[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  236.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) Chapter 27 : คนที่น่าสงสาร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 27 : คนที่น่าสงสาร
 
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอน 6 โมงเช้า  พี่ลุกซ์ยังไม่ตื่นผมก็เลยแอบออกจากห้องนอนไปเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้ารอ  เมื่อวานพี่ลุกซ์ดูแลผมอย่างดีเพราะฉะนั้นเช้านี้ผมต้องดูแลพี่มันอย่างดีบ้าง
อึ๋ย! ทำตัวอย่างกับเมียเลยแฮะ
ผมสะบัดหัวนิดๆ ก่อนจะไปเปิดตู้เย็นดูว่ามีอะไรเหลือให้ทำอาหารได้บ้าง  มีหมู กับปลามึกแฮะ  ถ้างั้นทำข้าวต้มหมูกับปลาหมึกทอดกระเทียมละกัน  หวังว่าพี่ลุกซ์คงจะมีความสุขที่ได้กินนะ
ผมทำอาหารไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ เพราะมือของผมมันใช้การได้ไม่ดีนัก  พอเข้ามาอยู่แบบนี้แล้วนึกถึงตอนที่ผมได้แผลที่มือมาเลยแฮะ  ทั้งๆ ที่เป็นแค่แผลเป็นแท้ๆ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี  กำอะไรแน่นๆ ไม่ได้  ถ้ามีคนอื่นมากำแน่นๆ ผมก็จะรู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกัน  แต่ก็นะ มันผ่านไปแล้ว  ตอนนั้นพี่ลุกซ์ไม่ได้รักผมก็เลยไม่สนใจว่าผมจะเจ็บแค่ไหน  แต่ตอนนี้เรารักกัน  พี่ลุกซ์เองก็รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้
ผมเคยพูดเอาไว้ว่าต่อจากนี้จะไม่เข้าครัวอีก แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าเพราะอยากจะทำอาหารให้พี่ลุกซ์  ที่สำคัญ พี่ลุกซ์เยียวยาความรู้สึกและบาดแผลของผมด้วยการมาช่วยผมทำอาหารและคอยหยิบจับนั่นนี่ให้ผมอยู่ตลอดจนผมสามารถเข้าครัวด้วยตัวเองได้
“หืมมม หอมอะไรเนี่ย?” เสียงทุ้มๆ ดังมาจากห้องนั่งเล่นก่อนจะปรากฏร่างของพี่ลุกซ์ที่ประตูครัว  ผมหันไปยิ้มให้แล้วหันกลับมาทอดปลาหมึกต่อ
“ข้าวต้มหมูกับปลาหมึกทอดกระเทียมครับ  พี่ลุกซ์ไปรอที่โซฟาเลยก็ได้  นี่ก็จะเสร็จแล้ว” ผมบอกพลางกดปุ่มปิดเตาไฟฟ้า
“อื้มม อยากกินเมียเป็นอาหารเช้า” พี่ลุกซ์เดินเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลังพลางซุกจมูกมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“โวะ เมียเมออะไร? เมาขี้ตาหรือเปล่าเนี่ย? ไปล้างหน้าก่อนไป” ผมดันหน้าพี่ลุกซ์ออกแล้วลูบหน้าพี่มันเบาๆ พลางดันอกพี่มันให้ออกไปห่างๆ
“รอเมียไปล้างให้” ผมว่าพี่ลุกซ์ต้องละเมอแน่เลย  พูดเสียงยานคางมาตั้งแต่เมื่อกี้ละ  แถมคำพูดยังดูเลี่ยนแปลกๆ
“โอเค เดี๋ยวไปล้างให้นะครับ  ป่ะ” ผมบอกพลางจูงมือพี่ลุกซ์เข้าไปในห้องน้ำ  จับพี่มันให้นอนในอ่างเปล่าแล้วเตรียมอุปกรณ์ล้างหน้ามาวางไว้ข้างๆ  ผมหันไปล้างมือแล้วหันกลับมาจัดการหนวดเคราที่เริ่มขึ้นมานิดๆ ออกให้พี่ลุกซ์ก่อนจะล้างหน้าให้อย่างสะอาด  หน้าพี่ลุกซ์หลังล้างดูดีมากเลยครับ  ใสกิ๊งเลย
“มึงไปอาบน้ำก่อนก็ได้  เดี๋ยวกูไปตักอาหารไว้” พี่ลุกซ์บอกพลางลุกออกจากอ่าง
“เอางั้นก็ได้ครับ” ผมบอกเพราะรู้สึกเหนียวตัวนิดๆ
“อื้ม” พี่ลุกซ์พยักหน้าก่อนจะขยับเข้ามาจุ๊บปากผมเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในครัว  ผมมองตามยิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ  พี่ลุกซ์น่ารักอ่ะ
 
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็มานั่งรอพี่ลุกซ์อาบบ้างและขณะที่รออยู่ ร้านซักรีดก็เอาเสื้อผ้าผมมาส่งให้ผมจึงไปแต่งตัว  พอต่างคนต่างเสร็จภารกิจเราก็มานั่งทานข้าวเช้าที่ผมเป็นคนทำและพี่ลุกซ์เป็นคนจัดเอาไว้ด้วยกัน
“เย็นนี้ไปคุยกับพ่อแม่มึงไหม?” พี่ลุกซ์ถามขณะกำลังทานข้าวกันอยู่
“ผมว่า...ไปบ้านพี่ก่อนดีไหม?  ให้เวลาพ่อผมก่อนดีกว่า  ไปบอกตอนนี้มีหวังอาละวาดแน่” ผมบอกเสียงอ่อน  ไปบอกพ่อผมวันนี้ไม่ดีแน่  ผมต้องลองไปคุยกับพ่อดูก่อนค่อยพาตัวจริงไป  ไม่งั้นพี่ลุกซ์ต้องหน้าเละไปทำงานชัวร์ป้าบ
“อืม เอางั้นก็ได้  วันนี้น้องปิงยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย  น้องปิงคงดีใจถ้าได้เจอกับคุณแม่...”
“แฮ่ม! พ่อครับ ไม่ใช่แม่” ผมกระแอมดักไว้ก่อนที่พี่ลุกซ์จะพูดจบเสียด้วยซ้ำ “ไปสอนเด็กแบบนั้นเดี๋ยวก็เชื่อจริงๆ หรอก” ผมส่ายหน้าไปมานิดๆ
“ก็น้องปิงอยากได้แม่อีกคนนี่หว่า ก็เลยหามาให้” พี่ลุกซ์ยกยิ้มนิดๆ ที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่ต้องให้น้องเรียกผมแบบนั้นเลย  เรียกน้าหรืออาเหมือนเดิมก็ได้” ผมบอก
“ไม่ได้ๆ น้องปิงเรียกกูว่าป่าป๊าเพราะงั้นมึงก็ต้องเป็นพ่อเหมือนกัน” พี่ลุกซ์บอก  หมอนี่หัวแข็งยังไงก็ยังหัวแข็งอย่างงั้นเนอะ  เอาเถอะ  อย่างน้อยให้เรียกว่าพ่อก็ยังดีกว่าแม่  ยังเป็นเพศผู้อยู่เหมือนเดิมก็พอละ
“ครับๆ  แต่วันนี้ค้างด้วยไม่ได้แล้วนะ” ผมบอกไว้ก่อนเพราะกลัวแพ้ลูกตื๊ออีก
“อืม เดี๋ยวแอบปีนขึ้นบ้านละกัน” ให้ทายว่าผมเขินไหม? ทั้งขำทั้งเขิน  อย่างพี่ลุกซ์เนี่ยนะจะปีนขึ้นบ้าน? ถ้าเป็นพี่ลุกซ์ในแบบปกติคงไม่ปีนแต่บุกไปเลยซะมากกว่า  เดี๋ยวนี้เสี่ยวมากจนผมแทบจะทนเลี่ยนไม่ไหว  อยากได้คนเดิมอ่ะ  ไม่ต้องเอาใจแล้วก็ได้  แบบนี้หัวใจจะวาย  กลับไปฮาร์ดคอกอไก่เหมือนเดิมดีกว่า
“พี่ลุกซ์ นี่ฝืนเอาใจผมหรือเปล่า? ถ้าฝืนไม่ต้องก็ได้นะ  เป็นแบบเดิมแหละดีแล้ว  พี่มาพูดจาเลี่ยนๆ เสี่ยวๆ แบบนี้ผมไม่ชิน” ผมบอกไปขำไปทำเอาพี่ลุกซ์นิ่งไปเลย
“ก็มึงบอกว่าความรู้สึกของมึงไม่เหมือนเดิม  จริงๆ กูก็ไม่เหมือนหรอกนะ  กูรู้สึกผิด อยากจะทดแทนช่วงเวลาที่หายไป  กูไม่อยากทำตัวเหมือนเดิมจนมึงเสียใจ เข้าใจใช่ไหม?” พี่ลุกซ์พูดอย่างจริงจังพลางช้อนตามองผม  โอย ตาย! กูจะตายเพราะสายตาแบบนี้แหละ  คำพูดเลี่ยนๆ ยังแพ้เลยบอกตรง
“เข้าใจสิครับ  แต่แบบ...มันจั๊กจี้ยังไงก็ไม่รู้” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะทำท่าเหมือนคนถูกจั๊กจี้
“เอาเถอะ  ช่วงนี้มันยังใหม่ๆ อยู่  เดี๋ยวกูก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิมมั้ง ฮึๆ” พี่ลุกซ์บอกพลางหัวเราะเย็นๆ จนผมรู้สึกหนาวขึ้นมาซะดื้อๆ
“กลับไปเหมือนเดิมน่ะได้ แต่นิสัยที่มีอะไรแล้วไม่บอกน่ะ ถ้าแก้ไม่หายล่ะก็ ผมจะหายไปเอง” ผมขู่  แต่ก็พูดจริงๆ นะครับ  ถ้าพี่ลุกซ์มีอะไรแล้วไม่บอกผมเหมือนเมื่อก่อนล่ะก็ ผมจะหายไปแบบไม่ให้ใครตามตัวได้เลยซักคนเดียว  มันเหนื่อยใจที่ต้องอยู่แบบอึดอัดนี่ครับ  บอกไว้ก่อนว่าผมเอาจริง  ที่ผมยอมขนาดนี้ก็ถือว่ามากพอสำหรับคนที่ทำผิดซ้ำๆ อย่างพี่ลุกซ์แล้วล่ะ  ต่อให้รักแค่ไหนถ้าไม่ไว้ใจไม่เชื่อใจก็คงไปกันไม่รอด
“คิดว่าจะหนีกูพ้นหรือไงเปอร์?” พี่ลุกซ์ถามอย่างมั่นใจ
“เดี๋ยวก็รู้” ผมว่า
“ไม่หรอก  ไม่มีวันที่มึงจะหนีกูไปแล้วเปอร์  มึงเข้ามาวุ่นวายในชีวิตกูขนาดนี้ ถ้าคิดจะหนีก็ใจร้ายเกินไปแล้ว”
“ถ้าไม่ใจร้ายมาก่อนก็ไม่ใจร้ายกลับหรอกครับ  หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง” ผมยักคิ้วอย่างท้าทาย
“เหรอ? งั้นถ้ามีคนทำปากยื่นมาก็ต้องยื่นปากไปหาใช่ไหม?” พี่ลุกซ์ถามกลับด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ทำให้ผมรีบเม้มปากทันทีแม้ว่าเมื่อกี้ผมจะไม่ได้ทำปากยื่นก็ตาม  แต่ผมเป็นพวกติดนิสัยชอบทำปากยื่นนี่หว่า
“เพ้อเจ้อแล้วพี่ลุกซ์  รีบกินข้าวไปเลย  เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก” ผมรีบตัดบทก่อนจะถูกลวนลามทางสายตาไปมากกว่านี้  เฮ่อ อันตรายต่อหัวใจชะมัด  ถ้าใจผมเต้นผิดจังหวะจนระบบภายในมันรวนแล้วผมตายไปละก็ ไม่ต้องหาตัวฆาตกรให้ยากเลย
 
พอมาถึงที่ทำงาน ผมก็ต้องรีบไปประสานงานกับฝ่ายบุคคลเพื่อให้ทางนั้นจัดหาเลขาคนใหม่มาให้พี่ลุกซ์  แน่นอนว่าคุณสมบัติของเลขาผมต้องเป็นคนกำหนดและสัมภาษณ์งานด้วยตัวเองเพราะพี่ลุกซ์สั่งมาเองว่าให้ผมเป็นคนจัดการ  แต่จริงๆ ถ้าไม่ได้สเป็กตามที่ต้องการผมก็ยอมให้ผู้หญิงมาทำงานก็ได้นะครับ  จริงๆ ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นแต่ก็พูดเผื่อไว้ว่าถ้าได้ผู้ชายที่มีลูกมีเมียแล้วมาทำงานก็น่าจะดีกว่า
ประกาศรับสมัครได้ไม่ถึงวันก็มีคนเข้าสมัครถึงสองคน มีผู้หญิงและผู้ชายผมจึงเรียกดูประวัติก่อนจะเรียกมาสัมภาษณ์เลย
คนแรกที่ผมให้มาสัมภาษณ์เป็นผู้หญิงวัยกลางคน  จากประวัติ เธอมีลูกและสามีแล้วแถมยังเคยทำงานที่บริษัทใหญ่ๆ มาแล้วถึงสองครั้งแต่ดูเหมือนบริษัทที่ว่าจะล้มละลายไปช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเธอจึงตกงานมาจนถึงทุกวันนี้  อ่า...น่าสงสารนะครับแต่ผมก็ต้องดูไว้หลายๆ คนเผื่อเลือกด้วย ผมจึงบอกเธอไปว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป  จริงๆ คนนี้ก็น่าสนใจดี
หลังจากผู้หญิงคนนั้นกลับไปผมก็เรียกอีกคนเข้ามา  จากประวัติเขาเป็นผู้ชายวัย 36 แต่ยังไม่แต่งงาน  รูปที่แนบมามันคุ้นหูคุ้นตาผมยังไงก็ไม่รู้  แถมชื่อยัง...
...จักริน...
หน้าก็เหมือน ชื่อก็เหมือน  อายุก็ประมาณกัน  ที่สำคัญ...ทำงานบริษัทท่องเที่ยวมาก่อน
 
“สวัสดีครับ” ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นเปิดประตูเข้ามาเขาก็ทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ผมโดยที่เขายังไม่ทันได้มองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ  อ่า...ตอนนี้ผมมาสัมภาษณ์โดยยืมห้องของฝ่ายบุคคลมาครับ
“พี่จักร...” ผมขมวดคิ้วแล้วมองหน้าพี่จักรด้วยสายตางุนงง  ตอนที่พี่จักรเงยหน้ามองผมพี่มันก็ดูตกอกตกใจไม่น้อยเลย
“เปอร์!?!” พี่จักรทำหน้าแปลกใจนิดๆ ที่เห็นผม
“เกิดอะไรขึ้นครับ? ทำไมพี่จักรถึงได้มาสมัครงานที่นี่? พี่ทำบริษัททัวร์อยู่ไม่ใช่เหรอ?” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปหาพี่จักร
“อ่า...ล้มละลายไปแล้วล่ะ  มรสุมชีวิตน่ะ  พี่ตกงาน ลูกน้องในบริษัทก็กระจายกันไป  นี่ก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลด้วย” พี่จักรพูดพลางยกมือขึ้นแตะที่มุมปากของตัวเองเบาๆ ทำให้ผมสังเกตเห็นรอยช้ำที่มุมปากของพี่จักร
ไม่สิ  ไม่ใช่แค่มุมปากแต่มีรอยช้ำจางๆ ทั่วใบหน้า หนำซ้ำที่หางคิ้วและโหนกแก้มยังมีรอยแตกด้วย  พี่จักรไปโดนอะไรมาเนี่ย!?!
“พี่จักรครับ!? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ครับเนี่ย!?” ผมถามเสียงดังอย่างเป็นห่วงปนตกใจ  ไม่ใช่แค่ใบหน้านะครับแต่รูปร่างพี่มันก็ดูซูบผอมไปไม่เหมือนกับเมื่อ 2-3ปีก่อนที่อุดมสมบูรณ์มากกว่านี้
เมื่อถูกถามพี่จักรก็ซึมไปผมจึงเชื้อเชิญให้ไปนั่งเก้าอี้เสียก่อนเพื่อให้พี่จักรได้เล่าให้ผมฟังอย่างสะดวกๆ
“บริษัทพี่ถูกทำลายชื่อเสียงจนไม่มีลูกค้าและสปอนเซอร์  คนที่มาโจมตีพี่เป็นผู้มีอิทพลในสังคมน่ะพี่ก็เลยสู้อะไรเขาไม่ได้  พยายามแล้วแต่ก็ไม่มีประโยชน์  พอพี่ล้มละลาย...แฟนพี่ก็หนีพี่ไป  ก่อนไปก็ซ้อมพี่หนักจนต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม  เปอร์...ตอนนี้พี่ไม่มีอะไรเหลือเลย” พี่จักรก้มหน้าเล่าด้วยน้ำเสียงแสนจะเศร้าจนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปกุมมือพี่จักรเอาไว้อย่างให้กำลังใจ
“โธ่พี่จักร...ทำไมต้องเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นกับพี่ด้วย?  แต่ผมก็เข้าใจพี่นะ  ก่อนหน้านี้ครอบครัวผมก็ล้มละลายเหมือนกัน  สิ้นไร้ไม้ตอกแทบไม่มีอะไรจะกิน  แต่เพราะผมมีกำลังใจจากครอบครัวและเพื่อนๆ ผมก็เลยลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง  พี่จักรต้องสู้นะครับ” ผมขมวดคิ้วพลางลูบมือหลังมือพี่ลุกซ์เบาๆ
“ไม่เหมือนกันหรอกเปอร์  พี่ไม่มีใครเลย  ทุกคนทิ้งพี่ไปหมด  แฟนพี่เองก็แย่  ไม่มาช่วยดูแลพี่เลย  คงไม่เหมือนลุกซ์หรอกมั้ง เขารวยขนาดนั้นคงไม่ปล่อยให้เปอร์ลำบากหรอก” พี่จักรพูดพลางกำมือเข้าหากันแน่นจนสั่น  ใจผมหายวาบเลยครับ  สงสารพี่จักร  ผมเข้าใจเพราะตอนที่ครอบครัวล้มละลายผมก็รู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นไร้หนทางมาก
“พี่ลุกซ์ไม่เคยรู้เรื่องที่ผมตกอับเลยครับ  ที่ผมยืนหยัดขึ้นมาได้อีกเพราะผมมีภาระต้องดูแล  ทั้งพ่อแม่และคนที่บ้าน  ผมไม่อยากให้ครอบครัวต้องลำบากก็เลยพยายามอย่างหนัก  ของที่เคยมีก็ไม่มี  จากที่เคยสบายก็ลำบาก  พี่จักรก็ต้องพยายามนะครับ” ผมบีบมือพี่จักรอย่างให้กำลังใจ
“งั้นเปอร์ให้พี่ทำงานที่นี่ได้ไหม?  นะ  ช่วยพี่หน่อยนะ  ตอนนี้พี่ไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ” พี่จักรดึงมือออกจากการเกาะกุมของผมแล้วเปลี่ยนมากุมมือผมแทน
“ผมไม่มีอำนาจในการรับคนเข้าทำงานตามใจชอบหรอกนะครับพี่จักร ยิ่งเป็นงานเลขาของประธานแล้วผมยิ่ง...” ผมหลบตาพี่จักรอย่างรู้สึกผิด  ถ้าให้เทียบประวัติของพี่จักรกับผู้หญิงคนเมื่อกี้ผมว่าพี่จักรไม่ได้มาในสายงานนี้เลย  ยังไงผมคงรับพี่จักรไม่ได้ถึงจะเห็นใจมากแค่ไหนก็ตาม
“เปอร์  พี่ลำบากมากจริงๆ พี่ขอร้องล่ะนะ” พี่จักรก้มหน้าพลางดึงมือผมไปซบทำให้ผมรับรู้ถึงความอุ่นของน้ำที่ไหลลงมากระทบกับมือ
“พี่จักรครับ  งานเลขานี้ผมคงรับพี่ไม่ได้จริงๆ  เอางี้ไหมครับ? ผมเคยเห็นฝ่ายประชาสัมพันธ์เขาประกาศรับสมัครงานอยู่  เดี๋ยวผมไปถามเขาให้นะ  ดีไหมครับพี่จักร?” ผมพูดอย่างนึกขึ้นได้ถึงทางที่จะช่วยพี่จักร  ผมว่างานนั้นน่าจะเหมาะกับพี่จักรมากกว่า
“จริงไหมเปอร์!? พี่ขอบคุณมากนะ  ขอบคุณมาก!” พี่จักรเงยหน้ามองผมทั้งน้ำตาอย่างขอบคุณก่อนจะปาดน้ำตาด้วยรอยยิ้ม  ผมมองพี่จักรพลางยิ้มไปด้วย
“งั้นเดี๋ยวผมติดต่อกลับไปนะครับ  แล้วก็...พรุ่งนี้ผมขอเลี้ยงข้าวเย็นพี่ได้ไหม?” ผมถามยิ้มๆ  เผื่อพี่จักรมีอะไรจะระบายให้ผมฟังบ้าง  อย่างน้อยผมก็อยากจะเป็นที่พึ่งให้กับพี่ชายคนนี้ของผมบ้าง  เล็กน้อยก็ยังดี
“อื้ม ได้สิ  โทรมานะเปอร์  พี่ใช้เบอร์เดิม” พี่จักรบอก  ผมยิ้มพลางพยักหน้า “งั้นพี่ไปก่อนนะ  ขอบคุณมากนะ” พี่จักรปล่อยมือผมก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ครับ” ผมลุกขึ้นพลางเดินไปส่งพี่จักรที่หน้าห้อง  พี่มันเดินออกไปแล้วหันมาโบกมือให้รอยยิ้ม  ผมโบกมือกลับก่อนจะกลับเข้ามาในห้องเพื่อเก็บเอกสารแล้วกลับไปทำงานของตัวเองในฐานะเลขาต่อ
35% left
หลังเลิกงาน
ผมไปที่ร้านเอกพร้อมกับพี่ลุกซ์เพื่อซื้อขนมไปฝากไลลากับน้องปิงซึ่งนั่นก็ทำให้พี่ลุกซ์ไม่พอใจเล็กน้อย  เขม่นตามองเอกและขู่ฟ่อๆ ใหญ่เลย  แต่ก็นะ...จะไปทำอะไรเขาได้เมื่อเอกไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเพื่อนของผม  ไม่ใช่ผู้ชายที่จะมาแย่งผมไปซะด้วยสิ ฮ่าๆ
“ดีใจด้วยนะเปอร์” เอกยิ้มให้ผมขณะที่ยื่นถุงใส่กล่องเค้กและมาการองมาให้ผม
“เอกก็ด้วยนะ พี่พลอยน่ะ เห็นอย่างนั้นแต่ไม่ค่อยประสีประสาเรื่องความรักหรอก สู้ๆ ละกัน” ผมพูดเสียงเบาพลางยิ้มกว้างทำเอาพี่ลุกซ์ที่นั่งมองอยู่ไกลๆ ขมวดคิ้วแน่นเหมือนกับไม่พอใจที่ผมคุยกับเอก  หมอนี่ก็คิดมากเกิ๊น
“เปอร์ก็...” เอกทำหน้ายุ่งนิดๆ เมื่อผมพูดถึงพี่พลอย  เอกนี่ก็ไม่กล้าจีบพี่พลอยตรงๆ ซักที  ส่วนพี่พลอยก็ไม่เข้าใจเลยว่าเอกชอบตัวเองเข้าซะแล้ว  คงยังคิดว่าเอกชอบผมอยู่สินะ
“เอาไว้ว่างๆ เดี๋ยวผมไปช่วยที่ร้านอีกนะ  คิดถึงคุณป้ากับพี่ตรี” ผมบอก
“ได้เลย  เดี๋ยวสอนทำขนมต่อด้วย  อ้อ อย่าบอกพี่ลุกซ์ล่ะ เดี๋ยวตามมาหึง จนลูกค้าที่ร้านหนี ฮ่าๆ” เอกป้องปากพูดเหมือนไม่อยากให้พี่ลุกซ์ได้ยินแต่ดันหัวเราะซะเสียงดัง
ผมเหลือบตามองพี่ลุกซ์นิดๆ ก็พบว่าพี่มันทำท่าอยากรู้อยากเห็นเหลือเกินว่าเราคุยอะไรกัน  ผมหัวเราะก่อนจะร่ำลาเอกแล้วเดินไปที่รถพร้อมกับพี่ลุกซ์ที่หันไปชี้หน้าเอกอย่างคาดโทษ
เอาเถอะ ยังไงพี่ลุกซ์ก็ไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเอกจริงๆ นี่นา  ถือว่าพวกเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่รักกันมากละกัน ฮ่าๆๆ
 
“เป็นไงบ้างเรื่องเลขา?” พี่ลุกซ์ถามหลังจากที่เราขึ้นรถเตรียมไปบ้านพี่ลุกซ์แล้ว
“วันนี้มีมาสัมภาษณ์สองคนครับ  เข้าตาอยู่คนหนึ่งแต่เป็นผู้หญิง  ส่วนอีกคนพี่ต้องเซอร์ไพรส์แน่” ผมพูดยิ้มๆ อย่างตื่นเต้น  ถ้าพี่ลุกซ์รู้ว่าเป็นพี่จักรจะว่ายังไงนะ? อิๆ คงจะโมโหนิดๆ ล่ะมั้ง
“ใคร?” พี่ลุกซ์เลิกคิ้วถามงงๆ
“พี่จักรไง พี่เขาน่าสงสารมากเลย  บริษัทล้มละลาย แฟนก็ชั่ว...”
“อย่าเข้าไปยุ่งกับมันเด็ดขาด!!” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ พี่ลุกซ์ก็ตะคอกออกมาด้วยสีหน้าน่ากลัว  นี่พี่ลุกซ์ยังอคติกับพี่จักรอีกเหรอเนี่ย? แต่ว่าตอนนี้ผมกับพี่จักรก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันในฐานะแบบนั้นแล้วนี่นา เราเป็นแค่พี่น้อง  ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วย
“พะ...พี่จักรเขาน่าสงสารออก...”
“ไม่ต้องพูด! อย่าเข้าใกล้มัน  เงาก็ห้ามให้เห็น” พี่ลุกซ์พูดสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบอีกครั้ง
“ทำไม? ทำไมพี่ลุกซ์ต้องโกรธขนาดนั้นด้วยล่ะ?” ผมขมวดคิ้วถาม  เริ่มโมโหแล้วนะ จู่ๆ ก็มาตะคอกใส่โดยไม่บอกเหตุผลแบบนี้น่ะ  ใช่เรื่องไหมเนี่ย?
“ไอ้หมอนั่น...มันชอบกู” ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินแบบนั้น
“หา? บ้าน่า” ผมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ  ไม่จริงหรอก  พี่จักรเนี่ยนะจะชอบพี่ลุกซ์ เป็นไปไม่ได้อย่างแรง
“มันจริง  มันอยากได้กูเป็นผัว ถ้ามันไม่ได้ก็ต้องไม่มีใครได้เหมือนกัน” พี่ลุกซ์พูด  ทำไมผมรู้สึกว่ามันตลกล่ะ  เฮ้ย! นี่พี่ลุกซ์ซีเรียสหรือแกล้งอำผมกันแน่
“ฮ่าๆ เขาอยากได้พี่เป็นเมียหรือเปล่า? พี่จักรรุกนะ” ผมว่าพี่ลุกซ์ต้องอำผม ผมก็เลยพูดเล่นๆ กลับซะเลย
“มึงดูสภาพกู  ใครจะกล้าเอาไปทำเมีย?” พี่ลุกซ์ทำหน้าเหมือนหมาเมายาเบื่อทำเอาผมหัวเราะร่า  ก็จริง  อย่างพี่ลุกซ์น่ะนะไม่เหมาะเป็นเมียใครหรอก  ตาก็ดุ หน้าก็ไม่ได้หวานเลย แถมตัวยังโตเป็นหมีควาย ล่ำอีกต่างหาก  นึกสภาพโดนกดไม่ออกเลยจริงๆ ให้ตาย
“คึๆ”
“แต่กูจริงจังนะเรื่องที่บอกไปน่ะ  อย่าไปยุ่งกับไอ้จักรอีก  มันไม่ใช่พี่ชายที่น่าสงสาร น่าช่วยเหลือของมึงหรอก  มันทั้งชั่ว ทั้งเลว  อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน กูขอร้อง” พี่ลุกซ์พูดออกมาอย่างจริงจังจนผมขำไม่ออก  อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พี่จักรชอบพี่ลุกซ์จะเป็นเรื่องจริง  แล้วที่พี่จักรเคยมาจีบผมล่ะ? เฟคเหรอ?
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” ผมหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์แล้วถาม 
“...” พี่ลุกซ์ไม่ตอบ  ทำเพียงถอนหายใจแล้วเปลี่ยนเกียร์ไปอยู่ในเกียร์ว่างเพราะรถติดไฟแดง “ที่กูต้องห่างจากมึงก็เพราะมันขู่  มันไม่อยากให้กูเข้าใกล้มึง ถ้ากูทำมันก็จะทำร้ายมึง  ในช่วงเวลาที่มึงกำลังอคติกับกูเพราะเรื่องของเปรียวมันทำให้กูไม่สามารถปกป้องมึงจากมันได้  แต่เพราะกูเผลอเข้าหามึง มันก็เลยขู่โดยการทำให้รถกูระเบิด” พี่ลุกซ์บอก  ผมค่อยๆ เบิกตากว้างตามความตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน
ไม่จริง...ทำไมพี่จักรต้องทำแบบนั้นด้วย? ทำไมเขาถึงจะทำร้ายผมเผื่อผู้ชายที่เขารัก  ทำไมเขาถึงไม่ผูกพันกับความสัมพันธ์อันดีของเรา?  หรือว่า...เขาแค่ต้องการจะเข้าหาพี่ลุกซ์ก็เลยแกล้งมาตีสนิท แกล้งทำให้ผมเชื่อใจและรู้สึกดีจนกระทั่งไว้วางใจให้เขาเป็นพี่ชายคนหนึ่ง?
“ทำไม?” ผมมองตรงไปที่ถนนพลางขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ  เขาล้อเล่นกับความรู้สึกของผม
“มันตอแหลมาตั้งแต่แรกน่ะสิ! กูเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันชอบกู  แต่ก็นะ...อาจจะเหมือนมึง ที่ชอบกูเพราะกูชั่ว  เพราะตั้งแต่ที่กูให้คนไปข่มขืนมันตอนนั้นมันก็รักกูซะแล้ว  มันมาสารภาพน่ะ” พี่ลุกซ์บอกซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไม่เข้าใจมากกว่าเดิม  นี่พี่จักรหลอกผมมาโดยตลอดเลยสินะ  เขาทำได้ยังไง? เขาลงทุนถึงขั้นเข้ามาใจดีกับคนที่เขาเกลียดได้ยังไง? ตอนที่เขาบอกว่ารักผม ผมเชื่อสนิทใจเลยว่าเขารักจริงๆ  เขาแสดงละครได้เก่งมากเหลือเกิน
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” ผมหันไปมองหน้าพี่ลุกซ์อย่างสังสัย  พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะออกรถเอไฟเขียวแล้ว
“พอกูฟื้นกูก็ไปเอาคืนมันน่ะสิถามได้  ที่บริษัทมันเจ๊งเพราะกูเอง อีกอย่าง หมอนั่นมันไม่มีแฟนซักหน่อย มันคงอ้างว่าแฟนซ้อมล่ะสิ ฮึ! เสียใจ คนที่ซ้อมมันน่ะ...กูเอง” พี่ลุกซ์พูดพลางยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าสะใจและชั่วร้ายสุดๆ  แต่ผมว่ามันแปลกๆ นะ  พี่จักรบอกว่าแฟนซ้อม อาจจะมีความหมายโดยนัยที่หมายถึงพี่ลุกซ์หรือเปล่า?
อ่า...ผมก็คงคิดมากไปเองล่ะมั้ง
“แล้วนี่จะให้ผมทำยังไงต่อไป? ผมสัญญาว่าจะหางานให้เขาแล้วก็จะเลี้ยงข้าวเขาด้วย” ผมก้มหน้าคิดหนัก  จะว่าแค้นก็แค้นหรอกนะครับแต่ก็สงสารด้วยที่เขาต้องตกอับขนาดนี้
“วันไหน!?” พี่ลุกซ์ถามเสียงเขียว
“พรุ่งนี้อ่า” ผมบอกเสียงอ่อย
“ไม่ต้องไป  แล้วก็ไม่ต้องหางานให้มันด้วย  ขาดการติดต่อไปเลย ไม่ต้องไปแคร์มัน” พี่ลุกซ์บอกเสียงเข้ม
“เอางั้นเหรอ?” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“หรือมึงอยากไปให้มันฆ่าล่ะ!?” พี่ลุกซ์หันมาตะคอกและมองผมด้วยสายตาดุดัน  ผมสะดุ้งก่อนจะแอบถอนหายใจเมื่อพี่มันหันกลับไปมองถนน  เมื่อกี้พี่มันน่ากลัวอ่ะ
“ไม่ได้จะไปให้เขาฆ่าซักหน่อย” ผมพูดเสียงแผ่ว  ก็ตกใจอ่ะ
“ฮึ! สงสัยมันจะยังไม่เข้าใจว่าตัวมันในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์สะเออะเข้ามายุ่งกับชีวิตของกูกับมึง  ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ” พี่ลุกซ์พูดด้วยสีหน้าโกรธแค้นจนผมแอบกลัวแทนพี่จักร  อ่า...ท่าทางพี่จักรจะอยู่ยากแล้วล่ะ  ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่ลุกซ์มีอำนาจมากมายแค่ไหนแต่คิดว่าคงทำให้พี่จักรไม่มีที่ยืนได้
“ไม่เอาถึงตายใช่ไหม?” ผมถาม
“เป็นห่วงมันหรือไง?” พี่ลุกซ์ถอนหายใจฟืดฟาดแสดงความไม่พอใจ
“ห่วงพี่ต่างหาก  ถ้าฆ่าคนก็ติดคุกน่ะสิ” ผมบอกออกไป  ไม่อยากให้มือพี่ลุกซ์เปื้อนเลือด
“ฮึ! ไม่ฆ่าหรอก แต่ถึงฆ่าก็ไม่โดนจับหรอก  เส้นเยอะ แถมยังเส้นใหญ่มากด้วย” พี่ลุกซ์ยกยิ้มเย็นๆ  อ่า...ผู้ชายคนนี้มีส่วนที่ผมไม่รู้จักเยอะเหมือนกันนะ  สงสัยต้องเรียนรู้กันใหม่ซะแล้วล่ะ
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลยดีกว่าครับ  ตอนนี้เขาคงทำอะไรเราไม่ได้แล้วล่ะ  ผมไม่อยากให้พี่ทำบาปไปมากกว่านี้” ผมบอก  ทุกคนที่ผมรู้จักมานับตั้งแต่เกิด ผมว่าพี่ลุกซ์นี่แหละบาปหนาที่สุดแล้ว  จริงๆ นะ  เท่าที่สัมผัสผมว่าพี่ลุกซ์นี่ชั่วตัวพ่อเลย
“กูยอมบาปเพื่อที่จะกำจัดเห็บหมัดออกจากชีวิต” พี่ลุกซ์พูด  นั่นไง ชั่วจริงๆ ด้วย เหอๆ  แต่ก็นะ...ผมไม่ยอมให้พี่ลุกซ์ชั่วคนเดียวหรอก  เดี๋ยวชั่วเป็นเพื่อนละกัน
“ให้ผมช่วยไหม? ตอนนี้พี่จักรไม่รู้ว่าผมรู้แล้วว่าพี่จักรเป็นใครกันแน่ เพราะฉะนั้นให้ผมเป็นนกต่อช่วยจัดการพี่จักรไหมล่ะครับ?” ผมเสนอ  ถ้าพี่ลุกซ์คอยตามดูอยู่ห่างๆ แล้วให้ผมไปสืบพฤติกรรมพี่จักรมันอาจจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดก็ได้
“ไม่ได้ กูจะไม่ให้มึงเข้าใกล้มันอีก  ถ้าขืนมันพกมีดพกปืนมาทำร้ายมึงล่ะ? ตายสถานเดียวเลยนะเว้ย” พี่ลุกซ์โวยขึ้นทำเอาผมสะดุ้ง  ดุจังวะ จะเสียงดังทำไมเนี่ย? ไม่สำเหนียกเอาซะเลยว่าโทนเสียงปกติของตัวเองมันดังจะตายห่าอยู่แล้ว
“เอาเถอะ ผมว่าเราอย่าคิดเรื่องนี้แค่สองคนเลยครับ  เอาไปปรึกษาคนอื่นๆ ด้วยดีกว่าเนอะ” ผมบอกเพราะไม่อยากเถียงกับพี่ลุกซ์  ผมน่ะอยากช่วยแต่พี่ลุกซ์ไม่อยากให้ยุ่ง  คุยกันไปก็ไม่จบหรอกครับ
 

++++++++++++++++++++++++++ โดนแล้วเปอร์ โดนแล้วววว แต่อย่าเพิ่งว่าเปอร์โง่นะคะ  เพราะเปอร์ไม่รู้ว่าจักรเป็นคนไม่ดี  ไว้รออิพี่ลุกซ์ถอนรากถอนโคนอิตานี่ละกัน
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา