[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
9.7
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
56 ตอน
51 วิจารณ์
236.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Chapter 05 : ที่แผนกเครื่องยนต์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 05 : ที่แผนกเครื่องยนต์
พอเลิกงานผมก็พาพี่พลอยไปที่บ้านของผมโดยที่ไปรถของพี่พลอยเพราะผมไม่มีรถแล้ว ผมขอพี่พลอยแวะรับเจ้าป้องกลับด้วยเพราะมันเป็นทางผ่าน
“สวัสดีฮะ” ไอ้ป้องยกมือไหว้พี่พลอยอย่างนอบน้อม
“สวัสดีจ้ะ นี่น้องป้องใช่ไหม? หน้าตาดีนะเนี่ย รออีกสักสิบปีมาแต่งงานกับพี่ไหมจ๊ะ? ฮ่าๆๆ” พี่พลอยหัวเราะร่าจนไอ้ป้องหันมามองหน้าผมอย่างตกใจ
“พี่พลอยเป็นคนอารมณ์ดีน่ะป้อง” ผมบอกเพื่อไม่ให้มันตกใจมากนัก
“อ๋อ ครับ” ไอ้ป้องพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เดี๋ยววันนี้ช่วยพี่เข้าครัวหน่อยนะ จะเลี้ยงข้าวพี่พลอยน่ะ พี่พลอยช่วยสอนงานพี่เยอะแยะเลย” ผมหันไปบอกเจ้าป้องที่นั่งอยู่เบาะหลัง ตอนนี้ผมเป็นคนขับรถน่ะครับ
“ได้เลยครับ” ไอ้ป้องตอบรับเสียงใส
“ตัวแค่นี้เข้าครัวเป็นแล้วเหรอจ๊ะ? เก่งจังเลย” พี่พลอยพูดอย่างเอ็นดู
“ฮะ ผมทำเป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะครับ”
“ป้องน่ะต้องดูแลพ่อมาตั้งแต่เด็กน่ะ พ่อเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่คอนโดที่ผมเคยอยู่เลยไม่ค่อยมีเวลา ผมก็เลยสนิทกับเขาและชอบเอาเจ้าป้องมาเลี้ยงน่ะครับ ตอนผมเรียนจบพี่ชัชเขาตกงานผมก็เลยให้มาทำงานที่บ้านและรับเลี้ยงเจ้าป้อง เด็กนี่เป็นเหมือนน้องชายผมเลยล่ะ ผมรักเขามากเลยล่ะครับ” ผมมองไอ้ป้องผ่านกระจกอย่างเอ็นดู ที่ผมเล่าให้พี่พลอยฟังได้เพราะผมร่าพี่พลอยไม่มีทางจะดูถูกไอ้ป้องแน่นอนและไอ้ป้องเองก็ไม่คิดว่าการที่มีพ่อเป็นยามจะเป็นปมด้อย ผมสอนเสมอว่าอย่าลดค่าของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราเจ็บปวดซะเอง
“ป้องก็รักพี่เปอร์ครับ” ไอ้ป้องพูดอ้อนๆ จนพี่พลอยอดไม่ได้ที่จะหันไปหยิกแก้มนั่นเบาๆ
“น่ารักกันจริงๆ นะพี่น้องคู่นี้ พี่นึกถึงตอนที่รองเล่าเรื่องเปอร์ให้พี่ฟังเลย เวลาพูดถึงเปอร์รองมักจะพูดด้วยสีหน้าเอ็นดูเสมอ แฟนรองก็ด้วย” พี่พลอยบอก
“ไอ้พี่ถังอ่ะนะ? ต่อหน้าผมมันชอบทำท่ากวนประสาทจะตายแต่พี่เคย์นี่น่ารักกับผมตลอดแหละ” ผมขำนิดๆ ผมกับพี่ถังเรารักกันมากแต่จะให้มาแสดงความรักต่อกันนี่คงจะไม่ไหวเพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กก็เลยไม่มีอารมณ์มารักกันขนาดนั้น แต่ไม่คิดเลยแฮะว่ามันจะชอบเล่าเรื่องของผมขนาดนั้น
“พี่ถังชอบแกล้งผม” ไอ้ป้องทำหน้างอง้ำเมื่อพูดถึงพี่ถัง ไอ้บ้านั่นมันชอบแกล้งคนที่เอ็นดูครับแต่มันก็สนิทกับไอ้ป้องมากจนเหมือนมีน้องชายเพิ่มมาอีกคนเลยล่ะ
“ตอนเด็กๆ พี่โดนตลอดอ่ะป้อง ถึงจะชอบแกล้งแต่นั่นก็เพราะรักล่ะนะ” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะเพราะนึกภาพตอนที่ไอ้พี่ถังกับไอ้ป้องหยอกกัน
“แต่พี่เคย์ช่วยผมตลอดนะฮะ ฮึ่ย! หมั่นไส้ ตอนไหนพี่เคย์จะกำราบพี่ถังได้กันเนี่ย เป็นสามีประสาอะไรหัดกลัวเมีย” ไอ้ป้องบ่นทำเอาผมกับพี่พลอยปล่อยก๊ากลั่นรถ
“ป้อง ป้องยังไม่เคยเห็นตอนที่แฟนรองโกรธนะ รองพูดอะไรไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ” พี่พลอยหันไปพูดกับเจ้าป้องทั้งน้ำตาเพราะหัวเราะจนท้องคัดของแข็ง
“ทำไมถึงเรียกว่ารองอ่ะครับ?” ไอ้ป้องเอียงคอถามอย่างสงสัย
“อ๋อ พี่ทำงานเป็นเลขาให้ถังเขาน่ะ เขาเป็นรองประธานบริษัทพี่ก็เลยติดเรียกว่ารอง ที่จริงเราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันนี่แหละ” พี่พลอยบอกพลางเช็ดน้ำตาออกจากหางตา
“ฮึ้ย! อยากเห็นตอนพี่ถังหงอจริงๆ ผมจะหัวเราะให้ฟันหลุดเลย” ไอ้ป้องตบเข่าอย่างอาฆาตทำให้ผมกับพี่พลอยกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
“ฮ่าๆๆ ยากอยู่นะ พี่เคย์น่ะชอบยอมพี่ถัง ถ้าไม่ถึงขีดสุดจริงๆ พี่เคย์ไม่ระเบิดนะ แต่ถ้าระเบิดมาครั้งหนึ่งล่ะก็...บอกเลยว่าไม่มีใครน่ากลัวเท่าพี่เคย์อีกแล้วล่ะ” ผมบอก
“ยังไงอ่ะพี่เปอร์? พี่เปอร์เคยเห็นพี่เคย์โกรธเหรอ?” ไอ้ป้องชะโงกหน้ามาถามอย่างสนใจ
“เคยสิ ก็ตอนนั้น...” ผมชะงักไปนิดก่อนจะหุบยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พี่เคย์โกรธจนผมกลัว เหตุการณ์นั้นคือตอนที่ผมถูกพี่ภีร์ข่มขืนและเป็นตอนที่ผม...ได้ยินคำว่ารักจากปากพี่ลุกซ์ “ตอนพี่ถูกรุมทำร้ายน่ะ พี่เคย์โมโห กระทืบไอ้คนที่ทำร้ายพี่เละเลยนะ น่ากลัวสุดๆ” ผมเล่าด้วยรอยยิ้มฝืนๆ เพื่อกลบเกลื่อน
จะว่าไป...ตอนนี้ผมเข้าหน้าพี่ภีร์ติดแบบไม่คิดอะไรแล้วล่ะครับ และผมก็กลับไปเรียกเขาว่าพี่แล้วล่ะ ตอนนี้เขาทำงานอยู่บริษัทปูนซีเมนต์ของคนที่รู้จักกัน จะบอกว่ารู้จักคงไม่ได้เพราะประธานบริษัทนั้นเป็นแฟนพี่ภีร์ ขอบอกว่าเป็นผู้ชายและหล่อมากด้วยครับ คึๆ แอบสะใจเล็กๆ ที่คนอย่างเขาถูกจิ้มซะเอง ผมล้อเขาตลอดเวลาที่เจอหน้ากันว่าคนอย่างเขาสุดท้ายก็มีผัว แม้จะยังหวิวๆ ที่ใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับการที่โดนเขาข่มขืนแล้วล่ะเพราะ...เอ่อ...ผมคิดว่าไม่มีใครสามารถลบสัมผัสของพี่ลุกซ์ได้
เฮ้อ...ไม่น่าไปรื้อฟื้นเลยเรา
“พี่เปอร์นะพี่เปอร์ ทำไมถึงยอมถูกทำร้ายง่ายๆ แบบนี้นะ” ไอ้ป้องบ่น บ่นเพราะห่วงผมรู้หรอก
“โธ่ พี่จะไปสู้อะไรเขาได้ล่ะป้อง แล้วที่พี่ให้เราไปเรียนเทควันโดกับพี่ลันพี่ไอก็ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ พี่ๆ เขาอุตส่าห์สละเวลามาสอน” ผมบอก พอดีผมขอร้องให้พี่ลันกับไอ้ไอมาสอนเจ้าป้องน่ะครับ อยากให้มันเก่งๆ ตอนนี้ไอ้ป้องเองก็ตัวสูงมากทีเดียว คิดว่าถ้าโตขึ้นคงสูงได้กว่านี้ ตอนนี้ก็เกือบเท่าผมละ
“ครับผม จะตั้งใจเรียนแล้วผมจะปกป้องพี่เปอร์เอง” ไอ้ป้องพูด ผมกับพี่พลอยจึงหันมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
พอมาถึงบ้านผมก็แนะนำพี่พลอยให้ทุกคนรู้จักจากนั้นก็เข้าครัวเพื่อทำอาหาร แม่กับพี่พลอยก็มาช่วยผมกับเจ้าป้องทำด้วยล่ะครับ พี่พลอยดูคล่องมากทีเดียว
หลังจากที่ทำอาหารเสร็จเราก็ไปนั่งกินด้วยกัน คุยกันสนุกสนาน พ่อกับแม่และพี่ชัชก็เอ็นดูพี่พลอยในฐานะรุ่นพี่ของผม พี่พลอยคุยสนุกก็เลยสนิทกับพวกท่านได้เร็วจนแม่บอกให้ชวนพี่พลอยมาอีก กินข้าวกันอิ่มผมก็เดินไปส่งพี่พลอยหน้าบ้านแล้วร่ำลากันไป
เช้าวันต่อมาผมมาทำงานเช้า พี่พลอยกับพี่ถังก็มาเช้าเราก็เลยนั่งจับกลุ่มกันที่โต๊ะทำงานพี่พลอยเพื่อคุยกันเล่นๆ ก่อนเข้างานโดยมีขนมเป็นกับแกล้ม
“คราวหน้าชวนกูด้วยนะมึง คิดถึงอาหารฝีมืออานภาจะแย่” ไอ้พี่ถังพูด
“อย่ามาพูด วันๆ ก็เห็นไปกินข้าวกับพี่เคย์ตลอด กลางวันพี่เคย์ก็มารับ กลางคืนก็มารับ หมั่นไส้ว่ะ” ผมแซว ถ้าอยู่ในเวลาปกติผมก็พูดกับพี่ถังแบบนี้แหละครับแต่ถ้าเวลาทำงานผมก็จะพูดดีๆ
“หยุดพูดเลย!” ไอ้พี่ถังชี้หน้าผมแล้วจับเม็ดขนุนยัดใส่ปากเพื่อให้ผมเงียบ
“ฮ่าๆ อิจฉาอ่ะรอง แฟนรองก็ล้อหล่อ เป็นถึงนายแบบแถมยังเป็นผอ.โรงเรียน อะๆ ยังมีอีก เป็นหุ้นส่วนบริษัทซะด้วย” พี่พลอยแซวบ้างทำให้พี่ถังจิ้มข้าวเหนียวใบเตยยัดใส่ปากพี่พลอยคำใหญ่
“พูดมากว่ะ ไปทำงานดีกว่า” ไอ้ถังเขินจัดจนต้องลุกหนี
“ทำงานก่อนเวลาแบบนี้หน้าที่การงานรุ่งเรืองแน่ค่ะรอง ฮิ้ว” พี่พลอยตะโกนแซวทำเอาผมขำจนเม็ดขนุนที่เคี้ยวอยู่เกือบติดคอ
“ขอโทษนะครับ จะมาทำงานได้หรือยัง?” และแล้วความสุขของผมก็ถูกขัดโดยคนที่ผมไม่อยากเจอ
“ครับ พี่พลอย ฝากกินให้หมดด้วยนะครับ” ผมหันไปตอบรับก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบกับพี่พลอยแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง
“ช่วยดูตารางงานให้ผมด้วยครับ วันนี้ผมมีนัดอะไรที่ไหนบ้าง” พี่ลุกซ์เดินมายืนกอดอกอยู่หน้าโต๊ะทำงานผมจึงรีบเปิดสมุดจดของผม ผมชอบใช้สมุดมากกว่าพวกเทคโนโลยีล้ำๆ ครับ ไอ้พวกนั้นผมเอาไว้เล่นเกม ฮ่าๆ
“ช่วงเช้าไม่มีนัดที่ไหนครับ เวลาบ่ายโมงตรงมีประชุมกับฝ่ายขาย สี่โมงเย็นมีนัดโทรคุยกับคู่ค้าที่ญี่ปุ่น หกโมงเย็นมีงานเลี้ยงขอบคุณบริษัทคู่ค้าที่โรงแรมxxxน่ะครับ” ผมเปิดสมุดแล้วรายงานออก
“งั้นช่วงเช้าคุณตามผมไปที่แผนกเครื่องยนต์ด้วย” พี่ลุกซ์บอก
“กี่โมงครับ?” ผมถามเพื่อจะได้เตรียมตัว
“จะกี่โมงคุณก็ต้องว่าง” พี่ลุกซ์พูดแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าห้องไป
“ก็กูจะได้เตรียมตัวไงวะว่าจะไปทำเหี้ยอะไรที่แผนกนั้น แม่ง! หมั่นไส้!” ผมมองตามแล้วยกนิ้วกลางใส่ประตูห้องของพี่ลุกซ์อย่างเจ็บใจ
62.5% left
ผมยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเครื่องเสียงเครื่องยนต์ที่ดังระงมในโกดังของฝ่ายเครื่องยนต์ ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าประธานบริษัทอื่นมีเวลาว่างมากแค่ไหนแต่บริษัทนี้ประธานล่องลอยมากครับ ที่เขามาที่นี่ไม่ได้มาตรวจงานหรืออะไรหรอกแต่เขามาซ่อมเครื่องยนต์ช่วยพวกช่างโดยมีผมยืนถือเสื้อเชิ้ตกับสูทให้พวกเขาเปลี่ยนไปใส่เสื้อช้อปและชุดหมีเรียบร้อย
คือ...ผมไม่รู้ว่าเขาขยันหรือเขาไม่มีอะไรจะทำกันแน่?
“อ้าว เปอร์ มาทำอะไรที่นี่วะ?” ผมสะดุ้งเมื่อมีคนมาสะกิด พอหันไปก็เห็นพี่ลันกับไอ้ไอที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากพี่ลุกซ์นัก เอ่อ...พวกระดับหัวหน้าของที่นี่เขาเป็นอย่างนี้นี่เอง
“คือ ผมมากับประธานน่ะครับ แล้วนี่...?” ผมมองทั้งสองคนอย่างสงสัย
“อ๋อ ก็มาดูงานน่ะ ดูเองด้วยซ่อมเองด้วย เอ้อ มึงมานี่ก็ดี เดี๋ยวพาไปแนะนำให้หัวหน้าช่างรู้จัก” ไอ้ลันบอกก่อนจะลากผมกับไอ้ไอไปหาผู้ชายที่กำลังยืนสั่งงานลูกน้องอยู่
“อะไหล่อันไหนที่ไม่พอทำไมไม่สั่งวะ? รีบไปเช็คสต็อคแล้วไปขอเบิกงบสั่งอะไหล่ด้วย รู้ไหมว่าอะไหล่เครื่องยนต์เราต้องสั่งจากต่างประเทศ กว่าของจะมามันนานนะเว้ย” คนที่พี่ลันพาพวกผมไปเจอยืนโวยวายใส่ลูกน้องอย่างหัวเสีย
“พี่อู๊ด” พี่ลันเรียกทำให้เขาหันมามอง ก่อนที่หน้าบูดๆ นั่นจะยิ้มให้
“อ้าว สวัสดีครับคุณลัน วันนี้มาเร็วดีนะครับ แต่คนที่มาเร็วกว่าก็นู่นแหละ ประธานคนใหม่ ชอบมาอยู่ที่นี่ทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะครับ” พี่อู๊ดพูดพลางชี้ไปที่พี่ลุกซ์ที่กำลังนอนราบอยู่ใต้ท้องรถ
“พอดีผมอยากแนะนำให้รู้จักคนนี้น่ะครับ เป็นเลขาของประธานแล้วก็เป็นรุ่นน้องของพวกเราด้วย” พี่ลันชี้มาที่ผม ผมจึงยกมือไหว้พี่อู๊ด
“สวัสดีครับ ชื่อปรินครับ เรียกเปอร์เฉยๆ ก็ได้ฮะ” ผมยิ้มให้กับเขา
“สวัสดีครับผม” พี่อู๊ดยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ไอ้นี่มันเป็นอาจารย์สอนวิศวะเครื่องกลที่มหาลัยเก่าของพวกผมมาก่อนน่ะครับ จริงๆ น่าจะมาทำงานแผนกนี้นะ น่าเสียดาย ย้ายไหมเปอร์?” พี่ลันถามทำให้ผมนิ่งไปเพราะผมสนใจจะย้ายมาก ผมเรียนมาด้านนี้ คิดว่าทำงานตรงนี้น่าจะดีซะกว่า
“ย้ายได้ป่ะพี่?” ผมถามอย่างสนใจ
“ทำเรื่องย้ายน่ะได้นะ แต่ในกรณีของมึงนี่น่าจะยากว่ะเพราะไอ้ลุกซ์มีอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่าง กูไม่คิดว่ามันจะให้มึงย้าย” ผมหน้าหงอยไปเมื่อได้ยินคำตอบ ถ้ารู้ว่ามันไม่มีทางแล้วมึงจะมาให้ความหวังกูตั้งแต่แรกทำไมวะไอ้พี่ลัน!
“ถ้าอยากทำงานตรงนี้ก็มาทำเหมือนประธานก็ได้นะครับคุณเปอร์ ก่อนหน้านี้ประมาณห้าปีประธานก็มาทำงานตรงนี้แหละครับ พวกช่างรักเขามากเลยล่ะเพราะเขาไม่ถือตัว” พี่อู๊ดบอกพลางมองไปที่พี่ลุกซ์ส่วนผมกับพี่ลันและไอ้ไอมองหน้ากันแล้วแทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน
“ก็ดีนะครับ ผมอยากทำงานตรงนี้ด้วย” ผมบอก
“อืม...งั้นเดี๋ยวผมไปหาชุดให้ละกันนะครับ” พี่อู๊ดบอกก่อนจะเดินไปคุยกับพนักงานของตัวเองส่วนผมก็หันมาคุยกับพี่ลันและไอ้ไอ
“เออ เดี๋ยวจะมีจัดอบรมช่างอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้า กูจะขอยืมตัวมึงมาเป็นวิทยากรหน่อยก็แล้วกัน” พี่ลันพูด
“ผมก็แล้วแต่เจ้านายนั่นแหละครับ รับงานโดยพลการไม่ได้หรอก” ผมบอก ขืนรับงานไปผมได้โดนด่าแหลกแน่เลย
“เดี๋ยวกูขอให้” พี่ลันบอก
“เอ๊ะ? พี่อู๊ดไปคุยกับพี่ลุกซ์แล้วล่ะครับ” ไอ้ไอพูดขึ้นทำให้ผมรีบหันขวับไปมองก็พบว่าพี่อู๊ดกำลังยืนคุยกับพี่ลุกซ์อยู่แล้วเขาก็กำลังหันมามองพวกเรา
คุยอยู่สักพักพี่ลุกซ์ก็ถอดถุงมือแล้วเดินดุ่มๆ เข้ามาหาพวกเราจากนั้นเขาก็คว้าข้อมือผมแล้วลากเดินไปที่ไหนซักที่
“เอ๊ะ? จะทำอะไรน่ะครับ?” ผมถามเสียงขุ่นพลางบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม
“ไปเปลี่ยนชุด จะทำงานด้วยไม่ใช่เหรอ?” พี่ลุกซ์จับข้อมือผมแน่นแล้วหันมาถาม
“ครับ แล้วจะให้ผมใส่ชุดใคร?” ผมขมวดคิ้วถามพลางพยายามบิดข้อมือออก
“ชุดผมไง คราวหน้าก็เอาชุดของคุณมาไว้ที่นี่ด้วยก็ได้” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยล็อกเกอร์แล้วเหวี่ยงผมเข้าไปในนั้น “เอาเสื้อกับสูทแขวนไว้ในล็อกเกอร์นั่นแหละ” พี่ลุกซ์บอกผมจึงเอาเสื้อกับสูทเขาแขวนไว้จากนั้นก็ถอดสูทของตัวเอง พอถึงขั้นตอนที่ต้องถอดเสื้อเชิ้ตผมก็หันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไล่ๆ
“ผมจะเปลี่ยนเสื้อ กรุณาออกไปก่อนได้ไหมครับ?” ผมถามเสียงเขียว
“ทุกคนเขาก็เปลี่ยนกันตรงนี้ไม่มีใครออกไปไหนนี่” พี่ลุกซ์ว่าแล้วกอดอกพิงตู้ล็อกเกอร์
ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างช่วยไม่ได้ เอาเถอะ เป็นผู้ชายเหมือนกันจะอายไปทำไม?
หมับ! ตึง!
“โอ๊ย!” ผมร้องเมื่อข้อมือถูกกระชากแล้วเหวี่ยงไปด้านหลังทำให้หลังผมกระแทกกับตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง ขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัวเอวของผมก็ถูกมือหยาบกร้านตะปบเอาไว้แล้วลูบไปมาด้วยจังหวะหนักหน่วง ผมอยากจะแหกปากร้องโวยวายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกปากของอีกฝ่ายประกบเอาไว้
“...”
“อื้อ ปละ...ปล่อย...” ผมพยายามเบือนหน้าหลบเพื่อร้องโวยวายแต่สุดก็ถูกปิดปากเอาไว้อีกครั้ง เมื่อร้องไม่ได้ผมก็พยายามใช้มือปัดมือหยาบๆ นั่นออกแต่ไม่ว่าจะปัดออกไปกี่ครั้งมันก็กลับมาบีบคลึงเอวผมได้เหมือนเดิม
“ฮืมมม” เสียงต่ำๆ ครางอย่างพึงพอใจ
“อ๊ะ! ปล่อย!” ผมร้องบอกเมื่อพี่ลุกซ์ผละออกจากปากผมแล้วโน้มหน้าลงไปดูดที่ต้นคอจนผมรู้สึกแสบ เมื่อกี้เขาจูบผมแรงมาก ทั้งดูดทั้งกัดจนแสบปากไปหมดแถมยังบีบเอวผมจนเจ็บไปหมดเหมือนกัน
“อย่าร้อง อยากให้ใครเข้ามาเห็นหรือไง” พี่ลุกซ์พูดแล้วขยับมาจูบปิดปากผมอีกรอบ มือก็เลื่อนมาลูบอยู่บริเวณหน้าอก
ผมเริ่มกลัว...กลัวว่าจะหนีไม่ได้ กลัวว่าจะตกเป็นของเขา กลัวการสัมผัสที่จะทำให้ผมคิดถึงอดีต กลัวไปหมดซะทุกอย่าง และเมื่อผมถูกความกลัวเข้าครอบงำผมก็หมดแรงที่จะขัดขืนเพราะรู้ว่าต่อให้ดิ้นมากเท่าไหร่ก็สู้แรงเขาคนนี้ไม่ได้
ผมปล่อยมือให้ตกลงข้างลำตัวก่อนจะปล่อยให้ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนยืนไม่อยู่
“ถ้าสิ่งนี้ถือว่าเป็นงานก็เชิญคุณทำต่อไปเถอะนะครับ เพราะผมก็มีค่าแค่นี้แหละ” ผมพูดออกมาอย่างเลื่อนลอยในขณะที่พี่ลุกซ์กำลังย่อตัวลงไปจูบที่ตัว
“พูดอะไร?” พี่ลุกซ์ผละหน้าออกไปจากช่วงอกผมแล้วถามโดยไม่ลืมช่วยพยุงด้วย
“ในสายตาของคุณคงเห็นผมเป็นพวกขายตัวแลกกับเงินสินะถึงได้ทำแบบนี้ คุณนี่ตาแหลมเนอะ มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าผมมันง่ายจนยอมให้คุณทำอะไรง่ายๆ” ผมพูดแล้วเม้มปากอย่างสะกดกั้นความรู้สึก
พี่ลุกซ์นิ่งไปนิดแล้วหยุดทุกกิจกรรมที่กำลังทำอยู่พลางถอยออกไป ผมค่อยๆ ยืนด้วยตัวเองพลางก้มหน้าพิงตู้ล็อกเกอร์โดยไม่ขยับไปไหน
“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาพี่อู๊ดซะ” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยปิดประตูเสียงดังจนผมสะดุ้ง
ผมค่อยๆ ทรุดลงนั่งกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย ผู้ชายคนนั้นเขาต้องการอะไรจากผมอีก เขาออกจากชีวิตผมไปแล้ว ทำไมถึงต้องกลับมาทำแบบนี้? เขาจะรู้บ้างไหมว่าการกระทำของเขาทำให้ผมเจ็บปวดแค่ไหน ใจมันเจ็บจนชาไปหมด เขาทำให้ผมรู้สึกเกลียดเขายิ่งกว่าอะไรซะอีก ผมไม่ได้ดีใจเลยซักนิดที่เขามาแตะต้องตัวผม
ผมเกลียดเขา เกลียดที่สุด!!
ผมกลับไปใส่ชุดเดิมแล้วออกจากห้องไปทำให้พวกพี่ลันแปลกใจมาก ที่ผมไม่เปลี่ยนชุดเพราะผมไม่อยากจะใส่เสื้อผ้าที่เป็นของเขาต่างหาก อะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาผมก็ไม่อยากจะเอามันมาใกล้ตัว ขยะแขยงว่ะ
“เกิดอะไรขึ้น?” พี่ลันขมวดคิ้วถามผมพลางหันไปมองพี่ลุกซ์ที่ยืนเท้าสะเอวชี้นิ้วสั่งพวกช่าง
“เปล่าหรอกครับ ชุดมันดูหลวมๆ ไปก็เลยไม่ใส่น่ะครับ” ผมบอก ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าผมแสดงความรู้สึกยังไงออกไปแต่บอกเลยว่าผมฝืนยิ้มปัญญาอ่อนไม่ได้
“งั้นยืมชุดผมก็ได้นะพี่เปอร์” ไอ้ไอเสนอแต่ผมก็ส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้คราวหน้าก็ได้” ผมบอก
“เออ! พวกฝ่ายบริหารมาชวนกูไปงานเลี้ยงรับมึงกับไอ้ลุกซ์น่ะ มึงจะไปหรือเปล่า?” พี่ลันถามอย่างนึกขึ้นได้ทำให้ผมต้องย่นจมูกพลางขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ
“เฮ้อ ผมก็ไม่อยากไปหรอกครับแต่มันเป็นงานเลี้ยงรับผมด้วยนี่นา พี่ลัน ไอ ไปด้วยกันนะ ช่วยผมหน่อย ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่ชายของพี่เลยว่ะ ถ้าจะให้ดี ช่วยเจรจาให้ผมย้ายแผนกหน่อยได้ไหม? ผมไม่ถนัดกับการเป็นเลขาหรอก” ผมถอนหายใจยาวพลางเดินไปลากเก้าอี้มานั่งอย่างเหนื่อยใจ พอใจมันล้าร่างกายก็พาลจะหมดแรงไปด้วย
“ไอ้คุยน่ะมันคุยได้นะแต่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จเสมอไป ยังไงมึงก็ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน” พี่ลันตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจเบาๆ
“พี่เตี้ย! ทำไมพี่ชายพี่เป็นคนอย่างนี้? เป็นพี่น้องกันประสาอะไร ไปอยู่อเมริกาด้วยกันแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักห้ามจักปราม ไอ้คนไม่ได้เรื่อง!!” ไอ้ไอหันไปมองพี่ลันด้วยสายตาโกรธเคืองก่อนจะเตะข้อพับขาแล้วต่อยไหล่ไปสามสี่ทีประหนึ่งแค้นเคืองกันมาแต่ชาติปางไหนจนผมเริ่มจะแปลกใจว่าตกลงพี่ลันเป็นผัวหรือเป็นทาสมันกันแน่ ไอ้พี่ลันนี่ก็ยอมเอายอมเอา สงสัยถ้าไม่ยอมไอ้ไอมันจะไม่ให้เอาล่ะมั้ง
“โอ๊ย ไอ้เปอร์! เพราะมึงเลยเนี่ย” พี่หันยกแขนขึ้นกันหมัดไอ้ไอแล้วหันมามองผม ผมมองสองคนนั้นขำๆ แล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจพี่ลัน
“ไอ้ไอ เดี๋ยวนี้มึงเห็นผัวเป็นทาสเหรอวะ? ฮ่าๆ” ผมถามพลางหัวเราะอย่างขำๆ มองแล้วก็อิจฉา พี่ลันน่ะเมื่อก่อนทั้งนิ่งและเย็นชา ยิ้มก็ไม่ค่อยจะเป็นและไม่เคยพูดเล่นกับใครด้วยแต่พอมีไอ้ไอเข้ามาในชีวิตพี่ลันก็เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
เฮ้อ พอมาคิดเทียบกันเรื่องของตัวเองแล้วมันเศร้า จะว่าไป...พี่ลันเองก็ไปเรียนต่อเหมือนกันแต่ไปไม่นาน พอกลับมา ใจของพี่ลันก็ไม่เปลี่ยน คนเป็นน้องจิตใจมั่นคงดั่งหินผาแต่คนเป็นพี่กลับจิตใจโลเล ไม่รู้ว่าคุณพ่อคิดยังไงถึงให้คนอย่างพี่ลุกซ์ขึ้นรับตำแหน่งแทน
“มันเห็นกูเป็นยิ่งกว่าทาส กูเป็นหัวหน้าแท้ๆ แต่แม่งจิกหัวใช้กูตลอดแหละ” พี่ลันบ่นแล้วรวบมือไอ้ไอไว้ไม่ให้มันประทุษร้ายตัวเองได้อีก
“ใช้อะไร?” ไอ้ไอมองพี่ลันอย่างเอาเรื่อง
“ล้างจาน” เมื่อได้ยินคำตอบผมถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นี่พี่ลันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะเนี่ย โอ๊ย ตลกมาก ไม่ไหวละ นึกภาพคนนิ่งๆ หน้าดุๆ อย่างพี่ลันหงอเพราะเมียไม่ออกเลยจริงๆ แฮะ มันฮามาก!
“แค่ล้างจานทำมาเป็นบ่น ผมน่ะทำทุกอย่างในบ้านเลยนะ!” ไอ้ไอแยกเขี้ยวใส่พี่ลันพลางพยายามจะสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมเพื่อประทุษร้ายพี่ลัน
“เป็นเมียก็ต้องทำงานทุกอย่างมันก็ถูกแล้วนี่” พี่ลันจับไอ้ไอไว้แน่นแล้วเถียงกลับ
“ไม่เกี่ยว!” ไอ้ไอถลึงตาใส่พี่ลันแล้วขู่ฟ่อจนผมหัวเราะไม่หยุด ผัวเมียตีกันนี่ก็ดูตลกดีนะครับ
“ฮ่าๆๆ ทะเลาะกันเหมือนคู่ผัวเมียที่อยู่กันจนเบื่อขี้หน้าเลยนะ” ผมพูดขำๆ
“ไม่เบื่อหรอก อยากกดทุกวันเลย” พี่ลันพูดแล้วหันไปมองหน้าไอ้ไอทำเอามันเขินจนหน้าแดงแต่ก็แกล้งทำเป็นเคืองกลบเกลื่อน
“หมั่นไส้ว่ะ ไปๆ ไปทำงาน อย่ามัวแต่มาสวีตกันอวดคนโสดได้ป่ะ?” ผมโบกมือไล่สองคนนั้นอย่างหมั่นไส้
“ถ้าอิจฉาก็รีบหาผัวเข้าล่ะ” พี่ลันบอกก่อนจะหันไปกวักมือเรียกช่างมาคุย
“ไม่ล่ะ คราวนี้จะเอาเมีย” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเหลือบตาไปมองที่พี่ลุกซ์ที่กำลังปีนขึ้นไปบนเครนยกรถแล้วก็เอาประแจเคาะล้อแมกซ์เพื่อเช็คอาการก่อนจะหันไปสั่งงานช่างอย่างขยันขันแข็ง
++++++++++++++++++++++++++++++++
พอเลิกงานผมก็พาพี่พลอยไปที่บ้านของผมโดยที่ไปรถของพี่พลอยเพราะผมไม่มีรถแล้ว ผมขอพี่พลอยแวะรับเจ้าป้องกลับด้วยเพราะมันเป็นทางผ่าน
“สวัสดีฮะ” ไอ้ป้องยกมือไหว้พี่พลอยอย่างนอบน้อม
“สวัสดีจ้ะ นี่น้องป้องใช่ไหม? หน้าตาดีนะเนี่ย รออีกสักสิบปีมาแต่งงานกับพี่ไหมจ๊ะ? ฮ่าๆๆ” พี่พลอยหัวเราะร่าจนไอ้ป้องหันมามองหน้าผมอย่างตกใจ
“พี่พลอยเป็นคนอารมณ์ดีน่ะป้อง” ผมบอกเพื่อไม่ให้มันตกใจมากนัก
“อ๋อ ครับ” ไอ้ป้องพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เดี๋ยววันนี้ช่วยพี่เข้าครัวหน่อยนะ จะเลี้ยงข้าวพี่พลอยน่ะ พี่พลอยช่วยสอนงานพี่เยอะแยะเลย” ผมหันไปบอกเจ้าป้องที่นั่งอยู่เบาะหลัง ตอนนี้ผมเป็นคนขับรถน่ะครับ
“ได้เลยครับ” ไอ้ป้องตอบรับเสียงใส
“ตัวแค่นี้เข้าครัวเป็นแล้วเหรอจ๊ะ? เก่งจังเลย” พี่พลอยพูดอย่างเอ็นดู
“ฮะ ผมทำเป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะครับ”
“ป้องน่ะต้องดูแลพ่อมาตั้งแต่เด็กน่ะ พ่อเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่คอนโดที่ผมเคยอยู่เลยไม่ค่อยมีเวลา ผมก็เลยสนิทกับเขาและชอบเอาเจ้าป้องมาเลี้ยงน่ะครับ ตอนผมเรียนจบพี่ชัชเขาตกงานผมก็เลยให้มาทำงานที่บ้านและรับเลี้ยงเจ้าป้อง เด็กนี่เป็นเหมือนน้องชายผมเลยล่ะ ผมรักเขามากเลยล่ะครับ” ผมมองไอ้ป้องผ่านกระจกอย่างเอ็นดู ที่ผมเล่าให้พี่พลอยฟังได้เพราะผมร่าพี่พลอยไม่มีทางจะดูถูกไอ้ป้องแน่นอนและไอ้ป้องเองก็ไม่คิดว่าการที่มีพ่อเป็นยามจะเป็นปมด้อย ผมสอนเสมอว่าอย่าลดค่าของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราเจ็บปวดซะเอง
“ป้องก็รักพี่เปอร์ครับ” ไอ้ป้องพูดอ้อนๆ จนพี่พลอยอดไม่ได้ที่จะหันไปหยิกแก้มนั่นเบาๆ
“น่ารักกันจริงๆ นะพี่น้องคู่นี้ พี่นึกถึงตอนที่รองเล่าเรื่องเปอร์ให้พี่ฟังเลย เวลาพูดถึงเปอร์รองมักจะพูดด้วยสีหน้าเอ็นดูเสมอ แฟนรองก็ด้วย” พี่พลอยบอก
“ไอ้พี่ถังอ่ะนะ? ต่อหน้าผมมันชอบทำท่ากวนประสาทจะตายแต่พี่เคย์นี่น่ารักกับผมตลอดแหละ” ผมขำนิดๆ ผมกับพี่ถังเรารักกันมากแต่จะให้มาแสดงความรักต่อกันนี่คงจะไม่ไหวเพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็กก็เลยไม่มีอารมณ์มารักกันขนาดนั้น แต่ไม่คิดเลยแฮะว่ามันจะชอบเล่าเรื่องของผมขนาดนั้น
“พี่ถังชอบแกล้งผม” ไอ้ป้องทำหน้างอง้ำเมื่อพูดถึงพี่ถัง ไอ้บ้านั่นมันชอบแกล้งคนที่เอ็นดูครับแต่มันก็สนิทกับไอ้ป้องมากจนเหมือนมีน้องชายเพิ่มมาอีกคนเลยล่ะ
“ตอนเด็กๆ พี่โดนตลอดอ่ะป้อง ถึงจะชอบแกล้งแต่นั่นก็เพราะรักล่ะนะ” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะเพราะนึกภาพตอนที่ไอ้พี่ถังกับไอ้ป้องหยอกกัน
“แต่พี่เคย์ช่วยผมตลอดนะฮะ ฮึ่ย! หมั่นไส้ ตอนไหนพี่เคย์จะกำราบพี่ถังได้กันเนี่ย เป็นสามีประสาอะไรหัดกลัวเมีย” ไอ้ป้องบ่นทำเอาผมกับพี่พลอยปล่อยก๊ากลั่นรถ
“ป้อง ป้องยังไม่เคยเห็นตอนที่แฟนรองโกรธนะ รองพูดอะไรไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ” พี่พลอยหันไปพูดกับเจ้าป้องทั้งน้ำตาเพราะหัวเราะจนท้องคัดของแข็ง
“ทำไมถึงเรียกว่ารองอ่ะครับ?” ไอ้ป้องเอียงคอถามอย่างสงสัย
“อ๋อ พี่ทำงานเป็นเลขาให้ถังเขาน่ะ เขาเป็นรองประธานบริษัทพี่ก็เลยติดเรียกว่ารอง ที่จริงเราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันนี่แหละ” พี่พลอยบอกพลางเช็ดน้ำตาออกจากหางตา
“ฮึ้ย! อยากเห็นตอนพี่ถังหงอจริงๆ ผมจะหัวเราะให้ฟันหลุดเลย” ไอ้ป้องตบเข่าอย่างอาฆาตทำให้ผมกับพี่พลอยกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
“ฮ่าๆๆ ยากอยู่นะ พี่เคย์น่ะชอบยอมพี่ถัง ถ้าไม่ถึงขีดสุดจริงๆ พี่เคย์ไม่ระเบิดนะ แต่ถ้าระเบิดมาครั้งหนึ่งล่ะก็...บอกเลยว่าไม่มีใครน่ากลัวเท่าพี่เคย์อีกแล้วล่ะ” ผมบอก
“ยังไงอ่ะพี่เปอร์? พี่เปอร์เคยเห็นพี่เคย์โกรธเหรอ?” ไอ้ป้องชะโงกหน้ามาถามอย่างสนใจ
“เคยสิ ก็ตอนนั้น...” ผมชะงักไปนิดก่อนจะหุบยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พี่เคย์โกรธจนผมกลัว เหตุการณ์นั้นคือตอนที่ผมถูกพี่ภีร์ข่มขืนและเป็นตอนที่ผม...ได้ยินคำว่ารักจากปากพี่ลุกซ์ “ตอนพี่ถูกรุมทำร้ายน่ะ พี่เคย์โมโห กระทืบไอ้คนที่ทำร้ายพี่เละเลยนะ น่ากลัวสุดๆ” ผมเล่าด้วยรอยยิ้มฝืนๆ เพื่อกลบเกลื่อน
จะว่าไป...ตอนนี้ผมเข้าหน้าพี่ภีร์ติดแบบไม่คิดอะไรแล้วล่ะครับ และผมก็กลับไปเรียกเขาว่าพี่แล้วล่ะ ตอนนี้เขาทำงานอยู่บริษัทปูนซีเมนต์ของคนที่รู้จักกัน จะบอกว่ารู้จักคงไม่ได้เพราะประธานบริษัทนั้นเป็นแฟนพี่ภีร์ ขอบอกว่าเป็นผู้ชายและหล่อมากด้วยครับ คึๆ แอบสะใจเล็กๆ ที่คนอย่างเขาถูกจิ้มซะเอง ผมล้อเขาตลอดเวลาที่เจอหน้ากันว่าคนอย่างเขาสุดท้ายก็มีผัว แม้จะยังหวิวๆ ที่ใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับการที่โดนเขาข่มขืนแล้วล่ะเพราะ...เอ่อ...ผมคิดว่าไม่มีใครสามารถลบสัมผัสของพี่ลุกซ์ได้
เฮ้อ...ไม่น่าไปรื้อฟื้นเลยเรา
“พี่เปอร์นะพี่เปอร์ ทำไมถึงยอมถูกทำร้ายง่ายๆ แบบนี้นะ” ไอ้ป้องบ่น บ่นเพราะห่วงผมรู้หรอก
“โธ่ พี่จะไปสู้อะไรเขาได้ล่ะป้อง แล้วที่พี่ให้เราไปเรียนเทควันโดกับพี่ลันพี่ไอก็ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ พี่ๆ เขาอุตส่าห์สละเวลามาสอน” ผมบอก พอดีผมขอร้องให้พี่ลันกับไอ้ไอมาสอนเจ้าป้องน่ะครับ อยากให้มันเก่งๆ ตอนนี้ไอ้ป้องเองก็ตัวสูงมากทีเดียว คิดว่าถ้าโตขึ้นคงสูงได้กว่านี้ ตอนนี้ก็เกือบเท่าผมละ
“ครับผม จะตั้งใจเรียนแล้วผมจะปกป้องพี่เปอร์เอง” ไอ้ป้องพูด ผมกับพี่พลอยจึงหันมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
พอมาถึงบ้านผมก็แนะนำพี่พลอยให้ทุกคนรู้จักจากนั้นก็เข้าครัวเพื่อทำอาหาร แม่กับพี่พลอยก็มาช่วยผมกับเจ้าป้องทำด้วยล่ะครับ พี่พลอยดูคล่องมากทีเดียว
หลังจากที่ทำอาหารเสร็จเราก็ไปนั่งกินด้วยกัน คุยกันสนุกสนาน พ่อกับแม่และพี่ชัชก็เอ็นดูพี่พลอยในฐานะรุ่นพี่ของผม พี่พลอยคุยสนุกก็เลยสนิทกับพวกท่านได้เร็วจนแม่บอกให้ชวนพี่พลอยมาอีก กินข้าวกันอิ่มผมก็เดินไปส่งพี่พลอยหน้าบ้านแล้วร่ำลากันไป
เช้าวันต่อมาผมมาทำงานเช้า พี่พลอยกับพี่ถังก็มาเช้าเราก็เลยนั่งจับกลุ่มกันที่โต๊ะทำงานพี่พลอยเพื่อคุยกันเล่นๆ ก่อนเข้างานโดยมีขนมเป็นกับแกล้ม
“คราวหน้าชวนกูด้วยนะมึง คิดถึงอาหารฝีมืออานภาจะแย่” ไอ้พี่ถังพูด
“อย่ามาพูด วันๆ ก็เห็นไปกินข้าวกับพี่เคย์ตลอด กลางวันพี่เคย์ก็มารับ กลางคืนก็มารับ หมั่นไส้ว่ะ” ผมแซว ถ้าอยู่ในเวลาปกติผมก็พูดกับพี่ถังแบบนี้แหละครับแต่ถ้าเวลาทำงานผมก็จะพูดดีๆ
“หยุดพูดเลย!” ไอ้พี่ถังชี้หน้าผมแล้วจับเม็ดขนุนยัดใส่ปากเพื่อให้ผมเงียบ
“ฮ่าๆ อิจฉาอ่ะรอง แฟนรองก็ล้อหล่อ เป็นถึงนายแบบแถมยังเป็นผอ.โรงเรียน อะๆ ยังมีอีก เป็นหุ้นส่วนบริษัทซะด้วย” พี่พลอยแซวบ้างทำให้พี่ถังจิ้มข้าวเหนียวใบเตยยัดใส่ปากพี่พลอยคำใหญ่
“พูดมากว่ะ ไปทำงานดีกว่า” ไอ้ถังเขินจัดจนต้องลุกหนี
“ทำงานก่อนเวลาแบบนี้หน้าที่การงานรุ่งเรืองแน่ค่ะรอง ฮิ้ว” พี่พลอยตะโกนแซวทำเอาผมขำจนเม็ดขนุนที่เคี้ยวอยู่เกือบติดคอ
“ขอโทษนะครับ จะมาทำงานได้หรือยัง?” และแล้วความสุขของผมก็ถูกขัดโดยคนที่ผมไม่อยากเจอ
“ครับ พี่พลอย ฝากกินให้หมดด้วยนะครับ” ผมหันไปตอบรับก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบกับพี่พลอยแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง
“ช่วยดูตารางงานให้ผมด้วยครับ วันนี้ผมมีนัดอะไรที่ไหนบ้าง” พี่ลุกซ์เดินมายืนกอดอกอยู่หน้าโต๊ะทำงานผมจึงรีบเปิดสมุดจดของผม ผมชอบใช้สมุดมากกว่าพวกเทคโนโลยีล้ำๆ ครับ ไอ้พวกนั้นผมเอาไว้เล่นเกม ฮ่าๆ
“ช่วงเช้าไม่มีนัดที่ไหนครับ เวลาบ่ายโมงตรงมีประชุมกับฝ่ายขาย สี่โมงเย็นมีนัดโทรคุยกับคู่ค้าที่ญี่ปุ่น หกโมงเย็นมีงานเลี้ยงขอบคุณบริษัทคู่ค้าที่โรงแรมxxxน่ะครับ” ผมเปิดสมุดแล้วรายงานออก
“งั้นช่วงเช้าคุณตามผมไปที่แผนกเครื่องยนต์ด้วย” พี่ลุกซ์บอก
“กี่โมงครับ?” ผมถามเพื่อจะได้เตรียมตัว
“จะกี่โมงคุณก็ต้องว่าง” พี่ลุกซ์พูดแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าห้องไป
“ก็กูจะได้เตรียมตัวไงวะว่าจะไปทำเหี้ยอะไรที่แผนกนั้น แม่ง! หมั่นไส้!” ผมมองตามแล้วยกนิ้วกลางใส่ประตูห้องของพี่ลุกซ์อย่างเจ็บใจ
62.5% left
ผมยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเครื่องเสียงเครื่องยนต์ที่ดังระงมในโกดังของฝ่ายเครื่องยนต์ ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าประธานบริษัทอื่นมีเวลาว่างมากแค่ไหนแต่บริษัทนี้ประธานล่องลอยมากครับ ที่เขามาที่นี่ไม่ได้มาตรวจงานหรืออะไรหรอกแต่เขามาซ่อมเครื่องยนต์ช่วยพวกช่างโดยมีผมยืนถือเสื้อเชิ้ตกับสูทให้พวกเขาเปลี่ยนไปใส่เสื้อช้อปและชุดหมีเรียบร้อย
คือ...ผมไม่รู้ว่าเขาขยันหรือเขาไม่มีอะไรจะทำกันแน่?
“อ้าว เปอร์ มาทำอะไรที่นี่วะ?” ผมสะดุ้งเมื่อมีคนมาสะกิด พอหันไปก็เห็นพี่ลันกับไอ้ไอที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากพี่ลุกซ์นัก เอ่อ...พวกระดับหัวหน้าของที่นี่เขาเป็นอย่างนี้นี่เอง
“คือ ผมมากับประธานน่ะครับ แล้วนี่...?” ผมมองทั้งสองคนอย่างสงสัย
“อ๋อ ก็มาดูงานน่ะ ดูเองด้วยซ่อมเองด้วย เอ้อ มึงมานี่ก็ดี เดี๋ยวพาไปแนะนำให้หัวหน้าช่างรู้จัก” ไอ้ลันบอกก่อนจะลากผมกับไอ้ไอไปหาผู้ชายที่กำลังยืนสั่งงานลูกน้องอยู่
“อะไหล่อันไหนที่ไม่พอทำไมไม่สั่งวะ? รีบไปเช็คสต็อคแล้วไปขอเบิกงบสั่งอะไหล่ด้วย รู้ไหมว่าอะไหล่เครื่องยนต์เราต้องสั่งจากต่างประเทศ กว่าของจะมามันนานนะเว้ย” คนที่พี่ลันพาพวกผมไปเจอยืนโวยวายใส่ลูกน้องอย่างหัวเสีย
“พี่อู๊ด” พี่ลันเรียกทำให้เขาหันมามอง ก่อนที่หน้าบูดๆ นั่นจะยิ้มให้
“อ้าว สวัสดีครับคุณลัน วันนี้มาเร็วดีนะครับ แต่คนที่มาเร็วกว่าก็นู่นแหละ ประธานคนใหม่ ชอบมาอยู่ที่นี่ทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะครับ” พี่อู๊ดพูดพลางชี้ไปที่พี่ลุกซ์ที่กำลังนอนราบอยู่ใต้ท้องรถ
“พอดีผมอยากแนะนำให้รู้จักคนนี้น่ะครับ เป็นเลขาของประธานแล้วก็เป็นรุ่นน้องของพวกเราด้วย” พี่ลันชี้มาที่ผม ผมจึงยกมือไหว้พี่อู๊ด
“สวัสดีครับ ชื่อปรินครับ เรียกเปอร์เฉยๆ ก็ได้ฮะ” ผมยิ้มให้กับเขา
“สวัสดีครับผม” พี่อู๊ดยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ไอ้นี่มันเป็นอาจารย์สอนวิศวะเครื่องกลที่มหาลัยเก่าของพวกผมมาก่อนน่ะครับ จริงๆ น่าจะมาทำงานแผนกนี้นะ น่าเสียดาย ย้ายไหมเปอร์?” พี่ลันถามทำให้ผมนิ่งไปเพราะผมสนใจจะย้ายมาก ผมเรียนมาด้านนี้ คิดว่าทำงานตรงนี้น่าจะดีซะกว่า
“ย้ายได้ป่ะพี่?” ผมถามอย่างสนใจ
“ทำเรื่องย้ายน่ะได้นะ แต่ในกรณีของมึงนี่น่าจะยากว่ะเพราะไอ้ลุกซ์มีอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่าง กูไม่คิดว่ามันจะให้มึงย้าย” ผมหน้าหงอยไปเมื่อได้ยินคำตอบ ถ้ารู้ว่ามันไม่มีทางแล้วมึงจะมาให้ความหวังกูตั้งแต่แรกทำไมวะไอ้พี่ลัน!
“ถ้าอยากทำงานตรงนี้ก็มาทำเหมือนประธานก็ได้นะครับคุณเปอร์ ก่อนหน้านี้ประมาณห้าปีประธานก็มาทำงานตรงนี้แหละครับ พวกช่างรักเขามากเลยล่ะเพราะเขาไม่ถือตัว” พี่อู๊ดบอกพลางมองไปที่พี่ลุกซ์ส่วนผมกับพี่ลันและไอ้ไอมองหน้ากันแล้วแทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน
“ก็ดีนะครับ ผมอยากทำงานตรงนี้ด้วย” ผมบอก
“อืม...งั้นเดี๋ยวผมไปหาชุดให้ละกันนะครับ” พี่อู๊ดบอกก่อนจะเดินไปคุยกับพนักงานของตัวเองส่วนผมก็หันมาคุยกับพี่ลันและไอ้ไอ
“เออ เดี๋ยวจะมีจัดอบรมช่างอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้า กูจะขอยืมตัวมึงมาเป็นวิทยากรหน่อยก็แล้วกัน” พี่ลันพูด
“ผมก็แล้วแต่เจ้านายนั่นแหละครับ รับงานโดยพลการไม่ได้หรอก” ผมบอก ขืนรับงานไปผมได้โดนด่าแหลกแน่เลย
“เดี๋ยวกูขอให้” พี่ลันบอก
“เอ๊ะ? พี่อู๊ดไปคุยกับพี่ลุกซ์แล้วล่ะครับ” ไอ้ไอพูดขึ้นทำให้ผมรีบหันขวับไปมองก็พบว่าพี่อู๊ดกำลังยืนคุยกับพี่ลุกซ์อยู่แล้วเขาก็กำลังหันมามองพวกเรา
คุยอยู่สักพักพี่ลุกซ์ก็ถอดถุงมือแล้วเดินดุ่มๆ เข้ามาหาพวกเราจากนั้นเขาก็คว้าข้อมือผมแล้วลากเดินไปที่ไหนซักที่
“เอ๊ะ? จะทำอะไรน่ะครับ?” ผมถามเสียงขุ่นพลางบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม
“ไปเปลี่ยนชุด จะทำงานด้วยไม่ใช่เหรอ?” พี่ลุกซ์จับข้อมือผมแน่นแล้วหันมาถาม
“ครับ แล้วจะให้ผมใส่ชุดใคร?” ผมขมวดคิ้วถามพลางพยายามบิดข้อมือออก
“ชุดผมไง คราวหน้าก็เอาชุดของคุณมาไว้ที่นี่ด้วยก็ได้” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยล็อกเกอร์แล้วเหวี่ยงผมเข้าไปในนั้น “เอาเสื้อกับสูทแขวนไว้ในล็อกเกอร์นั่นแหละ” พี่ลุกซ์บอกผมจึงเอาเสื้อกับสูทเขาแขวนไว้จากนั้นก็ถอดสูทของตัวเอง พอถึงขั้นตอนที่ต้องถอดเสื้อเชิ้ตผมก็หันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไล่ๆ
“ผมจะเปลี่ยนเสื้อ กรุณาออกไปก่อนได้ไหมครับ?” ผมถามเสียงเขียว
“ทุกคนเขาก็เปลี่ยนกันตรงนี้ไม่มีใครออกไปไหนนี่” พี่ลุกซ์ว่าแล้วกอดอกพิงตู้ล็อกเกอร์
ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างช่วยไม่ได้ เอาเถอะ เป็นผู้ชายเหมือนกันจะอายไปทำไม?
หมับ! ตึง!
“โอ๊ย!” ผมร้องเมื่อข้อมือถูกกระชากแล้วเหวี่ยงไปด้านหลังทำให้หลังผมกระแทกกับตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง ขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัวเอวของผมก็ถูกมือหยาบกร้านตะปบเอาไว้แล้วลูบไปมาด้วยจังหวะหนักหน่วง ผมอยากจะแหกปากร้องโวยวายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกปากของอีกฝ่ายประกบเอาไว้
“...”
“อื้อ ปละ...ปล่อย...” ผมพยายามเบือนหน้าหลบเพื่อร้องโวยวายแต่สุดก็ถูกปิดปากเอาไว้อีกครั้ง เมื่อร้องไม่ได้ผมก็พยายามใช้มือปัดมือหยาบๆ นั่นออกแต่ไม่ว่าจะปัดออกไปกี่ครั้งมันก็กลับมาบีบคลึงเอวผมได้เหมือนเดิม
“ฮืมมม” เสียงต่ำๆ ครางอย่างพึงพอใจ
“อ๊ะ! ปล่อย!” ผมร้องบอกเมื่อพี่ลุกซ์ผละออกจากปากผมแล้วโน้มหน้าลงไปดูดที่ต้นคอจนผมรู้สึกแสบ เมื่อกี้เขาจูบผมแรงมาก ทั้งดูดทั้งกัดจนแสบปากไปหมดแถมยังบีบเอวผมจนเจ็บไปหมดเหมือนกัน
“อย่าร้อง อยากให้ใครเข้ามาเห็นหรือไง” พี่ลุกซ์พูดแล้วขยับมาจูบปิดปากผมอีกรอบ มือก็เลื่อนมาลูบอยู่บริเวณหน้าอก
ผมเริ่มกลัว...กลัวว่าจะหนีไม่ได้ กลัวว่าจะตกเป็นของเขา กลัวการสัมผัสที่จะทำให้ผมคิดถึงอดีต กลัวไปหมดซะทุกอย่าง และเมื่อผมถูกความกลัวเข้าครอบงำผมก็หมดแรงที่จะขัดขืนเพราะรู้ว่าต่อให้ดิ้นมากเท่าไหร่ก็สู้แรงเขาคนนี้ไม่ได้
ผมปล่อยมือให้ตกลงข้างลำตัวก่อนจะปล่อยให้ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนยืนไม่อยู่
“ถ้าสิ่งนี้ถือว่าเป็นงานก็เชิญคุณทำต่อไปเถอะนะครับ เพราะผมก็มีค่าแค่นี้แหละ” ผมพูดออกมาอย่างเลื่อนลอยในขณะที่พี่ลุกซ์กำลังย่อตัวลงไปจูบที่ตัว
“พูดอะไร?” พี่ลุกซ์ผละหน้าออกไปจากช่วงอกผมแล้วถามโดยไม่ลืมช่วยพยุงด้วย
“ในสายตาของคุณคงเห็นผมเป็นพวกขายตัวแลกกับเงินสินะถึงได้ทำแบบนี้ คุณนี่ตาแหลมเนอะ มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าผมมันง่ายจนยอมให้คุณทำอะไรง่ายๆ” ผมพูดแล้วเม้มปากอย่างสะกดกั้นความรู้สึก
พี่ลุกซ์นิ่งไปนิดแล้วหยุดทุกกิจกรรมที่กำลังทำอยู่พลางถอยออกไป ผมค่อยๆ ยืนด้วยตัวเองพลางก้มหน้าพิงตู้ล็อกเกอร์โดยไม่ขยับไปไหน
“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาพี่อู๊ดซะ” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยปิดประตูเสียงดังจนผมสะดุ้ง
ผมค่อยๆ ทรุดลงนั่งกุมขมับอย่างเหนื่อยใจ ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วย ผู้ชายคนนั้นเขาต้องการอะไรจากผมอีก เขาออกจากชีวิตผมไปแล้ว ทำไมถึงต้องกลับมาทำแบบนี้? เขาจะรู้บ้างไหมว่าการกระทำของเขาทำให้ผมเจ็บปวดแค่ไหน ใจมันเจ็บจนชาไปหมด เขาทำให้ผมรู้สึกเกลียดเขายิ่งกว่าอะไรซะอีก ผมไม่ได้ดีใจเลยซักนิดที่เขามาแตะต้องตัวผม
ผมเกลียดเขา เกลียดที่สุด!!
ผมกลับไปใส่ชุดเดิมแล้วออกจากห้องไปทำให้พวกพี่ลันแปลกใจมาก ที่ผมไม่เปลี่ยนชุดเพราะผมไม่อยากจะใส่เสื้อผ้าที่เป็นของเขาต่างหาก อะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาผมก็ไม่อยากจะเอามันมาใกล้ตัว ขยะแขยงว่ะ
“เกิดอะไรขึ้น?” พี่ลันขมวดคิ้วถามผมพลางหันไปมองพี่ลุกซ์ที่ยืนเท้าสะเอวชี้นิ้วสั่งพวกช่าง
“เปล่าหรอกครับ ชุดมันดูหลวมๆ ไปก็เลยไม่ใส่น่ะครับ” ผมบอก ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าผมแสดงความรู้สึกยังไงออกไปแต่บอกเลยว่าผมฝืนยิ้มปัญญาอ่อนไม่ได้
“งั้นยืมชุดผมก็ได้นะพี่เปอร์” ไอ้ไอเสนอแต่ผมก็ส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้คราวหน้าก็ได้” ผมบอก
“เออ! พวกฝ่ายบริหารมาชวนกูไปงานเลี้ยงรับมึงกับไอ้ลุกซ์น่ะ มึงจะไปหรือเปล่า?” พี่ลันถามอย่างนึกขึ้นได้ทำให้ผมต้องย่นจมูกพลางขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ
“เฮ้อ ผมก็ไม่อยากไปหรอกครับแต่มันเป็นงานเลี้ยงรับผมด้วยนี่นา พี่ลัน ไอ ไปด้วยกันนะ ช่วยผมหน่อย ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่ชายของพี่เลยว่ะ ถ้าจะให้ดี ช่วยเจรจาให้ผมย้ายแผนกหน่อยได้ไหม? ผมไม่ถนัดกับการเป็นเลขาหรอก” ผมถอนหายใจยาวพลางเดินไปลากเก้าอี้มานั่งอย่างเหนื่อยใจ พอใจมันล้าร่างกายก็พาลจะหมดแรงไปด้วย
“ไอ้คุยน่ะมันคุยได้นะแต่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จเสมอไป ยังไงมึงก็ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน” พี่ลันตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจเบาๆ
“พี่เตี้ย! ทำไมพี่ชายพี่เป็นคนอย่างนี้? เป็นพี่น้องกันประสาอะไร ไปอยู่อเมริกาด้วยกันแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักห้ามจักปราม ไอ้คนไม่ได้เรื่อง!!” ไอ้ไอหันไปมองพี่ลันด้วยสายตาโกรธเคืองก่อนจะเตะข้อพับขาแล้วต่อยไหล่ไปสามสี่ทีประหนึ่งแค้นเคืองกันมาแต่ชาติปางไหนจนผมเริ่มจะแปลกใจว่าตกลงพี่ลันเป็นผัวหรือเป็นทาสมันกันแน่ ไอ้พี่ลันนี่ก็ยอมเอายอมเอา สงสัยถ้าไม่ยอมไอ้ไอมันจะไม่ให้เอาล่ะมั้ง
“โอ๊ย ไอ้เปอร์! เพราะมึงเลยเนี่ย” พี่หันยกแขนขึ้นกันหมัดไอ้ไอแล้วหันมามองผม ผมมองสองคนนั้นขำๆ แล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจพี่ลัน
“ไอ้ไอ เดี๋ยวนี้มึงเห็นผัวเป็นทาสเหรอวะ? ฮ่าๆ” ผมถามพลางหัวเราะอย่างขำๆ มองแล้วก็อิจฉา พี่ลันน่ะเมื่อก่อนทั้งนิ่งและเย็นชา ยิ้มก็ไม่ค่อยจะเป็นและไม่เคยพูดเล่นกับใครด้วยแต่พอมีไอ้ไอเข้ามาในชีวิตพี่ลันก็เป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
เฮ้อ พอมาคิดเทียบกันเรื่องของตัวเองแล้วมันเศร้า จะว่าไป...พี่ลันเองก็ไปเรียนต่อเหมือนกันแต่ไปไม่นาน พอกลับมา ใจของพี่ลันก็ไม่เปลี่ยน คนเป็นน้องจิตใจมั่นคงดั่งหินผาแต่คนเป็นพี่กลับจิตใจโลเล ไม่รู้ว่าคุณพ่อคิดยังไงถึงให้คนอย่างพี่ลุกซ์ขึ้นรับตำแหน่งแทน
“มันเห็นกูเป็นยิ่งกว่าทาส กูเป็นหัวหน้าแท้ๆ แต่แม่งจิกหัวใช้กูตลอดแหละ” พี่ลันบ่นแล้วรวบมือไอ้ไอไว้ไม่ให้มันประทุษร้ายตัวเองได้อีก
“ใช้อะไร?” ไอ้ไอมองพี่ลันอย่างเอาเรื่อง
“ล้างจาน” เมื่อได้ยินคำตอบผมถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นี่พี่ลันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะเนี่ย โอ๊ย ตลกมาก ไม่ไหวละ นึกภาพคนนิ่งๆ หน้าดุๆ อย่างพี่ลันหงอเพราะเมียไม่ออกเลยจริงๆ แฮะ มันฮามาก!
“แค่ล้างจานทำมาเป็นบ่น ผมน่ะทำทุกอย่างในบ้านเลยนะ!” ไอ้ไอแยกเขี้ยวใส่พี่ลันพลางพยายามจะสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมเพื่อประทุษร้ายพี่ลัน
“เป็นเมียก็ต้องทำงานทุกอย่างมันก็ถูกแล้วนี่” พี่ลันจับไอ้ไอไว้แน่นแล้วเถียงกลับ
“ไม่เกี่ยว!” ไอ้ไอถลึงตาใส่พี่ลันแล้วขู่ฟ่อจนผมหัวเราะไม่หยุด ผัวเมียตีกันนี่ก็ดูตลกดีนะครับ
“ฮ่าๆๆ ทะเลาะกันเหมือนคู่ผัวเมียที่อยู่กันจนเบื่อขี้หน้าเลยนะ” ผมพูดขำๆ
“ไม่เบื่อหรอก อยากกดทุกวันเลย” พี่ลันพูดแล้วหันไปมองหน้าไอ้ไอทำเอามันเขินจนหน้าแดงแต่ก็แกล้งทำเป็นเคืองกลบเกลื่อน
“หมั่นไส้ว่ะ ไปๆ ไปทำงาน อย่ามัวแต่มาสวีตกันอวดคนโสดได้ป่ะ?” ผมโบกมือไล่สองคนนั้นอย่างหมั่นไส้
“ถ้าอิจฉาก็รีบหาผัวเข้าล่ะ” พี่ลันบอกก่อนจะหันไปกวักมือเรียกช่างมาคุย
“ไม่ล่ะ คราวนี้จะเอาเมีย” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะเหลือบตาไปมองที่พี่ลุกซ์ที่กำลังปีนขึ้นไปบนเครนยกรถแล้วก็เอาประแจเคาะล้อแมกซ์เพื่อเช็คอาการก่อนจะหันไปสั่งงานช่างอย่างขยันขันแข็ง
++++++++++++++++++++++++++++++++
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ