[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2
เขียนโดย DPR_Fox
วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
30) Chapter 30 : หมดเวลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความลุกซ์เข้ามานั่งทำหน้านิ่งอยู่ตรงข้ามกับผู้กำกับโดยมีตินอยู่อยู่ข้างโต๊ะเพื่อคุยปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมกัน สองพ่อลูกต่างก็รู้ดีว่าตอนนี้ลุกซ์อยู่ในอารมณ์ไหน ถ้าไม่สงบสติอารมณ์ให้ได้ผู้ต้องหาอย่างจักรอาจจะตายได้
“ลุกซ์อยากจะทำอะไรกับผู้ต้องหา?” ผู้กำกับถามขึ้นอย่างใจเย็น
“ฆ่ามันด้วยมือผม” ลุกซ์พูดเสียงเย็น
“จะยอมรับโทษที่จะเกิดขึ้นไหมล่ะ? แล้วถ้าแฟนเราตื่นขึ้นมาพบว่าเราต้องติดคุกตลอดชีวิตหรืออาจจะมีโทษประหารเขาจะรู้สึกยังไง?” ผู้กำกับพยายามพูดเพื่อให้ลุกซ์ใจเย็นและคิดให้ดีกว่านี้
“ผมรู้! แต่ตอนนี้ผมโกรธมาก โกรธจนอยากจะฆ่าไอ้หมอนั่นให้ตายไปเลย ผมอยากทำให้มันทรมาน ให้เหมือนตายทั้งเป็น!” ลุกซ์กำมือแน่นอย่างโกรธแค้น ฟันคมกัดเข้าหากันจนเห็นสันกรามขึ้นเป็นริ้วๆ
“ตอนนี้เขาก็เหมือนตายทั้งเป็น เสพยาไปขนาดนั้น รู้สึกเขาจะเห็นภาพหลอนและโวยวายอยู่ตลอดจนตำรวจที่เข้าเวรไม่ได้นอนเลยนะ ลุงว่าลุกซ์ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายเถอะนะ ยังไงผู้ต้องหาก็ได้รับสิ่งที่เขาควรได้รับแน่นอน เชื่อลุงสิ” ผู้กำกับบอก ในกรณีของจักรในตอนนี้ทางตำรวจจะส่งจักรเข้าสถานบำบัดยาเสพติดแล้วค่อยนำมาขังต่อที่เรือนจำ โทษของจักรหนักมากพอสมควรและมีหลายกระทง ที่สำคัญ ชีวิตภายในเรือนจำต่อจากนี้ของจักรก็คงไม่ต่างอะไรจากตกนรกสักเท่าไหร่
“ฮึ่ย!” ลุกซ์ทุบกำปั้นลงไปบนโต๊ะทำงานของนายตำรวจอย่างเจ็บใจที่ถูกขัดขวางการระบายความแค้น ถึงจะรู้ว่าชีวิตของจักรหลังจากนี้จะดำดิ่งลงสู่ความมืดแต่ลุกซ์ก็ยังอยากจะทำลายชีวิตของจักรด้วยมือของเขาเองอยู่ดี
“ลุกซ์ เชื่อพ่อกูเถอะ สิ่งที่หมอนั่นจะได้รับต่อจากนี้มันเลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่มึงรู้สึกตอนนี้ซะอีก มึงคิดว่าแฟนมึงจะดีใจไหมที่มึงทำบาปลงไปเพื่อเขา? มึงจะกล้าเอามือเปื้อนเลือดของมึงไปจับมือเขาไหมลุกซ์?” ตินพูดเพื่อดึงสติของลุกซ์ให้กลับคืนมา ตินเข้าใจความรู้สึกของลุกซ์ดีและเห็นใจที่ต้องยืนมองคนรักนอนจมกองเลือดโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดเอาไว้ แต่ตินก็ไม่อยากให้ลุกซ์รู้สึกแย่ในภายหลังเพราะมันอาจจะทำให้ลุกซ์มีอดีตแย่ๆ ที่ไม่อาจลืมอีก
“อืม ผมรับปากก็ได้ว่าจะไม่ยุ่งอีก แต่ผมต้องไม่ได้เจอและไม่ได้รับรู้เรื่องของไอ้จักรอีก” ลุกซ์คลายมือที่กำเข้าหากันแน่นออกแล้วหันไปจ้องหน้าผู้กำกับอย่างไม่เกรงกลัว
“ได้สิ เขาจะไม่สามารถโผล่ออกไปให้ลุกซ์เห็นหน้าได้อีก” ผู้กำกับรับปากทำให้ลุกซ์ยอมพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเดินออกจากห้องทำงานไป แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะไหว้ขอบคุณ
ลุกซ์เดินออกจากโรงพักโดยไม่ลืมปรายตามองนายตำรวจที่จะเข้ามาชาร์จตัวเขาไว้ตั้งแต่ตอนแรกด้วยทำเอาคนเหล่านั้นสะดุ้งสะเทือนไปตามๆ กันเพราะตอนแรกพวกเขาไม่รู้ว่าลุกซ์เป็นคนรู้จักของเจ้านาย
ลุกซ์กลับมาพักผ่อนที่บ้านอย่างคิดไม่ตก สมองวุ่นวายคิดอะไรไม่ออกซักอย่างเพราะสิ่งที่เขาต้องคิดมีมากมายเหลือเกิน ทั้งเรื่องงาน คนรัก ครอบครัวของคนรักและอีกหลายๆ เรื่องที่อยู่รอบๆ ตัว
วูบหนึ่งของความคิดที่กำลังตีกันวุ่นอยู่ในหัวของลุกซ์ก็คือพาเปอร์หนี แต่พอนึกถึงหน้าของพ่อแม่ของเปอร์แล้วลุกซ์ก็ทำไม่ลง ทั้งสองท่านนั้นก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ จะให้ลุกซ์ทำร้ายจิตใจก็คงไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงลุกซ์ก็ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่โดยปราศจากเปอร์
“คนอย่างมึงมีแค่คนเดียวในโลกจริงๆ นะเปอร์” ลุกซ์พึมพำออกมาขณะนอนก่ายหน้าผากมองเพดานห้องตัวเองนิ่งๆ
เปอร์เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถควบคุมลุกซ์ได้ นอกจากนั้นยังมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันชนิดที่ว่าถ้าขาดเปอร์ไปลุกซ์คงไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมาทำอะไร เปอร์เป็นทุกๆ อย่างของลุกซ์ เป็นคนที่สามารถออกคำสั่งให้ลุกซ์ทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด แค่สีหน้าท่าทางของเปอร์แม้จะเล็กๆ น้อยๆ ลุกซ์ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเปอร์ต้องการอะไร ไม่รู้ว่าเปอร์รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองเหมือนเป็นศูนย์กลางภายในโลกของลุกซ์และเป็นเหมือนหัวใจที่ถ้าขาดไปก็เท่ากับตาย ลุกซ์อาจจะยังสามารถหายใจอยู่ต่อไปได้แต่ความรู้สึกคงตายด้านหากเปอร์ไม่อยู่ด้วย
วันต่อมาลุกซ์ก็ไปเยี่ยมเปอร์ตามเวลาที่ครอบครัวเปอร์ได้ตั้งเอาไว้ให้ เขานั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือซูบซีดเอาไว้ไม่ห่างและไม่ยอมให้ใครเข้ามารบกวนเวลาที่จะได้อยู่กับเปอร์สองคนแม้แต่คนเดียว ลุกซ์อยากจะกอบโกยเอาช่วงเวลาที่สามารถอยู่ด้วยกันเอาไว้ให้ได้มากที่สุดแม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวเลยก็ตาม
เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ลุกซ์รู้สึกได้ว่าเปอร์ยังอยู่กับเขาก็คืออกที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอแสดงถึงการหายใจเข้าออกของเปอร์ เดิมทีเปอร์ผอมอยู่แล้ว ยิ่งต้องมานอนป่วยอยู่แบบนี้ทำให้ยิ่งผอมเข้าไปใหญ่ ลุกซ์เป็นห่วงในจุดๆ นั้นมาก ไม่มีใครอยากจะให้คนรักของตัวเองมีสภาพเหมือนคนขาดสารอาหารแน่นอน ลุกซ์เองก็เหมือนกัน
“มึงได้กินข้าวบ้างไหมเนี่ย?” เคย์ถามขึ้นหลังจากลุกซ์ถูกไล่ให้ออกมาจากห้องพักของเปอร์แล้วมานั่งที่ร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาลกับพวกเพื่อนๆ
“กินไม่ลงว่ะ” ลุกซ์ใช้ช้อนคนกาแฟในแก้วของตัวเองไปมาโดยไม่ยกมันขึ้นมาดื่มเลยแม้แต่หยดเดียว
“มึงดูซูบลงมากเลยนะ ไม่เหมือนมึงเลยว่ะ ปกติต้องห่วงหล่อ กลัวผอม ต้องมีกล้ามตลอดไม่ใช่หรือไง?” กีร์แซวนิดๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นห่วงมากจนกังวล
“กูกินอะไรหรือทำอะไรไม่ได้จริงๆ ว่ะ เบื่ออาหาร ไม่อยากทำอะไร” ลุกซ์มองกาแฟที่หมุนวนอยู่ในถ้วยกาแฟด้วยสายตาเหม่อลอยจนเพื่อนๆ เครียดจัดเพราะไม่เคยเห็นลุกซ์เป็นแบบนี้มาก่อน
“มึงเป็นแบบนี้พวกกูไม่สบายใจนะเว้ย มึงจะป่วยเอานะ หรือว่ามึงป่วยไปแล้วก็เลยกลายเป็นแบบนี้” ภีร์ขมวดคิ้วถามพลางยื่นมือออกมาอังหน้าผากลุกซ์เอาไว้ก่อนจะดึงมือกลับ ตัวลุกซ์รุมๆ เหมือนคนกำลังจะไม่สบายซึ่งแน่นอนว่าลุกซ์ไม่รู้ตัว “ตัวรุมๆ นะ พักผ่อนหน่อยก็ดี” ภีร์ว่า
“มึงเครียดเรื่องเปอร์ กูรู้ พวกกูก็เครียดเหมือนกัน ยิ่งต้องมารู้ว่าถ้าเปอร์ฟื้นแล้วจะไม่ได้เห็นหน้ามึงกูยิ่งเครียดเพราะกูมั่นใจว่าเปอร์ต้องเจ็บปวด” เคย์ยกขาขึ้นไขว้ห้างก่อนจะประสานมือแล้ววางไว้บนหัวเข่า
“กูต้องทำยังไง? ต้องทิ้งทุกอย่างเลยไหม...?” ลุกซ์พูดออกมาเหมือนจะประชดตัวเองแต่แล้วก็ต้องนิ่งไปเพราะคำพูดเมื่อครู่ของตัวเอง เขาทำหน้าเหมือนคนคิดอะไรบางอย่างออกจนเพื่อนๆ ที่นิ่งไปพร้อมๆ กันรีบร้องโวยวาย
“อย่า...อย่าคิดจะทิ้งทุกอย่างนะลุกซ์ มันยังมีอีกหลายทางที่จะทำให้มึงกับเปอร์กลับมาหากันได้อีก” บัมพ์รีบโบกมือไปมาเพื่อไม่ให้ลุกซ์คิดอะไรโง่ๆ
“ใช่ๆ” พวกเพื่อนๆ รีบสนับสนุนคำพูดของบัมพ์
“ที่กูมีศัตรูรอบด้านก็เพราะธุรกิจและการวางตัว ถ้ากูกลายเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรเลยทั้งชื่อเสียงและเงินทองกูก็จะไม่มีศัตรูและใช้ชีวิตปกติกับไอ้เปอร์ได้” ลุกซ์เอนตัวพิงโซฟาอย่างมีความหวัง
“อย่าคิดแบบนั้นสิวะ ที่มึงต้องอยู่ในจุดๆ นี้ก็เพราะครอบครัวไม่ใช่หรือไง? ถ้ามึงลงจากตำแหน่งไอ้ลันก็ไม่สามารถมารับช่วงต่อได้อยู่ดี ตอนนี้อะไรๆ ก็ลงตัวอยู่แล้ว ถ้ามึงไม่อยู่แล้วใครจะเป็นประธาน?” เคย์กลับมานั่งด้วยท่าปกติไม่ไขว้ขาพลางพูดเสียงเครียด ถ้าลุกซ์ลงจากตำแหน่งจะมีคนเดือดร้อนมากมายและหนึ่งในนั้นก็คือถังนั่นเอง
“ถึงกูไม่มีเงินครอบครัวกูก็ไม่ได้ลำบาก กูจะยกหุ้นทั้งหมดของกูให้ไอ้ลัน ให้เวลามันไปเรียนอีกซักหน่อยคงขึ้นเป็นประธานได้” ลุกซ์พูด ตอนนี้เขาคิดอย่างจริงจังว่าจะลงจากตำแหน่งและออกไปใช้ชีวิตเรียบง่าย ถ้าทำแบบนั้นเขาเชื่อว่าพ่อกับแม่เปอร์อาจจะยอมรับได้เพราะท่านทั้งสองไม่ได้มองคนที่เงิน
“ไอ้ลุกซ์ มึงคิดดีๆ นะเว้ย คิดถึงผลเสียที่กำลังจะตามมาด้วย การที่ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดมันลำบากและเหนื่อยมากเลยนะ คิดถึงคนข้างหลังบ้างสิ” เคย์อ้างคนอื่นเพื่อที่จะให้ลุกซ์เกรงใจและคิดใหม่อีกที
“กูคงต้องใช้เวลานานหน่อยกว่าทุกอย่างลงตัว แต่กูจะลงจากตำแหน่งจริงๆ” ลุกซ์บอกอย่างมาดมั่น ชีวิตหลังจากนี้ลุกซ์อาจจะไม่มีเงินมาปรนเปรอชีวิตแต่เขาอาจจะมีความสุขมากกว่าเพราะจะได้อยู่กับคนที่รัก ปกติลุกซ์ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยมากมายอะไร จะให้อยู่อย่างสมถะลุกซ์ก็ไม่มีปัญหา
“มึงกลับไปทบทวนให้ดีๆ นะลุกซ์ ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม” กีร์ที่นั่งนิ่งคิดถึงสิ่งที่ลุกซ์กำลังจะทำพูดขึ้นมาเสียงเครียดก่อนจะลุกออกจากร้านกาแฟไป เพื่อนคนอื่นๆ มองหน้าลุกซ์แล้วลุกตามกีร์ออกไปบ้างจนเหลือเพียงลุกซ์คนเดียวที่อยู่ในร้าน
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเพื่อนๆ กำลังโกรธที่ลุกซ์คิดจะทำอะไรที่ไม่สมควรอยู่
“อ้าวไอ้พวกสัตว์ ให้กูจ่ายว่างั้นเถอะ? แดกซะเยอะเลย” ลุกซ์มองถ้วยกาแฟและจานขนมบนโต๊ะแล้วถอนหายใจเบาๆ
60% left
อ่า...ทำไมรู้สึกเหมือนหัวมันหนักๆ และเจ็บแปลบไปทั้งตัวแบบนี้นะ?
ปริบ...ปริบ
วุ้ย! ทำไมเปลือกตามันหนักแบบนี้ฟระ? แถมพอพยายามจะลืมตายังรู้สึกแสบชนิดที่ต้องรีบหลับตาเหมือนเดิมทันที
นี่ผมเป็นอะไรไปนะ? ทำไมร่างกายมันเจ็บไปทั่วแบบนี้ก็ไม่รู้ แถมยังอึดอัดไปหมด ที่หัวก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมันพันรอบไว้จนคันยิกๆ เลยทีเดียว ตรงท้องก็เจ็บบรรลัย เจ็บจนไม่กล้าขยับตัวเลย เมื่อกี้ลองกระดุกกระดิกนิดหน่อยเลยรู้ว่าเจ็บ แค่หายใจยังรู้สึกว่าเจ็บเลยนะเนี่ย
จะว่าไป ก่อนหน้านี้ผมถูกพี่จักรทำร้ายนี่หว่า มิน่าล่ะ ถูกทุบหัวก็เลยมีผ้าพันแผลที่หัวสินะ ส่วนที่เจ็บตรงท้องและหลังเพราะถูกแทงนี่เอง อ่า...นึกว่าตัวเองจะตายไปซะแล้ว นี่ผมยังไม่ตายสินะ ดีใจจัง รู้สึกโล่งใจแบบสุดๆ เลย
ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าทำไมผมถึงเจ็บตามร่างกายส่วนต่างๆ แต่ผมแปลกใจนิดหน่อยว่ามือผมเป็นอะไรหรือเปล่าเพราะผมรู้สึกหนึบๆ ที่มือเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยอะไรบางอย่าง
“ตอนไหนมึงจะกลับมาหากูฮะเปอร์? กูคิดถึงมึงนะ อยากได้ยินเสียง” เสียงทุ้มติดจะแหบนิดๆ ดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่มือของผมจะถูกอะไรบางอย่างแตะเบาๆ
คนที่พูดอยู่นี่คือพี่ลุกซ์สินะ มือของผมคงจะถูกพี่มันกุมไปแนบแก้มแน่เลย แถมเมื่อกี้คงจะจูบมือผมซะด้วย แฟนผมนี่น่ารักจัง ถึงจะมาช่วยผมไม่ทันแต่ก็คงพามาโรงพยาบาลทันสินะผมได้ฟื้นขึ้นมาแบบนี้ ดีจังที่ผมไม่ตาย คิดถึงพี่ลุกซ์จัง
“พี่...ลุ...ซ์” ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอยากลำบากพลางพยายามเปล่งเสียงเรียกพี่มันออกไป แต่อาจจะเป็นเพราะเสียงของผมมันกลืนหายไปก็เลยทำให้พี่ลุกซ์ไม่ได้ยิน
“กูรักมึงนะ” พี่ลุกซ์พูดพลางมุดหน้าลงมาบนมือของผม แหม...มาบอกรักกันแบบนี้ผมก็เขินนะโว้ย
“พะ...พี่...ลุ...” เสียงนี่ก็ไม่อำนวยความสะดวกเอาซะเลย ทำไมมันหายไปแบบนี้วะเนี่ย
“หืม?” จู่ๆ พี่ลุกซ์ก็ครางในลำคอก่อนจะผงกหัวขึ้นมามองหน้าผม มองซักพักก็เบิกตากว้างแล้วยิ้มออกมาอย่างดีใจ พี่มันเอื้อมมือไปหวังจะกดปุ่มเรียกพยาบาลแต่แล้วก็ชะงักแล้วยื่นหน้ามาหอมหน้าผากของผมเบาๆ “ตื่นแล้วเหรอ? หลับไปนานนะ หิวไหม?” พี่ลุกซ์พูดเสียงอ่อนโยนพลางบีบมือผมเบาๆ
“เสียงแหบ...” ผมส่ายหน้าว่าไม่หิวก่อนจะบอกออกไปแม้เสียงจะหายก็เถอะ
“อ้อ น้ำๆ รอแป๊บนะ” พี่ลุกซ์หัวรีหัวขวางก่อนจะปล่อยมือผมแล้วรีบไปเอาน้ำมาให้ดื่ม
“อืม...เจ็บจัง” ผมดื่มน้ำให้ชุ่มคอก่อนจะครางออกมาเบาๆ เพราะผมเผลอขยับตัวจนสะเทือนถึงแผล
“เมื่อกี้พยาบาลมาล้างแผลให้แล้วนะ อาการดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว” พี่ลุกซ์กลับมานั่งที่เดิมก่อนจะกุมมือผมไว้เหมือนเดิม
“ผมเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมถามพลางยิ้มนิดๆ พี่ลุกซ์ตอนนี้ดูนิ่งๆ นะครับแต่ผมก็ดูออกว่าพี่มันเป็นห่วงมาก เหมือนกับห่วงจนแทบบ้า พอเห็นว่าผมฟื้นเลยดูนิ่งผิดปกติ
“นี่...รู้ไหมว่าตอนนี้เลือดของเรารวมกันแล้วนะ เราเหมือนเป็นคนคนเดียวกันแล้ว กูรักมึงนะเปอร์” พี่ลุกซ์จับมือผมไปแนบแก้มตัวเองแล้วพูดออกมา ไม่รู้ว่าทำไมพี่มันถึงได้ทำหน้าเศร้าขนาดนั้น หรือยังเสียใจที่ผมบาดเจ็บอยู่กันนะ?
“บอกรักบ่อยไปแล้วนะครับ” ผมพูดไปยิ้มไป อยากจะหัวเราะนิดๆ แต่ก็กลัวเจ็บพุง
“กลัวไม่ได้บอกอีก...” พี่ลุกซ์หลบตาผมแล้วขมวดคิ้วนิดๆ แต่ริมฝีปากยกขึ้นเหมือนกำลังยิ้มจนผมสงสัย
“ไม่ได้ตายแล้วซักหน่อย ต่อไปนี้จะบอกตอนไหน เท่าไหร่ก็ได้นะ” ผมบอก พี่ลุกซ์นิ่งไปนิดก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ แล้วหอมมือผมเบาๆ
“อืม นั่นสินะ จะบอกจนเบื่อเลย”
“...” ผมยิ้ม ไม่พูดอะไรแต่ก็ดีใจมากๆ ที่พี่มันพูดแบบนี้
“ขอกอดหน่อยได้ไหม?” พี่ลุกซ์ขอ ผมเลิกคิ้วมองพี่มันงงๆ ใจเต้นตึกตักอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ว่าผมตื่นเต้นกับคำขอน่ารักๆ ของพี่มันหรืออะไร แต่ผมรู้สึกกลัวแบบแปลกๆ เอ๊ะ? หรือว่าผมกำลังฝันวะเนี่ย?
“ได้สิ แต่คงกอดไม่ถนัดนะ” ผมบอก
“อืม” พี่ลุกซ์ลุกขึ้นยืนก่อนจะโน้มตัวลงมากอดผมเบาๆ เพื่อไม่ให้สะเทือนถึงแผล สักพักหนึ่งพี่มันก็ผละออกไปและยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “มึงฟื้นแล้ว เดี๋ยวกูออกไปบอกครอบครัวมึงก่อนนะ” พี่ลุกซ์ถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะบอกยิ้มๆ
“ครับ” ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ พี่ลุกซ์ลูบหัวผมเบาๆ นิดหน่อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ดูอ่อนล้าไปแล้วจู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมา
“เวลาของกูหมดลงแล้ว ขอโทษนะเปอร์” ลุกซ์ปิดประตูห้องคนป่วยก่อนจะพิงผนังแล้วกุมขมับแน่นด้วยความรู้สึกทรมานอย่างแสนสาหัส
พ่อกับแม่ของผมเข้ามาในห้องพร้อมกับไอ้ป้องและพี่ถัง ผมยิ้มให้กับทุกคนเพื่อให้สบายใจว่าผมปลอดภัยดีแล้ว แต่ก็น่าแปลกนะครับ คนไปเรียกไม่ยักกะเข้ามาด้วย ทำไมกันนะ?
“พี่ลุกซ์ล่ะครับ?” ผมถามพลางชะเง้อคอมองหา
“เป็นไงบ้างลูก? เจ็บไหม?” แม่เข้ามาลูบหัวผมเบาๆ โดยที่ไม่มีใครตอบคำถามผมซักคน น้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อครู่ได้แห้งไปแล้วครับ ไม่รู้ทำไมมันถึงไหล แถมยังไหลแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง
“เจ็บครับแม่” ผมบอก จะบอกว่าไม่เจ็บก็ตอแหลแล้วล่ะครับ โดนขนาดนี้ไม่เจ็บคือโคตรจะถึกอ่ะ
คนอื่นๆ ถามไถ่อาการผมไปได้ซักพักก็ให้ผมพักผ่อน แต่เนื่องจากผมนอนมานานแล้วก็เลยได้แต่นอนดูทีวีรอพี่ลุกซ์ต่อไป แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนพี่ลุกซ์ก็ไม่มาหาผมอีกเลย
สองวันที่ผ่านมาผมเริ่มรู้สึกไม่ดีกับการหายตัวไปของพี่ลุกซ์แต่ผมก็ไม่ได้ถามใครเพราะผมไม่อยากรู้จากปากของใครนอกจากพี่ลุกซ์คนเดียว ผมรู้สึกอึดอัดกับการที่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพี่ลุกซ์ถึงไม่มาหา พยายามคิดนะครับว่าพี่มันอาจจะงานยุ่งแต่แค่เจียดเวลามาเยี่ยมแค่ไม่กี่นาทีก็ไม่ได้เลยหรือยังไง
ยิ่งคิดถึงเหตุผลต่างๆ นานาที่ทำให้พี่ลุกซ์ไม่มาหาผม ผมยิ่งเครียด จริงๆ แล้วพี่ลุกซ์ไม่ชอบโรงพยาบาลแต่ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่มาหา ที่บริษัทมียัยบิวตี้อยู่ซะด้วยสิ หวังว่ายัยนั่นคงไม่ได้มาอ่อยและล่อลวงพี่ลุกซ์ไปหรอกนะ
โอ๊ย ทำไมไงดี? ทั้งเครียดทั้งเจ็บแผลเลยโว้ย! โกรธพี่ลุกซ์ด้วยที่ไม่มาหา!
ความโกรธที่สะสมกันมาตั้งแต่สองวันแรกที่ไม่เจอหน้าเปลี่ยนเป็นความน้อยใจจนไม่อยากเจอและไม่อยากได้ยินเสียง ผมไม่รู้เหตุผลของพี่ลุกซ์หรอกว่าทำไมไม่มาเยี่ยมผมตั้งสองสัปดาห์ ผมอยากรู้เหตุผลจนตอนนี้ไม่อยากแล้วล่ะครับ ไม่อยากฟังอะไรด้วย
หลังจากที่อาการดีขึ้นผมก็รู้สึกอยากไปพักกายพักใจที่ไหนซักที่คนเดียว ที่ที่เงียบๆ ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีคนวุ่นวายและไม่มีเรื่องอะไรให้คิดมาก
วันนี้เป็นวันที่ผมจะออกจากโรงพยาบาล พ่อกับแม่จะมารับ หลังจากนี้ผมก็จะเก็บกระเป๋าตะลอนเที่ยวคนเดียวซักหน่อย แต่คิดว่าคงไม่บอกใครหรอกเพราะถ้าบอกว่าจะไปในสภาพแบบนี้ต้องไม่มีใครยอมให้ไปแน่นอน
“กลับบ้านพักผ่อนซักอาทิตย์แล้วค่อยไปทำงานก็ได้ ตาถังบอกมาน่ะ” แม่พูดหลังจากประคองผมขึ้นรถแล้ว จริงๆ ผมก็ไม่ได้เจ็บขนาดที่ต้องประคองแล้วล่ะครับ แม่ก็เว่อร์ไป ฮ่าๆ
“ครับแม่” ผมพยักหน้าเล็กน้อย ผมไม่อยากไปทำงานพอดี ถึงจะไม่ต้องไปเจอหน้าพี่ลุกซ์แล้วเพราะผมย้ายแผนกแต่อะไรที่เกี่ยวกับพี่ลุกซ์ผมก็ไม่อยากจะรับรู้ ที่พี่ลุกซ์อยากห่างเขาอาจจะมีเหตุผลซึ่งถ้าพี่มันต้องการผมก็จะไม่เข้าใกล้เหมือนกัน
กลับถึงบ้านปุ๊บแม่ก็จัดอาหารชุดใหญ่มาให้กิน กินเสร็จผมก็ขึ้นห้องทำเป็นเหมือนจะไปพักผ่อนแต่จริงๆ ไปเก็บเสื้อผ้า ของใช้และยาที่หมอให้มาใส่กระเป๋าเป้สะพายหลัง กะจะออกเดินทางตอนเช้ามืดโดยแท็กซี่แล้วขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่ต่อไปแม่ฮ่องสอนเพื่อไปปางอุ๋ง ก่อนหน้านี้ผมได้จองตั๋วเครื่องบินผ่านเว็บไปแล้วเรียบร้อย
เช้ามืด
ผมโทรเรียกแท็กซี่ให้มารับหน้าบ้านโดยไม่ลืมเขียนโน้ตไว้ให้คนที่บ้านรู้ด้วยว่าที่ผมหายไป ไม่ได้หายไปไหนแค่หนีเที่ยวนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง
ขึ้นเครื่องไปถึงเชียงใหม่ผมก็ต่อไปที่แม่ฮ่องสอนทันที ไว้ขากลับค่อยแวะเที่ยวเชียงใหม่ละกัน ถ้ามีเวลาน่ะนะ จุดประสงค์จริงๆ คือไปนอนเล่นที่ปางอุ๋งเท่านั้นแหละ คิดว่าที่เงียบๆ บรรยากาศดีๆ ไม่มีคนที่รู้จักคงจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้
จริงๆ แล้วผมก็แค่อยากหลบมุไปคิดทบทวนเรื่องของพี่ลุกซ์เท่านั้นแหละ
ผมเช่ามอเตอร์ไซค์แว้นไปที่ปางอุ๋ง ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เรื่องที่พักให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปนอนพักผ่อน เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไปเดินเล่น เดินทางมาเหนื่อยแถมยังมีเหงื่ออีก ต้องทำแผลใหม่ด้วย เฮ่อ แต่แค่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ผมก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ
ฝ่ายลุกซ์ก็กำลังโหมทำงานหนักเพื่อที่จะเตรียมตัววางมือจากวงการธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบเพราะตั้งใจจะไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ อยู่ที่เกาะ ทำงานเงียบๆ อยู่ที่รีสอร์ทและโรงแรมของแม่ แต่การที่ลุกซ์คิดจะวางมือนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหลายฝ่ายก็คัดค้านสุดชีวิต ลันก็ทำท่าจะไม่รับช่วงต่อ ส่วนถังก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ลุกซ์ไป ทั้งยัดงานให้ทำ ส่งโปรเจ็คใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เวลาในการทำให้ลุกซ์ดูแลหรือแม้กระทั่งรวมคนมาประท้วงเงียบเพื่อไม่ให้ลุกซ์ออกไปไหน แม้จะมาทำงานได้ยังไม่ถึงปีแต่กำไรที่คาดไว้ในปีนี้ก็สูงกว่าปีที่แล้วมากพอสมควร หลายคนจึงไม่อยากให้ลุกซ์วางมือ
แม้ส่วนมากจะไม่ยอมเรื่องที่ลุกซ์จะลงจากตำแหน่งแต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจในการทำงานของลุกซ์เนื่องจากลุกซ์วางมาตรการกำจัดคอรัปชั่นออกให้หมดจนคนที่โกงอยู่ตลอดไม่ชอบใจและสนับสนุนเรื่องที่จะไม่มีลุกซ์เป็นผู้บริหาร
ยังไม่ทันได้พักได้ผ่อนแม้จะถึงเวลาพักเที่ยง งานก็เข้าลุกซ์อีกจนได้เมื่อพ่อของเปอร์กับป้องบุกมาถึงบริษัทเพราะเปอร์หายตัวไป แม้จะเห็นข้อความที่เปอร์เขียนทิ้งเอาไว้ว่าจะไปพักผ่อนคนเดียวแต่ก็ไม่มีใครเชื่อเพราะตลอดเวลาที่เปอร์อยู่โรงพยาบาล เปอร์ไม่ได้ถามถึงลุกซ์ทำให้คนอื่นๆ คิดว่าทั้งคู่คงแอบติดต่อกันอยู่ก็เลยไม่มีอะไรต้องห่วง พอออกจากโรงพยาบาลเปอร์ก็เลยตั้งใจจะหนีมาหาลุกซ์ แม้ความจริงจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดอื่นๆ คิดก็ตาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ทำไมมาหาผมถึงที่นี่?” ลุกซ์ถามขึ้นหลังจากที่ถูกบุกเข้ามาถึงห้องทำงานโดยที่ใครห้ามอะไรไม่ได้
“เปอร์อยู่ไหน!?!” ปราชญ์ตะคอกถามพลางทำท่าจะเข้าไปกระชากคอเสื้อลุกซ์อย่างเอาเรื่องแต่ป้องดึงเอาไว้ก่อนเพราะกลัวปราชญ์ฝืนร่างกายเกินไป ตอนนี้ปราชญ์ก็อายุมากแล้วป้องเลยไม่อยากให้เสียแรงโดยไม่จำเป็น
“อยู่ไหนงั้นเหรอครับ?” ลุกซ์ขมวดคิ้วทวนคำถามอย่างสงสัย แค่ได้ยินคำถามลุกซ์ก็กระวนกระวายเสียแล้ว ถ้าเปอร์ไม่ได้อยู่กับครอบครัวแล้วเปอร์ไปไหนกัน!?
“อย่ามาไขสือ! คุณเอาพี่เปอร์ไปไว้ที่ไหน!?! ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร!?!” ป้องตะคอก เสียงที่กำลังแตกหนุ่มแหบปร่าและติดขัดเล็กน้อย
“เดี๋ยวๆ ผมไม่เข้าใจ เปอร์ไม่ได้อยู่กับผม ตั้งแต่ที่เปอร์ฟื้น ผมก็ไม่ได้ไปให้เห็นหน้าหรือติดต่อไปเลยด้วยซ้ำ” ลุกซ์ยกมือขึ้นเพื่อเบรกไม่ให้ปราชญ์กับป้องโวยวายไปมากกว่านี้เพราะเขาเองก็กำลังสับสนเหมือนกัน
ปราชญ์นิ่งไปเมื่อได้ยินลุกซ์พูดอย่างนั้น เดิมทีปราชญ์ก็พอจะรู้นิสัยลุกซ์อยู่ว่าเขาเป็นคนจริง คงไม่แสดงละครตบตาเพื่อที่จะพาลูกชายเขาหนีไปแน่นอน ทำอะไรผิดลุกซ์ก็มักจะยอมรับอย่างลูกผู้ชาย ไม่โกหกและเชื่อฟังคำสั่งสอนของปราชญ์เสมอ แม้ว่าหลายครั้งลุกซ์จะเผลอทำให้เปอร์เสียใจจนปราชญ์รับไม่ได้ก็ตามที
“...”
“นี่มันหมายความว่ายังไงเหรอครับ? ไอ้เปอร์หายไปงั้นเหรอ? หายไปไหน?!” ลุกซ์มองหน้าปราชญ์กับป้องที่ก้มหน้าขมวดคิ้วแน่นอย่างต้องการคำตอบ ตอนนี้ลุกซ์เป็นห่วงเปอร์จนดูลนลานไปซะหมด
“เมื่อเช้าเปอร์ออกจากบ้าน ทิ้งโน้ตไว้แค่จะไปเที่ยวพักผ่อน ติดต่ออะไรไม่ได้เลย” ปราชญ์กำมือแน่นก่อนจะพูดออกไป ตอนนี้ไม่ว่าใครก็เป็นห่วงเปอร์กันทั้งนั้นแม้เจ้าตัวจะบอกไว้ในโน้ตว่าไม่ต้องห่วงก็ตาม
ลุกซ์เม้มปากนิดๆ ก่อนจะรีบเดินพรวดพราดออกจากห้องทำงานไปสั่งงานกับพลอยที่เป็นเลขาชั่วคราวเอาไว้แล้วรีบรุดไปที่โรงจอดรถทันที ปราชญ์กับป้องมองหน้ากันอย่างสงสัยแล้วรีบตามลุกซ์ไปเพื่อถามว่าเขาจะทำอะไรกันแน่
“คุณคิดจะทำอะไร!?!” ป้องตะคอกถามพลางรีบสาวเท้าเดินให้ทันคนตัวสูงและขายาวอย่างลุกซ์
“จะไปตามไอ้เปอร์น่ะสิถามได้!” ลุกซ์ตะคอกกลับแล้วกดเปิดประตูรถ
“แล้วรู้เหรอว่าจะต้องไปตามที่ไหน?” ปราชญ์ถามบ้างทำให้ลุกซ์ที่กำลังจะผลุบเข้ารถชะงัก เขาหันมามองปราชญ์ด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่ว่าที่ไหนผมก็จะหาให้เจอ ผมจะไปทุกที่ที่คิดว่ามันจะไป” ลุกซ์ตอบแค่นั้นแล้วรีบออกรถเพื่อกลับไปเตรียมของสำหรับการออกตามหาเปอร์ที่บ้านทันที
ปราชญ์ยืนมองตามรถหรูไปอย่างมีความหวัง ถึงจะไม่อยากให้ลุกซ์เป็นคนไปตามหาเปอร์แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลุกซ์เป็นคนที่รู้ใจเปอร์มากที่สุด ขอแค่ตอนนี้รู้ข่าวของเปอร์ปราชญ์ก็ยอมทุกอย่าง หลังจากเปอร์กลับมาค่อยว่ากันต่อไป
ช่วงนี้ยุ่งเหลือเกินค้าบ
การบ้านเอย ซ้อมกีฬาให้น้องปี1 เอย ไปซื้อของเข้ากีฬาของตัวเองเอย
โอ้ยยยยยย แทบไม่ได้นอนเบย ก็เลยมาอัพช้าประจำ
ซอด้วงเจรงๆ นะฮ้าบบบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ