[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
9.7
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
56 ตอน
51 วิจารณ์
236.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
55) Aut x Pree 08 : ตีหัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Aut x Pree 08 : ตีหัว
ผมพามิคไปกินข้าวพลางให้คำปรึกษาเรื่องแฟนของเขาอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะระหองระแหงจนยากจะต่อซะแล้ว จากที่ฟังมิคเล่ามา ผมวิเคราะห์ได้อย่างเดียวว่าที่แฟนเขาอยู่กับเขาก็เพราะเงิน มิคเล่าถึงแฟนดีมากๆ เลยนะครับแต่ผมรู้สึกได้ว่าแฟนเขาไม่จริงใจเอาซะเลย สิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องการดูเหมือนจะเป็นแค่เซ็กส์กับเงินเท่านั้นเอง
คุยกันมาตั้งนานผมเพิ่งรู้ว่ามิคเป็นนักลงทุนที่มีเงินมหาศาลเลยทีเดียว หน้าตาดีและมีเงินแบบนี้ใครๆ เขาก็อยากได้ แต่ด้วยความที่มิคไม่ค่อยมีเวลาทำให้ไม่ได้ใส่ใจแฟนนักทำให้คนที่เข้าหาส่วนใหญ่เป็นคนที่หวังความสบายไม่ใช่ความรักที่จริงใจ
หลังจากทานข้าวเสร็จผมกับมิคก็ไปต่อกันที่บาร์เพื่อคุยกันไปเรื่อยๆ เราถูกชะตากันจนมีเรื่องคุยกันมากมายชนิดที่คุยทั้งวันก็ไม่หมด
และขณะที่เรากำลังนั่งจิบเหล้าพอกรึ่มๆ โทรศัพท์ของผมก็สั่น เบอร์ที่ปรากฏเป็นเบอร์ของบ้านพี่อัต พอเห็นแบบนั้นผมก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเพราะตั้งใจจะไม่รับ ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวปวดใจเข้าตัวเองเพราะฉะนั้นไม่ขอรับละกัน
กินเหล้าไปคุยไปจนผมเริ่มมึนๆ จึงไปส่งมิคที่คอนโดแล้วกลับไปนอนแผ่ที่บ้านอย่างเต็มที่ ถึงจะไม่ถึงขั้นเมาแต่พรุ่งนี้ผมต้องแฮงก์แน่ๆ แต่ก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ผมจะนอนอืดให้เต็มที่แล้วค่อยไปเฝ้าไอ้ลุกซ์ทีหลังละกัน ขอพักซักวันนะเพื่อน
และแล้วผมก็ได้รับข่าวร้ายหลังจากหิ้วตัวเองไปเฝ้าไอ้ลุกซ์ในช่วงบ่ายของอีกวัน ตอนที่ผมเข้าห้องของไอ้ลุกซ์ไปก็พบกับเพื่อนฝูงมากมายที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ นอกจากเพื่อนในกลุ่มของผมยังมีพี่ถังที่ดูจะเครียดที่สุดอยู่ด้วย
“เฮ้ย เป็นอะไรกันวะ!?” ผมถามเสียงร่าเริงเพื่อทำลายบรรยากาศมาคุ ขนาดไอ้เคย์ที่มีออร่าแห่งความสดใสอยู่ตลอดเวลายังนั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงและไม่แผ่ออร่าด้วย
“ภีร์ มึงยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ?” ไอ้บัมพ์หันมาถามหน้าเครียดทำให้ผมยิ้มเก้อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ? ผมชักจะเครียดตามแล้วนะเนี่ย
“เกิดอะไรขึ้น?” ผมขมวดคิ้วถาม อาการร่าเริงเมื่อครู่หายไปทันที
“ไอ้อัต...” พี่ถังพูดออกมาแค่นั้นแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะเหมือนไม่อยากจะพูดต่อแต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ไอ้อัตถูกตีหัว ตอนนี้อาการไม่ค่อยดี ยังอยู่ห้องไอซียูอยู่เลย” คำพูดจากปากพี่ถังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองล้มทั้งยืน สมองเริ่มประมวลภาพเหตุการณ์เมื่อวาน
เมื่อวานพี่อัตยังดีๆ อยู่เลย ไปถูกตีตอนไหนกัน? ศัตรูก็ไม่ได้มีอย่างโจ่งแจ้ง จะมีบ้างก็แค่คู่แข่งทางธุรกิจแต่ก็ไม่น่าจะมาทำร้ายกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ตอนที่แยกกันพี่อัตก็อยู่กับไอ้ลุกซ์ไม่ใช่เหรอ? หลังจากนั้นพี่มันไปทำอะไรที่ไหนนะถึงได้ถูกทำร้ายขนาดนั้น หรือว่า...เมื่อคืน!!
หรือว่า...เมื่อคืนที่คนที่บ้านพี่อัตโทรมาเพราะจะบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้!?!
“พี่อัตถูกตีตอนไหน?” ผมรีบถามออกไป
“เมื่อคืนตอนดึกๆ” พี่ถังบอก ใจผมหายวาบทันที เมื่อคืนคนที่บ้านพี่อัตโทรหาผมหลายสายมากแต่ผมไม่รับเพราะคิดว่าพี่อัตจะคุย เฮ้ย! ถ้าผมเอะใจซักนิดผมคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้
“มึงไหวไหมภีร์?” ไอ้เคย์ถามด้วยสีหน้าติดจะเครียด นี่ผมทำหน้าไม่สู้ดีหรือไง เพื่อนถึงได้ถามออกมาแบบนี้?
“มึงช่วยแจกแจงรายละเอียดให้กูฟังหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผมลากไอ้เคย์ไปนั่งที่โซฟาเพื่อนั่งคุยกันดีๆ ที่ให้ไอ้เคย์เล่าเพราะมันมีสติสตังค์ครบที่สุดแล้ว
หลังจากได้นั่งดีๆ ไอ้เคย์ก็เริ่มเล่าโดยมีพี่ถังคอยเสริมและมีเพื่อนๆ คนอื่นคอยกวนตีนเป็นระยะ
Aut’s part
หลังจากโดนไอ้ภีร์สะบัดแขนออกแล้วเดินหนีผมออกจากห้องผู้ป่วยของไอ้ลุกซ์ไปผมก็ได้แต่ยืนอึ้งเพราะท่าทางของมันดูรังเกียจผมซะเหลือเกิน ผมทำผิดกับมันไว้มากก็เลยได้รับบทเรียน และตอนนี้ผมก็กำลังจมปลักกับความทรมานที่ผมเคยสร้างให้มัน
“ไม่ตามไปเหรอ?” ขณะที่ผมกำลังอึ้งจนไปไม่เป็น ไอ้ลุกซ์ก็พูดขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“ลุกซ์...” ผมถอนหายใจแล้วเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ เตียงไอ้ลุกซ์ด้วยท่าทางถอดถอนใจ “ไอ้ภีร์มันไม่คิดจะให้อภัยกูจริงๆ เหรอวะ? กูต้องทำยังไงถึงจะเอามันกลับคืนมาได้วะ?” ผมเท้าแขนที่ข้างเตียงแล้วซบหน้าลงไปที่ฝ่ามือ
“ตามมันไปสิพี่” ไอ้ลุกซ์บอกเสียงจริงจัง ผมเงยหน้ามองหน้ามันแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“กูจะตามไปง้อมัน!” ผมกำมือขึ้นมาแล้วรีบวิ่งตามไอ้ภีร์ออกไปแต่ก็ไม่เห็นมันเสียแล้วผมจึงลองวิ่งหาไปเรื่อยๆ ในที่ที่มันจะไป
ผมวิ่งไปตามทางของโรงพยาบาลเพื่อหาไอ้ภีร์จนถูกพยาบาลด่าแต่ผมก็ไม่สน รีบวิ่งออกไปข้างนอกแล้วมุ่งต่อไปที่โรงจอดรถ ผมนี่แม่งโง่ว่ะ ไอ้ภีร์มันจะกลับก็ต้องไปที่รถสิวะ ไม่รู้ผมจะเสียเวลาวิ่งหามันที่อื่นทำไม บ้าจริงๆ เลยผมเนี่ย
เมื่อไปถึงโรงจอดรถผมก็เดินหามันอีกครั้งแต่เดินไปไม่นานก็เจอเพราะได้ยินเสียงของมันคุยกับใครซักคน แต่แทนที่ผมจะดีใจที่ได้พบมันแล้วรีบวิ่งเข้าไปง้อแต่ผมกลับต้องยืนนิ่งเพราะอึ้งกับภาพที่เห็น
ผมเห็นไอ้ภีร์ยิ้มแย้มและทำท่าสนิทชิดเชื้อกับผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งจากนั้นก็ขึ้นรถของไอ้ภีร์ไปด้วยกัน รถคันนั้นผมพามันไปซื้อและแอบออกเงินช่วยโดยที่มันไม่รู้และจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่อยากให้รู้เพราะไม่อยากให้มันคิดว่าเป็นบุญคุณ
“มึงไม่รักกูแล้วจริงเหรอวะ?” ผมยืนมองรถแล่นออกไปจากมุมหนึ่งของเสาด้วยใจที่เจ็บปวดเหลือคณา ผมไม่แน่เล่นอะไรแผลงๆ ที่ไอ้ภีร์มันไม่สนุกด้วยเลย ถ้าผมไม่คิดจะทดสอบหัวใจของมันผมก็คงไม่เจ็บปวดขนาดนี้
เหตุผลที่ผมต้องทดสอบเพราะผมไม่มั่นใจจริงๆ ว่าไอ้ภีร์มันรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันเฉยชากับผมมาก ไม่แสดงถึงความรักต่อผมซักเท่าไหร่จนผมคิดว่าที่มันยอมอยู่กับผมอาจจะเพราะมันเกรงใจ ตอนที่มันกำลังเจ็บปวดผมได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือมากมายและนั่นอาจจะทำให้มันหวั่นไหวจนเอนเอียงมาทางผม แต่พอจิตใจมันดีขึ้นมันอาจจะคิดได้ว่ามันไม่ได้รักผมก็ได้ผมจึงทดสอบมันดูและผลที่ได้รับมันเกินคาดจริงๆ ผมว่ามันไม่ได้รักผมมาตั้งแต่แรกหรอก มันแค่จะตอบแทนบุญคุณผมเท่านั้นแหละ ถ้ามันรักผมมันคงจะมีเยื่อใยอยู่บ้างแต่นี่ไม่มีเลย
ไม่แน่...มันอาจจะยังรักไอ้ลุกซ์อยู่ก็ได้ ที่มันมาเฝ้าไอ้ลุกซ์ทุกวันอาจจะเพราะรัก ยิ่งไอ้ลุกซ์ระหองระแหงกับแฟนแบบนี้ไอ้ภีร์ยิ่งมีโอกาส ผมไม่อยากจะคิดอะไรในทางไม่ดีหรอกนะแต่บางทีมันก็อดไม่ได้จริงๆ รักมากผมก็ระแวงมาก ที่สำคัญ...ผมรักไอ้ภีร์มาตั้งแต่มันยังเรียนอยู่ม.4 นานเหลือเกินกว่าจะได้มันมาเป็นของตัวเองแต่สุดท้ายก็ต้องเสียมันไป
ผมกลับบ้านมาด้วยท่าทางหดอาลัยตายอยาก ไม่ว่าใครจะทักทายหรือต้อนรับผมกลับบ้านผมก็ไม่ตอบรับ มุ่งตรงไปที่บาร์เหล้ามุมประจำของตัวเอง
พอบ้านหลังนี้ไม่มีไอ้ภีร์อยู่มันก็ดูเวิ้งว้างว่างเปล่าเสียเหลือเกิน ตั้งแต่พ่อกับแม่ผมเสียผมก็ต้องอยู่บ้านกับเหล่าแม่บ้าน พอมีไอ้ภีร์ถึงได้รู้สึกว่ามันกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง ผมรักมัน แม่บ้านทุกคนก็เอ็นดูมันเสมือนเป็นคนในครอบครัวแต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว บ้านหลังนี้คงกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง
“ต่อให้ไม่มีเรื่องทดสอบหัวใจ มึงก็คงไม่รักกูอยู่ดี” ผมกรอกเหล้าลงคอแล้วพึมพำออกมาอย่างเจ็บปวด ผมอาจจะไม่มีหวังแล้วก็ได้
ผมนั่งดื่มพลางเปิดเพลงคลอไปคนเดียวจนไม่รู้เวลาว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว กว่าผมจะรู้ว่ามันดึกก็ตอนที่มีคนมาหาถึงบ้าน แค่เห็นหน้าคนมาหาผมก็ไม่สบอารมณ์แล้วเพราะยัยคนนี้แหละที่ทำให้เรื่องมันแย่หนักกว่าเดิม ไม่รู้จะมาอ่อยอะไรผมนักหนา
“นี่คุณ จะมาหาผมทำไมไม่ทราบ?” ผมตวัดสายตาแข็งกร้าวไปมองคุณทิพย์พนักงานบริษัทที่เป็นคู่แข่งกับไอ้ภีร์อย่างไม่ชอบใจนัก ผมเคยนอนกับหล่อนตอนที่ยังไม่ได้คบกับไอ้ภีร์ ก็อย่างว่าแหละครับ เมื่อก่อนผมก็เสเพลไปเรื่อย ใครถูกใจก็สอยมานอน เราคบไปกันซักพักก็เลิกราโดยที่ผมเป็นคนทิ้ง ทำไงได้ล่ะ คุณทิพย์ไม่ใช่แบบที่ผมชอบ ยิ่งรู้จักก็ยิ่งไม่ชอบเพราะนิสัยเสียมาก
“ฉันคิดว่าคุณคงต้องการใครบางคน” คุณทิพย์เดินมาโอบไหล่ผมพร้อมกันก้มหน้าลงมากระซิบด้วยท่าทางยั่วยวน ชุดที่ใส่มาทั้งรัดทั้งสั้นจนนมจะทะลักมาบีบหน้าผมอยู่แล้ว ต่อให้ผมไม่มีไอ้ภีร์ผมก็ไม่เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแม่ของลูกหรอก มันดูไม่มีค่าว่ะ ผู้ชายนิสัยเสียๆ อย่างผมคบผู้หญิงประเภทนี้ไว้ฟันเท่านั้นแหละ จะด่าผมว่าเลวก็ไม่ผิดหรอกนะเพราะผมแม่งเลวจริงๆ นั่นแหละ
“ใช่ ผมต้องการ แต่คนที่ผมต้องการมีแค่ไอ้ภีร์เท่านั้น ส่วนคนอื่น...ไม่ต้อง” ผมย้ำคำว่าคนอื่นให้คุณทิพย์ฟังชัดๆ เพราะเธอไม่ยอมรามือจากผมเลย พอไม่ได้ผมก็ชอบไปหาเรื่องไอ้ภีร์ตลอด
“ทำไมคะ? ทำไมคนที่คุณเลือกไม่ใช่ผู้หญิงอย่างฉันแต่กลับเป็นผู้ชายอย่างเด็กคนนั้น?” คุณทิพย์จับมือผมออกจากแก้วเหล้าแล้วเลื่อนมันไปประทับที่จุดอ่อนไหวของผู้หญิง ผมรีบชักมือออกด้วยความขยะแขยง ทำไมถึงไม่ทำตัวให้มันคุณค่า แทนที่จะวิ่งมาให้ผู้ชายเอา เธอน่าจะทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ทำแบบนี้ใครเขาจะอยากได้วะ
“คุณมันน่ารังเกียจจริงๆ” ผมลุกขึ้นยืนเซๆ แล้วถอยออกห่างจากผู้หญิงคนนี้
“แต่คุณก็เคยได้ฉันเป็นเมีย!” คุณทิพย์ถลึงตามองผมอย่างโกรธเคืองที่ผมไม่รับผิดชอบ จะให้ผมรับผิดชอบก็ยังไงๆ อยู่ คนที่เข้าหาอีกฝ่ายก่อนก็คือคุณทิพย์ เขาเสนอตัวให้ผม ในช่วงที่เราคบกันผมก็ปรนเปรอเธอตลอด ซื้อของแพงๆ ให้ พาไปเที่ยว ไปกินอาหารหรูๆ ผมรู้ว่ามันไม่ดีแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการเอง
“ถ้าจะบอกว่าการมีอะไรกันแล้วจะถือว่าเป็นผัวเมีย คุณก็คงไม่ได้มีผมเป็นผัวแค่คนเดียว” ผมขยับไปหยิบแก้วเหล้าแล้วยกดื่มพร้อมกับสีหน้าติดจะเยาะนิดๆ
“คุณอัต!!” คุณทิพย์ตะคอกใส่อย่างโมโหแต่ผมก็เฉยๆ ไม่ได้สะทกสะท้านกับเสียงนั่นซักเท่าไหร่ แค่นี้ยังจิ๊บจ๊อยถ้าเทียบกับผู้หญิงที่ผมเคยเจอมา ผมเคยโดนผู้หญิงไล่ตบหลังจากบอกเลิกด้วย นอกจากนั้นยังเคยถูกขับรถไล่ชนอีกต่างหาก โลกนี้ยังผู้หญิงอารมณ์รุนแรงมีอยู่เยอะแยะมากมาย
“คุณกลับไปได้แล้วไป เพราะต่อให้ผมง้อไอ้ภีร์ไม่ได้ผมก็ไม่กลับไปเอาคุณหรอก” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นกรอกอีกครั้งแล้วไล่เขาออกไป ปกติผมไม่ใช่ผู้ชายปากจัดนะครับแต่บางทีถ้าไม่ไล่แรงๆ ผู้หญิงเขาก็ไม่ไปจากเราหรอกครับ
“แล้วคุณจะเสียใจ” คุณทิพย์มองผมอย่างคาดโทษก่อนจะเดินกระแทกส้นออกไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งใจแล้วกลับไปนั่งดื่มที่เก้าอี้ทรงสูงเหมือนเดิม
ผลัวะ!!
เพล้ง!!
ขณะที่ผมกำลังปล่อยใจไปกับเพลงเศร้าและเหล้าในแก้วที่ถืออยู่ผมก็รู้สึกวูบเหมือนมีอะไรหนักมาฟาดที่ท้ายทอย สติผมดับวูบไปทันทีที่ได้รับแรงกระแทกนั้นทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุ
60% left
รู้สึกตัวอีกทีผมก็ลืมตามองเพดานสีขาวในห้องที่ไม่รู้จักซะแล้ว แต่ก็เดาไม่ยากหรอก คงจะเป็นโรงพยาบาลล่ะมั้งเพราะความจำล่าสุดของผมก่อนจะมาถึงตอนนี้ก็คือความเจ็บปวดที่ได้รับที่ท้ายทอย
โอย ปวดหัวเป็นบ้าเลย นี่ผมโดนตีหัวมาใช่ไหมเนี่ย? คนตีคงไม่พ้นยัยคุณทิพย์แน่ๆ กล้ามากที่ทำกับผมถึงขนาดนี้ คงเอาไว้ไม่ได้แล้วล่ะ หายเมื่อไหร่ยัยนั่นไม่โดนแค่ไล่ออกแน่ๆ
ผมกะพริบตาปรับแสงเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อพักสายตาและขณะนั้นเสียงเปิดและปิดประตูก็ดังขึ้น ผมลืมตาขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นใครผมก็รีบหลับตาลงทันทีขณะที่คนคนนั้นยังไม่ทันสังเกตว่าผมตื่นแล้ว
คนที่เข้ามาเป็นไอ้ภีร์ครับ คงจะเป็นห่วงผมล่ะสิ น่ารักจังเลยนะ ทำเป็นปากแข็งแต่จริงๆ ก็ยังรักผมอยู่ล่ะสิ คึๆ
“เจ็บตรงไหนบ้างวะเนี่ย?” ไอ้ภีร์เดินมาใกล้ๆ เตียงผมพลางก้มลงสำรวจใกล้ๆ ที่ผมรู้เพราะเสียงมันอยู่ใกล้ๆ และลมหายใจมันเป่ารดหน้าของผม ถ้าผมจะเขินกับเรื่องแค่นี้จะดูเยอะไปไหมนะ?
ฟู่ววว
ผมตกใจปนเขินจนอยากจะลืมตาขึ้นมาแล้วดึงไอ้ภีร์ที่กำลังเป่าลมใส่หน้าผากของผมมาจูบซะให้รู้แล้วรู้รอด
“หายไวๆ นะครับพี่อัต” ยิ่งได้ยินประโยคเมื่อครู่ผมยิ่งอยากปล้ำเลยล่ะครับ
ตึกๆๆ
หลังจากอวยพรให้ผมหายเร็วๆ เสร็จมันก็ถอยออกห่างและเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเบาลง ผมรีบลืมตาแล้วหันไปมองก็พบว่าไอ้ภีร์กำลังจะเปิดประตูเพื่อออกจากห้อง ด้วยความที่ผมไม่อยากให้มันไปไหนจึงปัดแก้วน้ำเปล่าๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลงพื้นแล้วทำเป็นหลับตาแน่นเหมือนคนกำลังฝันร้าย ผมเลียนแบบละครหลังที่เคยไปนั่งดูกับแม่บ้านมา
“โอ๊ย!” ผมร้องอุทานออกมาพลางยกมือกุมหัว ตอนแรกกะจะมารยาทำเป็นเจ็บเรียกร้องความสนใจแต่จังหวะที่ปัดแก้วน้ำมันกระทบกระเทือนถึงหัวไปด้วยทำให้ผมเจ็บจริงๆ เสียอย่างนั้น
“พี่อัต!” ไอ้ภีร์อุทานชื่อผมแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา
“โอ๊ย” ผมร้องอีกพลางดิ้นไปมาเล็กน้อยเพราะเจ็บหนึบๆ แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ
“อย่าดิ้นสิพี่อัต มันจะยิ่งเจ็บนะ” ไอ้ภีร์จับมือผมดึงออกจากขมับแล้วพูดเสียงดังเพื่อสั่งซึ่งก็ได้ผลเพราะผมหยุดดิ้นตามคำสั่งของมัน
“ภีร์ มึงมาหากูใช่ไหม?” ผมดึงมือออกจากมือไอ้ภีร์แล้วเปลี่ยนมาจับมือมันเอาไว้แทน
“อย่างน้อยก็เคยรู้จักกัน” ไอ้ภีร์พูดเสียงเย็นชา ใบหน้าก็เย็นชาแต่นัยน์ตามันกำลังสั่นไหว
“ถ้ามึงรังเกียจกูนักก็อย่ามาหากูเลยภีร์เพราะมันทำให้กูมีความหวัง ถ้ามึงไม่สามารถมาอยู่ข้างๆ กูได้ตลอดไปก็ปล่อยกูไว้เถอะ” ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะพูดโดยไม่มองหน้ามัน ถ้ามันจะไม่ให้โอกาสผมอีกผมก็ไม่อยากให้มันมาหาผมแบบนี้เพราะผมรู้สึกมีความหวังทั้งๆ มันไม่มีหวัง ผมทำผิดผมรู้ตัวดี รับโทษแบบนี้ก็สมควรแล้ว
“ผมก็แค่มาดู ไม่ได้คิดจะมาให้ความหวัง” น้ำเสียงเย็นชาของไอ้ภีร์ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก มันไม่เหลือเยื่อใยเลยแม้แต่นิด
แอ๊ดดดด
เสียงเปิดประตูทำให้ผมรีบหันไปดู อารมณ์หลายๆ อย่างมันปะทุจนผมต้องฝืนสังขารลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ทั้งเจ็บทั้งปวดที่หัว
“รพี เสร็จหรือยังครับ?” เสียงพูดภาษาอังกฤษดังขึ้นหลังจากไอ้หน้าฝรั่งมันเดินเข้ามาในห้องของผมแล้ว
ผมมองหน้าไอ้ภีร์ ไอ้ภีร์มองหน้าผมก่อนที่มันจะหันไปมองไอ้ฝรั่งนั่นพร้อมรอยยิ้ม
“เสร็จแล้วครับมิค ไปกันเลยป่ะ” ไอ้ภีร์เดินไปหาไอ้ฝรั่งแล้วก็พากันออกไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีก
ภาพของสองคนนั้นทำให้ผมเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าหัวในตอนนี้ซะอีก ทำไมไอ้ภีร์ถึงมีคนใหม่เร็วขนาดนี้วะ หรือว่ามันจะไม่เหลือเยื่อใยกับผมแล้วจริงๆ บอกตรงๆ ว่าผมกลัวที่จะต้องเห็นมันเป็นของคนอื่น ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อมันมีเจ้าของผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องหรือทำอะไรมันอีก ผมรักมันมากจนไม่อาจเห็นภาพบาดตาได้เลยจริงๆ
ปึด!
ผมกัดฟันดึงสายน้ำเกลือออกแล้วลุกออกจากเตียงเพราะไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมอยากไปไหนซักที่ที่ไม่มีคนรู้จัก ไม่ว่าจะเห็นหน้าใครที่มีความเกี่ยวข้องกับไอ้ภีร์ผมก็เจ็บไปหมดก็เลยไม่อยากจะเห็น แม้แต่หน้าตัวเองผมยังไม่อยากจะเห็นเลยเพราะผมเป็นคนที่ทำให้มันหลุดมือไปเอง
“คุณคนไข้คะ! เดี๋ยวค่ะ! จะไปไหนคะ!?” พยาบาลที่เฝ้าอยู่เคาน์เตอร์หน้าห้องรีบวิ่งออกมาดึงแขนผมเอาไว้เบาๆ
“อย่ามายุ่ง!” ผมสะบัดแขนแล้วเดินเซๆ ไปที่ลิฟต์
“เดี๋ยวค่ะคุณ!” พยาบาลวิ่งตามมาอีกแต่ผมก็รีบกดปิดลิฟต์เพราะไม่อยากให้ใครมาขวาง
ผมนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้านท่ามกลางเสียงเอะอะของพวกแม่บ้านที่กำลังตกใจกับการกลับมาของผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจรีบขึ้นห้องไปนอนพักผ่อน
ผมรู้หรอกว่าสภาพผมตอนนี้มันไปไหนไม่ได้นอกจากโรงพยาบาลกับบ้าน อีกอย่าง ต่อให้ผมอยากหนีหน้าทุกคนก็คงทำไม่ได้เพราะผมต้องทำงาน เอาไว้เคลียร์งานในตอนนี้และมอบหมายงานให้คนอื่นทำแทนก่อนค่อยไปก็ได้ ทนเจ็บอีกซักนิดละกันนะอัต
วันต่อมาผมก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างล่างจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ทันทีที่ลุกอาการปวดหัวก็แล่นปรี๊ดขึ้นมาจนผมต้องล้มตัวลงไปนอนอีกครั้งในลักษณะกุมหัวและนอนขดตัว
ปัง!
“ไอ้อัต!! เหี้ย! เป็นอะไรวะ!?!” ขณะที่ผมกำลังปรับตัวนอนให้บรรเทาอาการปวดหัวประตูห้องของผมก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของคนหลายคน และคนที่พูดประดยคเมื่อครู่คงไม่พ้นเป็นไอ้ถัง
“พี่อัต! หนีออกมาจากโรงพยาบาลทำไม!?!” และเป็นไอ้ภีร์ที่กระโดดขึ้นมาบนเตียงแล้วจับตัวผมพลิกให้นอนหงายโดยใช้ตักมันเป็นแทนหมอน
ผมสบตาไอ้ภีร์ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวออกจากตักมันก่อนจะฝืนลงจากเตียงแล้วยืนตัวงอ
แค่เห็นหน้าไอ้ภีร์ผมก็รู้สึกอ่อนแอจนอยากจะร้องไห้ซะแล้วล่ะครับ ทั้งๆ ที่ผมปล่อยมือมันเพื่อให้มันไปอยู่กับคนที่มันต้องการแล้วทำไมต้องมาหาผมอีก ในเมื่อไม่เอากูแล้วจะมาให้กูเห็นหน้าทำไม!?! แค่นี้ก็ยังเจ็บไม่พอใช่ไหม!?!
“ผมโทรเรียกหมอมาแล้วนะครับ” เสียงพูดภาษาอังกฤษดังขึ้นทำให้ผมมองไปที่หน้าประตู อารมณ์ผมคุกรุ่นขึ้นมาทันที ขนาดมาที่บ้านของผมมันยังพาคนของมันมาด้วยเลย
“ออกไป!!” ผมตะคอกออกมาเสียงดัง ยิ่งพูดดังเท่าไหร่ผมยิ่งเจ็บและปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าปวดหัวแล้วหายปวดใจผมยอมปวดหัว ปวดจนทนไม่ไหวก็จะยอม
เพล้ง!!
“พี่อัต ผมว่าพี่ใจเย็นๆ ดีกว่า” ไอ้เคย์ที่มาด้วยยกมือขึ้นปรามผมที่พยายามยันตัวให้ยืนตรงๆ โดยใช้แขนค้ำกับโต๊ะ แต่ด้วยอาการมึนงงทำให้แขนผมปัดไปโดนแจกันและเครื่องแก้วหล่นแตก
“ไอ้เคย์ มึงพาพวกนี้ออกไปเดี๋ยวนี้!” ผมจ้องหน้าไอ้เคย์อย่างจริงจัง
“พี่ต้องไปหาหมอก่อน!” ไอ้เคย์ตะคอกกลับมาจนผมแอบอึ้งแต่ด้วยอารมณ์แบบนี้ผมคงไม่ฟังใคร ยิ่งเห็นหน้าไอ้ฝรั่งนั่นผมยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ผมไม่อยากโมโหจนทำร้ายคนอื่น
“กูไม่ไป!!” ผมตะโกนเสียงดังจนกลัวว่าหัวจะแตกเพราะตอนนี้ปวดจนแทบจะล้ม
“พี่อัต!!” ไอ้ภีร์ตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงโมโหเพื่อแข่งกับเสียงของผม
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู” ผมตวัดสายตาไปมองไอ้ภีร์ตาขวาง “พาคนของมึงออกไปจากบ้านกูแล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก!!” ผมเอ่ยปากไล่ก่อนจะทรุดลงนั่งชันเข่ากับพื้นเพราะผมยืนไม่ไหวแล้ว
“พี่อัต ไปหาหมอ” ไอ้ภีร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพลางเดินมาดึงผมให้ลุกขึ้นยืนแต่ผมลุกไม่ไหวจริงๆ
“มึงออกไปได้แล้วภีร์” ผมสะบัดมือออกแล้วไล่อีกครั้ง
“เออ! ถ้าอยากตายก็เชิญดื้อต่อไปเถอะ!!” ไอ้ภีร์ผลักไหล่ผมเบาๆ แล้วเดินห่างออกไปด้วยท่าทางโมโห “ไปกันเถอะมิค!” จากนั้นมันก็เดินไปดึงแขนไอ้ฝรั่งนั่นออกจากห้องผมไป ผมมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ก่อนจะค่อยๆ คลานขึ้นเตียงไปนอนซบกับหมอนด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
“มึงไหวไหมอัต?” ไอ้ถังถามขึ้น
“ไม่ไหว” ผมตอบเสียงอู้อี้เพราะหน้าซบอยู่กับหมอน
“ไปหาหมอเถอะมึง” ไอ้ถังขยับมานั่งข้างเตียงแล้วพยายามพลิกตัวผมให้นอนหงายอย่างเบามือ
“กูไม่อยากไป กูไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น” ผมยกแขนขึ้นก่ายทับตาทั้งสองข้าง
“มึงอย่าดื้อสิอัต” ไอ้ถังเอ็ดเบาๆ
“กูไม่ไหวแล้วว่ะมึง กูไม่เหลือใครแล้ว” ผมพูดออกมาในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผมเคยอยู่กับไอ้ภีร์และนึกถึงพ่อกับแม่ที่เสียไป ก็จริงอยู่ที่ผมมีเพื่อนรักอย่างไอ้ถังที่คอยให้กำลังใจตลอดเวลามีปัญหาและผมก็มีพวกน้องๆ ชมรมบาสที่น่ารักที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน ที่สำคัญผมมีไอ้ภีร์ที่คอยอยู่เคียงข้างและให้ความรักกับผมในเวลาที่อ่อนล้าแต่ตอนนี้ไอ้ภีร์มันไม่อยู่กับผมอีกแล้ว มันอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีมัน
“มึงต้องเข้มแข็งนะอัต มึงยังมีพวกกู” ไอ้ถังฉุดผมขึ้นนั่งแล้วกอดผมเอาไว้ ผมเองก็รีบกอดมันพร้อมกับปล่อยความเสียใจซึมสู่ไหล่กว้างของเพื่อน ไอ้ถังมันคงรู้ว่าผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ดึงผมเข้าไปกอดแบบนี้ ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมอ่อนแอจนคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ยิ่งภาพที่ไอ้ภีร์จูงมือกับไอ้ฝรั่งนั่นเข้ามาซ้อนทับภาพที่ผมจูงมือมันผมยิ่งเจ็บจนอาการปวดหัวมันหนักขึ้นกว่าเดิม
“กูอยู่ไม่ได้ถ้ามีมัน” ผมกัดฟันพูดเสียงสั่นเครือพลางขยำเสื้อของไอ้ถังเสียแน่น
“ทำใจเถอะเพื่อน มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเสียใจอีกแล้ว” ไอ้ถังลูบหลังผมเบาๆ พลางปลอบไปเรื่อยๆ จนผมยอมสงบ
“รพี คุณไหวไหม?” เสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่คนสองคนกำลังยืนพิงประตูห้องของอัตอยู่
“ฮึก” ภีร์ส่ายหน้าไปมาขณะที่กำลังปิดปากร้องไห้อยู่ เขาเองก็เสียใจไม่น้อยที่ทำให้อัตเจ็บปวด และยิ่งได้ยินว่าอัตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภีร์ ภีร์ยิ่งเจ็บเพราะสงสาร
ผมนอนพักรักษาตัวที่บ้านโดยมีหมอมีดูแลอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งหายดี ผมกลับไปทำงานอีกครั้งโดยเคลียร์งานค้างทั้งหมดให้เสร็จแล้วมอบหมายงานที่กำลังจะเข้ามาให้กับผู้จัดการทั่วไปดูแลจากนั้นก็ไปจัดการกับเรื่องของยัยทิพย์นั่นให้เรียบร้อย
“คุณทิพย์ไม่มาทำงานซักพักแล้วล่ะครับ” พนักงานในแผนกบอกซึ่งผมก็คาดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้
“อืม” ผมพนักหน้าให้กับพนักงานในแผนกก่อนจะหันมาพยักหน้าให้กับลูกน้องที่พามาด้วยเพื่อให้พวกนี้จัดการไปลากยัยทิพย์นั่นมาสอบสวน ผมคิดเอาไว้ว่าหลังจากสอบยัยนั่นด้วยตัวเองเสร็จก็จะส่งไปให้ตำรวจสอบ
จริงๆ บ้านของผมมีกล้องวงจรปิดแต่มุมบาร์เหล้าไม่มีเพราะผมไม่อยากรู้สึกว่ามีสิ่งที่ไม่ใช่คนจับตามองขณะดื่ม
“ไม่ต้องใช้ความรุนแรง ตามยัยนั่นไปเรื่อยๆ จนกว่าฉันจะกลับมา” ผมสั่งลูกน้อง
“นายจะไปไหนครับ?” ลูกน้องคนหนึ่งถามขึ้น
“เอาน่า กลับมาเมื่อไหร่จะติดต่อมา” ผมบอกปัดๆ ก่อนจะเดินไปที่รถเพื่อกลับบ้านไปเก็บของเนื่องจากผมจะไปพักใจสักพักที่ต่างจังหวัด ถึงจะลืมไม่ได้แต่ถ้าได้หนีจากภาพเก่าๆ ก็คงจะดีกว่ากว่าการที่มองไปที่ไหนก็เจอแต่ไอ้ภีร์ล่ะวะ
ผมขับรถกลับไปที่บ้านแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อมุ่งตรงไปที่ที่ผมจะไปพักใจ
ขณะที่ผมกำลังจะเลี้ยวรถออกจากบ้านผมก็ต้องหยุดเมื่อเห็นผู้ชายร่างสูงผมสีทองมายืนขวางรถเอาไว้ ผมรีบเปิดประตูลงไปเผชิญหน้าด้วยท่าทางอวดดี
“มีธุระอะไร?” ผมถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าหมอนี่คงพูดไทยไม่ได้ เวลาคุยกับไอ้ภีร์ทีไรก็ไม่เคยเห็นพูดไทยกันซักที
“คุณกำลังจะทำอะไร?” หมอนั่นถามออกมาเสียงเข้ม
“แล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย?” ผมถามกลับด้วยท่าทางยียวน ผมไม่ใจกว้างขนาดยอมญาติดีกับแฟนใหม่ของเมีย...เก่าหรอกนะ
“ตั้งแต่ที่มาบ้านคุณวันนั้นรพีไม่เคยมีความสุขเลย” ไอ้หมอนั่นพูดออกมา ผมเลิกคิ้วเป็นการถามว่า แล้วไง “คุณผูกมัดเขาเอาไว้ด้วยคำพูดแต่สุดท้ายคุณก็กำลังจะหนี” ผมถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ผมไม่ได้ผูกมัดมันเอาไว้แล้ว ผมยอมปล่อยมันไปเพราะความต้องการของมันเองแล้วที่ผมหนีก็เพราะไม่อยากเห็นภาพเก่าๆ ที่มันทำให้ผมลืมมันไม่ได้ไงล่ะ!” ผมตอบกลับไปทันที
“เขาไม่ได้อยากไปจากคุณหรอก เท่าที่ผมสังเกตผมว่าเขาแค่ต้องการเวลาเท่านั้นแหละ” ไอ้ฝรั่งพูดออกมาซึ่งผมก็ไม่คิดจะเชื่ออะไรมัน ถ้าไอ้ภีร์ต้องการเวลามันคงไม่ปฏิเสธผมขนาดนี้หรอก ไอ้ภีร์ไม่ได้รักผมมาตั้งแต่แรก ความรักที่มันเคยมอบให้คงจะเป็นเพราะความเกรงใจเท่านั้นแหละ
++++++++++++++++++++ มีคำผิดเยอะก็ขออภัยด้วยค่า เดี๋ยวแก้ที่ต้นฉบับเน้อ
ผมพามิคไปกินข้าวพลางให้คำปรึกษาเรื่องแฟนของเขาอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะระหองระแหงจนยากจะต่อซะแล้ว จากที่ฟังมิคเล่ามา ผมวิเคราะห์ได้อย่างเดียวว่าที่แฟนเขาอยู่กับเขาก็เพราะเงิน มิคเล่าถึงแฟนดีมากๆ เลยนะครับแต่ผมรู้สึกได้ว่าแฟนเขาไม่จริงใจเอาซะเลย สิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องการดูเหมือนจะเป็นแค่เซ็กส์กับเงินเท่านั้นเอง
คุยกันมาตั้งนานผมเพิ่งรู้ว่ามิคเป็นนักลงทุนที่มีเงินมหาศาลเลยทีเดียว หน้าตาดีและมีเงินแบบนี้ใครๆ เขาก็อยากได้ แต่ด้วยความที่มิคไม่ค่อยมีเวลาทำให้ไม่ได้ใส่ใจแฟนนักทำให้คนที่เข้าหาส่วนใหญ่เป็นคนที่หวังความสบายไม่ใช่ความรักที่จริงใจ
หลังจากทานข้าวเสร็จผมกับมิคก็ไปต่อกันที่บาร์เพื่อคุยกันไปเรื่อยๆ เราถูกชะตากันจนมีเรื่องคุยกันมากมายชนิดที่คุยทั้งวันก็ไม่หมด
และขณะที่เรากำลังนั่งจิบเหล้าพอกรึ่มๆ โทรศัพท์ของผมก็สั่น เบอร์ที่ปรากฏเป็นเบอร์ของบ้านพี่อัต พอเห็นแบบนั้นผมก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเพราะตั้งใจจะไม่รับ ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวปวดใจเข้าตัวเองเพราะฉะนั้นไม่ขอรับละกัน
กินเหล้าไปคุยไปจนผมเริ่มมึนๆ จึงไปส่งมิคที่คอนโดแล้วกลับไปนอนแผ่ที่บ้านอย่างเต็มที่ ถึงจะไม่ถึงขั้นเมาแต่พรุ่งนี้ผมต้องแฮงก์แน่ๆ แต่ก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ผมจะนอนอืดให้เต็มที่แล้วค่อยไปเฝ้าไอ้ลุกซ์ทีหลังละกัน ขอพักซักวันนะเพื่อน
และแล้วผมก็ได้รับข่าวร้ายหลังจากหิ้วตัวเองไปเฝ้าไอ้ลุกซ์ในช่วงบ่ายของอีกวัน ตอนที่ผมเข้าห้องของไอ้ลุกซ์ไปก็พบกับเพื่อนฝูงมากมายที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ นอกจากเพื่อนในกลุ่มของผมยังมีพี่ถังที่ดูจะเครียดที่สุดอยู่ด้วย
“เฮ้ย เป็นอะไรกันวะ!?” ผมถามเสียงร่าเริงเพื่อทำลายบรรยากาศมาคุ ขนาดไอ้เคย์ที่มีออร่าแห่งความสดใสอยู่ตลอดเวลายังนั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงและไม่แผ่ออร่าด้วย
“ภีร์ มึงยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ?” ไอ้บัมพ์หันมาถามหน้าเครียดทำให้ผมยิ้มเก้อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ? ผมชักจะเครียดตามแล้วนะเนี่ย
“เกิดอะไรขึ้น?” ผมขมวดคิ้วถาม อาการร่าเริงเมื่อครู่หายไปทันที
“ไอ้อัต...” พี่ถังพูดออกมาแค่นั้นแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะเหมือนไม่อยากจะพูดต่อแต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ไอ้อัตถูกตีหัว ตอนนี้อาการไม่ค่อยดี ยังอยู่ห้องไอซียูอยู่เลย” คำพูดจากปากพี่ถังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองล้มทั้งยืน สมองเริ่มประมวลภาพเหตุการณ์เมื่อวาน
เมื่อวานพี่อัตยังดีๆ อยู่เลย ไปถูกตีตอนไหนกัน? ศัตรูก็ไม่ได้มีอย่างโจ่งแจ้ง จะมีบ้างก็แค่คู่แข่งทางธุรกิจแต่ก็ไม่น่าจะมาทำร้ายกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ตอนที่แยกกันพี่อัตก็อยู่กับไอ้ลุกซ์ไม่ใช่เหรอ? หลังจากนั้นพี่มันไปทำอะไรที่ไหนนะถึงได้ถูกทำร้ายขนาดนั้น หรือว่า...เมื่อคืน!!
หรือว่า...เมื่อคืนที่คนที่บ้านพี่อัตโทรมาเพราะจะบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้!?!
“พี่อัตถูกตีตอนไหน?” ผมรีบถามออกไป
“เมื่อคืนตอนดึกๆ” พี่ถังบอก ใจผมหายวาบทันที เมื่อคืนคนที่บ้านพี่อัตโทรหาผมหลายสายมากแต่ผมไม่รับเพราะคิดว่าพี่อัตจะคุย เฮ้ย! ถ้าผมเอะใจซักนิดผมคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้
“มึงไหวไหมภีร์?” ไอ้เคย์ถามด้วยสีหน้าติดจะเครียด นี่ผมทำหน้าไม่สู้ดีหรือไง เพื่อนถึงได้ถามออกมาแบบนี้?
“มึงช่วยแจกแจงรายละเอียดให้กูฟังหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผมลากไอ้เคย์ไปนั่งที่โซฟาเพื่อนั่งคุยกันดีๆ ที่ให้ไอ้เคย์เล่าเพราะมันมีสติสตังค์ครบที่สุดแล้ว
หลังจากได้นั่งดีๆ ไอ้เคย์ก็เริ่มเล่าโดยมีพี่ถังคอยเสริมและมีเพื่อนๆ คนอื่นคอยกวนตีนเป็นระยะ
Aut’s part
หลังจากโดนไอ้ภีร์สะบัดแขนออกแล้วเดินหนีผมออกจากห้องผู้ป่วยของไอ้ลุกซ์ไปผมก็ได้แต่ยืนอึ้งเพราะท่าทางของมันดูรังเกียจผมซะเหลือเกิน ผมทำผิดกับมันไว้มากก็เลยได้รับบทเรียน และตอนนี้ผมก็กำลังจมปลักกับความทรมานที่ผมเคยสร้างให้มัน
“ไม่ตามไปเหรอ?” ขณะที่ผมกำลังอึ้งจนไปไม่เป็น ไอ้ลุกซ์ก็พูดขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
“ลุกซ์...” ผมถอนหายใจแล้วเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ เตียงไอ้ลุกซ์ด้วยท่าทางถอดถอนใจ “ไอ้ภีร์มันไม่คิดจะให้อภัยกูจริงๆ เหรอวะ? กูต้องทำยังไงถึงจะเอามันกลับคืนมาได้วะ?” ผมเท้าแขนที่ข้างเตียงแล้วซบหน้าลงไปที่ฝ่ามือ
“ตามมันไปสิพี่” ไอ้ลุกซ์บอกเสียงจริงจัง ผมเงยหน้ามองหน้ามันแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“กูจะตามไปง้อมัน!” ผมกำมือขึ้นมาแล้วรีบวิ่งตามไอ้ภีร์ออกไปแต่ก็ไม่เห็นมันเสียแล้วผมจึงลองวิ่งหาไปเรื่อยๆ ในที่ที่มันจะไป
ผมวิ่งไปตามทางของโรงพยาบาลเพื่อหาไอ้ภีร์จนถูกพยาบาลด่าแต่ผมก็ไม่สน รีบวิ่งออกไปข้างนอกแล้วมุ่งต่อไปที่โรงจอดรถ ผมนี่แม่งโง่ว่ะ ไอ้ภีร์มันจะกลับก็ต้องไปที่รถสิวะ ไม่รู้ผมจะเสียเวลาวิ่งหามันที่อื่นทำไม บ้าจริงๆ เลยผมเนี่ย
เมื่อไปถึงโรงจอดรถผมก็เดินหามันอีกครั้งแต่เดินไปไม่นานก็เจอเพราะได้ยินเสียงของมันคุยกับใครซักคน แต่แทนที่ผมจะดีใจที่ได้พบมันแล้วรีบวิ่งเข้าไปง้อแต่ผมกลับต้องยืนนิ่งเพราะอึ้งกับภาพที่เห็น
ผมเห็นไอ้ภีร์ยิ้มแย้มและทำท่าสนิทชิดเชื้อกับผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งจากนั้นก็ขึ้นรถของไอ้ภีร์ไปด้วยกัน รถคันนั้นผมพามันไปซื้อและแอบออกเงินช่วยโดยที่มันไม่รู้และจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่อยากให้รู้เพราะไม่อยากให้มันคิดว่าเป็นบุญคุณ
“มึงไม่รักกูแล้วจริงเหรอวะ?” ผมยืนมองรถแล่นออกไปจากมุมหนึ่งของเสาด้วยใจที่เจ็บปวดเหลือคณา ผมไม่แน่เล่นอะไรแผลงๆ ที่ไอ้ภีร์มันไม่สนุกด้วยเลย ถ้าผมไม่คิดจะทดสอบหัวใจของมันผมก็คงไม่เจ็บปวดขนาดนี้
เหตุผลที่ผมต้องทดสอบเพราะผมไม่มั่นใจจริงๆ ว่าไอ้ภีร์มันรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันเฉยชากับผมมาก ไม่แสดงถึงความรักต่อผมซักเท่าไหร่จนผมคิดว่าที่มันยอมอยู่กับผมอาจจะเพราะมันเกรงใจ ตอนที่มันกำลังเจ็บปวดผมได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือมากมายและนั่นอาจจะทำให้มันหวั่นไหวจนเอนเอียงมาทางผม แต่พอจิตใจมันดีขึ้นมันอาจจะคิดได้ว่ามันไม่ได้รักผมก็ได้ผมจึงทดสอบมันดูและผลที่ได้รับมันเกินคาดจริงๆ ผมว่ามันไม่ได้รักผมมาตั้งแต่แรกหรอก มันแค่จะตอบแทนบุญคุณผมเท่านั้นแหละ ถ้ามันรักผมมันคงจะมีเยื่อใยอยู่บ้างแต่นี่ไม่มีเลย
ไม่แน่...มันอาจจะยังรักไอ้ลุกซ์อยู่ก็ได้ ที่มันมาเฝ้าไอ้ลุกซ์ทุกวันอาจจะเพราะรัก ยิ่งไอ้ลุกซ์ระหองระแหงกับแฟนแบบนี้ไอ้ภีร์ยิ่งมีโอกาส ผมไม่อยากจะคิดอะไรในทางไม่ดีหรอกนะแต่บางทีมันก็อดไม่ได้จริงๆ รักมากผมก็ระแวงมาก ที่สำคัญ...ผมรักไอ้ภีร์มาตั้งแต่มันยังเรียนอยู่ม.4 นานเหลือเกินกว่าจะได้มันมาเป็นของตัวเองแต่สุดท้ายก็ต้องเสียมันไป
ผมกลับบ้านมาด้วยท่าทางหดอาลัยตายอยาก ไม่ว่าใครจะทักทายหรือต้อนรับผมกลับบ้านผมก็ไม่ตอบรับ มุ่งตรงไปที่บาร์เหล้ามุมประจำของตัวเอง
พอบ้านหลังนี้ไม่มีไอ้ภีร์อยู่มันก็ดูเวิ้งว้างว่างเปล่าเสียเหลือเกิน ตั้งแต่พ่อกับแม่ผมเสียผมก็ต้องอยู่บ้านกับเหล่าแม่บ้าน พอมีไอ้ภีร์ถึงได้รู้สึกว่ามันกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง ผมรักมัน แม่บ้านทุกคนก็เอ็นดูมันเสมือนเป็นคนในครอบครัวแต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว บ้านหลังนี้คงกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง
“ต่อให้ไม่มีเรื่องทดสอบหัวใจ มึงก็คงไม่รักกูอยู่ดี” ผมกรอกเหล้าลงคอแล้วพึมพำออกมาอย่างเจ็บปวด ผมอาจจะไม่มีหวังแล้วก็ได้
ผมนั่งดื่มพลางเปิดเพลงคลอไปคนเดียวจนไม่รู้เวลาว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว กว่าผมจะรู้ว่ามันดึกก็ตอนที่มีคนมาหาถึงบ้าน แค่เห็นหน้าคนมาหาผมก็ไม่สบอารมณ์แล้วเพราะยัยคนนี้แหละที่ทำให้เรื่องมันแย่หนักกว่าเดิม ไม่รู้จะมาอ่อยอะไรผมนักหนา
“นี่คุณ จะมาหาผมทำไมไม่ทราบ?” ผมตวัดสายตาแข็งกร้าวไปมองคุณทิพย์พนักงานบริษัทที่เป็นคู่แข่งกับไอ้ภีร์อย่างไม่ชอบใจนัก ผมเคยนอนกับหล่อนตอนที่ยังไม่ได้คบกับไอ้ภีร์ ก็อย่างว่าแหละครับ เมื่อก่อนผมก็เสเพลไปเรื่อย ใครถูกใจก็สอยมานอน เราคบไปกันซักพักก็เลิกราโดยที่ผมเป็นคนทิ้ง ทำไงได้ล่ะ คุณทิพย์ไม่ใช่แบบที่ผมชอบ ยิ่งรู้จักก็ยิ่งไม่ชอบเพราะนิสัยเสียมาก
“ฉันคิดว่าคุณคงต้องการใครบางคน” คุณทิพย์เดินมาโอบไหล่ผมพร้อมกันก้มหน้าลงมากระซิบด้วยท่าทางยั่วยวน ชุดที่ใส่มาทั้งรัดทั้งสั้นจนนมจะทะลักมาบีบหน้าผมอยู่แล้ว ต่อให้ผมไม่มีไอ้ภีร์ผมก็ไม่เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแม่ของลูกหรอก มันดูไม่มีค่าว่ะ ผู้ชายนิสัยเสียๆ อย่างผมคบผู้หญิงประเภทนี้ไว้ฟันเท่านั้นแหละ จะด่าผมว่าเลวก็ไม่ผิดหรอกนะเพราะผมแม่งเลวจริงๆ นั่นแหละ
“ใช่ ผมต้องการ แต่คนที่ผมต้องการมีแค่ไอ้ภีร์เท่านั้น ส่วนคนอื่น...ไม่ต้อง” ผมย้ำคำว่าคนอื่นให้คุณทิพย์ฟังชัดๆ เพราะเธอไม่ยอมรามือจากผมเลย พอไม่ได้ผมก็ชอบไปหาเรื่องไอ้ภีร์ตลอด
“ทำไมคะ? ทำไมคนที่คุณเลือกไม่ใช่ผู้หญิงอย่างฉันแต่กลับเป็นผู้ชายอย่างเด็กคนนั้น?” คุณทิพย์จับมือผมออกจากแก้วเหล้าแล้วเลื่อนมันไปประทับที่จุดอ่อนไหวของผู้หญิง ผมรีบชักมือออกด้วยความขยะแขยง ทำไมถึงไม่ทำตัวให้มันคุณค่า แทนที่จะวิ่งมาให้ผู้ชายเอา เธอน่าจะทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ทำแบบนี้ใครเขาจะอยากได้วะ
“คุณมันน่ารังเกียจจริงๆ” ผมลุกขึ้นยืนเซๆ แล้วถอยออกห่างจากผู้หญิงคนนี้
“แต่คุณก็เคยได้ฉันเป็นเมีย!” คุณทิพย์ถลึงตามองผมอย่างโกรธเคืองที่ผมไม่รับผิดชอบ จะให้ผมรับผิดชอบก็ยังไงๆ อยู่ คนที่เข้าหาอีกฝ่ายก่อนก็คือคุณทิพย์ เขาเสนอตัวให้ผม ในช่วงที่เราคบกันผมก็ปรนเปรอเธอตลอด ซื้อของแพงๆ ให้ พาไปเที่ยว ไปกินอาหารหรูๆ ผมรู้ว่ามันไม่ดีแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการเอง
“ถ้าจะบอกว่าการมีอะไรกันแล้วจะถือว่าเป็นผัวเมีย คุณก็คงไม่ได้มีผมเป็นผัวแค่คนเดียว” ผมขยับไปหยิบแก้วเหล้าแล้วยกดื่มพร้อมกับสีหน้าติดจะเยาะนิดๆ
“คุณอัต!!” คุณทิพย์ตะคอกใส่อย่างโมโหแต่ผมก็เฉยๆ ไม่ได้สะทกสะท้านกับเสียงนั่นซักเท่าไหร่ แค่นี้ยังจิ๊บจ๊อยถ้าเทียบกับผู้หญิงที่ผมเคยเจอมา ผมเคยโดนผู้หญิงไล่ตบหลังจากบอกเลิกด้วย นอกจากนั้นยังเคยถูกขับรถไล่ชนอีกต่างหาก โลกนี้ยังผู้หญิงอารมณ์รุนแรงมีอยู่เยอะแยะมากมาย
“คุณกลับไปได้แล้วไป เพราะต่อให้ผมง้อไอ้ภีร์ไม่ได้ผมก็ไม่กลับไปเอาคุณหรอก” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นกรอกอีกครั้งแล้วไล่เขาออกไป ปกติผมไม่ใช่ผู้ชายปากจัดนะครับแต่บางทีถ้าไม่ไล่แรงๆ ผู้หญิงเขาก็ไม่ไปจากเราหรอกครับ
“แล้วคุณจะเสียใจ” คุณทิพย์มองผมอย่างคาดโทษก่อนจะเดินกระแทกส้นออกไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งใจแล้วกลับไปนั่งดื่มที่เก้าอี้ทรงสูงเหมือนเดิม
ผลัวะ!!
เพล้ง!!
ขณะที่ผมกำลังปล่อยใจไปกับเพลงเศร้าและเหล้าในแก้วที่ถืออยู่ผมก็รู้สึกวูบเหมือนมีอะไรหนักมาฟาดที่ท้ายทอย สติผมดับวูบไปทันทีที่ได้รับแรงกระแทกนั้นทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุ
60% left
รู้สึกตัวอีกทีผมก็ลืมตามองเพดานสีขาวในห้องที่ไม่รู้จักซะแล้ว แต่ก็เดาไม่ยากหรอก คงจะเป็นโรงพยาบาลล่ะมั้งเพราะความจำล่าสุดของผมก่อนจะมาถึงตอนนี้ก็คือความเจ็บปวดที่ได้รับที่ท้ายทอย
โอย ปวดหัวเป็นบ้าเลย นี่ผมโดนตีหัวมาใช่ไหมเนี่ย? คนตีคงไม่พ้นยัยคุณทิพย์แน่ๆ กล้ามากที่ทำกับผมถึงขนาดนี้ คงเอาไว้ไม่ได้แล้วล่ะ หายเมื่อไหร่ยัยนั่นไม่โดนแค่ไล่ออกแน่ๆ
ผมกะพริบตาปรับแสงเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อพักสายตาและขณะนั้นเสียงเปิดและปิดประตูก็ดังขึ้น ผมลืมตาขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นใครผมก็รีบหลับตาลงทันทีขณะที่คนคนนั้นยังไม่ทันสังเกตว่าผมตื่นแล้ว
คนที่เข้ามาเป็นไอ้ภีร์ครับ คงจะเป็นห่วงผมล่ะสิ น่ารักจังเลยนะ ทำเป็นปากแข็งแต่จริงๆ ก็ยังรักผมอยู่ล่ะสิ คึๆ
“เจ็บตรงไหนบ้างวะเนี่ย?” ไอ้ภีร์เดินมาใกล้ๆ เตียงผมพลางก้มลงสำรวจใกล้ๆ ที่ผมรู้เพราะเสียงมันอยู่ใกล้ๆ และลมหายใจมันเป่ารดหน้าของผม ถ้าผมจะเขินกับเรื่องแค่นี้จะดูเยอะไปไหมนะ?
ฟู่ววว
ผมตกใจปนเขินจนอยากจะลืมตาขึ้นมาแล้วดึงไอ้ภีร์ที่กำลังเป่าลมใส่หน้าผากของผมมาจูบซะให้รู้แล้วรู้รอด
“หายไวๆ นะครับพี่อัต” ยิ่งได้ยินประโยคเมื่อครู่ผมยิ่งอยากปล้ำเลยล่ะครับ
ตึกๆๆ
หลังจากอวยพรให้ผมหายเร็วๆ เสร็จมันก็ถอยออกห่างและเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเบาลง ผมรีบลืมตาแล้วหันไปมองก็พบว่าไอ้ภีร์กำลังจะเปิดประตูเพื่อออกจากห้อง ด้วยความที่ผมไม่อยากให้มันไปไหนจึงปัดแก้วน้ำเปล่าๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลงพื้นแล้วทำเป็นหลับตาแน่นเหมือนคนกำลังฝันร้าย ผมเลียนแบบละครหลังที่เคยไปนั่งดูกับแม่บ้านมา
“โอ๊ย!” ผมร้องอุทานออกมาพลางยกมือกุมหัว ตอนแรกกะจะมารยาทำเป็นเจ็บเรียกร้องความสนใจแต่จังหวะที่ปัดแก้วน้ำมันกระทบกระเทือนถึงหัวไปด้วยทำให้ผมเจ็บจริงๆ เสียอย่างนั้น
“พี่อัต!” ไอ้ภีร์อุทานชื่อผมแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา
“โอ๊ย” ผมร้องอีกพลางดิ้นไปมาเล็กน้อยเพราะเจ็บหนึบๆ แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ
“อย่าดิ้นสิพี่อัต มันจะยิ่งเจ็บนะ” ไอ้ภีร์จับมือผมดึงออกจากขมับแล้วพูดเสียงดังเพื่อสั่งซึ่งก็ได้ผลเพราะผมหยุดดิ้นตามคำสั่งของมัน
“ภีร์ มึงมาหากูใช่ไหม?” ผมดึงมือออกจากมือไอ้ภีร์แล้วเปลี่ยนมาจับมือมันเอาไว้แทน
“อย่างน้อยก็เคยรู้จักกัน” ไอ้ภีร์พูดเสียงเย็นชา ใบหน้าก็เย็นชาแต่นัยน์ตามันกำลังสั่นไหว
“ถ้ามึงรังเกียจกูนักก็อย่ามาหากูเลยภีร์เพราะมันทำให้กูมีความหวัง ถ้ามึงไม่สามารถมาอยู่ข้างๆ กูได้ตลอดไปก็ปล่อยกูไว้เถอะ” ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะพูดโดยไม่มองหน้ามัน ถ้ามันจะไม่ให้โอกาสผมอีกผมก็ไม่อยากให้มันมาหาผมแบบนี้เพราะผมรู้สึกมีความหวังทั้งๆ มันไม่มีหวัง ผมทำผิดผมรู้ตัวดี รับโทษแบบนี้ก็สมควรแล้ว
“ผมก็แค่มาดู ไม่ได้คิดจะมาให้ความหวัง” น้ำเสียงเย็นชาของไอ้ภีร์ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก มันไม่เหลือเยื่อใยเลยแม้แต่นิด
แอ๊ดดดด
เสียงเปิดประตูทำให้ผมรีบหันไปดู อารมณ์หลายๆ อย่างมันปะทุจนผมต้องฝืนสังขารลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ทั้งเจ็บทั้งปวดที่หัว
“รพี เสร็จหรือยังครับ?” เสียงพูดภาษาอังกฤษดังขึ้นหลังจากไอ้หน้าฝรั่งมันเดินเข้ามาในห้องของผมแล้ว
ผมมองหน้าไอ้ภีร์ ไอ้ภีร์มองหน้าผมก่อนที่มันจะหันไปมองไอ้ฝรั่งนั่นพร้อมรอยยิ้ม
“เสร็จแล้วครับมิค ไปกันเลยป่ะ” ไอ้ภีร์เดินไปหาไอ้ฝรั่งแล้วก็พากันออกไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีก
ภาพของสองคนนั้นทำให้ผมเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าหัวในตอนนี้ซะอีก ทำไมไอ้ภีร์ถึงมีคนใหม่เร็วขนาดนี้วะ หรือว่ามันจะไม่เหลือเยื่อใยกับผมแล้วจริงๆ บอกตรงๆ ว่าผมกลัวที่จะต้องเห็นมันเป็นของคนอื่น ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อมันมีเจ้าของผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องหรือทำอะไรมันอีก ผมรักมันมากจนไม่อาจเห็นภาพบาดตาได้เลยจริงๆ
ปึด!
ผมกัดฟันดึงสายน้ำเกลือออกแล้วลุกออกจากเตียงเพราะไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมอยากไปไหนซักที่ที่ไม่มีคนรู้จัก ไม่ว่าจะเห็นหน้าใครที่มีความเกี่ยวข้องกับไอ้ภีร์ผมก็เจ็บไปหมดก็เลยไม่อยากจะเห็น แม้แต่หน้าตัวเองผมยังไม่อยากจะเห็นเลยเพราะผมเป็นคนที่ทำให้มันหลุดมือไปเอง
“คุณคนไข้คะ! เดี๋ยวค่ะ! จะไปไหนคะ!?” พยาบาลที่เฝ้าอยู่เคาน์เตอร์หน้าห้องรีบวิ่งออกมาดึงแขนผมเอาไว้เบาๆ
“อย่ามายุ่ง!” ผมสะบัดแขนแล้วเดินเซๆ ไปที่ลิฟต์
“เดี๋ยวค่ะคุณ!” พยาบาลวิ่งตามมาอีกแต่ผมก็รีบกดปิดลิฟต์เพราะไม่อยากให้ใครมาขวาง
ผมนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้านท่ามกลางเสียงเอะอะของพวกแม่บ้านที่กำลังตกใจกับการกลับมาของผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจรีบขึ้นห้องไปนอนพักผ่อน
ผมรู้หรอกว่าสภาพผมตอนนี้มันไปไหนไม่ได้นอกจากโรงพยาบาลกับบ้าน อีกอย่าง ต่อให้ผมอยากหนีหน้าทุกคนก็คงทำไม่ได้เพราะผมต้องทำงาน เอาไว้เคลียร์งานในตอนนี้และมอบหมายงานให้คนอื่นทำแทนก่อนค่อยไปก็ได้ ทนเจ็บอีกซักนิดละกันนะอัต
วันต่อมาผมก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างล่างจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ทันทีที่ลุกอาการปวดหัวก็แล่นปรี๊ดขึ้นมาจนผมต้องล้มตัวลงไปนอนอีกครั้งในลักษณะกุมหัวและนอนขดตัว
ปัง!
“ไอ้อัต!! เหี้ย! เป็นอะไรวะ!?!” ขณะที่ผมกำลังปรับตัวนอนให้บรรเทาอาการปวดหัวประตูห้องของผมก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของคนหลายคน และคนที่พูดประดยคเมื่อครู่คงไม่พ้นเป็นไอ้ถัง
“พี่อัต! หนีออกมาจากโรงพยาบาลทำไม!?!” และเป็นไอ้ภีร์ที่กระโดดขึ้นมาบนเตียงแล้วจับตัวผมพลิกให้นอนหงายโดยใช้ตักมันเป็นแทนหมอน
ผมสบตาไอ้ภีร์ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวออกจากตักมันก่อนจะฝืนลงจากเตียงแล้วยืนตัวงอ
แค่เห็นหน้าไอ้ภีร์ผมก็รู้สึกอ่อนแอจนอยากจะร้องไห้ซะแล้วล่ะครับ ทั้งๆ ที่ผมปล่อยมือมันเพื่อให้มันไปอยู่กับคนที่มันต้องการแล้วทำไมต้องมาหาผมอีก ในเมื่อไม่เอากูแล้วจะมาให้กูเห็นหน้าทำไม!?! แค่นี้ก็ยังเจ็บไม่พอใช่ไหม!?!
“ผมโทรเรียกหมอมาแล้วนะครับ” เสียงพูดภาษาอังกฤษดังขึ้นทำให้ผมมองไปที่หน้าประตู อารมณ์ผมคุกรุ่นขึ้นมาทันที ขนาดมาที่บ้านของผมมันยังพาคนของมันมาด้วยเลย
“ออกไป!!” ผมตะคอกออกมาเสียงดัง ยิ่งพูดดังเท่าไหร่ผมยิ่งเจ็บและปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าปวดหัวแล้วหายปวดใจผมยอมปวดหัว ปวดจนทนไม่ไหวก็จะยอม
เพล้ง!!
“พี่อัต ผมว่าพี่ใจเย็นๆ ดีกว่า” ไอ้เคย์ที่มาด้วยยกมือขึ้นปรามผมที่พยายามยันตัวให้ยืนตรงๆ โดยใช้แขนค้ำกับโต๊ะ แต่ด้วยอาการมึนงงทำให้แขนผมปัดไปโดนแจกันและเครื่องแก้วหล่นแตก
“ไอ้เคย์ มึงพาพวกนี้ออกไปเดี๋ยวนี้!” ผมจ้องหน้าไอ้เคย์อย่างจริงจัง
“พี่ต้องไปหาหมอก่อน!” ไอ้เคย์ตะคอกกลับมาจนผมแอบอึ้งแต่ด้วยอารมณ์แบบนี้ผมคงไม่ฟังใคร ยิ่งเห็นหน้าไอ้ฝรั่งนั่นผมยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ผมไม่อยากโมโหจนทำร้ายคนอื่น
“กูไม่ไป!!” ผมตะโกนเสียงดังจนกลัวว่าหัวจะแตกเพราะตอนนี้ปวดจนแทบจะล้ม
“พี่อัต!!” ไอ้ภีร์ตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงโมโหเพื่อแข่งกับเสียงของผม
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู” ผมตวัดสายตาไปมองไอ้ภีร์ตาขวาง “พาคนของมึงออกไปจากบ้านกูแล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก!!” ผมเอ่ยปากไล่ก่อนจะทรุดลงนั่งชันเข่ากับพื้นเพราะผมยืนไม่ไหวแล้ว
“พี่อัต ไปหาหมอ” ไอ้ภีร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพลางเดินมาดึงผมให้ลุกขึ้นยืนแต่ผมลุกไม่ไหวจริงๆ
“มึงออกไปได้แล้วภีร์” ผมสะบัดมือออกแล้วไล่อีกครั้ง
“เออ! ถ้าอยากตายก็เชิญดื้อต่อไปเถอะ!!” ไอ้ภีร์ผลักไหล่ผมเบาๆ แล้วเดินห่างออกไปด้วยท่าทางโมโห “ไปกันเถอะมิค!” จากนั้นมันก็เดินไปดึงแขนไอ้ฝรั่งนั่นออกจากห้องผมไป ผมมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ก่อนจะค่อยๆ คลานขึ้นเตียงไปนอนซบกับหมอนด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
“มึงไหวไหมอัต?” ไอ้ถังถามขึ้น
“ไม่ไหว” ผมตอบเสียงอู้อี้เพราะหน้าซบอยู่กับหมอน
“ไปหาหมอเถอะมึง” ไอ้ถังขยับมานั่งข้างเตียงแล้วพยายามพลิกตัวผมให้นอนหงายอย่างเบามือ
“กูไม่อยากไป กูไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น” ผมยกแขนขึ้นก่ายทับตาทั้งสองข้าง
“มึงอย่าดื้อสิอัต” ไอ้ถังเอ็ดเบาๆ
“กูไม่ไหวแล้วว่ะมึง กูไม่เหลือใครแล้ว” ผมพูดออกมาในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผมเคยอยู่กับไอ้ภีร์และนึกถึงพ่อกับแม่ที่เสียไป ก็จริงอยู่ที่ผมมีเพื่อนรักอย่างไอ้ถังที่คอยให้กำลังใจตลอดเวลามีปัญหาและผมก็มีพวกน้องๆ ชมรมบาสที่น่ารักที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน ที่สำคัญผมมีไอ้ภีร์ที่คอยอยู่เคียงข้างและให้ความรักกับผมในเวลาที่อ่อนล้าแต่ตอนนี้ไอ้ภีร์มันไม่อยู่กับผมอีกแล้ว มันอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีมัน
“มึงต้องเข้มแข็งนะอัต มึงยังมีพวกกู” ไอ้ถังฉุดผมขึ้นนั่งแล้วกอดผมเอาไว้ ผมเองก็รีบกอดมันพร้อมกับปล่อยความเสียใจซึมสู่ไหล่กว้างของเพื่อน ไอ้ถังมันคงรู้ว่าผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ดึงผมเข้าไปกอดแบบนี้ ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมอ่อนแอจนคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ ยิ่งภาพที่ไอ้ภีร์จูงมือกับไอ้ฝรั่งนั่นเข้ามาซ้อนทับภาพที่ผมจูงมือมันผมยิ่งเจ็บจนอาการปวดหัวมันหนักขึ้นกว่าเดิม
“กูอยู่ไม่ได้ถ้ามีมัน” ผมกัดฟันพูดเสียงสั่นเครือพลางขยำเสื้อของไอ้ถังเสียแน่น
“ทำใจเถอะเพื่อน มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเสียใจอีกแล้ว” ไอ้ถังลูบหลังผมเบาๆ พลางปลอบไปเรื่อยๆ จนผมยอมสงบ
“รพี คุณไหวไหม?” เสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่คนสองคนกำลังยืนพิงประตูห้องของอัตอยู่
“ฮึก” ภีร์ส่ายหน้าไปมาขณะที่กำลังปิดปากร้องไห้อยู่ เขาเองก็เสียใจไม่น้อยที่ทำให้อัตเจ็บปวด และยิ่งได้ยินว่าอัตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภีร์ ภีร์ยิ่งเจ็บเพราะสงสาร
ผมนอนพักรักษาตัวที่บ้านโดยมีหมอมีดูแลอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งหายดี ผมกลับไปทำงานอีกครั้งโดยเคลียร์งานค้างทั้งหมดให้เสร็จแล้วมอบหมายงานที่กำลังจะเข้ามาให้กับผู้จัดการทั่วไปดูแลจากนั้นก็ไปจัดการกับเรื่องของยัยทิพย์นั่นให้เรียบร้อย
“คุณทิพย์ไม่มาทำงานซักพักแล้วล่ะครับ” พนักงานในแผนกบอกซึ่งผมก็คาดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้
“อืม” ผมพนักหน้าให้กับพนักงานในแผนกก่อนจะหันมาพยักหน้าให้กับลูกน้องที่พามาด้วยเพื่อให้พวกนี้จัดการไปลากยัยทิพย์นั่นมาสอบสวน ผมคิดเอาไว้ว่าหลังจากสอบยัยนั่นด้วยตัวเองเสร็จก็จะส่งไปให้ตำรวจสอบ
จริงๆ บ้านของผมมีกล้องวงจรปิดแต่มุมบาร์เหล้าไม่มีเพราะผมไม่อยากรู้สึกว่ามีสิ่งที่ไม่ใช่คนจับตามองขณะดื่ม
“ไม่ต้องใช้ความรุนแรง ตามยัยนั่นไปเรื่อยๆ จนกว่าฉันจะกลับมา” ผมสั่งลูกน้อง
“นายจะไปไหนครับ?” ลูกน้องคนหนึ่งถามขึ้น
“เอาน่า กลับมาเมื่อไหร่จะติดต่อมา” ผมบอกปัดๆ ก่อนจะเดินไปที่รถเพื่อกลับบ้านไปเก็บของเนื่องจากผมจะไปพักใจสักพักที่ต่างจังหวัด ถึงจะลืมไม่ได้แต่ถ้าได้หนีจากภาพเก่าๆ ก็คงจะดีกว่ากว่าการที่มองไปที่ไหนก็เจอแต่ไอ้ภีร์ล่ะวะ
ผมขับรถกลับไปที่บ้านแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อมุ่งตรงไปที่ที่ผมจะไปพักใจ
ขณะที่ผมกำลังจะเลี้ยวรถออกจากบ้านผมก็ต้องหยุดเมื่อเห็นผู้ชายร่างสูงผมสีทองมายืนขวางรถเอาไว้ ผมรีบเปิดประตูลงไปเผชิญหน้าด้วยท่าทางอวดดี
“มีธุระอะไร?” ผมถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าหมอนี่คงพูดไทยไม่ได้ เวลาคุยกับไอ้ภีร์ทีไรก็ไม่เคยเห็นพูดไทยกันซักที
“คุณกำลังจะทำอะไร?” หมอนั่นถามออกมาเสียงเข้ม
“แล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย?” ผมถามกลับด้วยท่าทางยียวน ผมไม่ใจกว้างขนาดยอมญาติดีกับแฟนใหม่ของเมีย...เก่าหรอกนะ
“ตั้งแต่ที่มาบ้านคุณวันนั้นรพีไม่เคยมีความสุขเลย” ไอ้หมอนั่นพูดออกมา ผมเลิกคิ้วเป็นการถามว่า แล้วไง “คุณผูกมัดเขาเอาไว้ด้วยคำพูดแต่สุดท้ายคุณก็กำลังจะหนี” ผมถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ผมไม่ได้ผูกมัดมันเอาไว้แล้ว ผมยอมปล่อยมันไปเพราะความต้องการของมันเองแล้วที่ผมหนีก็เพราะไม่อยากเห็นภาพเก่าๆ ที่มันทำให้ผมลืมมันไม่ได้ไงล่ะ!” ผมตอบกลับไปทันที
“เขาไม่ได้อยากไปจากคุณหรอก เท่าที่ผมสังเกตผมว่าเขาแค่ต้องการเวลาเท่านั้นแหละ” ไอ้ฝรั่งพูดออกมาซึ่งผมก็ไม่คิดจะเชื่ออะไรมัน ถ้าไอ้ภีร์ต้องการเวลามันคงไม่ปฏิเสธผมขนาดนี้หรอก ไอ้ภีร์ไม่ได้รักผมมาตั้งแต่แรก ความรักที่มันเคยมอบให้คงจะเป็นเพราะความเกรงใจเท่านั้นแหละ
++++++++++++++++++++ มีคำผิดเยอะก็ขออภัยด้วยค่า เดี๋ยวแก้ที่ต้นฉบับเน้อ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ