[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
50) Aut x Pree 03 : เพื่อนที่รัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
“อือออ” ผมครางในลำคออย่างรำคาญเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างชื้นๆ ที่กำลังไล้อยู่ที่แก้มอีกทั้งยังอึดอัดเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังรัดร่างกายอยู่ อึดอัดจัง หายใจไม่ออกแล้วเนี่ย
“ตื่นเร็ว ต้องไปทำงานนะ” เสียงทุ้มต่ำดังเบาๆ ที่ข้างหู ไอ้ผมที่กำลังนอนอย่างสบายก็ได้แต่ครางอือออเพราะไม่อยากตื่นขึ้นมาตอนนี้
“อืมมม” ผมพลิกตัวไปอีกด้านเพื่อหลบความชื้นที่มาไล้ที่แก้มไม่หยุด
“ภีร์ ถ้ามึงไม่ลุกกูจะเอามึงอีกรอบนะ” เสียงกระซิบเบาๆ มาพร้อมกับอาการเจ็บที่ใบหูแปลบๆ เพราะถูกกัด
“จะนอน” ผมขมวดคิ้วพลางพูดอย่างหงุดหงิด อย่ามากวนการนอนได้ไหมเล่า งานน่ะไม่ไปทำหรอก เดี๋ยวก็จะลาออกอยู่แล้ว
ลาออก...
...ลาออก
ลาออก...
เฮ้ย!! วันนี้ผมต้องไปลาออกนี่หว่า แต่เดี๋ยวนะ พูดถึงลาออกแล้วนึกพี่อัต พี่อัต...เมื่อวานพี่มันเมา...ผมก็มึน...และเราก็...
...ได้กัน!!
เหี้ย!!
พรึ่บ!
ผมเบิกตากว้างก่อนจะหันขวับไปมองต้นเหตุของความชื้นที่เกิดขึ้นบนแก้มของผมอย่างตกใจแล้วก็เห็นพี่อัตนอนอยู่พร้อมกับอกเปลือยๆ ไม่มีอะไรปิดเลย
“พี่อัต!” ผมแหกปากเรียกชื่อมันซะดังเพราะตกใจ เมื่อคืนผมคิดว่าเป็นความฝันซะอีก พี่มันอ่อนโยนอย่างที่ผมขอแถมพอตื่นขึ้นมาพี่มันยังไม่เหี้ยอีกด้วย หรือไม่ก็...ยังไม่แสดงท่าทางแย่ๆ เฉยๆ
“อืม ลุกไปอาบน้ำเถอะไป จะได้ไปทำงาน” พี่อัตตบแขนผมเบาๆ เพื่อบอกให้ผมไปอาบน้ำ
“ผมไม่ไปทำงาน” ผมปรับสีหน้าให้นิ่งขรึมก่อนจะหยิบบ็อกเซอร์ที่ร่วงอยู่บนพื้นมาใส่แล้วลุกออกจากเตียง ขืนนั่งอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่าแล้วพูดประชดประชันมีหวังผมโดนกดแน่
“ต้องไปทำ” พี่อัตพูดเน้นคำ
“ผมบอกไปแล้วว่าจะขายหุ้นคืนให้และพี่ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อคืน” ผมพูดแล้วเม้มปากตีหน้านิ่ง ต่อให้ความอ่อนโยนเมื่อคืนจะเป็นเรื่องจริงแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ติดใจเอาความกับเรื่องเลวร้ายที่พี่มันทำไว้นะ
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ซื้อนี่” พี่อัตหยิบกางเกงมาใส่บ้างก่อนจะเอนตัวพิงหัวเตียงด้วยท่าทางสบายๆ “กูจะให้มึงเลิกทำงานในส่วนพัฒนาสินค้าแล้วมาเป็นเลขากูแทน คนเก่าไม่โดนว่ะ อ่อยเช้าอ่อยเย็น” พี่อัตเหยียดขาแล้วกระดิกเท้าดิ๊กๆ อย่างสบายอารมณ์
“ก็ชอบไม่ใช่เหรอ?” ผมเขม่นตามองพี่มันอย่างไม่ชอบใจ บอกว่าเขามาอ่อย ตัวเองก็อ่อยเขาเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าอีกฝ่ายไม่หือไม่อือมันก็ไม่ได้กันหรอก
“หึงเหรอ?” พี่อัตเหลือบตามองผมอย่างลุ้นๆ
“เปล่าครับ สมเพชคนมักมาก” ผมกอดอกแล้วมองพี่อัตอย่างเหยียดๆ
“กูคิดว่ามึงจะเข้าใจกูแล้วซะอีก” พี่อัตถอนหายใจยาวแล้วเสยผมไปด้านหลังด้วยท่าทางเซ็งๆ
“ผมไม่เข้าใจพี่หรอก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ผมส่ายหน้าไปมา
“เดินมานี่มา” พี่อัตถอนหายใจอีกรอบก่อนจะกวักมือเรียก แต่ผมส่ายหน้าไม่ยอมเข้าไปทำให้พี่อัตต้องลุกมาหาผมเอง
“จะทำอะไร?” ผมขมวดคิ้วก้าวถอยหลังพลางถามอย่างไม่ไว้ใจ
“กูถามจริงๆ ว่าท่าทางแข็งๆ ที่มึงแสดงต่อกูนี่เป็นเพราะว่ามึงคิดว่ากูมีกิ๊กหรือเพราะมึงรู้สึกรังเกียจกูมาตั้งแต่แรก?” พี่อัตเดินมาเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องก้าวถอยหลังจนกระทั่งหลังแนบกับประตูและหนีไปไหนไม่ได้
“ผมต้องบอกไหมครับ?”
“พูดแบบนี้มันคงชัดเจนแล้วสินะ” พี่อัตก้าวถอยออกไปหนึ่งก้าวก่อนจะพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางอื่นและยิ้มที่มุมปากนิดๆ อย่างเยาะเย้ยตัวเอง “ถ้ามึงรังเกียจกูขนาดนั้นแล้วทำไมเมื่อคืนถึงยอม?” พี่อัตหันกลับมามองผมด้วยสายตาผิดหวัง
“เมา” ผมตอบสั้นๆ แค่นั้น ไม่อยากจะบอกไปว่าผมหวั่นไหว ไม่อยากให้ความหวั่นไหวนั้นมาทำให้ผมยอมกลับไปตกนรกอีก อาจจะจริงที่เมื่อคืนพี่มันอ่อนโยนแต่นั่นก็คงเป็นเพราะความเมาเท่านั้น หรือไม่พี่มันก็คงเปลี่ยวก็เลยมาทำกับผม
“เข้าใจแล้ว งั้นกูกลับละ แล้วก็...กุญแจห้องของมึงที่กูไปขอมาจากแม่มึงมา กูคืนให้” พี่อัตล้วงเอากุญแจห้องจากกางเกงที่เพิ่งใส่มาให้ ผมยื่นมือออกไปรับก่อนจะมองพี่อัตที่กำลังหาเสื้อของตัวเองมาสวมให้เรียบร้อยด้วยท่าทางนิ่งๆ
ที่ผมนิ่งเพราะผมกำลังคิดว่าพี่อัตกำลังเสียใจเพราะผมอยู่หรือเปล่า ไม่แน่ พี่มันอาจจะเมาค้าง พอสร่างก็ไปหากิ๊กมาดามใจจนลืมผมอีกเหมือนเดิมก็ได้ พี่อัตก็เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ตอนที่ผมยังอยู่ม.ปลายก็เห็นด้านมืดของพี่มันมามาก พี่อัตน่ะมีแฟนหลายคน สับรางเก่งแถมมีกิ๊กอีกเป็นพรวน เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มฮอตที่ไม่มีทางเหงาเลยทีเดียว ผมไม่มีทางเชื่อว่าคบกับผมแล้วพี่มันจะหยุดอยู่ที่ผมคนเดียว
“แล้วเรื่องงานล่ะ?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“กูจะซื้อหุ้นคืน ส่วนเลขาใหม่เดี๋ยวกูค่อยหาทีหลังก็ได้ ไม่เป็นไร” พี่อัตหยิบเสื้อที่เพิ่งหาเจอมาสวมพลางพูดโดยไม่หันมามองหน้าผม พอติดกระดุมเสื้อเสร็จพี่มันก็หันมาพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ถึงปากจะยิ้มแต่ส่วนอื่นของใบหน้าพี่มันไม่ยิ้มเลย
“ถ้าพี่ชอบเลขาคนเดิมก็ไม่เห็นต้องเปลี่ยน” ผมบอก เพราะผมมักจะเห็นพี่อัตจู๋จี๋กับเลขาคนนี้เกือบทุกครั้งที่ผมไปหาพี่มันที่ห้อง
“ภาพกูสมัยนั้นคงซ้อนทับกับกูในตอนนี้สินะ สันดานคนมันเปลี่ยนยาก แต่ก็มีสิ่งสิ่งหนึ่งและคนคนหนึ่งที่ทำให้กูเปลี่ยนได้ แต่ก็นะ...ภาพของกูมันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก คนมองเองก็คงจะเปลี่ยนมุมมองยากเหมือนกัน” พี่อัตพูดไปพลางมองหน้าผมนิ่งๆ ไปพลางจนผมอดไม่ได้ที่จะหลบสายตา ใจผมมันเต้นแรงทีเดียว ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไรแต่มันหยุดเต้นเร็วไม่ได้เลย
“ใช่” ผมก้มหน้าตอบ แต่ไม่เต็มเสียงนัก
“เฮ้อ งั้นวันนี้มึงไปจัดการเรื่องเอกสารการโอนหุ้น กูจะเซ็นเช็คไว้กับเลขาส่วนมึงก็เซ็นโอนหุ้นให้เรียบร้อย ที่เหลือเดี๋ยวกูจะให้เลขาจัดการเอง” พี่อัตบอกพลางเดินมาดันผมให้ออกจากประตูแล้วเปิดมันออก
“ทำไมต้องให้ผมติดต่อกับเลขา?” ผมถามเพราะเรื่องแบบนี้มันสำคัญ พี่อัตควรจัดการด้วยตัวเอง ไม่กลัวผมโกงเอาหรือไง
“วันนี้กูคงไม่เข้าออฟฟิศ” พี่อัตที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่บอก
“ทำไม?” ผมถาม
“มึงจะไปจากที่นั่นแล้วไม่ใช่เหรอ? และที่นั่น...ก็มีแต่ภาพมึงเต็มไปหมด จะให้กูอยู่ได้ยังไง?” คำพูดของพี่อัตทำให้ผมนิ่งและอึ้งไป ระหว่างที่ผมกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองพี่อัตก็ได้เดินออกจากห้องผมไปโดยที่ผมไม่มีโอกาสรั้งเอาไว้เลย
ผมให้เลขาของผมช่วยจัดการเรื่องเอกสารโอนหุ้นและเอาเช็คไปขึ้นเงินให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมาเก็บของที่ออฟฟิศของตัวเองอย่างเงียบๆ เพราะไม่อยากให้ใครวุ่นวายเรื่องที่ผมลาออก สำหรับตำแหน่งของผม ผมคิดว่าน่าจะมีคนที่เหมาะสมกว่าผมมารับช่วงต่อแน่นอนอยู่แล้วล่ะ ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นแต่ตอนนี้ผมกำลังเป็นห่วงพี่อัตเพราะวันนี้ทั้งวันพี่มันไม่เข้าออฟฟิศจนฝ่ายบริหารวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าป่านนี้ไปเมาอยู่ที่ไหน โทรไปที่บ้านแม่บ้านก็บอกว่าไม่ได้กลับตั้งแต่เมื่อคืน นี่พี่มันเสียใจหรือกำลังดีใจและไปร่าเริงกับสาวๆ กันแน่นะ ผมเดาใจพี่อัตไม่ถูกเลย
“หัวหน้าครับ หัวหน้าจะลาออกจริงๆ เหรอ?” พี่ไก่ที่เป็นเลขาถามหลังจากที่ช่วยผมเก็บของลงกล่องจนเสร็จ พี่ไก่เป็นเลขาที่อายุมากกว่าผมสิบกว่าปีเลยทีเดียวและพี่ไก่เองก็ทำงานดีมาก ผมไม่เคยหัวเสียเพราะการทำงานของพี่ไก่เลยซักครั้ง เป็นไปได้ก็อยากจะร่วมงานกันต่อไป แต่...ก็อย่างว่าแหละนะ มันเป็นไปไม่ได้
“ไม่ได้จะลาออกซะหน่อย ลาออกไปแล้วต่างหาก” ผมยิ้มให้พี่ไก่นิดๆ
“โธ่หัวหน้า ถ้าทะเลาะกับประธานล่ะก็ ไปปรับความเข้าใจกันสิครับ อย่าทำแบบนี้เลย แผนกเรารักหัวหน้ากันทุกคนเลยนะ” พี่ไก่จับมือผมเอาไว้แล้วทำหน้าเศร้าๆ
“ผมสารภาพนะครับว่าที่ลาออกก็เพราะเรื่องพี่อัต แต่จริงๆ แล้วผมอยากไปทำงานกับเพื่อนของผมมากกว่า ตอนนี้เพื่อนผมก็กำลังต้องการผู้ช่วยด้วย ผมก็เลยใช้โอกาสนี้ลาออกซะเลย” ผมบอกยิ้มๆ
“หัวหน้าใจร้ายจัง มาทำให้พวกเรารักแล้วก็ทิ้งพวกเราไป” พี่ไก่ก้มหน้าลงพลางขมวดคิ้วแน่น
“ผมเชื่อนะครับว่าหัวหน้าคนใหม่ของพี่ไก่จะต้องเป็นคนดีมีความสามารถมากกว่าผมแน่นอน เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะมาเยี่ยมพวกพี่ๆ นะ” ผมบอกแล้วยกกล่องที่ยัดของของตัวเองใส่ลงไปขึ้นมาเพื่อยกมันไปที่รถที่จอดรออยู่หน้าตึกแล้ว
“ผมอยากทำงานกับหัวหน้านะ” พี่ไก่ทำท่าจะไม่ยอม
“พี่ไก่ แก่แล้วนะ งอนเป็นเด็กๆ ไปได้ ฮ่าๆ” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะเดินออกจากห้องโดยมีพี่ไก่ช่วยเปิดประตูให้ ปากก็บอกไม่อยากให้ผมไปแต่ก็ยอมช่วยผมทุกอย่างเลยแฮะ น่ารักจริงๆ เลขาของผมคนนี้ ถึงจะหัวล้านใส ตัวผอมกะหร่อง ใส่แว่นหนาเตอะแต่พี่ไก่เป็นคนดีและน่ารักกับผมมากๆ เลย ผมได้แต่หวังว่าหัวหน้าคนใหม่ของพี่ไก่จะเป็นคนดีและรักลูกน้องให้มากกว่าผม
เมื่อเดินมาถึงรถผมก็ยกกล่องไปไว้ข้างหลังแล้วหันมาหาพี่ไก่
“ผมไปแล้วนะครับพี่ไก่ ดูแลตัวเองและคนในออฟฟิศให้ดีนะครับ เอาไว้ผมจะนัดพวกพี่ๆ มาเลี้ยงข้าวนะ เป็นการขอโทษที่ไปอย่างกะทันหัน” ผมเดินไปจับมือพี่ไก่ไว้แล้วเขย่าเบาๆ พี่ไก่เงยหน้ามองผมที่ตัวสูงกว่านิดๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาตัวเองที่กำลังไหลอาบแก้ม เขาว่ากันว่าคนหัวล้านขี้ใจน้อยสินะ ท่าจะจริงแฮะ “พี่ไก่ครับ ผมไม่ได้ไปตายที่ไหนนะ เดี๋ยวผมติดต่อมานะ โอเคนะครับ?” ผมยิ้มพลางลูบไหล่พี่ไก่เบาๆ อย่างปลอบใจ
“ครับหัวหน้า อย่าลืมนะ บอกแล้วนะว่าจะกลับมาหา หายไปเงียบๆ แบบนี้ไอ้พวกนั้นต้องโวยวายแน่ เตรียมรับโทรศัพท์ให้ดีๆ ล่ะ” พี่ไก่พูดพลางสะอื้นเบาๆ
“ฝากบอกทุกคนด้วยนะครับว่าผมจะไม่ลืมพวกเขาเลย ทีมงานทีมนี้ดีที่สุดสำหรับผม ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะครับ” ผมยิ้มกว้าง
RRRRR
แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นซะก่อน ผมหยิบขึ้นมาดูก่อนจะยิ้มให้พี่ไก่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วขึ้นไปบนรถแล้วกดรับ
“ว่าไงกีร์?” ผมรับสายเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงสดใสเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์เศร้าของตัวเองในตอนนี้
[ไอ้ภีร์! รีบมาโรงพยาบาลxxxตอนนี้เลย! ไอ้ลุกซ์ขับรถคว่ำ!] ใจผมหล่นตุบไปกองอยู่แทบเท้าทันทีที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของไอ้กีร์
“อย่ามาอำ” ถึงใจผมจะเสียไปแล้วแต่ผมก็หลอกตัวเองว่าไอ้กีร์มันอำ อย่างไอ้ลุกซ์เนี่ยนะจะขับรถคว่ำ ไอ้หมอนี่เป็นเซียนดริฟต์รถเลยนะ แถมมันยังเป็นคนที่ขับรถอย่างระมัดระวังที่สุดในกลุ่มอีกต่างหากแม้ว่าการขับอย่างระมัดระวังของมันจะเหมือนพวกตีนผีก็ตาม
[มีคนเล่นสกปรกกับรถของมัน ตอนนี้สภาพมันไม่ต่างจากคนจะตายเลยว่ะ มึงรีบมาเดี๋ยวนี้เลย!!] ไอ้กีร์พูดน้ำเสียงติดโมโหที่ผมไม่เชื่อมัน ไม่ต่างจากคนจะตายงั้นเหรอ? ไม่เอาน่า! เพื่อนของผมจะต้องไม่เป็นอย่างนี้
“เปอร์รู้เรื่องหรือยัง?” ผมถามพลางติดเครื่องรถแล้วรีบเหยียบออกไปทันที
[ไอ้เปอร์เป็นคนเดียวที่ไม่ควรรู้เรื่องนี้ ระหว่างนี้มึงช่วยติดต่อเครือข่ายพ่อของมึงหน่อย จะให้ช่วยสืบเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนกูกับไอ้เคย์จะติดต่อเครือข่ายของไอ้ลุกซ์เอง มึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลกับไอ้บัมพ์ไอ้กั้งด้วยนะ] ไอ้กีร์บอกอย่างรีบๆ
“ได้ๆ เดี๋ยวกูจะขอให้พ่อช่วย กูจะตามจี้ศัตรูของไอ้ลุกซ์ให้ครบทุกคนแล้วขุดรากถอนโคนไอ้คนต้นเหตุให้มันพินาศไปเลย” ผมกัดฟันพูดอย่างโกรธๆ กล้ามาทำกับเพื่อนของผมแบบนี้ได้ยังไง ท้าทายอิทธิพลมืดชัดๆ
[กูฝากมึงให้จัดการเรื่องที่โรงพยาบาลให้เสร็จแล้วนัดลูกน้องพ่อมึงมาที่อู่ด้วยนะ] ไอ้กีร์บอกก่อนจะตัดสายไปอย่างรีบๆ เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงไอ้เคย์ดังแว่วๆ เข้ามาเพื่อให้ไอ้กีร์รีบขึ้นรถ เอาล่ะ ไอ้เคย์โกรธซะแล้ว ผมคิดว่าเราคงหาตัวคนทำร้ายไอ้ลุกซ์ได้อย่างไม่ยาก ส่วนอู่ที่ว่าคืออู่ที่ไอ้ลุกซ์มันเปิดไว้ให้เด็กในแก๊งมันไปสุมหัวกันที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นสำนักงานใหญ่ของแก๊งก็ว่าได้ ที่สำคัญนอกจากไอ้ลุกซ์จะเป็นคนรวบรวมกลุ่มคนพวกนี้ขึ้นมาได้แล้ว คนที่มันรวบรวมมายังนับถือพวกผมเป็นลูกพี่ด้วยทำให้พวกผมมีเครือข่ายลูกน้องไปด้วยเลย มีเพื่อนเก่งก็ดีอย่างนี้แหละครับ
นี่ถ้าพี่อัตยังอยู่กับผมพี่มันก็คงจะช่วยอีกแรงเพราะรายนั้นก็มีลูกน้องเยอะเหมือนกัน โว้ย! จะไปคิดถึงพี่มันทำไมเล่า! จบไปแล้วก็จบดิวะ แค่ลูกน้องไอ้ลุกซ์ก็ทำงานเร็วแล้วไม่จำเป็นต้องไปขอให้คนอื่นช่วยหรอก
พอๆ หยุดคิดเรื่องของพี่อัตไปซะภีร์!
40% left
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลผมก็รีบโทรหาไอ้บัมพ์และรีบวิ่งไปที่ห้องฉุกเฉินทันที ที่หน้าห้องฉุกเฉินก็มีไอ้บัมพ์ ไอ้กั้ง ไอ้ลัน ไอ้ไอและนายตำรวจสามสี่นายเดินไปเดินมาอยู่
“เป็นไงบ้าง?” ผมถามไอ้ลันที่นิ่งที่สุด มันกำลังนั่งนิ่งๆ ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังเดินสวนกันไปมา ไม่รู้ว่ามันใจเย็นหรือมันเย็นชาก็ไม่รู้นะ พี่ตัวเองจะตายแท้ๆ ลันเอ๊ยลัน
“ยังไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ว่าไอ้ลุกซ์มันช็อคจนชัก” ไอ้ลันพูดแล้วขมวดคิ้วแน่น มือมันดูสั่นๆ แถมเส้นเลือดตรงขมับยังปูดจนเห็นได้ชัด มันคงจะสะเทือนใจมากสินะ และถ้าดูจากตัวของไอ้ลันตอนนี้มันคงจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเพราะมือมันพุพองและเป็นรอยไหม้ เนื้อตัวมอมแมมแถมยังมีรอยไหม้ที่เสื้อและกางเกงอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?” ผมถาม
“รถคว่ำแล้วระเบิดระหว่างทางที่จะไปโกดังที่ต่างจังหวัด ไอ้ลุกซ์ขับรถของบริษัทไปส่วนผมตามไปทีหลังไม่นานนัก พอตามไปก็เห็นรถมันพลิกคว่ำแล้วก็...ระเบิด ผมพยายามช่วย...แต่ผมช่วยมันไม่ได้ ผมได้แต่มองร่างของมันนอนจมกองเลือด...เหมือนตอนเด็กๆ...ถ้าผมไปกับมันตั้งแต่แรก มันอาจจะไม่...” ตอนแรกๆ ไอ้ลันก็พูดด้วยน้ำเสียงปกติแต่พอหลังๆ มันเริ่มยกมือขึ้นกุมขมับแล้วเพ้อออกมาเหมือนคนสูญเสียการควบคุมจนไอ้ไอต้องรีบเข้ามากอดปลอบ
“คือ...ดูเหมือนพี่ลุกซ์จะกระโดดออกจากรถได้ก่อนที่รถจะคว่ำและระเบิดน่ะครับ แต่กระโดดออกมาตอนที่รถยิ่งวิ่งอยู่ทำให้เจ็บหนักและกระโดดไม่พ้นรัศมีของรถที่ระเบิดน่ะครับ” ไอ้ไอที่ยืนให้ไอ้ลันกอดหันมาขยายความต่อ ผมได้แต่หายใจในจังหวะหนักๆ เพราะยังทำใจไม่ได้กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
“คุณตำรวจครับ แล้วคดีนี้จะเป็นยังไงต่อไปครับ?” ผมหันไปถามตำรวจที่กำลังยืนเขียนอะไรยุกยิกอยู่ไม่ห่างจากกลุ่มของพวกเรานัก
“ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเก็บและพิสูจน์หลักฐานครับ จากหลักฐานเบื้องต้นในที่เกิดเหตุพบว่าไม่ใช่อุบัติเหตุครับ สายเบรกถูกตัดไปโดยของมีคมและหม้อน้ำที่ใช้ภายในรถถูกเปลี่ยนไปใช้ของเก่าที่มีปัญหาเป็นสาเหตุของการระเบิดโดยทางเจ้าทุกข์ได้ยืนยันว่าหม้อน้ำต้นเหตุนั้นไม่ใช่ของที่มีอยู่ในรถตั้งแต่แรก” นายตำรวจหันมารายงานให้ผมฟัง
“แล้วระบุตัวคนร้ายได้ไหมครับ?” ผมถาม
“ยังไม่ได้ครับ ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอยู่ครับ แต่ดูเหมือนว่าคุณรุจิภาสจะมีเบาะแสเกี่ยวกับคนร้ายนะครับเพราะก่อนที่เขาจะหมดสติเขาได้พูดอะไรเกี่ยวกับคนร้ายให้คุณรุจิกรฟังแต่จับใจความไม่ได้ เราก็คงต้องรอให้คุณรุจิภาสฟื้นและเก็บหลักฐานเพื่อสืบหาตัวคนร้ายต่อไป”
“ขอบคุณมากครับคุณตำรวจ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะเดินกลับไปนั่งข้างไอ้ลันที่ยังมีอาการหลอนอยู่ ภาพพี่ชายในสภาพปางตายคงยังติดตาของมันสินะ แม้จะชอบทำท่าไม่ถูกกันอยู่ตลอดแต่ดูก็รู้ว่าไอ้ลันมันรักไอ้ลุกซ์มาก ซึ่งแน่นอนว่าไอ้ลุกซ์ก็รักน้องของมัน ในชีวิตของไอ้ลุกซ์ไม่เคยมีใครสำคัญกว่าน้องๆ ของมันเลย แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ทำให้ไอ้ลุกซ์รักจนยอมตายแทนได้...ไอ้เปอร์ไง
“ลุกซ์ อึก...กูจะไม่ยอมให้มึงตายไปต่อหน้าต่อตา อย่าตายนะ...” ไอ้ลันพูดออกมาเสียงอู้อี้แต่ฟังออกเพราะกำลังซบหน้าลงบนหน้าท้องของไอ้ไอ เสียงของไอ้ลันดูสั่นเครือและน่าสงสาร ผมมั่นใจว่ามันกำลังร้องไห้และนั่นก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะร้องตามอย่างเงียบๆ ส่วนไอ้กั้งกับไอ้ไอก็น้ำตาไหลพรากไปก่อนผมซะอีก
“ลัน ไอ้ลุกซ์มันไม่ตายง่ายๆ หรอก ถ้ามึงยังไม่ตายมันก็จะไม่ยอมตาย เชื่อกูไหม?” ผมเงยหน้ามองเพดานก่อนจะปลอบใจไอ้ลัน
“ใช่ครับพี่ลัน พี่ลุกซ์เขายังห่วงอนาคตพี่ลันอยู่เลยนะ พี่ลุกซ์ไม่ยอมเป็นอะไรหรอกครับ ฮึก” ไอ้ไอพูดไปสะอื้นไปพลางลูบหลังปลอบไอ้ลัน
“มันยังใช้เวลากับน้องชายและน้องสาวมันไม่คุ้มเลยนะเว้ย นิสัยอย่างมันไม่ยอมตายก่อนมึงหรอกลัน” ไอ้บัมพ์ที่กำลังทำตัวเป็นพี่คิวให้ไอ้กั้งกอดปลอบไอ้ลันด้วยน้ำเสียงร่าเริงและพูดติดตลกแต่ผมก็สังเกตเห็นว่าตามันแดงและรอยยิ้มของมันช่างดูฝืนเหลือเกิน
“ตอนเด็กๆ ก็เป็นแบบนี้ ผม...ได้แต่มองมันนอนจมกองเลือดโดยที่ทำอะไรไม่ได้ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว” ไอ้ลันกัดฟันพูดเหมือนพยายามข่มไม่ให้เสียงสั่น สิ่งที่ไอ้ลันพูดทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันสองคนในตอนนั้นแต่ผมก็ไม่กล้าถามเพราะตอนนี้ไอ้ลันมันกำลังเสียใจ
พวกผมนั่งปลอบใจไอ้ลันไปได้ซักพักพ่อแม่และน้องสาวของไอ้ลันก็มา เมื่อรู้อาการก่อนถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินแม่ของมันถึงขั้นเป็นลมส่วนพ่อก็ไอ้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ได้ อาการเหมือนคนช็อคจนไม่มีใครเข้าถึงได้ น้องไลลาไม่ต้องพูดถึงครับ เดินมาเป็นที่กอดแทนไอ้ไอแล้วร้องไห้อย่างหนักจนเกือบจะเป็นลม
ผมทนมองความเศร้าแบบนั้นไม่ได้จึงเดินออกไปที่โรงจอดรถเพื่อขับไปหาพวกไอ้กีร์ที่กำลังรวบรวมกำลังเพื่อสืบหาตัวคนร้ายเองโดยไม่หวังพึ่งแรงตำรวจ
พอไปถึงพี่อู่ผมก็แทบอยากจะเลี้ยวรถกลับเพราะเห็นรถพี่อัตจอดอยู่ สงสัยพี่อัตจะมากับพี่ถังล่ะมั้ง เฮ้อ แต่ถ้าผมจะมามัวตั้งแง่ในช่วงเวลาแบบนี้มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่ผมจึงจอดรถแล้วเดินเข้าไปในโกดังที่เป็นที่ประชุมลับของกลุ่มลูกน้องของพวกเรา
“ภีร์...” เมื่อผมเดินเข้าไปพี่อัตก็เรียกชื่อผมด้วยสีหน้าอึ้งๆ แต่เพียงแว้บเดียวพี่มันก็หันหน้าหนีไป
“อาการไอ้ลุกซ์เป็นไงบ้าง?” ไอ้เคย์หันมาถามผมทำให้พวกลูกน้องที่กำลังนั่งเรียงแถวกันอยู่หันมาสนใจคำตอบ
“ยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินเลย ฟังจากที่ไอ้ลันพูดท่าทางจะหนักเอาเรื่อง” ผมก้มหน้าแล้วส่ายหน้าไปมาเหมือนคนหมดหวังทำให้เสียงจากพวกลูกน้องดังขึ้นด้วยอารมณ์เศร้าและโกรธเคืองคนที่ทำให้ไอ้ลุกซ์ต้องเป็นแบบนั้น
RRRRRRRR
ผมสะดุ้งนิดๆ เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อผมกดรับเสียงของพวกลูกน้องก็เงียบลงอัตโนมัติเหมือนกับพวกมันรู้ว่าสายที่เข้ามาเป็นสายจากคนที่อยู่โรงพยาบาล
[ภีร์ เมื่อกี้มีหมออกมาแล้วนะ] ไอ้บัมพ์ที่โทรมาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมแทบทรุดเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่
“หมอว่าไง?” ผมถามอย่างร้อนรน
[ไอ้ลุกซ์ช็อคจนหัวใจหยุดเต้นแต่หมอก็ช่วยจนกลับมาหายใจอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นหมอก็ไม่คอนเฟิร์มว่าจะรอด]
พรึ่บ!!
ทันทีที่ไอ้บัมพ์พูดจบเข่าผมก็อ่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมกับความอุ่นร้อนที่ไหลออกจากตามาอาบแก้ม เมื่อเห็นอาการช็อคของผมพวกลูกน้องก็ร้องโวยวายกันเสียงดังระงมส่วนพวกเพื่อนๆ ที่กำลังยืนอยู่ก็รีบเข้ามาประคองร่างผมทันที
“ภีร์! เกิดอะไรขึ้น!?! หมอว่าไงบ้าง!?!” ไอ้กีร์ที่มาถึงตัวผมคนแรกดึงผมให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะเขย่าตัวผมรัว
“...” ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่ถือโทรศัพท์ค้างทำให้ไอ้เคย์ต้องรีบแย่งไปคุยเอง
“ไอ้ภีร์!! อย่ามัวแต่นิ่งสิโว้ย!!” ไอ้กีร์ตะคอกให้ผมเสียงดัง ผมมองหน้ามันก่อนจะเบ้ปากสะอื้น ตาของไอ้กีร์แดงก่ำ สีหน้ามันดูเป็นกังวลมากจนผมไม่กล้าบอกอะไรเลย
“ไอ้กีร์!! มึงไม่เห็นเหรอว่าเพื่อนกำลังเสียขวัญ! ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหมวะ!!” พี่อัตวิ่งเข้ามาดึงผมไปกอดก่อนจะตะคอกใส่ไอ้กีร์
เมื่อมีพี่พึ่งพิงผมก็ปล่อยน้ำตาออกมาระลอกใหญ่และสะอื้นจนตัวโยน พี่อัตเองก็ยืนกอดปลอบผมโดยไม่คิดจะปล่อย
“ใจเย็นๆ นะ อย่าเพิ่งเครียด เมื่อกี้เขาโทรมาว่าไง?” พี่อัตพูดเสียงอ่อนโยนก่อนจะถามอย่างใจเย็น
“ฮึก ฮือ ไอ้ลุกซ์จะตายไหมพี่อัต? ผมไม่อยากให้มันตาย มันต้องไม่ตาย มันจะไม่ตายใช่ไหม?” ผมถามปนเสียงสะอื้น ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าผมแทบไม่มีสติ เรียบเรียงคำพูดที่จะบอกออกไปไม่ได้ทำให้ผมไม่สามารถพูดให้ทุกคนฟังได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไม่เป็นไรนะภีร์ ไอ้ลุกซ์ต้องไม่เป็นอะไร” พี่อัตดันตัวผมออกก่อนจะประคองใบหน้าผมด้วยมือทั้งสองข้างแล้วใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาออกให้ผม
“ฮึก ฮืออออ” ผมเบ้ปากแล้วโผเข้าไปกอดพี่มันอย่างต้องการที่พึ่ง วินาทีนี้ทิฐิของผมมันพังทลายไปแล้ว ผมไม่สามารถมีทิฐิได้ในยามที่เพื่อนกำลังอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย
“ทุกคนฟังทางนี้” ไอ้เคย์พูดขึ้นเสียงดังดึงความสนใจของทุกคนที่กำลังวุ่นวาย ผมเองก็ผละออกจากพี่อัตแล้วหันไปสนใจมันแต่ดูเหมือนว่าพี่อัตจะกลัวผมยืนไม่ไหวจึงมายืนซ้อนหลังแล้วกอดผมเอาไว้จากด้านหลัง “จากที่ได้คุย ตอนนี้อาการของไอ้ลุกซ์แย่มาก เมื่อกี้ก็ช็อคจนหัวใจหยุดเต้น หมอช่วยไว้ได้แต่ไม่รับปากว่าจะรอด และเมื่อกี้กูก็ได้คุยกับปะป๊ากูที่เป็นหมอ เขาบอกว่าเขากับทีมแพทย์ผ่าตัดกำลังจะเข้าไปช่วยอีกแรง กูเชื่อว่าเขาต้องช่วยไอ้ลุกซ์ได้” ไอ้เคย์ขมวดคิ้วออกมาด้วยน้ำเสียงเครียดๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ลูกน้องของพวกเราต่างก็นิ่งเงียบเพราะช็อคกับข่าวแต่อีกสักพักก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมา
“มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!?” ไอ้กีร์ที่ยืนช็อคอยู่สักพักพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยส่วนพี่ถังก็พุ่งไปเตะต่อยกำแพงระบายความเครียดแล้วเรียบร้อย
“เรื่องนี้กูไม่ยอมเด็ดขาด กูจะขอให้ปะป๊ากูช่วยอีกแรง” ไอ้เคย์กัดฟันพูดพลางกำหมัดแน่น
“ปะป๊าของมึงจะช่วยยังไง? เขาเป็นหมอนี่” ไอ้กีร์หันไปถาม ปะป๊าของไอ้เคย์ที่ว่าคือแฟนของพ่อของมันครับ แม่ของไอ้เคย์เสียไปนานแล้วและปะป๊าของมันที่ว่าก็เป็นเพื่อนเก่าของพ่อมัน รู้สึกว่าต่างคนต่างรักกันมาตั้งนานแต่ก็แยกกันไปมีครอบครัวสุดท้ายก็กลับมารักกันอีกครั้ง ผมว่าปะป๊าของไอ้เคย์เหมือนไอ้เคย์กับไอ้คิทมากกว่าพ่อแท้ๆ ของพวกมันซะอีก
“รุ่นพี่ที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่ปะป๊ากูทำงานอยู่เป็นเจ้าพ่อแห่งวงการมาเฟียเลยล่ะ ไม่จำเป็นกูไม่อยากให้ผู้มีอิทธิพลมืดแบบนั้นมาช่วยเลยเพราะคนพวกนั้นเลือดเย็นจนน่ากลัว” ไอ้เคย์พูดออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมๆ จนผมขนลุก ไอ้เคย์เป็นคนที่ใจดีมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาแต่มันก็เป็นคนที่โหดที่สุดเหมือนกัน มันเป็นคนที่ไม่ควรทำให้โกรธ ผมเจอมากับตัว ผมรู้ว่ามันสยองมากแค่ไหน
“เฮียครับ! เรื่องนี้พวกผมขอเถอะครับ เฮียลุกซ์เป็นเฮียของพวกเรา ขอให้พวกเราได้ทำประโยชน์เพื่อเฮียเถอะนะครับ!!” เสียงของคนในกลุ่มที่กำลังคร่ำครวญดังขึ้นมาก่อนที่ร่างยักษ์ๆ หนวดครึ้มๆ หน้าตาท่าทางเหมือนฆาตกรโรคจิตจะลุกขึ้นยืน ถึงพวกเราจะอายุน้อยกว่าแต่ทุกคนก็พร้อมจะเรียกพวกเราว่าเฮียครับ
“ใช่ครับเฮีย! พวกเราจะเป็นประโยชน์ให้กับพวกเฮีย” เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม คนอื่นๆ เริ่มฮึกเหิมกันตามพี่ที่เหมือนฆาตกรแล้วล่ะครับ น่าภูมิใจแทนไอ้ลุกซ์จริงๆ
“เราจะลากคอคนที่ทำกับเฮียลุกซ์มาจัดการให้สาสม!!”
“ดี! งั้นเรามาประชุมวางแผนกันเลย!!” ไอ้กีร์ที่ลากสติของตัวเองกลับมาได้แล้วตะโกนขึ้นอย่างฮึกเหิม เรียกเสียงกู่ก้องคำรามของทุกคนได้อย่างดีทำให้ในโกดังนี้กึกก้องไปด้วยเสียงโห่ร้อง
“ไม่ต้องห่วงนะ ไอ้ลุกซ์ต้องไม่เป็นไร” เสียงกระซิบเบาๆ ดังที่ข้างหูท่ามกลางเสียงโห่ร้องทำให้ผมดึงสติของตัวเองกลับมาแล้วรีบปัดมือพี่อัตออกจากตัวเองทันที
“...”
“ไม่เอาน่าภีร์ อย่าเป็นแบบนี้เลย แค่เวลานี้เท่านั้นก็ได้ กูขอแค่ช่วงเวลาที่มึงกำลังอ่อนแอดูแลมึงได้ไหม? ถ้าจบเรื่องเมื่อไหร่กูจะไปเอง ไม่ต้องห่วง” พี่อัตจับมือผมที่กำลังจะเดินหนีเอาไว้ ผมยืนนิ่งเงียบและไม่หันกลับไปหาพี่มันแต่ก็ไม่ได้สะบัดมือออก “นะ...” พี่อัตขอร้อง
ผมหันกลับไปหาพี่อัตก่อนจะถอนหายใจแล้วขยับไปซบลงที่ไหล่ของพี่มันอย่างเหนื่อยอ่อน เอาวะ ตอนนี้ผมต้องการพี่อัตจริงๆ นั่นแหละ
“แค่ช่วงนี้เท่านั้นนะ” ผมพูดทั้งๆ ที่ซบพี่มันอยู่
“ครับผม” พี่อัตพูดก่อนหอมที่ผมของผมเบาๆ แล้วกอดผมเอาไว้แน่น
++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องที่พี่ลันพร่ำเพ้อว่าลุกซ์จะตายไปต่อหน้าต่อตาเหมือนตอนเด็กๆ สามารถอ่านในเล่มได้เลย อิๆ
ตอนพิเศษในหนังสือ ลป ภาคแรกนั่นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ