[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

46) Chapter 46 : ความทรงจำสีจาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 46 : ความทรงจำสีจาง


 

“นี่ นานแล้วนะที่พวกเราไม่ได้คุยกันแบบนี้  กูก็เอาแต่งานจนไม่มีเวลามาหาพวกมึงเลย  ขอโทษนะเว้ย” จู่ๆ ไอ้ตุลก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าสำนึกผิดจนผมกับไอ้พัดหยุดหัวเราะ  พวกเรามองหน้ากันก่อนจะมองหน้าไอ้ตุล

“ไม่ใช่ความผิดมึงเลยนะตุล  พวกเราต่างก็มีงานและมีภาระที่ต้องดูแล  อย่าโทษตัวเองเลย” ไอ้พัดพูดขึ้นโดยมีผมพยักหน้าสนับสนุน

“กูรู้สึกเสียใจที่กูไม่ได้อยู่ข้างไอ้เปอร์ตอนที่มันมีเรื่องของพี่ลุกซ์  ในช่วงเวลาที่มึงต้องการใครซักคนแต่กูกลับไม่ใช่คนที่สามารถมาอยู่กับมึงได้ตลอดเวลา” ไอ้ตุลก้มหน้าพูดทำให้ไอ้พัดหันมามองหน้าผมแล้วเดินไปนั่งข้างไอ้ตุลด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่

“กูก็ด้วย  ไม่ว่าจะตอนที่ครอบครัวมึงล้มละลายหรือตอนที่มึงมีปัญหากับพี่ลุกซ์กูก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้เลย” ไอ้พัดว่า

“เฮ้ย พวกมึงจะมาโทษตัวเองทำไมวะ? ตอนที่บ้านกูมีปัญหาพวกเราเพิ่งจะเรียนจบกันเอง  จะช่วยอะไรกันได้มากวะ  ส่วนตอนที่กูมีเรื่องกับพี่ลุกซ์มึงก็อยู่ที่เมืองนอกนี่หว่าพัด  ส่วนมึงก็ต้องช่วยพยุงธุรกิจครอบครัวไม่ใช่หรือไงไอ้ตุล?  ต่างคนก็ต่างมีธุระที่ต้องทำนี่หว่า  อย่าโทษตัวเองสิวะ  กูรู้สึกไม่ดีนะเว้ย” ผมรีบบอก  ไอ้พวกนี้มันจะมาชวนผมดราม่าทำไมวะ  เจอกันทั้งทีน่าจะคุยเรื่องฮาๆ กันไม่ใช่หรือไง

“ก็พวกกูเป็นห่วงมึงนี่” ไอ้ตุลว่า

“เออๆ ไม่ใช่แค่พวกมึงหรอกนะ  กูก็เป็นห่วงพวกมึงเหมือนกัน” ผมบอกพลางระบายยิ้มอ่อนโยนทำให้พวกเพื่อนๆ ยิ้มออกมาได้

“แล้วมึงลุกได้บ้างไหมเนี่ย?” ไอ้พัดถามพลางเดินมากดที่หลังของผมเบาๆ ในขณะที่ผมนอนคว่ำอยู่

“ได้  จริงๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้เจ็บมากแล้วแต่ไม่อยากนอนทับเฉยๆ  มันยอก” ผมบอก  ตั้งแต่ที่หมอฉีดยาให้อาการผมก็ดีขึ้นมากๆ แล้วล่ะครับ  อีกไม่นานคงหาย  จะมีเจ็บมากๆ บ้างก็ตอนที่ขยับผิดท่าผิดจังหวะไปหน่อย

“เออ นี่ก็เย็นแล้ว  มึงหิวยัง?” ไอ้ตุลถามขึ้น

“รอพวกมึงถามอยู่เลยเนี่ย  หิวโคตร” ผมบอก

“เดี๋ยวพวกกูออกไปหาอะไรมาให้กิน  ข้าวโรงพยาบาลคงไม่พอยาไส้มึงหรอก” ไอ้พัดว่า  ช่วงนี้มันรู้ว่าผมกินเยอะขึ้น  จะมีก็แต่ช่วงที่ทะเลาะกับพี่ลุกซ์นี่แหละที่ไม่ค่อยอยากอาหาร

“กูไปด้วยดิ ไม่อยากอุดอู้อยู่ที่ห้อง” ผมบอกพลางค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นเพื่อไปกับเพื่อน

“มึงไหวเหรอ?” ไอ้พัดถาม

“สบายมาก  ออกไปหาอะไรกินอยู่หน้าโรงพยาบาลละกันเนอะ ไม่ไกลดี” ผมบอก  ผมจำได้ว่าแถวหน้าโรงพยาบาลนี้มีร้านอาหารเยอะแยะเต็มไปหมดเลย

“โอเค เดี๋ยวกูโทรบอกพี่ลุกซ์ให้  เผื่อพี่มันมาแล้วไม่เจอจะโวยวายเอา” ไอ้ตุลบอกก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาพี่ลุกซ์  คุยไปซักพักก็วางแล้วยกนิ้วโป้งให้กับพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

ไอ้สองเพื่อนซี้พาผมเดินลากเสาแขวนถุงน้ำเกลือไปเรื่อยๆ เพื่อออกจากโรงพยาบาลไปกินข้าว  และในขณะนั้นเองผมก็ชะงักเมื่อเดินผ่านสนามเด็กเล่นที่อยู่ภายในโรงพยาบาล

ผมหยุดเดินและนิ่งไปทำให้พวกเพื่อนๆ หันมามองผมอย่างสงสัย  ผมยืนมองพวกเด็กๆ ที่มาเล่นกันในเวลาเย็นแล้วก็นึกถึงตอนเด็กๆ ที่ตัวเองเคยเข้าโรงพยาบาลเพื่อรอผ่าตัดหัวใจ  ผมจำได้ว่าพี่ถังเล่าให้ผมฟังเรื่องที่ผมเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด  พอผ่าตัดเสร็จผมก็ช็อคจนความจำเสื่อม  จำใครไม่ได้แม้แต่พ่อแม่ของตัวเองก็ตามทำให้พี่ถังต้องมานั่งเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ผมเกิดให้ฟังเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ  เป็นเวลากว่าสามปีกว่าความทรงจำผมจะกลับมา  ผมสามารถจำทุกคนได้และกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ  แต่ผมก็ยังแอบคิดนะครับว่าอาจจะมีซักเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่ผมลืมไปเสียสนิท

“เป็นอะไรวะเปอร์?” ไอ้พัดถาม

“ที่นี่เปลี่ยนไปมากเนอะ  จำได้ว่าตอนเด็กๆ กูก็เคยมาเล่นที่สนามเด็กเล่นนี่เหมือนกัน” ผมพูดยิ้มๆ แต่ซักพักก็ขมวดคิ้วเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผมจำไม่ได้และไม่ควรลืมอยู่ด้วย  แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าผมหมายถึงอะไรกันแน่

“อยากกลับไปเป็นเด็กหรือไง?” ไอ้ตุลถาม

“ถ้ากลับไปแล้วไม่ลืมเรื่องราวเก่าๆ ก็คงดี” ผมพูดออกมาอย่างเลื่อนลอยก่อนจะรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดอะไรบางอย่างแปลกๆ ออกไป “เออนี่กูเป็นอะไรวะ?” ผมขมวดคิ้วทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนที่ยืนอยู่ไม่ห่างเพื่อไปกินข้าวกัน

 

หลังจากกลับจากกินข้าวผมก็ขอไปนั่งดูเด็กๆ เล่นกันที่สนามเด็กเล่นแต่มันก็เย็นมากแล้วทำให้เด็กพวกนั้นทยอยกันกลับห้อง  พวกเพื่อนๆ ก็มานั่งเล่นเกมโทรศัพท์แข่งกันโดยไม่สนใจผมที่นั่งเหม่อๆ อยู่  และขณะที่ผมกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้งหลังจากนั่งนิ่งๆ อยู่ตั้งนานผมก็หันไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่มุมอับของสนามเด็กเล่น

เด็กคนนั้นขาหัก

ใจผมเต้นรัวจนตัวสั่นตามไปด้วย  กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็เดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นเสียแล้ว  ผมจ้องตากับเด็กคนนั้นอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะนั่งยองๆ เพื่อให้ส่วนสูงของตัวเองต่ำกว่าเด็กคนนั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมเล็กๆ

“ขาหักเหรอครับ?” ผมถามพลางระบายยิ้มออกไป  เด็กคนนั้นมองผมด้วยสายตางุนงงติดจะรำคาญก่อนจะพยักหน้าแล้วเบือนหน้าหนีอย่างไม่สนใจ

ช่างเป็นเด็กที่อวดดีอะไรอย่างนี้วะ? เหมือนคนที่ผมรู้จักเลย

แล้ว...ใครกันที่ผมคิดว่าเหมือนกับเด็กคนนี้?  คิดไม่ออก

“ไปทำอะไรมาล่ะ?” ผมถามต่อ  รู้สึกห่วงเด็กคนนี้แปลกๆ  แต่ถามไปก็ไม่ได้รับการตอบรับ “ผู้ใหญ่ถามทำไมไม่ตอบ?” ผมถามอีกด้วยน้ำเสียงดุๆ ทำให้เด็กคนนั้นเหลือบตามามองผมด้วยสายตารำคาญเสียเต็มประดา

“ตกต้นไม้” เด็กคนนั้นตอบด้วยท่าทางอวดดี

“แล้วทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ? คนอื่นๆ เขาทยอยกลับกันหมดแล้วนะ” ผมถามอีก

“มารอคนที่ผมรัก” ทันทีที่เด็กคนนั้นตอบ ภาพทั้งหมดตรงหน้าของผมก็พร่ามัว ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงร้องไห้  รู้เพียงแค่ว่าผมคิดถึงเหลือเกิน “เฮ้ย!” ไอ้เด็กตรงหน้าผมร้องเสียงหลงเมื่อผมโถมตัวเข้าไปกอดร่างเล็กๆ นั้นเอาไว้แน่นทั้งน้ำตา  ผมคิดถึงเด็กคนนี้  คิดถึงคนที่แม้แต่ผมเองก็ยังจำไม่ได้  ผมคิดถึงเขา...

...พี่ชาย...

“ขอโทษนะ  พี่ขอกอดหนูเอาไว้อย่างนี้ก่อนนะครับ” ผมซบหน้าลงบนไหล่เล็กๆ พลางสะอื้นเบาๆ ทำให้เด็กคนนั้นนิ่งไป

“เฮ้ยไปเปอร์! มึงทำอะไรของมึงเนี่ย? ไปกอดน้องเขาทำไม!?” ไอ้พัดกับไอ้ตุลเลิกเล่นเกมโทรศัพท์แล้ววิ่งมาดึงผมออกจากเด็กผู้ชายคนนั้น

“ไม่เป็นไรครับ  ถ้าอ่อนแอก็ต้องร้องไห้” เด็กคนนั้นนั่งตัวตรงแล้วพูดออกมาจนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ทั้งน้ำตา  เด็กคนนี้มันแก่แดดนัก  แต่ผมกลับรู้สึกถึงความรักที่เด็กคนนี้มีให้กับคนที่เขามานั่งรอ  คงจะรักมาก

“คนที่หนูรักเขาไปไหนแล้วล่ะครับ?” ผมถามออกไปด้วยใจที่เต้นระรัว

“พี่สาวพยาบาลบอกว่าไปผ่าตัดหัวใจ” ผมที่นั่งยองๆ อยู่ในตอนแรกทรุดลงนั่งกับพื้นแล้วสะอื้นหนัก  ผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผมบ้างในอดีตแต่ผมรู้สึกถึงความทรงจำที่ยังไม่สามารถเค้นออกมาจากหัวได้

“หนูมานั่งรอเขาอย่างนี้ทุกวันเลยไหมครับ?” ผมพยายามปรับสภาพตัวเองไม่ให้สะอื้นหนักก่อนจะขยับเข้าไปถามเด็กคนนั้นอีก  ผมอยากรู้เรื่องราวของเด็กคนนี้จัง  ถ้าผมได้ฟังเรื่องของเด็กคนนี้ผมอาจจะจำเรื่องราวของตัวเองได้ก็ได้

“ใช่ครับ  ผมมารอเด็กคนนั้นทุกวัน  แต่ก็ไม่เคยได้เจอ” เด็กคนนั้นพูดด้วยท่าทางเลื่อนลอยก่อนจะมองหน้าผมแล้วเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ  ผมยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะกุมมือเล็กๆ นั่นไว้ด้วยความรัก  เมื่อกี้ยังอวดดีใส่ผมอยู่เลยแต่ทำไมตอนนี้ถึงได้น่ารักนักนะ

“หนูชื่ออะไรครับ?” ผมถามพลางคลึงหลังมือเล็กๆ นั่นอย่างแผ่วเบา

“ชื่อ...”

“ไอ้เปอร์  มาทำอะไรตรงนี้?” จังหวะที่เด็กคนนั้นกำลังจะบอกชื่อ  เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมอง  และทันทีที่เขาเห็นหน้าผมเขาก็ตกใจรีบมาฉุดผมให้ลุกขึ้นยืน “ร้องไห้ทำไม? ใครทำอะไร?” พี่ลุกซ์ทำหน้าตกใจพลางมองผมอย่างสังเกตสังกา

“พี่ลุกซ์ครับ ผมเป็นอะไรไม่รู้  เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้แต่ก็นึกไม่ออก” ผมจับมือพี่ลุกซ์แล้วเขย่าไปมาเหมือนอยากจะให้พี่มันช่วยผมค้นหาความจริง

“อะไรล่ะที่บอกว่าจำได้?” พี่ลุกซ์ถาม

“ไม่รู้อ่ะ  แต่ผมเห็นเด็กคนนี้แล้วนึกถึงคนคนหนึ่ง  แต่ผมนึกไม่ออก” ผมชี้ไปที่เด็กขาหักเมื่อกี้แล้วเขย่าแขนพี่ลุกซ์อีก

พี่ลุกซ์มองตามมือที่ผมชี้ไปก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางแปลกใจ  ซักพักก็ยิ้มออกมา

“มันเป็นเรื่องที่ดีนะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์ลูบหัวผมเบาๆ ก่อนจะผละออกจากผมเพื่อเดินไปหาเด็กคนที่ว่า

“ชื่ออะไรน่ะเรา?” พี่ลุกซ์เข้าไปนั่งยองๆ ตรงหน้าเด็กคนนั้นก่อนจะถาม  ผมมองภาพนั้นแล้วปิดปากร้องไห้ด้วยความตื้นตัน  ทั้งสองคนเหมือนกันมาก

“ชื่อเบลดครับ” เด็กคนนั้นตอบซึ่งนั่นก็ทำให้อารมณ์ผมปั่นป่วนมากกว่าเดิม  เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้แต่ก็จำไม่ได้อยู่ดี

“ทำแฟนของพี่ร้องไห้เหรอ?” พี่ลุกซ์ถามทำให้เด็กคนนั้นรีบส่ายหน้า “แล้วเรามาทำอะไรที่นี่?” พี่ลุกซ์ถามต่อ

“มารอคนที่ผมรักครับ” น้องเบลดตอบทำให้พี่ลุกซ์ทำหน้าแปลกใจหนักกว่าเดิม

“พี่เชื่อนะว่าเราจะได้เจอกับคนที่เรารัก  เหมือนอย่างพี่ไง  ตอนที่พี่ตัวเท่าเราพี่ก็มานั่งรอคนที่พี่รักแบบนี้แหละ  รอจนออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ได้เจอ  แต่ตอนนี้พี่เจอแล้วนะครับ” ประโยคสุดท้ายที่พี่ลุกซ์พูดพี่มันหันมามองหน้าผมด้วยสายตาสื่อความหมาย

“พี่ครับ  ผมจะได้พบกับคนที่ผมรักใช่ไหมครับ?” น้องเบลดถามพี่ลุกซ์ด้วยสายตาพราวระยับ

“เจอแน่นอน  เพราะฉะนั้นเราจะต้องจดจำคนที่เรารักเอาไว้ให้ดีนะ  เผื่อได้เจอกันอีกในอนาคตแล้วเราก็จะจำเขาได้ทันที” พี่ลุกซ์บอก

“ครับ!” น้องเบลดพยักหน้ารับคำด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ

“เอาล่ะ  เย็นมากแล้ว  กลับกันเถอะ  เดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่ลุกซ์ยืนขึ้นก่อนจะโน้มตัวลงไปอุ้มน้องเบลดจนเด็กมันร้องเหวออย่างตกใจ  ส่วนไอ้เพื่อนของคนของผมก็รีบไปช่วยกันถือไม้ค้ำของน้องเบลด

“พี่ชายๆ มานี่หน่อยครับ” ขณะที่น้องเบลดถูกพี่ลุกซ์อุ้มอยู่ เด็กมันก็กวักมือเรียกทำให้ผมเดินเข้าไปหาใกล้ๆ

และเด็กมันก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้งเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ประทับลงที่หน้าผากของผม

“พี่ขี้แยเหมือนเด็กคนนั้นเลย  เข้มแข็งไว้นะครับ” พูดจบก็เอื้อมมือเล็กๆ มาปาดน้ำตาให้ผมอีกรอบ

“พี่จะปกป้องพี่ชายคนนี้เองนะ  ไม่ต้องห่วง” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะออกเดินทำให้พวกเราเดินตาม  พี่มันเดินหาเลขห้องตามที่น้องเบลดได้บอกไว้ก่อนจะส่งน้องเข้าห้องโดยสวัสดิ์ภาพ




50% left



 

พอพี่ลุกซ์มาอยู่เฝ้าผม ไอ้สองเพื่อนซี้ก็กลับไปพักผ่อนแล้วบอกจะมารับผมออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้ด้วย  ผมก็บอกนะว่าไม่ต้องมาเพราะไม่จำเป็นแต่พวกมันก็ยืนยันว่าจะมาผมก็เลยได้แต่ยอม

“พี่ลุกซ์ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย” ผมพูดขึ้นมาขณะที่พี่ลุกซ์กำลังนั่งไขว่ห้างอ่านเอกสารที่ขนมาจากออฟฟิศด้วย

“เรื่องอะไรล่ะ?” พี่ลุกซ์ถามทั้งๆ ที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่แฟ้มเอกสาร

“ก็...ที่ผมเห็นน้องเบลดแล้วนึกถึงคนคนหนึ่งไงครับ  ผมพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าคนคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผม” ผมขมวดคิ้วพลางพูดออกไป  ตอนนี้ผมหยุดร้องไห้แล้วล่ะครับ  พอคิดๆ ดูแล้วผมแม่งโคตรงี่เง่าว่ะ  ร้องไห้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าร้องเรื่องอะไร

“ค่อยๆ นึกก็ได้” พี่ลุกซ์ปิดแฟ้มก่อนจะลุกมานั่งข้างๆ เตียงของผม

“ผมคาใจนี่” ผมบอก

“คิดถึงคนในความทรงจำหรือไง?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเย็นทำให้ผมรีบหันไปมองหน้าพี่มันอย่างลำบากใจ  ก็กลัวพี่ลุกซ์คิดมากที่ผมคิดถึงคนอื่นนี่หว่า

“หึงไหม?” ผมถามเสียงอ่อน

“ไม่หึงหรอก” พอได้ยินคำตอบผมก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “เพราะคนในความทรงจำของมึงคือกูไงเปอร์” ผมนิ่งไปทันทีที่ได้ยิน  สักพักก็หัวเราะออกมาเพราะคิดว่าพี่ลุกซ์พูดเล่น

“พูดเป็นเล่น ฮ่าๆ” ผมหัวเราะฝืนๆ แต่ตอนนี้ใจผมก็สั่นมาก

“มึงจำได้ไหมที่กูเคยบอกมึงว่ากูรักมึงมาก่อนที่มึงจะรักกูน่ะ  ไม่ได้พูดเล่นนะ” พี่ลุกซ์จับมือผมเอาไว้แล้วหอมเบาๆ จนผมเขิน  ลำพังตอนนี้อารมณ์ผมก็ผสมปนเปกันจนไม่รู้จะแสดงออกยังไงแล้วพี่ลุกซ์ยังจะมาทำให้ผมมีอารมณ์เขินเพิ่มขึ้นมาอีก

“จำได้” ผมพยักหน้ารับ

“พี่ถังบอกกูว่ามึงช็อคจนความจำเสื่อมก็เลยจำเรื่องของกูไม่ได้และที่ไม่มีใครเล่าเรื่องกูให้มึงฟังก็เพราะไม่มีใครรู้เรื่องราวระหว่างเรานอกจากกูกับมึงเท่านั้น” พี่ลุกซ์พูดพลางจ้องมองผมด้วยสายตาจริงจังจนผมยิ้มไม่ออก  ใจมันเต้นแรงจนผมหายใจแทบไม่ทัน

“...” ผมเงียบรอฟังที่พี่มันพูด

“ตอนนั้นกูอายุประมาณ 7-8 ขวบนี่แหละ  กูขาหักก็เลยได้เข้าโรงพยาบาล  กูกดดันเรื่องพ่อมากก็เลยจะประชดด้วยการทำลายขาของตัวเอง  แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมีไอ้เด็กบ้าคนหนึ่งเดินเข้ามาถามกูว่าทำไมกูถึงต้องทำร้ายตัวเองด้วย  ตอนนั้นกูตอบไม่ได้  อารมณ์ก็เสียก็เลยไล่ตะเพิดเด็กคนนั้นไปเลย  มันรีบวิ่งหนีจนสะดุดล้ม  พอล้มแล้วก็หันมามองกูด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับซ้ำยังมีน้ำตาคลอเบ้าอีกต่างหาก  กูคิดว่ากูคงจะหลงรักเด็กคนนั้นตั้งแต่ตอนนั้นแหละ” ผมฟังพี่ลุกซ์เล่าไปด้วยใจที่เจ็บจี๊ดๆ  ผมสามารถจินตนาการภาพตามคำบอกเล่าของพี่ลุกซ์ได้เหมือนกับตัวเองอยู่ในเหตุการณ์

“เด็กคนนั้นคือผมเหรอ?” ผมถามอย่างสงสัย

“ฟังก่อน” พี่ลุกซ์เอ็ดเบาๆ ก่อนจะเล่าต่อ “กูนั่งมองเด็กคนนั้นเล่นลูกบอลอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ จนสงสัยว่ามันเป็นอะไรถึงมาเข้าโรงพยาบาลเพราะท่าทางก็ดูแข็งแรงดี  พี่พยาบาลก็เลยบอกกูว่ามันเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว  กำลังรอเข้าผ่าตัด  ใจกูนี่แทบสลายเพราะรู้สึกเสียดายชีวิตของเด็กคนนั้น  พอคิดว่ามันอาจจะตายกูก็เลยไปเล่นด้วย  เราสนิทกันขึ้นทุกวันจนกูที่ชอบทำตัวมืดมนสามารถยิ้มได้และไม่มีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองอีก  กลับกัน กูอยากจะแข็งแรงขึ้นเพื่อที่จะสามารถปกป้องเด็กคนนั้นได้” พี่ลุกซ์เล่าต่อพร้อมกับนวดมือของผมเบาๆ เพื่อให้ผ่อนคลายเนื่องจากมีหลายครั้งที่ผมเผลอกำมือเข้าหากัน

“...” ผมรอฟังพี่ลุกซ์พูดต่อเงียบๆ แต่ใจนี่เต้นรัวไม่หยุด

“แต่แล้ววันหนึ่งกูก็ได้รับรู้ว่ามันต้องเข้าผ่าตัด  กูยังไม่ทันได้ให้กำลังใจมันเลย  ยังไม่ได้บอกชื่อมันเลยด้วยซ้ำ  กูเสียใจมาก  คิดว่ามันจะตายจนกูเกือบตายตามซะแล้ว  แต่กูก็ได้มาเจอมันอีกโดยที่คาดไม่ถึง  มันจำกูไม่ได้  คนที่มากับมันนั่นก็คือพี่ถังบอกกับกูว่ามันความจำเสื่อม  และในวันนั้นกูก็บอกกับพี่ถังว่ากูรักมัน  หลังจากนั้นกูก็ไปเรียนต่อที่เมืองนอก  กลับมาอีกที่ก็ตอนม.ปลาย  กูเจอมันอย่างคาดไม่ถึงตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้โผล่ออกไปให้เห็น  หนำซ้ำกูยังหึงที่มันชอบเที่ยวผู้หญิงจนแอบไปแย่งผู้หญิงมันมาอย่างลับๆ เพื่อที่จะให้มันหยุดเจ้าชู้แต่ก็หยุดมันไม่ได้ซักที จนถึงตอนนี้...มึงจำได้บ้างไหม?” พี่ลุกซ์เล่าไปเรื่อยๆ แล้วถามเมื่อเกือบจะถึงเหตุการณ์ที่ผมรู้จักกับพี่มัน

“ผมจำได้ว่ามีพี่ผู้ชายคนหนึ่งมาขอกอดสมัยเด็กๆ  ผมกลัวเขาที่ตาดุแต่ก็ยอมเข้าไปกอดเพราะพี่ถังบอกว่าเขาใจดี ฮึก” ผมบอกพลางสะอื้นอย่างไม่รู้ตัวว่าน้ำตาไหล “แล้วผมก็จำได้ว่าผู้หญิงที่ผมจีบค่อยๆ หายไปทีละคนโดยที่ผมไม่รู้สาเหตุแต่ก็ไม่ได้สนใจ  คนที่ทำทั้งหมดนั่นคือพี่เหรอ?” ผมถามออกมาพลางมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

“อืม” พี่ลุกซ์พยักหน้ายิ้มๆ

“ถ้ารักผมแล้วทำไมถึงทำร้ายผมขนาดนั้น?” ผมถามอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ  ถ้ารักมากขนาดนั้นแล้วทำร้ายผมลงคอได้ยังไง?

“เหตุผลงี่เง่าน่ะ  กูมีคู่หมั้นอยู่แล้วและแน่นอนว่าพ่อต้องบังคับให้กูแต่งงาน  กูไม่อยากผูกมัดมึงเอาไว้” พี่ลุกซ์บอกพลางเอามือผมไปแนบแก้มของตัวเอง

“แล้วทำไมถึง...”

“เพราะกูรักมึงไงเปอร์  กูปล่อยมึงไปไม่ได้  พยายามหลายครั้งเพื่อที่จะตัดใจและกันมึงออกไปแต่เพราะกูทำไม่ได้  ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เลยเป็นการทำร้ายมึง  กูขอโทษ” พี่ลุกซ์พูดสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะถามจบ  พี่มันพูดด้วยสีหน้าสำนึกผิดเสียเต็มประดาจนผมโกรธไม่ลง  ผมรู้ว่าทั้งหมดที่พี่ลุกซ์ทำลงไปมันมีเหตุผลและพี่มันก็คงเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าผมเลย  ผมเจ็บปวดโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไร  ส่วนพี่ลุกซ์เจ็บปวดเพราะรู้ทุกอย่างอยู่แก่ใจ  จะเอามาเปรียบเทียบว่าใครเจ็บกว่ากันก็คงไม่ได้

“แต่ผม...จำเรื่องตอนอยู่โรงพยาบาลไม่ได้  ผมจำไม่ได้” ผมส่ายหน้าไปมาพลางใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ยกขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้

“ไม่เป็นไร  มึงจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  แต่รู้เอาไว้ว่ามึงเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้กูรักมากมายขนาดนี้  กูรักมึงนะเปอร์” พูดจบพี่ลุกซ์ก็ยื่นหน้ามาจูบซับที่เปลือกตาผมเบาๆ แล้วค่อยๆ ใช้มือปาดน้ำตาออกให้อย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล

“ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรักใครได้มากขนาดนี้” ผมจับมือพี่ลุกซ์แนบแก้มของผมเอาไว้แล้วหลับตาลงเพื่อจะรับรู้ความรู้สึกของมือพี่มันได้อย่างเต็มที่

“ขยับมานี่มา” พี่ลุกซ์ขยับเก้าอี้มาติดกับเตียงพลางช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็โน้มตัวมากอดผมเอาไว้เสียแน่น

ความรู้สึกตื้นตันประเดประดังเข้ามาทำให้ผมน้ำตาไหลอีกระลอกใหญ่  ผมไม่ได้ร้องไห้ด้วยความเสียใจแต่เพราะผมมีความสุขมากเกินไปจนไม่สามารถยิ้มออกมาได้เท่านั้นเอง

“อย่าทิ้งผมไปไหนอีกนะ ฮึก ผมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว ผมอยากให้พี่อยู่กับผมแบบนี้ตลอดไป” ผมสะอื้นจนตาปิดพลางกอดพี่ลุกซ์แน่น

“รู้ไหมว่าชีวิตของกูขาดมึงไม่ได้” พี่ลุกซ์กระซิบเบาๆ พร้อมกับลูบหลังผมอย่างปลอบประโลม

เรากอดกันอยู่อย่างไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครคิดจะปล่อยจนผมรู้สึกปวดที่หลังพี่ลุกซ์จึงผละออกไป  พี่มันนั่งจับมือและหอมมือผมอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อยแม้จะไม่มีใครพูดอะไรกันซักคำเดียว  แค่นี้ก็รู้แล้วล่ะครับว่าเรารักกันมากจนไม่สามารถแยกกันได้อีก  ถ้าวันใดวันหนึ่งพี่ลุกซ์ต้องไปที่ไหนไกลๆ อีกผมก็จะตามไปด้วย  จะไม่ปล่อยให้พี่ลุกซ์เหงาแล้วล่ะครับ

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหมอก็มาแจ้งผลการสแกนร่างกายซึ่งไม่มีอะไรมาก  หมอบอกว่าถ้าตกจากที่สูงกว่านี้อีกนิดหน่อยกระดูกผมอาจจะแตก ร้าวหรือหักเลยก็ได้  และโชคดีมากที่ผมไม่เอาหัวลงไม่อย่างนั้นชีวิตผมอาจจะจบได้

และเพราะเหตุนี้ทำให้ผมถูกสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไปทำงานบนเครนอีกเด็ดขาด  พี่ลุกซ์เป็นห่วงมากจนจะไม่ให้ผมทำงานอีก  กะจะให้เป็นพ่อบ้านอยู่บ้านเฉยๆ ด้วยซ้ำแต่ผมขอร้องเอาไว้เพราะผมก็อุตส่าห์เรียนมาซะขนาดนั้น

“พักก่อนนะลูกนะ” แม่พูดหลังจากรับผมมาถึงที่บ้านแล้ว

“แม่ครับ ผมขอมาดูแลน้องที่นี่นะครับ” พี่ลุกซ์พูดพลางขนกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองมาไว้ที่ห้องนั่งเล่น  ส่วนไอ้พัดกับไอ้ตุลที่ขับรถตามมาก็ถลาแล่นลมไปที่สวนหลังบ้าน  เห็นพวกมันบอกว่าอยากถ่ายรูปสวนของพ่อไปให้พ่อแม่พวกมันดู

“มาเลยลูก มาอยู่เลยก็ได้นะ” แม่ยิ้มรับอย่างดีใจที่พี่ลุกซ์จะมาอยู่ด้วย

“คุณพ่อไปไหนแล้วล่ะครับ?” พี่ลุกซ์ถามพลางชะเง้อคอมองหาพ่อที่ไม่รู้หายไปไหน  ตั้งแต่ลงจากรถมาพ่อก็หายไปซะแล้ว

“คงไปดูต้นไม้สุดที่รักเขาล่ะมั้ง” แม่บอก  เราสองคนพยักหน้าหงึกหงักก่อนที่แม่จะเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเที่ยง

“พี่ลุกซ์  พรุ่งนี้พาไปเยี่ยมน้องเบลดหน่อยนะครับ” ผมบอก  ผมอยากจะไปเยี่ยมและให้กำลังใจเด็กคนนั้นมากๆ  ผมรู้สึกว่าน้องน่าสงสาร  ถึงจะชอบทำท่าทางอวดดีแต่ลึกๆ ก็คงจะเจ็บปวดมากๆ อยู่ล่ะมั้ง

“ได้สิ” พี่ลุกซ์ยิ้มรับ “เออ เดี๋ยวกูว่าจะออกไปทำธุระซักหน่อย” พี่ลุกซ์บอกอย่างนึกขึ้นได้ทำให้ผมมองอย่างจับผิดทันที

“จะไปทำอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่า?” ผมถามขึ้น

“ก็...อะๆ บอกก็ได้  จะไปจัดการไอ้คนที่ส่งคลิปมึงกับพี่เฟนมาให้ไงล่ะ” พี่ลุกซ์บอก

“พี่รู้แล้วเหรอครับว่าเป็นใคร?” ผมถามอย่างตกใจ  ทำงานรวดเร็วดีจริงๆ เลยนะครับ

“รู้สิ  ไอ้ชนะไง” พี่ลุกซ์บอก

“ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นมัน” ผมกัดฟันขมวดคิ้วแน่นอย่างนึกโมโห  วันนั้นที่ผมเจอผมน่าจะเอาเท้ากระแทกหน้ามันซักที  โคตรหมั่นไส้เลย

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นมันล่ะ?” พี่ลุกซ์ถามกลับทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย  จะบอกพี่มันดีไหมนะว่าเจอหมอนั่นที่บาร์แล้วก็มาเจอกันอีกที่บ้านของผม  แต่ดูจากสายตาแสนจะคาดคั้นของพี่ลุกซ์แล้วผมสมควรบอกสินะ

“ก็...ผมเจอหมอนั่นที่บาร์  ถ้าไม่ใช่มันแล้วคงไม่มีใครกล้าทำแบบนั้นแล้วล่ะครับ” ผมกัดฟันพูดด้วยความแค้น  ผมได้แต่ภาวนาให้หมอนั่นมันเลิกตามตื๊อผมซักที  ผมไม่ชอบใจเอามากๆ เพราะรู้สึกได้ถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ  ถ้าเป็นอย่างเอกก็ว่าไปอย่าง  เอกเป็นคนดีไม่มีรังสีความชั่วเหมือนคุณชนะ

“ต่อไปนี้มึงห้ามไปไหนโดยไม่มีกูเด็ดขาด  กูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น” พี่ลุกซ์พูดด้วยท่าทางดุดันเพื่อที่จะขู่ไม่ให้ผมขัดคำสั่ง

“หวงก็บอก” ผมยักคิ้วพลางพูดกระแซะพี่ลุกซ์

“สภาพแบบนี้ไม่หวงได้ไง” พี่ลุกซ์ผลักหัวผมเบาๆ พลางลอยหน้าลอยตาพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่นั่นก็ทำให้ผมเขินไม่น้อยเหมือนกัน “อ้าวสัตว์  เสือกเขินอีก ฮึๆ” พี่ลุกซ์หรี่ตามองผมก่อนจะหัวเราะในลำคอ  ผมเบ้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนบ้านทำให้พี่ลุกซ์ต้องเดินถือกระเป๋าตามมา

 

++++++++++++++++++

เอาหลาวววววว  เปอร์กำลังจะจำพี่ลุกซ์ได้แล้ว อิๆ
ปล.เรื่องราวของพี่ลุกซ์สมัยเด็กอยู่ในตอนพิเศษในเล่มของภาค 1 ครัช (เผื่อมีคนงงว่าพี่ลุกซ์ไปรักเปอร์ตอนไหน)

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา