[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Chapter 06 : งานเลี้ยง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 06 : งานเลี้ยง



 

ผมนั่งดูการปฏิบัติงานของฝ่ายเครื่องยนต์เพลินจนถึงเวลาพักกลางวันแล้วจึงเดินไปเรียกพี่ลุกซ์ที่กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมเครื่องยนต์จนลืมเวลาพัก

“ประธานครับ  ถึงเวลาพักกลางวันแล้วครับ  ช่วงบ่ายมีนัดประชุมคุณควรไปเตรียมตัวได้แล้วนะครับ” ผมตะโกนเรียกพลางเงยหน้ามองพี่ลุกซ์ที่ยืนอยู่บนเครน

“อืม เดี๋ยวรออะไหล่มาก่อนค่อยซ่อมต่อ  เรียกลูกค้ามารับรถไปก่อนแล้วค่อยนัดเอารถเข้ามาซ่อมต่อ  ติดต่อฝ่ายประกันไปด้วยล่ะจะได้ไม่มีปัญหา” พี่ลุกซ์พยักหน้าให้ผมแล้วหันไปสั่งช่างที่เป็นผู้ช่วย

เวลาเขาทำงานเขาก็ดูดีนะครับ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงหลงในมาดหนุ่มทำงานของเขาแล้วล่ะแต่ตอนนี้มันไม่ใช่  ไม่ว่าเขาจะดูดีมากแค่ไหนแต่ในเมื่อรู้สันดานกันดีขนาดนี้ผมก็หลงไม่ลง

“ขอบคุณมากครับ  วันนี้ประธานกินข้าวกลางวันด้วยกันไหมครับ?” ช่างที่เป็นผู้ช่วยพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะถามพลางปีนลงจากเครน

“ไม่ล่ะ ผมมีงานต่อ  แต่ว่านะพี่สอง  บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกเหมือนเดิม  ได้ยินพี่พูดกับผมแบบนั้นแล้วมันแสลงหูว่ะ” พี่ลุกซ์บอกกับช่างทำให้เขาหัวเราะนิดๆ แล้วกระโดดพรึ่บมายืนอยู่ข้างผม  ครั้นคนที่ชื่อว่าสองหันมามองผมเขาก็ตกใจแล้วหันไปหาพี่ลุกซ์ที่กำลังปีนตามลงมา

“เอ่อ...?” ช่างเลิกคิ้วมองผมด้วยอาการงงไม่หายเพราะยังไม่มีใครไขข้อข้องใจ

“อ้อ นี่เป็นเลขาของผมน่ะครับ  ชื่อคุณปริน” พี่ลุกซ์แนะนำ  ชิ! การแนะนำแบบนั้นมันช่างน่าขัดใจซะจริงๆ

“เรียกผมว่าเปอร์ก็ได้ครับ  ต่อจากนี้ไปผมอาจจะได้มาทำงานที่แผนกนี้  ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมหันไปยิ้มให้กับพี่สองอย่างเป็นมิตรและนั่นก็ทำให้แขนผมถูกกระชากแล้วลากไปทางห้องล็อกเกอร์จนพี่สองตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้  ทำได้แค่เพียงยืนอ้าปากพะงาบๆ อย่างพูดอะไรไม่ออก

 

“พูดแบบนั้นหมายความว่าไง?” เมื่อผมถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องนั้นแล้วพี่ลุกซ์ก็ตะคอกถาม

“ผมเพิ่งได้ยินมาว่าผมสามารถโยกย้ายตำแหน่งและที่ทำงานได้ผมก็เลยคิดจะย้ายมาทำงานแผนกนี้” ผมจัดเสื้อแล้วปัดไปมาก่อนจะบอกด้วยสีหน้าที่ผมคิดว่านิ่ง

“ไม่อนุมัติ” พี่ลุกซ์ตอบทันที

“ผมก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะครับว่ามันจะเป็นแบบนี้  ทำใจไว้แล้วด้วยว่าต้องทนทำงานเป็นเลขาต่อไป” ผมกอดอกยกมุมปากขึ้นยิ้มแสยะ

“ผมเคยให้โอกาสคุณตัดสินใจแล้วว่าจะทำงานกับผมไหม  แต่คุณก็เลือกที่จะทำเพราะฉะนั้นก็ช่วยไม่ได้นะครับคุณเลขา” พี่ลุกซ์มองผมด้วยสายตาดุดันก่อนจะเดินไปเปิดล็อกเกอร์ของตัวเองแล้วหยิบสูทมาโยนให้ผมถือ

“ครับ ผมน่าจะคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ  เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดมันอาจจะทำให้ชีวิตผมเหมือนตกนรกก็ได้  อ้อ รีบทานข้าวนะครับจะได้เข้าประชุม” ผมพูดแล้วยัดสูทของเขาคืนให้ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องล็อกเกอร์สำหรับเปลี่ยนชุดทันที

 

หลังจากประชุมเสร็จผมก็ถูกพี่ลุกซ์ลากขึ้นรถท่ามกลางความงุนงงและขัดขืนอะไรไม่ได้  รถที่เขาพาผมขึ้นไปนั่งก็เป็นคนคันเดิมที่ผมเคยเป็นตุ๊กตาหน้ารถนั่นแหละครับ  ถึงจะไม่ได้นั่งมาห้าปีแล้วรถคันนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน 

โว้ย!! ทำไมต้องพาผมมาเจอสิ่งที่ทำให้คิดถึงอดีตด้วยนะ? หมอนี่อยากจะตอกย้ำผมหรือไง? แต่ฝันไปเถอะ  ผมไม่มีทางกลับไปโง่งมโข่งเหมือนเดิมแล้วล่ะเพราะตาผมมันสว่างยิ่งกว่าสว่างซะอีกว่าคนคนนี้ไม่สมควรได้รับความรักจากใครทั้งนั้น  และหัวใจที่มีค่าของผมคนนี้ก็จะมีไว้สำหรับคนอื่น  ถ้าผมหันกลับไปหาเขาอีกผมจะต้องเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลกแน่นอน

“ผมให้เวลาคุณสองชั่วโมงแล้วผมจะมารับหน้าบ้าน” พี่ลุกซ์พูดหลังจากขับรถมาส่งผมที่หน้ารั้ว  ไม่กล้าเข้าไปข้างในล่ะสิ  คงกลัวถูกกระทืบก่อนได้ออกจากบ้านล่ะมั้ง

“ทำไมครับ?” ผมถามอย่างไม่พอใจ

“คุณต้องไปงานเลี้ยงกับผมคืนนี้” เขาบอก

“ทำไมผมต้องไปด้วย?” ผมขมวดคิ้วหันไปถาม

“เพราะคุณเป็นเลขาของผมไง  ผมจ้างคุณมาทำงานให้ผมไม่ได้จ้างไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้าห้อง  ผมสั่งอะไรคุณก็ต้องทำ” พี่ลุกซ์ตวัดสายตามามองผมอย่างดุดันจนผมพูดอะไรไม่ออก

“เออ ครับ!” ผมตอบรับก่อนจะเปิดประตูออกไปแล้วปิดมันอย่างแผ่วเบา  ในเวลานี้ถ้ารถเขาเป็นอะไรเพราะผมขึ้นมาผมคงไม่มีปัญญาหาเงินไปซ่อมให้เขาหรอกครับ

 

ผมยืนกร่อยอยู่ในงานสังคมไฮโซอย่างเซ็งๆ  ในงานนี้มีผู้บริหารยักษ์ใหญ่จากหลายบริษัทมารวมกันละลานตาไปหมด  ผมน่ะมันก็แค่เลขาจนๆ ที่สวมสูทราคาถูก  ไม่กล้าเข้าไปคุยอะไรกับใครซักคน  พี่ถังก็มานะแต่มากับพี่เคย์แทนที่จะเป็นพี่พลอย  ตอนแรกผมก็เบาใจหรอกแต่ทั้งสองคนนั้นมักถูกดึงไปคุยจนผมต้องอยู่คนเดียวตลอด  ส่วนคนที่พาผมมาด้วยก็เดินควงเมียตัวเองที่เพิ่งตามมาทีหลังไปคุยกับคนอื่น 

สรุปง่ายๆ  ผมถูกทิ้ง!

“ไงเปอร์ มาด้วยเหรอ?” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทักจากด้านหลัง  เมื่อหันไปก็เจอพี่ภีร์ที่กำลังทำหน้าหม่นๆ ไม่ต่างจากผมกำลังเดินมายืนพิงกำแพงข้างๆ ผม

“มากับใครพี่?” ผมถาม  ก็ถามไปงั้นๆ แหละครับ  รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมากับแฟน

“มากับไอ้คุณตฤณน่ะ” พี่ภีร์บอกแล้วทำหน้าเซ็งๆ

“แล้วไปไหนซะล่ะ?” ผมถามพลางมองหา

“ไม่รู้ ช่างหัวมัน  เฮ้อ ไม่รู้จะลากมาด้วยทำไม  น่าเบื่อจะตาย” พี่ภีร์กรอกตามองฟ้าแล้วบ่นอย่างไม่พอใจ

“ใช่ไหมพี่? น่าเบื่อว่ะ” ผมขมวดคิ้วบ่นด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างจากพี่ภีร์นัก “แล้วเป็นไงบ้างกับคุณตฤณ?” ผมถามเพราะดูพี่ภีร์จะไม่ได้มีความสุขกับการอยู่กับคุณตฤณเขาเลย  ได้ข่าวว่าคุณตฤณเป็นเพื่อนพี่ถังแหละครับแต่ผมไม่รู้จักเพราะเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกัน  ถึงว่าล่ะ คุณตฤณยังดูหนุ่มๆ อยู่เลย

“ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรมากหรอก” พี่ภีร์ทำหน้าเบื่อๆ เหมือนไม่อยากจะพูดถึงมัน  ท่าทางจะไปกันได้ไม่ค่อยดีล่ะมั้ง

“อืม แต่อย่างน้อยเขาก็ดูท่าทางจะเป็นคนดีนะ” ผมบอก  ผมไม่รู้จักคุณตฤณซักเท่าไหร่แต่ก็เคยพบบ้าง  เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี  ดีใจด้วย  ท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่สุดๆ ไม่เหมือนไอ้พี่ถังที่แก่แล้วแต่ทำตัวปัญญาอ่อน  เป็นกันทั้งผัวทั้งเมียครับ พี่ถังก็ปัญญาอ่อน พี่เคย์ก็ปัญญาอ่อน

“ดีเหรอ? ไม่รู้สิ  คงจะเหมือนไอ้ลุกซ์ล่ะมั้ง คนภายนอกมองมาก็ดูว่าเป็นคนดีแต่ในมุมมองของคนใกล้ตัวมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด” พี่ภีร์พูดด้วยสีหน้าหม่นๆ เหมือนคนกำลังฝืน

“ก็นะ เข้าใจความรู้สึกเลยแหละ” ผมก้มหน้าพูด

“สงสัยมันจะเป็นเวรเป็นกรรมที่พี่ทำกับเปอร์ไว้ล่ะมั้ง  ต่อให้พี่ขอโทษไปกี่หมื่นกี่แสนครั้งมันก็ชดใช้ความผิดไม่ได้  สุดท้าย...ก็ต้องมาเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายถูกกระทำด้วยตัวเอง” มุมปากของพี่ภีร์ยกยิ้มเหมือนกำลังเย้ยหยันตัวเองก็ไม่ปาน

“พี่ไม่ต้องคิดมากเรื่องของผมแล้วล่ะ  มันผ่านมานานมากแล้ว  ผมไม่คิดอะไรแล้วล่ะ” ผมตบไหล่ปลอบใจพี่ภีร์  มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าคนที่ถูกกระทำน่ะจะลืมได้ง่ายกว่าฝ่ายที่เป็นคนกระทำ  สำหรับคนที่สำนึกผิด  ต่อให้อีกฝ่ายจะยอมให้อภัยแต่ใจมันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี  ผมเข้าใจและเห็นใจพี่ภีร์จึงไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรอีก

“แล้วตอนนี้เปอร์เป็นยังไงบ้าง? ทำใจได้ไหม?” พี่ภีร์หันมาถาม

“ถามว่าได้ไหมมันก็คงยังไม่ได้หรอกครับ  เวลาเห็นหน้าเขาผมก็ยังเจ็บอยู่แต่ก็พยายามไม่เข้าใกล้เกินความจำเป็น  เฮ้อ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วผมไปทำอะไรกับเขาเอาไว้ก็ไม่รู้  ชาตินี้ผมถึงถูกเอาคืนอย่างแสนสาหัส” ผมเงยหน้ามองเพดานพลางพรูลมหายใจออกมาเสียยาว

“พี่ดีใจนะที่ได้เจอเปอร์  ได้คุยกันแบบนี้รู้สึกโล่งดีแฮะ  เมื่อก่อนพี่ไม่กล้าสู้หน้าเปอร์เลยนะ  เห็นทีไรแล้วเจ็บฉิบหาย  ทุกครั้งที่มองหน้าเปอร์พี่จะตอกย้ำในความเลวของตัวเองเสมอจนบางทีพี่ก็รู้สึกอยากตายไถ่โทษซะด้วยซ้ำ” พี่ภีร์พูด

“ขนาดนั้นเลยเหรอ? เอาเป็นว่าตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันนะพี่  เมื่อก่อนผมยอมรับเลยว่าแค่เห็นหน้าพี่ผมก็สั่นไปหมดแล้วแต่เพราะรู้ดีว่าพี่ก็คงเจ็บปวดเหมือนกันก็เลยทำใจได้  เราสองคนนี่ก็มีชะตาที่เหมือนกันดีเนอะ  ดันไปรักคนนิสัยไม่ดีเข้า” ผมหัวเราะนิดๆ ให้กับความโง่ของตัวเอง  ผมคิดนะว่าถ้าผมไม่ไปยุ่งกับเขาตั้งแต่แรกผมคงไม่จมปลักอยู่แบบนี้

“เปล่าหรอก  พี่ไม่ได้รักมันในความหมายแบบนั้น  สมัยเรียนไอ้ลุกซ์มันดีกับพี่มาก  มันมองความรู้สึกคนออกและคอยให้กำลังใจพี่ในแบบของมันทำให้พี่เผลอคิดไปไกล  พี่ไม่เคยเห็นมันรักใครเลยนะเปอร์  จนกระทั่งมันมาเจอกับเรา” พี่ภีร์หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก

“ไม่จริงหรอกครับ” ผมหรุบสายตาลงต่ำ

“พวกเพื่อนในกลุ่มพี่ทุกคนให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก  ไม่มีทางที่พวกมันจะให้ใครมาสำคัญเหนือเพื่อนเลย แต่มันกระทืบพี่แทบตายเพราะพี่ทำร้ายเรา  มันน่ะรักเรามาก แม้จะไม่ค่อยแสดงออกแต่พี่ก็รู้สึกได้  พอมาวันนี้พี่กลับแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเปอร์กับมัน  มันไม่บอกอะไรใครเลย  ตอนที่พี่รู้ว่ามันจะแต่งงานกับเจ๊เปรียวพี่เองก็ช็อคจนคิดอะไรไม่ออก” พี่ภีร์เล่าไปพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“อย่าไปรื้อฟื้นมันอีกเลยนะครับ  ผมหยุดแล้ว” ผมก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองแล้วยิ้มนิดๆ อย่างฝืนๆ

“เฮ้อ! คุยเรื่องเครียดมาซะนาน  ป่ะ! ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงแรมดีกว่า  ของในนี้กระเดือกไม่ลงว่ะ  พี่เลี้ยงเอง” พี่ภีร์ถอนหายใจยาวก่อนจะรวบคอผมไปกอดแล้วพูดออกมาซะดังทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้หันมามอง  ไอ้ผมก็อายเลยรีบลากพี่ภีร์ออกไปจากห้องจัดงานทันที

 

ผมนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านข้างทางกับพี่ภีร์จนอิ่มพุงแทบปลิ้นแล้วค่อยกลับเข้าไปที่ห้องจัดงานในโรงแรม  ทันทีที่เข้าไปคุณตฤณก็เดินหน้าเครียดเขามาหาพี่ภีร์ทันที

“ไปไหนมา!?” คุณตฤณกระชากแขนพี่ภีร์ไปบีบไว้แล้วกัดฟันถามอย่างดุดันจนผมตกใจ

“ไปกินข้าวกับน้อง ปล่อย! มันเจ็บนะพี่อัต!” พี่ภีร์ขมวดคิ้วตอบพลางพยายามแกะมือหนาๆ ที่คว้าแขนตัวเองเอาไว้ออก  คุณตฤณหันมาแล้วยิ้มให้นิดๆ ผมจึงยกมือไหว้เขา

อ่า...คุณตฤณชื่อเล่นชื่ออัตน่ะครับ  แต่ผมชินเรียกว่าตฤณ

“น้องไอ้ถังสินะ? มากับใครครับ?” คุณตฤณยิ้มพลางถามผม  เอ่อ...ทำไมรอยยิ้มเขามันดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้

“เอ่อ...ผมมากับคุณรุจิภาสน่ะครับ  เป็นเลขา” ผมบอกเสียงอ่อย

“อ๋อ งั้นพี่ขอตัวพาพี่ภีร์ของน้องไปก่อนนะ” คุณตฤณพูดเสียงนุ่มผมจึงได้แต่พยักหน้าและมองหน้าหงิกงอของพี่ภีร์อย่างสงสาร

โชคดีนะพี่ภีร์

“คุณบกพร่องต่อหน้าที่นะ  แต่ผมจะเห็นแก่เพื่อนของผมที่ทำให้คุณหนีงานออกไปแบบนี้  ผมจะไม่ด่าคุณก็แล้วกัน” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมต้องรีบหันไปมองคนที่กำลังยืนกอดอกทำหน้านิ่งๆ จ้องมองผมอยู่

“ขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้ขอโทษอย่างไม่เต็มใจนัก

“ผมหิว” จู่ๆ เขาก็พูดออกมาแบบนั้นทำให้ผมได้แต่เลิกคิ้วมองหน้าเขาอย่างสงสัย  คือ...มึงหิวแล้วมาบอกกูเพื่อ?

“หิวก็หาอะไรยัด...เอ่อ ทานสิครับ” ผมบอก

“ผมจะออกไปทานข้างนอก”

“ก็ไปสิครับ” ผมขมวดคิ้วนิดๆ อย่างสงสัย  ถ้าจะไปกินก็ไปสิวะ  มาบอกทำไม?

“ไปกับผม” อ๋อ ให้กูพาไปว่างั้นเถอะ?

“หน้าที่หรือเปล่าครับ?”

“เออ” สิ้นคำ แขนผมก็ถูกดึงเพื่อลากออกจากห้องจัดงานทันทีโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้  แม้จะไม่อยากไปแต่สุดท้ายถ้ามันเป็นหน้าที่ผมก็ต้องออกไปกับเขาจนได้สินะ  เฮ้อ ลาออกซะดีไหม?

แต่งานสมัยนี้มันหายากชะมัด

 

ผมนั่งมองคนตรงหน้าด้วยอาการเซ็งจัดเพราะเขากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านที่ผมเพิ่งมาอย่างอ้อยอิ่ง  ไม่รู้จะกินช้าให้ได้อะไรขึ้นมาทั้งๆ ที่ปกติการกินของเขาแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการสวาปาม  ผมว่าเขาต้องแกล้งกินยั่วให้ผมอยากกินด้วยแน่เลยแต่เสียใจ  เมื่อกี้กูแดกสองชาม

“ทานเสร็จจะกลับเข้าไปในงานหรือกลับบ้านครับ?” ผมถามขึ้นเพราะอยากจะกลับเต็มแก่

“กลับบ้าน” เขาตอบผมจึงกระชับสูทตัวเอง

“งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ  ไหนๆ คุณก็จะกลับงานของผมก็สิ้นสุด” ผมบอกพลางลุกขึ้นยืน

“คุณต้องกลับพร้อมผม” เขาพูดขึ้นทำให้ผมทำหน้าหงิกยิ่งกว่าหงิก

“ถ้าเสร็จงานแล้วก็ให้ผมกลับได้ไหมครับ? ผมมีครอบครัวต้องดูแลไม่ได้ว่างหรือรวยล้นฟ้าพอที่จะจ้างใครมาดูแลหรอกนะครับ!” ผมพูดเสียงแข็งและดังทำให้โต๊ะใกล้ๆ หันมาสนใจ  ผมมองไปรอบๆ อย่างอายๆ ก่อนจะยอมนั่งลง

“ผมจะไปส่ง”

“ไม่ต้อง ผมกลับเองได้” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

“จะกลับยังไง? แท็กซี่เหรอ? บ้านคุณไกลไม่ใช่เหรอ? ค่าแท็กซี่จากที่นี่ไปถึงบ้านคุณมันแพงนะ” พี่ลุกซ์อ้างทำให้ผมคิดตาม  เฮ้อ เบื่อความจนของตัวเองจังเลยแฮะ “ผมมีข้อเสนอเรื่องงานให้คุณนะ  ถ้าคุณสนใจ  ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้คุณสองเท่า” สักพักพี่ลุกซ์ก็พูดขึ้นทำให้ผมสนใจมากขึ้น  ตอนนี้เงินเดือนผมก็ถือว่าสูง  ถ้าเขาเพิ่มขึ้นสองเท่าผมก็จะสามารถมีเงินเก็บไว้สำหรับอนาคตเยอะขึ้น  อ่า...ผมสนใจจัง

“อะไรครับ?” ผมถามอย่างวางฟอร์ม

“ตอนนี้คุณเป็นเลขาในที่ทำงานให้ผมแต่ผมต้องการเลขาส่วนตัวด้วย  แต่คุณต้องมีเวลาให้กับผมมากกว่าปกติ  ถ้าผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ  แม้จะเป็นเวลาตีหนึ่งตีสองคุณก็ต้องมา” พี่ลุกซ์พูดพลางวางตะเกียบกับช้อนเพราะกินเสร็จแล้ว

“ขอบเขตของงานล่ะครับ?” ผมหรี่ตาลงนิดๆ เพราะกลัวว่าเขาจะใช้ให้ผมทำเรื่องอย่างว่า

“ไม่ใช้ให้ทำงานผิดกฎหมาย” เขาบอก

“ไม่มีเรื่องผิดศีลธรรม” ผมต่อรอง

“ก็อาจจะมีบ้าง” ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น  กูว่าแล้วไง “แต่ผมไม่คิดจะนอกใจภรรยา” จึก!! เหมือนเข็มนับพันกระหน่ำมาทิ่มแทงหัวใจของผมทีละเข็มแต่รวดเร็ว  ความเสียใจถาโถมเข้ามาจนผมไม่สามารถจะพูดอะไรออกไปได้อีก  ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ก็คงหมายความว่าเขารักภรรยาของเขามากและจะไม่มีทางวอกแวกมาหาคู่ขารายทางอย่างผม  ก็ดี...มันคงดีแล้วล่ะนะ

“แต่ผมไม่มีรถ  ถ้าคุณมีธุระด่วนผมคงไปทันทีไม่ได้” ผมเบือนหน้าไปอีกด้านแล้วพูดด้วยท่าทางนิ่งๆ  ผมพยายามข่มใจไม่ให้แสดงความรู้สึกอะไรออกไปน่ะครับ  และสงสัยว่าผมจะพยายามมากเกินไปจนมันมีอาการร้อนผ่าวๆ ที่ขอบตา 

“ผมไม่แคร์  ถ้าคุณตกลงพรุ่งนี้ผมจะให้คุณเซ็นสัญญา  แต่อยากให้เริ่มงานวันนี้เลย” พี่ลุกซ์บอก

“ผมตกลง  แต่วันนี้ผมไม่พร้อมที่จะเริ่มงาน” ผมยังคงพูดโดยไม่มองหน้าเขา  กลัวว่าถ้ามองแล้วน้ำตามันจะไหลออกมาน่ะสิ

“เอาไงดีล่ะ? จะว่าไปพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด  แต่ผมต้องการคนช่วยงาน  งั้นพรุ่งนี้คุณเข้ามาหาผมที่บ้านด้วยล่ะ” พี่ลุกซ์พูดกับผมพลางหันไปกวักมือเรียกพนักงานเพื่อเก็บเงิน

“ให้ผมเข้าไปทำไม?” ผมถามเสียงเขียว  ก็บอกเองว่าไม่ให้ผมไปที่บ้านหลังนั้นอีก

“ก็ไปเซ็นสัญญา”

“มีคนบอกว่าไม่ให้ผมไปที่นั่นอีก  ผมไม่อยากไปทำให้ใครเสียความรู้สึก” ผมพูดก่อนเม้มปากอย่างเจ็บใจ  คิดแล้วมันก็เจ็บ!

“ถ้าผมเรียกคุณก็ต้องไปแต่ถ้าไม่มีใครต้องการก็...”

“ครับ! ผมเข้าใจแล้ว  ทานเสร็จแล้วใช่ไหมครับ? จะได้กลับซักที” ผมพูดขัดก่อนที่เขาจะพูดจบ  ไม่มีใครต้องการงั้นเหรอ? เออสิ! ชีวิตของพี่ลุกซ์ไม่ต้องการผมอีกต่อไปแล้วนี่  ผมไม่มีความสำคัญอะไรอีกต่อไป  จะไปที่นั่นได้ก็ต่อเมื่อถูกเรียกเท่านั้น ผมเข้าใจดี

ผมลุกขึ้นแล้วเดินออกไปที่ริมฟุตบาธเพื่อเรียกแท็กซี่เพราะไม่อยากจะกลับกับคนอย่างเขา  ถึงจะเปลืองเงินก็ยังดีกว่าเปลืองหัวใจ

แท็กซี่มาจอดตรงหน้าผมพอดีกับที่พี่ลุกซ์เพิ่งลุกออกจากเก้าอี้  ผมรีบขึ้นแท็กซี่และปิดประตูอย่างรวดเร็วโดยที่เขาตามมาไม่ทัน  แต่...เขาคงจะตามหรอก  เพราะผมไม่ได้สำคัญขนาดที่ต้องตาม

ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปก็ดี  ให้เขาทำร้ายจิตใจผมให้มันด้านชายิ่งกว่านี้  เมื่อใจผมมันเจ็บมากยิ่งขึ้นความรักในใจผมก็จะได้ลดลงเสียที  ผมจะเกลียด...จะขยะแขยงกับทุกๆ สิ่งที่เป็นเขา!!

 

เช้าวันต่อมาผมก็นั่งพี่วินออกไปหน้าปากซอยเพื่อต่อรถเมล์จากนั้นก็นั่งพี่วินต่อไปที่บ้านของพี่ลุกซ์  ผมเดินด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้ารั้วบ้านอย่างน่าสงสัยจนกระทั่งยามเข้ามาทักและพอเห็นว่าเป็นผมเขาก็มีท่าทีตกใจ

“คุณเปอร์?” พี่ยามทักผมเสียงหลง

“ครับ ผมมาหาประธาน เอ่อ พี่ลุกซ์น่ะครับ  เขานัดให้ผมมา  ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ?” ผมเอ่ยถามทำให้พี่ยามเดินมาเปิดประตูเล็กให้  ผมยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านและเมื่อผมก้าวเข้าไปในนั้นเสียงดังโหวกเหวกก็ดังขึ้น

“พี่เป๊อร์!!” เรียกชื่อผมซะเสียงหลงเลยน้องไลลา  เรียกไม่เรียกเปล่ายังวิ่งเข้ามากระโดดกอดผมซะแน่นอีกต่างหาก “พี่เปอร์ คิดถึงจังเลยค่ะ! ไลลาคิดถึงพี่เปอร์ที่สุดในโลกเลย!” น้องไลลาผละออกไปก่อนจะเขย่าตัวผมรัว

“พี่ก็คิดถึงไลลานะ” ผมลูบผมของน้องเบาๆ แล้วยิ้มให้

“พี่เปอร์...” น้องไลลาหุบยิ้มก่อนจะเบ้ปากเหมือนคนจะร้องไห้

“ไลลาเป็นอะไร?” ผมถามอย่างตกใจ  ทะเลาะกับไอ้กรมาหรือเปล่าวะเนี่ย?  พอดีผมได้ยินมาจากไอ้ตุลน่ะครับว่าไอ้กรได้คบกับน้องไลลาแล้วและคบกันตอนที่พี่ลุกซ์กับพี่ลันไปเรียนต่อเมืองนอกนั่นเอง

“ไลลาคิดถึงพี่เปอร์  ไลลาอยากให้พี่เปอร์...มากินข้าว มาคุยเล่น มาซ้อมเทควันโดกับไลลาอีก  คุณแม่ก็บ่นคิดถึงพี่เปอร์อยู่ตลอด  ไลลาเกลียดพี่ลุกซ์!” ไลลาพูดไปน้ำตาก็คลอจนเกือบจะเอ่อล้นเบ้าตาอย่างน่าสงสาร  น้องคงจะคิดถึงผมมากจริงๆ สินะ  เด็กคนนี้น่ารักไม่เปลี่ยนเลย

“นี่ โตเป็นสาวแล้วนะอย่าขี้แงสิไลลา ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมลูบแก้มน้องเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน

“ไม่ได้จะร้องซักหน่อย” น้องไลลาทำปากยื่นใส่  ผมจึงได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู

“ไลลา แขกของพี่มาแล้วเหรอ?” เสียงของพี่ลุกซ์ดังขึ้นที่บันไดทำให้ผมกับไลลาหันไปมองแทบจะพร้อมกัน

“แขกงั้นเหรอคะ? สำหรับไลลาพี่เปอร์ไม่ใช่แขก  แต่พี่เปอร์เป็นสมาชิกของบ้านนี้” น้องไลลาหันไปพูดกับพี่ลุกซ์เสียงแข็ง

“ไลลาไม่เอาน่า  พี่เป็นแค่คนอื่นนะ” ผมพูดกับน้องเบาๆ เพราะละอายแก่ใจที่ถูกนับว่าเป็นสมาชิก  ก็ผมเป็นแค่คนอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่บ้านหลังนี้  ผมไม่อาจเอื้อมอีกแล้วล่ะครับ  ตอนนี้ผมมันก็แค่ลูกจ้างกระจอกๆ ไม่ได้มีฐานะใกล้เคียงกับเขาเลย  เมื่อก่อนก็ไม่ได้ใกล้เคียงหรอก  แต่อย่างน้อยก็พอมีเงินที่จะซื้อของที่อยากได้  แต่ตอนนี้...แม้แต่เสื้อผ้าผมยังต้องซื้อของถูกๆ มาสวมใส่ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนใส่แต่ของแบรนด์เนม  แต่ก็นะ...เสื้อผ้าราคาถูกมันก็ใส่ดีไม่ต่างกันท่าไหร่  ของพวกนั้นมันแค่เอาไว้บ่งชี้ฐานะเท่านั้นแหละ

“ไลลา พี่ขอคุยกับเลขาพี่หน่อย  ไลลาไปช่วยคุณแม่ดูน้องปิงเถอะไป” พี่ลุกซ์บอกแต่น้องไลลาไม่ยอมไปแถมยังกอดแขนผมซะแน่น

“ไลลาครับ ไปดูหลานเถอะนะ  พี่ไม่เป็นไรหรอก” ผมลูบหัวน้องไลลาเบาๆ ก่อนที่น้องจะยอมเดินจากไปแต่โดยดี

และเมื่อเหลือกันแค่สองคนพี่ลุกซ์ก็หันหลังเดินกลับขึ้นไปด้านบนผมจึงต้องเดินตามอย่างช่วยไม่ได้เพราะรู้ว่าห้องทำงานของพี่ลุกซ์น่ะอยู่ด้านบน

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา