[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
9.7
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
56 ตอน
51 วิจารณ์
236.22K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
40) Chapter 40 : เคส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 40 : เคส
ผมยืนเต้นอยู่แถวๆ หน้าเวทีที่มีนักดนตรีและนักร้องกำลังเล่นคอนเสิร์ตกันอยู่สักพักผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินหล่อๆ เบียดผู้คนเข้ามาในร้านเหล้าแห่งนี้ เมื่อเห็นคนรู้จักผมก็รีบเดินเข้าไปทักทันที
“ไงเอก!” ผมทักเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงทำให้เอกตกใจเพราะคงไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จักที่นี่
“โธ่เปอร์ ตกใจหมดเลย” เอกถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะทำหน้าเหวอนิดๆ เมื่อมองไปข้างหลังผม ผมหันไปมองก่อนจะยิ้มขำ ไม่รู้พวกพี่ๆ ถูกพี่ลุกซ์จ้างมาเป็นองครักษ์ของผมหรือเปล่านะ ทำให้ขู่เอกซะน่ากลัวเลย
“พี่ไท พี่ขลุ่ย นี่เอกเพื่อนผมเอง” ผมหันไปบอกพวกพี่ๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบต่อ “พี่ลุกซ์รู้จักแล้ว ไม่มีปัญหาครับ” เมื่อผมบอกออกไปแบบนั้นพวกพี่ๆ ก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมา
“สวัสดีครับ” เอกทักพลางยกมือไหว้พี่ๆ ทั้งสอง
“นี่พี่ไท ส่วนนี่พี่ขลุ่ย เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยผมเอง” ผมแนะนำ “ว่าแต่เอกมาทำอะไรที่นี่ครับ? มาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ?” ผมถามต่อหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยิ้มให้กันอีกครั้งแล้ว
“มารับพี่พลอยน่ะครับ มันดึกแล้ว ผู้หญิงอยู่ที่แบบนี้นานๆ ไม่ดีหรอกครับ” เอกทำหน้าเครียดนิดๆ ท่าทางจะไม่อยากให้พี่พลอยมาแต่พี่พลอยดื้อจะมาล่ะมั้ง เฮ้อ สองคนนี้ก็นะ ปากก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ท่าทางนี่มันแฟนมาก!
“แล้วรู้หรือยังว่าพี่พลอยอยู่ที่ไหน?” ผมถาม
“ครับ พี่พลอยบอกแล้ว” เอกพยักหน้ารับ
“เอก ถ้าเจอพี่ลุกซ์อย่าบอกนะว่าผมอยู่ที่นี่ ผมหนีเที่ยวแต่ดันมาที่เดียวกันน่ะ แฮะๆ” ผมบอกด้วยสีหน้าแหยๆ
“ได้ๆ งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนนะ” เอกบอกแล้วรีบเดินไปฝั่งที่เป็นห้องวีไอพี
“ไอ้เปอร์ ฉิบหายแล้วมึง! พ่อมึงออกมาแล้วโว้ย!!” พี่ไทตะโกนบอกแล้วด้วยท่าทางตกใจทำให้ผมรีบหันไปมองที่โต๊ะของพวกเรา
ไอ้เหี้ย!
ภาพที่ผมเห็นคือพี่ลุกซ์กำลังยืนคุยกับพี่ลันอยู่ที่โต๊ะและทำท่ามองหาใครบางคน ก่อนที่พี่ลุกซ์จะหันมาเห็นผม ผมรีบมุดตัวแทรกเข้าไปในฝูงคนที่กำลังเต้นกันอยู่หน้าเวทีทันที เมื่อกี้ผมกับพวกพี่ๆ อยู่รอบนอกทำให้ง่ายต่อการสังเกตแต่ตอนนี้ผมหลุดเข้ามาในกลุ่มคนแล้ว
ผมยืนหันหน้าออกไปมองพี่ไทกับพี่ขลุ่ยก็พบว่าพี่พี่มันกำลังยืนตัวตรงโบกมือเบาๆ พลางยิ้มแป้นเหมือนกำลังทักทายพี่ลุกซ์ มืออีกข้างของพี่ไทที่ไขว้หลังเอาไว้โบกยิกๆ เหมือนจะส่งสัญญาณบอกให้ผมมุดเข้าไปให้ลึกมากกว่านี้ผมจึงรีบทำตามทันที
สักพักผมก็แอบเห็นพี่ลุกซ์เดินเข้ามาทักทายพี่ไทกับพี่ขลุ่ย ผมมั่นใจว่าตอนนี้ผมเข้ามาลึกมากพอที่จะไม่ให้พี่ลุกซ์สังเกตเห็นแต่ที่ผมเห็นพี่มันได้ก็เพราะผมต้องคอยชะโงกไปมาและแอบมองลอดช่องเล็กๆ ระหว่างผู้คนซึ่งภาพที่เห็นก็เห็นนิดๆ หน่อยๆ แต่พอจะเดาออกว่าเป็นพี่ลุกซ์
“มึงๆ ผู้ชายข้างหลังสามคนนั่นหล่อชัดเลยว่ะ” เสียงผู้หญิงข้างหลังพูดกันดังรอดมาให้ผมได้ยิน ถึงแม้จะไม่ชัดนักเพราะผมยืนห่างจากผู้หญิงคนนั้นอยู่สองสามคนแต่ก็พอจะจับใจความได้ ซึ่งผู้ชายข้างหลังที่ว่าผมคิดว่าคงไม่พ้นเป็นพี่ลุกซ์ พี่ไท พี่ขลุ่ยแน่
“มึง กูขอผู้ชายเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนนะ หล่อว่ะ ขนาดเซ็ตผมเรียบแปล้แบบนั้นยังหล่อได้อีก” คิ้วผมกระตุกทันทีที่ได้ยินผู้หญิงอีกคนพูดแบบนั้น ถ้าจำไม่ผิด พี่ลุกซ์ใส่สูทสีเทาเข้มโดยมีเชิ้ตสีฟ้าอ่อนข้างใน แน่นอนว่าถ้ามาเที่ยวแบบนี้พี่มันต้องถอดสูทออกและเหลือแต่เชิ้ต อีกอย่าง พี่มันชอบเซ็ตผมเปิดหน้าผากเพื่อให้ดูภูมิฐานตลอดเวลาด้วย
งั้นก็แสดงว่ายัยผู้หญิงข้างหลังผมเล็งผัวผมงั้นเรอะ!?!
“ไม่ได้นะมึง คนนั้นกูเล็งไว้แล้ว” ผู้หญิงอีกคนพูดขึ้น นั่นไง พี่ลุกซ์แม่งดึงดูดผู้หญิงได้ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขนาดกลายมาเป็นเกย์เสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามก็ยังไม่ลดเลยเว้ย หงุดหงิด! ต่างจากผมที่ไม่ค่อยดึงดูดสาวๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว โว้ย! เซ็ง!!
“มึง คนข้างๆ ก็หล่อทั้งคู่นะเว้ย มึงเอาสองคนนั้นดิ คนนี้กูขอ สเป็คเลย” อีหนู สเป็คยังไงก็ไม่ได้เฟ้ย นั่นผัวกู!
ไม่ได้การแล้วแบบนี้ ถ้าไม่แสดงให้เห็นว่ามีเจ้าของยัยสองคนนี้จะต้องเข้าไปอ่อยพี่ลุกซ์แน่เลย คิดได้แบบนั้นผมก็รีบฝ่าวงล้อมของฝูงคนออกไปหาพี่ลุกซ์ทันที
ไม่รู้เพราะความมึนเมาหรือหึงหวงถึงทำให้ผมคิดสั้นแบบนี้ก็ไม่รู้
“กูว่าแล้วไง” ทันทีที่เห็นหน้าผมพี่ลุกซ์ก็ทำหน้าเอือมเหมือนรู้ทันทันที
หมับ!
ผมเม้มปากทำหน้าโกรธที่พี่ลุกซ์เสน่ห์แรงก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอาไว้โดยทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปหาจนพี่มันเซเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัว
“ว้าย เรื่องนี้กูไม่เกี่ยว” พี่ไทยักไหล่นิดๆ ก่อนจะควงพี่ขลุ่ยกลับไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว
“มึงทำกูโกรธมากนะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์พูดเสียงนุ่มๆ อยู่ข้างหูของผมโดยที่ไม่ยกแขนกอดตอบ
“ไม่รู้” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มทำให้พี่ลุกซ์ถอนหายใจแล้วดันผมออกห่าง
“แล้วนี่อะไร? แก้วเหล้า? เข้มซะด้วย” พี่ลุกซ์แย่งแก้วเหล้าของผมไปถือเอาไว้แล้วยกขึ้นดมเพื่อทดสอบความเข้มของเหล้าก่อนจะจ้องหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความโมโห น่าแปลกนะที่ผมไม่กลัวเลย อาจจะเป็นเพราะผมเมาจริงๆ นั่นแหละ เมาแบบไม่รู้ตัวซะด้วยเพราะผมไม่ได้กินเหล้ามานานมาก
“ก็ไม่ให้มาก็เลยต้องหนีมาไง” ผมพูดเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเข้าไปกอดคอพี่มันเอาไว้แล้วซบหน้าลงบนไหล่หนา
“กูโมโหมากนะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์กัดฟันพูดออกมาก่อนที่เอวของผมจะถูกกอดรัดแน่นจากนั้นร่างก็ถูกลากออกจากร้านไปโดยที่ผมรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ
“เดี๋ยว ไปบอกลาพี่ๆ กับน้องๆ ก่อน” ผมตบหลังพี่ลุกซ์เพื่อให้พี่มันปล่อยผมจะได้เดินกลับเข้าไปในร้าน
“ไม่ต้อง!” พี่ลุกซ์ตะคอกก่อนจะเหวี่ยงผมเข้าไปในรถ
“เจ็บอ้า!” ผมขมวดคิ้วพลางหันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาเคืองๆ ที่พี่มันทำรุนแรงกับผม
พี่ลุกซ์ไม่พูดอะไรตอบโต้แล้วปิดประตูเสียงดังก่อนตัวเองจะโทรศัพท์หาใครซักคน เพียงไม่นานพี่ลุกซ์ก็เปิดประตูฝั่งผมแล้วล้วงเอากุญแจรถของผมไปให้กับคนบางคนที่มาหา
“เอารถคันนั้นกลับไปที่บ้านกู” พี่ลุกซ์สั่งคนคนนั้นพลางชี้ไปที่รถของผมที่จอดอยู่ไม่ห่างกันนัก
“เมียหนีเที่ยวล่ะสิ ฝากลงโทษหนักๆ หน่อยนะ กูล่ะหมั่นไส้หน้าเมียมึงจริงๆ” เสียงของคนที่มาหาดังขึ้นก่อนพี่ลุกซ์จะพยักหน้ารับแล้วโบกมือไล่ให้คนคนนั้นกลับไป
“ถึงเจ็บก็ห้ามบ่น ฮึๆ” พี่ลุกซ์มุดเข้ามาพูดขู่ผมในระยะประชิดก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากผมแรงๆ หนึ่งครั้งด้วยปากของตัวเองก่อนจะปิดประตูฝั่งของผมแล้วรีบวิ่งไปประจำที่คนขับจากนั้นก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็รู้สึกง่วงจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไป
เพราะความรู้สึกอึดอัดและเหนอะหนะที่ริมฝีปากทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว ผมเบือนหน้าหลบสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญแต่แล้วก็ต้องร้องครางออกมาเมื่อร่างกายถูกตะโบมลูบไล้
“อื๊ออออ” ผมกัดริมฝีปากพร้อมกับครางออกมาจากลำคอ
“ตื่นซักที กูไม่อยากทำอะไรคนเมา” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหูก่อนที่หลังหูของผมจะถูกไล้เลียเบาๆ
“เดี๋ยวก่อน” ผมขมวดคิ้วพลางปัดป่ายมือเพื่อดันเจ้าของเสียงออก
“ฮึ!” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะในลำคอนิดๆ ก่อนต้นคอของผมจะถูกกัดจนต้องร้องโอ๊ยออกมา
สติผมเริ่มกลับมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มร้อยหลังจากที่ถูกลวนลามมาซักพัก ผมปรือตามองคนที่กำลังลูบไล้ร่างกายของผมอย่างหื่นกระหายก่อนจะยกมือดันอกพี่ลุกซ์ออกแต่เพราะตัวพี่มันหนักก็เลยลำบากหน่อย
“พี่ลุกซ์ ไม่เอา” เมื่อดันพี่มันออกไปได้แล้วผมก็ขยับไปนั่งพิงหัวเตียงก่อนจะนวดขมับตัวเองเน้นๆ
“วันนี้กูไม่ให้มึงบ่ายเบี่ยงได้แน่” พี่ลุกซ์ทำหน้าเข้มก่อนจะดึงข้อเท้าผมแรงๆ เพื่อให้ร่างผมไหลไปนอนราบอยู่ที่เดิม
“ปวดหัว” ผมยกมือกุมหัวแล้วดิ้นเล็กน้อยอย่างทรมาน
“เดี๋ยวกูทำให้มึงหายปวดเอง” พี่ลุกซ์ขยับขึ้นมาคร่อมแล้วโน้มหน้ามาจูบที่ปากของผม ผมรีบเบือนหน้าหนีเพื่อบ่ายเบี่ยงไม่อยากจะทำ ปวดหัวจะตายอยู่แล้วยังจะมาอยากทำอีก โวะ!!
“ปวดหัว” ผมดันหน้าพี่ลุกซ์ออกก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำ
“ไม่ได้ กูต้องลงโทษมึง” พี่ลุกซ์กระซิบเสียงเย็นและดุดันทั้งๆ ที่ยังนอนทับตัวของผมอยู่
“ลงโทษวันหลังได้ไหม? นะ ตอนนี้ผมปวดหัวมากเลย หายาให้กินหน่อย” ผมเอี้ยวตัวไปขอร้องพี่ลุกซ์ด้วยสีหน้าที่คิดว่าอ้อนที่สุดก่อนจะฟุบหน้าลงที่หมอนเหมือนเดิม
“เฮ้อ แล้วไอ้นี่กูจะเอาลงยังไงวะ?” พี่ลุกซ์ขยับออกจากตัวผมก่อนจะชี้ไปที่เป้ากางเกงที่นูนขึ้นมา ผมเหลือบตาไปมองก่อนจะขำนิดๆ ขำมากไม่ได้เพราะมันสะเทือนถึงหัว
“ไปห้องน้ำสิ” ผมบอกพลางยันพี่มันให้ลงจากเตียง “ไปได้แล้ว” ผมย้ำอีกครั้งเมื่อพี่ลุกซ์ไม่ยอมไปไหนทำแค่ยืนเท้าสะเอวมองผมจากข้างเตียง
“โวะ! อยากเอาก็ไม่ได้เอา นี่ดวงกูเกิดมากลัวเมียรึไงวะ!? สั่งอะไรแม่งต้องทำให้ทุกอย่าง ไม่ได้ทำนานเข้า ถ้าไอ้หนูกูมันเล็กลงจะว่ากูไม่ได้นะเว้ย!” พี่ลุกซ์เดินออกจากห้องไปบ่นไป ไม่วายหันมาพูดกระทบ ผมจึงโยนหมอนไปใส่แต่พี่มันปิดประตูซะก่อนหมอนจึงกระทบกับประตูแทน ดูบ่นเข้า นี่ถ้าไม่ติดว่าปวดหัวจะหัวเราะออกไปดังๆ เลย นานๆ ทีพี่ลุกซ์จะมีมุกซักที
เพียงไม่นานพี่ลุกซ์ก็เข้ามาพร้อมกับยาและน้ำแต่ผมยังไม่ทันได้กินโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พี่ลุกซ์เดินไปหยิบโทรศัพท์ของผมมาแล้วยื่นให้ เมื่อเห็นว่าเป็นที่บ้านผมก็เลยบอกให้พี่ลุกซ์คุยแทน
“ครับ...ครับแม่...ก็หนีเที่ยวจนเมา ปวดหัวจนทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ...ไม่มีปัญหาครับ ผมดูแลเอง...ฮ่าๆ ได้ครับ ผมจะลงโทษให้สาสมกับความผิดเลยล่ะครับ เพราะฉะนั้นขอไม่ส่งคืนบ้านซักสองวันละกันนะครับ...ครับๆ ไม่เป็นไรครับ ครับ สวัสดีครับ” ผมกินยาไปแล้วนอนมองพี่ลุกซ์คุยกับแม่ของผมตาแป๋ว เนื้อหาการคุยท่าทางจะไม่ส่งผลดีต่อตัวผมเอาซะเลย แต่ผมชอบจังเวลาที่พี่ลุกซ์พูดเพราะๆ รู้สึกดีมากเลย ถ้าพี่มันพูดเพราะๆ กับผมบ้างคงจะดีไม่น้อย
“ทำไมน้า? ทำไมกับแฟนถึงไม่ยอมพูดเพราะๆ ด้วยน้า?” ผมแกล้งมองเพดานแล้วบ่นลอยๆ
“ขนลุกตายห่า เคยพูดแล้วไม่ใช่หรือไง?” พี่ลุกซ์ขยับขึ้นมานั่งบนเตียงข้างๆ ผมที่กำลังนอนอยู่
“มันนานมาแล้วนี่นา แต่ก็นะ ถ้าให้มาพูดตอนนี้ผมก็ไม่ชิน พี่น่าจะพูดเพราะๆ กับผมมาตั้งแต่ทีแรก” ผมบ่นไปเรื่อยโดยไม่จริงจังนัก
“บ่นอยู่ได้ รีบๆ นอนไปเลย ปวดหัวไม่ใช่เหรอ?” พี่ลุกซ์ดันตัวผมให้ขยับไปนอนอีกฝั่งเพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับนอนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับถอนหายใจ
“ยังไม่ง่วงเลย” ผมพูดอ้อมแอ้ม ก็เพิ่งตื่นนี่หว่า
“แต่กูง่วงแล้ว นอนเถอะ พรุ่งนี้มึงต้องทำงานหนัก ฮึๆ” พี่ลุกซ์พูด
“งานหนัก?” ผมทวนคำอย่างงงๆ
“เออ กูไม่ลืมหรอกนะว่าวันนี้มึงทำอะไรผิด ผิดทั้งหนีเที่ยวและผิดที่ไม่ยอมให้ลงโทษวันนี้ พรุ่งนี้โดนสองเท่า” พี่ลุกซ์ชี้หน้าขู่
“พี่ก็อย่างนี้ตลอด แก่แล้วก็ลดบ้างเถอะ ไอ้ความหื่นเนี่ย” ผมว่า ไม่ว่าจะตอนไหนก็เห็นพี่มันต้องการอยู่ตลอด หื่นคงเส้นคงวาเหลือเกิน
“มึงก็เหอะ เมื่อก่อนเห็นแรด จะเอาๆ ตลอด แล้วตอนนี้เป็นไร? พอกูจะทำแม่งไม่ให้ทำ” พี่ลุกซ์บ่นพลางทำหน้าดุแต่ผมกลับมองว่าหน้าตาพี่มันดูซุกซนยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะว่าแววตาของพี่มันไม่ได้ดุตามไปด้วยล่ะมั้ง โอ๊ย อยากฟัด
“ไม่ต้องพูดเลย จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ผมไม่ได้เสนอเหอะ พี่นั่นแหละบังคับข่มขืนผมตลอด เมื่อก่อนผมขัดพี่ได้ที่ไหนล่ะ” ผมบ่นพลางทำปากยื่น
“แล้วทำไมตอนนี้ไม่ยอมให้กูอีกล่ะ หรืออยากให้กูข่มขืนเอาเหมือนเมื่อก่อน?” พี่ลุกซ์พูดพลางพลิกตัวมาคร่อมผมเอาไว้จนผมต้องห่อตัวแล้วหลับตาปี๋เพราะกลัวพี่ลุกซ์จะทำอย่างที่พูดจริงๆ “ฮึๆ วันนี้ไม่ทำก็ได้ แต่พรุ่งนี้ต่อให้ต้องข่มขืนกูก็จะทำ” พี่ลุกซ์จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของผมแล้วพลิกตัวกลับไปนอนที่เดิม ผมลืมตาขึ้นมาแล้วเหวี่ยงแขนไปกระแทกพุงของพี่ลุกซ์อย่างแรงจนพี่มันตัวงอ
พี่ลุกซ์ทำโทษด้วยการพรมจูบทั่วใบหน้าของผมจนต้องลุกไปล้างหน้าเพราะน้ำลายแม่งเต็มหน้าเลย นี่กะจะจูบหรือถุยน้ำลายใส่หน้าวะ แถมยังมีหน้ามาหัวเราะชอบใจอีก นี่ผมปวดหัวอยู่นะเฟ้ย อีกอย่าง พี่ลุกซ์กัดแก้มของผมจนเห็นรอยฟันเลย บ้าจริงๆ เป็นหมารึไงเนี่ย? 45% left
ผมตื่นเช้ามาด้วยสมองที่ปลอดโปร่งสุดๆ บางทีผมก็เป็นนะ แบบว่าดื่มจนเมา พอตื่นเช้าขึ้นมาอีกทีก็สร่างชนิดที่รู้สึกสบายสุดๆ ด้วย ผิดกับพี่ลุกซ์ที่เช้านี้ดูมึนๆ ยังไงก็ไม่รู้
จะว่าไป ผมไม่ทันสังเกตเลยครับว่าตอนนี้ผมอยู่ที่คอนโดของพี่ลุกซ์ เมื่อคืนก็มัวแต่หยอกกับพี่ลุกซ์จนลืมดูเลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน บ้าจริงๆ เลยเชียว
“พี่ลุกซ์ ตื่นได้แล้ว สายแล้วนะครับ” หลังจากเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ เสร็จผมก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อปลุกพี่ลุกซ์อีกรอบ จริงๆ ผมปลุกพี่มันมาประมาณสามรอบแล้วล่ะครับ ปลุกรอบแรกคือตอนหกโมงเช้าเพราะผมตื่นเช้าแล้วหลับต่อไม่ลงจึงปลุกพี่ลุกซ์ด้วยแต่พี่มันไม่ยอมตื่น ปลุกอีกทีก็ตอนเจ็ดโมง อีกครั้งก็แปดโมงและตอนนี้ก็แปดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ผมต้องเข้างานตอนเก้าโมซะด้วยสิ ส่วนพี่ลุกซ์มีประชุมตอนสิบโมง (แอบเปิดดูสมุดคิวจากโทรศัพท์ของพี่มันน่ะครับ)
“อืมมมม ห้านาที” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวไปกอดหมอนข้าง นี่พี่มันขอ 5 นาทีมาเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ!!
“พี่ลุกซ์ สายแล้วนะ!!” ผมโวยวายพลางเดินไปดึงหมอนข้างออกทำให้พี่มันพลิกตัวไปอีกข้างเพื่อกอดหมอนที่ผมนอนเมื่อคืนเอาไว้ โอ๊ย! ทำไมปลุกยากปลุกเย็นอย่างนี้วะ! “เดี๋ยวไปประชุมสายนะครับ พี่ยิ่งแต่งตัวนานๆ อยู่ด้วย” ผมเท้าสะเอวบ่น ก็พี่มันต้องแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าน่ะสิ ผมก็ต้องเซ็ตให้เรียบแปล้ เสื้อผ้าก็ต้องเรียบชนิดไม่มีรอยยับ หน้าก็ห้ามโทรม รองเท้าก็ต้องมันเงา ที่สำคัญคือตัวต้องหอมด้วย
จริงๆ พี่ลุกซ์สามารถทำทุกอย่างให้เสร็จได้ภายในสามสิบนาทีเพราะเสื้อผ้า รองเท้าก็เตรียมไว้อยู่แล้วแต่ที่ช้าก็เพราะพี่มันมัวแต่อ้อยอิ่งทำตัวเชื่องช้าอยู่ตลอดน่ะสิ ถ้ารู้ตัวว่าไม่มีเวลาถึงจะรีบ
“ยังไม่เก้าโมงเลย” พี่ลุกซ์เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมาดูก่อนจะมุดหัวลงไปใต้ผ้าห่ม
“พี่ลุกซ์ ถ้าทำตัวแบบนี้ผมไม่มาอยู่ด้วยแล้วนะ” พูดเสร็จผมก็เม้มปากแน่นเพื่อรอดูปฏิกิริยาแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ
ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะเดินไปกินข้าวส่วนของตัวเองที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินออกจากห้องไปเพราะถ้ามัวมาปลุกพี่ลุกซ์อีกผมไปทำงานสายแน่นอน ส่วนพี่ลุกซ์จะไปทำงานสายก็เรื่องของพี่มันแล้ว!
ผมเดินทางไปทำงานโดยแท็กซี่เพราะจำไม่ได้ว่าเอารถไปจอดไว้ที่ไหนหรืออาจจะลืมไว้ที่ร้านเหล้าเมื่อคืนก็ได้ ไว้พี่ลุกซ์มาหาเมื่อไหร่ค่อยถามละกัน ชิ! พูดถึงแล้วหงุดหงิด ตื่นยากตื่นเย็นจริงๆ โว้ย ทีสมัยเรียนนี่ตื่นก่อนผมเกือบตลอด ตื่นมานั่งตาขวางในที่มืดๆ ให้คนอื่นตกใจเล่นซะทุกวัน หัวใจไม่วายก็บุญแค่ไหนแล้วเนี่ย
“เปอร์ จันทร์หน้าก็จะสัมมนาแล้วนะ มึงพร้อมไหม?” พี่ลันถามหลังจากที่ผมเดินเข้าไปในออฟฟิศของแผนกเพื่ออ่านเอกสารรอเข้าห้องซ่อมช่วงสิบโมง
“พร้อมครับพี่ ผมลองเครื่องยนต์ทุกตัวและตรวจดูอะไหล่ทั้งหมดแล้ว เดี๋ยวไปนัดแนะกับวิทยากรท่านอื่นอีกที” ผมบอกพลางเปิดดูเอกสารคร่าวๆ
“อืม ส่วนมากจะแบ่งกันพูดเป็นช่วงๆ ไป จะนัดก็แค่ใครพูดช่วงไหน วิทยากรส่วนมากก็เป็นพวกรุ่นพี่ของเราที่เป็นอาจารย์ทั้งนั้นแหละ” พี่ลันบอกพลางเดินเอารายชื่อและรายละเอียดของวิทยากรมาให้ผมดู
ผมปิดเอกสารที่กำลังอ่านเพื่อเปลี่ยนมาดูรายละเอียดของวิทยากรแทน ก็จริงอย่างที่พี่ลันว่าครับ วิทยากรส่วนมากเป็นรุ่นพี่ของพวกเราที่แยกย้ายกันไปเป็นอาจารย์ต่างสถาบันกันไป แต่รุ่นพี่เหล่านี้ผมไม่รู้จักหรอกครับเพราะเข้าไม่ทัน คิดว่าพี่กีร์น่าจะไปติดต่อมาให้เพราะพี่กีร์น่าจะทันรุ่นนี้
“เออมึง พี่กีร์เตือนมาว่ามีพี่คนหนึ่งเป็นเกย์ ระวังโดนจีบ” พี่ลันหันมาพูดกับผมอย่างนึกขึ้นได้
“ฝ่ายไหนล่ะพี่?” ผมถามเพราะจะได้รับมือถูก ถ้าฝ่ายนั้นรับผมคงไม่ถูกจีบหรอก สภาพของผมตอนนี้ผู้หญิงยังจีบยากเลย นี่ถ้าผมไม่ได้เป็นของพี่ลุกซ์ป่านนี้คงมีลูกมีเมียไปแล้วล่ะมั้ง
“รุกมั้ง ชื่ออะไรฟินๆ เฟคๆ นี่แหละ กูจำไม่ได้” พี่ลันพูดทำให้ผมรีบเปิดดูว่ามีใครชื่อประมาณนี้ไหม
เขาชื่อเฟนต่างหากล่ะไอ้พี่ลันเอ๊ย จำได้แต่ชื่อเมียตัวเองรึไงวะ
“ไม่ต้องมาห่วงผมหรอกน่า ห่วงไอ้ไอเถอะ ยิ่งน่ารักๆ อยู่ด้วย” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“ไอ้ห่า พูดมาได้ไม่ดูตัวเอง เมียกูหน้าแมนกว่ามึงสิบเท่า ควายจริงๆ เลยมึงเนี่ย” พี่ลันด่าผมแล้วเดินไปหยิบเอกสารอะไรบางอย่างก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไป
“เอ้า โดนด่าซะงั้นกู ฮ่าๆ” ผมมองตามพี่ลันพลางหัวเราะขำๆ
ในช่วงพักเที่ยงพี่ลุกซ์ไลน์มาก่อกวนใจความประมาณว่าผมไม่ปลุกและหนีมาทำงานก่อน ผมนี่แทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเพราะโมโห กล้าพูดได้ยังไงว่าผมไม่ปลุก มีการมาบอกด้วยนะว่าถ้าเจอหน้าจะทำโทษโทษฐานไม่รอ ผมนี่ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า...ไอ้ประธานหัวกรวย!!
“พี่เปอร์ ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?” ไอ้ไอเปิดประตูออฟฟิศออกมาถามผมที่กำลังนั่งหงุดหงิดอยู่หน้าออฟฟิศ
“ไม่ล่ะ ยังไม่หิวเลยว่ะ” ผมบอก ผมโมโหพี่ลุกซ์จนความหิวมันปลิวหายไปแล้วล่ะครับ
“ไม่ได้นะครับ พี่ลุกซ์ย้ำมาว่าพี่เปอร์ต้องกินข้าว” ผมกรอกตามองฟ้าทันทีที่ได้ยินไอ้ไอพูดแบบนั้น นี่ไปคุยกันตอนไหนฟะ? ถึงขั้นให้คนมาคุมเลยงั้นเรอะ? มากไปแล้วไอ้แก่!
“เออๆ ฝากซื้อละกัน เอาอะไรก็ได้” ผมบอกปัดๆ
“เฮ้ย ไม่ได้ๆ เมื่อกี้ไอ้ลุกซ์ไลน์มาบอกว่าจะมารับมึงไปกินข้าว” พี่ลันที่ยังไม่ได้ถอดชุดหมีโผล่หน้าออกมาบอกโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงจนผมกับไอ้ไอตกใจ
“ไม่เห็นพี่ลุกซ์บอกเลย เมื่อกี้เพิ่งคุยกัน” ผมเลิกคิ้วถามพี่ลัน
“มันบอกว่ามึงไม่ตอบไลน์ โทรหาก็ไม่ติด” พี่ลันบอกพลางรูดซิบชุดหมีลงเพื่อถอดมันออก
“อ้าว ห่า แบตหมด” ผมสงสัยกับคำพูดของพี่ลันจึงยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นดูและพบว่าแบตมันหมดไปเสียแล้ว ไอ้เครื่องนี้ผมใช้มานานละ มีปัญหากับแบตเล็กน้อย บางทีแบตขึ้น 20% แต่ปล่อยไว้ไม่ถึงสิบนาทีก็ดับซะแล้ว นี่ว่าจะไปซื้อใหม่ละ
“เออ มึงไปเปลี่ยนชุดได้แล้วไป ไอ้ลุกซ์มันลงมาแล้ว” พี่ลันบอก ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์เพื่อถอดชุดหมีออก ไปกินข้าวกับประธานบริษัททั้งทีผมคงไม่ใส่ชุดเปื้อนและมีกลิ่นน้ำมันไปหรอกครับ
เปลี่ยนชุดเสร็จผมก็ออกมาเจอพี่ลุกซ์คุยกับพี่สองอยู่พอดี พี่มันหันมาเห็นผมจึงบอกลาพี่สองแล้วเดินมาหา ผมชักสีหน้าใส่ทันทีก่อนจะเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองหน้า
“งอนอะไรไม่เข้าเรื่องนะมึง” พี่ลุกซ์เดินมายืนข้างๆ ผมลืมยกมือขึ้นวางบนหัวของผมก่อนจะขยี้เบาๆ จนผมต้องโยกหัวหลบแต่ก็ถูกกอดคอเอาไว้แทน
“ไม่ได้งอนแต่โมโห” ผมพูดแล้วขมวดคิ้วกอดอก
“ตื่นสายนิดเดียวเอง ทำหงุดหงิดไปได้” พี่ลุกซ์หนีบแขนข้างที่กอดคอผมเอาไว้เข้าหาตัวเองจนหัวผมเอนไปซบกับไหล่ของพี่มันอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วอย่ามาว่าผมไม่ปลุกอีกละกัน” ผมพูดเสียงห้วน ยังไม่คลายอาการโมโห
“งอนเรื่องนี้เหรอ? พูดเล่นเฉยๆ น่า ถ้าคราวหน้าปลุกไม่ตื่นลองจูบดูดิ กูลุกเลยแหละ” พี่ลุกซ์หันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าพี่มันอย่างเคืองๆ
“ให้ลุกจริงๆ เหอะ” ผมเบ้ปากใส่
“ถ้าลุกแล้วก็ทำให้มันลงหน่อยละกัน ฮึๆ” ผมเม้มปากเบือนหน้าหนีทันทีที่รู้ว่าพี่ลุกซ์เล่นมุกทะลึ่งใส่ ไอ้ผมก็คิดตามไม่ทันเพราะมัวแต่เคือง ใครจะไปนึกว่าพี่ลุกซ์จะเล่นมุกอะไรแบบนี้ล่ะครับ
“เสื่อม!”
ผมกับพี่ลุกซ์กินข้าวด้วยกันและคุยกันเป็นปกติ พี่มันก็บ่นเรื่องมือถือกากๆ ของผม ผมเลยบอกว่าจะซื้อใหม่พอดี พอได้ยินแบบนั้นก็อาสาจะพาผมไปซื้อตอนกินข้าวเสร็จแต่ผมกังวลเรื่องต้องเข้างานตอนพี่ลุกซ์เลยโทรไปขอพี่ลันให้และได้เวลามาหนึ่งชั่วโมง ส่วนพี่ลุกซ์ ถ้าไม่มีประชุมก็ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศก็ได้
ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็ได้มือถือเครื่องใหม่ จริงๆ ผมก็ลังเลอยู่ว่าจะเอาของอะไรดีและพี่ลุกซ์ก็ตัดสินใจเสร็จสรรพเพื่อเอาเหมือนๆ กันแต่คนละรุ่น
จริงๆ ตอนซื้อผมกับพี่ลุกซ์เถียงกันจนเกือบจะไม่ได้ซื้อเลยล่ะครับ เรื่องที่เถียงกันก็ไม่พ้นว่าใครจะเป็นคนจ่ายนั่นแหละ ไอ้หมอนี่ก็ป๋าเหลือเกิน จะจ่ายให้ตลอดแต่ผมไม่ยอมเพราะมันเป็นของของผมต้องได้มาจากน้ำพักน้ำแรง ไม่อยากไปเบียดเบียนกระเป๋าเงินของพี่มันด้วย สุดท้ายผมก็แพ้ พี่ลุกซ์แม่งล็อกตัวผมไว้แล้วยื่นบัตรให้พนักงานแถมยังมีการกระซิบขู่ผมด้วยว่าถ้าผมโวยวายพี่มันจะจูบโชว์ ห่า...แค่ล็อกตัวกันไว้แบบนั้นทั้งพนักงานและลูกค้าคนอื่นๆ เขาก็มองจะแย่อยู่แล้ว
ได้มือถือมาปุ๊บก็เอาไปติดฟิล์มและไปซื้อเคสมาใส่ ใส่เคสของเครื่องเดิมไม่ได้เพราะมันคนละไซส์กันเลย
“เคสนี้แม่ง...” พี่ลุกซ์อุทานขึ้นขณะที่เราไปเลือกซื้อเคสกัน พี่มันจับเคสรูปกระจกสีชมพู ซิลิโคนหนาๆ ขึ้นมาแล้วทำหน้าตาแหยงๆ
“เออ เหมาะกับพี่ดีว่ะ ฮ่าๆ” ผมแย่งเคสนั่นมาก่อนจะยกขึ้นเทียบกับหน้าของพี่ลุกซ์ซึ่งกำลังทำหน้าเอือมสุดๆ อยู่
“ถุย มึงเอาไปใช้เลย เหมาะกับมึงดี ตุ๊ดโคตร” พี่ลุกซ์พูดพลางหันไปดูเคสอันอื่นให้ผม
“ใครตุ๊ดคร้าบ ผมนี่แมนทั้งแท่ง” ผมยืดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างมีมาด
“เอ้า กูว่าลายนี้เหมาะกันมึงดี เอาลายนี้แหละ” พี่ลุกซ์หยิบเคสมาให้ซึ่งผมก็กำลังงงกับคำว่า ลาย ของพี่มัน นี่มันไม่มีลายอะไรเลยนะ มีแค่สีเท่านั้นเอง
“ไม่เอา เอาอันนี้ น่ารักดี” ผมหยิบเคสลายการ์ตูนผู้ชายใส่สูทสีเทาและมีพื้นหลังเป็นสีขาวขึ้นมา มันเหมือนพี่ลุกซ์ย่อส่วนยังไงก็ไม่รู้ น่ารักโคตร
“เออๆ ไปจ่ายตังค์ไป” พี่ลุกซ์บอกแล้วกอดคอผมไปที่เคาน์เตอร์
ขณะที่เดินไปจ่ายตังค์ผมก็แอบสังเกตเห็นคนที่อยู่ในร้านเคสมองพวกเราแล้วซุบซิบกันใหญ่ พี่ลุกซ์นี่ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวห่าอะไรเลย เขามองขนาดนั้นยังลอยหน้าลอยตาจ่ายตังค์ได้อีก
“พี่ลุกซ์ คนมองว่ะ ปล่อยเหอะ” ผมกระซิบบอกขณะกำลังรอใบเสร็จและเงินทอน
“น่ารำคาญจริงๆ” พี่ลุกซ์ทำหน้าหงิกแล้วยอมปล่อย เมื่อกี้พี่มันไม่ได้ว่าผมน่ารำคาญหรอกครับแต่ว่าคนที่มองพวกเราแล้วนินทาต่างหาก
“เอ้อ เลิกงานไปตัดผมกัน” ผมชวนขณะที่เรากำลังเดินออกจากร้านเคส ตอนนี้ผมของผมมันยาวทิ่มคอละ จัดทรงยาก ตื่นมาหัวฟูตลอด คราวนี้จะตัดสั้นๆ เลย พี่ลุกซ์ก็ด้วย ผมจะบังคับตัดสั้น ปกติพี่มันชอบไว้ยาวประมาณคอแต่ผมว่าตัดสั้นเลยน่าจะเหมาะกว่า
“อืม เอาดิ จะได้ไม่ต้องเซ็ตยาก” พี่ลุกซ์จับปอยผมที่ตกลงมาแล้วบอก
ผมยิ้มรับแล้วเดินกลับไปที่รถพร้อมกับพี่ลุกซ์ ระหว่างที่นั่งรถกลับบริษัทผมก็แอบโอนเงินค่าซื้อโทรศัพท์คืนพี่ลุกซ์โดยไม่บอกแต่สุดท้ายก็โดนด่าเพราะข้อความเข้ามือถือของพี่ลุกซ์ว่าเงินเข้า ถึงพี่ลุกซ์จะรวยล้นฟ้าแต่ผมก็ไม่อยากได้ของแพงๆ จากพี่ลุกซ์ซักหน่อย เงินใครเงินมันดิ ผมเกรงใจและรู้สึกเหมือนเกาะพี่ลุกซ์กินยังไงก็ไม่รู้
“ตั้งใจทำงานนะ” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะหอมหน้าผากผมเบาๆ ขณะที่กำลังจะแยกกันตรงที่จอดรถประจำตำแหน่งของพี่ลุกซ์ ทุกวันนี้พี่มันไม่ได้ขับรถประจำตัวของตัวเองมาทำงานครับแต่ใช้รถของที่บ้านที่เป็นรถธรรมดาไม่ได้แต่งอะไรมาแทนเพราะกลัวรถสุดที่รักของตัวเองจะระเบิด
“เช่นกันครับ” ผมยิ้มรับแล้วเดินแยกจากพี่ลุกซ์เพื่อไปที่ห้องซ่อม
++++++++++++++++++ สุดท้ายอิพี่ลุกซ์จะอดไหม? ต้องรอติดตาม ฮ่าๆๆๆ ปล. ตอนหน้าลงอัตภีร์นะจ๊ะ ปล.2 อยากให้เรื่องนี้จบหรือยัง? ใกล้แล้วนะๆ
ผมยืนเต้นอยู่แถวๆ หน้าเวทีที่มีนักดนตรีและนักร้องกำลังเล่นคอนเสิร์ตกันอยู่สักพักผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินหล่อๆ เบียดผู้คนเข้ามาในร้านเหล้าแห่งนี้ เมื่อเห็นคนรู้จักผมก็รีบเดินเข้าไปทักทันที
“ไงเอก!” ผมทักเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงทำให้เอกตกใจเพราะคงไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จักที่นี่
“โธ่เปอร์ ตกใจหมดเลย” เอกถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะทำหน้าเหวอนิดๆ เมื่อมองไปข้างหลังผม ผมหันไปมองก่อนจะยิ้มขำ ไม่รู้พวกพี่ๆ ถูกพี่ลุกซ์จ้างมาเป็นองครักษ์ของผมหรือเปล่านะ ทำให้ขู่เอกซะน่ากลัวเลย
“พี่ไท พี่ขลุ่ย นี่เอกเพื่อนผมเอง” ผมหันไปบอกพวกพี่ๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบต่อ “พี่ลุกซ์รู้จักแล้ว ไม่มีปัญหาครับ” เมื่อผมบอกออกไปแบบนั้นพวกพี่ๆ ก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมา
“สวัสดีครับ” เอกทักพลางยกมือไหว้พี่ๆ ทั้งสอง
“นี่พี่ไท ส่วนนี่พี่ขลุ่ย เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยผมเอง” ผมแนะนำ “ว่าแต่เอกมาทำอะไรที่นี่ครับ? มาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ?” ผมถามต่อหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยิ้มให้กันอีกครั้งแล้ว
“มารับพี่พลอยน่ะครับ มันดึกแล้ว ผู้หญิงอยู่ที่แบบนี้นานๆ ไม่ดีหรอกครับ” เอกทำหน้าเครียดนิดๆ ท่าทางจะไม่อยากให้พี่พลอยมาแต่พี่พลอยดื้อจะมาล่ะมั้ง เฮ้อ สองคนนี้ก็นะ ปากก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ท่าทางนี่มันแฟนมาก!
“แล้วรู้หรือยังว่าพี่พลอยอยู่ที่ไหน?” ผมถาม
“ครับ พี่พลอยบอกแล้ว” เอกพยักหน้ารับ
“เอก ถ้าเจอพี่ลุกซ์อย่าบอกนะว่าผมอยู่ที่นี่ ผมหนีเที่ยวแต่ดันมาที่เดียวกันน่ะ แฮะๆ” ผมบอกด้วยสีหน้าแหยๆ
“ได้ๆ งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนนะ” เอกบอกแล้วรีบเดินไปฝั่งที่เป็นห้องวีไอพี
“ไอ้เปอร์ ฉิบหายแล้วมึง! พ่อมึงออกมาแล้วโว้ย!!” พี่ไทตะโกนบอกแล้วด้วยท่าทางตกใจทำให้ผมรีบหันไปมองที่โต๊ะของพวกเรา
ไอ้เหี้ย!
ภาพที่ผมเห็นคือพี่ลุกซ์กำลังยืนคุยกับพี่ลันอยู่ที่โต๊ะและทำท่ามองหาใครบางคน ก่อนที่พี่ลุกซ์จะหันมาเห็นผม ผมรีบมุดตัวแทรกเข้าไปในฝูงคนที่กำลังเต้นกันอยู่หน้าเวทีทันที เมื่อกี้ผมกับพวกพี่ๆ อยู่รอบนอกทำให้ง่ายต่อการสังเกตแต่ตอนนี้ผมหลุดเข้ามาในกลุ่มคนแล้ว
ผมยืนหันหน้าออกไปมองพี่ไทกับพี่ขลุ่ยก็พบว่าพี่พี่มันกำลังยืนตัวตรงโบกมือเบาๆ พลางยิ้มแป้นเหมือนกำลังทักทายพี่ลุกซ์ มืออีกข้างของพี่ไทที่ไขว้หลังเอาไว้โบกยิกๆ เหมือนจะส่งสัญญาณบอกให้ผมมุดเข้าไปให้ลึกมากกว่านี้ผมจึงรีบทำตามทันที
สักพักผมก็แอบเห็นพี่ลุกซ์เดินเข้ามาทักทายพี่ไทกับพี่ขลุ่ย ผมมั่นใจว่าตอนนี้ผมเข้ามาลึกมากพอที่จะไม่ให้พี่ลุกซ์สังเกตเห็นแต่ที่ผมเห็นพี่มันได้ก็เพราะผมต้องคอยชะโงกไปมาและแอบมองลอดช่องเล็กๆ ระหว่างผู้คนซึ่งภาพที่เห็นก็เห็นนิดๆ หน่อยๆ แต่พอจะเดาออกว่าเป็นพี่ลุกซ์
“มึงๆ ผู้ชายข้างหลังสามคนนั่นหล่อชัดเลยว่ะ” เสียงผู้หญิงข้างหลังพูดกันดังรอดมาให้ผมได้ยิน ถึงแม้จะไม่ชัดนักเพราะผมยืนห่างจากผู้หญิงคนนั้นอยู่สองสามคนแต่ก็พอจะจับใจความได้ ซึ่งผู้ชายข้างหลังที่ว่าผมคิดว่าคงไม่พ้นเป็นพี่ลุกซ์ พี่ไท พี่ขลุ่ยแน่
“มึง กูขอผู้ชายเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนนะ หล่อว่ะ ขนาดเซ็ตผมเรียบแปล้แบบนั้นยังหล่อได้อีก” คิ้วผมกระตุกทันทีที่ได้ยินผู้หญิงอีกคนพูดแบบนั้น ถ้าจำไม่ผิด พี่ลุกซ์ใส่สูทสีเทาเข้มโดยมีเชิ้ตสีฟ้าอ่อนข้างใน แน่นอนว่าถ้ามาเที่ยวแบบนี้พี่มันต้องถอดสูทออกและเหลือแต่เชิ้ต อีกอย่าง พี่มันชอบเซ็ตผมเปิดหน้าผากเพื่อให้ดูภูมิฐานตลอดเวลาด้วย
งั้นก็แสดงว่ายัยผู้หญิงข้างหลังผมเล็งผัวผมงั้นเรอะ!?!
“ไม่ได้นะมึง คนนั้นกูเล็งไว้แล้ว” ผู้หญิงอีกคนพูดขึ้น นั่นไง พี่ลุกซ์แม่งดึงดูดผู้หญิงได้ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขนาดกลายมาเป็นเกย์เสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามก็ยังไม่ลดเลยเว้ย หงุดหงิด! ต่างจากผมที่ไม่ค่อยดึงดูดสาวๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว โว้ย! เซ็ง!!
“มึง คนข้างๆ ก็หล่อทั้งคู่นะเว้ย มึงเอาสองคนนั้นดิ คนนี้กูขอ สเป็คเลย” อีหนู สเป็คยังไงก็ไม่ได้เฟ้ย นั่นผัวกู!
ไม่ได้การแล้วแบบนี้ ถ้าไม่แสดงให้เห็นว่ามีเจ้าของยัยสองคนนี้จะต้องเข้าไปอ่อยพี่ลุกซ์แน่เลย คิดได้แบบนั้นผมก็รีบฝ่าวงล้อมของฝูงคนออกไปหาพี่ลุกซ์ทันที
ไม่รู้เพราะความมึนเมาหรือหึงหวงถึงทำให้ผมคิดสั้นแบบนี้ก็ไม่รู้
“กูว่าแล้วไง” ทันทีที่เห็นหน้าผมพี่ลุกซ์ก็ทำหน้าเอือมเหมือนรู้ทันทันที
หมับ!
ผมเม้มปากทำหน้าโกรธที่พี่ลุกซ์เสน่ห์แรงก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอาไว้โดยทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปหาจนพี่มันเซเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัว
“ว้าย เรื่องนี้กูไม่เกี่ยว” พี่ไทยักไหล่นิดๆ ก่อนจะควงพี่ขลุ่ยกลับไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว
“มึงทำกูโกรธมากนะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์พูดเสียงนุ่มๆ อยู่ข้างหูของผมโดยที่ไม่ยกแขนกอดตอบ
“ไม่รู้” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มทำให้พี่ลุกซ์ถอนหายใจแล้วดันผมออกห่าง
“แล้วนี่อะไร? แก้วเหล้า? เข้มซะด้วย” พี่ลุกซ์แย่งแก้วเหล้าของผมไปถือเอาไว้แล้วยกขึ้นดมเพื่อทดสอบความเข้มของเหล้าก่อนจะจ้องหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความโมโห น่าแปลกนะที่ผมไม่กลัวเลย อาจจะเป็นเพราะผมเมาจริงๆ นั่นแหละ เมาแบบไม่รู้ตัวซะด้วยเพราะผมไม่ได้กินเหล้ามานานมาก
“ก็ไม่ให้มาก็เลยต้องหนีมาไง” ผมพูดเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเข้าไปกอดคอพี่มันเอาไว้แล้วซบหน้าลงบนไหล่หนา
“กูโมโหมากนะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์กัดฟันพูดออกมาก่อนที่เอวของผมจะถูกกอดรัดแน่นจากนั้นร่างก็ถูกลากออกจากร้านไปโดยที่ผมรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ
“เดี๋ยว ไปบอกลาพี่ๆ กับน้องๆ ก่อน” ผมตบหลังพี่ลุกซ์เพื่อให้พี่มันปล่อยผมจะได้เดินกลับเข้าไปในร้าน
“ไม่ต้อง!” พี่ลุกซ์ตะคอกก่อนจะเหวี่ยงผมเข้าไปในรถ
“เจ็บอ้า!” ผมขมวดคิ้วพลางหันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาเคืองๆ ที่พี่มันทำรุนแรงกับผม
พี่ลุกซ์ไม่พูดอะไรตอบโต้แล้วปิดประตูเสียงดังก่อนตัวเองจะโทรศัพท์หาใครซักคน เพียงไม่นานพี่ลุกซ์ก็เปิดประตูฝั่งผมแล้วล้วงเอากุญแจรถของผมไปให้กับคนบางคนที่มาหา
“เอารถคันนั้นกลับไปที่บ้านกู” พี่ลุกซ์สั่งคนคนนั้นพลางชี้ไปที่รถของผมที่จอดอยู่ไม่ห่างกันนัก
“เมียหนีเที่ยวล่ะสิ ฝากลงโทษหนักๆ หน่อยนะ กูล่ะหมั่นไส้หน้าเมียมึงจริงๆ” เสียงของคนที่มาหาดังขึ้นก่อนพี่ลุกซ์จะพยักหน้ารับแล้วโบกมือไล่ให้คนคนนั้นกลับไป
“ถึงเจ็บก็ห้ามบ่น ฮึๆ” พี่ลุกซ์มุดเข้ามาพูดขู่ผมในระยะประชิดก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากผมแรงๆ หนึ่งครั้งด้วยปากของตัวเองก่อนจะปิดประตูฝั่งของผมแล้วรีบวิ่งไปประจำที่คนขับจากนั้นก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็รู้สึกง่วงจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไป
เพราะความรู้สึกอึดอัดและเหนอะหนะที่ริมฝีปากทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว ผมเบือนหน้าหลบสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญแต่แล้วก็ต้องร้องครางออกมาเมื่อร่างกายถูกตะโบมลูบไล้
“อื๊ออออ” ผมกัดริมฝีปากพร้อมกับครางออกมาจากลำคอ
“ตื่นซักที กูไม่อยากทำอะไรคนเมา” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหูก่อนที่หลังหูของผมจะถูกไล้เลียเบาๆ
“เดี๋ยวก่อน” ผมขมวดคิ้วพลางปัดป่ายมือเพื่อดันเจ้าของเสียงออก
“ฮึ!” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะในลำคอนิดๆ ก่อนต้นคอของผมจะถูกกัดจนต้องร้องโอ๊ยออกมา
สติผมเริ่มกลับมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มร้อยหลังจากที่ถูกลวนลามมาซักพัก ผมปรือตามองคนที่กำลังลูบไล้ร่างกายของผมอย่างหื่นกระหายก่อนจะยกมือดันอกพี่ลุกซ์ออกแต่เพราะตัวพี่มันหนักก็เลยลำบากหน่อย
“พี่ลุกซ์ ไม่เอา” เมื่อดันพี่มันออกไปได้แล้วผมก็ขยับไปนั่งพิงหัวเตียงก่อนจะนวดขมับตัวเองเน้นๆ
“วันนี้กูไม่ให้มึงบ่ายเบี่ยงได้แน่” พี่ลุกซ์ทำหน้าเข้มก่อนจะดึงข้อเท้าผมแรงๆ เพื่อให้ร่างผมไหลไปนอนราบอยู่ที่เดิม
“ปวดหัว” ผมยกมือกุมหัวแล้วดิ้นเล็กน้อยอย่างทรมาน
“เดี๋ยวกูทำให้มึงหายปวดเอง” พี่ลุกซ์ขยับขึ้นมาคร่อมแล้วโน้มหน้ามาจูบที่ปากของผม ผมรีบเบือนหน้าหนีเพื่อบ่ายเบี่ยงไม่อยากจะทำ ปวดหัวจะตายอยู่แล้วยังจะมาอยากทำอีก โวะ!!
“ปวดหัว” ผมดันหน้าพี่ลุกซ์ออกก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำ
“ไม่ได้ กูต้องลงโทษมึง” พี่ลุกซ์กระซิบเสียงเย็นและดุดันทั้งๆ ที่ยังนอนทับตัวของผมอยู่
“ลงโทษวันหลังได้ไหม? นะ ตอนนี้ผมปวดหัวมากเลย หายาให้กินหน่อย” ผมเอี้ยวตัวไปขอร้องพี่ลุกซ์ด้วยสีหน้าที่คิดว่าอ้อนที่สุดก่อนจะฟุบหน้าลงที่หมอนเหมือนเดิม
“เฮ้อ แล้วไอ้นี่กูจะเอาลงยังไงวะ?” พี่ลุกซ์ขยับออกจากตัวผมก่อนจะชี้ไปที่เป้ากางเกงที่นูนขึ้นมา ผมเหลือบตาไปมองก่อนจะขำนิดๆ ขำมากไม่ได้เพราะมันสะเทือนถึงหัว
“ไปห้องน้ำสิ” ผมบอกพลางยันพี่มันให้ลงจากเตียง “ไปได้แล้ว” ผมย้ำอีกครั้งเมื่อพี่ลุกซ์ไม่ยอมไปไหนทำแค่ยืนเท้าสะเอวมองผมจากข้างเตียง
“โวะ! อยากเอาก็ไม่ได้เอา นี่ดวงกูเกิดมากลัวเมียรึไงวะ!? สั่งอะไรแม่งต้องทำให้ทุกอย่าง ไม่ได้ทำนานเข้า ถ้าไอ้หนูกูมันเล็กลงจะว่ากูไม่ได้นะเว้ย!” พี่ลุกซ์เดินออกจากห้องไปบ่นไป ไม่วายหันมาพูดกระทบ ผมจึงโยนหมอนไปใส่แต่พี่มันปิดประตูซะก่อนหมอนจึงกระทบกับประตูแทน ดูบ่นเข้า นี่ถ้าไม่ติดว่าปวดหัวจะหัวเราะออกไปดังๆ เลย นานๆ ทีพี่ลุกซ์จะมีมุกซักที
เพียงไม่นานพี่ลุกซ์ก็เข้ามาพร้อมกับยาและน้ำแต่ผมยังไม่ทันได้กินโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พี่ลุกซ์เดินไปหยิบโทรศัพท์ของผมมาแล้วยื่นให้ เมื่อเห็นว่าเป็นที่บ้านผมก็เลยบอกให้พี่ลุกซ์คุยแทน
“ครับ...ครับแม่...ก็หนีเที่ยวจนเมา ปวดหัวจนทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ...ไม่มีปัญหาครับ ผมดูแลเอง...ฮ่าๆ ได้ครับ ผมจะลงโทษให้สาสมกับความผิดเลยล่ะครับ เพราะฉะนั้นขอไม่ส่งคืนบ้านซักสองวันละกันนะครับ...ครับๆ ไม่เป็นไรครับ ครับ สวัสดีครับ” ผมกินยาไปแล้วนอนมองพี่ลุกซ์คุยกับแม่ของผมตาแป๋ว เนื้อหาการคุยท่าทางจะไม่ส่งผลดีต่อตัวผมเอาซะเลย แต่ผมชอบจังเวลาที่พี่ลุกซ์พูดเพราะๆ รู้สึกดีมากเลย ถ้าพี่มันพูดเพราะๆ กับผมบ้างคงจะดีไม่น้อย
“ทำไมน้า? ทำไมกับแฟนถึงไม่ยอมพูดเพราะๆ ด้วยน้า?” ผมแกล้งมองเพดานแล้วบ่นลอยๆ
“ขนลุกตายห่า เคยพูดแล้วไม่ใช่หรือไง?” พี่ลุกซ์ขยับขึ้นมานั่งบนเตียงข้างๆ ผมที่กำลังนอนอยู่
“มันนานมาแล้วนี่นา แต่ก็นะ ถ้าให้มาพูดตอนนี้ผมก็ไม่ชิน พี่น่าจะพูดเพราะๆ กับผมมาตั้งแต่ทีแรก” ผมบ่นไปเรื่อยโดยไม่จริงจังนัก
“บ่นอยู่ได้ รีบๆ นอนไปเลย ปวดหัวไม่ใช่เหรอ?” พี่ลุกซ์ดันตัวผมให้ขยับไปนอนอีกฝั่งเพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับนอนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับถอนหายใจ
“ยังไม่ง่วงเลย” ผมพูดอ้อมแอ้ม ก็เพิ่งตื่นนี่หว่า
“แต่กูง่วงแล้ว นอนเถอะ พรุ่งนี้มึงต้องทำงานหนัก ฮึๆ” พี่ลุกซ์พูด
“งานหนัก?” ผมทวนคำอย่างงงๆ
“เออ กูไม่ลืมหรอกนะว่าวันนี้มึงทำอะไรผิด ผิดทั้งหนีเที่ยวและผิดที่ไม่ยอมให้ลงโทษวันนี้ พรุ่งนี้โดนสองเท่า” พี่ลุกซ์ชี้หน้าขู่
“พี่ก็อย่างนี้ตลอด แก่แล้วก็ลดบ้างเถอะ ไอ้ความหื่นเนี่ย” ผมว่า ไม่ว่าจะตอนไหนก็เห็นพี่มันต้องการอยู่ตลอด หื่นคงเส้นคงวาเหลือเกิน
“มึงก็เหอะ เมื่อก่อนเห็นแรด จะเอาๆ ตลอด แล้วตอนนี้เป็นไร? พอกูจะทำแม่งไม่ให้ทำ” พี่ลุกซ์บ่นพลางทำหน้าดุแต่ผมกลับมองว่าหน้าตาพี่มันดูซุกซนยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะว่าแววตาของพี่มันไม่ได้ดุตามไปด้วยล่ะมั้ง โอ๊ย อยากฟัด
“ไม่ต้องพูดเลย จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ผมไม่ได้เสนอเหอะ พี่นั่นแหละบังคับข่มขืนผมตลอด เมื่อก่อนผมขัดพี่ได้ที่ไหนล่ะ” ผมบ่นพลางทำปากยื่น
“แล้วทำไมตอนนี้ไม่ยอมให้กูอีกล่ะ หรืออยากให้กูข่มขืนเอาเหมือนเมื่อก่อน?” พี่ลุกซ์พูดพลางพลิกตัวมาคร่อมผมเอาไว้จนผมต้องห่อตัวแล้วหลับตาปี๋เพราะกลัวพี่ลุกซ์จะทำอย่างที่พูดจริงๆ “ฮึๆ วันนี้ไม่ทำก็ได้ แต่พรุ่งนี้ต่อให้ต้องข่มขืนกูก็จะทำ” พี่ลุกซ์จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของผมแล้วพลิกตัวกลับไปนอนที่เดิม ผมลืมตาขึ้นมาแล้วเหวี่ยงแขนไปกระแทกพุงของพี่ลุกซ์อย่างแรงจนพี่มันตัวงอ
พี่ลุกซ์ทำโทษด้วยการพรมจูบทั่วใบหน้าของผมจนต้องลุกไปล้างหน้าเพราะน้ำลายแม่งเต็มหน้าเลย นี่กะจะจูบหรือถุยน้ำลายใส่หน้าวะ แถมยังมีหน้ามาหัวเราะชอบใจอีก นี่ผมปวดหัวอยู่นะเฟ้ย อีกอย่าง พี่ลุกซ์กัดแก้มของผมจนเห็นรอยฟันเลย บ้าจริงๆ เป็นหมารึไงเนี่ย? 45% left
ผมตื่นเช้ามาด้วยสมองที่ปลอดโปร่งสุดๆ บางทีผมก็เป็นนะ แบบว่าดื่มจนเมา พอตื่นเช้าขึ้นมาอีกทีก็สร่างชนิดที่รู้สึกสบายสุดๆ ด้วย ผิดกับพี่ลุกซ์ที่เช้านี้ดูมึนๆ ยังไงก็ไม่รู้
จะว่าไป ผมไม่ทันสังเกตเลยครับว่าตอนนี้ผมอยู่ที่คอนโดของพี่ลุกซ์ เมื่อคืนก็มัวแต่หยอกกับพี่ลุกซ์จนลืมดูเลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน บ้าจริงๆ เลยเชียว
“พี่ลุกซ์ ตื่นได้แล้ว สายแล้วนะครับ” หลังจากเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ เสร็จผมก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อปลุกพี่ลุกซ์อีกรอบ จริงๆ ผมปลุกพี่มันมาประมาณสามรอบแล้วล่ะครับ ปลุกรอบแรกคือตอนหกโมงเช้าเพราะผมตื่นเช้าแล้วหลับต่อไม่ลงจึงปลุกพี่ลุกซ์ด้วยแต่พี่มันไม่ยอมตื่น ปลุกอีกทีก็ตอนเจ็ดโมง อีกครั้งก็แปดโมงและตอนนี้ก็แปดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ผมต้องเข้างานตอนเก้าโมซะด้วยสิ ส่วนพี่ลุกซ์มีประชุมตอนสิบโมง (แอบเปิดดูสมุดคิวจากโทรศัพท์ของพี่มันน่ะครับ)
“อืมมมม ห้านาที” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวไปกอดหมอนข้าง นี่พี่มันขอ 5 นาทีมาเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ!!
“พี่ลุกซ์ สายแล้วนะ!!” ผมโวยวายพลางเดินไปดึงหมอนข้างออกทำให้พี่มันพลิกตัวไปอีกข้างเพื่อกอดหมอนที่ผมนอนเมื่อคืนเอาไว้ โอ๊ย! ทำไมปลุกยากปลุกเย็นอย่างนี้วะ! “เดี๋ยวไปประชุมสายนะครับ พี่ยิ่งแต่งตัวนานๆ อยู่ด้วย” ผมเท้าสะเอวบ่น ก็พี่มันต้องแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าน่ะสิ ผมก็ต้องเซ็ตให้เรียบแปล้ เสื้อผ้าก็ต้องเรียบชนิดไม่มีรอยยับ หน้าก็ห้ามโทรม รองเท้าก็ต้องมันเงา ที่สำคัญคือตัวต้องหอมด้วย
จริงๆ พี่ลุกซ์สามารถทำทุกอย่างให้เสร็จได้ภายในสามสิบนาทีเพราะเสื้อผ้า รองเท้าก็เตรียมไว้อยู่แล้วแต่ที่ช้าก็เพราะพี่มันมัวแต่อ้อยอิ่งทำตัวเชื่องช้าอยู่ตลอดน่ะสิ ถ้ารู้ตัวว่าไม่มีเวลาถึงจะรีบ
“ยังไม่เก้าโมงเลย” พี่ลุกซ์เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมาดูก่อนจะมุดหัวลงไปใต้ผ้าห่ม
“พี่ลุกซ์ ถ้าทำตัวแบบนี้ผมไม่มาอยู่ด้วยแล้วนะ” พูดเสร็จผมก็เม้มปากแน่นเพื่อรอดูปฏิกิริยาแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ
ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะเดินไปกินข้าวส่วนของตัวเองที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินออกจากห้องไปเพราะถ้ามัวมาปลุกพี่ลุกซ์อีกผมไปทำงานสายแน่นอน ส่วนพี่ลุกซ์จะไปทำงานสายก็เรื่องของพี่มันแล้ว!
ผมเดินทางไปทำงานโดยแท็กซี่เพราะจำไม่ได้ว่าเอารถไปจอดไว้ที่ไหนหรืออาจจะลืมไว้ที่ร้านเหล้าเมื่อคืนก็ได้ ไว้พี่ลุกซ์มาหาเมื่อไหร่ค่อยถามละกัน ชิ! พูดถึงแล้วหงุดหงิด ตื่นยากตื่นเย็นจริงๆ โว้ย ทีสมัยเรียนนี่ตื่นก่อนผมเกือบตลอด ตื่นมานั่งตาขวางในที่มืดๆ ให้คนอื่นตกใจเล่นซะทุกวัน หัวใจไม่วายก็บุญแค่ไหนแล้วเนี่ย
“เปอร์ จันทร์หน้าก็จะสัมมนาแล้วนะ มึงพร้อมไหม?” พี่ลันถามหลังจากที่ผมเดินเข้าไปในออฟฟิศของแผนกเพื่ออ่านเอกสารรอเข้าห้องซ่อมช่วงสิบโมง
“พร้อมครับพี่ ผมลองเครื่องยนต์ทุกตัวและตรวจดูอะไหล่ทั้งหมดแล้ว เดี๋ยวไปนัดแนะกับวิทยากรท่านอื่นอีกที” ผมบอกพลางเปิดดูเอกสารคร่าวๆ
“อืม ส่วนมากจะแบ่งกันพูดเป็นช่วงๆ ไป จะนัดก็แค่ใครพูดช่วงไหน วิทยากรส่วนมากก็เป็นพวกรุ่นพี่ของเราที่เป็นอาจารย์ทั้งนั้นแหละ” พี่ลันบอกพลางเดินเอารายชื่อและรายละเอียดของวิทยากรมาให้ผมดู
ผมปิดเอกสารที่กำลังอ่านเพื่อเปลี่ยนมาดูรายละเอียดของวิทยากรแทน ก็จริงอย่างที่พี่ลันว่าครับ วิทยากรส่วนมากเป็นรุ่นพี่ของพวกเราที่แยกย้ายกันไปเป็นอาจารย์ต่างสถาบันกันไป แต่รุ่นพี่เหล่านี้ผมไม่รู้จักหรอกครับเพราะเข้าไม่ทัน คิดว่าพี่กีร์น่าจะไปติดต่อมาให้เพราะพี่กีร์น่าจะทันรุ่นนี้
“เออมึง พี่กีร์เตือนมาว่ามีพี่คนหนึ่งเป็นเกย์ ระวังโดนจีบ” พี่ลันหันมาพูดกับผมอย่างนึกขึ้นได้
“ฝ่ายไหนล่ะพี่?” ผมถามเพราะจะได้รับมือถูก ถ้าฝ่ายนั้นรับผมคงไม่ถูกจีบหรอก สภาพของผมตอนนี้ผู้หญิงยังจีบยากเลย นี่ถ้าผมไม่ได้เป็นของพี่ลุกซ์ป่านนี้คงมีลูกมีเมียไปแล้วล่ะมั้ง
“รุกมั้ง ชื่ออะไรฟินๆ เฟคๆ นี่แหละ กูจำไม่ได้” พี่ลันพูดทำให้ผมรีบเปิดดูว่ามีใครชื่อประมาณนี้ไหม
เขาชื่อเฟนต่างหากล่ะไอ้พี่ลันเอ๊ย จำได้แต่ชื่อเมียตัวเองรึไงวะ
“ไม่ต้องมาห่วงผมหรอกน่า ห่วงไอ้ไอเถอะ ยิ่งน่ารักๆ อยู่ด้วย” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“ไอ้ห่า พูดมาได้ไม่ดูตัวเอง เมียกูหน้าแมนกว่ามึงสิบเท่า ควายจริงๆ เลยมึงเนี่ย” พี่ลันด่าผมแล้วเดินไปหยิบเอกสารอะไรบางอย่างก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไป
“เอ้า โดนด่าซะงั้นกู ฮ่าๆ” ผมมองตามพี่ลันพลางหัวเราะขำๆ
ในช่วงพักเที่ยงพี่ลุกซ์ไลน์มาก่อกวนใจความประมาณว่าผมไม่ปลุกและหนีมาทำงานก่อน ผมนี่แทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเพราะโมโห กล้าพูดได้ยังไงว่าผมไม่ปลุก มีการมาบอกด้วยนะว่าถ้าเจอหน้าจะทำโทษโทษฐานไม่รอ ผมนี่ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า...ไอ้ประธานหัวกรวย!!
“พี่เปอร์ ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?” ไอ้ไอเปิดประตูออฟฟิศออกมาถามผมที่กำลังนั่งหงุดหงิดอยู่หน้าออฟฟิศ
“ไม่ล่ะ ยังไม่หิวเลยว่ะ” ผมบอก ผมโมโหพี่ลุกซ์จนความหิวมันปลิวหายไปแล้วล่ะครับ
“ไม่ได้นะครับ พี่ลุกซ์ย้ำมาว่าพี่เปอร์ต้องกินข้าว” ผมกรอกตามองฟ้าทันทีที่ได้ยินไอ้ไอพูดแบบนั้น นี่ไปคุยกันตอนไหนฟะ? ถึงขั้นให้คนมาคุมเลยงั้นเรอะ? มากไปแล้วไอ้แก่!
“เออๆ ฝากซื้อละกัน เอาอะไรก็ได้” ผมบอกปัดๆ
“เฮ้ย ไม่ได้ๆ เมื่อกี้ไอ้ลุกซ์ไลน์มาบอกว่าจะมารับมึงไปกินข้าว” พี่ลันที่ยังไม่ได้ถอดชุดหมีโผล่หน้าออกมาบอกโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงจนผมกับไอ้ไอตกใจ
“ไม่เห็นพี่ลุกซ์บอกเลย เมื่อกี้เพิ่งคุยกัน” ผมเลิกคิ้วถามพี่ลัน
“มันบอกว่ามึงไม่ตอบไลน์ โทรหาก็ไม่ติด” พี่ลันบอกพลางรูดซิบชุดหมีลงเพื่อถอดมันออก
“อ้าว ห่า แบตหมด” ผมสงสัยกับคำพูดของพี่ลันจึงยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นดูและพบว่าแบตมันหมดไปเสียแล้ว ไอ้เครื่องนี้ผมใช้มานานละ มีปัญหากับแบตเล็กน้อย บางทีแบตขึ้น 20% แต่ปล่อยไว้ไม่ถึงสิบนาทีก็ดับซะแล้ว นี่ว่าจะไปซื้อใหม่ละ
“เออ มึงไปเปลี่ยนชุดได้แล้วไป ไอ้ลุกซ์มันลงมาแล้ว” พี่ลันบอก ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์เพื่อถอดชุดหมีออก ไปกินข้าวกับประธานบริษัททั้งทีผมคงไม่ใส่ชุดเปื้อนและมีกลิ่นน้ำมันไปหรอกครับ
เปลี่ยนชุดเสร็จผมก็ออกมาเจอพี่ลุกซ์คุยกับพี่สองอยู่พอดี พี่มันหันมาเห็นผมจึงบอกลาพี่สองแล้วเดินมาหา ผมชักสีหน้าใส่ทันทีก่อนจะเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองหน้า
“งอนอะไรไม่เข้าเรื่องนะมึง” พี่ลุกซ์เดินมายืนข้างๆ ผมลืมยกมือขึ้นวางบนหัวของผมก่อนจะขยี้เบาๆ จนผมต้องโยกหัวหลบแต่ก็ถูกกอดคอเอาไว้แทน
“ไม่ได้งอนแต่โมโห” ผมพูดแล้วขมวดคิ้วกอดอก
“ตื่นสายนิดเดียวเอง ทำหงุดหงิดไปได้” พี่ลุกซ์หนีบแขนข้างที่กอดคอผมเอาไว้เข้าหาตัวเองจนหัวผมเอนไปซบกับไหล่ของพี่มันอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วอย่ามาว่าผมไม่ปลุกอีกละกัน” ผมพูดเสียงห้วน ยังไม่คลายอาการโมโห
“งอนเรื่องนี้เหรอ? พูดเล่นเฉยๆ น่า ถ้าคราวหน้าปลุกไม่ตื่นลองจูบดูดิ กูลุกเลยแหละ” พี่ลุกซ์หันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าพี่มันอย่างเคืองๆ
“ให้ลุกจริงๆ เหอะ” ผมเบ้ปากใส่
“ถ้าลุกแล้วก็ทำให้มันลงหน่อยละกัน ฮึๆ” ผมเม้มปากเบือนหน้าหนีทันทีที่รู้ว่าพี่ลุกซ์เล่นมุกทะลึ่งใส่ ไอ้ผมก็คิดตามไม่ทันเพราะมัวแต่เคือง ใครจะไปนึกว่าพี่ลุกซ์จะเล่นมุกอะไรแบบนี้ล่ะครับ
“เสื่อม!”
ผมกับพี่ลุกซ์กินข้าวด้วยกันและคุยกันเป็นปกติ พี่มันก็บ่นเรื่องมือถือกากๆ ของผม ผมเลยบอกว่าจะซื้อใหม่พอดี พอได้ยินแบบนั้นก็อาสาจะพาผมไปซื้อตอนกินข้าวเสร็จแต่ผมกังวลเรื่องต้องเข้างานตอนพี่ลุกซ์เลยโทรไปขอพี่ลันให้และได้เวลามาหนึ่งชั่วโมง ส่วนพี่ลุกซ์ ถ้าไม่มีประชุมก็ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศก็ได้
ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็ได้มือถือเครื่องใหม่ จริงๆ ผมก็ลังเลอยู่ว่าจะเอาของอะไรดีและพี่ลุกซ์ก็ตัดสินใจเสร็จสรรพเพื่อเอาเหมือนๆ กันแต่คนละรุ่น
จริงๆ ตอนซื้อผมกับพี่ลุกซ์เถียงกันจนเกือบจะไม่ได้ซื้อเลยล่ะครับ เรื่องที่เถียงกันก็ไม่พ้นว่าใครจะเป็นคนจ่ายนั่นแหละ ไอ้หมอนี่ก็ป๋าเหลือเกิน จะจ่ายให้ตลอดแต่ผมไม่ยอมเพราะมันเป็นของของผมต้องได้มาจากน้ำพักน้ำแรง ไม่อยากไปเบียดเบียนกระเป๋าเงินของพี่มันด้วย สุดท้ายผมก็แพ้ พี่ลุกซ์แม่งล็อกตัวผมไว้แล้วยื่นบัตรให้พนักงานแถมยังมีการกระซิบขู่ผมด้วยว่าถ้าผมโวยวายพี่มันจะจูบโชว์ ห่า...แค่ล็อกตัวกันไว้แบบนั้นทั้งพนักงานและลูกค้าคนอื่นๆ เขาก็มองจะแย่อยู่แล้ว
ได้มือถือมาปุ๊บก็เอาไปติดฟิล์มและไปซื้อเคสมาใส่ ใส่เคสของเครื่องเดิมไม่ได้เพราะมันคนละไซส์กันเลย
“เคสนี้แม่ง...” พี่ลุกซ์อุทานขึ้นขณะที่เราไปเลือกซื้อเคสกัน พี่มันจับเคสรูปกระจกสีชมพู ซิลิโคนหนาๆ ขึ้นมาแล้วทำหน้าตาแหยงๆ
“เออ เหมาะกับพี่ดีว่ะ ฮ่าๆ” ผมแย่งเคสนั่นมาก่อนจะยกขึ้นเทียบกับหน้าของพี่ลุกซ์ซึ่งกำลังทำหน้าเอือมสุดๆ อยู่
“ถุย มึงเอาไปใช้เลย เหมาะกับมึงดี ตุ๊ดโคตร” พี่ลุกซ์พูดพลางหันไปดูเคสอันอื่นให้ผม
“ใครตุ๊ดคร้าบ ผมนี่แมนทั้งแท่ง” ผมยืดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างมีมาด
“เอ้า กูว่าลายนี้เหมาะกันมึงดี เอาลายนี้แหละ” พี่ลุกซ์หยิบเคสมาให้ซึ่งผมก็กำลังงงกับคำว่า ลาย ของพี่มัน นี่มันไม่มีลายอะไรเลยนะ มีแค่สีเท่านั้นเอง
“ไม่เอา เอาอันนี้ น่ารักดี” ผมหยิบเคสลายการ์ตูนผู้ชายใส่สูทสีเทาและมีพื้นหลังเป็นสีขาวขึ้นมา มันเหมือนพี่ลุกซ์ย่อส่วนยังไงก็ไม่รู้ น่ารักโคตร
“เออๆ ไปจ่ายตังค์ไป” พี่ลุกซ์บอกแล้วกอดคอผมไปที่เคาน์เตอร์
ขณะที่เดินไปจ่ายตังค์ผมก็แอบสังเกตเห็นคนที่อยู่ในร้านเคสมองพวกเราแล้วซุบซิบกันใหญ่ พี่ลุกซ์นี่ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวห่าอะไรเลย เขามองขนาดนั้นยังลอยหน้าลอยตาจ่ายตังค์ได้อีก
“พี่ลุกซ์ คนมองว่ะ ปล่อยเหอะ” ผมกระซิบบอกขณะกำลังรอใบเสร็จและเงินทอน
“น่ารำคาญจริงๆ” พี่ลุกซ์ทำหน้าหงิกแล้วยอมปล่อย เมื่อกี้พี่มันไม่ได้ว่าผมน่ารำคาญหรอกครับแต่ว่าคนที่มองพวกเราแล้วนินทาต่างหาก
“เอ้อ เลิกงานไปตัดผมกัน” ผมชวนขณะที่เรากำลังเดินออกจากร้านเคส ตอนนี้ผมของผมมันยาวทิ่มคอละ จัดทรงยาก ตื่นมาหัวฟูตลอด คราวนี้จะตัดสั้นๆ เลย พี่ลุกซ์ก็ด้วย ผมจะบังคับตัดสั้น ปกติพี่มันชอบไว้ยาวประมาณคอแต่ผมว่าตัดสั้นเลยน่าจะเหมาะกว่า
“อืม เอาดิ จะได้ไม่ต้องเซ็ตยาก” พี่ลุกซ์จับปอยผมที่ตกลงมาแล้วบอก
ผมยิ้มรับแล้วเดินกลับไปที่รถพร้อมกับพี่ลุกซ์ ระหว่างที่นั่งรถกลับบริษัทผมก็แอบโอนเงินค่าซื้อโทรศัพท์คืนพี่ลุกซ์โดยไม่บอกแต่สุดท้ายก็โดนด่าเพราะข้อความเข้ามือถือของพี่ลุกซ์ว่าเงินเข้า ถึงพี่ลุกซ์จะรวยล้นฟ้าแต่ผมก็ไม่อยากได้ของแพงๆ จากพี่ลุกซ์ซักหน่อย เงินใครเงินมันดิ ผมเกรงใจและรู้สึกเหมือนเกาะพี่ลุกซ์กินยังไงก็ไม่รู้
“ตั้งใจทำงานนะ” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะหอมหน้าผากผมเบาๆ ขณะที่กำลังจะแยกกันตรงที่จอดรถประจำตำแหน่งของพี่ลุกซ์ ทุกวันนี้พี่มันไม่ได้ขับรถประจำตัวของตัวเองมาทำงานครับแต่ใช้รถของที่บ้านที่เป็นรถธรรมดาไม่ได้แต่งอะไรมาแทนเพราะกลัวรถสุดที่รักของตัวเองจะระเบิด
“เช่นกันครับ” ผมยิ้มรับแล้วเดินแยกจากพี่ลุกซ์เพื่อไปที่ห้องซ่อม
++++++++++++++++++ สุดท้ายอิพี่ลุกซ์จะอดไหม? ต้องรอติดตาม ฮ่าๆๆๆ ปล. ตอนหน้าลงอัตภีร์นะจ๊ะ ปล.2 อยากให้เรื่องนี้จบหรือยัง? ใกล้แล้วนะๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ