[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
43) Chapter 43 : สัมนา สังสรรค์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความขณะที่ผมมาทานข้าวกลางวันกับพี่ลุกซ์ผมก็ต้องเซ็งหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อมีคู่รักมาถ่ายพรีเวดดิ้งกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ว่าตากล้องที่มาถ่ายให้นี่สิ ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าให้ไอ้คุณชนะนั่นมันหันมาเห็นผมกับพี่ลุกซ์เลย ผมไม่อยากหงุดหงิดไปมากกว่าการต้องมานั่งมองหน้าพี่ลุกซ์ทั้งๆ ที่ยังเคืองอยู่
ดูเหมือนว่านอกจากผมจะเซ็งแล้วพี่ลุกซ์ยังร่วมด้วยช่วยกันเซ็งจนอยากจะย้ายร้าน พี่มันเซ็งตั้งแต่เห็นว่าคนมาถ่ายแล้วเพราะไม่ชอบที่ต้องกินข้าวท่ามกลางบรรยากาศที่เหมือนจะไม่เกรงใจคนอื่นซักเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจคู่แต่งงานเขาแหละ และยิ่งต้องมารู้ว่าคุณชนะอยู่ที่นี่ด้วยพี่ลุกซ์ยิ่งดูหงุดหงิดยิ่งกว่าผมซะอีก
“ถ้ามันมายุ่งกับมึงกูจะอาละวาดให้ร้านแตกเลยแม่ง” พี่ลุกซ์บ่นเสียงต่ำอยู่ในลำคอขณะที่พนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟซึ่งนั่นก็ทำให้พนักงานถึงกับสะดุ้งและแอบเหลือบตามองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาหวาดระแวง
“ถ้าเขาจะยุ่งก็ให้ยุ่งไปสิ ผมไม่เล่นด้วยก็ไม่มีปัญหาหรอก หรือคิดว่าผมจะอ่อยเขา?” ผมถามกึ่งประชดนิดๆ ผมจะประชดเรื่องนี้จนกว่าพี่มันจะไม่พูดว่าผมจะมีคนอื่นอีกให้ได้ คอยดูสิ
“ตอนไหนจะเลิกประชดซักทีวะ? กูสำนึกผิดแล้วเนี่ย” พี่ลุกซ์ย่นจมูก ขมวดคิ้วพลางจับมือซ้ายของผมด้วยสองมือ ท่าทางของพี่มันดูโอดครวญซะไม่มี
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าพี่พูดทำนองนี้อีกผมจะทำอย่างที่พี่พูดจริงๆ” ผมทำหน้าจริงจังจนหน้าพี่ลุกซ์ดูหงอลงกว่าเดิม
“ถ้าโมโหก็มีบ้างแหละ” พี่ลุกซ์พูดไม่เต็มเสียงนักพลางหลบตาเหมือนคนทำผิด
“งั้นผมก็จะโมโหแล้วออกไปหาคนอื่นเพื่อให้อารมณ์ดี ดีไหมครับ?” ผมยื่นข้อเสนอ ถ้าเอาแต่ยอมโดยไม่ตอบโต้ซะบ้างพี่ลุกซ์ก็จะได้ใจ แต่ถึงผมจะพูดว่าจะมีกิ๊กแต่คงทำจริงๆ ไม่ได้หรอกเพราะลึกๆ ผมกลัวพี่ลุกซ์จะตาย ความบ้ามันไม่เข้าใครออกใคร อย่างพี่ลุกซ์ถ้าโมโหจริงๆ ขึ้นมาต่อให้ผมขู่จะเลิกพี่มันก็คงไม่ฟัง
“ทำไมมึงถึงดื้อแบบนี้วะ?” พี่ลุกซ์บ่นด้วยท่าทีเซ็งๆ ขณะปล่อยมือผมแล้วเพื่อเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้
“ผมไม่ได้ดื้อ” ผมเถียงทันควัน
“ดื้อ” พี่ลุกซ์ยืนยันคำพูดของตัวเอง
“ไม่ดื้อ” ผมสวนแล้วรีบชี้หน้าพี่มันเอาไว้ขณะที่กำลังจะอ้าปากบอกว่าผมดื้ออีก
“ยอมๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเมีย...แฟนกูไม่ยอมจริงๆ นะเว้ย” พี่ลุกซ์พูดและชะงักไปเพราะผมชี้หน้าอีกรอบเพื่อไม่ให้พี่มันพูดว่าเมีย
ผมคิดนะครับว่าถ้าพี่ลุกซ์ทำตัวให้ดีกว่าตอนนี้แม้จะกลับไปโหดและเย็นชาเหมือนเดิมผมก็จะทำตัวน่ารักๆ ให้สมกับเป็นแฟนของพี่มัน แต่การโหดและนิ่งของพี่มันต้องประกอบด้วยการพูดเรื่องต่างๆ ให้ผมฟังทุกเรื่องด้วยนะ
จะว่าไปแล้ว รู้สึกว่าผมจะเชื่อฟังการพูดทางสายตาของพี่ลุกซ์มากกว่าการพูดด้วยเสียงซะอีกนะ เมื่อก่อนพี่ลุกซ์จะชอบใช้สายตาข่มขู่ให้ผมทำนั่นทำนี่ตลอดแต่เวลาพี่มันพูดผมจะต่อต้านบ้างบางครั้ง
ในขณะที่ผมวางใจว่าคุณชนะจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับพวกเรา ทีมงานถ่ายพรีเวดดิ้งก็พักและคุณชนะก็เข้ามาฝั่งที่ให้ลูกค้าของร้านทานอาหารได้ปกติพร้อมกับทีมงานของตัวเองสองสามคนและนั่นก็ทำให้เขาหันมาเห็นผม
คุณชนะยิ้มร่าเดินเข้ามาหวังจะทักทายให้ขณะที่ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความเซ็งสุดขีดในขณะที่พี่ลุกซ์กรอกตาด้วยความเซ็งไม่น้อยไปกว่าผมเลย
“พรหมลิขิตจังเลยครับ” คุณชนะเดินเข้ามาทักพร้อมกับมองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าชู้ ผมล่ะอยากจะเอานิ้วเท้าจวกตามันจริงๆ
“ผมว่าพรหมลิขิตของคุณคงจะเป็นแฟนผมล่ะมั้งครับ” ผมรีบโบ้ยไปให้พี่ลุกซ์ทันที ก็ผู้ชายที่มันเข้าหาผมมักจะหมายตาพี่ลุกซ์นี่ครับ
“ผมขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ?” คุณชนะถามพลางหันไปส่งสัญญาณให้ทีมงานของตัวเองไปหาโต๊ะนั่งเอง
“ไม่เห็นหรือไงว่ามาเดทกัน จะมาเสือ...แฮ่ม...ขัดคอทำไม...ครับ?” ผมว่าพี่ลุกซ์ต้องตั้งใจพูดผิดแน่ๆ เดี๋ยวนี้พี่มันต้องรักษาภาพพจน์เพราะตำแหน่งหน้าที่ ถ้าอยู่ที่สาธารณะแบบที่มีคนจับตามองพี่มันจะนิ่งมาก ไม่เข้ามานัวเนีย ไม่ทำตัวติดกันจนคนอื่นผิดสังเกตด้วย พอทำแบบนั้นทำให้คนอื่นดูไม่ออกกันว่าจริงๆ แล้วผมกับพี่มันเป็นแฟนกันถ้าไม่ได้มาฟังบทสนทนาก็ไม่รู้หรอก อีกอย่าง...สารรูป เอ้ย บุคลิกของผมก็ไม่ได้สาวขนาดที่พอเดินไปกับผู้ชายแล้วจะดูรู้ปุ๊บเลยว่าเป็นแฟนกัน
“ผมอยากแค่คุยกับคุณเปอร์ ไม่ได้เหรอครับ?” ไอ้คุณชนะหันไปยิ้มยียวนใส่พี่ลุกซ์จนผมรู้สึกปรี๊ดแทน ถ้าเป็นสมัยวัยรุ่นพี่ลุกซ์อาจจะลากคุณชนะออกไปข้างนอกแล้วกระทืบปางตายก็ได้
“ถ้าถามผม ผมก็คงตอบว่าไม่ได้” พี่ลุกซ์ตีหน้าตายตอบออกไปซึ่งก็ดูยียวนกวนประสาทไม่แพ้กัน
“หวงเหรอครับ?” คุณชนะถือโอกาสนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ ผมเพราะผมนั่งตรงข้ามกับพี่ลุกซ์ ถ้ามากันสองคนก็มักจะนั่งตรงข้ามกันเสมอ ถ้ามาหลายๆ คนค่อยไปนั่งข้างกัน
“หวงสิครับ” พี่ลุกซ์ตอบพลางยื่นมือออกมาให้ผมไปจับขณะที่ผมกำลังลุกไปนั่งข้างพี่ลุกซ์ ผมแตะมือพี่ลุกซ์เบาๆ เพราะกลัวคนเห็น
“ถ้าคุณเปอร์เป็นของผมผมก็คงหวงเหมือนคุณล่ะมั้งครับ ก็มีเสน่ห์ซะขนาดนี้” โอ๊ย ไอ้ห่า!! กูจะอ้วก ยิ่งสายตาเจ้าชู้และเจ้าเล่ห์ที่คุณชนะมองมามันทำให้ผมรู้สึกผะอืดผะอม รับไม่ได้ว่ะ ถ้าถูกพี่ลุกซ์มองอย่างนี้ก็ว่าไปอย่าง
“ถ้าอยากให้ผมหายโกรธรีบไล่ไอ้หมอนี่ไปเร็วๆ สิครับ” ผมเอนตัวไปหาพี่ลุกซ์แล้วกัดฟันกระซิบบอกเบาๆ พี่ลุกซ์ไม่ได้หันมามองหน้าผมแต่ก็รับรู้ แต่แทนที่พี่ลุกซ์จะไล่คุณชนะพี่มันกลับยกมุมปากแล้วกวักมือเรียกบริกร
“เอาเมนูมาให้คุณคนนี้หน่อยครับ” พี่ลุกซ์พูดแล้วยักคิ้วนิดๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมหยิกสีข้างพี่มันแรงๆ แทนที่จะไล่ไปแต่กลับเชื้อเชิญให้อยู่ซะงั้น คิดอะไรอยู่วะเนี่ย?
“พี่ลุกซ์!” ผมกัดฟันทำหน้าไม่พอใจอย่างหนัก ทำไมวันนี้พี่ลุกซ์ชอบทำอะไรขัดใจผมเรื่อยเลยวะ! ไม่ได้ดั่งใจซักเรื่องเลย!
“คุณเปอร์สีหน้าไม่ดีเลยนะครับ” คุณชนะทักพลางเอียงคอมองหน้าผม
“นั่นสิเปอร์ หน้าซีดๆ นะ” พี่ลุกซ์ทำหน้าอาทรณ์พลางหันมาใช้นิ้วโป้งไล้แก้มซีดๆ ของผมเบาๆ ผมผงะไปเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ อะไรวะ? อยู่ดีๆ ก็ทำเป็นหวานใส่กันซะงั้น “สงสัยเมื่อคืนจะทำการบ้านหนักไปหน่อยเลยเพลียสินะ มาๆ พิงมานี่มา” พี่ลุกซ์พูดพลางยกแขนมาโอบไหล่ผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปซบที่ไหล่
“มันอึดอัดนะพี่ลุกซ์” ผมกัดฟันพูดเบาๆ
ฟอดดดด
ผมอ้าปากค้างทันทีที่พี่ลุกซ์กอดผมแน่นพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่ต่อหน้าคุณชนะ ด้วยความตกใจผมจึงรีบหันไปมองรอบข้างแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเรา โชคดีที่เรานั่งหลบมุมทำให้ไม่ค่อยมีใครสนใจ
“พี่ลุกซ์!” ผมเอ็ดแล้วตบไปที่แก้มพี่ลุกซ์เบาๆ
“อย่างอนนักเลยน่า คืนดีกันนะ ถ้าไม่รีบคืนดีเดี๋ยวก็มีคนไม่ประสงค์ดีมาทำให้เราทะเลาะกันนะ” พี่ลุกซ์พูดติดจะอ้อนก่อนจะดึงเก้าอี้ผมไปชิดเพื่อที่จะได้กอดอย่างเต็มที่
“พี่ลุกซ์ เดี๋ยวคนมอง” ผมขมวดคิ้วพลางหยิกพี่มันเบาๆ
“คืนดีก่อน ไม่งั้นไม่ปล่อยนะ” พี่ลุกซ์ทำหน้าทะเล้น สงสัยจะทำใส่คุณชนะล่ะมั้ง ปกติไม่ค่อยทำตัวบ้องแบ๊วขนาดนี้หรอก
“เออๆ คืนดีแล้ว” ผมรีบบอกเพราะกลัวคนเห็นแล้วจะมีคนจำได้ว่าพี่ลุกซ์เป็นประธานบริษัทดัง
“หอมแก้มก่อน เร็วๆ เดี๋ยวมีคนเห็นนะ” พี่ลุกซ์เร่งพลางหันไปมองรอบข้าง เมื่อไม่เห็นว่ามีใครสนใจก็รีบชี้แก้มตัวเองรัวๆ
“ได้คืบจะเอาศอกนะ” ผมเอ็ดแต่ก็ยอมหอมแก้มพี่มันเพราะไม่อยากโดนกอดอยู่แบบนี้นานๆ เป็นห่วงชื่อเสียงของพี่มันด้วย
จากนั้นไม่นานคุณชนะก็ลุกออกไปทั้งๆ ที่กินข้าวยังไม่เสร็จเพราะต้องรีบไปถ่ายรูปต่อ ผมกับพี่ลุกซ์อยู่ต่ออีกนิดหน่อยก็กลับโดยที่พี่ลุกซ์ไม่ยอมให้ผมได้กลับบ้านตัวเองผมก็เลยยอมกลับคอนโดไปพร้อมกับพี่ลุกซ์
กลับถึงห้องผมก็ยังคงปั้นปึ่งใส่พี่ลุกซ์เพราะยังเคืองไม่หาย ถึงจะบอกว่าคืนดีกันแล้วก็เถอะ ตอนนั้นผมทำเพื่อตัดความรำคาญนี่หว่า ไม่ว่ายังไงผมก็ยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่
“มึงยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอเปอร์?” พี่ลุกซ์ถามขึ้นหลังจากเดินตาเข้ามาในห้องนั่งเล่น
“ไปเอาน้ำมาให้กินหน่อย” ผมบอก ไหนๆ เขาก็จะง้ออยู่แล้วผมก็ขอใช้ซะให้เข็ดก่อนจะยอมคืนดีจริงๆ ละกัน
“เฮ้ย นี่กูไม่ใช่คนใช้มึงนะ” ปากก็บ่นไปแต่ขานี่เดินเข้าไปในครัวเฉยเลย
“จะอ่านเอกสาร อย่ามากวน” หลังจากที่พี่ลุกซ์ยกน้ำมาให้ผมและทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันผมก็พูดขึ้นทันที
“โวะ! นั่งด้วยก็ไม่ได้?” พี่ลุกซ์บ่นแล้วลุกหนีไปที่ระเบียงด้วยอาการเซ็งสุดขีด ผมมองตามนิดๆ แล้วขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นว่าพี่มันออกไปสูบบุหรี่
เห็นอย่างนั้นผมก็วางเอกสารแล้วรีบลุกตามไปที่ระเบียงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นในอก นึกว่าเลิกไปแล้วเพราะว่าไม่เห็นสูบเลยซักครั้ง ที่แท้ก็แอบสูบลับหลังนี่เอง!
“ยังไม่เลิกอีกเหรอบุหรี่เนี่ย!?” ผมถามเสียงดังอย่างโมโหทำให้พี่ลุกซ์หันมาแล้วเอนหลังพิงระเบียง
“ไม่ได้สูบ” พี่ลุกซ์ยกบุหรี่ที่ใช้นิ้วคีบไว้ขึ้นมาให้ดูซึ่งนั่นก็ทำให้ผมหน้าแตกอย่างหนักเพราะบุหรี่ที่ผมคิดว่าพี่ลุกซ์กำลังสูบไม่ได้จุดไฟ “นี่มันบุหรี่เก่าตั้งแต่ห้าปีที่แล้วที่สูบไม่หมดต่างหาก” พี่ลุกซ์ขยายความ
“แล้วทำไมต้องเอามันออกมาด้วย?” ผมถามอย่างหาเรื่อง
“ก็มึงไม่สนใจกู” พี่ลุกซ์โยนบุหรี่ทิ้งลงถังขยะที่อยู่ระเบียงพร้อมกับเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางไม่ค่อยจะชอบใจผมนัก เออ ยิ่งแก่ยิ่งขี้งอน เมื่อก่อนไม่มีหรอกที่จะมางอนผมแบบนี้
“ก่อนที่จะมางอนผมลองคิดดูซักนิดไหมครับว่าทำไมผมถึงเมิน” ผมกอดอกแล้วจ้องหน้าพี่ลุกซ์อย่างกดดัน
“ก็รู้ สำนึกผิดแล้วไง หรือถ้าไม่พอใจมึงตัดของกูไปเลยไหม?” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วไม่ยอมหันมามองหน้าผม ตัวเองทำผิดแท้ๆ ยังจะมางอนผมอีกนะ
“ให้เวลาทำใจหนึ่งวันแล้วจะพาไปโรงพยาบาล” ผมยักคิ้วอย่างท้าทาย
“มึงไปอ่านเอกสารเถอะไป” พี่ลุกซ์บอกแล้วพลิกตัวหันหน้าออกไปมองวิวด้านนอก
“เฮ้อ พี่ลุกซ์ครับ ผมไม่ได้รังเกียจเรื่องจะมีเซ็กส์กันหรอกนะครับ แต่ปากเสียๆ ของพี่ที่ชอบดูถูกผมนี่มันเหลือเกินจริงๆ” ผมถอนหายใจแล้วพูดออกมา ผมเชื่อว่าไม่มีใครคนไหนหรอกครับที่จะชอบให้คนมาดูถูกตัวเอง แน่นอนว่าผมก็ไม่ชอบ
“แล้วจะให้ทำยังไงในเมื่อกูพูดไปแล้ว ถ้าจะสัญญาว่าจะไม่ปากเสียอีกกูทำไม่ได้แน่ๆ” พี่ลุกซ์พูดออกมาทำให้ผมถึงกับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “แต่...กูจะไม่พูดว่ามึงมีคนอื่นอีกทั้งๆ ที่มึงไม่มี” พี่ลุกซ์ก้มหน้าแล้วพูดออกมาเสียงแผ่วๆ
“พูดดังๆ” ผมบอก
“จะไม่พูดว่ามึงมีคนอื่นอีกแล้ว!” พี่ลุกซ์หันมาแล้วตะโกนใส่จนผมตกใจ
“พอแล้ว กลับไปห้อง เดี๋ยวห้องข้างๆ ก็ออกมาด่าหรอก” ผมเอ็ดนิดๆ แล้วคว้ามือของพี่ลุกซ์เพื่อจูงเข้าไปในห้อง
ทันทีที่ปิดประตูระเบียงเสร็จเรียบร้อยผมก็ถูกกอดจากทางหลังซะเต็มรัก กอดแน่นจนผมไม่กล้าดิ้นเพราะความรู้สึกของพี่มันที่ถ่ายทอดผ่านอ้อมกอดนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าพี่มันสำนึกผิดจริงๆ กอดพี่ลุกซ์ทั้งอุ่นทั้งปลอดภัยเหมือนเดิม
“เอาล่ะครับ ผมขอไปนอนพักก่อนละกัน อ่านเอกสารไม่ไหวแล้วล่ะ ปวดหัว” ผมบอกพลางผละออกจากพี่ลุกซ์หลังจากยืนให้กอดเสียนาน
“โอเค นอนพักก่อน” พี่ลุกซ์ขยับเข้ามาประคองกึ่งอุ้มผม ผมมองพี่มันด้วยสายตาขำๆ ก่อนจะยอมให้พี่มันดูแลเอาใจ แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แต่พี่มันคงจะอยากทำล่ะมั้ง
50% left
วันจันทร์
ผมไปเตรียมตัวบรรยายตั้งแต่เช้าที่ห้องประชุมชั้น 8 ของบริษัทโดยนั่งรวมๆ กับวิทยากรคนอื่นๆ พอได้มาพบปะกันพวกเราก็สนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะมาจากสถาบันเดียวกัน ที่อายุใกล้เคียงกันหน่อยก็คงจะมีแค่ผมกับพี่เฟนที่เหลือนั่นรุ่นใหญ่กันทั้งนั้น บางคนเป็นพ่อผมได้แต่ผมก็เรียกพี่ทั้งหมด
วิทยากรทุกท่านไม่ได้พูดพร้อมกันแต่พูดกันคนละช่วง ผมพูดเป็นคนแรกตั้งแต่ 09:00-10.30 น. โดยพูดถึงเรื่องเครื่องยนต์พื้นฐาน ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์เกี่ยวกับรถเพราะผมโยงไปเรื่อย มีมุกมาให้หัวเราะกันเป็นพักๆ ด้วย
“เปอร์เก่งจัง พี่นั่งฟังอยู่ยังรู้สึกอยากให้เราบรรยายต่อเลย” พี่เฟนพูดขณะกำลังพักทานของว่างหลังจากผมบรรยายเสร็จ
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับอย่างดีใจ ผมบรรยายอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกก็นึกกลัวอยู่เหมือนกันว่าจะทำได้ไม่ดี ปกติก็บรรยายแต่เนื้อหาวิชาเรียนซะส่วนใหญ่
“เปอร์ เมื่อกี้พวกเราคุยกันว่าวันนี้หลังบรรยายเสร็จเราจะไปสังสรรค์กัน ห้ามปฏิเสธนะ” พี่หมูที่จะบรรยายเป็นคนถัดไปบอกขณะกำลังจิบกาแฟ
ได้ยินดังนั้นผมก็ลำบากใจสิครับ กลัวพี่ลุกซ์มันหวงจนไม่ให้ไปไหนกับใครอีกน่ะสิ
“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าเมียดุล่ะสิ” เฮียตู้ที่เป็นพี่ใหญ่สุดอายุเกือบหกสิบแต่หน้าเด็กกว่าอายุพูดขึ้น เฮียแกเป็นคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ด้วยแต่ไม่ใช่มหาลัยที่พวกเราเคยเรียนนะครับ
“ไม่ใช่เมียนี่สิ” ผมพึมพำเบาๆ กับตัวเองก่อนจะหันไปยิ้มให้กับพวกพี่ๆ “ต้องลองขอดูก่อนครับ” ผมยิ้มแหยๆ
“มีเมียแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย?” เฮียตู้ถามแล้วหัวเราะเพราะท่าทางเมื่อกี้เฮียแกจะถามเย้าหยอกเฉยๆ คงไม่คิดว่าผมจะมีจริงๆ เมียน่ะไม่มีหรอก มีแต่ผัวนี่สิ
“น้องมันมีเมียไปแล้วตอนนี้เอ็งจะมีบ้างวะไอ้เฟน?” พี่หมูแซวเพราะรู้ว่าพี่เฟนเป็นเกย์ ก่อนที่จะเริ่มบรรยายพวกเราก็คุยกันหลายเรื่องเลยล่ะครับ พวกพี่ๆ เขาเล่าเรื่องผู้หญิงให้ฟังแล้วก็โยงไปเรื่องกระเทยแปลงเพศจากนั้นก็ขยับไปคุยเรื่องเกย์ พี่เฟนก็เลยบอกว่าเป็นเกย์แต่ก็ไม่มีใครรังเกียจเพราะเป็นเรื่องปกติ พวกพี่ๆ ทุกคนต่างก็จบปริญญาเอกจากเมืองนอกทำให้ได้เจอกับเรื่องแบบนี้ที่สังคมเขายอมรับ
“เคยมีนะพี่ แต่มันไม่คลิกเลยไปกิ๊กกับหนุ่มแทน ฮ่าๆ” พี่เฟนพูดไปแสดงสีหน้าหยอกเย้าไปจนพวกเราอดไม่ได้ที่จะขำ
“เอ็งนี่นะ เป็นแบบนี้แท้ๆ แต่ลูกศิษย์นี่หลงกันจัง โดยเฉพาะสาวๆ” เฮียตู้พูด เฮียตู้กับพี่เฟนทำงานที่เดียวกันครับส่วนพี่หมูนี่ทำอีกมหาลัยหนึ่งซึ่งอยู่ภาคเหนือ
“โธ่เฮีย ผมไม่ได้เอาไปบอกนักศึกษาซักหน่อยว่าผมเป็นเกย์” พี่เฟนเบ้ปากใส่เฮียตู้
“เห็นข้างนอกมันเป็นแบบนี้แต่ตอนอยู่มหาลัยก็วางตัวดีนะ” เฮียตู้หันมาพูดกับพวกผมอย่างชื่นชมพี่เฟนโดยที่พี่มันยืดอกเชิดหน้าอย่างอวดภูมิจนผมรู้สึกคันไม้คันมืออยากตบหัวซักทีตงิดๆ
“ท่าทางอย่างนี้นักศึกษาคงรักเลยใช่ไหมครับพี่เฟน” ผมยิ้มให้พี่เฟนนิดๆ ถ้าผมได้เรียนกับอาจารย์กวนๆ แบบนี้ผมก็ชอบนะ
“รักเลยแหละ ห้องพักอาจารย์ไม่เคยว่างเพราะนักศึกษาเข้ามาหาทุกวัน” เฮียตู้พูดแทน
“อีกสิบนาทีหมดเวลาพักนะครับ” พนักงานในการจัดสัมนาเดินเข้ามาบอกพวกเราที่กำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานทำให้พี่หมูต้องรีบกินของว่างเพื่อไปบรรยายต่อ
“เปอร์ รีบไปขอเมียซะนะ ถ้าขอไม่ได้มาบอกเฮีย เดี๋ยวช่วยคุยให้” เฮียตู้บอกหลังจากพี่หมูเดินแยกออกไปแล้ว
“มีใครไปบ้างครับ?” ผมถาม จะได้บอกพี่ลุกซ์ถูก
“ก็มีพวกเราวิทยากรกับไอ้ลันน่ะ” พี่เฟนบอก สงสัยจะไปตกลงกันตอนผมบรรยายอยู่ล่ะมั้ง
“ไปที่ไหนครับ?” ผมถามอีก ต้องสอบถามข้อมูลให้ครบเผื่อพี่ลุกซ์จะซักไซ้ไล่เลียง
“ต้องหลังมอสิจะได้ซึบซับบรรยายกาศเก่าๆ” เฮียตู้บอกยิ้มๆ
“เฮีย ร้านเหล้าเก่าๆ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเจ้าของไปหลายร้านแล้วนะครับ มีร้านเปิดใหม่กับพวกผับใหม่ๆ เยอะเลย” ผมบอกเพราะถ้าเฮียอยากไปนั่งร้านสมัยนั้นก็คงจะไม่มีแล้ว
“อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ สมัยเฮียยังเรียนอยู่ ถนนเส้นหลังมอยังเป็นพื้นที่รกร้างอยู่เลย จะมีร้านเหล้าอยู่แค่ร้านสองร้านเท่านั้นแหละ ที่เฮียอยากไปก็เพราะอยากไปดูความเปลี่ยนแปลง” เฮียบอกผมจึงพยักหน้ารับยิ้มๆ
“งั้น...เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยกับแฟนก่อนนะครับ” ผมบอก พี่ๆ พยักหน้ารับผมจึงลุกออกมาเพื่อขึ้นลิฟต์ไปหาพี่ลุกซ์ที่ฝ่ายบริหาร
ผมทักทายพี่ผึ้งเลขาพี่ลุกซ์เล็กน้อยก่อนจะเคาะประตูและเปิดเข้าไปในห้องเมื่อได้รับอนุญาต ท่าทางพี่มันจะกำลังเครียดเพราะนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอ่านเอกสารอยู่
“ทำงานเครียดเหรอครับ?” ผมถามออกไป ชักไม่กล้าขอละ กลัวพี่มันไม่ให้ไป
“นิดหน่อย” พี่ลุกซ์พูดพลางเซ็นชื่อลงไปในเอกสารที่กำลังอ่านอยู่เมื่อครู่
“เอากาแฟไหมครับ? เดี๋ยวผมชงให้” ผมหาวิธีเอาใจ
“เอาสิ” พี่ลุกซ์พยักหน้าพลางหยิบแฟ้มเอกสารอีกแฟ้มขึ้นมาเพื่ออ่านต่อ ผมหยุดมองหน้าพี่มันนิดๆ แล้วเดินออกไปชงกาแฟมาให้
หลังจากเสิร์ฟกาแฟเสร็จผมก็ไปนั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟา สักพักพี่เฟนก็ไลน์มาถามเรื่องไปสังสรรค์แต่ผมก็ตอบไปว่ายังไม่ได้ขอแฟนเลย ไม่กล้าขอตอนกำลังเครียดๆ
“เมื่อยไหมครับ? นวดให้ไหม?” ผมลุกไปหาพี่ลุกซ์แล้ววางมือไว้บนไหล่พี่มันเบาๆ
“ก็ดีเหมือนกัน นั่งไหล่แข็งมาตั้งแต่เช้าละ” พี่ลุกซ์บอก พอดีพี่มันเข้าออฟฟิศมาตั้งแต่เช้าน่ะครับ “ว่าแต่...มึงมีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาเอาใจแบบนี้?” พี่ลุกซ์วางปากกา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถามออกมาอย่างรู้ทัน
“ก็มีแหละ” ผมบอก
“เอ้า ว่ามา” พี่ลุกซ์ปล่อยตัวสบายๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ
“วันนี้ผมมีบรรยายก็เลยได้เจอกับพี่ๆ รุ่นก่อนๆ 3 คน พวกพี่เขาอยากสังสรรค์ด้วย มีเฮียตู้เป็นคณบดีที่ม.เอกชน พี่หมูเป็นอาจารย์ที่ม.ใกล้ๆ ม.เรา แล้วก็พี่เฟนเป็นอาจารย์ที่ม.เดียวกับเฮียตู้ครับ อ้อ พี่ลันก็ไปนะ” ผมรีบแจกแจงรายละเอียดก่อนจะโดนซักทันที
“กินเหล้าเหรอ?” พี่ลุกซ์ถาม น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ก็ประมาณนั้นแหละครับ” ผมบอก
“ที่ไหน?”
“หลังมอครับ เฮียๆ เขาอยากได้บรรยากาศเก่าๆ” ผมตอบไปทันที
“ตามใจละกัน โตแล้ว กูคงไม่ต้องบอกให้ดูแลตัวเองดีๆ หรอกนะ” พี่ลุกซ์ถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะบอก ผมยิ้มกว้างแล้วรีบกอดคอพี่มันเอาไว้อย่างดีใจทันที
“จะดูแลตัวเองดีๆ จะไม่เมา ไม่ไปจีบสาวที่ไหนแน่นอนครับ” ผมที่ยังกอดคอพี่มันอยู่พูดพลางยกสามนิ้วสัญญาเหมือนลูกเสือสามัญ
“ถ้าใครมาจีบก็อย่าเผลอไปกับเขาล่ะ กลัวมึงมึนๆ แล้วคิดว่าคนอื่นเป็นกู” พี่ลุกซ์แกะมือผมออกจากคอตัวเองแล้วดึงผมไปนั่งบนตักแทน
“ไปด้วยไหมล่ะ?” ผมถามยิ้มๆ ให้พี่มันไปด้วยก็ดีเผื่อจะได้รู้จักกับพี่ๆ คนอื่นๆ ด้วย
“คงไม่ล่ะ วันนี้คงอยู่ที่ออฟฟิศดึก” พี่ลุกซ์บอก
“ทำวันนี้ทำงานดึกจังครับ?” ผมถามอย่างแปลกใจเพราะนานๆ ทีพี่ลุกซ์จะทำงานดึก เท่าที่คุยกับพี่ผึ้งและพี่พลอยก็ไม่เห็นว่าจะมีงานหนักเข้ามาเลยนี่นา
“ทำส่วนของพี่ถังน่ะสิ ตอนที่กูโดดงานไปง้อมึงหลายๆ ครั้งพี่ถังกับพ่อทำงานแทน พอทุกอย่างลงตัวก็เลยต้องมาทำในส่วนที่เคยทิ้งไปน่ะสิ” พี่ลุกซ์บ่นด้วยสีหน้าเซ็งสุดขีด
“ให้ผมช่วยอะไรไหม?” ผมถามเพราะอย่างน้อยก็เคยทำงานในส่วนนี้มาก่อน ช่วยจัดเรียงและเก็บเอกสารให้ก็ยังดี
“มึงไปพักก่อนไป เพิ่งบรรยายมาคงจะเหนื่อย เดี๋ยวค่อยมาช่วยก็ได้” พี่ลุกซ์บอก ผมรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนละมุนละไมจากคำพูดของพี่มันจนรู้สึกหายเหนื่อยไปเลยทีเดียว “อ้อ เก่งนะ” ขณะที่ผมกำลังหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาพี่ลุกซ์ก็พูดขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าพี่มันพูดถึงเรื่องอะไร
“อะไรเหรอครับ?” ผมนั่งลงแล้วเลิกคิ้วงงๆ
“บรรยายเก่งดี ไม่เคยคิดเลยว่ามึงจะโตขึ้นขนาดนี้” พี่ลุกซ์ประสานมือกันแล้ววางคางเอาไว้บนมือที่ประสานกันเอาไว้ น่ารักว่ะ
“ได้ดูด้วยเหรอครับ?” ผมถามอย่างแปลกใจปนดีใจ ไม่คิดว่าพี่มันจะไปดูผมบรรยายทั้งๆ ที่ไม่มีเวลา
“อืม แวะไปไม่นานน่ะ ไปช่วงที่มึงกำลังนินทากูเรื่องสมัยที่แข่งรถด้วย” พี่ลุกซ์พูดแล้วยิ้มเหี้ยมๆ จนผมแอบขนลุก ก็ตอนบรรยายถึงเรื่องเครื่องยนต์ผมก็แอบเล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่าพี่ลุกซ์สมัยก่อนเคยเฟี้ยวมาก่อน คนที่สาขาใหญ่จะรู้กันครับว่าผมเป็นแฟนพี่ลุกซ์แต่ช่างที่มาจากสาขาย่อยหลายๆ ที่เขาจะไม่รู้ครับ
สัมนาครั้งนี้จะมีช่างมาเข้าร่วมจากสาขาย่อยสาขาละสามคนส่วนจากบริษัทแม่นี่มาเกือบหมดเลยทีเดียว
“ขำๆ นะ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนความผิดแล้วรีบก้มหน้าก้มตาเล่นเกมมือถือเพื่อไม่ต้องคุยกับพี่มันเรื่องนี้อีก เดี๋ยวโดนดีน่ะสิ
ขณะที่กำลังกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนโซฟาห้องพี่ลุกซ์ผมก็ไลน์ไบอกพี่เฟนเรื่องที่แฟนอนุญาตให้ไปและขอตัวไม่กลับไปที่ห้องสัมนาอีกโดยให้เหตุผลว่าต้องไปอยู่กับแฟนเนื่องจากช่วงบ่ายผมตั้งใจจะช่วยพี่ลุกซ์ทำงานซึ่งพี่เฟนก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“ดูเหมือนไลน์จะเด้งบ่อยนะ” พี่ลุกซ์พูดขึ้นขณะที่ผมช่วยจัดเอกสารที่พี่ลุกซ์อ่านทำความเข้าใจเสร็จแล้ว พอดีว่าผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะของพี่ลุกซ์ทำให้พี่มันสังเกตเห็นง่ายแม้ผมจะปิดเสียงปิดสั่นไปแล้วก็ตาม
“คงเป็นพวกเฮียๆ น่ะครับ เห็นอายุมากอย่างนั้นแต่ติดโซเชียลมากเลย” ผมบอกยิ้มๆ อย่างนึกเอ็นดู นึกถึงตอนที่พ่อติดไลน์เลยล่ะครับ คุยกับเพื่อนทั้งวันจนลืมลูกรักอย่างน้องต้นไม้ทั้งหลายแหล่ไปเลย
“พี่เฟนไม่ได้จีบมึงใช่ไหม?” พี่ลุกซ์ถามเสียงดุ
“ไม่ได้จีบครับ คุยกันเฮฮาเป็นพี่น้องกัน อีกอย่าง พวกพี่ๆ เขาคิดว่าผมมีเมียแล้วด้วยซ้ำ” ผมบอกไปอีก
“ทำไมไม่บอกไปล่ะว่ามีผัวแล้ว” พี่ลุกซ์ยิ้มมุมปากอย่างกรุ้มกริ่มจนผมอดเขินไม่ได้
“ก็ไม่ได้มีผัวนี่ครับ มีแต่แฟน” ผมแก้ตัวเสียงอ้อมแอ้ม
“มานี่หน่อย” พี่ลุกซ์ไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำพูดผมแต่วางปากกาลงแล้วหมุนเก้าอี้มาหาผม ผมเลิกคิ้วมองหน้าพี่มันนิดๆ ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้า
พี่ลุกซ์จับมือทั้งสองข้างของผมขึ้นมาแล้วใช้นิ้วโป้งคลึงเบาๆ จากนั้นก็ดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ทั้งๆ ที่ผมยังยืนอยู่
“นี่เสือของผมเปลี่ยนมาเป็นแมวตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ผมถามเสียงละมุนพลางเกลี่ยผมสั้นๆ บริเวณท้ายทอยของพี่มันเบาๆ
“ทำไมถึงชอบว่ากูเป็นเสืออยู่เรื่อยเลยวะ?” พี่ลุกซ์ผละออกจากผมก่อนจะดึงให้ไปนั่งตักแล้วกอดเอวเอาไว้หลวมๆ แทน
“ก็พี่ดุไง อารมณ์รุนแรงอย่างกับสัตว์ป่า” ทันทีที่ผมพูดจบก็ถูกกัดคอเข้าให้
“อารมณ์ตอนไหน?” ถามพลางเอาจมูกมาไล้ท้ายทอยจนผมต้องหดคอหนี ไอ้เสียงตอนนี้นี่ก็ฟังดูหื่นซะเหลือเกิน
“พี่ลุกซ์ ถ้าไม่รีบทำงานเดี๋ยวก็ไม่เสร็จหรอก” ผมรีบบอกเพราะกลัวอารมณ์ของพี่มันลุกโชนจนจะทำให้ห้องทำงานแปดเปื้อน
“ขอเติมพลังก่อน หันมา” พี่ลุกซ์สั่ง ผมเอี้ยวตัวหันหน้าไปตามคำสั่งแล้วจากนั้นก็ถูกจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก ผมยิ้มนิดๆ ก่อนยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่มันฟอดใหญ่
“เอ้า ตั้งใจทำงานได้แล้วครับ” หอมแก้มเสร็จก็ลุกออกจากตักเพื่อให้พี่มันทำงานต่อได้อย่างสะดวก ส่วนตัวเองก็ยกกองเอกสารออกไปเก็บที่ห้องเอกสารโดยมีพี่ผึ้งที่อยู่หน้าห้องช่วยด้วย
หายไปนานนี่ไม่ได้ไปไหนหรอกนะคะ ไม่ลืมรีดๆ ด้วยเน่อ
ช่วงนี้ชีวิตไรต์แบบ...พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกจริงๆ ค่ะ
รถหาย แถมยังเข้าโรงพยาบาลถึงสองรอบในเดือนเดียว
นี่อาการดีขึ้นนะคะเนี่ยถึงได้มาอัพต่อได้
จะบอกว่าคิดถึงรีดๆ เน่อ
ปล. ใกล้จบลงไปทุกทีแล้วนะคะกับเรื่องนี้
อีกไม่กี่ตอน ลป ก็จะจบอย่างสมบูรณ์แล้วล่ะค่ะ ใจหายจัง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ