[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
9.7
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
56 ตอน
51 วิจารณ์
236.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) Chapter 33 : กลับบ้าน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 33 : กลับบ้าน
“แล้วรักไหมล่ะ?” เสียงงัวเงียดังขึ้นมาจากคนที่ผมกำลังนั่งมองอยู่ทำให้ผมสะดุ้งอย่างตกใจที่พี่มันตื่นมาได้ยินที่ผมพูดพอดี “อืมมม” พี่ลุกซ์ขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะขยี้ตาตัวเองไปมา ส่วนผมก็ยืดตัวนั่งตรงๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป อายจัง
“นอนพอไหมครับ?” ผมเปลี่ยนเรื่อง อายนะครับที่พี่มันมาแอบได้ยินผมเพ้อบ้าบออะไรก็ไม่รู้ พอตื่นความน่ารักของพี่มันก็หายไปซะแล้วล่ะ
“อืม เอาน้ำมาให้หน่อย” พี่ลุกซ์บอกทำให้ผมลุกไปเอาน้ำมาให้แต่ก็ไม่วายบ่นไปเรื่อย
“ใช้คนเจ็บ นิสัยเสียจริงๆ” ผมบ่นพลางยื่นน้ำไปให้พี่ลุกซ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยท่าทางสะลึมสะลือ
“อืม” พี่ลุกซ์รับน้ำไปดื่มก่อนจะคว้าเอวผมที่ยืนอยู่ข้างเตียงไปกอดโดยซุกหน้ามาที่สีข้างของผม อะไรกันเนี่ย? ราชสีห์อ้อนเรอะ!?!
“เจ็บแผล” ผมบอกเสียงไม่จริงจังนัก ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่อยากให้พี่มันปล่อยแฮะ รู้สึกอบอุ่นดีจังครับ
“ขอโทษ” พี่ลุกซ์คลายอ้อมแขนหลวมๆ เพื่อไม่ให้แขนแนบกับแผลของผมพลางขอโทษ ผมยิ้มนิดๆก่อนจะนั่งทับลงบนตักของพี่มันแล้วหอมเหม่งเบาๆ
“ไปหัดอ้อนมาจากที่ไหนกันครับ เดี๋ยวผมก็ทิ้งไม่ลงหรอก คิกๆ” ผมพูดหยอกเย้าเล่นๆ พลางยกแขนขึ้นโอบรอบคอของพี่มัน ตอนนี้พี่ลุกซ์ไม่ได้กอดแล้วซุกหน้ามาที่สีข้างผมแล้วล่ะครับ แต่ซบที่ไหล่ผมแทน
“มึงจะทิ้งกูเหรอ?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเบา เพราะตอนนี้พี่มันกำลังซบหน้าอยู่ที่ไหล่ของผมทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของพี่มันตอนนี้เลย แต่น้ำเสียงฟังดูเหงาๆ ยังไงก็ไม่รู้
ผมหุบยิ้มก่อนจะเอียงหน้าไปซบกับหัวของพี่มัน แก้มของผมแนบไปกับเส้นผมนุ่มลื่นทำให้รู้สึกดี
“ผมไม่ทิ้งหรอก แต่ถ้าพี่ทำอะไรโดยไม่ปรึกษาหรือบอกผมก่อน ผมไปแน่” ผมบอกเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความจริงจังและมีอำนาจ
“ไม่ทำอีกแล้ว” พี่ลุกซ์พูดเสียงเบาติดกระเง้ากระงอดเล็กๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดู สงสัยจะยังไม่ตื่นดีแน่เลยถึงกล้าอ้อนผมแบบนี้
“นี่ ถ้าตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำสิครับ เดี๋ยวพาเดินเที่ยว” ผมบอกเมื่อเห็นว่าพี่ลุกซ์เงียบไปสักพักจนคิดว่าพี่มันอาจจะหลับไปอีกรอบก็ได้
“อืมมม” ปากก็บอกอืมแต่ดันกอดผมแน่นขึ้นโดยไม่คิดจะปล่อยซะงั้น ท่าทางจะละเมอจริงๆ
“นี่ ถ้าไปอาบน้ำตอนนี้ พอเสร็จจะจุ๊บสามทีเลย” พอผมพูดแบบนั้นพี่ลุกซ์ก็ตั้งหน้าตั้งตาลุกไปอาบน้ำทันที ผมมองตามแล้วหัวเราะลั่นอย่างขบขัน ผมว่าพี่ลุกซ์ละเมอว่ะ! ฮ่าๆๆ
หลังจากพี่ลุกซ์อาบน้ำเสร็จเราก็ไปหาอาหารเช้ากินกัน ทั้งๆ ที่ผมควรจะมีความสุขที่ได้กินข้าวเช้ากับแฟนหน้าตาดีแต่ผมดันอึดอัดอย่างรุนแรงเมื่อไอ้คุณชนะอะไรนั่นมานั่งร่วมโต๊ะเพื่อชวนผมคุย
“คุณเปอร์ทำงานที่ไหนเหรอครับ?” คุณชนะถามพลางตักขนมหวานเข้าปาก ก่อนหน้านี้เขากินข้าวเสร็จไปแล้ว พอเห็นผมกับพี่ลุกซ์มาเขาก็เลยสั่งของหวานมากินที่โต๊ะของพวกเรา
“ทำงานฝ่ายเครื่องยนต์ที่บริษัทพี่ลุกซ์น่ะครับ” ผมตอบส่งๆ พลางเหลือบตาไปมองหน้าพี่ลุกซ์นิดๆ พี่มันตีหน้านิ่งซะผมกลัวเลย
“ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ไม่มีสาวๆ มาติดพันเหรอครับ?” คุณชนะพูดยิ้มๆ แต่สายตานี่ดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย เขามองหน้าพี่ลุกซ์เหมือนกับอยากจะบอกว่าที่ได้คบกับผมคงเพราะหน้าตากับเงิน ส่วนพี่ลุกซ์ก็ทอดสายตามองคุณชนะนิ่งๆ ไม่กลัวและเกรงเลยแม้แต่น้อย
“เป็นธรรมดาครับ ใครๆ ก็อยากได้คนที่มีฐานะมั่นคงและดูดี ใครเขาจะอยากได้คนหน้าตาธรรมดา เงินทองไม่ค่อยจะมีล่ะครับ” พี่ลุกซ์จ้องหน้าคุณชนะพลางยิ้มที่มุมปากนิดๆ สายตาเย็นชาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย คำพูดก็จิกกัดและทับถมคุณชนะเหลือเกิน
“ต่อให้พี่ลุกซ์อ้วน หน้าบวม ตัวดำแถมยังจน ผมก็ไม่สนหรอกนะ รักเหมือนเดิม” ผมแกล้งพูดออกไปแบบนั้นเพื่อให้คุณชนะรู้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน จะได้ไสตูดตัวเองไปให้ไกลๆ จากพวกเราซักที
“เป็นไปได้เหรอครับแบบนั้น?” คุณชนะหันมาถามผมอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าสภาพพี่ลุกซ์เป็นอย่างที่ผมว่าเมื่อกี้ผมจะรักหรือเปล่า แต่ถ้าพี่มันมาอ้วน หน้าบวมและไม่มีตังค์ตอนที่ผมได้รักไปแล้วผมก็ยังจะรักต่อไป
“เป็นไปได้สิครับ เพราะเรารักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว โตขึ้นมาต่อให้หน้าตาเป็นยังไงก็รักเหมือนเดิมนั่นแหละครับ ก่อนหน้านี้หน้าตาผมแย่จะตาย พี่ลุกซ์ยังชอบเลย เนอะ” ผมก็พูดไปงั้นแหละ เห็นพี่มันเคยบอกว่ารักผมตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงไหม
“อืม” พี่ลุกซ์พยักหน้ารับพลางยกแขนขึ้นพาดพนักพิงเก้าอี้ของผม ทำเหมือนกอดไหล่แต่ก็ไม่ได้กอด
“ดูลึกซึ้งดีนะครับ” คุณชนะพูดพลางเบ้ปากเล็กน้อย
“ครับ มากๆ ด้วย” พูดพลางมองหน้าผมด้วยสายตาจริงจังจนผมเขินรีบหลบสายตา พี่ลุกซ์นี่ก็เลี่ยนไม่เบาเหมือนกันนะ
“แบบนี้ก็แทรกยากเลยสินะ” คุณชนะพูดยิ้มๆ ทำหน้าเหมือนไม่กังวลอะไรเลย เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ ทำไมไม่ยอมไปจากพวกเราซะที
“ครับ อะไรที่เป็นอุปสรรคผมมักจะทำลายให้สิ้นซาก ไม่ให้โผล่มาสร้างความวุ่นวายให้รำคาญแน่นอน ผมเป็นพวกขี้รำคาญน่ะครับ ตัวริ้นตัวไรที่มาเกาะไอ้เปอร์ผมจะไล่ไปให้หมด ถ้าไล่ยากนักก็จะกำจัดมันซะเลย” พี่ลุกซ์พูดขู่แต่ไอ้คุณชนะก็ยังทำหน้าเหมือนไม่รับไม่รู้อะไรทั้งนั้น ดื้อด้านจัง โดนขู่ขนาดนี้ยังไม่สะทกสะท้านอีก เขาคิดว่าพี่ลุกซ์ไม่กล้าจัดการเขาหรือไงนะ
“งั้นเหรอครับ?” คุณชนะทำหน้ายียวนจนหน้าพี่ลุกซ์แสดงอารมณ์ออกมาประมาณว่า กูโดดถีบไอ้เหี้ยนี่ตอนนี้ ตรงนี้เลยได้ไหม!? สีหน้าพี่มันดูหงิกเล็กน้อยแต่มือนี่กำเข้าหากันแน่นเลยทีเดียว ถ้าเป็นสมัยก่อนพี่ลุกซ์อาจจะจัดการคุณชนะไปซะตอนนี้เลยก็ได้แต่ตอนนี้พี่มันมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงกว่าเมื่อก่อนมาก
“พี่ลุกซ์ สั่งใส่กล่องไหม?” ผมกระซิบถาม กลัวอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นจะระเบิดจนคนแถวนี้ได้รับมลภาวะทางอารมณ์อันรุนแรงของพี่มันน่ะสิ
“ไม่ต้อง แค่นี้ไม่สะเทือน” พี่ลุกซ์ข่มตาดุแล้วยกยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ผมแทบจะหลุดขำกับคำพูดเมื่อครู่ ทำหน้าซะน่ากลัวแต่คำพูดฟังดูซนๆ ยังไงก็ไม่รู้
ระหว่างที่พี่ลุกซ์กำลังนั่งจ้องคุณชนะเขม็งอาหารก็มาเสิร์ฟ จังหวะนั้นคุณชนะก็สั่งของหวานมากินอีก ส่วนผมกับพี่ลุกซ์ก็กินข้าวกันไปโดยที่คอยตักให้กันตลอด พี่ลุกซ์ดูเอาใจผมเป็นพิเศษครับ ป้อนข้าวด้วยช้อนของตัวเองด้วย คงจะทำใส่คุณชนะล่ะมั้งครับ ส่วนผมก็ให้ความร่วมมือดีเพราะรำคาญหมอนี่มากเหมือนกัน
“เปอร์ ข้าวติดปาก” พี่ลุกซ์พูดขึ้นหลังจากกินไปได้สักพัก ผมขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นหวังจะลูบบริเวณปากของตัวเองแต่พี่ลุกซ์ก็รั้งไว้แล้วยื่นหน้ามาจูบที่มุมปากผมเฉยเลย ว่าแล้วเชียว ไม่เห็นรู้สึกว่ามีอะไรติดปากเลย ที่แท้ก็อยากจูบโชว์ น่าจะคำนึงถึงลูกค้าร้านอาหารคนอื่นๆ บ้างก็ดีนะ
“กรี๊ด! แก เขาจูบกันอ่ะเขาจูบกัน!” จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นแฟนกัน”
“น่ารักอ่า” แล้วก็ได้ยินเสียงหลายคนกรีดร้องอะไรประมาณนั้นด้วย คาดว่าน่าจะมาจากกลุ่มผู้หญิงวัยมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งที่มานั่งกินข้าวก่อนหน้าพวกเราสักพัก
บอกตรงๆ ครับ ผู้หญิงสมัยนี้แม่งน่ากลัว เหอๆ
“คุณนี่กล้าทำอะไรแบบไม่อายเลยนะครับ” คุณชนะพูดยิ้มๆ แต่น้ำเสียงนี่น่าหมั่นไส้ซะจริง
“ครับ ผมหน้าด้านเอาเรื่องเลยแหละ ถ้าไม่แสดงความเป็นเจ้าของเดี๋ยวจะมีคนไม่รู้สะเออะเข้ามายุ่ง จริงๆ ผมสงสารคนที่เข้ามาจีบหมอนี่มากกว่า ยังไงก็ไม่สมหวัง” พี่ลุกซ์พูดอย่างคนเหนือกว่า พูดเหมือนคนมั่นใจเสียเต็มประดาแต่ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ผมรักอยู่คนเดียวนี่นา
“มั่นใจจังเลยนะครับ” คุณชนะยักไหล่นิดๆ
“ผมทำให้เขามั่นใจเองแหละครับ คบกันมาก็เกือบ 6 ปี ไม่เคยเบื่อกันเลย เนอะ” ผมพูดพลางหันไปถามความเห็นจากพี่ลุกซ์
“ใครบอก? กูเบื่อจะตาย” พี่ลุกซ์มองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยแต่ผมกลับเคืองนิดๆ ที่ได้ยินแบบนั้น
“เบื่อนักใช่ไหม?” ผมกัดฟันพูด
“เบื่อที่ต้องคอยระงับอารมณ์เวลาอยู่กับมึงไง ไม่ยอมให้ทำซักที...”
“ไอ้พี่ลุกซ์ปากมอม! พูดอะไรออกมาไม่อายปาก” ผมรีบตีปากพี่มันทันทีที่รู้เหตุผล ไอ้เราก็นึกว่าเบื่อนิสัยเรา ที่ไหนได้เบื่อเพราะไม่ได้ทำ หื่นตลอดเลย
“แหม หวานกันแบบนี้ผมยังไม่อยู่เป็นก้างต่อแล้วล่ะครับ” คุณชนะพูดพลางลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาไม่ได้ดูสะทกสะท้านอะไรกับคำพูดของพี่ลุกซ์เลย
“รอคำนี้พอดีเลยครับ” พี่ลุกซ์ตอบกลับยิ้มๆ
“แล้วจะมาคุยด้วยอีกนะครับ” คุณชนะโบกมือแล้วเดินล้วงกระเป๋าจากไป ผมกับพี่ลุกซ์มองหน้ากันแล้วส่ายหน้าไปมาเบาๆ อย่างระอา นึกว่าจะสำนึกได้ว่าเป็นก้างของคนอื่นเขา ที่ไหนได้ ยังไม่สำนึกอีก
60% left
“กลับวันนี้เลยละกัน กูเบื่อหน้าไปเหี้ยนี่เต็มทน” พี่ลุกซ์พูดหลังจากคุณชนะเดินจากไปจนลับตา
“อยากเที่ยวเชียงใหม่ต่ออ่า” ผมบอก
“เอาไว้จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจะพามาเที่ยว จะได้เที่ยวอย่างสบายใจ” พี่ลุกซ์บอก แสดงว่าผมอดสินะ อะไรวะ รู้งี้ไปเที่ยวคนเดียวตั้งแต่แรกดีกว่า อุตส่าห์คิดไว้แล้วเชียวว่าจะได้ไปเที่ยวเลย เซ็งโคตร
“ประธานที่งานยุ่งอย่างพี่ลุกซ์จะมีเวลาพาผมมาเที่ยวเหรอ?” ผมที่หุบยิ้มไปแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“เดี๋ยวหาให้น่า” บอกปัดซะอย่างงั้นแน่ะ
“งั้นพี่กลับไปก่อนเลยละกัน ผมวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะไปเที่ยว” ผมบอกอย่างไม่แคร์ เดิมทีผมตั้งใจจะไปคนเดียวอยู่แล้วนี่หว่า ถ้าพี่ลุกซ์อยากกลับก็ให้กลับไปก่อนละกัน
“เปอร์ ทำไมมึงดื้อแบบนี้วะ?” พี่ลุกซ์เริ่มขึ้นเสียงจนผมชักจะไม่พอใจ
“ผมตั้งใจจะมาเที่ยวนะครับ แล้วจู่ๆ จะให้ผมกลับไปพร้อมพี่ได้ยังไง? ถ้าอยากกลับก็กลับคนเดียวสิ” ไม่แคร์ครับผม โตแล้ว ไปไหนคนเดียวได้สบายๆ แถมไม่ต้องมีใครคอยคุม สบายสุดๆ
“เฮ้อ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้วะ? กูตามใจมึงทุกเรื่องไม่ได้หรอกนะเปอร์” พี่ลุกซ์พูดด้วยสีหน้าเอือมระอาจนผมอารมณ์ขึ้นอีกรอบ
“ไม่ได้ให้ตามใจนะครับ ผมบอกว่าจะไปคนเดียวไม่ได้ตื๊อพี่ซักหน่อย อีกอย่าง ถ้าไม่อยากตามใจผมแล้วมาทำไม? เบื่อนักทำไมไม่หายไปเลยล่ะ จะมาให้เห็นหน้าทำไม?” ผมลุกขึ้นยืนแล้วกัดฟันพูดเสียงเบาทว่าน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“นั่งลงแล้วคุยกันดีๆ” พี่ลุกซ์ใช้สายตาข่มขู่ให้ผมทำตาม แต่สถานะในตอนนี้ผมไม่ได้เป็นรอง
“คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง ไปละ แล้วก็ไม่ต้องตามมาด้วย” ผมยักไหล่แล้วเดินเร็วๆ ออกมาจากร้านอาหารเพื่อตรงไปที่ห้องพัก ส่วนพี่ลุกซ์ก็รีบตามผมออกมาไม่ได้เพราะต้องจ่ายเงินค่าข้าวซะก่อน
“เปอร์! เปอร์!!” พี่ลุกซ์วิ่งเข้ามาดึงแขนผมไว้ขณะที่ผมกำลังเก็บของ ผมสะบัดแขนออกโดยไม่สนใจว่าพี่มันจะพยายามคว้าเอาไว้ “กูสัญญาว่าจะพามึงไปเที่ยวนะเปอร์ แต่ตอนนี้กลับไปด้วยกันก่อน ไปคุยกับพ่อแม่ของมึงเรื่องของเราก่อน” พี่ลุกซ์พูดติดตะคอกทำให้ผมชะงัก
“พ่อกับแม่ของผมทำไม?” ผมหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเคืองๆ
“เขาไม่ยอมรับกูไงกูก็เลยต้องพามึงกลับไปให้เร็วที่สุด ถึงกลับไปแล้วจะไม่ได้เจอหน้าอีกกูก็ต้องกลับเพราะพ่อกับแม่ของมึงเป็นห่วงมึงมาก” พี่ลุกซ์พูดออกแล้วกำมือแน่นเมื่อพูดประโยคสุดท้าย อ่า...พอได้ยินแบบนั้นอารมณ์ผมก็เย็นลงแบบฉับพลันเลยล่ะครับ
“...”
“รับปากกับกูได้ไหมว่าต่อให้มึงไม่เห็นหน้ากู มึงก็จะไม่เปลี่ยนใจและจะไม่หนีกูไปไหนอีก” พี่ลุกซ์คว้ามือทั้งสองข้างของผมไปจับเอาไว้แล้วบีบเบาๆ
“...” ผมเงียบไปเพราะพูดอะไรไม่ออก รู้สึกจุกกับคำพูดของพี่มัน นี่คิดจะทิ้งผมไปอีกแล้วใช่ไหม พี่ลุกซ์ไม่สู้เอาซะเลย
“เปอร์ อย่าเงียบ” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้ว
“ผมไม่รับปาก” ผมส่ายหน้าไปมาพลางดึงมือออก พี่ลุกซ์หน้าเสียไปอย่างเห็นได้ชัด “ผมจะไม่รับปากอะไรทั้งนั้น ถ้าพี่ทิ้งผมไป ผมก็จะไม่ไล่ตาม ไม่รอ และไม่คาดหวัง” ผมก้าวถอยหลังออกไปพลางส่ายหน้าช้าๆ ไปมาไม่หยุด แค่คำสั่งห้ามของพ่อผมก็ลุกซ์ก็ยอมทำตามโดยไม่คำนึงถึงใจของผมบ้างเลย ปกติก็เห็นดึงดัน อยากได้อะไรต้องได้ แต่พอเป็นเรื่องแบบนี้กลับยอมซะจนน่าหงุดหงิด ทำไมไม่พยายามดื้อดึงบ้าง อย่างผมที่ดื้ออยากจะให้พี่ลุกซ์ไม่รักอย่างไม่ถอดใจ สุดท้ายก็สมหวังจริงๆ ถ้าพี่ลุกซ์ยอมแพ้แบบนี้อย่าหวังเลยว่าพ่อผมจะยอม
“ขอร้องล่ะเปอร์ รอกูอีกนิด” พี่ลุกซ์มองผมอย่างขอร้อง ไม่กล้าขยับเข้ามาหาผม
“จะให้รออะไรอีก? รอให้พี่ไปสละตำแหน่งประธานแล้วมาขอผมจากพ่องั้นเหรอ? หรือรอให้พี่ไปมีเมียมีลูกเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ?” ผมขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่มีความมั่นใจยังไงก็ไม่รู้
“จะพูดถึงเรื่องนั้นอีกทำไม กูไม่ได้มีเมียมีลูกจริงๆ ซักหน่อย จะให้กูทำยังไงมึงถึงจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้ซักที กูเจ็บเป็นเหมือนกันนะ”
“ทำไมพี่ไม่ลองสู้เพื่อผมบ้าง ทำเหมือนตอนที่ไปขอผมจากพ่อครั้งแรกไง หรือพี่กลัวพ่อจะต่อยอีก? กลัวเจ็บเหรอ? หรือกำลังกลัวอะไรอยู่?” ผมถามออกไปเสียงสั่นเครือ รู้สึกจุกที่คอเหมือนจะร้องไห้เลยล่ะ แต่ผมจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด
“ใช่ กูกลัว ไม่ได้กลัวเจ็บหรอก แต่กูกลัวทุกอย่างที่เกี่ยวกับมึง ตั้งแต่แรกกูก็ทำให้พ่อกับแม่มึงเสียใจจนแทบบ้า แล้วยังจะมาทำซ้ำอีก กูเข้าหน้าพ่อกับแม่มึงไม่ติดจริงๆ” พี่ลุกซ์ถอยหลังไปนั่งบนที่นอนแล้วยกมือกุมขมับ
“ขี้ขลาดที่สุด” ผมว่า
“ไม่ปฏิเสธหรอกว่ากูขี้ขลาด แต่กูขี้ขลาดเฉพาะเรื่องของมึงเท่านั้นแหละ”
“ถ้าพี่พาผมกลับไปที่บ้านแล้วพี่จะทำยังไงต่อ? หายไปงั้นเหรอ? ทิ้งผมไว้ข้างหลังงั้นเหรอ?” ผมถาม พี่ลุกซ์นิ่งไปนิดก่อนจะเงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน
“มึงจะอยู่ข้างๆ กูไหม?” พี่ลุกซ์ถามออกมา สีหน้าดูมีความหวัง
“มาถึงขั้นนี้แล้วนะครับ” ผมบอก ถ้าไม่ให้อยู่ข้างพี่ลุกซ์แล้วจะให้ไปอยู่ข้างใครล่ะ แฟนผมทั้งคนนี่นา
“ต่อให้พ่อมึงห้ามไม่ให้เจอกับกูอีกมึงก็ยังจะอยู่ข้างกูใช่ไหม?” พี่มันถามอีก
“ไม่หนีไปไหนหรอก” ผมเดินเข้าไปหาพี่ลุกซ์ทำให้พี่มันที่นั่งอยู่เอนตัวมาพิงพุงของผม
“งั้น...ถ้าพ่อมึงห้ามไม่ให้กูเจอกับมึงอีกกูก็จะพามึงหนี มึงจะยอมหนีไปกับกูไหมเปอร์?” พี่ลุกซ์จับมือของผมแล้วยกขึ้นไปหอมเบาๆ
“เคยบอกเอาไว้ตั้งนานแล้วนี่ว่าจะหนีไปด้วย” ผมยืนยัน พี่มันเคยชวนผมหนีตั้งนานแล้วล่ะครับ และผมก็รับปากไว้แล้วด้วย
“ดีจังเลยนะที่กูได้รักมึง” พี่ลุกซ์พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดีขึ้นพลางเล่นนิ้วผมเหมือนคนไม่มีอะไรทำ
“งั้นเก็บของกลับบ้านกันเถอะครับ” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะผละออกจากพี่ลุกซ์เพื่อไปเก็บของกลับบ้าน หลังจากนี้เราคงมีความสุขด้วยกันโดยไม่มีอุปสรรคแล้วล่ะ คิดว่าอย่างนั้นนะ
“อื้มมม จุ๊บ” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วขโมยหอมแก้มขณะที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว เพื่อกลบเกลื่อนความเขินผมจึงเผลอฟาดกบาลพี่ลุกซ์ไปอย่างไม่ยั้งมือทันที
เรานั่งเครื่องกลับแล้วตรงดิ่งไปที่บ้านของผมทันที ที่นั่นเราได้พบกับคนในครอบครัวของผมและพ่อแม่ของพี่ลุกซ์ นอกจากนั้นยังมีพี่ถังกับพี่เคย์นั่งอยู่ด้วย ผมกับพี่ลุกซ์ค่อนข้างแปลกใจมากที่ได้เห็นทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้
แม่ดึงผมไปนั่งข้างๆ โดยที่พี่ลุกซ์ทำท่าจะตามมาแต่ก็ต้องชะงักแล้วเดินไปนั่งกับพ่อแม่ของตัวเองแทน ผมหันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาละห้อยเพราะอยากไปนั่งกับพี่มัน อย่างน้อยก็จะได้จับมือกันเวลาที่กังวล
“ทำไมถึงทำอะไรโดยไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน เจ็บตัวอยู่ไม่ใช่รึไง?” พ่อผมเปิดประเด็นโดยการดุผมเป็นอันดับแรก ผมก้มหน้ารับความผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง
“มึงนี่มันบ้าจริงๆ” พี่ถังดุบ้าง ก็เข้าใจหรอกนะว่าเป็นห่วง แต่ไม่เห็นต้องทำหน้าดุขนาดนั้นเลยนี่หว่า
“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อย
แล้วทุกคนก็ต่างคนต่างเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมาซักพักใหญ่ๆ ซึ่งก่อให้เกิดบรรยากาศที่แสนจะอึดอัดจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
“มีอะไรจะพูดไหมลุกซ์?” คุณพ่อลิตถามขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัด แต่ก็ไม่นะว่าอาจจะสร้างบรรยากาศให้อึดอัดมากกว่าเดิมก็ได้
“ผมขอถือโอกาสนี้ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่ทำให้อึดอัดในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่ที่ผมกลับมาจากอเมริกาผมก็สร้างเรื่องเอาไว้มาก มากจนไม่รู้จะชดใช้ยังไง” พี่ลุกซ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่าจริงจัง ผมเงยหน้ามองพี่มันก่อนจะเม้มปากนิดๆ พี่ลุกซ์คงรู้สึกผิดจริงๆ แล้วสินะ ผมอยากให้พ่อกับแม่ผมเข้าใจจัง
“ไม่ต้องชดใช้อะไรทั้งนั้น” พ่อของผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเรียบ คำพูดและท่าทางของพ่อแสดงออกให้เห็นว่า ไม่ต้องชดใช้ ขอเพียงไม่ต้องมาให้เห็นอีกก็พอ นี่พ่อยังไม่คิดจะยอมรับอีกงั้นเหรอ?
“แกต้องรับสิ่งที่แกทำให้ได้นะลุกซ์ ลูกผู้ชาย กล้าทำก็ต้องกล้ารับผิดชอบ” พ่อลิตตบหลังพี่ลุกซ์เบาๆ
“ผมยอมรับผิดทุกอย่าง จะให้ผมทำอะไรก็ได้ แลกกับการที่ให้ผมคบกับไอ้เปอร์ต่อไป” พี่ลุกซ์ขยับลงจากโซฟามานั่งคุกเข่าข้างล่างแล้วมองพ่อกับแม่ของผมอย่างจริงจัง
“คิดว่าคนที่ขาดความไว้ใจในตัวของคนอื่นอย่างแกจะคบกับใครได้งั้นเหรอ? ใครจะยอมรับแกก็ช่าง แต่ฉันจะไม่ยอมรับแก” พ่อพูดแค่นั้นแล้วเดินหนีเล่นเอาผมใจเสีย
“แม่อยู่ข้างลูกนะ” แม่โอบเอวผมไว้แล้วเอนตัวมาพิง ผมหันไปมองแม่อย่างซึ้งใจแล้วกอดเอาไว้ แม่อ่อนโยนกับผมเสมอ ตามใจผมตลอดด้วย ทำไมพ่อไม่เข้าใจผมเหมือนแม่บ้างนะ
“ผมขอโทษนะครับ” พี่ลุกซ์คลานเข่ามากราบลงที่ตักของแม่ผมด้วยสีหน้าสำนึกผิด แม่ผละออกจากผมไปก่อนจะเม้มปากมองหน้าพี่ลุกซ์ พี่ลุกซ์นิ่งเงียบหน้าเสียไปเมื่อแม่ผมทำหน้าเหมือนโกรธ
“แม่โกรธลุกซ์มากนะที่ทำแบบนั้นลงไป ทุกครั้งที่แม่เห็นหน้าเปอร์ แม่นึกโกรธลุกซ์อยู่ตลอดว่าทำไมต้องทำให้หน้าของลูกแม่อมทุกข์เหมือนคนที่พร้อมจะล้มลงไปทุกครั้งแบบนี้ แม่ไม่คิดจะให้อภัยลุกซ์เลย...” หน้าพี่ลุกซ์เสียหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อแม่ผมพูดออกมาแบบนั้น “แต่เปอร์ให้อภัย แม่ก็ไม่รู้จะโกรธไปทำไมอีก” สีหน้าพี่ลุกซ์ดีขึ้นทันทีที่แม่พูดต่อ พี่ลุกซ์เงยหน้าขึ้นมองแม่กับผมด้วยสายตาดีใจพร้อมกับรอยยิ้ม
“หมายความว่าคุณแม่ให้อภัยผมใช่ไหมครับ?” พี่ลุกซ์ถามอย่างมีความหวัง
“แม่เป็นคนใจอ่อนเหมือนเปอร์นั่นแหละ” แม่ยิ้มนิดๆ ทำให้พี่ลุกซ์ยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วคว้ามือผมไปจับไว้อย่างดีใจ ผมเองก็ยิ้มบ้าง “แต่ก็ใช่ว่าแม่จะยอมรับทั้งหมดนะ ยังไงแม่ก็ยังไม่ยอมให้ลุกซ์เอาเปอร์ไปหรอก” แม่ดึงมือของผมออกจากการเกาะกุมของพี่ลุกซ์ไว้อย่างหวงแหนทำเอาคนอื่นๆ ยิ้มขำกับอาการแม่หวงลูก
“งั้นผมมาหาทุกวันได้ไหมครับ? มารับมาส่งทุกวันได้ไหม?” พี่ลุกซ์ถามออกไป
“ก็แล้วแต่นะ ถ้าไม่รังเกียจฝีมือทำอาหารของแม่ก็มาทานข้าวด้วยกันทุกวันก็ได้” แม่เชิดหน้าขึ้นนิดๆ พลางพูดอย่างมีมาด
พี่ลุกซ์มองหน้าผมอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดแม่ผมซะทุกคนตกใจ ไม่คิดว่าพี่ลุกซ์จะทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่พวกผมนะครับที่ตกใจ แม่ที่ถูกกอดนี่ตกใจจนกรีดร้องทำเอาพ่อรีบวิ่งมาดู พอเห็นว่าพี่ลุกซ์ทำอะไรพ่อก็แทบจะเข้ามากระโดดถีบขาคู่แต่ก็ทำไม่ได้จึงทำได้เพียงจับแยกแล้วจูงมือแม่หายไปเลย
“จบเรื่องซะทีนะ ต่อไปนี้ก็พยายามพิชิตใจพ่อตาให้ได้ล่ะลูก” พ่อลิตลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจนิดๆ แล้วพูดกับพี่ลุกซ์ที่กำลังย้ายตัวเองมานั่งข้างผม
“ขอบคุณนะครับพ่อ เพราะพ่อกับแม่มาช่วยพูดให้สินะครับพ่อแม่ของหมอนี่เลยยอมอ่อนลงให้ผมขนาดนี้” พี่ลุกซ์สอดแขนเข้ามาโอบเอวผมไว้แล้วพูดกับพ่อแม่ของตัวเองที่ลุกขึ้นยืนเตรียมกลับบ้าน
“ลูกชายไม่มีน้ำยาก็เลยต้องมาช่วยหาลูกสะใภ้ให้เองไง ทีหลังก็รวบหัวรวบหางแล้วลักพาตัวไปเลยดีกว่านะ ฮ่าๆๆ” พ่อลิตพูดพลางกอดไหล่แม่วิเดินออกจากบ้านพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ผมก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่แล้วแหละน่า” พี่ลุกซ์ตะโกนไล่หลังพ่อแม่ของตัวเองก่อนจะหันมาหอมแก้มผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว
“ลุกซ์ กูอยากให้มึงจำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ความไม่เชื่อใจจะเป็นสิ่งที่ทำให้มึงไม่มีโอกาสแก้ตัว อย่าคิดว่ามึงจะได้โอกาสอยู่ตลอด” พี่ถังกอดอกเก๊กหน้าขรึมพูดสั่งสอนพี่ลุกซ์
“รู้แล้วล่ะน่า ไม่พลาดอีกแล้ว” พูดไม่พูดเปล่า หยิกแก้มผมเล่นเฉยเลย สนุกไหมเนี่ย? บ้าจริง
“สอนไปก็เท่านั้นแหละ หมอนี่เคยเข็ดกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้” พี่เคย์พูดออกมาพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“ว่าแต่กูแหละมึง” พี่ลุกซ์ตอบกลับ
“กูไม่เคยทำอย่างมึงเหอะลุกซ์ กูออกจะนิสัยดีน่ารัก เป็นศรีสามีที่ดีไม่มีนอกใจ ฮึๆ” พี่เคย์กอดอกเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจในนิสัยของตัวเอง น่ารักตลอดเลยผู้ชายคนนี้
“คนกลัวเมียอย่างมึงอย่ามาอวดเหอะสัตว์” พี่ลุกซ์เบ้ปากใส่พี่เคย์เล็กน้อย เห็นเขาจิกกันแบบนี้แต่เขารักกันมากเลยล่ะครับ
“เดี๋ยวมึงก็กลัวเหอะ ตอนนี้เปอร์มันเป็นใหญ่แล้วเว้ย จะทำอะไรมึงไม่มีสิทธิ์ขัดแล้วนะ ฮึๆ จงสำนึกนิสัยของมึงด้วยการก้มหัวรองบาทเปอร์มันไปเถอะ” พี่เคย์พูดซึ่งนั่นก็โดนใจผมเต็มๆ ตอนนี้พี่ลุกซ์อยู่ในช่วงต้องเอาใจผมครับ ถ้าผมไม่พอใจเมื่อไหร่พี่ลุกซ์ได้ดิ้นแน่ ฮุๆ
“กล้าหือเหรอ?” ผมหันไปยักคิ้วท้าทายพี่ลุกซ์
“คิดว่ากล้าไหมล่ะ?” พี่ลุกซ์ทำตาดุแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ เหมือนจะจูบโชว์ผมจึงรีบผงะหนีแล้วยกมือขึ้นตะปบปากพี่มันเอาไว้ ชอบทำอะไรน่าอายต่อหน้าคนอื่นจริงๆ เลยหมอนี่
“พอๆ กูล่ะเบื่อคู่นี้จริงๆ” พี่ถังทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะลุกเดินหนีออกจากบ้านทำให้พี่เคย์รีบลุกตามไป ผมมองตามก่อนจะตะโกนขอบคุณมัน
“ขอบคุณนะถัง ขอบคุณนะครับพี่เคย์” ผมรู้หรอกว่าทั้งสองคนเป็นห่วง ถึงช่วงนี้พี่ถังมันจะเก๊กดุบ่อยๆ ก็เหอะนะ
“เดี๋ยววันนี้จะกลับก่อนแล้วพรุ่งนี้จะมาหานะ อย่าเพิ่งไปทำงาน เดี๋ยวค่อยไปตามเวลาที่ลาไว้ละกัน” พี่ลุกซ์บอกพลางขยับถอยออกห่างจากผมเล็กน้อยพร้อมกับปล่อยให้ผมได้นั่งสบายๆ
“อื้ม” ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนพอดี
“ไปละนะ” พี่ลุกซ์บอกพลางล้วงเอากุญแจรถออกมาถือไว้
“ครับ ขับรถดีๆ นะ” ผมยิ้มแล้วโบกมือนิดๆ เพื่อส่งแต่พี่มันกลับยืนนิ่งไม่ยอมไป “ไปสิ” ผมโบกมือไล่ จริงๆ แล้วผมก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าพี่มันรอให้ผมหอมลา
“มาสิ” พี่ลุกซ์อ้าแขนออกแล้วพยักหน้าเชิญชวน ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วลุกขึ้นไปกอดตัวหนาๆ นั่นอย่างเต็มรัก พี่ลุกซ์หอมกบาลผมเบาๆ แล้วผละออกไป
“กลับถึงบ้านแล้วโทรมาหาด้วยนะ” ผมบอกพลางโบกมือ พี่ลุกซ์พยักหน้ายิ้มๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
ฮ้า รู้สึกโล่งดีแฮะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอึดอัดใจเพราะพ่อกับแม่ไม่รับรู้เรื่อง ถึงพ่อจะยังไม่ยอมรับแต่อย่างน้อยๆ ก็รับรู้และไม่ได้ต่อต้านมากมายอะไรซะด้วย ต่อไปนี้เวลาจะไปไหนด้วยกันก็ไม่ต้องเกรงใจใครแล้วล่ะนะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++ ไปสอบมาแหละะะะะ แทบตายแบ๊วววว ทุกวันนี้แทบไม่ได้นอนเบย ฮ่าๆๆ หลังจากนี้ไรต์ยังมีสอบอีกเรื่อยๆ แต่เว้นระยะไปซักหน่อยคงจะมีเวลามาอัพให้หายคิดถึงบ้างนิดนึง ไรต์อยากจะชี้แจงนิดนึงว่าทำไมไรต์ถึงไม่ค่อยมีเวลา 1 หลังจากนี้ไปไรต์จะมีการซ้อมกีฬาให้รุ่นน้องปีหนึ่งเพื่อไปแข่งเทอมหน้า(ซ้อมทั้งปีเลยคร้าบ) 2 ไรต์เรียนแลปอยู่สามตัวและรีพอร์ตของแต่ละแลปโหดมหาโหด ใช้เวลาทำค่อนข้างนานและเขียนเยอะเว่อร์(ส่งเลทไม่ได้ F จะมา) 3 จริงๆ ยังสอบมิดเทอมไม่เสร็จ มีสอบอีกเรื่อยๆ แต่เว้นระยะ อาจจะมาอัพได้ไม่ถี่นักเพราะต้องอ่านหนังสือเรื่อยๆ (วิชาที่สอบไปเน่าบรม) เข้าใจไรเตอร์โนะ โอเคค่ะ พรุ่งนี้ถ้าไข้ไม่ขึ้นอาจจะได้มาอัพอีกเน้อ ปล.หลังจากนี้จะอัพอัตภีร์ต่อนะต๊ะ รักทุกคนนนนน
“แล้วรักไหมล่ะ?” เสียงงัวเงียดังขึ้นมาจากคนที่ผมกำลังนั่งมองอยู่ทำให้ผมสะดุ้งอย่างตกใจที่พี่มันตื่นมาได้ยินที่ผมพูดพอดี “อืมมม” พี่ลุกซ์ขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะขยี้ตาตัวเองไปมา ส่วนผมก็ยืดตัวนั่งตรงๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป อายจัง
“นอนพอไหมครับ?” ผมเปลี่ยนเรื่อง อายนะครับที่พี่มันมาแอบได้ยินผมเพ้อบ้าบออะไรก็ไม่รู้ พอตื่นความน่ารักของพี่มันก็หายไปซะแล้วล่ะ
“อืม เอาน้ำมาให้หน่อย” พี่ลุกซ์บอกทำให้ผมลุกไปเอาน้ำมาให้แต่ก็ไม่วายบ่นไปเรื่อย
“ใช้คนเจ็บ นิสัยเสียจริงๆ” ผมบ่นพลางยื่นน้ำไปให้พี่ลุกซ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยท่าทางสะลึมสะลือ
“อืม” พี่ลุกซ์รับน้ำไปดื่มก่อนจะคว้าเอวผมที่ยืนอยู่ข้างเตียงไปกอดโดยซุกหน้ามาที่สีข้างของผม อะไรกันเนี่ย? ราชสีห์อ้อนเรอะ!?!
“เจ็บแผล” ผมบอกเสียงไม่จริงจังนัก ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่อยากให้พี่มันปล่อยแฮะ รู้สึกอบอุ่นดีจังครับ
“ขอโทษ” พี่ลุกซ์คลายอ้อมแขนหลวมๆ เพื่อไม่ให้แขนแนบกับแผลของผมพลางขอโทษ ผมยิ้มนิดๆก่อนจะนั่งทับลงบนตักของพี่มันแล้วหอมเหม่งเบาๆ
“ไปหัดอ้อนมาจากที่ไหนกันครับ เดี๋ยวผมก็ทิ้งไม่ลงหรอก คิกๆ” ผมพูดหยอกเย้าเล่นๆ พลางยกแขนขึ้นโอบรอบคอของพี่มัน ตอนนี้พี่ลุกซ์ไม่ได้กอดแล้วซุกหน้ามาที่สีข้างผมแล้วล่ะครับ แต่ซบที่ไหล่ผมแทน
“มึงจะทิ้งกูเหรอ?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเบา เพราะตอนนี้พี่มันกำลังซบหน้าอยู่ที่ไหล่ของผมทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของพี่มันตอนนี้เลย แต่น้ำเสียงฟังดูเหงาๆ ยังไงก็ไม่รู้
ผมหุบยิ้มก่อนจะเอียงหน้าไปซบกับหัวของพี่มัน แก้มของผมแนบไปกับเส้นผมนุ่มลื่นทำให้รู้สึกดี
“ผมไม่ทิ้งหรอก แต่ถ้าพี่ทำอะไรโดยไม่ปรึกษาหรือบอกผมก่อน ผมไปแน่” ผมบอกเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความจริงจังและมีอำนาจ
“ไม่ทำอีกแล้ว” พี่ลุกซ์พูดเสียงเบาติดกระเง้ากระงอดเล็กๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดู สงสัยจะยังไม่ตื่นดีแน่เลยถึงกล้าอ้อนผมแบบนี้
“นี่ ถ้าตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำสิครับ เดี๋ยวพาเดินเที่ยว” ผมบอกเมื่อเห็นว่าพี่ลุกซ์เงียบไปสักพักจนคิดว่าพี่มันอาจจะหลับไปอีกรอบก็ได้
“อืมมม” ปากก็บอกอืมแต่ดันกอดผมแน่นขึ้นโดยไม่คิดจะปล่อยซะงั้น ท่าทางจะละเมอจริงๆ
“นี่ ถ้าไปอาบน้ำตอนนี้ พอเสร็จจะจุ๊บสามทีเลย” พอผมพูดแบบนั้นพี่ลุกซ์ก็ตั้งหน้าตั้งตาลุกไปอาบน้ำทันที ผมมองตามแล้วหัวเราะลั่นอย่างขบขัน ผมว่าพี่ลุกซ์ละเมอว่ะ! ฮ่าๆๆ
หลังจากพี่ลุกซ์อาบน้ำเสร็จเราก็ไปหาอาหารเช้ากินกัน ทั้งๆ ที่ผมควรจะมีความสุขที่ได้กินข้าวเช้ากับแฟนหน้าตาดีแต่ผมดันอึดอัดอย่างรุนแรงเมื่อไอ้คุณชนะอะไรนั่นมานั่งร่วมโต๊ะเพื่อชวนผมคุย
“คุณเปอร์ทำงานที่ไหนเหรอครับ?” คุณชนะถามพลางตักขนมหวานเข้าปาก ก่อนหน้านี้เขากินข้าวเสร็จไปแล้ว พอเห็นผมกับพี่ลุกซ์มาเขาก็เลยสั่งของหวานมากินที่โต๊ะของพวกเรา
“ทำงานฝ่ายเครื่องยนต์ที่บริษัทพี่ลุกซ์น่ะครับ” ผมตอบส่งๆ พลางเหลือบตาไปมองหน้าพี่ลุกซ์นิดๆ พี่มันตีหน้านิ่งซะผมกลัวเลย
“ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ไม่มีสาวๆ มาติดพันเหรอครับ?” คุณชนะพูดยิ้มๆ แต่สายตานี่ดูไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย เขามองหน้าพี่ลุกซ์เหมือนกับอยากจะบอกว่าที่ได้คบกับผมคงเพราะหน้าตากับเงิน ส่วนพี่ลุกซ์ก็ทอดสายตามองคุณชนะนิ่งๆ ไม่กลัวและเกรงเลยแม้แต่น้อย
“เป็นธรรมดาครับ ใครๆ ก็อยากได้คนที่มีฐานะมั่นคงและดูดี ใครเขาจะอยากได้คนหน้าตาธรรมดา เงินทองไม่ค่อยจะมีล่ะครับ” พี่ลุกซ์จ้องหน้าคุณชนะพลางยิ้มที่มุมปากนิดๆ สายตาเย็นชาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย คำพูดก็จิกกัดและทับถมคุณชนะเหลือเกิน
“ต่อให้พี่ลุกซ์อ้วน หน้าบวม ตัวดำแถมยังจน ผมก็ไม่สนหรอกนะ รักเหมือนเดิม” ผมแกล้งพูดออกไปแบบนั้นเพื่อให้คุณชนะรู้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน จะได้ไสตูดตัวเองไปให้ไกลๆ จากพวกเราซักที
“เป็นไปได้เหรอครับแบบนั้น?” คุณชนะหันมาถามผมอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าสภาพพี่ลุกซ์เป็นอย่างที่ผมว่าเมื่อกี้ผมจะรักหรือเปล่า แต่ถ้าพี่มันมาอ้วน หน้าบวมและไม่มีตังค์ตอนที่ผมได้รักไปแล้วผมก็ยังจะรักต่อไป
“เป็นไปได้สิครับ เพราะเรารักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว โตขึ้นมาต่อให้หน้าตาเป็นยังไงก็รักเหมือนเดิมนั่นแหละครับ ก่อนหน้านี้หน้าตาผมแย่จะตาย พี่ลุกซ์ยังชอบเลย เนอะ” ผมก็พูดไปงั้นแหละ เห็นพี่มันเคยบอกว่ารักผมตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงไหม
“อืม” พี่ลุกซ์พยักหน้ารับพลางยกแขนขึ้นพาดพนักพิงเก้าอี้ของผม ทำเหมือนกอดไหล่แต่ก็ไม่ได้กอด
“ดูลึกซึ้งดีนะครับ” คุณชนะพูดพลางเบ้ปากเล็กน้อย
“ครับ มากๆ ด้วย” พูดพลางมองหน้าผมด้วยสายตาจริงจังจนผมเขินรีบหลบสายตา พี่ลุกซ์นี่ก็เลี่ยนไม่เบาเหมือนกันนะ
“แบบนี้ก็แทรกยากเลยสินะ” คุณชนะพูดยิ้มๆ ทำหน้าเหมือนไม่กังวลอะไรเลย เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ ทำไมไม่ยอมไปจากพวกเราซะที
“ครับ อะไรที่เป็นอุปสรรคผมมักจะทำลายให้สิ้นซาก ไม่ให้โผล่มาสร้างความวุ่นวายให้รำคาญแน่นอน ผมเป็นพวกขี้รำคาญน่ะครับ ตัวริ้นตัวไรที่มาเกาะไอ้เปอร์ผมจะไล่ไปให้หมด ถ้าไล่ยากนักก็จะกำจัดมันซะเลย” พี่ลุกซ์พูดขู่แต่ไอ้คุณชนะก็ยังทำหน้าเหมือนไม่รับไม่รู้อะไรทั้งนั้น ดื้อด้านจัง โดนขู่ขนาดนี้ยังไม่สะทกสะท้านอีก เขาคิดว่าพี่ลุกซ์ไม่กล้าจัดการเขาหรือไงนะ
“งั้นเหรอครับ?” คุณชนะทำหน้ายียวนจนหน้าพี่ลุกซ์แสดงอารมณ์ออกมาประมาณว่า กูโดดถีบไอ้เหี้ยนี่ตอนนี้ ตรงนี้เลยได้ไหม!? สีหน้าพี่มันดูหงิกเล็กน้อยแต่มือนี่กำเข้าหากันแน่นเลยทีเดียว ถ้าเป็นสมัยก่อนพี่ลุกซ์อาจจะจัดการคุณชนะไปซะตอนนี้เลยก็ได้แต่ตอนนี้พี่มันมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงกว่าเมื่อก่อนมาก
“พี่ลุกซ์ สั่งใส่กล่องไหม?” ผมกระซิบถาม กลัวอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นจะระเบิดจนคนแถวนี้ได้รับมลภาวะทางอารมณ์อันรุนแรงของพี่มันน่ะสิ
“ไม่ต้อง แค่นี้ไม่สะเทือน” พี่ลุกซ์ข่มตาดุแล้วยกยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ผมแทบจะหลุดขำกับคำพูดเมื่อครู่ ทำหน้าซะน่ากลัวแต่คำพูดฟังดูซนๆ ยังไงก็ไม่รู้
ระหว่างที่พี่ลุกซ์กำลังนั่งจ้องคุณชนะเขม็งอาหารก็มาเสิร์ฟ จังหวะนั้นคุณชนะก็สั่งของหวานมากินอีก ส่วนผมกับพี่ลุกซ์ก็กินข้าวกันไปโดยที่คอยตักให้กันตลอด พี่ลุกซ์ดูเอาใจผมเป็นพิเศษครับ ป้อนข้าวด้วยช้อนของตัวเองด้วย คงจะทำใส่คุณชนะล่ะมั้งครับ ส่วนผมก็ให้ความร่วมมือดีเพราะรำคาญหมอนี่มากเหมือนกัน
“เปอร์ ข้าวติดปาก” พี่ลุกซ์พูดขึ้นหลังจากกินไปได้สักพัก ผมขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นหวังจะลูบบริเวณปากของตัวเองแต่พี่ลุกซ์ก็รั้งไว้แล้วยื่นหน้ามาจูบที่มุมปากผมเฉยเลย ว่าแล้วเชียว ไม่เห็นรู้สึกว่ามีอะไรติดปากเลย ที่แท้ก็อยากจูบโชว์ น่าจะคำนึงถึงลูกค้าร้านอาหารคนอื่นๆ บ้างก็ดีนะ
“กรี๊ด! แก เขาจูบกันอ่ะเขาจูบกัน!” จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นแฟนกัน”
“น่ารักอ่า” แล้วก็ได้ยินเสียงหลายคนกรีดร้องอะไรประมาณนั้นด้วย คาดว่าน่าจะมาจากกลุ่มผู้หญิงวัยมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งที่มานั่งกินข้าวก่อนหน้าพวกเราสักพัก
บอกตรงๆ ครับ ผู้หญิงสมัยนี้แม่งน่ากลัว เหอๆ
“คุณนี่กล้าทำอะไรแบบไม่อายเลยนะครับ” คุณชนะพูดยิ้มๆ แต่น้ำเสียงนี่น่าหมั่นไส้ซะจริง
“ครับ ผมหน้าด้านเอาเรื่องเลยแหละ ถ้าไม่แสดงความเป็นเจ้าของเดี๋ยวจะมีคนไม่รู้สะเออะเข้ามายุ่ง จริงๆ ผมสงสารคนที่เข้ามาจีบหมอนี่มากกว่า ยังไงก็ไม่สมหวัง” พี่ลุกซ์พูดอย่างคนเหนือกว่า พูดเหมือนคนมั่นใจเสียเต็มประดาแต่ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ผมรักอยู่คนเดียวนี่นา
“มั่นใจจังเลยนะครับ” คุณชนะยักไหล่นิดๆ
“ผมทำให้เขามั่นใจเองแหละครับ คบกันมาก็เกือบ 6 ปี ไม่เคยเบื่อกันเลย เนอะ” ผมพูดพลางหันไปถามความเห็นจากพี่ลุกซ์
“ใครบอก? กูเบื่อจะตาย” พี่ลุกซ์มองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยแต่ผมกลับเคืองนิดๆ ที่ได้ยินแบบนั้น
“เบื่อนักใช่ไหม?” ผมกัดฟันพูด
“เบื่อที่ต้องคอยระงับอารมณ์เวลาอยู่กับมึงไง ไม่ยอมให้ทำซักที...”
“ไอ้พี่ลุกซ์ปากมอม! พูดอะไรออกมาไม่อายปาก” ผมรีบตีปากพี่มันทันทีที่รู้เหตุผล ไอ้เราก็นึกว่าเบื่อนิสัยเรา ที่ไหนได้เบื่อเพราะไม่ได้ทำ หื่นตลอดเลย
“แหม หวานกันแบบนี้ผมยังไม่อยู่เป็นก้างต่อแล้วล่ะครับ” คุณชนะพูดพลางลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาไม่ได้ดูสะทกสะท้านอะไรกับคำพูดของพี่ลุกซ์เลย
“รอคำนี้พอดีเลยครับ” พี่ลุกซ์ตอบกลับยิ้มๆ
“แล้วจะมาคุยด้วยอีกนะครับ” คุณชนะโบกมือแล้วเดินล้วงกระเป๋าจากไป ผมกับพี่ลุกซ์มองหน้ากันแล้วส่ายหน้าไปมาเบาๆ อย่างระอา นึกว่าจะสำนึกได้ว่าเป็นก้างของคนอื่นเขา ที่ไหนได้ ยังไม่สำนึกอีก
60% left
“กลับวันนี้เลยละกัน กูเบื่อหน้าไปเหี้ยนี่เต็มทน” พี่ลุกซ์พูดหลังจากคุณชนะเดินจากไปจนลับตา
“อยากเที่ยวเชียงใหม่ต่ออ่า” ผมบอก
“เอาไว้จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจะพามาเที่ยว จะได้เที่ยวอย่างสบายใจ” พี่ลุกซ์บอก แสดงว่าผมอดสินะ อะไรวะ รู้งี้ไปเที่ยวคนเดียวตั้งแต่แรกดีกว่า อุตส่าห์คิดไว้แล้วเชียวว่าจะได้ไปเที่ยวเลย เซ็งโคตร
“ประธานที่งานยุ่งอย่างพี่ลุกซ์จะมีเวลาพาผมมาเที่ยวเหรอ?” ผมที่หุบยิ้มไปแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“เดี๋ยวหาให้น่า” บอกปัดซะอย่างงั้นแน่ะ
“งั้นพี่กลับไปก่อนเลยละกัน ผมวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะไปเที่ยว” ผมบอกอย่างไม่แคร์ เดิมทีผมตั้งใจจะไปคนเดียวอยู่แล้วนี่หว่า ถ้าพี่ลุกซ์อยากกลับก็ให้กลับไปก่อนละกัน
“เปอร์ ทำไมมึงดื้อแบบนี้วะ?” พี่ลุกซ์เริ่มขึ้นเสียงจนผมชักจะไม่พอใจ
“ผมตั้งใจจะมาเที่ยวนะครับ แล้วจู่ๆ จะให้ผมกลับไปพร้อมพี่ได้ยังไง? ถ้าอยากกลับก็กลับคนเดียวสิ” ไม่แคร์ครับผม โตแล้ว ไปไหนคนเดียวได้สบายๆ แถมไม่ต้องมีใครคอยคุม สบายสุดๆ
“เฮ้อ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้วะ? กูตามใจมึงทุกเรื่องไม่ได้หรอกนะเปอร์” พี่ลุกซ์พูดด้วยสีหน้าเอือมระอาจนผมอารมณ์ขึ้นอีกรอบ
“ไม่ได้ให้ตามใจนะครับ ผมบอกว่าจะไปคนเดียวไม่ได้ตื๊อพี่ซักหน่อย อีกอย่าง ถ้าไม่อยากตามใจผมแล้วมาทำไม? เบื่อนักทำไมไม่หายไปเลยล่ะ จะมาให้เห็นหน้าทำไม?” ผมลุกขึ้นยืนแล้วกัดฟันพูดเสียงเบาทว่าน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“นั่งลงแล้วคุยกันดีๆ” พี่ลุกซ์ใช้สายตาข่มขู่ให้ผมทำตาม แต่สถานะในตอนนี้ผมไม่ได้เป็นรอง
“คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง ไปละ แล้วก็ไม่ต้องตามมาด้วย” ผมยักไหล่แล้วเดินเร็วๆ ออกมาจากร้านอาหารเพื่อตรงไปที่ห้องพัก ส่วนพี่ลุกซ์ก็รีบตามผมออกมาไม่ได้เพราะต้องจ่ายเงินค่าข้าวซะก่อน
“เปอร์! เปอร์!!” พี่ลุกซ์วิ่งเข้ามาดึงแขนผมไว้ขณะที่ผมกำลังเก็บของ ผมสะบัดแขนออกโดยไม่สนใจว่าพี่มันจะพยายามคว้าเอาไว้ “กูสัญญาว่าจะพามึงไปเที่ยวนะเปอร์ แต่ตอนนี้กลับไปด้วยกันก่อน ไปคุยกับพ่อแม่ของมึงเรื่องของเราก่อน” พี่ลุกซ์พูดติดตะคอกทำให้ผมชะงัก
“พ่อกับแม่ของผมทำไม?” ผมหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างเคืองๆ
“เขาไม่ยอมรับกูไงกูก็เลยต้องพามึงกลับไปให้เร็วที่สุด ถึงกลับไปแล้วจะไม่ได้เจอหน้าอีกกูก็ต้องกลับเพราะพ่อกับแม่ของมึงเป็นห่วงมึงมาก” พี่ลุกซ์พูดออกแล้วกำมือแน่นเมื่อพูดประโยคสุดท้าย อ่า...พอได้ยินแบบนั้นอารมณ์ผมก็เย็นลงแบบฉับพลันเลยล่ะครับ
“...”
“รับปากกับกูได้ไหมว่าต่อให้มึงไม่เห็นหน้ากู มึงก็จะไม่เปลี่ยนใจและจะไม่หนีกูไปไหนอีก” พี่ลุกซ์คว้ามือทั้งสองข้างของผมไปจับเอาไว้แล้วบีบเบาๆ
“...” ผมเงียบไปเพราะพูดอะไรไม่ออก รู้สึกจุกกับคำพูดของพี่มัน นี่คิดจะทิ้งผมไปอีกแล้วใช่ไหม พี่ลุกซ์ไม่สู้เอาซะเลย
“เปอร์ อย่าเงียบ” พี่ลุกซ์ขมวดคิ้ว
“ผมไม่รับปาก” ผมส่ายหน้าไปมาพลางดึงมือออก พี่ลุกซ์หน้าเสียไปอย่างเห็นได้ชัด “ผมจะไม่รับปากอะไรทั้งนั้น ถ้าพี่ทิ้งผมไป ผมก็จะไม่ไล่ตาม ไม่รอ และไม่คาดหวัง” ผมก้าวถอยหลังออกไปพลางส่ายหน้าช้าๆ ไปมาไม่หยุด แค่คำสั่งห้ามของพ่อผมก็ลุกซ์ก็ยอมทำตามโดยไม่คำนึงถึงใจของผมบ้างเลย ปกติก็เห็นดึงดัน อยากได้อะไรต้องได้ แต่พอเป็นเรื่องแบบนี้กลับยอมซะจนน่าหงุดหงิด ทำไมไม่พยายามดื้อดึงบ้าง อย่างผมที่ดื้ออยากจะให้พี่ลุกซ์ไม่รักอย่างไม่ถอดใจ สุดท้ายก็สมหวังจริงๆ ถ้าพี่ลุกซ์ยอมแพ้แบบนี้อย่าหวังเลยว่าพ่อผมจะยอม
“ขอร้องล่ะเปอร์ รอกูอีกนิด” พี่ลุกซ์มองผมอย่างขอร้อง ไม่กล้าขยับเข้ามาหาผม
“จะให้รออะไรอีก? รอให้พี่ไปสละตำแหน่งประธานแล้วมาขอผมจากพ่องั้นเหรอ? หรือรอให้พี่ไปมีเมียมีลูกเหมือนคราวก่อนอีกล่ะ?” ผมขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่มีความมั่นใจยังไงก็ไม่รู้
“จะพูดถึงเรื่องนั้นอีกทำไม กูไม่ได้มีเมียมีลูกจริงๆ ซักหน่อย จะให้กูทำยังไงมึงถึงจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้ซักที กูเจ็บเป็นเหมือนกันนะ”
“ทำไมพี่ไม่ลองสู้เพื่อผมบ้าง ทำเหมือนตอนที่ไปขอผมจากพ่อครั้งแรกไง หรือพี่กลัวพ่อจะต่อยอีก? กลัวเจ็บเหรอ? หรือกำลังกลัวอะไรอยู่?” ผมถามออกไปเสียงสั่นเครือ รู้สึกจุกที่คอเหมือนจะร้องไห้เลยล่ะ แต่ผมจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด
“ใช่ กูกลัว ไม่ได้กลัวเจ็บหรอก แต่กูกลัวทุกอย่างที่เกี่ยวกับมึง ตั้งแต่แรกกูก็ทำให้พ่อกับแม่มึงเสียใจจนแทบบ้า แล้วยังจะมาทำซ้ำอีก กูเข้าหน้าพ่อกับแม่มึงไม่ติดจริงๆ” พี่ลุกซ์ถอยหลังไปนั่งบนที่นอนแล้วยกมือกุมขมับ
“ขี้ขลาดที่สุด” ผมว่า
“ไม่ปฏิเสธหรอกว่ากูขี้ขลาด แต่กูขี้ขลาดเฉพาะเรื่องของมึงเท่านั้นแหละ”
“ถ้าพี่พาผมกลับไปที่บ้านแล้วพี่จะทำยังไงต่อ? หายไปงั้นเหรอ? ทิ้งผมไว้ข้างหลังงั้นเหรอ?” ผมถาม พี่ลุกซ์นิ่งไปนิดก่อนจะเงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน
“มึงจะอยู่ข้างๆ กูไหม?” พี่ลุกซ์ถามออกมา สีหน้าดูมีความหวัง
“มาถึงขั้นนี้แล้วนะครับ” ผมบอก ถ้าไม่ให้อยู่ข้างพี่ลุกซ์แล้วจะให้ไปอยู่ข้างใครล่ะ แฟนผมทั้งคนนี่นา
“ต่อให้พ่อมึงห้ามไม่ให้เจอกับกูอีกมึงก็ยังจะอยู่ข้างกูใช่ไหม?” พี่มันถามอีก
“ไม่หนีไปไหนหรอก” ผมเดินเข้าไปหาพี่ลุกซ์ทำให้พี่มันที่นั่งอยู่เอนตัวมาพิงพุงของผม
“งั้น...ถ้าพ่อมึงห้ามไม่ให้กูเจอกับมึงอีกกูก็จะพามึงหนี มึงจะยอมหนีไปกับกูไหมเปอร์?” พี่ลุกซ์จับมือของผมแล้วยกขึ้นไปหอมเบาๆ
“เคยบอกเอาไว้ตั้งนานแล้วนี่ว่าจะหนีไปด้วย” ผมยืนยัน พี่มันเคยชวนผมหนีตั้งนานแล้วล่ะครับ และผมก็รับปากไว้แล้วด้วย
“ดีจังเลยนะที่กูได้รักมึง” พี่ลุกซ์พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดีขึ้นพลางเล่นนิ้วผมเหมือนคนไม่มีอะไรทำ
“งั้นเก็บของกลับบ้านกันเถอะครับ” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะผละออกจากพี่ลุกซ์เพื่อไปเก็บของกลับบ้าน หลังจากนี้เราคงมีความสุขด้วยกันโดยไม่มีอุปสรรคแล้วล่ะ คิดว่าอย่างนั้นนะ
“อื้มมม จุ๊บ” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วขโมยหอมแก้มขณะที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว เพื่อกลบเกลื่อนความเขินผมจึงเผลอฟาดกบาลพี่ลุกซ์ไปอย่างไม่ยั้งมือทันที
เรานั่งเครื่องกลับแล้วตรงดิ่งไปที่บ้านของผมทันที ที่นั่นเราได้พบกับคนในครอบครัวของผมและพ่อแม่ของพี่ลุกซ์ นอกจากนั้นยังมีพี่ถังกับพี่เคย์นั่งอยู่ด้วย ผมกับพี่ลุกซ์ค่อนข้างแปลกใจมากที่ได้เห็นทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้
แม่ดึงผมไปนั่งข้างๆ โดยที่พี่ลุกซ์ทำท่าจะตามมาแต่ก็ต้องชะงักแล้วเดินไปนั่งกับพ่อแม่ของตัวเองแทน ผมหันไปมองพี่ลุกซ์ด้วยสายตาละห้อยเพราะอยากไปนั่งกับพี่มัน อย่างน้อยก็จะได้จับมือกันเวลาที่กังวล
“ทำไมถึงทำอะไรโดยไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน เจ็บตัวอยู่ไม่ใช่รึไง?” พ่อผมเปิดประเด็นโดยการดุผมเป็นอันดับแรก ผมก้มหน้ารับความผิดที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง
“มึงนี่มันบ้าจริงๆ” พี่ถังดุบ้าง ก็เข้าใจหรอกนะว่าเป็นห่วง แต่ไม่เห็นต้องทำหน้าดุขนาดนั้นเลยนี่หว่า
“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อย
แล้วทุกคนก็ต่างคนต่างเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมาซักพักใหญ่ๆ ซึ่งก่อให้เกิดบรรยากาศที่แสนจะอึดอัดจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
“มีอะไรจะพูดไหมลุกซ์?” คุณพ่อลิตถามขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัด แต่ก็ไม่นะว่าอาจจะสร้างบรรยากาศให้อึดอัดมากกว่าเดิมก็ได้
“ผมขอถือโอกาสนี้ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่ทำให้อึดอัดในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่ที่ผมกลับมาจากอเมริกาผมก็สร้างเรื่องเอาไว้มาก มากจนไม่รู้จะชดใช้ยังไง” พี่ลุกซ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทว่าจริงจัง ผมเงยหน้ามองพี่มันก่อนจะเม้มปากนิดๆ พี่ลุกซ์คงรู้สึกผิดจริงๆ แล้วสินะ ผมอยากให้พ่อกับแม่ผมเข้าใจจัง
“ไม่ต้องชดใช้อะไรทั้งนั้น” พ่อของผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเรียบ คำพูดและท่าทางของพ่อแสดงออกให้เห็นว่า ไม่ต้องชดใช้ ขอเพียงไม่ต้องมาให้เห็นอีกก็พอ นี่พ่อยังไม่คิดจะยอมรับอีกงั้นเหรอ?
“แกต้องรับสิ่งที่แกทำให้ได้นะลุกซ์ ลูกผู้ชาย กล้าทำก็ต้องกล้ารับผิดชอบ” พ่อลิตตบหลังพี่ลุกซ์เบาๆ
“ผมยอมรับผิดทุกอย่าง จะให้ผมทำอะไรก็ได้ แลกกับการที่ให้ผมคบกับไอ้เปอร์ต่อไป” พี่ลุกซ์ขยับลงจากโซฟามานั่งคุกเข่าข้างล่างแล้วมองพ่อกับแม่ของผมอย่างจริงจัง
“คิดว่าคนที่ขาดความไว้ใจในตัวของคนอื่นอย่างแกจะคบกับใครได้งั้นเหรอ? ใครจะยอมรับแกก็ช่าง แต่ฉันจะไม่ยอมรับแก” พ่อพูดแค่นั้นแล้วเดินหนีเล่นเอาผมใจเสีย
“แม่อยู่ข้างลูกนะ” แม่โอบเอวผมไว้แล้วเอนตัวมาพิง ผมหันไปมองแม่อย่างซึ้งใจแล้วกอดเอาไว้ แม่อ่อนโยนกับผมเสมอ ตามใจผมตลอดด้วย ทำไมพ่อไม่เข้าใจผมเหมือนแม่บ้างนะ
“ผมขอโทษนะครับ” พี่ลุกซ์คลานเข่ามากราบลงที่ตักของแม่ผมด้วยสีหน้าสำนึกผิด แม่ผละออกจากผมไปก่อนจะเม้มปากมองหน้าพี่ลุกซ์ พี่ลุกซ์นิ่งเงียบหน้าเสียไปเมื่อแม่ผมทำหน้าเหมือนโกรธ
“แม่โกรธลุกซ์มากนะที่ทำแบบนั้นลงไป ทุกครั้งที่แม่เห็นหน้าเปอร์ แม่นึกโกรธลุกซ์อยู่ตลอดว่าทำไมต้องทำให้หน้าของลูกแม่อมทุกข์เหมือนคนที่พร้อมจะล้มลงไปทุกครั้งแบบนี้ แม่ไม่คิดจะให้อภัยลุกซ์เลย...” หน้าพี่ลุกซ์เสียหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อแม่ผมพูดออกมาแบบนั้น “แต่เปอร์ให้อภัย แม่ก็ไม่รู้จะโกรธไปทำไมอีก” สีหน้าพี่ลุกซ์ดีขึ้นทันทีที่แม่พูดต่อ พี่ลุกซ์เงยหน้าขึ้นมองแม่กับผมด้วยสายตาดีใจพร้อมกับรอยยิ้ม
“หมายความว่าคุณแม่ให้อภัยผมใช่ไหมครับ?” พี่ลุกซ์ถามอย่างมีความหวัง
“แม่เป็นคนใจอ่อนเหมือนเปอร์นั่นแหละ” แม่ยิ้มนิดๆ ทำให้พี่ลุกซ์ยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วคว้ามือผมไปจับไว้อย่างดีใจ ผมเองก็ยิ้มบ้าง “แต่ก็ใช่ว่าแม่จะยอมรับทั้งหมดนะ ยังไงแม่ก็ยังไม่ยอมให้ลุกซ์เอาเปอร์ไปหรอก” แม่ดึงมือของผมออกจากการเกาะกุมของพี่ลุกซ์ไว้อย่างหวงแหนทำเอาคนอื่นๆ ยิ้มขำกับอาการแม่หวงลูก
“งั้นผมมาหาทุกวันได้ไหมครับ? มารับมาส่งทุกวันได้ไหม?” พี่ลุกซ์ถามออกไป
“ก็แล้วแต่นะ ถ้าไม่รังเกียจฝีมือทำอาหารของแม่ก็มาทานข้าวด้วยกันทุกวันก็ได้” แม่เชิดหน้าขึ้นนิดๆ พลางพูดอย่างมีมาด
พี่ลุกซ์มองหน้าผมอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดแม่ผมซะทุกคนตกใจ ไม่คิดว่าพี่ลุกซ์จะทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่พวกผมนะครับที่ตกใจ แม่ที่ถูกกอดนี่ตกใจจนกรีดร้องทำเอาพ่อรีบวิ่งมาดู พอเห็นว่าพี่ลุกซ์ทำอะไรพ่อก็แทบจะเข้ามากระโดดถีบขาคู่แต่ก็ทำไม่ได้จึงทำได้เพียงจับแยกแล้วจูงมือแม่หายไปเลย
“จบเรื่องซะทีนะ ต่อไปนี้ก็พยายามพิชิตใจพ่อตาให้ได้ล่ะลูก” พ่อลิตลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจนิดๆ แล้วพูดกับพี่ลุกซ์ที่กำลังย้ายตัวเองมานั่งข้างผม
“ขอบคุณนะครับพ่อ เพราะพ่อกับแม่มาช่วยพูดให้สินะครับพ่อแม่ของหมอนี่เลยยอมอ่อนลงให้ผมขนาดนี้” พี่ลุกซ์สอดแขนเข้ามาโอบเอวผมไว้แล้วพูดกับพ่อแม่ของตัวเองที่ลุกขึ้นยืนเตรียมกลับบ้าน
“ลูกชายไม่มีน้ำยาก็เลยต้องมาช่วยหาลูกสะใภ้ให้เองไง ทีหลังก็รวบหัวรวบหางแล้วลักพาตัวไปเลยดีกว่านะ ฮ่าๆๆ” พ่อลิตพูดพลางกอดไหล่แม่วิเดินออกจากบ้านพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“ผมก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่แล้วแหละน่า” พี่ลุกซ์ตะโกนไล่หลังพ่อแม่ของตัวเองก่อนจะหันมาหอมแก้มผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว
“ลุกซ์ กูอยากให้มึงจำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า ความไม่เชื่อใจจะเป็นสิ่งที่ทำให้มึงไม่มีโอกาสแก้ตัว อย่าคิดว่ามึงจะได้โอกาสอยู่ตลอด” พี่ถังกอดอกเก๊กหน้าขรึมพูดสั่งสอนพี่ลุกซ์
“รู้แล้วล่ะน่า ไม่พลาดอีกแล้ว” พูดไม่พูดเปล่า หยิกแก้มผมเล่นเฉยเลย สนุกไหมเนี่ย? บ้าจริง
“สอนไปก็เท่านั้นแหละ หมอนี่เคยเข็ดกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้” พี่เคย์พูดออกมาพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“ว่าแต่กูแหละมึง” พี่ลุกซ์ตอบกลับ
“กูไม่เคยทำอย่างมึงเหอะลุกซ์ กูออกจะนิสัยดีน่ารัก เป็นศรีสามีที่ดีไม่มีนอกใจ ฮึๆ” พี่เคย์กอดอกเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจในนิสัยของตัวเอง น่ารักตลอดเลยผู้ชายคนนี้
“คนกลัวเมียอย่างมึงอย่ามาอวดเหอะสัตว์” พี่ลุกซ์เบ้ปากใส่พี่เคย์เล็กน้อย เห็นเขาจิกกันแบบนี้แต่เขารักกันมากเลยล่ะครับ
“เดี๋ยวมึงก็กลัวเหอะ ตอนนี้เปอร์มันเป็นใหญ่แล้วเว้ย จะทำอะไรมึงไม่มีสิทธิ์ขัดแล้วนะ ฮึๆ จงสำนึกนิสัยของมึงด้วยการก้มหัวรองบาทเปอร์มันไปเถอะ” พี่เคย์พูดซึ่งนั่นก็โดนใจผมเต็มๆ ตอนนี้พี่ลุกซ์อยู่ในช่วงต้องเอาใจผมครับ ถ้าผมไม่พอใจเมื่อไหร่พี่ลุกซ์ได้ดิ้นแน่ ฮุๆ
“กล้าหือเหรอ?” ผมหันไปยักคิ้วท้าทายพี่ลุกซ์
“คิดว่ากล้าไหมล่ะ?” พี่ลุกซ์ทำตาดุแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ เหมือนจะจูบโชว์ผมจึงรีบผงะหนีแล้วยกมือขึ้นตะปบปากพี่มันเอาไว้ ชอบทำอะไรน่าอายต่อหน้าคนอื่นจริงๆ เลยหมอนี่
“พอๆ กูล่ะเบื่อคู่นี้จริงๆ” พี่ถังทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะลุกเดินหนีออกจากบ้านทำให้พี่เคย์รีบลุกตามไป ผมมองตามก่อนจะตะโกนขอบคุณมัน
“ขอบคุณนะถัง ขอบคุณนะครับพี่เคย์” ผมรู้หรอกว่าทั้งสองคนเป็นห่วง ถึงช่วงนี้พี่ถังมันจะเก๊กดุบ่อยๆ ก็เหอะนะ
“เดี๋ยววันนี้จะกลับก่อนแล้วพรุ่งนี้จะมาหานะ อย่าเพิ่งไปทำงาน เดี๋ยวค่อยไปตามเวลาที่ลาไว้ละกัน” พี่ลุกซ์บอกพลางขยับถอยออกห่างจากผมเล็กน้อยพร้อมกับปล่อยให้ผมได้นั่งสบายๆ
“อื้ม” ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนพอดี
“ไปละนะ” พี่ลุกซ์บอกพลางล้วงเอากุญแจรถออกมาถือไว้
“ครับ ขับรถดีๆ นะ” ผมยิ้มแล้วโบกมือนิดๆ เพื่อส่งแต่พี่มันกลับยืนนิ่งไม่ยอมไป “ไปสิ” ผมโบกมือไล่ จริงๆ แล้วผมก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าพี่มันรอให้ผมหอมลา
“มาสิ” พี่ลุกซ์อ้าแขนออกแล้วพยักหน้าเชิญชวน ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วลุกขึ้นไปกอดตัวหนาๆ นั่นอย่างเต็มรัก พี่ลุกซ์หอมกบาลผมเบาๆ แล้วผละออกไป
“กลับถึงบ้านแล้วโทรมาหาด้วยนะ” ผมบอกพลางโบกมือ พี่ลุกซ์พยักหน้ายิ้มๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
ฮ้า รู้สึกโล่งดีแฮะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องอึดอัดใจเพราะพ่อกับแม่ไม่รับรู้เรื่อง ถึงพ่อจะยังไม่ยอมรับแต่อย่างน้อยๆ ก็รับรู้และไม่ได้ต่อต้านมากมายอะไรซะด้วย ต่อไปนี้เวลาจะไปไหนด้วยกันก็ไม่ต้องเกรงใจใครแล้วล่ะนะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++ ไปสอบมาแหละะะะะ แทบตายแบ๊วววว ทุกวันนี้แทบไม่ได้นอนเบย ฮ่าๆๆ หลังจากนี้ไรต์ยังมีสอบอีกเรื่อยๆ แต่เว้นระยะไปซักหน่อยคงจะมีเวลามาอัพให้หายคิดถึงบ้างนิดนึง ไรต์อยากจะชี้แจงนิดนึงว่าทำไมไรต์ถึงไม่ค่อยมีเวลา 1 หลังจากนี้ไปไรต์จะมีการซ้อมกีฬาให้รุ่นน้องปีหนึ่งเพื่อไปแข่งเทอมหน้า(ซ้อมทั้งปีเลยคร้าบ) 2 ไรต์เรียนแลปอยู่สามตัวและรีพอร์ตของแต่ละแลปโหดมหาโหด ใช้เวลาทำค่อนข้างนานและเขียนเยอะเว่อร์(ส่งเลทไม่ได้ F จะมา) 3 จริงๆ ยังสอบมิดเทอมไม่เสร็จ มีสอบอีกเรื่อยๆ แต่เว้นระยะ อาจจะมาอัพได้ไม่ถี่นักเพราะต้องอ่านหนังสือเรื่อยๆ (วิชาที่สอบไปเน่าบรม) เข้าใจไรเตอร์โนะ โอเคค่ะ พรุ่งนี้ถ้าไข้ไม่ขึ้นอาจจะได้มาอัพอีกเน้อ ปล.หลังจากนี้จะอัพอัตภีร์ต่อนะต๊ะ รักทุกคนนนนน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ