[Y]ซวยฉิบหาย!ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2

9.7

เขียนโดย DPR_Fox

วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 22.32 น.

  56 ตอน
  51 วิจารณ์
  236.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) Chapter 24 : น้ำตาคนเลว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
[ถ้ากูร้าย...ก็อย่ารัก2] Chapter 24 : น้ำตาคนเลว
 
สุดท้ายผมก็ต้องกินข้าวเที่ยงกับเขาอย่างเสียมิได้ โดยเราสั่งอาหารเข้ามากินและกินกันอย่างเร่งรีบชนิดที่แทบสำลักไปตามๆ กัน  แต่ระหว่างที่รออาหารผมก็เอาเอกสารไปส่งให้เจ๊เปรียวในสภาพตาแดงฉึ่งแต่โชคดีที่เจ๊ไม่อยู่ผมเลยไม่ต้องถูกซักว่าไปทำอะไรมา
“ตาเป็นไงบ้าง?” พี่ถังถามขึ้นขณะที่ผมกำลังนอนเอาน้ำแข็งประคบตาอยู่ในห้องมันเนื่องจากพี่ลุกซ์ไล่ให้ผมมา  ตอนแรกผมจะทำงานต่อนั่นแหละแต่พี่ลุกซ์ไม่ยอมจะให้ผมประคบตาให้หายลูกเดียว ผมก็เลยขอไปพักอยู่ห้องพี่ถังเพราะถ้าไม่ใช่ห้องพี่ถังผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“ไม่รู้โว้ย  แต่ก็รู้สึกดีขึ้นละ” ผมเอาผ้าห่อน้ำแข็งออกจากตาแล้วลุกขึ้นนั่ง
“นึกว่าร้องไห้เพราะถูกรังแก ไอ้ห่า เมื่อกี้กูเกือบบุกไปกระทืบไอ้ลุกซ์แล้วนะ” ไอ้พี่ถังบ่น  บ่นเป็นตาแก่เลยนะมึง ชิ!
เมื่อกี้ตอนที่ผมเดินเบลอๆ เข้าไปในห้องของพี่ถัง พี่มันดูตกใจมาก  ไม่พูดไม่จาอะไร ตั้งหน้าตั้งตาจะเดินออกจากห้องอย่างเดียวผมจึงรีบกระโดดเข้าไปจิกหัว เอ้ย ดึงไหล่พี่มันเอาไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย  กว่าผมจะเล่าทุกอย่างให้พี่มันฟังก็ลำบากเอาเรื่องครับเพราะพี่มันดูจะไม่ฟังอะไรเลย  ที่สงบลงได้เพราะผมอ้างชื่อพี่เคย์หรอกนะเนี่ย
“กูใจอ่อนเกินไปหรือเปล่าวะ?” ผมนวดคลึงขมับที่แล่นตุบๆ จนเกิดอาการปวดขึ้นมาพลางถามออกไปอย่างคิดไม่ตก
“กูไม่รู้ลึกรู้จริงหรอกว่ามึงเจออะไรมาบ้างแต่เท่าที่ดู  ทั้งมึงทั้งไอ้ลุกซ์ต่างก็ยังรักกันไม่เปลี่ยน  จะกลับไปคบกันอีกรอบก็ไม่เห็นเป็นไรนี่  ถึงกูจะไม่พอใจที่มันหลอกมึงเรื่องแต่งงานกับเปรียวก็เถอะนะ” พี่ถังพูด
“ทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดเลย  นี่เห็นกูเป็นอะไรวะ?” พูดถึงเรื่องนี้แล้วเครียด  งอนพี่ถังมันด้วยที่รู้แล้วไม่ยอมบอก
“เฮ้อ รู้แล้วไงวะ  เรื่องผัวๆ เมียๆ คนที่ต้องตัดสินใจคือคนใน  ไอ้ลุกซ์หัวแข็งจะตาย  แต่ก็เห็นใจมันแหละ  ทั้งต้องเรียนแล้วยังต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง  การที่มันตัดสินใจเงียบแล้วทำตามใจพ่อเปรียวไปก่อนอาจจะดีกว่าที่จะปฏิเสธหัวชนฝาจนผู้ใหญ่มีเรื่องกันหรอกนะ  คนไม่รู้คงไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ” พี่ถังถอนหายใจแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“กูเข้าใจเรื่องนั้น  แต่กูเสียความรู้สึกไปแล้ว  เอาคืนมาไม่ได้ด้วย” ผมพูดพลางขมวดคิ้ว “แต่กูจะให้พี่ลุกซ์เริ่มต้นใหม่อย่างที่พี่มันบอก  จะลองดูว่าจะทำให้กูรู้สึกดีและลืมเรื่องพวกนั้นไปได้ไหม” ผมบอกต่อ
“ดีแล้วล่ะ” พี่มันเดินมาขยี้หัวของผมเบาๆ
“ถังครับ” ผมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้ามองมันอย่างออดอ้อน
“สยองว่ะ  มีอะไรก็ขอมา” ไอ้พี่ถังทำหน้าแหยงๆ ก่อนจะพยักหน้า
“อยากไปเล่นที่บ้านพี่เคย์อ่ะ  ได้ยินว่าไอ้คิทกลับมาเพราะปิดเทอม  คิดถึงมัน” ผมบอก  ตั้งแต่ไอ้คิทมันไปเรียนหมออยู่ที่นู่นผมก็ไม่ได้เจอกันมันอีกเลย  ห้าปีกว่าๆ แล้วนะเนี่ยที่ไม่ได้เจอ  ที่จริงผมอยากเจอแฟนมันด้วย  เด็กมันน่ารักครับ  มองแล้วเพลินหูเพลินตา ฮ่าๆ
“ไอ้คิทมันมีเมียแล้วนะมึง” ไอ้พี่ถังมองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจ
“กะไปมองหน้าเมียมันนั่นแหละ ฮ่าๆๆ” ผมบอกแล้วหัวเราะร่า
“ไอ้กะล่อน  เดี๋ยวไอ้ลุกซ์ก็โมโหหึงจับมึงทำเมียอีกหรอก” ไอ้พี่ถังขย้ำหัวผมด้วยมือทั้งสองข้างพลางโยกไปมา
“ไม่กล้าหรอก” ผมยักไหล่นิดๆ ก็ลองจับผมกดโดยที่ผมไม่ยินยอมดูสิ  โดนแน่ “แล้วนี่จะให้กูไปไหม?” ผมถามซ้ำ
“เอาสิ  เดี๋ยวโทรไปบอกไอ้เคย์ไว้” พี่ถังบอกผมจึงพยักหน้ารัวๆ แล้วยิ้มแป้นแล้น “ไอ้เด็กแสบ” มันมองหน้าผมก่อนจะพุ่งมาขยี้หัวผมซะรัว  มันคงหมั่นเขี้ยวผมเอาเรื่องล่ะมั้ง ฮิๆ
 
ทันทีที่เลิกงานผมก็กระโดดขึ้นรถที่เคย์ที่อุตส่าห์ขับมารับถึงที่  ท่าทางผมอาจจะระริกระรี้ไปนิดแต่ผมกำลังหวังของฝากจากไอ้คิทอยู่ครับ  อย่างน้อยก็ขอขนมอร่อยๆ ละกัน  อีกอย่าง ผมคิดถึงมันด้วยครับ  ไม่เจอกันนานมากจริงๆ  ได้ยินมาว่ามันโดนจับไปถ่ายแบบแทนพี่เคย์ด้วย ฮ่าๆ แหม...ก็หล่อซะขนาดนั้น  แถมมีแฟนน่ารักน่าหยิกอีกด้วย  ชีวิตโคตรดีเลยไอ้หมอนี่
“คิท!!” เมื่อไปถึงที่บ้านพี่เคย์ผมก็ตะโกนเรียกชื่อคนที่อยากเจอก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาพลางอ้าแขนออก
หมับ!
“อ๊ะ!” เสียงร้องอุทานเบาๆ ของคนที่ถูกกอดดังขึ้น  ผมกอดคนในอ้อมแขนแน่นซะคนถูกกอดเกร็งตัว
“พี่เปอร์!” เสียงทุ้มๆ ดังเรียกชื่อผม “เมียผม!” พลางถูกจับแยกด้วยมือหนาๆ
“ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะคิทตี้ที่น่ารักของพี่” ผมที่ผละออกจากน้องคิทตี้เพราะถูกไอ้คิทดึงออกมองหน้าน้องแล้วหยิกแก้มเบาๆ
“พี่เปอร์ยังมีหน้ามาว่าผมอีกเหรอ?” น้องคิทตี้ทำปากยื่นนิดๆ ที่ถูกชมว่าน่ารัก  ไม่ต้องสงสัยว่าผมไปสนิทกับน้องคิทตี้ตอนไหน  จริงๆ ก็ไม่ค่อยได้เจอกันหรอกแต่บางครั้งเวลาที่ผมมาเล่นที่บ้านพี่เคย์ผมจะเจอกับน้องคิทตี้และพวกเรามักจะถูกปล่อยไว้ด้วยกันจนสนิทกันไปโดยปริยาย  นั่นเป็นเรื่องก่อนหน้าที่พี่ลุกซ์จะไปอเมริกาซะอีก  และเป็นตอนที่น้องแกกลับมาไทยด้วยนะเพราะน้องไปเรียนที่อเมริกาเหมือนกัน
“ชอบมายุ่งกับเมียคนอื่นซะจริงเลยนะพี่เปอร์” ไอ้คิทขมวดคิ้วก่อนจะกอดน้องคิทตี้ไว้ซะแน่นอย่างหวงแหน  ไอ้คิทมันดูหล่อขึ้นแฮะ  ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย  ผมที่เคยไว้ยาวก็ตัดสั้นแถมยังเป็นสีอ่อนๆ อีกต่างหาก  เมื่อก่อนมันย้อมดำทั้งๆ ที่ผมมันเป็นสีอ่อนน่ะนะ
“นั่นสิเปอร์  เพื่อนพี่นั่งหน้าบูดเป็นตูดแล้วนะ” เสียงพี่เคย์ที่เดินไปนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองพี่เคย์อย่างงงๆ ว่าพี่มันพูดถึงใคร
อุต๊ะ! มาด้วยเหรอเนี่ย?
“เหอๆ” ไอ้คิทหัวเราะหน้าตายพลางยักไหล่นิดๆ เมื่อเห็นสีหน้าผมเจื่อนลง
“เขามาด้วยทำไมไม่บอก” ผมเดินไปดึงไอ้พี่ถังมากระซิบถามเสียงแข็ง
“กูก็เพิ่งรู้เมื่อกี้แหละ” พี่ถังบอกก่อนจะผลักหัวผมออกให้ห่างจากตัวเองแล้วเดินไปนั่งโซฟาตัวข้างๆ พี่เคย์ “ไงลุกซ์” พี่ถังทักหลังจากที่ก้นแตะโซฟาแล้ว
“อ่า” พี่ลุกซ์พยักหน้านิดๆ  อืม...นี่คือคำทักทายเรอะ!?
“มานานยัง?” พี่เคย์ถามพี่ลุกซ์
“เพิ่งถึง” พี่ลุกซ์ตอบ
“อ้าวเด็กๆ มากันเร็วจัง ป๊ะป๋าซื้อเครื่องดื่มมาให้  คิท มาเอาไปจัดการให้พี่ๆ หน่อยลูก” ยังไม่ทันได้ฟังพวกพี่ๆ คุยกันต่อ เสียงทุ้มๆ น่าฟังก็ดังขึ้นทำให้ผมเห็นไปมอง
คนที่พูดเมื่อกี้เป็นป๊ะป๋าของพี่เคย์และไอ้คิท เป็นพ่อแท้ๆ ของน้องคิทตี้ ชื่อวิคครับ  อาวิคเป็นแฟนของอาวายุ พ่อแท้ๆ ของพี่เคย์  ทั้งคู่แยกกันไปแต่งงานแต่ภรรยาเสียไปก็เลยมารักกัน  ผมไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณอาทั้งสองหรอกครับแต่รู้แค่ว่าเขารักกันดี  ลูกๆ ของทั้งสองฝ่ายยอมรับความสัมพันธ์นี้ด้วยแถมอาวิคยังเป็นคุณพ่อที่หล่อเฟี้ยวมากครับ  เป็นพ่อของน้องคิทตี้แท้ๆ แต่กลับเหมือนพี่เคย์ไอ้คิทซะมากกว่า  ส่วนอาวายุก็ตัวเล็กน่ารักซะเหมือนน้องคิทตี้
“ครับพ่อ” น้องคิทตี้พยักหน้าก่อนจะเดินไปรับเครื่องดื่มจากมือของอาวิคโดยมีไอ้คิทตามไปช่วย
“เป็นไงบ้างนักธุรกิจทั้งหลาย  เหนื่อยกันไหม?” อาวายุที่มาพร้อมกับอาวิคถามขึ้น
“เหนื่อยมากเลยครับ” พี่ถังตอบติดจะอ้อนนิดๆ
“เหนื่อยมากหรือเปล่าถัง? เดี๋ยวพ่อให้ตาเคย์ช่วยทำให้หายเหนื่อยเอาไหม?” อาวายุถามเย้าๆ ทำเอาพี่ถังนั่งเงียบเลยครับ “เปอร์ ไม่เจอกันนานนะลูก” อาวายุหันมาทักผม
“ครับ คิดถึงจังเลยครับ  อาไปเมืองนอกบ๊อยบ่อย” ผมว่า มาที่นี่ทีไรไม่ค่อยเจออาๆ หรอกครับเพราะพวกท่านไปต่างประเทศกันตลอด  อาวิคทำงานเป็นแพทย์ร่วมกับโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ อาวายุก็เลยตามไปด้วยประจำ  ส่วนงานของอาวายุก็ปลดระวางให้พี่เคย์ทำแทนแล้วล่ะครับ  สงสัยเลิกทำงานแล้วตามไปให้กำลังสามีตลอดล่ะมั้งครับ อิๆ
“เอาน่าๆ อาว่าวันนี้เรามากินข้าวเย็นด้วยกันดีกว่า  เดี๋ยวบอกให้แม่บ้านทำของอร่อยๆ ให้กิน” อาวายุพูดก่อนจะเดินเข้าครัวพร้อมกับอาวิคปล่อยให้พวกเรานั่งคุยเล่นด้วยกันรออาหารเย็น
 
พวกเรานั่งกินโค้กคุยกันรอเวลาอาหารไปเรื่อยๆ โดยที่ผมไม่ได้คุยกับพี่ลุกซ์เลย  พี่มันก็เอาแต่นั่งเงียบ ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์  เห็นแว้บๆ ว่ากำลังเล่นคุกกี้รันอยู่  ด้วยความที่ว่าผมอึดอัดก็เลยแกล้งเนียนไปนั่งแปะลงที่ว่างข้างๆ แล้วชำเลืองมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์
“สูงสุดกี่ล้านน่ะ?” ผมผละสายตาออกมาก่อนจะถามขึ้นลอยๆ
“ไม่รู้” พี่ลุกซ์ตอบส่งๆ พลางตั้งใจเล่น  ผมเหลือบมองพี่มันอีกรอบก่อนจะเม้มปาก  นี่เหรอท่าทางของคนจะมาขอคนดี  เฮอะ! ไม่สนใจกันขนาดนี้ก็อย่าคิดเลยว่าจะยอมให้ง่ายๆ 
ผมกำมือแน่นก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินหนีไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
หมับ!
“ปล่อย” ผมบอกเสียงแข็งเมื่อพี่ลุกซ์เอื้อมมือมาคว้าข้อมือของผมเอาไว้
“โทษๆ นั่งลงเหมือนเดิมสิ” พี่ลุกซ์พูดพลางออกแรงฉุดให้ผมกลับลงไปนั่งที่เดิมจากนั้นก็ยัดโทรศัพท์ที่เปิดเกมค้างไว้ใส่มือผม “หึงนิดหน่อยที่มึงไปกอดน้องคิทตี้” พี่มันยื่นหน้ามากระซิบเบาๆ ทำเอาผมรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า  เอาเถอะ กรณีนี้ยอมให้ก็ได้
“ก็เล่นไปสิ” ผมยัดโทรศัพท์คืนให้พี่มัน “เล่นไป จะดู” ผมบอกเมื่อเขาทำท่าหงอยๆ แถมยังไม่ยอมกดเล่นเกมต่อ
“อ่า” พี่ลุกซ์พยักหน้าก่อนจะกดเล่นเกมต่อ  สีหน้าพี่มันดีขึ้น มีรอยยิ้มที่มุมปากประดับไว้ ส่วนผมก็ขยับไปนั่งให้ใกล้ยิ่งขึ้นแล้วชะโงกหน้าไปดูพี่มันเล่นเกม  ไม่รู้ว่าพี่มันประหม่าหรือตื่นเต้นอะไรหรือเปล่า ชนอุปสรรคบ่อยจนได้คะแนนน้อยมากเลย “มึงเล่นดิ เดี๋ยวดู” พี่ลุกซ์เล่นเสร็จก็ยื่นโทรศัพท์มาให้  ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ก่อนจะยอมรับมาเล่นซะเอง
ดูเหมือนพี่ลุกซ์จะใช้โอกาสที่ผมกำลังตั้งใจเล่นเกมแอบวาดแขนมาวางพาดพนักพิงบริเวณที่ผมกำลังพิงอยู่  สักพักพี่มันก็เลื่อนแขนลงมาวางพาดไว้บนไหล่ผม  นอกจากนั้นยังแกล้งขยับมาดูผมเล่นเกมใกล้ๆ จนจมูกของพี่มันคลอเคลียอยู่บริเวณขมับ  ผมรู้ตัวนะ แต่ก็เพลินกับเกมที่เล่นอยู่  เอาไว้เล่นจบเมื่อไหร่จะรีบไสหัวพี่มันออกไปห่างๆ ละกัน
แต่...อยู่แบบนี้มันก็ไม่เลวอ่ะนะ
52% left  
หลังจากกินข้าวเสร็จไอ้คิทก็เอาขนมป๊อบทาร์ตรสบลูเบอรี่กับสตรอว์เบอรี่มาให้  ผมรีบเอามาแล้วแกะกินกับน้องคิทตี้ทันที  ขนมเหี้ยนี่โคตรอร่อยเลยครับ  ดีนะที่ไอ้คิทมันซื้อมาเยอะผมเลยเหมาซะเลย  ผมจะเอาไปฝากพี่พลอยกับเอกด้วย  ที่สำคัญ...จะเอาไปง้อไอ้ป้องคืนนี้แหละ  เมื่อวานมัวแต่ง้อพ่อเลยลืมง้อไอ้ป้องไปเลย
“ถัง เดี๋ยวก่อนกลับแวะร้านเอกหน่อยนะ  จะเอาขนมไปฝากเขา” ผมบอกขณะที่กำลังเตรียมตัวกลับและให้พี่ถังไปส่ง  พอดีวันนี้ผมไม่ได้ขับรถไปบริษัทก็เลยจะให้พี่มันไปส่ง
“ใครบอกกูจะไปส่งวะ?” พี่ถังเลิกคิ้วมองผม
“อ้าว” ผมงง “เออ เดี๋ยวกลับแท็กซี่” ผมบอกอย่างปกติแต่ที่จริงก็แอบงอนอยู่นิดๆ ที่พี่มันไม่ไปส่ง
“งอนอีกแล้วไอ้แสบ” พี่ถังเดินมาสวมกอดผมแล้วโยกตัวไปมา “ไอ้ลุกซ์จะไปส่งต่างหาก  คิดมากไปได้  น้องกูทั้งคนจะให้นั่งแท็กซี่ได้ไงเล่า” พี่ถังผละออกไปก่อนจะขยี้ผมของผมเบาๆ อย่างเอ็นดู
“แล้วทำไมให้ไปกับคนอื่นล่ะ?” ผมทำปากยื่น
“คนอื่นที่ไหน  ว่าที่น้องเขยกูเลยนะ” พี่ถังกระซิบแซวๆ ผมจึงทึ้งหัวมันไปหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้
คุยกับพี่ถังได้ไม่นานผมก็ขึ้นรถกลับบ้านไปกับพี่ลุกซ์อย่างไร้ข้อโต้แย้ง  ก็ไม่ได้งอนอะไรกันก็เลยยอมไปด้วยง่ายๆ  นอกจากไม่ได้งอนแล้วบรรยากาศระหว่างเรายังดีขึ้นมากอีกต่างหาก
 
พอถึง พี่ลุกซ์ก็จอดรถแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันมาจับมือผมไปกุมเอาไว้  ผมหันไปมองหน้าพี่มันนิดๆ ก่อนจะหลบตาเพราะสายตาที่มองผมเมื่อกี้ดูต้องการและโหยหาเหลือเกิน
“ขนมน่ะ กูจะเอาไปให้ไอ้เอกเอง  มึงไม่ต้องไปหรอก  ไม่ต้องห่วงด้วย กูเอาไปให้มันแน่นอน” พี่ลุกซ์พูดขึ้นทำให้ผมหันหน้าไปมองพี่มันอีกรอบ  เมื่อกี้พี่มันดูเหมือนจะตัดพ้อผมอยู่กรายๆ เหมือนกับกำลังคิดว่าผมแคร์เอกมาก  ผมอาจจะแคร์เขาแต่ก็แคร์แค่ฐานะเพื่อน  ไม่ได้เกินกว่านั้นเลย
“อืม” ผมดึงมือตัวเองกลับก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อลงจากรถ
“กูไม่อยากให้มึงแคร์มันเลย” พี่ลุกซ์เปิดประตูลงจากรถตามผมมาก่อนจะพูดขึ้นทำให้ผมชะงัก
“เอกเป็นเพื่อนผม  ผมต้องแคร์เขา” ผมหันไปบอกพี่ลุกซ์แล้วเม้มปากนิดๆ
“มึงกำลังจะทำให้กูเป็นบ้าแล้วนะเปอร์  กูไม่รู้ว่ากูควรทำยังไงเพื่อไม่ให้มึงไปสนใจผู้ชายคนอื่น  กูหึง กูหวงมึงมากแค่ไหนมึงก็น่าจะรู้  โอเค กูไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายความรู้สึกของมึงแต่กู...”
“เขาเป็นแค่เพื่อน” ผมพูดแทรกก่อนที่พี่ลุกซ์จะสติแตกไปจริงๆ  ผมรู้ว่าเขาขี้หึงมาก  แม้แต่เพื่อน พี่และน้องเขายังหึงไม่เว้น  ผมรู้ว่าเขาทรมานที่แสดงออกไม่ได้ว่าผมเป็นของเขา
“เฮ้อ มึงเข้าบ้านไปเถอะ” พี่ลุกซ์ถอนหายใจก่อนจะหันหลังพิงรถ  ผมรู้ว่าถึงจะบอกว่าเป็นแค่เพื่อนเขาก็หึง  แต่เอกก็เป็นแค่เพื่อนผมจริงๆ นี่นา
“แล้วคุณไม่กลับบ้านหรือไง?” ผมถามเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้จะกลับบ้าน
“ถ้าขับรถตอนนี้มันอาจจะคว่ำเอาได้” พี่ลุกซ์ตอบโดยไม่หันกลับมามองหน้าผม
“คุณก็เป็นอย่างนี้ตลอด! หึงอะไรไม่เข้าเรื่อง  บอกว่าแค่เพื่อนก็แค่เพื่อนสิ  ตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์หึงผมเลยนะ  ที่จริงผมจะทำอะไรหรือคิดจะคบกับใครผมไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของคุณด้วยซ้ำ ไอ้หน้าเศร้าๆ ทรมานๆ แบบนั้นไม่ต้องมาทำให้เห็น  มันน่ารำคาญ! ถ้าไม่ไว้ใจหรือเชื่อใจก็ไม่ต้องมาวุ่นวายอะไรกับผมอีก!” ผมทิ้งกระเป๋าสะพายลงพื้นด้วยอารมณ์โมโหก่อนจะตะคอกใส่เขาอย่างเหลืออด  ตอนนี้เขาควรงอนผมไหมเนี่ย? ผมอยู่ในสถานะที่ต้องง้อเขาเหรอ? เอาแต่มางอนอะไรไม่เข้าเรื่อง  บอกว่าเพื่อนก็เพื่อนสิวะ! แม่ง โมโหว่ะ!
“กูเข้าใจความรู้สึกของมึงจริงๆ  ตอนที่กูบอกว่ามึงน่ารำคาญ ตอนที่กูไล่ให้มึงออกไปจากชีวิตมึงรู้สึกอย่างนี้สินะ  แต่ทุกครั้งที่กูว่ามึงอย่างนั้นกูเองก็เจ็บ แต่สำหรับมึง...มันคงไม่ได้เป็นแบบนั้นสินะ” พี่ลุกซ์หันมามองหน้าผมก่อนจะขมวดคิ้ว “มึงทนกับความชั่วของกูได้เพราะฉะนั้นแค่นี้กูก็จะทนเพื่อมึงเปอร์  มึงอยากให้กูทำอะไรมึงบอกมาได้เลย  ไม่ให้สิทธิ์หึงกูก็จะไม่หึง  ไม่ให้ทำหน้าเจ็บปวดกูก็จะไม่ทำ” พี่ลุกซ์พูดต่อก่อนจะพยายามปรับสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติแต่เพราะพี่มันทำไม่ได้ก็เลยขมวดคิ้วแล้วเบือนหน้าหนี
“ผมนึกว่าคุณจะเข้าใจ  แต่ตอนนี้คุณคงยังไม่พร้อมที่จะเป็นคนรักของใคร” ผมมองเขาก่อนจะพูดแล้วรีบเดินเข้าไปในบ้านทันที  แค่เชื่อใจผมแค่นั้นเขาทำไม่ได้เลยหรือไง  หึงก็หึงให้มันรู้ขอบเขตหน่อยได้ไหม  ถ้าจะหึงขนาดนั้นแล้วผมจะมีเพื่อนได้ยังไง  ขนาดเขาต้องทำงานกับเจ๊ที่เป็นภรรยาเก่าผมยังไม่คิดมากเลย แล้วแค่นี้เขาไว้ใจผมบ้างไม่ได้หรือไง
 
ร่างสูงทรุดลงนั่งพิงรถพลางกุมขมับแน่นอย่างสับสน  เขาเข้าใจความรู้สึกของเปอร์เพียงแต่เขาอดไม่ได้ที่จะหึงหวง  ทุกครั้งที่เขาเห็นเปอร์อยู่กับเอก เขาเจ็บจนแทบอยากจะฉีกอกที่ร้อนระอุของตัวเองเสียให้สิ้น  รอยยิ้มที่เขาไม่ได้รับมันทำให้เขารู้สึกอิจฉา  ทุกสิ่งทุกอย่างของเปอร์เคยเป็นของเขาทั้งหมดแต่ตอนนี้มันไม่ใช่  ไม่ว่าจะพยายามคว้ามาไว้ในมือมากแค่ไหนมันก็ไม่ใช่ของเขาอยู่ดี  และนั่นมันยิ่งทำให้เขาแทบดิ้นพล่าน
 
ผมเข้ามาในบ้าน เอาขนมไปฝากคนในบ้านและง้อเจ้าป้องเหมือนกับตอนที่ง้อพ่อเรียบร้อยแล้วขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวนอน  แต่เพราะใจที่ยังร้อนรุ่มอยู่ผมจึงแอบเดินออกไปดูว่าพี่ลุกซ์ขับรถออกไปหรือยัง
พอออกมาส่องดูผมก็ยังเห็นพี่มันอยู่ที่เดิมแถมยังนั่งกอดเข่าพิงรถจนแทบจะรวมร่างเป็นทรานฟอร์เมอร์อยู่แล้ว  อากาศตอนนี้ไม่หนาวก็จริงแต่น่าจะลำบากเพราะยุง  ยิ่งมืดๆ แบบนี้ยุงยิ่งเยอะ  น่าจะโดนหามออกไปทิ้งไกลๆ บ้านผมเนอะ
“พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า  ถ้าไม่รีบกลับไปนอนจะไม่สบายเอานะครับ” ผมเปิดประตูเล็กออกไปก่อนจะกอดอกแล้วพูดขึ้นลอยๆ
“ขอกอดหน่อยได้ไหม?” ผมชะงักนิดๆ เมื่อพี่ลุกซ์ถามแบบนั้นออกมา  อารมณ์ไหนวะเนี่ย? เปลี่ยวขนาดนั้นเลยรึไง?
“มันจะไปได้ได้ยังไงล่ะครับ”
“มึงไม่คิดถึงกูบ้างเหรอ?” พี่ลุกซ์ถาม  ตอนนี้พี่มันทอดสายตามองถนนที่ไร้ยานพาหนะผ่านด้วยท่าทางเหม่อๆ
“เจอกันทุกวันไม่ใช่เหรอครับ?”
“กูอยากกอด อยากจูบ อยากอยู่กับมึงตลอดเวลา  เห็นอยู่ใกล้ๆ แท้ๆ แต่กลับเอื้อมมือไปไม่ถึง  มึงบอกว่ามึงรู้สึกไม่เหมือนเดิม  ไม่ว่ากูจะคิดเท่าไหร่กูก็คิดไม่ออกว่าความรู้สึกที่ว่านั้นมันเปลี่ยนไปในทางไหน  สายตาที่มึงมองกูมันคืออะไร กูมองไม่ออกจริงๆ  ตอนนี้กูไม่กล้าคาดเดาเข้าข้างตัวเองเลยเพราะว่ามึงคนเดิมของกูหายไป  มึงเปลี่ยนไปจนกูไม่รู้จัก  มึง...โอเค มึงเก่งขึ้นมากนะเปอร์  ระยะเวลาที่เราไม่ได้คุยกันมันทำให้มึงเรียนรู้ที่จะยืนหยัดได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปกป้อง  การรับมือกับคนอย่างกูมันคงเหนื่อยมาก  แต่กูก็อยากจะขอร้องมึงอย่างหนึ่ง” พี่ลุกซ์พูดพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาตรงหน้าผม
“...” ผมนิ่งไปก่อนจะผงะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อพี่ลุกซ์ทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้า
“กลับมาเป็นคนเดิมของกูได้ไหม?” พี่ลุกซ์เงยหน้ามองผมอย่างอ้อนวอน
ไม่รู้ว่าเทพยดากลั่นแกล้งหรือเปล่า  ทันทีที่พี่มันพูดจบปรอยฝนก็ค่อยๆ โปรยลงมาทีละนิดๆ จนกระทั่งเริ่มมากขึ้นถึงขนาดที่ทำให้พื้นเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำ
“ลุกขึ้นแล้วรีบกลับบ้านไปเถอะครับ  เดี๋ยวก็ไม่สบายจริงๆ หรอก” ผมขมวดคิ้วบอกแล้วฉุดตัวพี่มันขึ้นมา
“ฮึๆ นี่คือคำตอบสินะ ฮึๆ” พี่มันยืนขึ้นด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก  มุมปากยกขึ้นยิ้มราวกับกำลังเยาะเย้ยตัวเอง  ผมที่เซ็ตไว้อย่างดีเพื่อไปทำงานถูกฝนชะลู่ลงปิดหน้าปิดตาจนมองไม่ออกว่าตอนนี้พี่มันกำลังมองผมด้วยสายตาแบบไหน  หรืออาจจะไม่ได้มอง...
“นี่!” ผมตีแขนเขาแล้วรุนหลังเพื่อให้เขากลับขึ้นรถไป  ผมกลัวเขาไม่สบายเลยจะให้รีบกลับไป  เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลังก็ได้
“เดี๋ยวสิ  ก่อนกลับขอพูดอะไรนิดหน่อย” พี่ลุกซ์หมุนตัวกลับมาหาผมก่อนจะเสยผมที่ปิดหน้าตัวเองขึ้น  น้ำเสียงของพี่มันดูเยาะเย้ย ตาดูแข็งกร้าวทว่าเจ็บปวด  ใจผมสั่นระรัวทันทีที่เห็นพี่มันเป็นอย่างนั้น  บอกตรงๆ ว่าน่ากลัว  ผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน  มันน่ากลัวมากจริงๆ  แต่ไม่ได้น่ากลัวในความหมายที่ผมจะเจ็บปวดแต่มันน่ากลัวว่าเขานั่นแหละที่จะเจ็บปวด  เหมือนจะตายเสียให้ได้
“...” ผมเงียบรอฟัง  ตอนนี้ฝนเริ่มซาลงแล้วล่ะครับ  คงเป็นฝนไล่ช้าง ที่มาแป๊บๆ แล้วก็หยุด
“ขอให้โชคดี  ไม่ว่าต่อไปนี้มึงจะคบกับใคร ก็ขอให้มันเป็นคนดี  ดูแลและรักมึงให้มาก  มากกว่ากูได้ยิ่งดี  ไอ้เอกก็ดี  กูรู้จักมันมาตั้งแต่มัธยม  เป็นคนดีใช้ได้  ใจกู...ดีและกว้างสู้มันไม่ได้  กูเป็นคนรักที่ดีสำหรับใครไม่ได้จริงๆ  รู้อย่างนี้กูไม่น่ารักมึงตั้งแต่แรกเลยว่ะ  ใจกูมันแข็งกระด้างมาตั้งแต่เด็ก  รู้ทั้งรู้ว่ารักใครไม่ได้ก็ยังจะรัก  มึงไม่น่ามาเสียเวลาเพราะกูเลย  อนาคตที่สดใสของมึงมืดบอดเพราะกูเพียงคนเดียว” พี่ลุกซ์พูดยิ้มๆ ก่อนจะกรอกตามองฟ้า  ถึงพี่มันจะยิ้มซะกว้างแต่กลับไม่ทำให้ผมดีใจที่ได้เห็นเลยซักนิด  ทุกคำพูดมันเสียดแทงจิตใจผมเหลือเกิน  เขาคงคิดจริงๆ ว่าตัวเขารักใครไม่ได้  แต่ถึงจะคิดแบบนั้นเขาก็ยังจะรักผม  เขาฝืนกฎเกณฑ์ของตัวเองเพื่อผม  แต่ผมนี่สิ...ไม่พยายามอะไรเลย  ผมต่างหากที่ไม่คู่ควร
“...” ผมเม้มปากพูดอะไรไม่ออก  เจ็บจนจุกไปทั่วอก
“ขอโทษกับสิ่งเลวๆ ที่ทำลงไปทั้งหมด  ขอโทษกับน้ำตาที่เสียไป  ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาไปตั้งหลายปี  ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ  ต่อไปนี้ไม่ต้องเสียเวลากับกูแล้วนะ  ลืมมันไปให้หมดแล้วไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นดีกว่า  กูไม่ดีพอที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครได้อีก  แล้วก็ขอโทษที่กูรักมึงมากเกินไป” พี่ลุกซ์พูดพลางเดินไปเดินมาอยู่ไม่สุข ไม่สมกับเป็นตัวของเขาเลยซักนิด  เขาไม่จำเป็นต้องขอโทษผม  จริงๆ แล้วเวลาที่เสียไปมันแลกมาซึ่งความรู้สึกที่มีคุณค่าควรจดจำ  ผมปิดกั้นตัวเองเพราะเรื่องที่ถูกหลอกจนพยายามคิดแต่เรื่องไม่ดีที่เขาได้ทำลงไป  ถ้าผมเปิดใจอีกซักนิด สิ่งดีๆ ที่เราทำร่วมกันอาจจะทำให้ผมใจอ่อนเร็วกว่านี้และคงไม่ทำให้ใครต้องเจ็บปวด  ผมผิดเอง  ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษเขา
“...” ผมพูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งเขาหันหลังเดินกลับไปที่รถ  ใจก็อยากจะเอื้อมมือไปรั้งไว้ อยากจะเอ่ยปากแต่ไม่รู้ทำไมร่างกายมันไม่ขยับ  เหมือนถูกตรึง  กำแพงของเขาก็ดูจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกได้  อ่า...รู้สึกแย่ชะมัด
“อ้อ เดี๋ยวย้ายแผนกให้นะ  พรุ่งนี้ไปที่แผนกเครื่องยนต์เลย  ทำงานที่แผนกนั้นคงไม่ได้เจอหน้ากัน...อึก” พี่ลุกซ์หันมาพูดกับผมยิ้มๆ แต่ในประโยคสุดท้ายพี่มันรีบหันหน้ากลับไปพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง  ผมแทบทรุดกับอากัปกิริยาเมื่อครู่
เมื่อกี้ถ้าผมตาไม่ฝาด ผมเห็นน้ำใสๆ ร่วงลงมาจากดวงตาของเขา  ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่น้ำฝนที่ตกเมื่อกี้  มันผุดและร่วงลงมาจากดวงตาที่แดงก่ำนั่น  แม้จะเพียงเสี้ยววินาที ผมก็เห็นมัน 
ใจของเขาที่ผมเคยกล่าวหาว่าเลือดเย็น ท่าทางของเขาที่แสนจะเย็นชา วันนี้มันถูกทำลายลงด้วยน้ำตาเพียงหยดเดียว  แท้จริงแล้ว ความเข้มแข็งของเขามันเป็นเพียงเกราะ  เขาอ่อนแอเหมือนกับคนอื่น  เขาเจ็บปวดเป็น  เขา...ร้องไห้เป็นเหมือนกัน
 

++++++++++++++++++++++++++++++  
ต้องขอโทษจริงๆ ค่าที่หายไป  พอดีว่าไปช่วยพ่อขับรถไปนครนายกซึ่งบ้านไรเตอร์ก็อยู่ห่างจากนครนายกมากกกก ไม่ได้นอนสองวันก็เลยพักยาวเบย  ไม่ได้เปิดคอซะนาน เอาเป็นว่าขอให้สนุกกับการอ่าน  ช่วงนี้มาแบบป่วงๆ ฮ่าๆ
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา