[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  236.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

55) Aut x Pree 08 : ตีหัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Aut x Pree 08 : ตีหัว


 

ผมพามิคไปกินข้าวพลางให้คำปรึกษาเรื่องแฟนของเขาอย่างเต็มที่  แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะระหองระแหงจนยากจะต่อซะแล้ว  จากที่ฟังมิคเล่ามา ผมวิเคราะห์ได้อย่างเดียวว่าที่แฟนเขาอยู่กับเขาก็เพราะเงิน  มิคเล่าถึงแฟนดีมากๆ เลยนะครับแต่ผมรู้สึกได้ว่าแฟนเขาไม่จริงใจเอาซะเลย  สิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องการดูเหมือนจะเป็นแค่เซ็กส์กับเงินเท่านั้นเอง

คุยกันมาตั้งนานผมเพิ่งรู้ว่ามิคเป็นนักลงทุนที่มีเงินมหาศาลเลยทีเดียว  หน้าตาดีและมีเงินแบบนี้ใครๆ เขาก็อยากได้  แต่ด้วยความที่มิคไม่ค่อยมีเวลาทำให้ไม่ได้ใส่ใจแฟนนักทำให้คนที่เข้าหาส่วนใหญ่เป็นคนที่หวังความสบายไม่ใช่ความรักที่จริงใจ

หลังจากทานข้าวเสร็จผมกับมิคก็ไปต่อกันที่บาร์เพื่อคุยกันไปเรื่อยๆ  เราถูกชะตากันจนมีเรื่องคุยกันมากมายชนิดที่คุยทั้งวันก็ไม่หมด

และขณะที่เรากำลังนั่งจิบเหล้าพอกรึ่มๆ โทรศัพท์ของผมก็สั่น  เบอร์ที่ปรากฏเป็นเบอร์ของบ้านพี่อัต  พอเห็นแบบนั้นผมก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเพราะตั้งใจจะไม่รับ  ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวปวดใจเข้าตัวเองเพราะฉะนั้นไม่ขอรับละกัน

กินเหล้าไปคุยไปจนผมเริ่มมึนๆ จึงไปส่งมิคที่คอนโดแล้วกลับไปนอนแผ่ที่บ้านอย่างเต็มที่  ถึงจะไม่ถึงขั้นเมาแต่พรุ่งนี้ผมต้องแฮงก์แน่ๆ  แต่ก็ช่างเถอะ  พรุ่งนี้ผมจะนอนอืดให้เต็มที่แล้วค่อยไปเฝ้าไอ้ลุกซ์ทีหลังละกัน  ขอพักซักวันนะเพื่อน

 

และแล้วผมก็ได้รับข่าวร้ายหลังจากหิ้วตัวเองไปเฝ้าไอ้ลุกซ์ในช่วงบ่ายของอีกวัน  ตอนที่ผมเข้าห้องของไอ้ลุกซ์ไปก็พบกับเพื่อนฝูงมากมายที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่  นอกจากเพื่อนในกลุ่มของผมยังมีพี่ถังที่ดูจะเครียดที่สุดอยู่ด้วย

“เฮ้ย เป็นอะไรกันวะ!?” ผมถามเสียงร่าเริงเพื่อทำลายบรรยากาศมาคุ  ขนาดไอ้เคย์ที่มีออร่าแห่งความสดใสอยู่ตลอดเวลายังนั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงและไม่แผ่ออร่าด้วย

“ภีร์ มึงยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ?” ไอ้บัมพ์หันมาถามหน้าเครียดทำให้ผมยิ้มเก้อ  นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ? ผมชักจะเครียดตามแล้วนะเนี่ย

“เกิดอะไรขึ้น?” ผมขมวดคิ้วถาม  อาการร่าเริงเมื่อครู่หายไปทันที

“ไอ้อัต...” พี่ถังพูดออกมาแค่นั้นแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะเหมือนไม่อยากจะพูดต่อแต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ไอ้อัตถูกตีหัว  ตอนนี้อาการไม่ค่อยดี  ยังอยู่ห้องไอซียูอยู่เลย” คำพูดจากปากพี่ถังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองล้มทั้งยืน  สมองเริ่มประมวลภาพเหตุการณ์เมื่อวาน

เมื่อวานพี่อัตยังดีๆ อยู่เลย  ไปถูกตีตอนไหนกัน? ศัตรูก็ไม่ได้มีอย่างโจ่งแจ้ง  จะมีบ้างก็แค่คู่แข่งทางธุรกิจแต่ก็ไม่น่าจะมาทำร้ายกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ตอนที่แยกกันพี่อัตก็อยู่กับไอ้ลุกซ์ไม่ใช่เหรอ? หลังจากนั้นพี่มันไปทำอะไรที่ไหนนะถึงได้ถูกทำร้ายขนาดนั้น  หรือว่า...เมื่อคืน!!

หรือว่า...เมื่อคืนที่คนที่บ้านพี่อัตโทรมาเพราะจะบอกเรื่องนี้ให้ผมรู้!?!

“พี่อัตถูกตีตอนไหน?” ผมรีบถามออกไป

“เมื่อคืนตอนดึกๆ” พี่ถังบอก  ใจผมหายวาบทันที  เมื่อคืนคนที่บ้านพี่อัตโทรหาผมหลายสายมากแต่ผมไม่รับเพราะคิดว่าพี่อัตจะคุย  เฮ้ย! ถ้าผมเอะใจซักนิดผมคงไม่ใช่คนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้

 

“มึงไหวไหมภีร์?” ไอ้เคย์ถามด้วยสีหน้าติดจะเครียด  นี่ผมทำหน้าไม่สู้ดีหรือไง เพื่อนถึงได้ถามออกมาแบบนี้?

“มึงช่วยแจกแจงรายละเอียดให้กูฟังหน่อยได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผมลากไอ้เคย์ไปนั่งที่โซฟาเพื่อนั่งคุยกันดีๆ  ที่ให้ไอ้เคย์เล่าเพราะมันมีสติสตังค์ครบที่สุดแล้ว

หลังจากได้นั่งดีๆ ไอ้เคย์ก็เริ่มเล่าโดยมีพี่ถังคอยเสริมและมีเพื่อนๆ คนอื่นคอยกวนตีนเป็นระยะ

 

Aut’s part

 

หลังจากโดนไอ้ภีร์สะบัดแขนออกแล้วเดินหนีผมออกจากห้องผู้ป่วยของไอ้ลุกซ์ไปผมก็ได้แต่ยืนอึ้งเพราะท่าทางของมันดูรังเกียจผมซะเหลือเกิน  ผมทำผิดกับมันไว้มากก็เลยได้รับบทเรียน  และตอนนี้ผมก็กำลังจมปลักกับความทรมานที่ผมเคยสร้างให้มัน

“ไม่ตามไปเหรอ?” ขณะที่ผมกำลังอึ้งจนไปไม่เป็น ไอ้ลุกซ์ก็พูดขึ้นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์

“ลุกซ์...” ผมถอนหายใจแล้วเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ เตียงไอ้ลุกซ์ด้วยท่าทางถอดถอนใจ “ไอ้ภีร์มันไม่คิดจะให้อภัยกูจริงๆ เหรอวะ?  กูต้องทำยังไงถึงจะเอามันกลับคืนมาได้วะ?” ผมเท้าแขนที่ข้างเตียงแล้วซบหน้าลงไปที่ฝ่ามือ

“ตามมันไปสิพี่” ไอ้ลุกซ์บอกเสียงจริงจัง  ผมเงยหน้ามองหน้ามันแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“กูจะตามไปง้อมัน!” ผมกำมือขึ้นมาแล้วรีบวิ่งตามไอ้ภีร์ออกไปแต่ก็ไม่เห็นมันเสียแล้วผมจึงลองวิ่งหาไปเรื่อยๆ ในที่ที่มันจะไป

 

ผมวิ่งไปตามทางของโรงพยาบาลเพื่อหาไอ้ภีร์จนถูกพยาบาลด่าแต่ผมก็ไม่สน  รีบวิ่งออกไปข้างนอกแล้วมุ่งต่อไปที่โรงจอดรถ  ผมนี่แม่งโง่ว่ะ  ไอ้ภีร์มันจะกลับก็ต้องไปที่รถสิวะ  ไม่รู้ผมจะเสียเวลาวิ่งหามันที่อื่นทำไม  บ้าจริงๆ เลยผมเนี่ย

เมื่อไปถึงโรงจอดรถผมก็เดินหามันอีกครั้งแต่เดินไปไม่นานก็เจอเพราะได้ยินเสียงของมันคุยกับใครซักคน  แต่แทนที่ผมจะดีใจที่ได้พบมันแล้วรีบวิ่งเข้าไปง้อแต่ผมกลับต้องยืนนิ่งเพราะอึ้งกับภาพที่เห็น

ผมเห็นไอ้ภีร์ยิ้มแย้มและทำท่าสนิทชิดเชื้อกับผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งจากนั้นก็ขึ้นรถของไอ้ภีร์ไปด้วยกัน  รถคันนั้นผมพามันไปซื้อและแอบออกเงินช่วยโดยที่มันไม่รู้และจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่อยากให้รู้เพราะไม่อยากให้มันคิดว่าเป็นบุญคุณ

“มึงไม่รักกูแล้วจริงเหรอวะ?” ผมยืนมองรถแล่นออกไปจากมุมหนึ่งของเสาด้วยใจที่เจ็บปวดเหลือคณา  ผมไม่แน่เล่นอะไรแผลงๆ ที่ไอ้ภีร์มันไม่สนุกด้วยเลย  ถ้าผมไม่คิดจะทดสอบหัวใจของมันผมก็คงไม่เจ็บปวดขนาดนี้

เหตุผลที่ผมต้องทดสอบเพราะผมไม่มั่นใจจริงๆ ว่าไอ้ภีร์มันรู้สึกยังไงกับผมกันแน่  ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน  มันเฉยชากับผมมาก  ไม่แสดงถึงความรักต่อผมซักเท่าไหร่จนผมคิดว่าที่มันยอมอยู่กับผมอาจจะเพราะมันเกรงใจ  ตอนที่มันกำลังเจ็บปวดผมได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือมากมายและนั่นอาจจะทำให้มันหวั่นไหวจนเอนเอียงมาทางผม  แต่พอจิตใจมันดีขึ้นมันอาจจะคิดได้ว่ามันไม่ได้รักผมก็ได้ผมจึงทดสอบมันดูและผลที่ได้รับมันเกินคาดจริงๆ  ผมว่ามันไม่ได้รักผมมาตั้งแต่แรกหรอก  มันแค่จะตอบแทนบุญคุณผมเท่านั้นแหละ  ถ้ามันรักผมมันคงจะมีเยื่อใยอยู่บ้างแต่นี่ไม่มีเลย

ไม่แน่...มันอาจจะยังรักไอ้ลุกซ์อยู่ก็ได้  ที่มันมาเฝ้าไอ้ลุกซ์ทุกวันอาจจะเพราะรัก  ยิ่งไอ้ลุกซ์ระหองระแหงกับแฟนแบบนี้ไอ้ภีร์ยิ่งมีโอกาส  ผมไม่อยากจะคิดอะไรในทางไม่ดีหรอกนะแต่บางทีมันก็อดไม่ได้จริงๆ  รักมากผมก็ระแวงมาก  ที่สำคัญ...ผมรักไอ้ภีร์มาตั้งแต่มันยังเรียนอยู่ม.4  นานเหลือเกินกว่าจะได้มันมาเป็นของตัวเองแต่สุดท้ายก็ต้องเสียมันไป

 

ผมกลับบ้านมาด้วยท่าทางหดอาลัยตายอยาก  ไม่ว่าใครจะทักทายหรือต้อนรับผมกลับบ้านผมก็ไม่ตอบรับ  มุ่งตรงไปที่บาร์เหล้ามุมประจำของตัวเอง

พอบ้านหลังนี้ไม่มีไอ้ภีร์อยู่มันก็ดูเวิ้งว้างว่างเปล่าเสียเหลือเกิน  ตั้งแต่พ่อกับแม่ผมเสียผมก็ต้องอยู่บ้านกับเหล่าแม่บ้าน  พอมีไอ้ภีร์ถึงได้รู้สึกว่ามันกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง  ผมรักมัน  แม่บ้านทุกคนก็เอ็นดูมันเสมือนเป็นคนในครอบครัวแต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว  บ้านหลังนี้คงกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง

“ต่อให้ไม่มีเรื่องทดสอบหัวใจ มึงก็คงไม่รักกูอยู่ดี” ผมกรอกเหล้าลงคอแล้วพึมพำออกมาอย่างเจ็บปวด  ผมอาจจะไม่มีหวังแล้วก็ได้

 

ผมนั่งดื่มพลางเปิดเพลงคลอไปคนเดียวจนไม่รู้เวลาว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว  กว่าผมจะรู้ว่ามันดึกก็ตอนที่มีคนมาหาถึงบ้าน  แค่เห็นหน้าคนมาหาผมก็ไม่สบอารมณ์แล้วเพราะยัยคนนี้แหละที่ทำให้เรื่องมันแย่หนักกว่าเดิม  ไม่รู้จะมาอ่อยอะไรผมนักหนา

“นี่คุณ  จะมาหาผมทำไมไม่ทราบ?” ผมตวัดสายตาแข็งกร้าวไปมองคุณทิพย์พนักงานบริษัทที่เป็นคู่แข่งกับไอ้ภีร์อย่างไม่ชอบใจนัก  ผมเคยนอนกับหล่อนตอนที่ยังไม่ได้คบกับไอ้ภีร์  ก็อย่างว่าแหละครับ  เมื่อก่อนผมก็เสเพลไปเรื่อย  ใครถูกใจก็สอยมานอน  เราคบไปกันซักพักก็เลิกราโดยที่ผมเป็นคนทิ้ง  ทำไงได้ล่ะ  คุณทิพย์ไม่ใช่แบบที่ผมชอบ  ยิ่งรู้จักก็ยิ่งไม่ชอบเพราะนิสัยเสียมาก

“ฉันคิดว่าคุณคงต้องการใครบางคน” คุณทิพย์เดินมาโอบไหล่ผมพร้อมกันก้มหน้าลงมากระซิบด้วยท่าทางยั่วยวน  ชุดที่ใส่มาทั้งรัดทั้งสั้นจนนมจะทะลักมาบีบหน้าผมอยู่แล้ว  ต่อให้ผมไม่มีไอ้ภีร์ผมก็ไม่เอาผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแม่ของลูกหรอก  มันดูไม่มีค่าว่ะ  ผู้ชายนิสัยเสียๆ อย่างผมคบผู้หญิงประเภทนี้ไว้ฟันเท่านั้นแหละ  จะด่าผมว่าเลวก็ไม่ผิดหรอกนะเพราะผมแม่งเลวจริงๆ นั่นแหละ

“ใช่ ผมต้องการ  แต่คนที่ผมต้องการมีแค่ไอ้ภีร์เท่านั้น  ส่วนคนอื่น...ไม่ต้อง” ผมย้ำคำว่าคนอื่นให้คุณทิพย์ฟังชัดๆ เพราะเธอไม่ยอมรามือจากผมเลย  พอไม่ได้ผมก็ชอบไปหาเรื่องไอ้ภีร์ตลอด

“ทำไมคะ? ทำไมคนที่คุณเลือกไม่ใช่ผู้หญิงอย่างฉันแต่กลับเป็นผู้ชายอย่างเด็กคนนั้น?” คุณทิพย์จับมือผมออกจากแก้วเหล้าแล้วเลื่อนมันไปประทับที่จุดอ่อนไหวของผู้หญิง  ผมรีบชักมือออกด้วยความขยะแขยง  ทำไมถึงไม่ทำตัวให้มันคุณค่า  แทนที่จะวิ่งมาให้ผู้ชายเอา เธอน่าจะทำตัวให้มันดีๆ หน่อย  ทำแบบนี้ใครเขาจะอยากได้วะ

“คุณมันน่ารังเกียจจริงๆ” ผมลุกขึ้นยืนเซๆ แล้วถอยออกห่างจากผู้หญิงคนนี้

“แต่คุณก็เคยได้ฉันเป็นเมีย!” คุณทิพย์ถลึงตามองผมอย่างโกรธเคืองที่ผมไม่รับผิดชอบ  จะให้ผมรับผิดชอบก็ยังไงๆ อยู่  คนที่เข้าหาอีกฝ่ายก่อนก็คือคุณทิพย์  เขาเสนอตัวให้ผม  ในช่วงที่เราคบกันผมก็ปรนเปรอเธอตลอด  ซื้อของแพงๆ ให้  พาไปเที่ยว ไปกินอาหารหรูๆ  ผมรู้ว่ามันไม่ดีแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการเอง

“ถ้าจะบอกว่าการมีอะไรกันแล้วจะถือว่าเป็นผัวเมีย คุณก็คงไม่ได้มีผมเป็นผัวแค่คนเดียว” ผมขยับไปหยิบแก้วเหล้าแล้วยกดื่มพร้อมกับสีหน้าติดจะเยาะนิดๆ

“คุณอัต!!” คุณทิพย์ตะคอกใส่อย่างโมโหแต่ผมก็เฉยๆ ไม่ได้สะทกสะท้านกับเสียงนั่นซักเท่าไหร่  แค่นี้ยังจิ๊บจ๊อยถ้าเทียบกับผู้หญิงที่ผมเคยเจอมา  ผมเคยโดนผู้หญิงไล่ตบหลังจากบอกเลิกด้วย  นอกจากนั้นยังเคยถูกขับรถไล่ชนอีกต่างหาก  โลกนี้ยังผู้หญิงอารมณ์รุนแรงมีอยู่เยอะแยะมากมาย

“คุณกลับไปได้แล้วไป  เพราะต่อให้ผมง้อไอ้ภีร์ไม่ได้ผมก็ไม่กลับไปเอาคุณหรอก” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นกรอกอีกครั้งแล้วไล่เขาออกไป  ปกติผมไม่ใช่ผู้ชายปากจัดนะครับแต่บางทีถ้าไม่ไล่แรงๆ ผู้หญิงเขาก็ไม่ไปจากเราหรอกครับ

“แล้วคุณจะเสียใจ” คุณทิพย์มองผมอย่างคาดโทษก่อนจะเดินกระแทกส้นออกไป  ผมถอนหายใจอย่างโล่งใจแล้วกลับไปนั่งดื่มที่เก้าอี้ทรงสูงเหมือนเดิม

 

ผลัวะ!!

เพล้ง!!

ขณะที่ผมกำลังปล่อยใจไปกับเพลงเศร้าและเหล้าในแก้วที่ถืออยู่ผมก็รู้สึกวูบเหมือนมีอะไรหนักมาฟาดที่ท้ายทอย  สติผมดับวูบไปทันทีที่ได้รับแรงกระแทกนั้นทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุ




60% left

 

รู้สึกตัวอีกทีผมก็ลืมตามองเพดานสีขาวในห้องที่ไม่รู้จักซะแล้ว  แต่ก็เดาไม่ยากหรอก คงจะเป็นโรงพยาบาลล่ะมั้งเพราะความจำล่าสุดของผมก่อนจะมาถึงตอนนี้ก็คือความเจ็บปวดที่ได้รับที่ท้ายทอย

โอย ปวดหัวเป็นบ้าเลย  นี่ผมโดนตีหัวมาใช่ไหมเนี่ย? คนตีคงไม่พ้นยัยคุณทิพย์แน่ๆ  กล้ามากที่ทำกับผมถึงขนาดนี้  คงเอาไว้ไม่ได้แล้วล่ะ  หายเมื่อไหร่ยัยนั่นไม่โดนแค่ไล่ออกแน่ๆ

ผมกะพริบตาปรับแสงเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อพักสายตาและขณะนั้นเสียงเปิดและปิดประตูก็ดังขึ้น  ผมลืมตาขึ้นมอง  พอเห็นว่าเป็นใครผมก็รีบหลับตาลงทันทีขณะที่คนคนนั้นยังไม่ทันสังเกตว่าผมตื่นแล้ว

คนที่เข้ามาเป็นไอ้ภีร์ครับ  คงจะเป็นห่วงผมล่ะสิ  น่ารักจังเลยนะ  ทำเป็นปากแข็งแต่จริงๆ ก็ยังรักผมอยู่ล่ะสิ คึๆ

“เจ็บตรงไหนบ้างวะเนี่ย?” ไอ้ภีร์เดินมาใกล้ๆ เตียงผมพลางก้มลงสำรวจใกล้ๆ  ที่ผมรู้เพราะเสียงมันอยู่ใกล้ๆ และลมหายใจมันเป่ารดหน้าของผม  ถ้าผมจะเขินกับเรื่องแค่นี้จะดูเยอะไปไหมนะ?

ฟู่ววว

ผมตกใจปนเขินจนอยากจะลืมตาขึ้นมาแล้วดึงไอ้ภีร์ที่กำลังเป่าลมใส่หน้าผากของผมมาจูบซะให้รู้แล้วรู้รอด

“หายไวๆ นะครับพี่อัต” ยิ่งได้ยินประโยคเมื่อครู่ผมยิ่งอยากปล้ำเลยล่ะครับ

ตึกๆๆ

หลังจากอวยพรให้ผมหายเร็วๆ เสร็จมันก็ถอยออกห่างและเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเบาลง  ผมรีบลืมตาแล้วหันไปมองก็พบว่าไอ้ภีร์กำลังจะเปิดประตูเพื่อออกจากห้อง  ด้วยความที่ผมไม่อยากให้มันไปไหนจึงปัดแก้วน้ำเปล่าๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลงพื้นแล้วทำเป็นหลับตาแน่นเหมือนคนกำลังฝันร้าย  ผมเลียนแบบละครหลังที่เคยไปนั่งดูกับแม่บ้านมา

“โอ๊ย!” ผมร้องอุทานออกมาพลางยกมือกุมหัว  ตอนแรกกะจะมารยาทำเป็นเจ็บเรียกร้องความสนใจแต่จังหวะที่ปัดแก้วน้ำมันกระทบกระเทือนถึงหัวไปด้วยทำให้ผมเจ็บจริงๆ เสียอย่างนั้น

“พี่อัต!” ไอ้ภีร์อุทานชื่อผมแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา

“โอ๊ย” ผมร้องอีกพลางดิ้นไปมาเล็กน้อยเพราะเจ็บหนึบๆ แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ

“อย่าดิ้นสิพี่อัต  มันจะยิ่งเจ็บนะ” ไอ้ภีร์จับมือผมดึงออกจากขมับแล้วพูดเสียงดังเพื่อสั่งซึ่งก็ได้ผลเพราะผมหยุดดิ้นตามคำสั่งของมัน

“ภีร์ มึงมาหากูใช่ไหม?” ผมดึงมือออกจากมือไอ้ภีร์แล้วเปลี่ยนมาจับมือมันเอาไว้แทน

“อย่างน้อยก็เคยรู้จักกัน” ไอ้ภีร์พูดเสียงเย็นชา ใบหน้าก็เย็นชาแต่นัยน์ตามันกำลังสั่นไหว

“ถ้ามึงรังเกียจกูนักก็อย่ามาหากูเลยภีร์เพราะมันทำให้กูมีความหวัง  ถ้ามึงไม่สามารถมาอยู่ข้างๆ กูได้ตลอดไปก็ปล่อยกูไว้เถอะ” ผมเม้มปากนิดๆ ก่อนจะพูดโดยไม่มองหน้ามัน  ถ้ามันจะไม่ให้โอกาสผมอีกผมก็ไม่อยากให้มันมาหาผมแบบนี้เพราะผมรู้สึกมีความหวังทั้งๆ มันไม่มีหวัง  ผมทำผิดผมรู้ตัวดี  รับโทษแบบนี้ก็สมควรแล้ว

“ผมก็แค่มาดู  ไม่ได้คิดจะมาให้ความหวัง” น้ำเสียงเย็นชาของไอ้ภีร์ทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออก  มันไม่เหลือเยื่อใยเลยแม้แต่นิด

แอ๊ดดดด

เสียงเปิดประตูทำให้ผมรีบหันไปดู  อารมณ์หลายๆ อย่างมันปะทุจนผมต้องฝืนสังขารลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ทั้งเจ็บทั้งปวดที่หัว

“รพี เสร็จหรือยังครับ?” เสียงพูดภาษาอังกฤษดังขึ้นหลังจากไอ้หน้าฝรั่งมันเดินเข้ามาในห้องของผมแล้ว

ผมมองหน้าไอ้ภีร์  ไอ้ภีร์มองหน้าผมก่อนที่มันจะหันไปมองไอ้ฝรั่งนั่นพร้อมรอยยิ้ม

“เสร็จแล้วครับมิค  ไปกันเลยป่ะ” ไอ้ภีร์เดินไปหาไอ้ฝรั่งแล้วก็พากันออกไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีก

ภาพของสองคนนั้นทำให้ผมเจ็บ  เจ็บยิ่งกว่าหัวในตอนนี้ซะอีก  ทำไมไอ้ภีร์ถึงมีคนใหม่เร็วขนาดนี้วะ  หรือว่ามันจะไม่เหลือเยื่อใยกับผมแล้วจริงๆ  บอกตรงๆ ว่าผมกลัวที่จะต้องเห็นมันเป็นของคนอื่น  ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม  เมื่อมันมีเจ้าของผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องหรือทำอะไรมันอีก  ผมรักมันมากจนไม่อาจเห็นภาพบาดตาได้เลยจริงๆ

ปึด!

ผมกัดฟันดึงสายน้ำเกลือออกแล้วลุกออกจากเตียงเพราะไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว  ผมอยากไปไหนซักที่ที่ไม่มีคนรู้จัก  ไม่ว่าจะเห็นหน้าใครที่มีความเกี่ยวข้องกับไอ้ภีร์ผมก็เจ็บไปหมดก็เลยไม่อยากจะเห็น  แม้แต่หน้าตัวเองผมยังไม่อยากจะเห็นเลยเพราะผมเป็นคนที่ทำให้มันหลุดมือไปเอง

“คุณคนไข้คะ! เดี๋ยวค่ะ! จะไปไหนคะ!?” พยาบาลที่เฝ้าอยู่เคาน์เตอร์หน้าห้องรีบวิ่งออกมาดึงแขนผมเอาไว้เบาๆ

“อย่ามายุ่ง!” ผมสะบัดแขนแล้วเดินเซๆ ไปที่ลิฟต์

“เดี๋ยวค่ะคุณ!” พยาบาลวิ่งตามมาอีกแต่ผมก็รีบกดปิดลิฟต์เพราะไม่อยากให้ใครมาขวาง

 

ผมนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้านท่ามกลางเสียงเอะอะของพวกแม่บ้านที่กำลังตกใจกับการกลับมาของผม  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจรีบขึ้นห้องไปนอนพักผ่อน

ผมรู้หรอกว่าสภาพผมตอนนี้มันไปไหนไม่ได้นอกจากโรงพยาบาลกับบ้าน  อีกอย่าง ต่อให้ผมอยากหนีหน้าทุกคนก็คงทำไม่ได้เพราะผมต้องทำงาน  เอาไว้เคลียร์งานในตอนนี้และมอบหมายงานให้คนอื่นทำแทนก่อนค่อยไปก็ได้  ทนเจ็บอีกซักนิดละกันนะอัต

 

วันต่อมาผมก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างล่างจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง  ทันทีที่ลุกอาการปวดหัวก็แล่นปรี๊ดขึ้นมาจนผมต้องล้มตัวลงไปนอนอีกครั้งในลักษณะกุมหัวและนอนขดตัว

ปัง!

“ไอ้อัต!! เหี้ย!  เป็นอะไรวะ!?!” ขณะที่ผมกำลังปรับตัวนอนให้บรรเทาอาการปวดหัวประตูห้องของผมก็เปิดออกพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายของคนหลายคน  และคนที่พูดประดยคเมื่อครู่คงไม่พ้นเป็นไอ้ถัง

“พี่อัต! หนีออกมาจากโรงพยาบาลทำไม!?!” และเป็นไอ้ภีร์ที่กระโดดขึ้นมาบนเตียงแล้วจับตัวผมพลิกให้นอนหงายโดยใช้ตักมันเป็นแทนหมอน

ผมสบตาไอ้ภีร์ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวออกจากตักมันก่อนจะฝืนลงจากเตียงแล้วยืนตัวงอ 

แค่เห็นหน้าไอ้ภีร์ผมก็รู้สึกอ่อนแอจนอยากจะร้องไห้ซะแล้วล่ะครับ  ทั้งๆ ที่ผมปล่อยมือมันเพื่อให้มันไปอยู่กับคนที่มันต้องการแล้วทำไมต้องมาหาผมอีก  ในเมื่อไม่เอากูแล้วจะมาให้กูเห็นหน้าทำไม!?! แค่นี้ก็ยังเจ็บไม่พอใช่ไหม!?!

“ผมโทรเรียกหมอมาแล้วนะครับ” เสียงพูดภาษาอังกฤษดังขึ้นทำให้ผมมองไปที่หน้าประตู  อารมณ์ผมคุกรุ่นขึ้นมาทันที  ขนาดมาที่บ้านของผมมันยังพาคนของมันมาด้วยเลย

“ออกไป!!” ผมตะคอกออกมาเสียงดัง  ยิ่งพูดดังเท่าไหร่ผมยิ่งเจ็บและปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น  แต่ถ้าปวดหัวแล้วหายปวดใจผมยอมปวดหัว  ปวดจนทนไม่ไหวก็จะยอม

เพล้ง!!

“พี่อัต ผมว่าพี่ใจเย็นๆ ดีกว่า” ไอ้เคย์ที่มาด้วยยกมือขึ้นปรามผมที่พยายามยันตัวให้ยืนตรงๆ โดยใช้แขนค้ำกับโต๊ะ  แต่ด้วยอาการมึนงงทำให้แขนผมปัดไปโดนแจกันและเครื่องแก้วหล่นแตก

“ไอ้เคย์ มึงพาพวกนี้ออกไปเดี๋ยวนี้!” ผมจ้องหน้าไอ้เคย์อย่างจริงจัง

“พี่ต้องไปหาหมอก่อน!” ไอ้เคย์ตะคอกกลับมาจนผมแอบอึ้งแต่ด้วยอารมณ์แบบนี้ผมคงไม่ฟังใคร  ยิ่งเห็นหน้าไอ้ฝรั่งนั่นผมยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่  ผมไม่อยากโมโหจนทำร้ายคนอื่น

“กูไม่ไป!!” ผมตะโกนเสียงดังจนกลัวว่าหัวจะแตกเพราะตอนนี้ปวดจนแทบจะล้ม

“พี่อัต!!” ไอ้ภีร์ตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงโมโหเพื่อแข่งกับเสียงของผม

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู” ผมตวัดสายตาไปมองไอ้ภีร์ตาขวาง “พาคนของมึงออกไปจากบ้านกูแล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก!!” ผมเอ่ยปากไล่ก่อนจะทรุดลงนั่งชันเข่ากับพื้นเพราะผมยืนไม่ไหวแล้ว

“พี่อัต ไปหาหมอ” ไอ้ภีร์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพลางเดินมาดึงผมให้ลุกขึ้นยืนแต่ผมลุกไม่ไหวจริงๆ

“มึงออกไปได้แล้วภีร์” ผมสะบัดมือออกแล้วไล่อีกครั้ง

“เออ! ถ้าอยากตายก็เชิญดื้อต่อไปเถอะ!!” ไอ้ภีร์ผลักไหล่ผมเบาๆ แล้วเดินห่างออกไปด้วยท่าทางโมโห “ไปกันเถอะมิค!” จากนั้นมันก็เดินไปดึงแขนไอ้ฝรั่งนั่นออกจากห้องผมไป  ผมมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ก่อนจะค่อยๆ คลานขึ้นเตียงไปนอนซบกับหมอนด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

“มึงไหวไหมอัต?” ไอ้ถังถามขึ้น

“ไม่ไหว” ผมตอบเสียงอู้อี้เพราะหน้าซบอยู่กับหมอน

“ไปหาหมอเถอะมึง” ไอ้ถังขยับมานั่งข้างเตียงแล้วพยายามพลิกตัวผมให้นอนหงายอย่างเบามือ

“กูไม่อยากไป  กูไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น” ผมยกแขนขึ้นก่ายทับตาทั้งสองข้าง

“มึงอย่าดื้อสิอัต” ไอ้ถังเอ็ดเบาๆ

“กูไม่ไหวแล้วว่ะมึง  กูไม่เหลือใครแล้ว” ผมพูดออกมาในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผมเคยอยู่กับไอ้ภีร์และนึกถึงพ่อกับแม่ที่เสียไป  ก็จริงอยู่ที่ผมมีเพื่อนรักอย่างไอ้ถังที่คอยให้กำลังใจตลอดเวลามีปัญหาและผมก็มีพวกน้องๆ ชมรมบาสที่น่ารักที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน  ที่สำคัญผมมีไอ้ภีร์ที่คอยอยู่เคียงข้างและให้ความรักกับผมในเวลาที่อ่อนล้าแต่ตอนนี้ไอ้ภีร์มันไม่อยู่กับผมอีกแล้ว  มันอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม  ผมอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีมัน

“มึงต้องเข้มแข็งนะอัต  มึงยังมีพวกกู” ไอ้ถังฉุดผมขึ้นนั่งแล้วกอดผมเอาไว้  ผมเองก็รีบกอดมันพร้อมกับปล่อยความเสียใจซึมสู่ไหล่กว้างของเพื่อน  ไอ้ถังมันคงรู้ว่าผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ดึงผมเข้าไปกอดแบบนี้  ผมยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมอ่อนแอจนคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ  ยิ่งภาพที่ไอ้ภีร์จูงมือกับไอ้ฝรั่งนั่นเข้ามาซ้อนทับภาพที่ผมจูงมือมันผมยิ่งเจ็บจนอาการปวดหัวมันหนักขึ้นกว่าเดิม

“กูอยู่ไม่ได้ถ้ามีมัน” ผมกัดฟันพูดเสียงสั่นเครือพลางขยำเสื้อของไอ้ถังเสียแน่น

“ทำใจเถอะเพื่อน  มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเสียใจอีกแล้ว” ไอ้ถังลูบหลังผมเบาๆ พลางปลอบไปเรื่อยๆ จนผมยอมสงบ

 

“รพี คุณไหวไหม?” เสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่คนสองคนกำลังยืนพิงประตูห้องของอัตอยู่

“ฮึก” ภีร์ส่ายหน้าไปมาขณะที่กำลังปิดปากร้องไห้อยู่  เขาเองก็เสียใจไม่น้อยที่ทำให้อัตเจ็บปวด  และยิ่งได้ยินว่าอัตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีภีร์ ภีร์ยิ่งเจ็บเพราะสงสาร

 

ผมนอนพักรักษาตัวที่บ้านโดยมีหมอมีดูแลอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งหายดี  ผมกลับไปทำงานอีกครั้งโดยเคลียร์งานค้างทั้งหมดให้เสร็จแล้วมอบหมายงานที่กำลังจะเข้ามาให้กับผู้จัดการทั่วไปดูแลจากนั้นก็ไปจัดการกับเรื่องของยัยทิพย์นั่นให้เรียบร้อย

“คุณทิพย์ไม่มาทำงานซักพักแล้วล่ะครับ” พนักงานในแผนกบอกซึ่งผมก็คาดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้

“อืม” ผมพนักหน้าให้กับพนักงานในแผนกก่อนจะหันมาพยักหน้าให้กับลูกน้องที่พามาด้วยเพื่อให้พวกนี้จัดการไปลากยัยทิพย์นั่นมาสอบสวน  ผมคิดเอาไว้ว่าหลังจากสอบยัยนั่นด้วยตัวเองเสร็จก็จะส่งไปให้ตำรวจสอบ

จริงๆ บ้านของผมมีกล้องวงจรปิดแต่มุมบาร์เหล้าไม่มีเพราะผมไม่อยากรู้สึกว่ามีสิ่งที่ไม่ใช่คนจับตามองขณะดื่ม

“ไม่ต้องใช้ความรุนแรง  ตามยัยนั่นไปเรื่อยๆ จนกว่าฉันจะกลับมา” ผมสั่งลูกน้อง

“นายจะไปไหนครับ?” ลูกน้องคนหนึ่งถามขึ้น

“เอาน่า กลับมาเมื่อไหร่จะติดต่อมา” ผมบอกปัดๆ ก่อนจะเดินไปที่รถเพื่อกลับบ้านไปเก็บของเนื่องจากผมจะไปพักใจสักพักที่ต่างจังหวัด  ถึงจะลืมไม่ได้แต่ถ้าได้หนีจากภาพเก่าๆ ก็คงจะดีกว่ากว่าการที่มองไปที่ไหนก็เจอแต่ไอ้ภีร์ล่ะวะ

 

ผมขับรถกลับไปที่บ้านแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อมุ่งตรงไปที่ที่ผมจะไปพักใจ

ขณะที่ผมกำลังจะเลี้ยวรถออกจากบ้านผมก็ต้องหยุดเมื่อเห็นผู้ชายร่างสูงผมสีทองมายืนขวางรถเอาไว้  ผมรีบเปิดประตูลงไปเผชิญหน้าด้วยท่าทางอวดดี

“มีธุระอะไร?” ผมถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษเพราะคิดว่าหมอนี่คงพูดไทยไม่ได้  เวลาคุยกับไอ้ภีร์ทีไรก็ไม่เคยเห็นพูดไทยกันซักที

“คุณกำลังจะทำอะไร?” หมอนั่นถามออกมาเสียงเข้ม

“แล้วคุณมาเกี่ยวอะไรด้วย?” ผมถามกลับด้วยท่าทางยียวน  ผมไม่ใจกว้างขนาดยอมญาติดีกับแฟนใหม่ของเมีย...เก่าหรอกนะ

“ตั้งแต่ที่มาบ้านคุณวันนั้นรพีไม่เคยมีความสุขเลย” ไอ้หมอนั่นพูดออกมา  ผมเลิกคิ้วเป็นการถามว่า แล้วไง “คุณผูกมัดเขาเอาไว้ด้วยคำพูดแต่สุดท้ายคุณก็กำลังจะหนี” ผมถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น

“ผมไม่ได้ผูกมัดมันเอาไว้แล้ว  ผมยอมปล่อยมันไปเพราะความต้องการของมันเองแล้วที่ผมหนีก็เพราะไม่อยากเห็นภาพเก่าๆ ที่มันทำให้ผมลืมมันไม่ได้ไงล่ะ!” ผมตอบกลับไปทันที

“เขาไม่ได้อยากไปจากคุณหรอก  เท่าที่ผมสังเกตผมว่าเขาแค่ต้องการเวลาเท่านั้นแหละ” ไอ้ฝรั่งพูดออกมาซึ่งผมก็ไม่คิดจะเชื่ออะไรมัน  ถ้าไอ้ภีร์ต้องการเวลามันคงไม่ปฏิเสธผมขนาดนี้หรอก  ไอ้ภีร์ไม่ได้รักผมมาตั้งแต่แรก  ความรักที่มันเคยมอบให้คงจะเป็นเพราะความเกรงใจเท่านั้นแหละ


 

++++++++++++++++++++


มีคำผิดเยอะก็ขออภัยด้วยค่า
เดี๋ยวแก้ที่ต้นฉบับเน้อ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา