้คุณตฤณน่ะ” พี่ภีร์บอกแล้วทำหน้าเซ็งๆ
“แล้วไปไหนซะล่ะ?” ผมถามพลางมองหา
“ไม่รู้ ช่างหัวมัน เฮ้อ ไม่รู้จะลากมาด้วยทำไม น่าเบื่อจะตาย” พี่ภีร์กรอกตามองฟ้าแล้วบ่นอย่างไม่พอใจ
“ใช่ไหมพี่? น่าเบื่อว่ะ” ผมขมวดคิ้วบ่นด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างจากพี่ภีร์นัก “แล้วเป็นไงบ้างกับคุณตฤณ?” ผมถามเพราะดูพี่ภีร์จะไม่ได้มีความสุขกับการอยู่กับคุณตฤณเขาเลย ได้ข่าวว่าคุณตฤณเป็นเพื่อนพี่ถังแหละครับแต่ผมไม่รู้จักเพราะเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ถึงว่าล่ะ คุณตฤณยังดูหนุ่มๆ อยู่เลย
“ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรมากหรอก” พี่ภีร์ทำหน้าเบื่อๆ เหมือนไม่อยากจะพูดถึงมัน ท่าทางจะไปกันได้ไม่ค่อยดีล่ะมั้ง
“อืม แต่อย่างน้อยเขาก็ดูท่าทางจะเป็นคนดีนะ” ผมบอก ผมไม่รู้จักคุณตฤณซักเท่าไหร่แต่ก็เคยพบบ้าง เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ดีใจด้วย ท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่สุดๆ ไม่เหมือนไอ้พี่ถังที่แก่แล้วแต่ทำตัวปัญญาอ่อน เป็นกันทั้งผัวทั้งเมียครับ พี่ถังก็ปัญญาอ่อน พี่เคย์ก็ปัญญาอ่อน
“ดีเหรอ? ไม่รู้สิ คงจะเหมือนไอ้ลุกซ์ล่ะมั้ง คนภายนอกมองมาก็ดูว่าเป็นคนดีแต่ในมุมมองของคนใกล้ตัวมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด” พี่ภีร์พูดด้วยสีหน้าหม่นๆ เหมือนคนกำลังฝืน
“ก็นะ เข้าใจความรู้สึกเลยแหละ” ผมก้มหน้าพูด
“สงสัยมันจะเป็นเวรเป็นกรรมที่พี่ทำกับเปอร์ไว้ล่ะมั้ง ต่อให้พี่ขอโทษไปกี่หมื่นกี่แสนครั้งมันก็ชดใช้ความผิดไม่ได้ สุดท้าย...ก็ต้องมาเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายถูกกระทำด้วยตัวเอง” มุมปากของพี่ภีร์ยกยิ้มเหมือนกำลังเย้ยหยันตัวเองก็ไม่ปาน
“พี่ไม่ต้องคิดมากเรื่องของผมแล้วล่ะ มันผ่านมานานมากแล้ว ผมไม่คิดอะไรแล้วล่ะ” ผมตบไหล่ปลอบใจพี่ภีร์ มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าคนที่ถูกกระทำน่ะจะลืมได้ง่ายกว่าฝ่ายที่เป็นคนกระทำ สำหรับคนที่สำนึกผิด ต่อให้อีกฝ่ายจะยอมให้อภัยแต่ใจมันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ผมเข้าใจและเห็นใจพี่ภีร์จึงไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรอีก
“แล้วตอนนี้เปอร์เป็นยังไงบ้าง? ทำใจได้ไหม?” พี่ภีร์หันมาถาม
“ถามว่าได้ไหมมันก็คงยังไม่ได้หรอกครับ เวลาเห็นหน้าเขาผมก็ยังเจ็บอยู่แต่ก็พยายามไม่เข้าใกล้เกินความจำเป็น เฮ้อ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วผมไปทำอะไรกับเขาเอาไว้ก็ไม่รู้ ชาตินี้ผมถึงถูกเอาคืนอย่างแสนสาหัส” ผมเงยหน้ามองเพดานพลางพรูลมหายใจออกมาเสียยาว
“พี่ดีใจนะที่ได้เจอเปอร์ ได้คุยกันแบบนี้รู้สึกโล่งดีแฮะ เมื่อก่อนพี่ไม่กล้าสู้หน้าเปอร์เลยนะ เห็นทีไรแล้วเจ็บฉิบหาย ทุกครั้งที่มองหน้าเปอร์พี่จะตอกย้ำในความเลวของตัวเองเสมอจนบางทีพี่ก็รู้สึกอยากตายไถ่โทษซะด้วยซ้ำ” พี่ภีร์พูด
“ขนาดนั้นเลยเหรอ? เอาเป็นว่าตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันนะพี่ เมื่อก่อนผมยอมรับเลยว่าแค่เห็นหน้าพี่ผมก็สั่นไปหมดแล้วแต่เพราะรู้ดีว่าพี่ก็คงเจ็บปวดเหมือนกันก็เลยทำใจได้ เราสองคนนี่ก็มีชะตาที่เหมือนกันดีเนอะ ดันไปรักคนนิสัยไม่ดีเข้า” ผมหัวเราะนิดๆ ให้กับความโง่ของตัวเอง ผมคิดนะว่าถ้าผมไม่ไปยุ่งกับเขาตั้งแต่แรกผมคงไม่จมปลักอยู่แบบนี้
“เปล่าหรอก พี่ไม่ได้รักมันในความหมายแบบนั้น สมัยเรียนไอ้ลุกซ์มันดีกับพี่มาก มันมองความรู้สึกคนออกและคอยให้กำลังใจพี่ในแบบของมันทำให้พี่เผลอคิดไปไกล พี่ไม่เคยเห็นมันรักใครเลยนะเปอร์ จนกระทั่งมันมาเจอกับเรา” พี่ภีร์หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก
“ไม่จริงหรอกครับ” ผมหรุบสายตาลงต่ำ
“พวกเพื่อนในกลุ่มพี่ทุกคนให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก ไม่มีทางที่พวกมันจะให้ใครมาสำคัญเหนือเพื่อนเลย แต่มันกระทืบพี่แทบตายเพราะพี่ทำร้ายเรา มันน่ะรักเรามาก แม้จะไม่ค่อยแสดงออกแต่พี่ก็รู้สึกได้ พอมาวันนี้พี่กลับแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเปอร์กับมัน มันไม่บอกอะไรใครเลย ตอนที่พี่รู้ว่ามันจะแต่งงานกับเจ๊เปรียวพี่เองก็ช็อคจนคิดอะไรไม่ออก” พี่ภีร์เล่าไปพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อย่าไปรื้อฟื้นมันอีกเลยนะครับ ผมหยุดแล้ว” ผมก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองแล้วยิ้มนิดๆ อย่างฝืนๆ
“เฮ้อ! คุยเรื่องเครียดมาซะนาน ป่ะ! ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงแรมดีกว่า ของในนี้กระเดือกไม่ลงว่ะ พี่เลี้ยงเอง” พี่ภีร์ถอนหายใจยาวก่อนจะรวบคอผมไปกอดแล้วพูดออกมาซะดังทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้หันมามอง ไอ้ผมก็อายเลยรีบลากพี่ภีร์ออกไปจากห้องจัดงานทันที
ผมนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านข้างทางกับพี่ภีร์จนอิ่มพุงแทบปลิ้นแล้วค่อยกลับเข้าไปที่ห้องจัดงานในโรงแรม ทันทีที่เข้าไปคุณตฤณก็เดินหน้าเครียดเขามาหาพี่ภีร์ทันที
“ไปไหนมา!?” คุณตฤณกระชากแขนพี่ภีร์ไปบีบไว้แล้วกัดฟันถามอย่างดุดันจนผมตกใจ
“ไปกินข้าวกับน้อง ปล่อย! มันเจ็บนะพี่อัต!” พี่ภีร์ขมวดคิ้วตอบพลางพยายามแกะมือหนาๆ ที่คว้าแขนตัวเองเอาไว้ออก คุณตฤณหันมาแล้วยิ้มให้นิดๆ ผมจึงยกมือไหว้เขา
อ่า...คุณตฤณชื่อเล่นชื่ออัตน่ะครับ แต่ผมชินเรียกว่าตฤณ
“น้องไอ้ถังสินะ? มากับใครครับ?” คุณตฤณยิ้มพลางถามผม เอ่อ...ทำไมรอยยิ้มเขามันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้
“เอ่อ...ผมมากับคุณรุจิภาสน่ะครับ เป็นเลขา” ผมบอกเสียงอ่อย
“อ๋อ งั้นพี่ขอตัวพาพี่ภีร์ของน้องไปก่อนนะ” คุณตฤณพูดเสียงนุ่มผมจึงได้แต่พยักหน้าและมองหน้าหงิกงอของพี่ภีร์อย่างสงสาร
โชคดีนะพี่ภีร์
“คุณบกพร่องต่อหน้าที่นะ แต่ผมจะเห็นแก่เพื่อนของผมที่ทำให้คุณหนีงานออกไปแบบนี้ ผมจะไม่ด่าคุณก็แล้วกัน” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมต้องรีบหันไปมองคนที่กำลังยืนกอดอกทำหน้านิ่งๆ จ้องมองผมอยู่
“ขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้ขอโทษอย่างไม่เต็มใจนัก
“ผมหิว” จู่ๆ เขาก็พูดออกมาแบบนั้นทำให้ผมได้แต่เลิกคิ้วมองหน้าเขาอย่างสงสัย คือ...มึงหิวแล้วมาบอกกูเพื่อ?
“หิวก็หาอะไรยัด...เอ่อ ทานสิครับ” ผมบอก
“ผมจะออกไปทานข้างนอก”
“ก็ไปสิครับ” ผมขมวดคิ้วนิดๆ อย่างสงสัย ถ้าจะไปกินก็ไปสิวะ มาบอกทำไม?
“ไปกับผม” อ๋อ ให้กูพาไปว่างั้นเถอะ?
“หน้าที่หรือเปล่าครับ?”
“เออ” สิ้นคำ แขนผมก็ถูกดึงเพื่อลากออกจากห้องจัดงานทันทีโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้ แม้จะไม่อยากไปแต่สุดท้ายถ้ามันเป็นหน้าที่ผมก็ต้องออกไปกับเขาจนได้สินะ เฮ้อ ลาออกซะดีไหม?
แต่งานสมัยนี้มันหายากชะมัด
ผมนั่งมองคนตรงหน้าด้วยอาการเซ็งจัดเพราะเขากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านที่ผมเพิ่งมาอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รู้จะกินช้าให้ได้อะไรขึ้นมาทั้งๆ ที่ปกติการกินของเขาแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการสวาปาม ผมว่าเขาต้องแกล้งกินยั่วให้ผมอยากกินด้วยแน่เลยแต่เสียใจ เมื่อกี้กูแดกสองชาม
“ทานเสร็จจะกลับเข้าไปในงานหรือกลับบ้านครับ?” ผมถามขึ้นเพราะอยากจะกลับเต็มแก่
“กลับบ้าน” เขาตอบผมจึงกระชับสูทตัวเอง
“งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ ไหนๆ คุณก็จะกลับงานของผมก็สิ้นสุด” ผมบอกพลางลุกขึ้นยืน
“คุณต้องกลับพร้อมผม” เขาพูดขึ้นทำให้ผมทำหน้าหงิกยิ่งกว่าหงิก
“ถ้าเสร็จงานแล้วก็ให้ผมกลับได้ไหมครับ? ผมมีครอบครัวต้องดูแลไม่ได้ว่างหรือรวยล้นฟ้าพอที่จะจ้างใครมาดูแลหรอกนะครับ!” ผมพูดเสียงแข็งและดังทำให้โต๊ะใกล้ๆ หันมาสนใจ ผมมองไปรอบๆ อย่างอายๆ ก่อนจะยอมนั่งลง
“ผมจะไปส่ง”
“ไม่ต้อง ผมกลับเองได้” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“จะกลับยังไง? แท็กซี่เหรอ? บ้านคุณไกลไม่ใช่เหรอ? ค่าแท็กซี่จากที่นี่ไปถึงบ้านคุณมันแพงนะ” พี่ลุกซ์อ้างทำให้ผมคิดตาม เฮ้อ เบื่อความจนของตัวเองจังเลยแฮะ “ผมมีข้อเสนอเรื่องงานให้คุณนะ ถ้าคุณสนใจ ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณสองเท่า” สักพักพี่ลุกซ์ก็พูดขึ้นทำให้ผมสนใจมากขึ้น ตอนนี้เงินเดือนผมก็ถือว่าสูง ถ้าเขาเพิ่มขึ้นสองเท่าผมก็จะสามารถมีเงินเก็บไว้สำหรับอนาคตเยอะขึ้น อ่า...ผมสนใจจัง
“อะไรครับ?” ผมถามอย่างวางฟอร์ม
“ตอนนี้คุณเป็นเลขาในที่ทำงานให้ผมแต่ผมต้องการเลขาส่วนตัวด้วย แต่คุณต้องมีเวลาให้กับผมมากกว่าปกติ ถ้าผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ แม้จะเป็นเวลาตีหนึ่งตีสองคุณก็ต้องมา” พี่ลุกซ์พูดพลางวางตะเกียบกับช้อนเพราะกินเสร็จแล้ว
“ขอบเขตของงานล่ะครับ?” ผมหรี่ตาลงนิดๆ เพราะกลัวว่าเขาจะใช้ให้ผมทำเรื่องอย่างว่า
“ไม่ใช้ให้ทำงานผิดกฎหมาย” เขาบอก
“ไม่มีเรื่องผิดศีลธรรม” ผมต่อรอง
“ก็อาจจะมีบ้าง” ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น กูว่าแล้วไง “แต่ผมไม่คิดจะนอกใจภรรยา” จึก!! เหมือนเข็มนับพันกระหน่ำมาทิ่มแทงหัวใจของผมทีละเข็มแต่รวดเร็ว ความเสียใจถาโถมเข้ามาจนผมไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปได้อีก ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ก็คงหมายความว่าเขารักภรรยาของเขามากและจะไม่มีทางวอกแวกมาหาคู่ขารายทางอย่างผม ก็ดี...มันคงดีแล้วล่ะนะ
“แต่ผมไม่มีรถ ถ้าคุณมีธุระด่วนผมคงไปทันทีไม่ได้” ผมเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วพูดด้วยท่าทางนิ่งๆ ผมพยายามข่มใจไม่ให้แสดงความรู้สึกอะไรออกไปน่ะครับ และสงสัยว่าผมจะพยายามมากเกินไปจนมันมีอาการร้อนผ่าวๆ ที่ขอบตา
“ผมไม่แคร์ ถ้าคุณตกลงพรุ่งนี้ผมจะให้คุณเซ็นสัญญา แต่อยากให้เริ่มงานวันนี้เลย” พี่ลุกซ์บอก
“ผมตกลง แต่วันนี้ผมไม่พร้อมที่จะเริ่มงาน” ผมยังคงพูดโดยไม่มองหน้าเขา กลัวว่าถ้ามองแล้วน้ำตามันจะไหลออกมาน่ะสิ
“เอาไงดีล่ะ? จะว่าไปพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด แต่ผมต้องการคนช่วยงาน งั้นพรุ่งนี้คุณเข้ามาหาผมที่บ้านด้วยล่ะ” พี่ลุกซ์พูดกับผมพลางหันไปกวักมือเรียกพนักงานเพื่อเก็บเงิน
“ให้ผมเข้าไปทำไม?” ผมถามเสียงเขียว ก็บอกเองว่าไม่ให้ผมไปที่บ้านหลังนั้นอีก
“ก็ไปเซ็นสัญญา”
“มีคนบอกว่าไม่ให้ผมไปที่นั่นอีก ผมไม่อยากไปทำให้ใครเสียความรู้สึก” ผมพูดก่อนเม้มปากอย่างเจ็บใจ คิดแล้วมันก็เจ็บ!
“ถ้าผมเรียกคุณก็ต้องไปแต่ถ้าไม่มีใครต้องการก็...”
“ครับ! ผมเข้าใจแล้ว ทานเสร็จแล้วใช่ไหมครับ? จะได้กลับซักที” ผมพูดขัดก่อนที่เขาจะพูดจบ ไม่มีใครต้องการงั้นเหรอ? เออสิ! ชีวิตของพี่ลุกซ์ไม่ต้องการผมอีกต่อไปแล้วนี่ ผมไม่มีความสำคัญอะไรอีกต่อไป จะไปที่นั่นได้ก็ต่อเมื่อถูกเรียกเท่านั้น ผมเข้าใจดี
ผมลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ริมฟุตบาธเพื่อเรียกแท็กซี่เพราะไม่อยากจะกลับกับคนอย่างเขา ถึงจะเปลืองเงินก็ยังดีกว่าเปลืองหัวใจ
แท็กซี่มาจอดตรงหน้าผมพอดีกับที่พี่ลุกซ์เพิ่งลุกออกจากเก้าอี้ ผมรีบขึ้นแท็กซี่และปิดประตูอย่างรวดเร็วโดยที่เขาตามมาไม่ทัน แต่...เขาคงจะตามหรอก เพราะผมไม่ได้สำคัญขนาดที่ต้องตาม
ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปก็ดี ให้เขาทำร้ายจิตใจผมให้มันด้านชายิ่งกว่านี้ เมื่อใจผมมันเจ็บมากยิ่งขึ้นความรักในใจผมก็จะได้ลดลงเสียที ผมจะเกลียด...จะขยะแขยงกับทุกๆ สิ่งที่เป็นเขา!!
เช้าวันต่อมาผมก็นั่งพี่วินออกไปหน้าปากซอยเพื่อต่อรถเมล์จากนั้นก็นั่งพี่วินต่อไปที่บ้านของพี่ลุกซ์ ผมเดินด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้ารั้วบ้านอย่างน่าสงสัยจนกระทั่งยามเข้ามาทักและพอเห็นว่าเป็นผมเขาก็มีท่าทีตกใจ
“คุณเปอร์?” พี่ยามทักผมเสียงหลง
“ครับ ผมมาหาประธาน เอ่อ พี่ลุกซ์น่ะครับ เขานัดให้ผมมา ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ?” ผมเอ่ยถามทำให้พี่ยามเดินมาเปิดประตูเล็กให้ ผมยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านและเมื่อผมก้าวเข้าไปในนั้นเสียงดังโหวกเหวกก็ดังขึ้น
“พี่เป๊อร์!!” เรียกชื่อผมซะเสียงหลงเลยน้องไลลา เรียกไม่เรียกเปล่ายังวิ่งเข้ามากระโดดกอดผมซะแน่นอีกต่างหาก “พี่เปอร์ คิดถึงจังเลยค่ะ! ไลลาคิดถึงพี่เปอร์ที่สุดในโลกเลย!” น้องไลลาผละออกไปก่อนจะเขย่าตัวผมรัว
“พี่ก็คิดถึงไลลานะ” ผมลูบผมของน้องเบาๆ แล้วยิ้มให้
“พี่เปอร์...” น้องไลลาหุบยิ้มก่อนจะเบ้ปากเหมือนคนจะร้องไห้
“ไลลาเป็นอะไร?” ผมถามอย่างตกใจ ทะเลาะกับไอ้กรมาหรือเปล่าวะเนี่ย? พอดีผมได้ยินมาจากไอ้ตุลน่ะครับว่าไอ้กรได้คบกับน้องไลลาแล้วและคบกันตอนที่พี่ลุกซ์กับพี่ลันไปเรียนต่อเมืองนอกนั่นเอง
“ไลลาคิดถึงพี่เปอร์ ไลลาอยากให้พี่เปอร์...มากินข้าว มาคุยเล่น มาซ้อมเทควันโดกับไลลาอีก คุณแม่ก็บ่นคิดถึงพี่เปอร์อยู่ตลอด ไลลาเกลียดพี่ลุกซ์!” ไลลาพูดไปน้ำตาก็คลอจนเกือบจะเอ่อล้นเบ้าตาอย่างน่าสงสาร น้องคงจะคิดถึงผมมากจริงๆ สินะ เด็กคนนี้น่ารักไม่เปลี่ยนเลย
“นี่ โตเป็นสาวแล้วนะอย่าขี้แงสิไลลา ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมลูบแก้มน้องเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน
“ไม่ได้จะร้องซักหน่อย” น้องไลลาทำปากยื่นใส่ ผมจึงได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู
“ไลลา แขกของพี่มาแล้วเหรอ?” เสียงของพี่ลุกซ์ดังขึ้นที่บันไดทำให้ผมกับไลลาหันไปมองแทบจะพร้อมกัน
“แขกงั้นเหรอคะ? สำหรับไลลาพี่เปอร์ไม่ใช่แขก แต่พี่เปอร์เป็นสมาชิกของบ้านนี้” น้องไลลาหันไปพูดกับพี่ลุกซ์เสียงแข็ง
“ไลลาไม่เอาน่า พี่เป็นแค่คนอื่นนะ” ผมพูดกับน้องเบาๆ เพราะละอายแก่ใจที่ถูกนับว่าเป็นสมาชิก ก็ผมเป็นแค่คนอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่บ้านหลังนี้ ผมไม่อาจเอื้อมอีกแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมมันก็แค่ลูกจ้างกระจอกๆ ไม่ได้มีฐานะใกล้เคียงกับเขาเลย เมื่อก่อนก็ไม่ได้ใกล้เคียงหรอก แต่อย่างน้อยก็พอมีเงินที่จะซื้อของที่อยากได้ แต่ตอนนี้...แม้แต่เสื้อผ้าผมยังต้องซื้อของถูกๆ มาสวมใส่ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนใส่แต่ของแบรนด์เนม แต่ก็นะ...เสื้อผ้าราคาถูกมันก็ใส่ดีไม่ต่างกันท่าไหร่ ของพวกนั้นมันแค่เอาไว้บ่งชี้ฐานะเท่านั้นแหละ
“ไลลา พี่ขอคุยกับเลขาพี่หน่อย ไลลาไปช่วยคุณแม่ดูน้องปิงเถอะไป” พี่ลุกซ์บอกแต่น้องไลลาไม่ยอมไปแถมยังกอดแขนผมซะแน่น
“ไลลาครับ ไปดูหลานเถอะนะ พี่ไม่เป็นไรหรอก” ผมลูบหัวน้องไลลาเบาๆ ก่อนที่น้องจะยอมเดินจากไปแต่โดยดี
และเมื่อเหลือกันแค่สองคนพี่ลุกซ์ก็หันหลังเดินกลับขึ้นไปด้านบนผมจึงต้องเดินตามอย่างช่วยไม่ได้เพราะรู้ว่าห้องทำงานของพี่ลุกซ์น่ะอยู่ด้านบน
+++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ