[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  237.16K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) Chapter 40 : เคส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 40 : เคส
 

 

ผมยืนเต้นอยู่แถวๆ หน้าเวทีที่มีนักดนตรีและนักร้องกำลังเล่นคอนเสิร์ตกันอยู่สักพักผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินหล่อๆ เบียดผู้คนเข้ามาในร้านเหล้าแห่งนี้  เมื่อเห็นคนรู้จักผมก็รีบเดินเข้าไปทักทันที

“ไงเอก!” ผมทักเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงทำให้เอกตกใจเพราะคงไม่คิดว่าจะเจอคนรู้จักที่นี่

“โธ่เปอร์ ตกใจหมดเลย” เอกถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะทำหน้าเหวอนิดๆ เมื่อมองไปข้างหลังผม  ผมหันไปมองก่อนจะยิ้มขำ  ไม่รู้พวกพี่ๆ ถูกพี่ลุกซ์จ้างมาเป็นองครักษ์ของผมหรือเปล่านะ  ทำให้ขู่เอกซะน่ากลัวเลย

“พี่ไท พี่ขลุ่ย  นี่เอกเพื่อนผมเอง” ผมหันไปบอกพวกพี่ๆ ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบต่อ “พี่ลุกซ์รู้จักแล้ว  ไม่มีปัญหาครับ” เมื่อผมบอกออกไปแบบนั้นพวกพี่ๆ ก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมา

“สวัสดีครับ” เอกทักพลางยกมือไหว้พี่ๆ ทั้งสอง

“นี่พี่ไท ส่วนนี่พี่ขลุ่ย เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยผมเอง” ผมแนะนำ “ว่าแต่เอกมาทำอะไรที่นี่ครับ? มาเที่ยวกับเพื่อนเหรอ?” ผมถามต่อหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยิ้มให้กันอีกครั้งแล้ว

“มารับพี่พลอยน่ะครับ  มันดึกแล้ว ผู้หญิงอยู่ที่แบบนี้นานๆ ไม่ดีหรอกครับ” เอกทำหน้าเครียดนิดๆ  ท่าทางจะไม่อยากให้พี่พลอยมาแต่พี่พลอยดื้อจะมาล่ะมั้ง  เฮ้อ สองคนนี้ก็นะ  ปากก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ท่าทางนี่มันแฟนมาก!

“แล้วรู้หรือยังว่าพี่พลอยอยู่ที่ไหน?” ผมถาม

“ครับ พี่พลอยบอกแล้ว” เอกพยักหน้ารับ

“เอก ถ้าเจอพี่ลุกซ์อย่าบอกนะว่าผมอยู่ที่นี่  ผมหนีเที่ยวแต่ดันมาที่เดียวกันน่ะ แฮะๆ” ผมบอกด้วยสีหน้าแหยๆ

“ได้ๆ งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนนะ” เอกบอกแล้วรีบเดินไปฝั่งที่เป็นห้องวีไอพี

“ไอ้เปอร์ ฉิบหายแล้วมึง! พ่อมึงออกมาแล้วโว้ย!!” พี่ไทตะโกนบอกแล้วด้วยท่าทางตกใจทำให้ผมรีบหันไปมองที่โต๊ะของพวกเรา

ไอ้เหี้ย!

ภาพที่ผมเห็นคือพี่ลุกซ์กำลังยืนคุยกับพี่ลันอยู่ที่โต๊ะและทำท่ามองหาใครบางคน  ก่อนที่พี่ลุกซ์จะหันมาเห็นผม  ผมรีบมุดตัวแทรกเข้าไปในฝูงคนที่กำลังเต้นกันอยู่หน้าเวทีทันที  เมื่อกี้ผมกับพวกพี่ๆ อยู่รอบนอกทำให้ง่ายต่อการสังเกตแต่ตอนนี้ผมหลุดเข้ามาในกลุ่มคนแล้ว

ผมยืนหันหน้าออกไปมองพี่ไทกับพี่ขลุ่ยก็พบว่าพี่พี่มันกำลังยืนตัวตรงโบกมือเบาๆ พลางยิ้มแป้นเหมือนกำลังทักทายพี่ลุกซ์  มืออีกข้างของพี่ไทที่ไขว้หลังเอาไว้โบกยิกๆ เหมือนจะส่งสัญญาณบอกให้ผมมุดเข้าไปให้ลึกมากกว่านี้ผมจึงรีบทำตามทันที

สักพักผมก็แอบเห็นพี่ลุกซ์เดินเข้ามาทักทายพี่ไทกับพี่ขลุ่ย  ผมมั่นใจว่าตอนนี้ผมเข้ามาลึกมากพอที่จะไม่ให้พี่ลุกซ์สังเกตเห็นแต่ที่ผมเห็นพี่มันได้ก็เพราะผมต้องคอยชะโงกไปมาและแอบมองลอดช่องเล็กๆ ระหว่างผู้คนซึ่งภาพที่เห็นก็เห็นนิดๆ หน่อยๆ แต่พอจะเดาออกว่าเป็นพี่ลุกซ์

“มึงๆ ผู้ชายข้างหลังสามคนนั่นหล่อชัดเลยว่ะ” เสียงผู้หญิงข้างหลังพูดกันดังรอดมาให้ผมได้ยิน  ถึงแม้จะไม่ชัดนักเพราะผมยืนห่างจากผู้หญิงคนนั้นอยู่สองสามคนแต่ก็พอจะจับใจความได้  ซึ่งผู้ชายข้างหลังที่ว่าผมคิดว่าคงไม่พ้นเป็นพี่ลุกซ์ พี่ไท พี่ขลุ่ยแน่

“มึง กูขอผู้ชายเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนนะ  หล่อว่ะ ขนาดเซ็ตผมเรียบแปล้แบบนั้นยังหล่อได้อีก” คิ้วผมกระตุกทันทีที่ได้ยินผู้หญิงอีกคนพูดแบบนั้น  ถ้าจำไม่ผิด พี่ลุกซ์ใส่สูทสีเทาเข้มโดยมีเชิ้ตสีฟ้าอ่อนข้างใน  แน่นอนว่าถ้ามาเที่ยวแบบนี้พี่มันต้องถอดสูทออกและเหลือแต่เชิ้ต  อีกอย่าง พี่มันชอบเซ็ตผมเปิดหน้าผากเพื่อให้ดูภูมิฐานตลอดเวลาด้วย 

งั้นก็แสดงว่ายัยผู้หญิงข้างหลังผมเล็งผัวผมงั้นเรอะ!?!

“ไม่ได้นะมึง คนนั้นกูเล็งไว้แล้ว” ผู้หญิงอีกคนพูดขึ้น  นั่นไง พี่ลุกซ์แม่งดึงดูดผู้หญิงได้ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ขนาดกลายมาเป็นเกย์เสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามก็ยังไม่ลดเลยเว้ย หงุดหงิด! ต่างจากผมที่ไม่ค่อยดึงดูดสาวๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว  โว้ย! เซ็ง!!

“มึง คนข้างๆ ก็หล่อทั้งคู่นะเว้ย มึงเอาสองคนนั้นดิ คนนี้กูขอ สเป็คเลย” อีหนู สเป็คยังไงก็ไม่ได้เฟ้ย นั่นผัวกู!

ไม่ได้การแล้วแบบนี้  ถ้าไม่แสดงให้เห็นว่ามีเจ้าของยัยสองคนนี้จะต้องเข้าไปอ่อยพี่ลุกซ์แน่เลย  คิดได้แบบนั้นผมก็รีบฝ่าวงล้อมของฝูงคนออกไปหาพี่ลุกซ์ทันที

ไม่รู้เพราะความมึนเมาหรือหึงหวงถึงทำให้ผมคิดสั้นแบบนี้ก็ไม่รู้

“กูว่าแล้วไง” ทันทีที่เห็นหน้าผมพี่ลุกซ์ก็ทำหน้าเอือมเหมือนรู้ทันทันที

หมับ!

ผมเม้มปากทำหน้าโกรธที่พี่ลุกซ์เสน่ห์แรงก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอาไว้โดยทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปหาจนพี่มันเซเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัว

“ว้าย เรื่องนี้กูไม่เกี่ยว” พี่ไทยักไหล่นิดๆ ก่อนจะควงพี่ขลุ่ยกลับไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว

“มึงทำกูโกรธมากนะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์พูดเสียงนุ่มๆ อยู่ข้างหูของผมโดยที่ไม่ยกแขนกอดตอบ

“ไม่รู้” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มทำให้พี่ลุกซ์ถอนหายใจแล้วดันผมออกห่าง

“แล้วนี่อะไร? แก้วเหล้า? เข้มซะด้วย” พี่ลุกซ์แย่งแก้วเหล้าของผมไปถือเอาไว้แล้วยกขึ้นดมเพื่อทดสอบความเข้มของเหล้าก่อนจะจ้องหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความโมโห  น่าแปลกนะที่ผมไม่กลัวเลย  อาจจะเป็นเพราะผมเมาจริงๆ นั่นแหละ  เมาแบบไม่รู้ตัวซะด้วยเพราะผมไม่ได้กินเหล้ามานานมาก

“ก็ไม่ให้มาก็เลยต้องหนีมาไง” ผมพูดเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเข้าไปกอดคอพี่มันเอาไว้แล้วซบหน้าลงบนไหล่หนา

“กูโมโหมากนะรู้ไหม?” พี่ลุกซ์กัดฟันพูดออกมาก่อนที่เอวของผมจะถูกกอดรัดแน่นจากนั้นร่างก็ถูกลากออกจากร้านไปโดยที่ผมรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ

“เดี๋ยว ไปบอกลาพี่ๆ กับน้องๆ ก่อน” ผมตบหลังพี่ลุกซ์เพื่อให้พี่มันปล่อยผมจะได้เดินกลับเข้าไปในร้าน

“ไม่ต้อง!” พี่ลุกซ์ตะคอกก่อนจะเหวี่ยงผมเข้าไปในรถ

“เจ็บอ้า!” ผมขมวดคิ้วพลางหันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาเคืองๆ ที่พี่มันทำรุนแรงกับผม

พี่ลุกซ์ไม่พูดอะไรตอบโต้แล้วปิดประตูเสียงดังก่อนตัวเองจะโทรศัพท์หาใครซักคน  เพียงไม่นานพี่ลุกซ์ก็เปิดประตูฝั่งผมแล้วล้วงเอากุญแจรถของผมไปให้กับคนบางคนที่มาหา

“เอารถคันนั้นกลับไปที่บ้านกู” พี่ลุกซ์สั่งคนคนนั้นพลางชี้ไปที่รถของผมที่จอดอยู่ไม่ห่างกันนัก

“เมียหนีเที่ยวล่ะสิ  ฝากลงโทษหนักๆ หน่อยนะ  กูล่ะหมั่นไส้หน้าเมียมึงจริงๆ” เสียงของคนที่มาหาดังขึ้นก่อนพี่ลุกซ์จะพยักหน้ารับแล้วโบกมือไล่ให้คนคนนั้นกลับไป

“ถึงเจ็บก็ห้ามบ่น ฮึๆ” พี่ลุกซ์มุดเข้ามาพูดขู่ผมในระยะประชิดก่อนจะบดขยี้ริมฝีปากผมแรงๆ หนึ่งครั้งด้วยปากของตัวเองก่อนจะปิดประตูฝั่งของผมแล้วรีบวิ่งไปประจำที่คนขับจากนั้นก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว  ส่วนผมก็รู้สึกง่วงจึงค่อยๆ ผล็อยหลับไป

 

เพราะความรู้สึกอึดอัดและเหนอะหนะที่ริมฝีปากทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว  ผมเบือนหน้าหลบสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญแต่แล้วก็ต้องร้องครางออกมาเมื่อร่างกายถูกตะโบมลูบไล้

“อื๊ออออ” ผมกัดริมฝีปากพร้อมกับครางออกมาจากลำคอ

“ตื่นซักที  กูไม่อยากทำอะไรคนเมา” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหูก่อนที่หลังหูของผมจะถูกไล้เลียเบาๆ

“เดี๋ยวก่อน” ผมขมวดคิ้วพลางปัดป่ายมือเพื่อดันเจ้าของเสียงออก

“ฮึ!” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะในลำคอนิดๆ ก่อนต้นคอของผมจะถูกกัดจนต้องร้องโอ๊ยออกมา

สติผมเริ่มกลับมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มร้อยหลังจากที่ถูกลวนลามมาซักพัก  ผมปรือตามองคนที่กำลังลูบไล้ร่างกายของผมอย่างหื่นกระหายก่อนจะยกมือดันอกพี่ลุกซ์ออกแต่เพราะตัวพี่มันหนักก็เลยลำบากหน่อย

“พี่ลุกซ์ ไม่เอา” เมื่อดันพี่มันออกไปได้แล้วผมก็ขยับไปนั่งพิงหัวเตียงก่อนจะนวดขมับตัวเองเน้นๆ

“วันนี้กูไม่ให้มึงบ่ายเบี่ยงได้แน่” พี่ลุกซ์ทำหน้าเข้มก่อนจะดึงข้อเท้าผมแรงๆ เพื่อให้ร่างผมไหลไปนอนราบอยู่ที่เดิม

“ปวดหัว” ผมยกมือกุมหัวแล้วดิ้นเล็กน้อยอย่างทรมาน

“เดี๋ยวกูทำให้มึงหายปวดเอง” พี่ลุกซ์ขยับขึ้นมาคร่อมแล้วโน้มหน้ามาจูบที่ปากของผม  ผมรีบเบือนหน้าหนีเพื่อบ่ายเบี่ยงไม่อยากจะทำ  ปวดหัวจะตายอยู่แล้วยังจะมาอยากทำอีก โวะ!!

“ปวดหัว” ผมดันหน้าพี่ลุกซ์ออกก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำ

“ไม่ได้ กูต้องลงโทษมึง” พี่ลุกซ์กระซิบเสียงเย็นและดุดันทั้งๆ ที่ยังนอนทับตัวของผมอยู่

“ลงโทษวันหลังได้ไหม? นะ  ตอนนี้ผมปวดหัวมากเลย  หายาให้กินหน่อย” ผมเอี้ยวตัวไปขอร้องพี่ลุกซ์ด้วยสีหน้าที่คิดว่าอ้อนที่สุดก่อนจะฟุบหน้าลงที่หมอนเหมือนเดิม

“เฮ้อ แล้วไอ้นี่กูจะเอาลงยังไงวะ?” พี่ลุกซ์ขยับออกจากตัวผมก่อนจะชี้ไปที่เป้ากางเกงที่นูนขึ้นมา  ผมเหลือบตาไปมองก่อนจะขำนิดๆ  ขำมากไม่ได้เพราะมันสะเทือนถึงหัว

“ไปห้องน้ำสิ” ผมบอกพลางยันพี่มันให้ลงจากเตียง “ไปได้แล้ว” ผมย้ำอีกครั้งเมื่อพี่ลุกซ์ไม่ยอมไปไหนทำแค่ยืนเท้าสะเอวมองผมจากข้างเตียง

“โวะ! อยากเอาก็ไม่ได้เอา  นี่ดวงกูเกิดมากลัวเมียรึไงวะ!? สั่งอะไรแม่งต้องทำให้ทุกอย่าง ไม่ได้ทำนานเข้า ถ้าไอ้หนูกูมันเล็กลงจะว่ากูไม่ได้นะเว้ย!” พี่ลุกซ์เดินออกจากห้องไปบ่นไป ไม่วายหันมาพูดกระทบ ผมจึงโยนหมอนไปใส่แต่พี่มันปิดประตูซะก่อนหมอนจึงกระทบกับประตูแทน  ดูบ่นเข้า  นี่ถ้าไม่ติดว่าปวดหัวจะหัวเราะออกไปดังๆ เลย  นานๆ ทีพี่ลุกซ์จะมีมุกซักที

 

เพียงไม่นานพี่ลุกซ์ก็เข้ามาพร้อมกับยาและน้ำแต่ผมยังไม่ทันได้กินโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  พี่ลุกซ์เดินไปหยิบโทรศัพท์ของผมมาแล้วยื่นให้  เมื่อเห็นว่าเป็นที่บ้านผมก็เลยบอกให้พี่ลุกซ์คุยแทน

“ครับ...ครับแม่...ก็หนีเที่ยวจนเมา ปวดหัวจนทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ...ไม่มีปัญหาครับ ผมดูแลเอง...ฮ่าๆ ได้ครับ ผมจะลงโทษให้สาสมกับความผิดเลยล่ะครับ  เพราะฉะนั้นขอไม่ส่งคืนบ้านซักสองวันละกันนะครับ...ครับๆ ไม่เป็นไรครับ ครับ สวัสดีครับ” ผมกินยาไปแล้วนอนมองพี่ลุกซ์คุยกับแม่ของผมตาแป๋ว  เนื้อหาการคุยท่าทางจะไม่ส่งผลดีต่อตัวผมเอาซะเลย  แต่ผมชอบจังเวลาที่พี่ลุกซ์พูดเพราะๆ  รู้สึกดีมากเลย  ถ้าพี่มันพูดเพราะๆ กับผมบ้างคงจะดีไม่น้อย

“ทำไมน้า? ทำไมกับแฟนถึงไม่ยอมพูดเพราะๆ ด้วยน้า?” ผมแกล้งมองเพดานแล้วบ่นลอยๆ

“ขนลุกตายห่า  เคยพูดแล้วไม่ใช่หรือไง?” พี่ลุกซ์ขยับขึ้นมานั่งบนเตียงข้างๆ ผมที่กำลังนอนอยู่

“มันนานมาแล้วนี่นา  แต่ก็นะ ถ้าให้มาพูดตอนนี้ผมก็ไม่ชิน  พี่น่าจะพูดเพราะๆ กับผมมาตั้งแต่ทีแรก” ผมบ่นไปเรื่อยโดยไม่จริงจังนัก

“บ่นอยู่ได้  รีบๆ นอนไปเลย  ปวดหัวไม่ใช่เหรอ?” พี่ลุกซ์ดันตัวผมให้ขยับไปนอนอีกฝั่งเพื่อให้มีพื้นที่ว่างสำหรับนอนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับถอนหายใจ

“ยังไม่ง่วงเลย” ผมพูดอ้อมแอ้ม  ก็เพิ่งตื่นนี่หว่า

“แต่กูง่วงแล้ว  นอนเถอะ  พรุ่งนี้มึงต้องทำงานหนัก ฮึๆ” พี่ลุกซ์พูด

“งานหนัก?” ผมทวนคำอย่างงงๆ

“เออ กูไม่ลืมหรอกนะว่าวันนี้มึงทำอะไรผิด  ผิดทั้งหนีเที่ยวและผิดที่ไม่ยอมให้ลงโทษวันนี้  พรุ่งนี้โดนสองเท่า” พี่ลุกซ์ชี้หน้าขู่

“พี่ก็อย่างนี้ตลอด  แก่แล้วก็ลดบ้างเถอะ ไอ้ความหื่นเนี่ย” ผมว่า  ไม่ว่าจะตอนไหนก็เห็นพี่มันต้องการอยู่ตลอด  หื่นคงเส้นคงวาเหลือเกิน

“มึงก็เหอะ เมื่อก่อนเห็นแรด จะเอาๆ ตลอด  แล้วตอนนี้เป็นไร? พอกูจะทำแม่งไม่ให้ทำ” พี่ลุกซ์บ่นพลางทำหน้าดุแต่ผมกลับมองว่าหน้าตาพี่มันดูซุกซนยังไงก็ไม่รู้  อาจจะเป็นเพราะว่าแววตาของพี่มันไม่ได้ดุตามไปด้วยล่ะมั้ง  โอ๊ย อยากฟัด

“ไม่ต้องพูดเลย  จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ผมไม่ได้เสนอเหอะ พี่นั่นแหละบังคับข่มขืนผมตลอด  เมื่อก่อนผมขัดพี่ได้ที่ไหนล่ะ” ผมบ่นพลางทำปากยื่น

“แล้วทำไมตอนนี้ไม่ยอมให้กูอีกล่ะ  หรืออยากให้กูข่มขืนเอาเหมือนเมื่อก่อน?” พี่ลุกซ์พูดพลางพลิกตัวมาคร่อมผมเอาไว้จนผมต้องห่อตัวแล้วหลับตาปี๋เพราะกลัวพี่ลุกซ์จะทำอย่างที่พูดจริงๆ “ฮึๆ วันนี้ไม่ทำก็ได้  แต่พรุ่งนี้ต่อให้ต้องข่มขืนกูก็จะทำ” พี่ลุกซ์จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของผมแล้วพลิกตัวกลับไปนอนที่เดิม  ผมลืมตาขึ้นมาแล้วเหวี่ยงแขนไปกระแทกพุงของพี่ลุกซ์อย่างแรงจนพี่มันตัวงอ

พี่ลุกซ์ทำโทษด้วยการพรมจูบทั่วใบหน้าของผมจนต้องลุกไปล้างหน้าเพราะน้ำลายแม่งเต็มหน้าเลย  นี่กะจะจูบหรือถุยน้ำลายใส่หน้าวะ  แถมยังมีหน้ามาหัวเราะชอบใจอีก  นี่ผมปวดหัวอยู่นะเฟ้ย  อีกอย่าง พี่ลุกซ์กัดแก้มของผมจนเห็นรอยฟันเลย  บ้าจริงๆ เป็นหมารึไงเนี่ย?




45% left




 

ผมตื่นเช้ามาด้วยสมองที่ปลอดโปร่งสุดๆ  บางทีผมก็เป็นนะ  แบบว่าดื่มจนเมา พอตื่นเช้าขึ้นมาอีกทีก็สร่างชนิดที่รู้สึกสบายสุดๆ ด้วย  ผิดกับพี่ลุกซ์ที่เช้านี้ดูมึนๆ ยังไงก็ไม่รู้

จะว่าไป ผมไม่ทันสังเกตเลยครับว่าตอนนี้ผมอยู่ที่คอนโดของพี่ลุกซ์  เมื่อคืนก็มัวแต่หยอกกับพี่ลุกซ์จนลืมดูเลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  บ้าจริงๆ เลยเชียว

“พี่ลุกซ์ ตื่นได้แล้ว  สายแล้วนะครับ” หลังจากเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ เสร็จผมก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อปลุกพี่ลุกซ์อีกรอบ  จริงๆ ผมปลุกพี่มันมาประมาณสามรอบแล้วล่ะครับ  ปลุกรอบแรกคือตอนหกโมงเช้าเพราะผมตื่นเช้าแล้วหลับต่อไม่ลงจึงปลุกพี่ลุกซ์ด้วยแต่พี่มันไม่ยอมตื่น  ปลุกอีกทีก็ตอนเจ็ดโมง  อีกครั้งก็แปดโมงและตอนนี้ก็แปดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว  ผมต้องเข้างานตอนเก้าโมซะด้วยสิ  ส่วนพี่ลุกซ์มีประชุมตอนสิบโมง (แอบเปิดดูสมุดคิวจากโทรศัพท์ของพี่มันน่ะครับ)

“อืมมมม ห้านาที” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวไปกอดหมอนข้าง  นี่พี่มันขอ 5 นาทีมาเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ!!

“พี่ลุกซ์  สายแล้วนะ!!” ผมโวยวายพลางเดินไปดึงหมอนข้างออกทำให้พี่มันพลิกตัวไปอีกข้างเพื่อกอดหมอนที่ผมนอนเมื่อคืนเอาไว้  โอ๊ย! ทำไมปลุกยากปลุกเย็นอย่างนี้วะ! “เดี๋ยวไปประชุมสายนะครับ  พี่ยิ่งแต่งตัวนานๆ อยู่ด้วย” ผมเท้าสะเอวบ่น  ก็พี่มันต้องแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าน่ะสิ  ผมก็ต้องเซ็ตให้เรียบแปล้  เสื้อผ้าก็ต้องเรียบชนิดไม่มีรอยยับ  หน้าก็ห้ามโทรม  รองเท้าก็ต้องมันเงา  ที่สำคัญคือตัวต้องหอมด้วย

จริงๆ พี่ลุกซ์สามารถทำทุกอย่างให้เสร็จได้ภายในสามสิบนาทีเพราะเสื้อผ้า รองเท้าก็เตรียมไว้อยู่แล้วแต่ที่ช้าก็เพราะพี่มันมัวแต่อ้อยอิ่งทำตัวเชื่องช้าอยู่ตลอดน่ะสิ  ถ้ารู้ตัวว่าไม่มีเวลาถึงจะรีบ

“ยังไม่เก้าโมงเลย” พี่ลุกซ์เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมาดูก่อนจะมุดหัวลงไปใต้ผ้าห่ม

“พี่ลุกซ์  ถ้าทำตัวแบบนี้ผมไม่มาอยู่ด้วยแล้วนะ” พูดเสร็จผมก็เม้มปากแน่นเพื่อรอดูปฏิกิริยาแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ

ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะเดินไปกินข้าวส่วนของตัวเองที่เตรียมเอาไว้แล้วเดินออกจากห้องไปเพราะถ้ามัวมาปลุกพี่ลุกซ์อีกผมไปทำงานสายแน่นอน  ส่วนพี่ลุกซ์จะไปทำงานสายก็เรื่องของพี่มันแล้ว!

 

ผมเดินทางไปทำงานโดยแท็กซี่เพราะจำไม่ได้ว่าเอารถไปจอดไว้ที่ไหนหรืออาจจะลืมไว้ที่ร้านเหล้าเมื่อคืนก็ได้  ไว้พี่ลุกซ์มาหาเมื่อไหร่ค่อยถามละกัน  ชิ! พูดถึงแล้วหงุดหงิด  ตื่นยากตื่นเย็นจริงๆ โว้ย  ทีสมัยเรียนนี่ตื่นก่อนผมเกือบตลอด  ตื่นมานั่งตาขวางในที่มืดๆ ให้คนอื่นตกใจเล่นซะทุกวัน  หัวใจไม่วายก็บุญแค่ไหนแล้วเนี่ย

“เปอร์ จันทร์หน้าก็จะสัมมนาแล้วนะ  มึงพร้อมไหม?” พี่ลันถามหลังจากที่ผมเดินเข้าไปในออฟฟิศของแผนกเพื่ออ่านเอกสารรอเข้าห้องซ่อมช่วงสิบโมง

“พร้อมครับพี่  ผมลองเครื่องยนต์ทุกตัวและตรวจดูอะไหล่ทั้งหมดแล้ว  เดี๋ยวไปนัดแนะกับวิทยากรท่านอื่นอีกที” ผมบอกพลางเปิดดูเอกสารคร่าวๆ

“อืม ส่วนมากจะแบ่งกันพูดเป็นช่วงๆ ไป  จะนัดก็แค่ใครพูดช่วงไหน  วิทยากรส่วนมากก็เป็นพวกรุ่นพี่ของเราที่เป็นอาจารย์ทั้งนั้นแหละ” พี่ลันบอกพลางเดินเอารายชื่อและรายละเอียดของวิทยากรมาให้ผมดู

ผมปิดเอกสารที่กำลังอ่านเพื่อเปลี่ยนมาดูรายละเอียดของวิทยากรแทน  ก็จริงอย่างที่พี่ลันว่าครับ วิทยากรส่วนมากเป็นรุ่นพี่ของพวกเราที่แยกย้ายกันไปเป็นอาจารย์ต่างสถาบันกันไป  แต่รุ่นพี่เหล่านี้ผมไม่รู้จักหรอกครับเพราะเข้าไม่ทัน คิดว่าพี่กีร์น่าจะไปติดต่อมาให้เพราะพี่กีร์น่าจะทันรุ่นนี้

“เออมึง พี่กีร์เตือนมาว่ามีพี่คนหนึ่งเป็นเกย์  ระวังโดนจีบ” พี่ลันหันมาพูดกับผมอย่างนึกขึ้นได้

“ฝ่ายไหนล่ะพี่?” ผมถามเพราะจะได้รับมือถูก  ถ้าฝ่ายนั้นรับผมคงไม่ถูกจีบหรอก  สภาพของผมตอนนี้ผู้หญิงยังจีบยากเลย  นี่ถ้าผมไม่ได้เป็นของพี่ลุกซ์ป่านนี้คงมีลูกมีเมียไปแล้วล่ะมั้ง

“รุกมั้ง  ชื่ออะไรฟินๆ เฟคๆ นี่แหละ  กูจำไม่ได้” พี่ลันพูดทำให้ผมรีบเปิดดูว่ามีใครชื่อประมาณนี้ไหม

เขาชื่อเฟนต่างหากล่ะไอ้พี่ลันเอ๊ย  จำได้แต่ชื่อเมียตัวเองรึไงวะ

“ไม่ต้องมาห่วงผมหรอกน่า  ห่วงไอ้ไอเถอะ  ยิ่งน่ารักๆ อยู่ด้วย” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

“ไอ้ห่า พูดมาได้ไม่ดูตัวเอง  เมียกูหน้าแมนกว่ามึงสิบเท่า  ควายจริงๆ เลยมึงเนี่ย” พี่ลันด่าผมแล้วเดินไปหยิบเอกสารอะไรบางอย่างก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไป

“เอ้า โดนด่าซะงั้นกู ฮ่าๆ” ผมมองตามพี่ลันพลางหัวเราะขำๆ

 

ในช่วงพักเที่ยงพี่ลุกซ์ไลน์มาก่อกวนใจความประมาณว่าผมไม่ปลุกและหนีมาทำงานก่อน  ผมนี่แทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งเพราะโมโห  กล้าพูดได้ยังไงว่าผมไม่ปลุก  มีการมาบอกด้วยนะว่าถ้าเจอหน้าจะทำโทษโทษฐานไม่รอ  ผมนี่ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า...ไอ้ประธานหัวกรวย!!

“พี่เปอร์ ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?” ไอ้ไอเปิดประตูออฟฟิศออกมาถามผมที่กำลังนั่งหงุดหงิดอยู่หน้าออฟฟิศ

“ไม่ล่ะ ยังไม่หิวเลยว่ะ” ผมบอก  ผมโมโหพี่ลุกซ์จนความหิวมันปลิวหายไปแล้วล่ะครับ

“ไม่ได้นะครับ  พี่ลุกซ์ย้ำมาว่าพี่เปอร์ต้องกินข้าว” ผมกรอกตามองฟ้าทันทีที่ได้ยินไอ้ไอพูดแบบนั้น  นี่ไปคุยกันตอนไหนฟะ? ถึงขั้นให้คนมาคุมเลยงั้นเรอะ? มากไปแล้วไอ้แก่!

“เออๆ ฝากซื้อละกัน  เอาอะไรก็ได้” ผมบอกปัดๆ

“เฮ้ย ไม่ได้ๆ เมื่อกี้ไอ้ลุกซ์ไลน์มาบอกว่าจะมารับมึงไปกินข้าว” พี่ลันที่ยังไม่ได้ถอดชุดหมีโผล่หน้าออกมาบอกโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงจนผมกับไอ้ไอตกใจ

“ไม่เห็นพี่ลุกซ์บอกเลย  เมื่อกี้เพิ่งคุยกัน” ผมเลิกคิ้วถามพี่ลัน

“มันบอกว่ามึงไม่ตอบไลน์  โทรหาก็ไม่ติด” พี่ลันบอกพลางรูดซิบชุดหมีลงเพื่อถอดมันออก

“อ้าว ห่า แบตหมด” ผมสงสัยกับคำพูดของพี่ลันจึงยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นดูและพบว่าแบตมันหมดไปเสียแล้ว ไอ้เครื่องนี้ผมใช้มานานละ มีปัญหากับแบตเล็กน้อย  บางทีแบตขึ้น 20% แต่ปล่อยไว้ไม่ถึงสิบนาทีก็ดับซะแล้ว  นี่ว่าจะไปซื้อใหม่ละ

“เออ มึงไปเปลี่ยนชุดได้แล้วไป ไอ้ลุกซ์มันลงมาแล้ว” พี่ลันบอก  ผมถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์เพื่อถอดชุดหมีออก  ไปกินข้าวกับประธานบริษัททั้งทีผมคงไม่ใส่ชุดเปื้อนและมีกลิ่นน้ำมันไปหรอกครับ

 

เปลี่ยนชุดเสร็จผมก็ออกมาเจอพี่ลุกซ์คุยกับพี่สองอยู่พอดี  พี่มันหันมาเห็นผมจึงบอกลาพี่สองแล้วเดินมาหา  ผมชักสีหน้าใส่ทันทีก่อนจะเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองหน้า

“งอนอะไรไม่เข้าเรื่องนะมึง” พี่ลุกซ์เดินมายืนข้างๆ ผมลืมยกมือขึ้นวางบนหัวของผมก่อนจะขยี้เบาๆ จนผมต้องโยกหัวหลบแต่ก็ถูกกอดคอเอาไว้แทน

“ไม่ได้งอนแต่โมโห” ผมพูดแล้วขมวดคิ้วกอดอก

“ตื่นสายนิดเดียวเอง ทำหงุดหงิดไปได้” พี่ลุกซ์หนีบแขนข้างที่กอดคอผมเอาไว้เข้าหาตัวเองจนหัวผมเอนไปซบกับไหล่ของพี่มันอย่างช่วยไม่ได้

“แล้วอย่ามาว่าผมไม่ปลุกอีกละกัน” ผมพูดเสียงห้วน ยังไม่คลายอาการโมโห

“งอนเรื่องนี้เหรอ? พูดเล่นเฉยๆ น่า  ถ้าคราวหน้าปลุกไม่ตื่นลองจูบดูดิ  กูลุกเลยแหละ” พี่ลุกซ์หันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าพี่มันอย่างเคืองๆ

“ให้ลุกจริงๆ เหอะ” ผมเบ้ปากใส่

“ถ้าลุกแล้วก็ทำให้มันลงหน่อยละกัน ฮึๆ” ผมเม้มปากเบือนหน้าหนีทันทีที่รู้ว่าพี่ลุกซ์เล่นมุกทะลึ่งใส่  ไอ้ผมก็คิดตามไม่ทันเพราะมัวแต่เคือง  ใครจะไปนึกว่าพี่ลุกซ์จะเล่นมุกอะไรแบบนี้ล่ะครับ

“เสื่อม!

 

ผมกับพี่ลุกซ์กินข้าวด้วยกันและคุยกันเป็นปกติ  พี่มันก็บ่นเรื่องมือถือกากๆ ของผม ผมเลยบอกว่าจะซื้อใหม่พอดี  พอได้ยินแบบนั้นก็อาสาจะพาผมไปซื้อตอนกินข้าวเสร็จแต่ผมกังวลเรื่องต้องเข้างานตอนพี่ลุกซ์เลยโทรไปขอพี่ลันให้และได้เวลามาหนึ่งชั่วโมง  ส่วนพี่ลุกซ์ ถ้าไม่มีประชุมก็ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศก็ได้

ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็ได้มือถือเครื่องใหม่  จริงๆ ผมก็ลังเลอยู่ว่าจะเอาของอะไรดีและพี่ลุกซ์ก็ตัดสินใจเสร็จสรรพเพื่อเอาเหมือนๆ กันแต่คนละรุ่น

จริงๆ ตอนซื้อผมกับพี่ลุกซ์เถียงกันจนเกือบจะไม่ได้ซื้อเลยล่ะครับ  เรื่องที่เถียงกันก็ไม่พ้นว่าใครจะเป็นคนจ่ายนั่นแหละ  ไอ้หมอนี่ก็ป๋าเหลือเกิน จะจ่ายให้ตลอดแต่ผมไม่ยอมเพราะมันเป็นของของผมต้องได้มาจากน้ำพักน้ำแรง ไม่อยากไปเบียดเบียนกระเป๋าเงินของพี่มันด้วย  สุดท้ายผมก็แพ้ พี่ลุกซ์แม่งล็อกตัวผมไว้แล้วยื่นบัตรให้พนักงานแถมยังมีการกระซิบขู่ผมด้วยว่าถ้าผมโวยวายพี่มันจะจูบโชว์  ห่า...แค่ล็อกตัวกันไว้แบบนั้นทั้งพนักงานและลูกค้าคนอื่นๆ เขาก็มองจะแย่อยู่แล้ว

ได้มือถือมาปุ๊บก็เอาไปติดฟิล์มและไปซื้อเคสมาใส่  ใส่เคสของเครื่องเดิมไม่ได้เพราะมันคนละไซส์กันเลย

“เคสนี้แม่ง...” พี่ลุกซ์อุทานขึ้นขณะที่เราไปเลือกซื้อเคสกัน  พี่มันจับเคสรูปกระจกสีชมพู ซิลิโคนหนาๆ ขึ้นมาแล้วทำหน้าตาแหยงๆ

“เออ เหมาะกับพี่ดีว่ะ ฮ่าๆ” ผมแย่งเคสนั่นมาก่อนจะยกขึ้นเทียบกับหน้าของพี่ลุกซ์ซึ่งกำลังทำหน้าเอือมสุดๆ อยู่

“ถุย มึงเอาไปใช้เลย  เหมาะกับมึงดี  ตุ๊ดโคตร” พี่ลุกซ์พูดพลางหันไปดูเคสอันอื่นให้ผม

“ใครตุ๊ดคร้าบ  ผมนี่แมนทั้งแท่ง” ผมยืดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างมีมาด

“เอ้า กูว่าลายนี้เหมาะกันมึงดี  เอาลายนี้แหละ” พี่ลุกซ์หยิบเคสมาให้ซึ่งผมก็กำลังงงกับคำว่า ลาย ของพี่มัน  นี่มันไม่มีลายอะไรเลยนะ  มีแค่สีเท่านั้นเอง

“ไม่เอา  เอาอันนี้ น่ารักดี” ผมหยิบเคสลายการ์ตูนผู้ชายใส่สูทสีเทาและมีพื้นหลังเป็นสีขาวขึ้นมา  มันเหมือนพี่ลุกซ์ย่อส่วนยังไงก็ไม่รู้  น่ารักโคตร

“เออๆ ไปจ่ายตังค์ไป” พี่ลุกซ์บอกแล้วกอดคอผมไปที่เคาน์เตอร์

ขณะที่เดินไปจ่ายตังค์ผมก็แอบสังเกตเห็นคนที่อยู่ในร้านเคสมองพวกเราแล้วซุบซิบกันใหญ่  พี่ลุกซ์นี่ก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวห่าอะไรเลย  เขามองขนาดนั้นยังลอยหน้าลอยตาจ่ายตังค์ได้อีก

“พี่ลุกซ์ คนมองว่ะ  ปล่อยเหอะ” ผมกระซิบบอกขณะกำลังรอใบเสร็จและเงินทอน

“น่ารำคาญจริงๆ” พี่ลุกซ์ทำหน้าหงิกแล้วยอมปล่อย  เมื่อกี้พี่มันไม่ได้ว่าผมน่ารำคาญหรอกครับแต่ว่าคนที่มองพวกเราแล้วนินทาต่างหาก

“เอ้อ เลิกงานไปตัดผมกัน” ผมชวนขณะที่เรากำลังเดินออกจากร้านเคส  ตอนนี้ผมของผมมันยาวทิ่มคอละ จัดทรงยาก  ตื่นมาหัวฟูตลอด  คราวนี้จะตัดสั้นๆ เลย  พี่ลุกซ์ก็ด้วย ผมจะบังคับตัดสั้น  ปกติพี่มันชอบไว้ยาวประมาณคอแต่ผมว่าตัดสั้นเลยน่าจะเหมาะกว่า

“อืม เอาดิ จะได้ไม่ต้องเซ็ตยาก” พี่ลุกซ์จับปอยผมที่ตกลงมาแล้วบอก

ผมยิ้มรับแล้วเดินกลับไปที่รถพร้อมกับพี่ลุกซ์  ระหว่างที่นั่งรถกลับบริษัทผมก็แอบโอนเงินค่าซื้อโทรศัพท์คืนพี่ลุกซ์โดยไม่บอกแต่สุดท้ายก็โดนด่าเพราะข้อความเข้ามือถือของพี่ลุกซ์ว่าเงินเข้า  ถึงพี่ลุกซ์จะรวยล้นฟ้าแต่ผมก็ไม่อยากได้ของแพงๆ จากพี่ลุกซ์ซักหน่อย  เงินใครเงินมันดิ  ผมเกรงใจและรู้สึกเหมือนเกาะพี่ลุกซ์กินยังไงก็ไม่รู้

“ตั้งใจทำงานนะ” พี่ลุกซ์บอกก่อนจะหอมหน้าผากผมเบาๆ ขณะที่กำลังจะแยกกันตรงที่จอดรถประจำตำแหน่งของพี่ลุกซ์  ทุกวันนี้พี่มันไม่ได้ขับรถประจำตัวของตัวเองมาทำงานครับแต่ใช้รถของที่บ้านที่เป็นรถธรรมดาไม่ได้แต่งอะไรมาแทนเพราะกลัวรถสุดที่รักของตัวเองจะระเบิด

“เช่นกันครับ” ผมยิ้มรับแล้วเดินแยกจากพี่ลุกซ์เพื่อไปที่ห้องซ่อม

 

++++++++++++++++++

สุดท้ายอิพี่ลุกซ์จะอดไหม? ต้องรอติดตาม ฮ่าๆๆๆ

ปล. ตอนหน้าลงอัตภีร์นะจ๊ะ

ปล.2 อยากให้เรื่องนี้จบหรือยัง? ใกล้แล้วนะๆ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา